นั่งสมาธิแล้วไม่หายใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Pei-panwad, 23 ตุลาคม 2014.

  1. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    นี่ด้วยค่ะ
    อันนี้เป็นข้อความที่ จขกท เพิ่มบริบทเพื่อจะได้ให้ทุกคนวิจารญ์ได้เพิ่มขึ้นน่ะค่ะ"ขอปรับปรุงข้อความนะคะ


    "คืออยากทราบว่า นั่งสมาธิไปเรื่อยๆเกิดอาการฟุ้งซ่าน พยายามกำหนดคิดหนอ จนเริ่มอยู่ตัว ต่อมามีอาการรู้สึกเหมือนตัวเองลอยได้ รู้สึกว่าตัวเองตัวโตมาก แล้วค่อยๆยุบจนเล็กมาก เป็นแบบนี้ไปเรื่อยแล้วอาการก็ค่อยๆหายไปแล้วเกิดอาการนิ่งๆเฉยๆมีอาการสว่างสงบแต่ ลมหายใจเริ่มแผ่วลงๆจนไม่มีลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาหาย ไม่รู้สึกถึงสภาวะนอกร่างกายไม่ได้ยินเสียงใดๆ สักแปบเลยตกใจแล้วเหมือนควานหาลมหายใจแล้วลมหายใจก็ค่อยๆกลับมาแล้วต้องทำอย่างไรต่อค่ะ วอนผู้รู้แนะนำค่ะ"


    คุณ Saber เชื่อว่า จขกท เนี่ยจิตฟุ้งซ่าน คือแว้บออกไปคิดเรื่องข้างนอกหลอค่ะ พอมีอะไรมากระทบจิตเลยรีบวิ่งมาทำให้เกิดอาการตกใจ แต่เจ้าของกระทู้มั่นใจน่ะค่ะว่า ก่อนที่จะมีอาการแบบที่ตั้งกระทู้เนี่ย จขกท ไม่ได้คิดอะไรเลยเหมือนกับจิตมันเริ่มอชื่องละ แม้แต่เกิดแค่ภาพในขณะนั่งสมาธิก็ไม่มีเลยเป็นระยะเวลาค่อนข้างนานด้วย แล้วจิตมันจะออกไปข้างนอกตอนไหนละคะและยังรวมตอนที่มีสภาวะแบบที่ตั้งกระทู้ด้วยค่ะ ในเมื่อจิตอยู่แต่คำภาวนานะคะแม้ไม่มีคำภาวนาก็ไม่ได้ปล่อยให้จิตไปคิดเรื่องอื่นก้ยังดูสภาวะ ณ ตอนนั้นอยู่ แล้วก็ตอนที่ควานลมหายใจเนี่ย จขกท ไม่ได้ตกใจแบบวูบ หรือ วืด เหมือนตอนหลับนะคะเพราะตอนสมัยฝึกใหม่มันเคยหลับคะพอจะรู้อาการ มันค่อยเป็นค่อยไปจนไม่มีค่ะ
    หลังจากนั้นก็หาลมหายใจจนพบก็ภาวนาต่อและเริ่มรู้สึกตัวค่ะและในขะรู้สึกตัวจิตก็ยังไม่คิดอะไร หรือนึกเห็นภาพอะไรอีกระยะ จนเริ่มออกจากการนั่งสมาธิมันถึงกลับมาเป็นปกตินะคะ คืองงนะคะ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819



    [FONT=&quot]ตอบเท่าที่ผมตอบได้นะ [/FONT]^^

    [FONT=&quot]จิตออกไปจากฐาน ฐานคำภาวนายังไงละครับ [/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อ คุณไม่ได้มีสติอยู่กับคำภาวนา เคลื่อนออกไปจากคำภาวนา อย่างนี้เรียกว่าอะไรครับ[/FONT]

    [FONT=&quot]แล้ว การที่ไปรับรู้อารมณ์สิ่งกระทบจากข้างนอก อย่างนี้เรียกว่าอะไรครับ เรียกว่า เอาจิตไปเสวยอารมณ์ สัญญา ไปจับสัญญา อารมณ์อื่นเข้ามาใช่ไหมครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    คำภาวนาคืออะไรครับ ก็คือ วิตก วิจาร [/FONT]


    [FONT=&quot] แล้วในเมื่อ ตัวคุณยัง วิตก วิจาร สิ่งต่างๆนาๆ ที่เกิดขึ้นได้ แล้วคำภาวนามันจะหายไปได้อย่างไร ก็เพราะว่าไม่ได้ภาวนาด้วยตัวเอง ปล่อยคำภาวนาเองหรือป่าวโดยที่ไม่รู้ตัวหรือป่าวครับ แล้วก็เข้าใจว่าคำภาวนาหายไป [/FONT]?


    [FONT=&quot]ลองเทียบตำรากรรมฐาน ดูได้ครับ สมาธิที่ไม่มีคำภาวนา มีสอง คือ ฌานสอง ขึ้นไป เพราะ วิตก วิจาร ไม่มีในองค์ของสมาธิฌาน[/FONT]ทุติยฌาน[FONT=&quot]นั้นเองคับ[/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้นจะให้ผมพูดตรงๆเลย ก็คือ เป็นไปไม่ได้ ที่ คำภาวนาหาย ทั้งๆที่ไม่ได้เข้า ทุติยฌาน นั้นเองครับ[/FONT]


    [FONT=&quot]ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ ก็จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนั้นเองครับ[/FONT]


    ลองถามครูบาอาจารย์ได้ครับ ทุติยฌาน มีคำภาวนาไหม ^^

    ในเมื่อเข้าใจตรงกัน ทีนี้ จขกท อยากรู้ อยากเทียบอารมณ์สมาธิ ก็เทียบได้ครับ ว่าที่เป็นอยู่นั้นไล่จากสูงลงมาก็คือ


    1.คำภาวนาหายไปเป็น ทุติยฌาน หรือไม่ ก็ต้องไปดูองค์ฌานของ ทุติยฌาน ก็คือ

    อารมณ์ทุติยฌานมี ๓

    ๑. ปีติ ความเอิบอิ่มใจ
    ๒. สุข ความสุขอย่างประณีต
    ๓. เอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง


    ในเมื่อ ในองค์สมาธิทุติยฌาน มีแค่ 3 แล้วที่ จขกท บอกว่า ในเมื่อจิตอยู่แต่คำภาวนานะคะแม้ไม่มีคำภาวนาก็ไม่ได้ปล่อยให้จิตไปคิด เรื่องอื่นก้ยังดูสภาวะ ณ ตอนนั้นอยู่

    ดังนั้น มันจริงเป็นไปไม่ได้ โดนเด็ดขาด นั้นเองครับ
    ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ที่คำภาวนาจะหาย โดยที่ยังวิตกจาร ได้อยู่นั้นเองครับ

    พอเข้าใจไหมครับ ^^


    2.ทีนี้ในเมื่อ ทุติยฌาน ไม่ใช่ ก็ไล่ไป ปฐมฌาน ต่อ
    ปฐมฌาน มี องค์ 5 คือ

    ๑. วิตก
    ๒. วิจาร
    ๓. ปีติ
    ๔. สุข
    ๕. เอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ทรงวิตก วิจาร ปีติ สุข ไว้ได้โดยไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามา
    แทรกแซง

    ก็จะเห็นว่า สิ่งที่ จขกท เล่ามานั้น ไม่มีสิ่งไหนที่บอกเลยว่า กำลังทรงอารมณ์ ปฐมฌาน อยู่นั้นเองครับ

    เพราะแค่ปฐมฌาน มันก็แยก กายกับจิต ออกจากกัน ไม่ไปเสวยอารมณ์ของกาย ร่างกายหยาบ นั้นเองคับ อันนี้ไม่พูดมาก ลองอ่านคำสอนของครูบาอาจารย์ ครับ


    .

    ถ้าผมอธิบายเรื่องไหนไม่เข้าใจก็ถามมาได้ครับ เพื่อบางทีผมใช้คำพูดแบบผมบอกไป แล้วไม่เข้าใจก็บอกได้นะครับ ^^

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  3. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78

    อ๋อ พอจะเข้าใจละ คุณSaber คิดว่า จขกท โกหกจริงๆแล้วสติยังอ่อนอยู่เลยจับคำภาวนาไม่ทัน แต่ปล่อยเอง เผลอเอง หรือไม่ก้ตั้งใจไมม่ภาวนาถูกมั้ยค่ะ แล้วคิดไปเองว่าคำภาวนาหาย และอาจจะลืมแม้กระทั่งการหายใจด้วย และวิธีที่ถูกของคุณคือ
    ให้จิตอยู่กับภาวนาอย่างเดียวห้ามหลุด ห้ามหาย และห้ามหยุดหายใจด้วย แม้ว่าจะเกิดเองโดยไม่ได้บังคับถูกมั้ยค่ะ



    คือตอบด้วยความสัตย์จริงนะคะ จขกท งงกับคุณจังเลย คือขณะพิมพ์นี่ไม่ได้โกรธคุณเลยนะคะ
    เพียงแต่สงสัยว่า คุณพูดเหมือนกับว่าคุณมานั่งปฏิบัติเองนะคะ ซึ่ง จขกท อยากบอกว่า มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดค่ะ แต่มันอธิบายยาก
    คือ จขกท ไม่ได้สนใจหลอกนะคะ ว่ามันจะอยู่ขั้นไหนอะไรยังไง และที่มั่นใจแน่ๆคือ จิตไม่ได้หลุดจากภาวนาเลยค่ะ และไม่ได้ไปจับอารมณ์อื่นด้วย
    แต่ที่ จขกท แปลกใจคือสิ่งที่คุณพูดมามันไม่ตรงงกับอารมณ์ ณ ตอนนั้นที่ จขกท เป็นนะคะ รู้สึกราวกับว่าคุณกำลังยัดเยียดอะไรซักอย่างให้ จขกท ว่าต้องเป็นแบบนี้ๆนะ ซึ่ง จขกท ขอบคุณคุณมากนะคะที่มาแสดงความคิดเห็นและCopy ข้อมูลดีๆมาให้นะคะ แต่อยากได้คำแนะนำจากข้อมูลผู้ปฏิบัติจริงๆนะคะ เพราะ จขกท ปฏิบัติทุกวัน
    จะได้ไปต่อได้ ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ในเมื่อเข้าใจตรงกัน ทีนี้ จขกท อยากรู้ อยากเทียบอารมณ์สมาธิ ก็เทียบได้ครับ ว่าที่เป็นอยู่นั้นไล่จากสูงลงมาก็คือ


    1.คำภาวนาหายไปเป็น ทุติยฌาน หรือไม่ ก็ต้องไปดูองค์ฌานของ ทุติยฌาน ก็คือ

    อารมณ์ทุติยฌานมี ๓

    ๑. ปีติ ความเอิบอิ่มใจ
    ๒. สุข ความสุขอย่างประณีต
    ๓. เอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง


    ในเมื่อ ในองค์สมาธิทุติยฌาน มีแค่ 3 แล้วที่ จขกท บอกว่า ในเมื่อจิตอยู่แต่คำภาวนานะคะแม้ไม่มีคำภาวนาก็ไม่ได้ปล่อยให้จิตไปคิด เรื่องอื่นก้ยังดูสภาวะ ณ ตอนนั้นอยู่

    ดังนั้น มันจริงเป็นไปไม่ได้ โดนเด็ดขาด นั้นเองครับ เพราะองค์ประกอบ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ที่คำภาวนาจะหาย โดยที่ยังวิตกจาร ได้อยู่นั้นเองครับ

    พอเข้าใจไหมครับ ^^


    2.ทีนี้ในเมื่อ ทุติยฌาน ไม่ใช่ ก็ไล่ไป ปฐมฌาน ต่อ
    ปฐมฌาน มี องค์ 5 คือ

    ๑. วิตก
    ๒. วิจาร
    ๓. ปีติ
    ๔. สุข
    ๕. เอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ทรงวิตก วิจาร ปีติ สุข ไว้ได้โดยไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามา
    แทรกแซง

    ก็จะเห็นว่า สิ่งที่ จขกท เล่ามานั้น ไม่มีสิ่งไหนที่บอกเลยว่า กำลังทรงอารมณ์ ปฐมฌาน อยู่นั้นเองครับ

    เพราะแค่ปฐมฌาน มันก็แยก กายกับจิต ออกจากกัน ไม่ไปเสวยอารมณ์ของกาย ร่างกายหยาบ นั้นเองคับ อันนี้ไม่พูดมาก ลองอ่านคำสอนของครูบาอาจารย์ ครับ


    .

    ถ้าผมอธิบายเรื่องไหนไม่เข้าใจก็ถามมาได้ครับ เพื่อบางทีผมใช้คำพูดแบบผมบอกไป แล้วไม่เข้าใจก็บอกได้นะครับ ^^
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ผมไม่เคยคิดว่า จขกท โกหก นะครับ เพียงแต่ว่า บอกเล่าอาการตามความเป็นจริงที่ได้เคยอ่าน เคยฟังมา ^^

    แต่บางที คำพูดของผมอาจพูดตรงๆไป ไม่เหมือนคนอื่น นะครับ

    ผมก็บอกตามความที่ผมเคยฟังเคยอ่านมาให้ จขกท ไว้ พิจารณาดู เท่านั้นละครับ


    เทียบกับหนังสือวิสุทธิมรรค เทียบกับพระไตรปิฏก เทียบกับตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุง แหกคอกไปเมื่อไรก็เลิกเชื่อ

    ถาม : เดี๋ยวนี้มีการบอกว่ามีครูบาอาจารย์มาสอนในนิมิต เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือไม่จริง ?
    ตอบ : เทียบกับหนังสือวิสุทธิมรรค เทียบกับพระไตรปิฏก เทียบกับตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุง แหกคอกไปเมื่อไรก็เลิกเชื่อ เมื่อครู่โยมก็เพิ่งจะถามเรื่องวิริยาธิกะพิเศษ ขนาดเรื่องนี้ยังไม่มีในพระไตรปิฎกเลย แต่ว่าอรรถกถาพุทธวงศ์ท่านเขียนเอาไว้ เขาถึงได้แยกประเภทเอาผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณมาเป็น ๓ ประเภท

    แสดงว่าระดับพระพุทธเจ้ายังไม่สอนเลย เพราะทราบว่าคนจะเอาไปทะเลาะกัน อรรถกถาจารย์ท่านทราบก็อธิบายเพิ่มเติมมา พวกเราดันมีคนเก่งกว่า อธิบายเพิ่มขึ้นมาอีก

    เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ไม่ตรงกับวิสุทธิมรรค หรือไม่ตรงกับตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ละไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งเชื่อ ต่อให้ตรงเลยก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะบางทีเท่าที่เจอมา เขาบอกตรงตั้ง ๘๐ - ๙๐% แล้วมาหลอกไว้ตอนท้ายนิดเดียว ทำให้เกิดผลก่อนแล้วค่อยเชื่อ แต่ผลนั้นก็เชื่อไม่ได้ เพราะหลายครั้งเขาเป็นคนทำให้ผลนั้นเกิดเอง พอถึงเวลาเขาถอนกำลังคืน เราก็กลายเป็นหมาเหมือนเดิม..!



    อ้างอิง...เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕
    พระครูวิลาสกาญจนธรรม (หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เรื่องคำภาวนาหาย นั้น ผมบอกตามองค์ประกอบของสมาธิ ของฌาน ให้เข้าใจครับ ว่า คำภาวนาไม่มีได้ ก็ต้องเพราะด้วยองค์ในสมาธิ ในฌานสอง ขึ้นไปครับ

    ส่วนเรื่องการหายใจนั้น ผมไม่ได้บอกว่าห้ามหยุดหายใจอะไรทั้งนั้นครับ

    ปฏิบัติไป ลงไป ไม่หายใจ ก็ให้ตั้งสติ รับรู้ว่าไม่หายใจ ไม่ต้องไปกลัว กังวลใดๆ ครับ ^^

    เพราะผลของการปฏิบัติ สายอานาปานสติ การหยุดหายใจ ร่างกายไม่หายใจก็เพราะผลของการปฏิบัติ ที่จิตเริ่มสงบ กายเริ่มสงบลงไปนั้นเองครับ

    เพราะอะไรจะเกิด จะไม่หายใจ เรามีหน้าที่ภาวนา อาการต่างๆเหมือนอย่างที่หลายๆท่านบอกว่า ให้รับรู้แล้วปล่อยวาง ไปตามสภาวะธรรม ในขั้นตอนของมันเองครับ


    อาการปรกติของ สาย อานาปานสติ ครับ

    เมื่อปฏิบัติไปถึงจุดนึง จิตเริ่มสงบ หายใจเหมือนไม่หายใจ ครับ

    ไม่ต้องตกใจ ไม่ตายหรอกครับ

    ให้สักแต่ว่า รับรู้ ไม่ต้องกังวลใดๆ จิต อยู่กับคำภาวนาในกรรมฐาน ครับ

    แล้วจะผ่านตรงนี้ไปได้ กายส่วนกาย จิตส่วน จิต ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เป็นสภาวะของฌาน 4 ค่ะ อาตนะหกปิด จิตไม่รับรู้สภาวะธรรมภายนอก ลมหายใจเหมือนไม่มี เพราะมันละเอียดมากจนจับไม่ได้ คราวหน้าไม่ต้องกลัวนะคะ ให้อธิษฐานแล้วถอยฌานลงมาอธิษฐานกำกับอีกครั้ง แล้วเดินจิตเข้าฌานสี่อีกครั้ง จะปรากฏเรื่องที่อธิษฐานไว้ค่ะ นี่เป็นการใช้ฤทธิ์จากฌานค่ะ เอาจิตวางไว้ที่กึ่งกลางหน้าผากเหนือคิ้ว ก็จะถอดจิตได้ค่ะ ยังมีอะไรอีกมากมาย แต่เบื้องต้นขอบอกแค่นี้นะคะ

    แต่ถ้าไม่ต้องการใช้ฤทธิ์ ให้ยกข้อธรรมข้อใดข้อหนึ่งขึ้นมาพิจารณาค่ะ การพิจารณาให้พิจารณาลงไตรลักษณ์ หรือพิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ของสภาพธรรมต่างๆ ที่มาแสดง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  8. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    สรุปว่าคุณไม่ได้ปฏิบัติด้วยตัวเองถูกมั้ยค่ะ แต่อ่านมาเยอะฟังมาเยอะแล้วมาเทียบเคียง อารมณ์ ของ จขกท ขอบคุณค่ะ ขอเป็น ผู้ปฏิบัติดีกว่านะคะ
    คืออยากได้คำแนะนำแบบผู้ปฎิบัติด้วยกันนะคะ
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ^^
     
  10. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    จริงๆคุณก็มีความคิดดีนะคะ เพียงแต่ จขกท รู้สึกว่า อะไรๆก็เอาตำรา หนังสือ มาเป็นตัวกำหนดหมดนะคะ ซึ่งในทางปฏิบัติมันไม่ใช่ทั้งหมดนะคะ อย่างที่ จขกท เคยไปสอบอารมณ์นี่ พระ หรือ แม่ชี จะถามเลยว่า อารมณ์ เป็นอย่างไร กำหนดอย่างไร รักษา อารมณ์ประมาณไหน ถ้าเจอแบบนี้ต้องทำอย่างไร เค้าไม่ได้มานั่งคาดคั้นนะคะว่า เธอต้องรู้สึกแบบนี้ เธออยู่ระดับนี้ ทำไมเธอไม่มีนี้ ทำไมเธอ ขาดอันนี้ ขอบคุณคะ
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    นักภาวนา ที่ไม่เคย สัมผัส รับรู้ เรื่อง วิปัสสนามาก่อนใน ชีวิต จะ ติดรสชาติ
    ที่ " ปลายจวักตนติดสีแกง "

    จึงทำให้ เอาสิ่งที่ ตนสัมผัส หรือ สิ่งที่คนอื่นสัมผัส มาเทียบกันว่า " เหมือนกัน
    ไม่เหมือนกัน เสมอกัน " ซึ่งล้วนแต่เป็น หนทางของ " คนประมาท " ทั้งหมด

    ทั้งนี้ หากเคยสัมผัส แม้นเพียงน้อยนิด ในเรื่อง วิปัสสนา จนกระทั่ง " แยกรูป แยกนาม "
    ได้ จะไม่ไป หลงกับ อาการบัญญัติจากปากแห่งสัตว์( สิ่งที่ยังมีอุปทานขันธ์ในจิต เราจะ
    เรียก สิ่งนั้นว่า สัตว์ ตามฏีกาของพระพุทธองค์ )

    ถึงแม้นว่า จะสามารถแยกรูป แยกนาม เบ็ดเสร็จเด็ดขาด อย่างเช่นโสดาบัน จนกระทั่ง
    อานาคามี สภาพบุคคลาธิษฐานเหล่านี้ ก็ยังต้อง ระบุด้วย ฏีกาว่า ยังเป็น " สัตว์ " เพียง
    แต่เป็น สัตว์ที่มีความลาดลุ่มไปสู่ มหาสมุทร ได้ ท่านเหล่านี้ ก็ยังอาจจะ เอาอารมณ์
    บัญญัติมาเป็นใหญ่ เกิดการกล่าวธรรม เทียบธรรม สูง ต่ำ เหมือน ไม่เหมือน สายกู
    สายมึง ได้อยู่ แต่.....เป็นเพียง มุ่งส่งเสริมให้ใช้ ธรรมที่ชือ " ปัญญาอันยิ่งเอง "
    คือ เอารสธรรมที่ตนมาขบคิดเอง ไม่มีทางบรรลุด้วยการเทียบเคียงธรรมจากผู้อื่นได้
    อย่าเอาแต่เป็น " เถรส่องบาตร " ทำอะไรแบบ ยึดรสของตน ของครู ของใคร ไปเรื่อยเปื่อย

    ซึ่ง คนที่มีปัญญาอันยิ่งเอง จะสามารถฟังธรรมจาก ธรรมชาติ ได้

    เช่น พระโสณนะ ดู นกกระยางกินปลา ก็บรรลุอรหันต์ บางคนดูพรายน้ำก็บรรลุ
    บางคนได้ยินเสียงสาวปุถุชนร่ำกลอนธรรมก็บรรลุ บางคนตีลังกาบนอากาศอยู่
    ก็บรรลุ ฯลฯ

    ดังนั้น

    ต้องระวังการสนทนาธรรม ที่ไม่ใช่ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติ ไม่ได้มุ่งหา กำลังใจ
    ในการเฝ้นหา มุขนัย ในารทำ ปัญญาอันยิ่ง ให้เกิด ....การสนทนานั้น จะเป็น อัปมงคล
    ส่งไปทั่ว เอาได้
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    วิธีการ เกาะบริกรรมลูกเดียว ไม่ยอมให้ จิตรวมลงสู่ ฌาณ ชนิดต่างๆ
    การฝึกแบบนี้ก็มีอยู่ เช่น หลวงปู่เจี๊ยะ ที่รับรองกันว่า ทำได้เหมือนกัน

    ท่านจะบริกรรมลูกเดียว ไม่ให้จิตรวมเด็ดขาด จิตรวมเมื่อไหร่ จะถือว่า เสียกำลัง
    และ ประมาท กัดกระบาล

    บริกรรมจนจิต มันอิ่มของมันอย่างที่สุด จนบริกรรมไม่ได้อีก จิตจะ รวมเอง โดยไม่
    ต้องจงใจเจตนาไปรวม จิตที่รวมแบบไม่มีโลภะเจตนาแทรก จะให้เหตุ ให้ผล

    ไม่เหมือน การรวมจิต ที่มี โลภะเจตนาเป็นตัวนำ จิตรวมแล้ว ก็ งง ก่ง ก๊ง ไม่
    รู้เหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้ทางไปต่อ ว่าจะต้อง พินาอะไร ทำงานไม่เป็น เดินปัญญาไม่เป็น

    รู้แต่ จิตกูรวมเว้ยเฮ้ย !!! หลังจากนั้น ก็จะมา เสวนาธรรม เพื่อ ก๊อปปี้ สภาวะธรรม
    เรื่องราว จับเอา นิมิต ความฝัน การคุยกับสัตว์วิเศษ เป็น ใบปริญา ประดับ ความประมาท
    ตายเปล่า ไปวันๆ

    อย่างไรก็ดี การเกาะบริกรรม จนอิ่ม ก็เป็นเพียง สิ่งที่ หลวงปู่เจี๊ยะ รับรองว่า ใช้ได้
    แต่โดยหลักการ จะจิตรวมหรือ ไม่รวม เกาะหรือไม่เกาะ ต้องไม่ทิ้ง การสลับมา
    " พิจารณากาย ในฐานะ กายคตาสติ ไม่ใช่ กายนุปัสสนาสติปัฏฐาน เว้นแต่จะดับสงสัยได้ -- หลวงพ่อพุธ ) "

    เพราะ หากจิตไม่อิ่มบริกรรม แต่แฉลบออกไป รวมเป็นฌาณ เวลา ฝึกพิจารณากาย
    หลังจากจิตมันคลายจาก จิตรวมแล้ว มันจะออกมา พิจารณากาย ตามความเคบชินที่เรียกว่า
    " วัตร หรือ ธรรมวินัย " ทำให้ ไม่ต้องไปนั่ง งง ก่ง ก๊กว่า " จิตรวมแล้วไงต่อ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    จขกท. มีสมาธิลึกพอสมควร ณ ขณะนั้น สังเกตดูสิครับ สภาวะมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ฯลฯ

    สภาวะอย่างนี้ นอกจากผู้ปฏิบัติจริงๆแล้วไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจหรอกครับ อย่าว่าแต่ผู้อื่นเลย แม้แต่ จขกท. เอง ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยประสบมาก่อน เพิ่งจะมารู้เห็นเอาก็ตอนที่ฝึกจิตนี่เอง ถูกไหมครับ

    ไม่มีอะไรผิดปกติครับ ปฏิบัติต่อไปเถิด : )

    เท่าที่ดู จขกท. ก็พอรู้พอมีแนวทางภาคปฏิบัติพอสมควร จากคำแนะนำของบุคคลตามที่เล่า และจากการสนทนา สาธุครับ
     
  14. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    เห็นด้วยกับความนี้นะ น่าจะเป็นฌานสี่แล้วล่ะครับ
    เสียใจด้วยนะครับ ที่ถึงซะแล้ว โดยไม่รู้ตัว ๕๕๕

    ตอนเราเริ่มฝึกสมาธิ เมื่อซักยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว ด้วยหนังสือฝึกสติราคาห้าบาท
    ที่ซื้อมาจากแผงหนังสือเก่าข้างถนน ตอนยืนรอรถเมล์กลับกองร้อย ตอนดึกๆ
    ที่ป้ายรถเมล์แถวสะพานควาย หึหึหึ เกริ่นยาวหน่อยนะครับ ชอบจังท่อนนี้

    ฝึกไม่กี่วัน ก็รู้สึกตัวเล็กตัวใหญ่ ตัวลอยตัวจม โดนไล่ให้หนีจนเหนื่อย ในจิต
    จนหลายวันถัดมา ก็หลุดผลั๊ว ออกไปอยู่นอกอวกาศ มืด กว้างไกล ใหญ่ไม่มีประมาณ
    แต่อาการตกใจไม่มี สะดุดบ้างแรกๆ แต่หนังสือเค้าว่าจะเจอ เราก็จำแม่น เลยไม่กลัวเลย

    ส่วนอาการไม่มีลมหายใจ ก็ไม่แปลกใจมาก แค่นิดหน่อยเอง แต่เราไม่มีคำภาวนานะครับ
    ใช้สติตามลมหายใจแค่นั้น ตั้งแต่ตอนแรกที่ฝึกด้วยตัวเอง ไม่ได้ให้ใครสอน

    พอรู้ตัวว่าไม่หายใจ ก็แปลกใจ และตกใจบ้าง แต่ไม่มากนัก
    เคยลองเอาทิชชู่ มาจ่อแถวจมูก ก็ไม่เห็นมันกระดิกเลย นิ่งสนิท
    ไม่รู้ว่าหายใจแผ่วมากๆ หรือไม่หายใจเลยก็ไม่ทราบได้

    ตอนที่เอากระดาษมาวาง ก็ยังอยู่ในอาการที่คล้ายฌานอยู่นะครับ
    แต่ก็เคลื่อนไหวร่างกายได้ แต่ทำช้าๆ นุ่มนวล ระวังฌานจะตื่นขึ้นมา
    เหมือนนางแก้วประคองครรภ์เลยครับ ๕๕๕ อันนี้อ่านเจอที่ไหนไม่รู้ ตอนหลัง

    ทำได้บ่อยๆ เข้า ก็ลองทำจิตนั้น ระหว่างนั่งเดินยืนนอน ความรู้สึกให้เหมือนในฌาน
    แต่เดินไปมา หรือทำอะไรก็ได้ แต่ต้องค่อยๆ และระวังอย่างสูง
    ทำบ่อยเข้า ก็ทำได้ดีขึ้น เหมือนตัวจะลอย เลื่อนไปมา สติอยู่ระดับที่แปลกๆ ดี สนุกด้วย

    การนำไปใช้ประโยชน์ก็ลองไว้หลากหลายวิธี เอามันมาเล่นสนุกไปได้หลายแบบเลยครับ ๕๕๕


    ลูกนาฬิเกร์ / นาคราข้างวัด

    .
     
  15. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    เอิ่ม เดินแบบนี้ก็ไม่ไหวมั้งค่ะ
     
  16. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    งง กับท่านนี้ กำลังจะบอกอะไรหรือ ถ้าอธิบายสิ่งใดไม่ถูกต้อง รบกวนช่วยชี้ให้ชัดเลยได้หรือไม่ แต่ที่เข้าใจได้อย่างง่าย คือ สติท่านกำลังสับสน ท่านปรามาสธรรมแต่กลับยังไม่สามารถชี้ชัดได้เลย ท่านตั้งสติใหม่แล้วชี้ให้ชัดเลยนะ จะได้ขยายความให้ท่านอื่นทราบได้ด้วย เพราะท่านเองอาจไม่สามารถเข้าใจธรรมะที่จะขยายได้อีกแล้ว ท่านประมาทด้วยการปรามาสธรรมที่ท่านไม่รู้และยังเข้าไม่ถึง

    ขอยกสิ่งที่อธิบายของเดิมขึ้นมาใหม่

    ผู้ที่มาตอบในกระทู้ ส่วนมากเรียกได้กว่าเกือบทั้งหมด สภาวะจิตที่ปฏิบัติสมาธิต่ำกว่าเจ้าของกระทู้ เนื่องจากไปแบกไปหามความรู้ต่างๆมากมาย พอปฏิบัติไปไม่ตรงกับตำรา จิตก็ไปพะวงจึงไม่เป็นสมาธิ และสมาธิก็ไม่เกิดขึ้น

    สำหรับผู้ที่รู้มาน้อยและปฏิบัติมาก การที่จิตจะไปพะวงว่าถูกต้องหรือไม่ว่าตรงกับตำราหรือไม่ จะไม่เกิดขึ้น จึงเป็นสมาธิเร็ว นี่เป็นตัวอย่างแก่ท่านทั้งหลายในกระทู้นี้
    อย่างน้อยท่านเจ้าของกระทู้จะได้เห็นว่า แต่ละคนตอบไม่ตรงกันเลย เพราะหลากหลายความคิดที่ไปรับรู้มาก และโดยเฉพาะ ท่านที่ได้เพียงสมาธิเล็กน้อย อาการและสิ่งต่างๆจะเกิดขึ้นมาก ซึ่งแตกต่างจากเจ้าของกระทู้ที่เป็นสมาธิระดับสูงกว่า

    วิธีการปฏิบัติของท่านต่อไปคือ รักษาความสงบ และสติ สาระสำคัญมีเพียงเท่านั้น
    คำภาวนาอย่าไปสนใจมาก ถ้าสงบแล้วไม่ต้องสนใจคำภาวนา

    สงบ และสติ เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์เป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิของพระอริยะเจ้า (สงบ คือ อุเบกขา) ที่ปฏิบัติมานั้น ถูกต้องดีแล้ว อ่านผู้ที่มาตอบในกระทู้นี้มากระวังจะหลงทาง ที่ต้องอธิบายเพราะเหตุนี้ (ปฏิบัติดีแล้วแต่ไม่รู้ ไปปฏิบัติตามผู้ไม่รู้ หลงทางเลย)

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
    ทีฆนิกาย มหาวรรค

    สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุขเธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ

     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    ขออนุญาตเขียนแบบทั่วๆไปนะครับ..
    ธรรมชาติของจิตมักจะมีสัญญาความจำได้เดิมอยู่ในจิตเป็นปกติวิสัยครับ..
    เช่น รู้ว่ากองไฟร้อน รู้ว่าน้ำแข็งเย็นหากเอามือไปสัมผัส. ความรู้สึกร้อนและเย็น
    นี่เป็นความรู้สึกที่จะเหมือนๆกันหมดในทุกๆดวงจิตไม่ว่าจะใช้ภาษาแตกต่างกัน...
    ธรรมชาติของดวงจิตที่ถึงกำลังระดับฌาน ๔ ได้จริงๆ ในระดับที่กายกับจิต
    แยกกันได้อย่างเด็ดขาดชั่วคราวในระดับที่ตัดระบบประสาทสัมผัสทางร่างกายได้นั้น..
    ไม่ว่าจะแยกออกมาในรูปดวงจิต เช่น จิตหลุดออกไปท่องเที่ยวแบบเต็มกำลัง
    ไม่ใช่ว่าการนอนหลับ หรือ เข้าฌานสมาหลับ..กิริยาทางจิต
    คล้ายๆว่าเหมือนเราไปยืนดูอยู่ตรงนั้นเลยจริงๆ
    แต่เหมือนกับว่าเราไม่มีดวงตาทั้ง ๒ ข้างเหมือนเรามีแค่ลูกตา
    ตรงกลางแค่ลูกตาดวงเดียว..บางคนดวงจิตอาจลอยขึ้นไปติด
    เพดานแต่มองลงมาเห็นร่างกายตัวเองยังนอนอยู่ปกติเป็นต้น
    หรือการแยกกันแบบมีสัญญาความจำได้ที่ยังสร้างเป็นร่างกายได้
    บางคนเรียกถอดกายทิพย์ เช่น บางคนนอนๆอยู่แล้วมีความรู้สึกว่า
    ตัวเองลุกขึ้นมาแล้วยืนบนเตียง แต่ยังเห็นร่างตัวเองอีกร่างนอนอยู่
    ในท่าเดิม..ซึ่งไม่ว่าจะออกไปเฉพาะตัวจิตในกำลังระดับสูง
    หรือไปแบบกายทิพย์นั้น..สามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่ได้ฝึกสมาธิอะไรมาเลยก็ตาม

    หากอ่านแล้วพิจารณาดูต่อจะพบว่า ไม่ว่าทั้งกายทิพย์และดวงจิต ที่แยกกับ
    กายในกำลังระดับสูงหรือฌาน ๔ ได้จริงๆนั้น..ทั้งกายทิพย์และดวงจิตจะเริ่มเข้า
    สู่และมีความคุ้นเคยกับโหมดนามธรรมได้เป็นปกติจากตรงนี้.
    ทั้งกายทิพย์และดวงจิตที่ไม่มีร่างกายนี้ จะมีความสามารถสัมผัส
    และรับรู้ เห็นได้ สัมผัสได้ กับ นามธรรมต่างๆ เช่น ผี เทวดา เจ้าที่ เทพ พรหม ฯลฯ
    ได้เป็นปกติและเป็นปกติมาก.แม้ว่าจะกลับมาในสภาวะปกติ
    แต่เนื่องด้วยจิตมีความคุ้นเคยมันจึงมีความสามารถสัมผัส
    นามธรรมต่างๆได้เป็นปกติครับ..
    .แรกๆอย่างน้อยต้องเห็นระดับที่มีถิ่นอาศัยอยู่ระดับ
    เดียวกันกับโลกได้เป็นอย่างน้อยด้วยตาเปล่าแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ได้ครับ..
    ส่วนบางดวงจิต ไม่จำเป็นต้องถึงสมาธิระดับกำลังฌาน ๔ ก็สามารถเห็นได้
    ถ้าจิตมีความคุ้นเคยมีสัญญาความจำได้ถึงความสามารถในการเห็นมาก่อนครับ..
    และน้อยถึงน้อยมากๆๆๆๆ ประมาณ ๐.๑ เปอร์เซนต์ ที่บุคคลใดๆก็ตามไม่ว่า
    ชายหรือหญิงที่ฝึกปฏิบัติจนเข้าสมาธิได้ถึงระดับฌาน ๔ แล้วจะไม่มีสัมผัส
    ทางนามธรรมต่างๆเลย และก็จำนวนน้อยมากกกกกกกกก..ที่จะยังสงสัย
    ในสภาวะการปฏิบัติของตนเอง จนถึงขั้นต้องได้มาตั้งคำถามกับคนอื่นๆครับ...
    เพราะสัมผัสหรือกิริยาทางจิตต่างๆที่จะเกิดนั้น มันจะเกิดตั้งแต่ระดับขนิกสมาธิแล้ว
    และก็ค่อยๆไล่ไต่ระดับไป ถ้ายังไม่เชื่อก็ลองไปอ่านหลักการของหลวงพ่อมีชื่อ
    ทางมุมขวาของห้องนี้ดูได้...และกว่าจะถึงขั้นที่จิตกับกายมันแยกกันได้เด็ดขาด
    ชั่วคราวจริงๆถ้าเรามานั่งแบบพิธีการก็ไม่มีคำฝลุ๊ก.ต้องมีความเพียรพอสมควร
    เพราะฉนั้นพอผ่านไปถึงระดับกำลังฌาน ๔ ได้จริงๆมักจะเกิดเครื่องรู้ในจิตเป็น
    เรื่องปกติรวมทั้งสัมผัสทางนามธรรมต่างๆก็ตามมาเป็นเรื่องธรรมดาครับ..

    ขอต่ออีก #Rep ครับ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    หากไม่มีอย่างที่กล่าวให้พึงพิจารณาสภาวะอารมย์และกิริยาทางสมาธิของ
    ตนเองให้ดีๆครับ..พวกสมาธิแบบพิเศษต่างๆ..มันไม่จำเป็นต้องฝึกถึงขั้น
    กายกับจิตแยกกันอย่างเด็ดขาดชั่วคราวก็ได้ครับ.เอาแค่ในระดับปฏิภาค
    นิมิตรที่ภาพปรากฏสว่างไสว หรือเห็นภาพพระพุทธตั้งต้นในแบบที่ใสมี
    ประกายในตัวเอง.และในขณะอฐิษฐานจิต สภาวะมันจะตกลงมาที่อุปจารสมาธิ
    ซึ่งจิตจะมีความเป็นทิพย์โดยธรรมชาติและกลับเข้าไปสภาวะที่เห็นภาพใส
    มีประกายได้อีกครั้งก็จะสามารถเกิดผลตามที่อฐิษฐานได้ เช่น ย้อนอดีต ดูอนาคต
    ที่มันเป็นการดึงสัญญาความจำได้เดิมในอดีต เพื่อให้จิตแสดงออกมาเท่านั้น
    เพราะฉนั้นยังไม่ถือว่าเป็นระดับฌาน ๔ ที่กายกับจิตแยกกันเด็ดขาดจริงๆ
    แยกระบบประสาทออกจากกันจริงๆ..เพราะฉนั้นผู้ที่มาทางด้านการอฐิษฐานจิต
    ด้วยคิดว่ากำลังสมาธิของตนถึงระดับฌาน ๔ ตามตำรานั้น.จึงมักจะไม่ค่อยสัมผัส
    นามธรรมต่างๆได้ด้วยตาเปล่า เครื่องป้องกันตนเองจึงไม่ค่อยแข็งแรง.ภูมิต้านทาน
    ต่อภพภูมิที่ไม่ดีจึงต่ำ..และที่สำคัญไม่มีกำลังจิตในระดับที่เรียกพลังงานขึ้นมาให้
    บุคคลอื่นๆสัมผัสได้..แต่จะเน้นไปเป็นการเห็นด้วยตาด้วยใจ ที่เห็นได้เฉพาะตน
    แต่แสดงให้บุคคลอื่นๆเห็นแบบตนไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นอภิญญาประเภทหนึ่ง
    ที่เรียกว่าอภิญญาภายในจิต หรืออภิญญาภายในบ้านครับ

    ข้อความนี้เขียนให้คุณ Saber อ่านครับ.แม้ส่วนตัวจะพอทราบลักษณะ
    การตอบคำถามของคุณ Saber
    นะครับว่าแม้บางอย่างจะไม่สามารถ
    ปฏิบัติได้หรือเข้าถึงได้จริงสำหรับกรรมฐานบางอย่าง แต่ก็ยังมีเจตนาดี
    ในการที่ไปนำตำรามาแป๊ะเพื่อให้ผู้ที่ถามอ่านไว้เป็นแนวทาง..ในทางปฏิบัติ
    หากเราเป็นนักปฏิบัติที่รู้จักการเข้าสังคมบ้าง
    และพอจะมีมารยาททางสังคมบ้าง เราควรจะต้อง
    กล่าวชมเค้าบ้างตามความเหมาะสม..ประเด็นว่าจะถูกหรือตรงกับจริต
    หรือไม่อย่าไปให้ความสำคัญมากกว่าเจนตาที่ดี.เพราะสิ่งที่นำมาให้อ่าน
    ก็มาจากครูบาร์อาจารย์ที่มีชื่อและเป็นที่ยอมรับ..ตลอดจนบารมีและความ
    สามารถมากล้นเป็นเลิศในการสอนทางด้านความสามารถพิเศษอยู่แล้ว..
    โดยส่วนตัวกลับมองว่า ได้อ่านได้ประโยชน์ดี ได้เตือนตัวเองด้วยอีกทางหนึ่ง

    ที่นี้จะขออนุญาตคุยกับคุณ Saber เนาะบอกก่อนว่าไม่ใช่คุณนะที่จะเล่า
    ให้ฟังเป็นดวงจิตดวงหนึ่งครับ..ซึ่งให้คุณลองอ่านแล้วพิจารณาดูเพื่อว่า
    หากเข้าใจแล้ว.เราจะเลิกสนใจพวกดวงจิตประเภทนี้ และก็มาแนะนำ
    ตามแบบของเราต่อไปครับ..

    ที่นี้มีดวงจิตบางประเภทที่เคยฝึกสมาธิมาครับคุณ.แต่ลึกๆอยากจะมีความสามารถ
    พิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆเค้า อยากให้คนอื่นๆยอมรับตนเองด้วยหมายหมั่นปั่น
    มือเอาเองว่าตัวเองมีความสามารถเหนือผู้อื่นใด หามีใครมาเปรียบตนเองได้.
    พวกนี้ก็จะไปเสาะแสวงหาหลักสูตรเรียนลัดต่างๆด้วยพ่ายแพ้เครื่องหลอกหล่อ
    ต่างๆนาๆ ว่าเค้าชมตัวเองว่ามีความสามารถเลอเลิศด้านโน้นด้านนี้กว่าใคร.
    ว่าฝึกแบบนี้แล้วจะทำโน้นทำนี้ได้เหนือมนุษย์ทั่วๆไป โดยหารู้ตัวไม่ว่า
    จะโดนพวกที่นั้นแอบระเบิดเจาะสมองผ่านแกนกลางกระโหลกเพื่อยัดพวกภูต
    พวกอสูรกายเข้ามาบังคับควบคุมจิตได้ที่ไม่รู้ตัว..พวกนี้ก็จะมีสัมผัสทางจิต
    ที่ค่อนข้างดี.ในระดับความสามารถระดับภูต และจะอึดอัดกระวนกระวาย
    หายเข้าใกล้สิ่งศักดิ์ระดับสูงๆ หรือวัตถุมงคลต่างๆ.และที่สำคัญจะขาดเรื่อง
    สติทางธรรม...หลักสังเกตุให้เราลองพิจารณาดูว่า ดวงจิตพวกนี้
    มักจะมีนิสัยอย่างที่จะเขียนให้อ่านต่อไปนี้เป็นปกติครับ..

    ๑.ดวงจิตพวกนี้มีความอาฆาตรุนแรงในจิต
    ชอบเลือกวิธีการที่รุนแรงในการแก้ปัญหาไม่ว่า
    กับคน สัตว์ หรือภพภูมิ แม้จะชอบพูด ชอบอ้าง
    แต่ธรรมระดับสูงๆก็ตาม
    ๒.ดวงจิตพวกนี้จะมีความคิดว่าความคิดของตนต้องดีที่สุด หากใครไม่เห็นด้วยจะมี
    อารมย์โกรธ และจะต้องค้านหัวชนฝาเพื่อยืนยันให้ได้ว่าความคิดตนถูกที่สุด
    ๓.ดวงจิตพวกนี้เป็นดวงจิตขี้อิจฉาแบบลึกๆในใจหรือไม่ เห็นคนอื่นๆเก่งกว่า ดีกว่าตน
    รู้สึกทนไม่ได้..ต้องพยายามพูดอย่างไรก็ได้เพื่อยกให้ตนเองเก่ง
    กว่าที่ตนอิจฉา...

    ๔.ดวงจิตพวกนี้เห็นบุคคลอื่นๆที่เค้าทำความดีแล้วกล่าวชมเค้าไม่เป็นครับ มีแต่มาพูดถากถางยกตัวเอง..
    ๕.ดวงจิตพวกนี้นอกจากจะชอบเเยาะเย้ยถามถาง
    ตลอดจนดูถูกบุคคลอื่นๆแล้วสุดท้ายก็ยก
    ย่องความคิดเห็นตนเองดีที่สุด ยกย่องว่าตนเองเก่งที่สุด
    ๖.มีความคิดแยกแยะ แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งฝ่าย ว่าหากไม่ใช่แบบเรา
    หากไม่มีความสามารถแบบเรา ไม่เก่ง เพราะคิดว่าตนเองเก่งที่สุด


    ๗.มีความคิดปรามาสห่มเหลืองต่างๆ.ที่มีความสามารถทางจิตสูง
    ด้วยหมายมั่นปั่นมือว่าตนเองเก่งกว่า..
    ๘.ชอบอ้างหรือยกตำราเพื่อมาเสริมความคิดช่วงนั้นๆที่ตนเองวิเคราะห์เอาเอง
    ว่าต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ พูดง่ายๆเอามาเพื่อดูว่าตนมีน้ำหนักมากขึ้น
    ๙.มีความคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆ
    อยู่เสมอๆ ไม่ค่อยยอมรับความจริง โดยขาดความเข้าใจโดยเฉพาะนามธรรม
    ในระดับที่ภูมิจิตสูงกว่าพวกภูติหรือพวกอสูรกายที่แฝงในกายตนเอง..

    ๑๐.มีความสามารถในการทำนามธรรมบางอย่างให้สัมผัสได้แต่คิดว่าตัวเอง
    เก่งที่สุดในโลก แต่ใช้เวลาเป็นวันๆกว่าจะสำเร็จผล..
    ๑๑.มีความชำนาญในการคอยจับผิดผู้อื่น ยกตนข่มท่านและสุดท้ายก็ยก
    ยกว่าตัวเองเก่งกว่าใครเพื่อนเหมือนเดิม..
    ..
    ปล.ประมาณนี้หละครับคุณ Saber ครับ
    ที่สำคัญมักจะไม่ค่อยรู้ตัวเองครับ...
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ^^

    สมาธิฝึก กับใช้งาน ตามกำลัง เข้าใจอยู่ครับ

    เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ผมแนะนำบอกแค่การฝึกครับ ^^
     
  20. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ผมขออนุโมทนา กับ เจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ ท่านทำได้ดีมากครับ กุศลใหญ่ ผมก็ปฏิบัติเรื่อยๆเหมือนกันครับ(ยังเทียบ เจ้าของกระทู้ไม่ได้เลย) ท่านทำดีทำต่อไปครับ ทำเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจสิ่งที่กระทบมาก เดี๋ยวจะทำให้ใจไม่สงบเปล่าๆ ทุกอย่างเป็นบททดสอบใจอยู่แล้วครับ ^___^
     

แชร์หน้านี้

Loading...