นั่งสมาธิแล้วไม่หายใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Pei-panwad, 23 ตุลาคม 2014.

  1. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78

    คุณ nopphakan ช่วยตอบความคิดเห็นนี้หน่อยสิค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เด่วขออนุญาตช่วยตอบ กิริยา
    ทางจิตของคุณ THE_NOP ให้นะครับ..
    ไอ้ก้อนกลมๆที่ขนาดใหญ่กว่าลูกเบสบอลหน่อย
    ก้อนนั่นนั้นหละครับมันคือตัวจิต คือมันกำลังเกิดอยู่ครับ..บางครั้งเราอาจ
    มีความรู้สึกเหมือนกับว่ามันทะลุผิวหนังเราออกมาได้ครับ..
    ปกติก้อนกลมๆอย่างนี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเริ่มมีตัว
    สติทางธรรมแล้วครับ แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่รู้ตัวก็ตามนะครับ..
    และก้อนกลมๆนี้ เป็นกิริยาทางจิต ๑ ใน ๔ กิริยาที่จะเกิดขึ้น
    กับเราได้ครับ..เริ่มจาก ๑.จิตเริ่มก่อตัว ๒.จิตเริ่มหมุนเป็นเกลียว
    ๓.จิตก่อตัวเป็นก้อนกลมๆ และ ๔.เป็นก้อนกลมๆและ
    มันจะลอยขึ้นตามแนวกระดูกสันหลังของร่างกายและพุงขึ้นไปทางศรีษะครับ..
    โดยลำดับการปฏิบัติแล้วหากเราเริ่มมีกำลังสติทางธรรม จิตจะเป็นก้อนกลมๆ
    ให้เราสัมผัสได้เลยครับ คือเริ่มขั้นที่ ๓. และถ้าเรามีจริตทางด้านการท่องเที่ยว
    มาก่อน ตัวจิตถึงจะก้าวมาขั้นที่ ๔ ได้เองซึ่งขั้นที่ ๔ นี้สามารถเกิดได้แม้เวลา
    สมาธิไม่มาก ถ้าเราปล่อยโดยไม่สนใจ จิตมันจะหลุดออกนอกกายไปข้างนอก
    เราจะไปตีหลังกาหาคะเมน หาทิศทางไม่ได้ ซึ่งไม่ควรปล่อยให้ถึงขั้นที่ ๔ ครับ

    เพราะว่า แม้จะมีความสามารถในการเห็นนามธรรมได้ ท่องเที่ยวได้ แต่จะขาด
    การสนใจในเรื่องการเจริญสติและการเดินปัญญาครับ..และแม้ว่ามันจะออกไป
    ข้างนอกได้และดูเหมือนว่าไม่ยึดติด แต่มันเป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่เราเรียกว่า
    กิเลสธรรมครับ และจะทำให้เราไปเน้นด้านกำลังสมาธิเพื่อหนุนความสามารถ
    พิเศษต่างๆแทนคล้ายๆกลุ่มพราหมณ์ในสมัยอดีตพุทธกาลบางกลุ่มนั่นหละครับ...
    และถ้าเรายังอายุ ไม่ถึง ๕๐ หรือ ๖๐ ปียังๆเราก็จะต้องเจอกิริยาข้อที่ ๑ และ ๒ ครับ
    ยกเว้นว่าเราจะเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน ชนิดที่ว่าเป็นหนี้ ๑๐
    ล้านแต่นอนหลับสบายได้เป็นปกติครับ...

    วิธีพัฒนาต่อไปก็คือ ให้เรามาเจริญสติทางธรรมด้วยการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    ให้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้นครับ ด้วยการนับก้าวหรือตามลมหายใจก็ได้ครับ สังเกตุดูได้ครับ
    ถ้าช่วงนี้เราตามลมหายใจได้ต่อเนื่องแล้ว เรื่องราวในอดีตต่างๆมันจะผุดขึ้นมาให้เรา
    คิดถึงได้เป็นดอกเห็ด แม้ว่าบางครั้งจะหายใจเข้าออกครั้งเดียวก็ขึ้นมาได้หลายๆเรื่อง
    เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ๑๐ ถึง ๒๐ ปีก็มีครับ แต่นั่นคือสัญญาที่ดีครับ..
    เพราะพอเป็นดวงกลมๆขึ้นมา เราจะมีความสามารถในการที่จะดับก่อนกลมๆนี้ได้ครับ
    ด้วยการกำหนดให้มันดับไปเลยได้ครับ และมาตามลมหายใจเราต่อครับ
    ต่อไปเราจะเริ่มเห็น กิริยาของจิตในข้อที่ ๒ และข้อที่ ๑ ได้เองครับ..

    ถ้าเราเริ่มเห็นถึงข้อที่ ๑ ได้แล้วนั้น ในขณะที่เราลืมตาปกติและกำลังเจริญสติอยู่
    นั้นถ้าเราสังเกตุเห็นข้อที่ ๑ ได้จิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอย่างหนึ่งก็คือ
    จิตมันจะคลายความคิดออกจากตัวจิตได้ หรือพูดง่ายๆว่า มันจะสามารถแยกความ
    คิดออกจากจิตได้ครับ..ตัวเราจะรู้สึกเหมือนๆเบาๆเวลาเดินแล้วคล้ายเราลอยได้
    และสายตาเราจะรู้สึกว่า เราจะมองเห็นอะไรได้ไกลกว่าปกติ บ้างครั้งมองเห็นได้
    ไกลเป็น กม.ครับ..และต่อไป ในเวลาปกติ เราจะสังเกตุได้ว่า เวลามีเรื่องคิดอะไร
    ก็ตาม หรือเวลาเราออกกำลังกายเหนื่อยๆ หัวใจเราจะยังเต้นเป็นปกติ แต่ตัวจิต
    ตรงนี้มันจะเต้นๆ ตุ้บๆแทน ซึ่งเราจะสามารถรู้สึกได้ชัด สัมผัสได้ หรือไม่ก็ให้คน
    อื่นๆมาลองจับดูได้ด้วยครับ ก็จะพิสูจน์ได้อย่างที่บอก..

    และการเห็นกิริยาทางจิตอย่างนี้ได้แล้ว แต่ไปเรานั่งสมาธิแบบเดิมของเรา โดยดับ
    ไอ้ก้อนกลมๆนี้ได้แล้ว และไม่สนใจเปรียบเทียบกับผลของสมาธิที่เคยผ่านมาแล้วนั้น
    จิตเราจะไต่ระดับไปถึงขั้นที่มันแยกกายกับจิตได้เองครับ ถ้าเรามีกำลังสติมากพอ
    ที่จะควบคุมจิตไม่ให้ไปไหนได้ (ช่วงนี้ต้องระวังครับ จิตจะไปไหนเราต้องบังคับ
    ไม่ให้มันไปอย่างเดียวนะครับ) และถ้ารักษาระยะเวลาได้นานขึ้น เราจะสังเกตุ
    เห็นตัวหนึ่ง ซึ่งจะมาทางด้านข้างแต่ไม่ขอบอกว่าด้านไหนนะครับ ตัวนี้หละครับ
    ที่เค้าเรียกว่า ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือวิบากกรรมของเรา ถ้าเราสังเกตุมันได้
    ทันตั้งแต่ที่มันจะมาจิตเราจะเข้าสู่การแยกรูปแยกนามได้ครับ..แต่ตัวนี้ถ้าเราเผลอ
    ไปมองก่อนมันจะหายแว๊ปไปทันทีนะครับ ให้ระวังไว้ด้วยครับ..
    และถ้าเห็นตรงนี้ได้ ต่อไปเราจะทราบได้เองว่า จิตมันจะแยกกับความคิด แยกกับขันธ์ ๕
    และมันจะแบ่งได้เป็น ๓ ส่วนอย่างชัดเจน และเราจะทราบกิริยาต่างๆของจิตได้ดี
    เช่น จิตกระเพือม หรือจิตรวมกับความคิดที่เกิดจากจิต หรือจิตรวมกับความคิดที่เกิด
    จากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมครับ...และเราจะเริ่มเดินปัญญาได้ในขณะลืมตาเป็น
    ลำดับต่อมาครับ....

    และถ้าเรายังฟิตๆต่อนะครับหมายถึงต้องไม่มีภาระทางโลกด้วยร่วมด้วยนะครับ
    ..ต่อไปถ้าจิตอยู่นิ่งๆในกายได้ ในขณะที่มันแยกกับระบบ
    ความคุมร่างกายในกำลังระดับสูงได้แล้วนั้น..ตัวจิตมันจะไปของมันได้เองดังต่อไปนี้ครับ
    ถ้ามันเน้นทางด้านมรรคก่อน จิตจะวิ่งดูอวัยวะภายในของมันได้เอง จะเห็นๆได้เหมือนเรา
    ไปยืนดูอยู่ตรงนั้นเลยครับ และที่เค้าบอกว่าร่างกายเป็นโพรงเป็นอย่างไรเราจะรู้ตอนนี้หละครับ
    และอีกกรณีคือ ถ้าจิตมันโน้นไปทางความสามารถพิเศษ ตัวจิตมันจะไม่ไปไหนครับ แต่มัน
    จะวิ่งเข้าไปในจิตอีกทีหนึ่ง ก็จะเกิดการไปค้นเครื่องรู้ความสามารถพิเศษต่างๆ ที่จิตตัวนี้
    มันเคยทำได้มาแล้วในอดีตชาติทั้งหมด ความสามารถที่เราเคยมีทั้งหมดที่จิตไปค้นพบ
    มันก็จะกลับขึ้นมาให้เราสามารถใช้งานได้ปกติ แม้ในขณะที่เราลืมตา โดยไม่ต้องตั้งท่า
    ทำสมาธิให้เสียเวลาครับ.....

    ปล.ทั่วๆไปประมาณนี้ครับ...
    ขอบคุณ จขกท. ครับที่ให้เกียรติให้ผู้เขียรมาให้คำแนะนำครับ
    ..
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ช่วยตอบตามภูมิที่ผมเคยอ่าน เคยฟังมานะคับ ^^

    1... ก้เพราะเป็นไปตามจริงในการปฏิบัติ สภาวะธรรมในการปฏิบัติคับ มีวิตก วิจาร อยู่ ภาวนา ไม่ได้ขาดสติ ลืม หรือ เผลอ หรือ หยุดภาวนาเองคับ

    2.ดวงกสิณครับ นิมิต ครับ ว่าแต่ไม่บอกว่าสีอะไร เดาว่าสีขาวละกัน อิอิ รอมาเฉลยบอกละกันคับ

    ว่าแต่เห็นหนึ่งดวง หรือ มากกว่าหนึ่งหรือป่าวคับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อนุญาตเสริมอีกหน่อยหนึ่งนะครับ
    อันตรายมากนะครับ เลยจำเป็นต้องเล่าให้ฟังก่อนครับ.
    ถ้าเป็นนิมิตรกรรมฐานพวกกสิณกองต่างๆ
    ที่จิตมันเคยทำได้ในอดีตชาติมาก่อนนะครับ.มันจะเกิดภายนอกกายครับ
    และเกิดในขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิหรือไม่ก็นอนๆอยู่ก็เกิดได้ครับ
    และจะลอยมาแบบเยื้องๆทางศรีษะด้านขวาของเราครับ.ซึ่งเราจะมองเห็น
    ได้ชัดเจนและทราบดีครับว่าเป็นกสิณกองไหนครับ.หรือไม่เราก็จะฝันเห็น
    นิมิตรของกสิณกองนั้นๆแบบเหมือนของจริงๆ หรือไม่ก็ฝันว่าเรามีความ
    สามารถใช้กสิณกองนั้นๆได้จริง.ซึ่งถ้าเห็นอย่างนี้ ถ้าจิตยังแยกรูปแยกนาม
    ไม่ได้อย่างที่เล่าให้คุณ THE_NOP ฟังนะครับ

    ให้เราเลิกสนใจนิมิตรอย่างนี้
    ทุกๆกรณีครับ ให้เหมือนกับว่ามันไม่มีในจักรวาลนี้ไปเลยครับ
    เพราะนอกจากจะทำให้เราฝึกปฏิบัติได้ช้าแล้ว มันจะมาขวาง
    เรื่องการสร้างสติและเดินปัญญาของเราครับ..และอีกอย่างถ้าเรายังฝึกต่อไป
    อีกความสามารถเราจะถูกจำกัดด้วยครับ คือเราจะสามารถใช้ได้แค่กองนั้น
    แค่กองเดียวด้วยครับ และประสิทธิภาพหรือผลในระดับที่ใช้งานได้ปกติในขณะ
    ลืมตาก็จะน้อยครับ เช่น ใช้กสิณไฟเพื่อรักษาอาการตัวร้อนปกติจะแค่ ๒ นาที
    อย่างมาก แต่ถ้าไปฝึกก่อนที่จิตจะแยกรูปแยกนามได้แล้ว อาจจะต้องใช้เวลา
    เป็นวันครับกว่าจะเกิดผล ที่สำคัญมันจะทำให้เราหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่ง
    จะขาดเรื่องของความเมตตาด้วยครับ..ออกแนวบ้าพลังงานด้วยครับ..
    และทำให้เรามีนิสัยชอบปรามาสดูถูกครูบาร์อาจารย์คนอื่นๆ ไม่เว้นทั้งฆารวาส
    และห่มเหลืองครับ.ด้วยหมายมั่นปั่นมือหรือคิดเอาเองว่าตนเองเก่งกว่าใครเพื่อนครับ.
    และนิสัยแย่ๆหลายอย่างจะตามมาด้วยครับ ที่สำคัญสังเกตุง่ายจะใจร้อนครับ.

    และสุดท้ายถ้าเราแยกรูปแยกนามได้แล้วและทราบกิริยาทางจิตต่างๆแล้ว ตลอดจนมี
    กำลังสติทางธรรมพอตัว มีปัญญาทางธรรมพอตัว ไม่จำเป็นต้องละเอียดอะไรมาก
    แล้วเรามาฝึกกรรมฐานกสิณหรือพวกที่ใช้ภาพอะไรต่างๆ เราจะใช้เวลาในการฝึก
    ไม่นานครับ และผลที่เกิดในระดับใช้งานที่เป็นประโยชน์ก็จะสูงกว่าหลายเท่าตัวครับ
    เพราะจะได้รับการสนับสนุนจากครูบาร์อาจารย์ที่มองไม่เห็นทางด้านเทคนิคคอลเทอม
    ต่างๆเป็นเหตุให้เราเข้าถึงความสำเร็จในระดับใช้งานได้จริง สัมผัสได้จริงๆไม่ว่าใครก็
    รู้สึกได้ในอนาคตไม่นานครับ หากวาระและเวลาประจวบเหมาะและการสร้างสมบารมี
    ต่างๆตลอดจนการรักษาความดีเรามีมาพอสมควรและมีความสม่ำเสมอร่วมด้วยครับ..

    ปล.พิจารณาประเด็นนี้ให้ดีๆนะครับ..ขอบคุณครับ..
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตายฮา

    เจ้าของกระทู้ อย่าไป ฟังธรรมใส่สี ตีไข่ สลับวรรคสลับตอนมาก

    จำไว้อย่างนะ " ความคิดมันก็คือจิต จิตก็คือความคิด " คำว่า " แยก ความคิด
    ออกจากจิต " มันก็ไม่ใช่ไปทำ ฌาณให้แตกกระเจิงเถิดเถิง แล้วไป นั่งโดนความ
    คิดมันแหกตาเอาว่า " แยกความคิด ออกจากจิต " โง่ๆ แบบนั้น

    ความคิด มันแยกออกจากจิตเนี่ยะ คนที่ทำ ฌาณ ต่อให้ ฌาณ8 ก็ แยกความคิด
    ออกจากจิตไม่ได้ เพราะ มันคือ ตัวเดียวกัน พวกสมาธิ เล่นฌาณ มันจะ จับไป
    กระเดียดธรรม ไปเอา ดวงบ้าดวงบอ คิดว่า นั่นคือ จิต แล้ว พอเผลอไปคิด หรือ
    เกิด สัญญามันผุด เพราะกายมันไม่ขาด สันตตติไม่ขาด ความคิด มันย่อมเกิด ก็
    เลย ด้นเด้า เดาเอาว่า ดวงๆ คือ จิต ส่วน ไอ้ที่ พูดได้ กระซิบได้ คือ ความคิด

    ตายฮา !! ใครเขาแยกรูป แยกนาม แบบนั้น นั่นแหละ ด้น เด้า เดา เอาล้วนๆ

    ไปจับโน้น จับนี่ มาเทียบเอา

    การ แยกตัวความคิด กับ จิต มันจะต้องมี ไตรลักษณ์ญาณ เข้ามาจับ เขามาสัมปยุต
    จนทำให้ รู้ชัดว่า จิตมันรู้ได้ทีละอารมณ์ จิตไปรู้ดวงบ้าดวงบอ นั่นคือ จิตมันส่งออก
    ไปรู้ดวงบ้าดวงบอ หนึ่งขณะ แล้ว ดับ พอดับ ความที่ สันตตติไม่ขาด จิตมันก็คิด

    ไอ้ตอนจิตมันคิด พอมันคิดจบ มันก็ดับ สลับแส่ส่ายออกไปรู้ดวงบ้าดวงบอ

    ทีนี้ หากไม่เคยภาวนา แยกรูป แยกนาม ไม่เคย รู้เรื่อง ไตรลักษณ์ญาณสัมปยุติ
    กับจิตมันเป็นยังไง มันก็เลยเกิด " สัญญาวิปลาส " กลายเป็น สัตว์ที่ยังไม่ตื่น
    ยังจมความคิด ความฝัน การเห็นดวงบ้า ดวงบอ คิดว่า มันมีของมันต่อเนื่อง

    ความที่ สัญญาวิปลาส เป็น สัตว์สัญญาเสีย เห็นไตลักษณ์ในสัญญาไม่ได้ มันก็
    เอาสิ มันจะเลือกข้าง เห็นอะไรเที่ยง ก็ กระโดดงับนั่นคือ จิต เรือหาย โง่บานลาย

    กลายเป็น นักธรรมใส่สีตีไข่ เก่งฌาณ แต่ เข้ามาพูดโน้นนั่นนี่ เป็นล้านกระทู้ ต่อวัน
    แสนกกระทู้ ต่อนาที เก่งคิด แทน กสิณ ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพราะ สัญญามันเสีย
    คือ เห็น สัญญาแสดงความไม่เที่ยง ดับไป ไม่เป็น

    ถ้าเป็นนะ ความคิดมันดับ ไปรู้แสง แสงดับ ไปต่อยหอย ต่อยหอยเสร็จ ไปกิน กิน
    เสร็จไปนั่งขี้ ขี้เสร้จไปหา.....กระทูปี้สีใส่วรรค ขยะทั้งนั้น

    ใส่มากๆเข้า คิดว่า เก่งกสิณ โน้น ไปเพ่งธาตุน้ำในคน ใครขัดขวางกู อันตรายนะ
    เดี๋ยวก็เพ่ง น้ำในตัวคนให้แข็ง เดี๋ยวขยับนู้นขยับนี้ทำให้ ชีวิตต้องถึงกับอาสัญได้

    บ้าไปแล้ว ไม่ได้รู้เรื่อง กฏแห่งกรรม แล้ว .... ภาวนา แผ่เมตตา แต่ ขู่ฟ่อๆ ไปเรื่อย
    เปื่อยอย่างคน เสียสติ ไม่รู้ กฏแห่งกรรม ไม่รู้ กฏอิทัปจัยยตา สำคัญตนว่า เป็นจ้าว
    เหนือกว่า กรรม

    ไปเที่ยวนั่งคิด ทำโน้น ทำนี้ ใส่ ตัวผู้อื่น มันก็มี อยู่ไม่กี่อย่าง ที่พวก ฌาณ แฌณ
    แบบนี้มันจะเข้าไปเกิด ในท้องคน ....

    ที่น่ากลัวที่สุดคือ ไปเกิดเป็น พยาธิ ......

    พวกมาร มัน ฮา นะ มันคิดว่า มันใหญ่กว่ากรรม มันเล่นกสิณได้ มันทำร้ายคน
    ได้ แล้วมันก็เพ่ง ...................

    โง่บานลาย อยู่ดีๆไม่ว่าดี ทะลึ่ง ไปสร้างเหตุให้ เกิดเป็น พยาธิ ฌาณแฌณ
    ไม่ได้ทำให้ ฉลาดเลย สักนิด !!!

    ****************

    อิทธิฤทธิ์ แพ้ บุญ ( ฤทธิ์ ) หมา หากมันมี บุญ มากกว่า นักเล่นฌาณ นักกสิณ นักกศิณ ก็ แพ้ หมา หน่าคร้าบ

    บุญ ฤทธิ แพ้ กรรม ..... กรรม หากมัน จะส่งผลถึงส่วนขันธ์ ต่อให้เป็น พระสัพพัญญู ขันธ์ก็หนี กรรม ไม่ได้

    ***************

    พระพุทธองค์ ตรัสว่า จิตนั้นบังคับบัญชาไม่ได้ หากบังคับบัญชาได้แล้ว
    ด้วย ความเป็นพระสัพพัญญู ก็คงสามาร ถ กำหนดให้ ทุกรูป นาม ทั่วแสน
    จักรวาล ให้ได้นิพพาน กันหมด

    แต่นี่ เพราะ จิต บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ละ คนจึง ต้อง เฝ้นธรรมเอาเอง
    ฟังธรรม ที่ถูกต้องเอาเอง ฝึกเอง รู้เอง อย่า ไปให้ ใครใส่สีตีไข่ เก่งกว่า พระศาสดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2014
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แยกรูป แยกนาม เนี่ยะ

    มันคือ รู้ว่า จิตมันรู้ได้ที่ละอารมณ์ ทีละทวาร รู้ทวารไหน ดับ ทวารนั้น

    ความคิดเป็นจิตที่เกิดทางมโนทวาร มันเกิด แล้ว ก็ดับ ที่ทวารนั้น แล้ว
    ไปขึ้นวิถีอื่น ทวารอื่น หรือ ซ้ำทวารเดิม โดยที่ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้

    การหน่วงเหนี่ยวนั้น มันจะทำให้เกิด ฉันทะ หรือ กามฉันทะ ธรรมทั้งหลาย
    มันจึงเกิด ธรรมทั้งหลายมี ฉันทะเป็นรากเง้า

    แต่ ไอ้ฉันทะก็ดี กามฉันทะ ก็ดี มันเป็น ของเกิด ดับ คนโง่ ไม่คยยกสิกขา
    เท่านั้น ที่จะติดคิดไม่เลิกว่า " ตัวเองบังคับบัญชา จิตได้ "

    ทีนี้ พอจิตมันก็เกิดจากอำนาจฉันทะ ราคะ ตัณหา ...มันก็จะเกิด คำถาม
    ว่า หากละตัณหา แล้ว จะเหลืออะไร

    แป่วๆๆๆๆๆ

    สังเกตดีๆ นะ ว่า อะไรมันเกิด อะไรมัน กระโดดขย่ม คนที่ถาม แบบนั้น
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ข้อสังเกตุ

    ไตรลักษณ์ญาณสัมปยุต นั้น จะใช้ แค่ สอง สาม ขณะ จิต ในการแจ้งว่า ตน
    ได้ยกสิกขา เห็นไตรลักษณ์ ได้หรือไม่ได้ [ ดีดนิ้วดังเปาะ ขณะจิตเกิดดับ แสนโกฏิ
    ดังนั้น สองสาม ขณะจิต มันจึงไม่มาก ไม่ใช่ทั้งคืน ไม่ใช่ตอนไหนก็ได้ กูทำได้ ]

    ซึ่งการ ยกสิกขาเห็น ไตรลักษณ์ได้ สังสารวัฏ จะต้อง คว้ำลง ภาษาโบราณ
    เรียกว่าล่วงส่วนถ้า คว่ำได้แจ่มๆ ก็จะ พ้นความเป็น ปุถุชน กันไป

    ทีนี้

    พวก ไตรลักษณ์ญาณ ของ นักคิด สำเร็จเจโตสมาธิแต่เป็นเพียงนักคิด
    มันจะสำคัญว่า ไตรลักษณ์ญาณเนี่ยะ ตนรู้ ตนเห็น ตนทำให้มันปรากฏ
    ได้ทั้งวัน ทั้งคืน เจ็ดวัน เจ็ดคืน เห็นตอนนี้ก็ได้ ......เนี่ยะ ภาษาพระ
    เขาเรียกว่า คิดเอาด้นเด้า เดา ธรรม

    ไตรลักษณ์ญาณของนักคิด จะเกิด จากการ ดล บันดาล ทำขึ้น

    ไตรลักษณ์ญาณของบัณฑิตแท้ๆ ใส่ใจในธรรม ใส่ใจจริง ไม่ได้เข้ามา
    เพื่อขโมยธรรม ไตรลักษณืญาณ จะเป็น อนัตตาธรรม ไม่ได้อยู่ในอำนาจ
    หมาตัวไหน เด็ดขาด
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ดังนั้น คำว่า ดับ ดับ ดับ

    ภาษาไทยเนี่ยะ ดับ แบบดับไฟ

    ภาษาของบัณฑิต มันก็ ปรากฏของมันตามปรกติ แต่ รู้เฉพาะตน ชัดเจน
    ในคำว่า ดับ นั้น มันเป็นอย่างไรกันแน่ พ้นสามัญมนุษย์ จะเข้าใจ ด้น เด้า
    เดา เอา
     
  9. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะค่ะ


    การกำหนดลหายใจ ตลอดวันนี่ดีเนอะ ทำให้สมาธินิ่งเร็ว แต่แปลกใจตรงที่ ทำไมเวลาตื่นนอนมันจะรู้ว่า หายใจเข้าหรือออกแล้วก็พองหนอ ยุบอ มันจะมาเองเลยย แปลกดี หรือว่ามันเคยชินก็ไม่รู้ ใครรู้บ้างค่ะ​
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    จะถามทำไม ซ้ำๆ

    เราไม่ได้ ปฏิบัติ เพื่อเป็น อะไร เอาอะไร ตื่นมาจิตไปรู้อะไร จิตไปทำอะไร

    จะตื่นมา จะออกจากสมาธิ อยู่ในสมาธิ หรือ อยู่ในภวังค์ ไหนๆ
    แล้วจะได้อะไรมา เสียอะไรไป มันชินอะไร มันก็ เรื่อง โหล้ยโถ้ย ที่
    จิตมันเอามาหลอก มาแหกตา ให้ยินดี ยินร้าย

    คนฉลาดๆ เขาจะกำหนดเห็น ความยินดี ยินร้าย หิวธรรม แสดงความเกิด ดับ
    ขึ้นอีกชั้นหนึ่ง จึงจะ พอปรารภได้ว่า สติเป็นไฉน สัมปชัญญะเป็นไฉน

    แล้วก็ ฝึกต่อ จนเข้าใจ ไม่ว่าจะอะไร มันก็ ของหลอกเด็ก ของแหกตา
    ทั้งหมด

    กำหนดรู้แล้วได้อะไร ได้ สติธรรม สัมปชัญญะธรรม จะกลายเป็น
    คนที่มีประโยชน์ต่อโลกมาก ตามวาสนา

    ต่อให้ หลับอยู่ จิตก็ชินกับการภาวนา มันก็แค่ ฉันทะมันเกิด มันดับ ให้ดู
    ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

    ดูฉันทะปราณิตเกิด ดับเป็น ฉันทะในธรรมหยาบ ก็ไม่ต้องกล่าวถึง

    มีชีวิตที่ตื่น ลาดลุ่ม ไปสู่ ............... โดยไม่ต้อง สงสัย ไม่ต้อง
    ไปนั่งตั้งท่า อวดอ้าง วิธีการจุมปุ๊ก

    อกุศลาก็ยกเป็นธรรมมาได้ หากภาวนาเป็น










    " ใส่ใจธรรม ให้ดีๆ ไม่ต้องไป ไล่คว้าฟังเอาข้างนอก "
     
  11. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ขอบคุณค่ะ
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
    ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

    จิตไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่จิต



    หลวงพ่อสงบ เทศน์ไว้ชัดเจนครับ ^^



    ww.sa-ngob.com/content_show.php?content=181

    ww.sa-ngob.com/content_show.php?content=159

    ww.sa-ngob.com/content_show.php?content=3313

    ww.sa-ngob.com/content_show.php?content=509


    อื่นๆ ใช้ อีกมากมาย หาลิ้งฟังอ่านดูด้วยตัวเองได้คับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2014
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กั๊กๆ

    เนี่ยะ เจ้าของกระทู้ ดูไว้อีกพวก พวก เซเบลอ เน้น เรื่อง พระกัดกัน คืองานของมัน


    สังเกตนะ

    คนใดก็ตาม จะกล่าวว่า จิตคือความคิด หรือ จิตไม่ใช่ความคิด

    หาก ฟังเอา ธรรมแบบ หมากัดกัน มัน จะ กระโดด งับ เอาแต่ คำเหล่านี้ ตามปรากฏ

    แต่ ในเรื่อง มุขนัยของ นักปฏิบัติ เขาจะดูต่อว่า กล่าวกันถึง สิ่ง เกิด ดับ หรือเปล่า

    ถ้า เขายกบัญญัติอะไรก็ตาม แม้นจะ นิมิตก็ตาม หรือ พระฉายของพระสัพพัญญู
    ปรากฏก็ตาม

    หากเขา กล่าวต่อ ถึง ความเกิด ความดับ อันนี้ เขาจะ ทราบทันทีว่า มันเป็นเพียง
    มุขนัย ที่ใช่กล่าวนำ ตาม ธรรมฉันทะ ที่ปรากฏ ของนักภาวนานั้นๆ เพื่อ ต่อยอด
    พาไปเห็น อีกสิ่ง จูง หรือ ชี้ ให้ ทำการเห็น อีกสิ่ง

    ดังนั้น

    จะกล่าวว่า จิตเกิดดับ ความคิดเกิดดับ เห็นพระพุทธเจ้าให้ฆ่าทิ้งเสีย เนี่ยะ
    มันเป็นเรื่อง มุขนัย ที่ พยายามบอกว่า ให้กำหนดรู้ทุกข์บางประการ เพื่อ
    ฝึก เพื่อหัด

    แต่ไอ้พวก ไม่ปฏิบัติ ฟังธรรมไม่เป็น เน้น หมากัดกัน มันก็ ทำเป็นเก่ง ยกนั่น
    แย้งนี้ แล้ว คุณธรรมมันก็ไม่ได้ไปไหน วนเวียนอยู่แค่เรื่อง หมากัดกัน



    หมากัดกัน เป็นคำพระ ใช้อนุโลมตาม หลวงตามมหาบัว
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    หนังสือเรื่องหลวงปู่ฝากไว้ของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล


    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ


    [​IMG]

    [​IMG]



    สรุปสั้นๆเพื่อบางคนอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าผิดพลาดก็ขออภัย มีภูมิเท่านี้ครับ

    ความคิดเป็นแค่อาการของจิต ความคิดที่ส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัย

    หลวงปู่ดูลย์ เทศน์ไว้ชัดเจนครับ หวังว่าคงเคยได้ยินได้ฟังได้อ่านมาบ้างนะคับ

    ดังนั้น ผมเชื่อ ครูบาอาจารย์ ครับ ^^


    .


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2014
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่างเทศนา หลวงพ่อสงบ ท่านก็จะ ให้ พิจารณา จิตไม่เกิด ไม่ดับ
    ตามคำสอนของ พระ ยุดก่อนๆ

    แต่ พอภูมิธรรมได้ที่ มีวินัย เรียกว่า พอจะตาย ไม่ทิ้งบริกรรมแน่นอน
    แน หรือ ตื่นนอนมา จิตไม่ลืมการภาวนาแน่ ท่านก็ กล่าวสอนธรรมที่
    ยิ่งๆ ขึ้นไป

    ไม่เชื่อลองไป หาเทศนา ในเว็บ หลวงพ่อสงบ ไม่กี่วันมานี้ ท่านเน้น
    เรื่อง

    จิตพระอรหันต์จะต้อง ดับสนิท ดับสนิเทลยนะ

    แล้ว ท่านก็ยกตัวอย่าง หลวงตามหาบัวว่า จิตท่านดับสนิท

    แต่ ความดับสนิทนั้น ทำประโยชน์มหาศาลได้ ยังเป็น ต้นธาตุนำ ผ่าป่าช่วยชาติ
    ได้ ทั้งที่ จิตดับสนิทโดยตลอด

    เนี่ยะ ดับ ดับ ดับ จิต ต้องดับ แต่ ดับอย่างไร ................


    อย่าไปฟังแบบ จับบัญญัติ ค่อยๆ ฝึก เพียรเข้ามา มันก็ เข้าถึงได้ ไม่ยากหรอก
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กั๊กๆ เน้น พระกัด กัน อีกแว้ว

    แต่ แน่ใจนะ ว่า เขาเขียน " ความคิดที่ส่งออก "

    อนุญาติให้ดึงเบรคมือ เหยียบครัด กดคันเร่ง แล้วปล่อยให้ หมุน หมุน หมุน อยู่ ที่เดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2014
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แหม่ ใจเย็นๆ เอาทีละเรื่อง จบเรื่องนั้น มาต่อเรื่องนี้ ผมใช้ google ตัดแปะ ไม่ทัน นะ ^^
    อย่าคิดว่า ข้อมูลที่ผม ตัดแปะ นี่ ได้มาง่ายๆ นะ แต่ละเรื่องนี่ ใช้เวลาหาข้ามวันเลยก็มี เพียงแต่ว่าเห็นว่าโพสต์ง่ายๆก็เท่านั้น แต่ความจริงกว่าจะหามาโพสต์ได้ นี่ เพลีย อิอิ

    คุณอยากจะโพสต์ อะไรก็ตามสบายๆ

    เพียงแต่บอกไว้ก่อนนะคับ ผมไม่ได้ มาหาเรื่อง หรือ จับผิดใคร เพียงแต่ว่า ถ้าผมเห็นว่าไม่ตรงตามที่ ครูบาอาจารย์สอน หรือที่ผมเข้าใจมา


    ผมก็จะยกข้อมูล คำเทศน์สอน มาให้ พิจารณาดู ครับ ก็แค่นั้นละ ไม่มีอะไรมาก ^^



    ลองอ่านดูครับ

    มาบอกว่าหลวงพ่อสงบ เทศน์สอนว่า จิตดับ ๆ นี่ ถ้าเข้าใจเพียงแค่นี้แสดงว่า ฟังเทศน์หลวงพ่อ ไม่รู้เรื่องเองมากกว่า

    เดี่ยวผมไปหามาก่อนนะ ใช้ google นี่ละ

    หลวงพ่อสงบเทศน์สอนไว้ จิตไม่เคยดับ หึๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2014
  18. THE_NOP

    THE_NOP Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +33
    ขอขอบคุณจขกทน่ะครับที่ให้โอกาส
    ที่ผมถามไปนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้
    จขกท ไข้วเขวหรือสับสนใดๆน่ะครับเพียงแต่ผมสงสัย
    ในสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับผมเท่านั้น(เพราะ
    ยังเป็นปุถุชน)ขอบคุณทุกคำตอบ ขอขอบคุณจากใจจริง
    ทุกวันนี้ก็พยายามรักษาศีล5ให้บริสุทธิ์ อาจจะมีศีล ทะลุ ด่าง พร้อย ไปบ้างครับ
    และใช้นอนภาวนาเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีโอกาสจึงจะได้นั่งครับ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็แล้ว จะ เก่ง เพียงแค่เรื่อง แบบนี้ เหรอครับ

    เห็น คำไหน ไม่ตรงกัน ก็ยก อันนั้น มาแย้ง อันนี้ ครูคนนั้น ไม่ตรงคนนี้
    ก็ ขยัน ทำความสับสน ให้เกิดขึ้น

    ทั้งที่ คำมันต่าง แต่ มุขนัย ที่พาไปเห็น ไตรลักษณ์ มันอันเดียวกัน

    มรรคมี หนึ่งเดียว

    มรรคหยาบ ฆ่ามรรคละเอียด มรระละเอียดฆ่ามรรคผราณีต
    มรรคปราณีต ฆ่า มรรคที่เป็นสุญญาตา (มีหนึ่งเดียว)

    ดังนั้น

    จะ คำแปลก แตกต่างแค่ไหน หากมัน ลงที่ เกิด ดับ ไตรลักษณ์ หรือ สุญญตา

    มันก็ อันเดียวกัน ทางเดียวกัน

    คนหนา หลงบัญญัติ ไม่ฉลาดในประโยชน์ ไม่รู้ในประโยชน์ มันก็เห็นว่า ต่าง อย่างคน องค์กรอิสระ ไปวันๆ
     
  20. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    สภาวธรรม มีหลากหลาย คงไม่เหมือนกันเปะๆ หรอกครับ

    ตามที่เล่าข้อ 2 เป็นนิมิต (เครื่องหมาย) ที่บ่งว่าจิตเริ่มเป็นสมาธิ (ขั้นเริ่ม) แล้ว

    คุณ NOP เดินทาง (ทางจิต) ถึงตรงนั้นแล้วหยุดภาวนา จิตก็ลดคุณภาพลง

    แต่ถ้าวันใดคุณเริ่มปฏิบัติอย่างเคยปฏิบัติอีก มันก็เดินทางถึงตรงที่ติดนั้นอีก ไม่เชื่อลองภาวนาติดต่อกันดูสักสองอาทิตย์สิครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...