ปริยัติเป็นผลมาจากปฏิเวธ

แค่ฟังนี่นิพพานแล้วหรือครับ

นิพพานตามที่เอกวีร์เข้าใจ ยังไงครับ

 

สังเกตไหมครับ เสวนาธรรม เพื่อ จับผิด ในคำพูด ภาษา ไปวันๆ

ประโยชน์ของการเสวนา มีแค่นั้น วันหนึ่ง คุณหยอดคำถามแบบนี้
ได้สักครั้ง โอยยยยย มาจากเด_ สุดยอด เป็น นักธรรม

 

เคยพูดแล้วว่า พูดเกินภูมิ คิกๆๆ

นิพพานๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นิพพาน เป็นนกแก้วนกขุนทอง นกเอี้ยง

 

ยัง โง่ ไม่เลิก

คุณกลับไปอ่านใหม่นะครับว่า เขาเขียนว่าอย่างไร

ประโยคภาษาไทย เขาเขียนว่า

" 1. สำหรับพวกที่บรรลุธรรมได้ ก็ฟังเพื่อนิพพาน "

ทีนี้ คำว่า " เพื่อ " เนี่ยะ ไม่มีใครโง่ อ่านแล้ว ไปตั้ง
คำถามว่า " แค่ฟังนี่นิพพานแล้ว เลยเหยอ " กันหลอก

มันมีแต่ พวกชั่ว เท่านั้น ที่ พยายาม ดัดแปลงคำ เปบี่ยงประเด็น
ความหมายของ คู่สนทนาให้เป็น สิ่งอื่น

แล้ว ก็ เมา ว่าตนพูดถูก อยู่อย่างนั้น ยังตามจิกประเด็นที่ตนเอง
แกล้งตีความผิดๆ ไปได้อีกนานนนนนนนนนนนนนนนนนน

ด้วยความสนุก อะไรบางอย่าง แต่ เด็กๆ เขาไม่โง่ หลงตามกันหลอก

 

เอกวีร์

https://www.youtube.com/watch?v=p287WRzp9wk

 

สนุก เลยเนาะ

 

อย่างที่บอก คิกๆ ธรรมๆๆ นิพพานๆๆๆ ได้พูดแล้วมีความสุข

ครั้นมีคนถามอะไร ธรรม? อะไรนิพพาน? อึ

 

นี่ ก็ไม่ได้รู้เรื่อง

สมมตินะ สมมติ คุณไปถาม พระนักปฏิบัติ เอาที่ ท่าน ปฏิบัติ
แล้วได้นิพพานจริงๆ

แล้ว คุณไป ถวงถาม ไปบีบด้วยลีลาการพูด เพื่อให้ท่าน ปรารภว่า ได้นิพพาน
สำเร็จนิพพาน

หากพระท่านตอบ แม้นว่า จะมี นิพพานจริงๆ สำเร็จจริง ..ท่านก็จะผิดศีล
ต้องปลงอาบัติทุกกฏ

ดังนั้น

ประโยคที่ไปถามคำถามใครต่อใคร ไปคาดคั้นใครต่อใคร ให้ กล่าวว่า สำเร็จ
นิพพาน ไอ้คนๆนั้น ไม่ได้ศึกษา พระธรรม และ วินัย มาให้ดีแน่นอน

แต่.........

แต่ ถ้าคนใดคนหนึ่ง สำเร็จนิพพาน แล้ว เจอเพื่อนที่เขา พร้อมรับ แล้ว
ไม่กล่าวประกาศถึง " การสำเร็จนิพพานของตน " คนๆนั้นก็จะ ....ถูกตำหนิ
ว่า ไม่รู้จักเผื่อแผ่ ดังนั้น หากจังหวะมี ก็ต้อง ทำธรรมกถึก ประกาศนิพพาน
ให้ คนที่สมควรฟังเขาได้ร่าเริงใจ เกิดธรรมพิสมัย เพื่อฟัง และ ปฏิบัติเพื่อนิพพาน
บ้าง [ประกาศธรรมในตน เพื่อ กระตุ้นผู้อื่น ไม่ใช่เพื่ออวดตน พระพุทธองค์ให้
ทำให้มากๆ ทำแบบ หลวงตามาาบัว ทำได้เลย ไม่ผิด ]

นะ

สรุปคือ ไอ้มุขทวงถามนิพพาน เพื่อจะได้ ทำหน้าทำตาแบบลิง เพื่อขย่ม
เวลาที่ เขาเห็นว่าไม่ใช่การสมควรพูด ลิงตัวนั้น ก็จะสนุกเลย คิดว่า
ไม่มีใครกล้าประกาศนิพพาน การเสวนาของตน ได้เปรียบ สนุกไปเรื่อย

 

ผมอ่านแล้วผมก็คิดว่าลุงหมานถูกนะครับ ถูกต้อง 100% ด้วย ผมว่านักปฎิบัติ อย่าเสียเวลามาเถียงลุงหมานเลยครับ

 

อันนี้ ต้องแจงนิดหน่อย ฮับ

หาก รู้จักลุงหมานดี จะทราบว่า ลุงหมานหมายเอา " อภิธรรม " เป็น ส่วนปริยัติ

หากเราไปสนับสนุนว่า การจดจำ ดวงจิตเท่านั้นดวง เท่านี้ดวง ตอบคำถามได้
คล่อง ก็ถือว่า ได้สำเร็จตามปฏิบัติ ปฏิเวธ โดยไม่ต้อง ฝึกปฏิบัติ
ทำฌาณ ภาวนาอะไรเลย

ก็จะกลายเป็นว่า พาให้ลุงหมานประมาท สำคัญว่า จำลูกชิ้นได้ ก็ สำเร็จธรรม

เรียกว่า ก๊อปปี้ปัญญาได้ปั๊ป ถือว่า สำเร็จธรรมเดียวกัน
กับ พระสัพพัญญูทุกประการ ไปเลย [ ต้องไป หา กระทู้ อรหันต์ กับ ปฏิสัมภิทา ที่
ลุงหมานโพสก่อนหน้า ...จะทราบ ที่มาที่ไปของกระทู้ นี้ ]

เนี่ยะ หากทราบ ประวัตินิดๆหน่อย

ก็ ต้องย้อนแย้ง เอาไว้ ...... เพื่อความไม่ประมาท

หรือ จะปล่อยผ่าน หรือ จะสนับสนุน ก็ว่ากันไป

 

ก็ถามท่านใหม่ว่า ท่านปฏิบัติยังไง (ทำยังไง) ถึงได้นิพพาน กระทนิพพานให้แจ้ง

 

ลองถามลุงหมานสิครับ ปฏิบัติยังไง

 

ก็นะ

นี่ก็อีก มุขหนึ่ง ที่จะ ทำทีเป็นว่าถาม

พอถามไปแล้ว จะเชื่อมขนมกินได้ว่า คู่สนทนาจะไม่ตอบ

ทำไมเขาไม่ตอบ

ก็การปรารภความเพียร มันคือ การปรารภความเพียร มันเป็น นัยปฏิบัติ
ที่เพียรกันไปเรื่อยๆ

เหมือน คนเขากำลัง สร้างเรือ กำลังขึ้นกระดูกงู ขึ้นโกลน

ไอ้ "มาจากเด_" ดันเดินมาถามว่า คุณครับๆ " คุณสร้างเรือยังไง " หรือครับ
" คุณสร้างเรือแล้วเรือเสร็จทันทีเลยเหรอ "

เด็กเขาก็รู้ว่า ไอ้นี่ มันแค่แกล้งเป็นฉลาด ทำเป็นถาม

ถามคำถาม ที่รู้อยู่ว่า จะยังไม่ได้คำตอบ

เสร็จแล้ว ก็เอา การที่เขายังไม่ตอบ เขายังเพียรอยู่ ไปหัวเราะเยาะ

ยกประเด็นว่า " ไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริง "


ซึ่ง ก็จะสมจริงเลยที่ควรเรียก หรือ รู้จัก ผู้ถามว่า " มาจากเด_ " แน่นอน

 

อาจารย์..อย่ามาเสียเวลากับ-พวกโฆษณา จัดตั้งมาเลย คุยไปก็ไร้ค่าให้มันติดตำราจนตายไป:'boo:

 

ความหมายของคำว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ความหมายของคำทั้ง 3 ไม่มีอะไรมาก หากนำมารวมกันก็จะได้ความหมายที่สั้นกระชับได้ใจความที่สุดว่า นำทฤษฎีมาปฏิบัติให้เกิดผล แต่ถ้าขยายความก็หมายความว่า ปริยัติหมายถึงทฤษฎี วิธีการที่จะนำไปปฏิบัติ แล้วนำวิธีที่รู้มาไปปฏิบัติ คงไม่ต้องแปลคำว่าปฏิบัติว่าหมายความว่าอย่างไร ก็มาถึงปฏิเวธ คือผลที่เราพึงได้รับจากการปฏิบัตินั้น ๆ ว่าได้ผลออกมาเป็นอย่างไร

แนวทางของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทั้งก่อนและหลังตรัสรู้ คือเริ่มต้นจากการปฏิบัติก่อน ลองผิดลองถูกอยู่นานหลายวิธี เพื่อให้เข้าถึงปฏิเวธในทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เริ่มต้นด้วยปฏิบัติ เมื่อถึงปฏิเวธทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกแล้ว จากนั้นก็นำการปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติแล้วทำให้ตนพ้นทุกข์โดยมีนัยสำคัญคือแจ้งประจักษ์ในตนเอง แล้วนำปฏิเวธที่ได้ไปสร้างเป็นปริยัติในที่สุด ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงเป็นผู้ที่เสียสละยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสอนว่าหากใครไปทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงมีบาปมหันต์ หรือแม้แต่การนำคำสอนของตนไปแนะนำคนอื่นโดยที่ตนรู้อยู่แล้วว่านั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์ แล้วไปแอบอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเป็นคำสอนที่ปรากฏจะเรียกว่า "กล่าวตู่ตถาคต" จึงเท่ากับเป็นการทำบาปอันหนักยิ่ง เพราะแนวทางเหล่านั้นเป็นการสะกัดกั้นมิให้มหาชนไปถึงเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาหรือถึงพระนิพพานนั่นเอง

ฉะนั้นผู้เขียนเองก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องแยกคำสอนของตนเองออกจากคำสอนของพระพุทธองค์ หากสังเกตในบทความผู้เขียนจะแยกเอาไว้ โดยเฉพาะในส่วนเรื่องเกี่ยวกับเทพ จะไม่ปรากฏว่ามี "นี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์" ปรากฏ หรือแม้แต่การใช้คำว่าพระพุทธเจ้า ในหลาย ๆ บทความจะเป็นคำกลาง ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด แต่ถ้าใช้คำว่าพระพุทธองค์ จะหมายถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ทำหน้าที่อยู่ นั่นหมายความว่าคุณลักษณะของความเป็นเทพจะไม่มีปรากฏอยู่ในคำสอน แล้วถ้าพิจารณาให้ดีผู้เขียนได้อธิบายไปอย่างชัดเจนแล้วว่า พระพุทธองค์ไม่ให้เราขอให้เทพช่วยพร้อมทั้งอธิบายเหตุผลไว้ด้วย

ฉะนั้นอะไรก็ตามถ้าเขียนไว้ลอย ๆ ไม่ปรากฏแหล่งที่มา หรือถ้าเขียนจะมีคำว่า "จากประสบการณ์" นั่นหมายความว่าเป็นสิ่งที่ผู้เขียนรู้เอง เมื่อเป็นสิ่งที่รู้เองเห็นเองด้วยประสบการณ์ แล้วถึงแม้เป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ มิเช่นนั้นผู้เขียนจะเป็นคนกล่าวตู่ตถาคตเสียเอง ถึงแม้ผู้เขียนจะทำไปด้วยเจตนาดีเพียงใดก็ตาม เช่นผู้เขียนรู้อยู่แล้วว่าพวกเราศรัทธาพระพุทธองค์มากกว่าผู้เขียน ก็เขียนโดยกล่าวตู่ทึกทักเสียเลยว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์เช่นนี้ก็ไม่ได้ แล้วคำสอนใด ๆ ก็ตามที่ผู้เขียนรู้เห็นมาแล้วพิสูจน์ผลได้ด้วยตนเอง แล้วคำสอนนั้นตรงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนไว้แล้ว ผู้เขียนก็พูดได้เต็มปากด้วยความกตัญญูว่านี่คือคำสอนของพระพุทธองค์ การปฏิบัติบูชาด้วยการนำปริยัติไปปฏิบัติเพื่อให้ถึงปฏิเวธ เป็นการแสดงความกตัญญูสุงสุดต่อพระพุทธองค์โดยไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้ว ไม่ถึงกับต้องนำมาเขียนออกมาว่าเป็นเพราะอะไรถึงการปฏิบัติตามคำสอนนั้นจึงส่งผลนั้นแก่ตน

ดังนั้นการจะเป็นพุทธบุตรที่ดีของพระพุทธองค์ คือต้องนำวิธีการที่ทรงสอนมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตรงไปตรงมา สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือการเรียนแต่ปริยัติ แล้วนำทฤษฎีนั้นมาถกเถียงกันเพื่อหาความถูกผิดโดยไม่ลงมือปฏิบัติ แล้วถึงแม้จะปฏิบัติแล้วแต่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการปฏิบัติ ถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพทั้งต่อพระพุทธองค์เองหรือแม้แต่พระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มา ด้วยเหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็เพราะพระพุทธองค์สอนให้นำวิธีปฏิบัติไปปฏิบัติแล้วเราปฏิบัติกันหรือไม่ ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร

 

:'(ความเห็นที่ไม่ยอมออกจากกะลาแบบลุงหมานนี่นะ-นี่แหละ..ท่อนสุดท้ายเห็นชัดเจน ปฏิบัติแต่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง..ถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพ..ฯล

:'(..ไม่น่าเชือ่ ความเห็นกะลาปิด อย่างลุงหมานนี้ นี้ยังมีในปี 2558 อีก ต้องปฏิบัติลึกซึ้งขนาดไหน..รึจึงจะคุยกันได้ ..ต้องเงียบจึงเป็นของจริง หรือ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ไม่ไปไหนเลยลุงหมานนนนนน..กะลาครอบมิดชิดเลย:'(
อย่างนั้นก็ไม่ต้องคุยกันเลย แลกเปลี่ยนก็ไม่ได้-สงสัยก็ถามไม่ได้ ถึงได้ถูกหลอกจนตาย เราสอนแล้ว.."อย่าเอาไปเถียงกันนะ-อย่าเอาไปทะเลาะกันในเวบนะ".. นี่วาทะกรรมปิดสมองประชาชนอย่างไอ้เสือเหลืองชลบุรีมันทำนะล่อไป100ล้านลูกเมียอิ่มหนำ ตกเย็นไล่คนบริจาคออกนอกวัดกุจะนอน อิอิ ยังไม่เข็ดอีกรึลุง..ต้องเชื่อก่อน กราบมันก่อน ให้เงินมันก่อน ค่อยมาจับผิดเถียงกันทีหลังรึ

:'( ต้องทำตามที่ลึงบอก ไม่งั้น ไม่เคารพ พระพุทธองค์..โงหัวไม่ขึ้นเลย อยู่ในกะลาคนเดียวไปจนตายเถอะนะลุงหมานน ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ:'(
ลุงมาเสนอสิ่งผิดๆอีก..พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้มาเชื่อ..กะลามสูตร10นะ ท่านให้คิด คัดค้าน ไต่สวน สอบถามท่านบอกใบ้ในเนื้อหาอยู่แล้ว ท่านให้ลองมาปฏิบัติก่อนแล้วค่อยเเชื่อทีหลัง..ระหว่างปฏิบัตินี่หากไม่รู้จะให้ถามใคร ..นี่ลุงหมานไปเอามาจากไหนนี่ ..จงใจเอานรกมาปิดปากคนอื่นเลยนี่

 

ปริยัติ ปฎิบัติ ปฏิเวธ


https://www.youtube.com/watch?v=Lqr-Cfi-x6I

 

"ทำจิตเหมือนผ้าเช็ดเท้า คือไม่ให้จิตมีฤทธิ์มีเดช แผลงฤทธิ์ในตัวเอง แล้วไปเหยียบย่ำทำลายคนอื่น กระทบกระเทือนคนอื่น นี่เรียกว่าจิตที่มีพิษมีภัย จิตไม่มีพิษมีภัยก็คือจิตมีธรรม ให้ทำตัวเป็นผู้น้อยต่อผู้อื่นอยู่เสมอ อย่ายกตน ยังไงก็ยอมฟังเสียงผู้อื่นอยู่เสมอ นี่เรียกว่าผ้าอะไร (ผ้าเช็ดเท้าครับ) เออเหมือนผ้าเช็ดเท้า
ผ้าเช็ดเท้านี่คือทำตัวให้ต่ำ ต่ำเพื่อกราบธรรม ไม่ใช่ต่ำเพื่อกราบมูตรกราบคูถ คือกิเลส เมื่อทำตัวให้ต่ำ น้อมรับธรรม ๆ แล้วธรรมจะเข้าสู่ใจ จะสูงขึ้นโดยลำดับ ๆ นี่ทำตัวให้ต่ำเพื่อฟังโอวาท เพื่อฟังอรรถฟังธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติที่สูงอยู่แล้ว แล้วเราจะได้ปฏิบัติตัวตามธรรมนั้นๆ เราก็สูงขึ้นไปตามธรรม ๆ นี่เรียกว่าผ้าอะไร (ผ้าเช็ดเท้าครับ) เออ เรียกว่าผ้าเช็ดเท้า ทำตัวให้เป็นทองคำได้ เอาละพอนะ"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

 

อุตส่าห์นั่งพิมพ์มาตั้งเยอะตั้งแยะ มีแต่น้ำ เนื้่อหามีไม่ เสียค่าไฟเปล่าๆนิ

 

ท่านสับสน เอกวีร์เป็นอาจารย์หรอ อาจารย์ทางไหนครับ (y)