นั่งสมาธิแล้วไม่หายใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Pei-panwad, 23 ตุลาคม 2014.

  1. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    :':)':)':)'(ยากเหมือนกันนะเนี่ย เฮ้อ:':)':)'(
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ยาก ก็เพราะ จิตมัน ชินกับการอาศัยคิด [ เราไม่ห้าม เพราะ มันเป็น วิบาก ที่เกิดมาเป็น มนุดมะนาไม่ต่างดุ๊ด ]

    แต่ขณะที่เราคิด เราก็ปล่อยให้ ขันธ์5 มันแสร้งแกล้งธรรมของเราไป เราก็รับรู้
    ไปตามสภาพถึงการมีอยู่ของความคิด สำรอกความคิดก็จะไปติดการมีอยู่ของลม
    สำรอกลมออก ก็ไปติดความว่าง

    เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเอาอะไร ไปเป็นอะไร

    เราอาศัย ความคิด ลมหายใจ หรือแม้แต่ ความว่าง มันเกิด มันดับ ตามผัสสะ
    เหตุปัจจัย แล้วยกขึ้นทำสิกขา ตลอดวันย่ำรุ่ง เย็นย่ำค่ำ

    รู้เข้าไปเนืองๆ ก็จะ อ๋อ ไม่ได้ยาก และทุกสรรพสิ่งที่ถูกรู้ มันมีค่า คือ นิมิต ทั้งหมด ไม่แตกต่างกัน
    เป็นเพียง รูปนาม โลกๆ คนหลงสงขาร หลงโลก ก็ยก นิมิตเหล่านั้นว่าจริง ทั้งที่ มันเป็นสิ่งที่ ถูกรู้ ถูกดู
    จิตเองก็สามารถยกขึ้นเป็นสิ่งถูกรู้ถูกดู เกิดดับ ได้ เห็นเข้ามมตรงนี้ นิมิตก็เรื่องขี้ๆ เงาของจิต สิ่งที่
    ออกมาจากจิตเท่านั้น จิตเองเกิดดับ แล้ว สิ่งที่ออกมาจากจิต มันจะจริงแก่ผู้หลง สังขารขันธ์ แหกตาเอาเท่านั้น
    [ เว้นไว้สำหรับ ผู้ยกเพื่อตามเห็น ความเกิดดับ ของความพอใจ ไม่พอใจ ]

    ที่ยาก เพราะ ไม่ยกสิกขา ฟังธรรมภายในตนที่แสดงอยู่ ให้เข้าใจ

    มัวแต่ จะเอาการเปรียบเทียบ ซึ่งได้จาก ขันธ์5 มันนำมา ปลิ้นปล้อน ไปมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ที่ยาก

    เพราะ สุญญตา มัน ฝืนโลก ฝืนรูปนามที่กระทบตลอดเวลา โลกมันยังอร่อย

    แต่ ถ้ายกสิกขาบ่อยๆ จะ เห็นเลย มันไม่ได้ยาก มันอยู่ ปากคอก นี่แหละ
     
  4. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ถ้าปฏิบัติแบบที่หนูตั้งกระทู้แล้วแผ่เมตตาให้พ่อที่เสียไป
    พ่อจะได้รับเร็วขึ้นเยอะขึ้นไหมค่ะ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แผ่ให้ พ่อ คนเดียวเหรอ

    คนที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ หากปฏิบัติได้แจ่มๆ เราจะเรียกว่า เนื้อนาบุญ

    หมายถึง ไม่ต้องตั้งใจแผ่ ผู้ที่กำหนดรู้ทุกข์ ก็สามารถอาศัย เป็น กุศล พามาถึง นิพพาน
    ได้เหมือนๆ กันหมด ทุกรูป ทุกนาม

    กราบตนได้ เหมือนกราบ .......
     
  6. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ...จริงๆแผ่ไปทั่วทุกจักรวาลแหละค่ะ แต่บางครั้งจะคิดถึงพ่อกลัวพ่อตกนรกน่ะคะ ตอนท่านมีชีวิตอยู่ท่านกินเหล้าตลอดฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงลูก อายุ45ก็เสียเลย บุญไม่ค่อยได้ทำ
    เลยสงสารท่านน่ะค่ะ พยายามปฏิบัติธรรมเผื่อบุญจะช่วยท่านได้บ้าง...
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    นั้นละครับไม่ต้องไปสนใจ อาการทางกายต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะอะไร ไม่ต้องไปสนใจครับ

    กายมันสงบตัวลง ลมหายใจก็เหมือนกัน

    อาการหยุดหายใจก็เหมือนกัน เป็นอาการทางกาย ก็เหมือนๆกันครับ ไม่ต้องไปสนใจ ให้มีสติอยู่กับคำบริกรรมในกรรมฐาน ครับ

    ระลึก วิตก วิจาร ได้ ก็ให้มีสติ อยู่กับคำบริกรรมภาวนา ครับ อย่าให้ฟุ้งซ่าน เผลอหลุดจากคำภาวนา
    จะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับ กำลังจิต ของตัวเองละคับ

    มีสติอยู่กับคำบริกรรม ผ่านอาการอยากหายใจ ไปได้ ไม่หายใจ กายสงบ จิตสงบ ก็จะค่อยๆสงบลงลึกไปเรื่อยๆ ตามกำลังของจิต ตามองค์ของกรรมฐาน ครับ

    สงบถึงฐาน ฐานของกรรมฐานเมื่อไหร่ สงบกาย สงบจิต สงบจากนิวรณ์5 จิตลงสมาธิ จิตเข้าสมาธิ ตามกำลังครับ

    .

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    จขกท. ครับ ขณะปฏิบัติ คือ ณ ขณะนั้นๆ รู้สึกยังไง มันเป็นยังไง พึงกำหนดรู้ยังงั้น ตามที่รู้สึก ตามที่มันเป็น มิใใช่ไปทำให้เป็นตามที่เราต้องการ

    ส่วนการแผ่เมตตาจิต ควรทำหลังเลิกปฏิบัติแล้วค่อยตั้งใจแผ่เมตตาถึงพ่อถึงสรรพสัตว์อะไรก็ว่าไป (สมมุตินั่ง 30 นาที ครบ 30 นาทีแล้วค่อยแผ่เมตตา ขณะกำลังกำหนดรู้กรรมฐาน อย่าเพ่ิงคิดแผ่เมตตา)
     
  9. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ค่ะ ขอบคุณค่ะ แต่ตอนก่อนนั่ง และระหว่างนั่งไม่ได้จงใจคิดหรือต้องการให้เป็นแบบนั้นนะคะ แต่มันเป็นเอง ค่ะ
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ถูกต้อง มันเป็นของมันเอง (ภาษาทางธรรม เรียก สภาวธรรม) ในเมื่อสภาวธรรมเป็นยังงั้น เราก็กำหนดรู้ความเป็นยังงั้นของมัน จึงแนะนำว่า รู้สึกยังไง เป็นยังไง พึงกำหนดรู้ยังงั้น
     
  11. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ทำไม คุณ " มาจากดิน" แนะนำเหมือนพระอาจารย์ที่เคยไปปฏิบัติกรรมฐานเลยอ่ะค่ะ
    แนะนำแบบเรียบๆ เรื่อยๆ ไม่หวือหวา อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014
  12. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เคยปฏิบัติที่ไหนมาครับ
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ธรรมชาติมันเป็นยังงั้น ก็เป็นยังงั้น จะให้มันเป็นยังไงล่ะ ก็มันเป็นังงั้นนี่ ตัวอย่าง เช่น ฝนตกเราก็ (รู้) ว่าฝนตก ไม่ต้องหวือหวา ว่าฝนเอ๋ยทำไมจึงตก ตอบว่า ฝนตกเพราะกบมันร้องเรียกฝนบนฟ้า อิอิ
     
  14. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    เคยไปปฏิบัติที่ นิโรธาราม จอมทองเชียงใหม่ค่ะ กับวัดร่ำเปิง เชียงใหม่ค่ะ
    จริงๆนิโรธารามมีแต่แม่ชีน่ะค่ะ ตอนไปก็สนุกดีแล้วก็ชอบเลยไปเรื่อยๆค่ะ
     
  15. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    มีอีกเรื่องที่อยากจะถามค่ะว่า มักจะมีความคิดหลบหลู่อะไรก็ตามที่เป็นสัญลักษณ์ของความดี เช่น พระพุทธรูป พระ แม้แต่พระพุทธเจ้าทั้งๆที่ไม่อยากคิดแต่มันมักจะคิดเองเป็นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ทุกวันนี้พอคิดปุ๊บก้กำหนดว่าคิดหนอๆ มาหลายปีล่ะแต่ก้ยังไม่หายไป
    มีใครพอรู้อุบายแก้บ้างค่ะ ....
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ความสามารถในการไต่ระดับเข้าสมาธิ
    จนไปถึงระดับขั้นที่สูงได้นั้น..หากว่าเราไม่เคยได้ฝึกอะไรมาก่อน
    แล้วเข้าสมาธิในระดับที่สูงได้แบบไม่ได้ตั้งใจมาก่อน
    ..หรือไม่เคยเข้าได้ในระดับสูงๆใดๆมาก่อนก็ตาม
    หรือแม้ว่ารอบกายเรา สภาพแวดล้อมเราจะมากมากเต็มเปี่ยม
    ไปด้วยผู้ที่มีความสามารถความชำนาญต่างๆ ไม่ว่าจะระดับใดๆก็ตามนั้น
    แต่ความสามารถในไต่ระดับฌานที่ว่าตรงนี้.ล้วนแล้วแต่
    จะต้องมีพื้นฐานจากจิตที่สงบก่อน สงบจากความคิดต่างๆนานา
    ไม่ว่าเรื่องของการลังสงสัยต่างๆนาๆที่จะกลายมาเป็นกิเลสลิเอียดได้
    โดยที่เราไม่รู้ตัว. การตั้งแง่ต่างๆนาๆ ว่าต้องนั้นต้องนี้ตามแต่ใจตนเอง
    เท่านั้น.ซึ่งมันจะทำให้ปิดกั้นตัวเราเอง นั้นก็คือใจ
    เพราะใจเราจะไม่มีความเป็นกลางครับ

    ..และยิ่งถ้าเราเป็นนักปฏิบัติที่ยังไม่มีเครื่องรู้พิเศษทางจิตที่ดีพอ
    ที่จะเข้าใจสภาวะทางจิตของบุคคลใดๆได้.และไปเผลอวิวากวิจารย์
    แนวทางปฏิบัติอื่นๆที่ตนเห็นว่าไม่ตรงกับใจตนเอง ณ เวลานี้
    .เรายิ่งควรจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง
    ในการใช้คำพูดตัวเองให้ดีๆ.ไม่งั้นจะกลายเป็นตัวขวางการเข้าถึงมรรค
    ผลและการไต่ระดับสมาธิของเราได้โดยที่เราไม่รู้ตัวได้ครับ..

    ผ่านตรงนี้แล้วสิ่งจำเป็นในการพัฒนายกไต่ระดับสมาธิตัวต่อมา
    ก็คือตัวจิตที่ว่างว่างในที่นี้ว่างจากการเกิดคือ ไม่มีความคิดใดๆเข้ามาแทรก
    ความคิดทุกๆความคิดที่จะกลายเป็นนิวรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะมีมาก
    มีน้อยก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวขวางการพัฒนาระดับสมาธิได้ทั้งสิ้น.
    และความคิดที่ผุดขึ้นมาเองจากในอดีตต่างๆ.ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม.
    และไม่ควรลืมว่าเราฝึกสมาธิเพื่อเป้าหมายในการนำกำลังสมาธิที่ได้นี้มา
    เพื่อพัฒนาคุณภาพของจิตให้มันมีกิเลสน้อยลง เราสำรวจตัวเองได้ว่า
    ถ้าในชีวิตประจำวันของเรา

    ทุกวันนี้เราโกรธน้อยลงหรือยัง...ทุกวันนี้
    เรามีความโลภน้อยลงหรือยัง..เรามีความเสียสละต่อส่วนรวมมากขึ้นหรือไม่
    เรามีความเห็นอกเห็นใจคนอืนๆ หรือมีเมตตาต่อสัตว์เพิ่มมากขึ้นไหม
    เราเป็นมิตรกับทุกๆภพภูมิแล้วหรือยัง เรามีการแยกแยะแบ่งระดับในใจ
    เราอยู่หรือไม่ และที่สำคัญเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ครับ
    .ตรงนี้ถ้าเรามีเราย่อมได้รับการสนับสนุนจากสิ่งที่มองไม่เห็น
    ได้ง่ายๆในระดับต่างๆได้ดี เพื่อให้เรามองเห็นเส้นทางเดินไปข้างหน้าได้
    โดยไม่ติดขัดอยู่กับที่ แม้พยายามแก้ปัญหาอย่างไรก็ไม่สามารถก้าวต่อไปได้นั้นเอง
    และเราลืมกิเลสตัวเล็กๆหรือเปล่า
    เช่นการดับความอยากเล็กๆน้อยๆได้หรือยังเช่นอยากทาน
    โน้นโน่น ทานนี้ อยากไปโน่นไปนี้.เราดับก่อนไป ดับก่อนทานได้หรือยัง
    .เราอยู่ร่วมกับสังคมได้ดีขึ้นหรือยัง.โดยเฉพาะคนใกล้ชิด.
    และเรารับผิดชอบหน้าที่การงานของเราได้ดีขึ้นหรือยัง.

    ความรับผิดชอบต่อหน้าที่เรายังบกพร่องหรือไม่
    .เราเลิกสนใจในกิริยาของคนอื่นๆได้หรือยัง ไม่ว่าดีหรือไม่ดี
    เลิกพูดถึง กล่าวถึง วิเคราะห์วิจารณ์ได้หรือยังครับ..
    ส่วนการปฏิบัติเราเลิกคิดย้อนเปรียบเทียบผลการปฏิบัติของเรา
    กับวันที่ผ่านมาได้หรือยังว่าวันนั้นวันนี้ดีกว่า และเลิกคิดตั้งเป้า
    ว่าวันนี้จะต้องดีกว่าวันที่ผ่านมาได้หรือยังครับ..

    และที่สำคัญในเวลาปกติเราอยู่กับลมหายใจ อยู่กับกายได้นานขึ้น
    หรือไม่ครับ..เรื่องพัฒนาไต่ระดับสมาธิหรือเรื่องกิริยาต่างๆมันเป็นเรื่องรอง
    หากวันใดวันหนึ่งเราสามารถไต่ระดับข้ามไปได้.เราจะมีเครื่องรู้ที่จะย้อน
    เข้าใจเหตุเข้าใจผลได้เองครับ..ถ้าอะไรก็ตามเราไม่สามารถเข้าใจได้
    เราควรต้องรู้จักปล่อยวางไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยขึ้นมาขวาง
    เราตรงนี้ด้วยครับ....

    และให้ลองอ่านที่จะเขียนข้างล่างแล้วพิจารณาดูว่าตัวเองตอนนี้อยู่ระดับไหน
    เข้าใจอย่างไร..แบบเป็นกลางอย่าคิดเข้าข้างตัวเอง..

    ๑.กายกับจิต...เชื่อมประสานสัมพันธ์ทุกสรรพสิ่ง
    ๒.กายนิ่ง....จิตนิ่ง ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ
    ๓.จิตสงบ...หมดนิวรณ์ พร้อมสติทางธรรมคอยกำกับ

    ๔. ยังเหตุเข้าถึงวัตถุประสงค์ได้แล้วไซร์...
    ๕.ภพภูมิ...แดนไตรภูมิพึงเปิด

    ๖.จุดกำเนิด ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    ๗.หากดับซึ่ง สัญญา ความจำได้แล้วไซร์
    ๘.ปัญญาพึงบังเกิดได้เอง...
    ข้ออื่นๆที่เขียนไว้ให้อ่านไว้ก่อน แต่ขอเน้นย้ำที่ข้อที่ ๒ เล็กน้อย
    ปกตินักปฏิบัตินะครับไม่ว่าจะมาจริตแบบใดๆก็ตาม..
    จะเกิดพวกการรับรู้ ทางกาย หู จมูก จิต ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง
    และไม่ว่าจะชัดเจนหรือไม่ชัดเจนก็ตาม และจะเริ่มเกิดได้ตั้งแต่ข้อที่ ๒ แล้วครับ
    แต่ไม่ได้เป็นเครื่องประกันว่า สิ่งที่รู้ ณ เวลานั้นจริงหรือว่าใช่หรือมีประโยชน์อะไรได้
    และเป็นเครื่องประกันได้ว่า มีการยกระดับพัฒนาทางจิตของตนเองไม่ว่าเรื่อง
    ปัญญาทางธรรม เรื่องของสัมผัส เรื่องของเครื่องรู้พิเศษต่างๆ.ตลอดจนความ
    เข้าใจทางด้านนามธรรมถึงสิ่งที่ตนสัมผัสได้..
    และใช้ชี้วัดไม่ได้ว่าตนจะมีพัฒนาการทางจิตถึง
    ขั้นที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันอะไรได้ผลทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่นๆ
    ในระดับที่ทำให้บุคคลอื่นๆสัมผัสได้..ไม่ใช่รู้ได้เห็นได้เข้าใจแต่ตัวเองคนเดียว
    วิธีป้องกันตรงนี้ก็คือ เราจะต้องไม่ประมาท
    และไม่หลงตัวเองว่าตนเองงมีสติทางธรรม
    และเข้าใจว่าตนมีปัญญาทางธรรมที่ได้มาจาก
    การอ่านการวิเคราะห์ การได้ยิน ได้ฟังมา
    แล้วมาสร้างสติทางธรรมต่อ
    ด้วยการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่อง..

    เพื่อคอยควบคุมความคิด ควบคุมพฤติกรรมของจิต
    เพื่อสะสมกำลังสมาธิเล็กๆน้อยไว้เป็นทุนสำรอง..
    เพื่อเป็นหมายให้จิตเค้าคลายออกจากความคิดตรงนี้
    และเพื่อให้คลายจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมที่เป็นอารมย์ต่างๆร่วมด้วย
    กำลังสมาธิก็จะมีประโยชน์เพียงพอสำหรับการใช้เดินปัญญาทางธรรม
    ได้แม้ในขณะลืมตาปกติครับ..และหากได้อ่านแล้วพอจับใจความได้
    เข้าใจพฤติกรรมที่ควรจะเป็น..การไต่ระดับพัฒนาระดับฌานของเรา
    มันก็จะเริ่มได้ผลแต่เราต้องไม่คาดหวังอะไร..และเมื่อเข้าถึงระดับกำลัง
    สมาธิในระดับที่กายกับจิตแยกกันได้จริงๆในระดับที่ตัดระบบการควบคุม
    ประสาทสัมผัสได้..อย่าตกใจใดๆทั้งสิ้น.เพราะตัวจิตมันจะออกไปอยุ่ข้างนอก
    กาย.ให้เรามาเสริมด้วยการเจริญสติต่อ ประมาณครั้งที่ ๓ หรือ ๔ เราจะ
    มีความสามารถในการควบคุมจิตตรงนี้ให้อยู่ในร่างกายได้ และก็ควบคุม
    มันไว้ให้นิ่งๆให้ได้ เรียกว่า มันจะไปไหนเราไม่ให้ไป พอควบคุมได้ในระยะ
    เวลาพอสมควรเราจะมองเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้เอง.พอมองเห็นได้
    จิตเราจะมีความสามารถในการแยกแยก ความความคิดที่เกิดจากจิต
    แยกแยะความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม และสามารถเดินปัญญา
    เพื่อลดละกิเลสได้จริงต่อได้ในอนาคตครับ..ถ้าเราไม่รู้กิริยาของจิต
    ไม่รู้กิริยาของความคิดที่เกิดจากจิต ไม่รุ้กิริยาของความคิดที่เกิดจากขันธ์
    ส่วนนามธรรม..เราจะพลั้งเพลอไปคิดว่า ความคิดที่เกิดจากจิต
    ตรงนี้เป็นตัวสติ เป็นตัวปัญญาแล้วเผลอนำไปพิจารณาได้..

    ซึ่งจะกลายเป็นวิปัสสนึกแบบที่เราไม่รู้ตัว
    ถึงเวลานั้นคงไม่มีใครแนะนำได้
    เพราะจะหมายมั่นปั่นมือว่าตนดีที่สุด ความคิดตนถูกที่สุด ตลอดจนเผลอ
    คิดว่าตนบรรลุระดับโน้นระดับนี้..ทั้งๆที่ปฏิบัติมาร่วมปี ปฏิบัติมาเป็นสิบๆปี
    แต่ระดับจิตใจไม่ได้ดีขึ้น ไม่มีเครื่องรู้ทางจิตที่ดีขึ้น ไม่พบไม่เห็นพบภูมิที่ดีขึ้น
    ไม่ได้รับการต้อนรับจากภพภูมิที่ดีขึ้น.ไม่มีความสามารถทางจิตอะไรที่พัฒนา
    มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับบุคคลอื่นๆได้ นอกจากเอาไว้เล่าให้คนอื่นๆฟัง
    และจะกลายเป็นพวกขวางโลก ขี้อิจฉา ยอมรับฟังความคิดเห็นต่างไม่ค่อยได้
    เห็นใครดีกว่าตนเองไม่ได้ อยากดีอยากเด่น อยากได้รับการยอมรับ..
    ว่าตนเป็นผู้ปัญญามาก มีความสามารถมากกว่าใครเค้า..
    เผลอๆบางคนคิดว่าตนเองเก่งกว่าระดับพระพุทธก็มี
    แต่ก็มีหลายๆคนที่ต้องได้ไปอยู่โรงบาลผู้ป่วยทางจิตครับ.

    ปล.ยังไงก็ค่อยๆอ่านดูครับ อย่าพึ่งรีบด่วนสรุปนะครับ
    ค่อยๆเป็นค่อยไป..ที่กล่าวมามันมีนัยยะแผลงอยู่
    เอาไว้คุณมีเครื่องรู้และสัมผัสที่ดีพอ อนาคตข้างหน้า
    จะย้อนมาพูดสิ่งที่กล่าวให้ฟังในตอนนี้ได้เองทั้งหมดครับ..

    ..ประมาณนี้ ขอบคุณครับ
     
  17. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    สาธุ สาธุ สาธุ
    จริงๆขอบคุณทุกท่านนะคะ
    ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น อยากจะบอกว่าทุกวันนี้แทบจะไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้อย่างโน้น แบบนี้ เพราะไม่ได้หวังว่าจะไปนิพพาน ไปพรหม เทวดาหรืออะไรก็แล้วแต่อย่างที่คนอื่นๆคิดนะคะ ชาตินี้หนูหวังแค่ทำดีปฏิบัติดี
    ให้ชาติอื่นๆได้เกิดเป็นคนเพื่อมาสร้างเหตุที่ดีอีก แค่นั้นแหละค่ะอยากเกิดมาเป็นคนอีกจริงๆนะคะ.....
     
  18. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ถึงคุณ nopphakan นะคะ

    ถึงคุณ nopphakan นะคะ
    ข้อ1 กับ2ตอบได้ค่ะเข้าใจดี แต่3งงตรง เราจะรู้ได้ไงว่าหมดนิวรณ์ คือมันไม่เกิดแต่ไม่ได้หมายความว่ามันหมดนี่ค่ะ แล้วสติทางธรรม คือสติที่เกิดขณะปฏิบัติหรือป่าวค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014
  19. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คุณ Pei-panwad เคยทุกข์ไหมครับ แบบที่คิดว่าทุกข์หนักสุดในชีวิต มันเป็นอย่างไรครับ
    ถ้ายังต้องเกิดต่อไปก็ไม่พ้น ทุกข์หนัก ที่เคยเจอมาแล้ว

    แบบนั้นรับไหวไหมครับ

    ถ้าไม่อยากทุกข์อย่างนั้นแล้ว พ้นการเกิดไปเลย
    โดยการดับเหตุที่ทำให้เกิดไปเลย ดีกว่าครับ
     
  20. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    เอาจริงๆก็ยังนะคะ ยังไม่เคยทุกข์ขนาดนั้น แต่แค่รู้สึกว่าการเกิดมันทุกข์ เกิดมาเป็นคน จนตายก็คงทุกข์หมด และรู้สึกว่าวุ่นวายมากแค่นั้นค่ะ:ซึ่งจริงๆก็เบื่อค่ะแต่ยังไปไม่ได้ ยังอยากเกิดมาช่วยพ่อแม่ญาติๆและคนอื่นๆให้เค้าดีขึ้นนะคะ คิดแค่นี้นะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...