ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    มารายงานตัว ยังไม่ได้อ่านหลายความคิดเห็น เพราะยังไม่ถึงจุดนั้น กระตุกนี่นิด โน่นหน่อยจนชินเรื่องกระตุก

    แต่ ครั้งล่าสุดนี้ แค่เสี้ยววินาที รู้สึกว่าร่างกายช่วงล่างแยกเป็นสองชั้นเหมือนดีดออกจากกัน
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "อาการแยก" นั้น มีลักษณะ (Anatomy) ที่ปรากฏ โดยใช้ภาษาได้ "หลายนัยยะ" ดังนี้

    1. เป็นปรากฏการณ์ของ "เนื้อธาตุ ที่มีความเข้มข้น หรือ ความหนาแน่น ไม่เท่ากัน แยกตัวออกจากกัน" (ภาษาของ ธาตุ)
    2. เป็นปรากฏการณ์ของ "มิติ ที่แยกชั้น ออกจากกัน เป็น มิติใคร มิติมัน ขอบเขตใคร ขอบเขตมัน เหลื่อมชั้น ซ้อนกันอยู่" (ภาษาของ มิติ)
    3. เป็นปรากฏการณ์ของ "ร่างกาย ที่แยกชั้น ออกจากกัน เป็น กายใคร กายมัน และมีขอบเขตของใครของมัน เหลื่อมชั้น ซ้อนกันอยู่" (ภาษาของ กายในกาย)

    4. ไม่มี "ความเป็น ตน" อยู่ในนั้น แต่รู้ว่า "นี่แหละ เคยเป็น ตน" (ภาษาแบบ ตัวกูของกู)

    5. เป็นอาการของ "รู้ ที่กลายสภาพมาเป็น เห็น" ตรงกับภาษาใน "พระไตรปิฏก" ที่เรียกว่า "ญาณทัศนะ" (ภาษาของ วิปัสสนา)
    6. เป็นอาการที่เกิดในขณะที่ "จิตตั้งมั่น และ พ้นนิวรณ์ 5" ที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" และ "ความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ไม่สามารถก่อกำเนิดขึ้นได้" (ภาษาของ สมถะ)
    7. เป็นอาการ "รู้อยู่เฉย ๆ" ตรงกับอาการที่เรียกกันว่า "ฌาน 4" (ภาษาของ ฌานสมาบัติ)

    +++ "ภาษา" จะ Concentric ล้อมกรอบไปกี่หมวดก็ตาม ทุกหมวดย่อมชี้ไปที่ "อาการเดียวเท่านั้น" คือ "แยกเป็นสองชั้นเหมือนดีดออกจากกัน"
    +++ ผู้ที่ผ่าน "อาการนี้มาแล้วเท่านั้น" จึงรู้

    +++ นี่คือ "การแยก กาย" นี่คือ "กายในกาย" นี่คือ "การแยกขันธ์"
    +++ นี่คือ "การเห็น กายบางส่วน ไม่ใช่ตน"

    +++ ตรงนี้เป็น "ก้าวแรก ในการเดินออกจาก สักกายะทิฐิ" อะไรเป็น ตน อะไรไม่ใช่ ตน
    +++ ตรงนี้เป็น "ก้าวแรก ในการเดินออกจาก วิจิกิจฉา" ไม่สงสัยว่า อะไรจริง อะไรเท็จ
    +++ ตรงนี้เป็น "ก้าวแรก ในการเดินออกจาก สีลัพพตปรามาส" รู้ว่า จะต้องปฏิบัติ อย่างไร

    +++ ให้ทำตรงนี้ "อีกสัก 1-2 ครั้ง" ก็จะเข้าสู่ "วิถีทางใหม่ของ นักปฏิบัติธรรม" แล้วนะครับ
     
  3. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    มันยากเน้อ แค่เริ่มต้นผึกความรู้สึกทั่วตัวที่เป็นคลื่นอยู่รอบตัวเราเนี่ย อธิบายให้ใคร หรือคนอื่นเข้าใจ ยังไม่มีใครเข้าใจเลย แล้วกำหนดจิตหรือบังคับให้มัน เพิ่มลด แช่ ตรึง อีก รักษาระดับคลื่นเพิ่มขึ้นลดลงได้ตามใจปรารถนานี่ก็ยังยาก และต้องทำให้ชำนาญอีกด้วย อันนี้ก็ยิ่งยาก แต่ถ้าชำนาญแล้ว ชำนาญเลย ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย ทุกวันนี้คุยกับกัลยานิมิตร ปฎิบัติสายโน้น สายนี้ ก็เอ๋อๆ เออๆ ไปด้วย จะไปคุยกับเขาว่าเรากำลังฝึกอยู่เป็นอย่างนี้ อาการเป็นอย่างนี้น่ะ ทุกคน งง ก็ได้แต่เงียบเฉยฟังคนอื่นเขาคุยกัน


    ถ้าติดตามอ่านจากกะทู้นี้มีผู้สำเร็จแล้ว สองราย นอกนั้นผู้ฝึกอยู่ สองรายจากสมาชิกเป็นแสนๆ ของเวปพลังจิต อัตรามันน้อยนิดขนาดไหน

    พี่ธรรมชาติ อย่าเพิ่งรีบไปไหนน่ะ ขอเวลาฝึกอีกสักปี สองปี นิมนต์ล่วงหน้าไว้ก่อนค่ะ

    รายงานผลวันนี้ ฝึกทำสติตั้งมั่น ในท่านั่งสมาธิ ขณะกำลังสบายอยู่นั้น ได้ยินเสียงปิดประตูรถตรงถนน ซึ่งอาจจะเป็นรถของใครก็ได้ เป็นที่จอดรถสาธารณะ ได้ยินเสียงเบาๆ เกิดรู้ขึ้นมาเองว่า ลูกชายมา สักพักได้ยินเสียงกดกริ่ง ก็แม่นดีจัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2014
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรงนี้เป็นเรื่องธรรมดา และเป็นเรื่องที่ "คนทั่วไป" ไม่เคย "รู้" มาก่อน อาจเคยได้ยิน ได้ฟังมาบ้าง "แต่จะรู้" ไม่ได้เลย การที่จะ "รู้" ตรงนี้ได้ "ต้องลงมือทำ" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (สันทิฏฐิโก หมายถึง ผู้ปฏิบัติจะพึง "เห็นชัด" (รู้แจ้ง) ด้วยตนเอง ดังนั้น "ไม่ลงมือทำ ก็ อย่าฝันว่าจะรู้เรื่องได้")(อกาลิโก หมายถึง ลงมือทำเมื่อไร ก็ได้เมื่อนั้น ไม่่ขึ้นกับกาลเวลา แต่ขึ้นกับ "การลงมือทำ")

    +++ ตรงนี้ "ลองย้อนกลับไปดูการโพสท์ของผม ในกระทู้ต่าง ๆ ก็จะทราบชัดได้เองว่า" "ผู้ที่ลงมือทำเท่านั้น จึงรู้" นอกนั้นได้แต่ "ฝันไป"

    +++ ภาษาที่จะ "ทำให้ผู้อื่น ลงมือทำตามได้" ต้องเป็นภาษาแบบ "โครงสร้าง" ที่เรียกว่า instruction (A message describing how something is to be done "ต้องทำอย่างไร ผลลัพธ์จึงเกิด", The activities of educating or instructing; activities that "impart" knowledge or skill "ต้องทำอย่างไร จึงจะเดินจิตออกมาได้ (ภาษานั้น ต้องมาจาก ส่วนของประสพการณ์)") เท่านั้น

    +++ ภาษาที่เป็นแบบ Narration หรือ "บรรยาย หรือ เล่าเรื่อง" แม้ว่าจะมาจากประสพการณ์ก็ตาม จะทำให้ผู้อื่นเดินตาม ได้ยากมาก ให้ลองเปรียบเทียบกับ "ตำราเรียน" ก็แล้วกัน ซึ่งเป็นเรื่องแบบ "อ่านไปนึกไป คิดไปเรื่อย ๆ" เมื่อเทียบกับ "หนังสือคู่มือ" ซึ่งจะบอกเลยว่า 1. ต้องเตรียมอะไร 2. ทำอะไรก่อน 3. ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกันไหม เป็นต้น

    +++ การใช้ภาษาที่มาจาก "ประสพการณ์" นี้ มีประสพการณ์แค่ไหน "ก็ใช้ภาษาได้แค่นั้น ไม่เกินออกไปแบบ ดั้นด้นเดา แบบภาษาบรรยาย ซึ่งสามารถ ไหลลื่นไปได้เรื่อย ๆ" (น่าอนาถการศึกษาของชาติ ที่ตามฝรั่งมากไปซึ่งเน้นไปทาง "ปรุงแต่งฟุ้งซ่าน" แล้วทิ้ง "พระพุทธศาสนา" ออกไปเลยจนคำว่า "มหาสติ" เหลืออยู่แต่ใน "ตำราทางพระ" เท่านั้น) ดังนั้น "ผมสร้างใครได้ หรือใครที่มีแววว่าจะทำได้" ผมจึง "เข็นหนัก" เป็นพิเศษ แต่ถ้า "เข็นแล้วไปไม่ได้" ผมก็ต้องวางลง เป็นธรรมดา (ปฏิสัมภิทาญาณ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเรื่อง "ไม่เกินความสามารถ" ของผู้ที่อยู่ใน "สติระดับ 9")

    +++ ภาษาแบบ "โครงสร้าง" หรือ instruction นั้น เริ่มต้นที่

    1. ภาษาที่ออกมา แต่ละคำ ต้องตรงตามอาการของจิต ผู้ฟัง (เจโต)
    2. ภาษาที่ออกมา แต่ละคำ ต้องตรงตามความเข้าใจของยุคสมัย (กาล)
    3. ภาษาที่ออกมา แต่ละคำ ต้องชี้ตรงให้จิตของผู้ฟัง เดินตามได้ (เกิด สันทิฏฐิโก)

    +++ ส่วนผู้สอน หรือ "ผู้ใช้ภาษา" (สติระดับ 9) ต้องฝึกฝน คือ

    1. เดินจิตตน "ให้เข้าถึง อาการที่จะสอน" (ทวน ประสพการณ์แห่งตน ในปัจจุบันขณะ)
    2. ปล่อยให้ "ตัวพูดมาก พากษ์ ตามอาการ" (ใช้ขันธ์ ให้ผลิต ปฏิสัมภิทาญาณ)
    3. Map จิตกลับลงไปใน ปฏิสัมภิทาญาณ แล้วเกิด "ขันธ์บริวาร"
    4. เลือก "ขันธ์บริวาร" ที่ตรงกับอาการที่ ตัวพูดมาก จะใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง

    +++ ในข้อ 4 อาจต้องทำหลายที เพื่อใช้ภาษา "ล้อมกรอบอาการ" ให้อยู่ในอาการเดียว ตัวอย่างของการ Concentric ในโพสท์ที่ 707 ข้างบนนั้น

    +++ มันย่อมเป็นเช่นนั้น แล....

    +++ ดังนั้น จึงควรพิจารณาก่อนว่า บุคคลเหล่านั้น รู้จักคำว่า "สติ" มีอาการเป็นอย่างไร ดีแค่ไหนเสียก่อน แล้ว "พอจะทำ" ได้หรือไม่ ตรงนี้แหละที่ผม เน้นตรง "สติระดับ 3" ขึ้นไป (ฝึกจาก อินเทอร์เนท) หากฝึกต่อหน้า ผมจะให้เริ่มที่ "ความรู้สึกทั้งตัว" ก่อน หากมาตรงนี้ไม่ได้ "ถือว่า เสียเวลาเปล่า" เพราะ "สันทิฐิโก" ไม่เกิดในบุคคลเหล่านั้น นั่นเอง ตรงนี้ใช้กับ คนส่วนใหญ่

    +++ แต่คนบางคน ทำเท่าไร "ความรู้สึกทั้งตัว" ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ (ตรงนี้มีอยู่จริง) ก็ต้องใช้ "กระบวนการพิเศษบางประการ" ที่ "ชี้้ หรือ จิ้ม" ตรง ๆ ไปที่ "กายจิต หรือ กายธรรมารมณ์" จนผู้นั้น สามารถ "สำเหนียก รู้ ได้" แต่หากคนผู้นั้น ไม่เกิด "สันทิฐิโก" ตรงนี้แล้ว "ก็ให้ วางทิ้งไปเลย" เพราะ "ไปไม่ได้อย่างแน่นอน" (ปทปรมะ)

    +++ มันย่อมเป็นเช่นนั้น แล....

    +++ "สันทิฐิโก" ไม่เกิด มันก็ย่อม "ไม่มีอะไรจะให้เกิด" เป็นธรรมดา

    +++ แม้ว่า "สันทิฐิโก" จะเกิดแล้วก็ตาม ทางเดินก็ไม่นับว่าสั้น แต่ทั้งหมด "หนทางหมื่นลี้ นับกันที่ ก้าวแรก เท่านั้น"

    +++ ตอนนี้ ยังต้องดูแล แม่ผู้ชราอยู่ ทั้งหมดล้วนขึ้นกับ "สภาวะธรรม รอบด้าน" แต่สิ่งที่คิดจะทำ "ผมทำได้สำเร็จแล้ว" คือ "มีผู้ที่สามารถ ปฏิบัติธรรม จนจบกิจแห่งตน" ได้จากอินเทอร์เนท เพียงแต่ยังไม่งามพร้อม เพราะ "กิจท่าน" ยังเตาะแตะอยู่ โดยเฉพาะ "กิจท่าน" นี้ ยากส์ๆๆๆๆ.... กว่า "กิจตน" หลายเท่า ผมจึงเน้นที่ "สติระดับ 9" เท่านั้น

    +++ แต่ถ้าสามารถ "รู้ อย่าง big picture" เป็น ก็จะเห็นได้ว่า "ผมให้ฝึกเป็น ขั้นตอน" ไม่มีรายการ "กระโดดกลับไปกลับมา" ไม่มีรายการ "ต่อจิกซอร์" เกิดขึ้น (มรรค ผล นิพพาน ไม่ใช่ เกมส์)

    +++ ทั้งหมดเริ่มจาก "สติ" จากนั้น เดินตาม "ฐานทั้ง 4" จนถึง "พ้นความเป็นตน" แล้วต่อด้วย "เป็นสภาวะรู้" (ตรงนี้เท่านั้้น ที่ "เป็น" สภาวะ "สะเด็ดน้ำ" จากความเป็น ตน) เรียกว่า "การเดินทางขา ออก จากความเป็นตน" ซึ่งเป็นเส้นทางที่เรียกว่า "มหาสติปัฏฐาน 4" ตรงนี้เป็น "จบกิจแห่งตน" ที่ไม่มีกิจใดจะยิ่งกว่า ต่อจากนั้น

    +++ ผมจึงให้เริ่ม "กิจแห่งท่าน" (ทั้งหลาย) จะเรียกว่า "ใช้หนี้คืนกลับสู่ พระพุทธศาสนา ก็ได้" โดยการให้ฝึกภาค "มหาปัฏฐาน" (เหตุปัจจโย) อันเป็นภาค "กลับเข้ามาสู่โลก" ซึ่งตรงนี้แหละ จะผ่านประสพการณ์ อีกหลายอย่าง (ครูบาอาจารย์ มากกว่า 90% พอจบภาคแรกแล้ว ก็ "วางภาระไปเลย" ไปแล้วไปลับ ไม่กลับมา เพราะหลายท่าน จบตอนที่ สังขาร ไม่ค่อยจะอนุเคราะห์ เท่าไรแล้ว)

    +++ ส่วนครูบาอาจารย์ที่ เสร็จกิจตน ตั้งแต่ยังเอาะ ๆ อยู่ ก็ไม่มีใครยอมรับฟัง เพราะมนุษย์เห็นแค่ "สังขารร่วงโรย สภาวะธรรมแก่กล้า" ดังนั้น ผู้ที่ จบกิจตนตั้งแต่อายุไม่มาก มีหลายส่วนทีเดียวที่ "ธุดงค์หาย" หรือ "เร้นกาย" ไปใน "ป่าแห่งภพภูมิ" หรือไม่ก็สถานที่ ๆ ดีที่สุดคือ "ป่าคอนกรีต" ตรงนี้ "ง่ายที่สุด" เป็นธรรมดาที่สุด ยังเหลืออีกป่าเดียว ที่เพิ่งเกิดคือ "ป่าอินเทอร์เนท" ซึ่งโดย "เนื้อหา" แล้ว ไม่ต่างไปจาก "ป่าดงดิบ" เท่าไร เพราะ "ความดิบ" มีอยู่เยอะ หลุมพรางกับดัก มากมาย "เดินผิด อาจหลงจนวันตาย" ได้อย่างง่ายมาก

    +++ การฝึกในทาง "ขากลับ" นี้ ผู้ที่ฝึกจะได้ "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ที่ "ถูกต้อง ตรงตาม พระไตรปิฏก" แน่นอนที่ไม่มีวันหลงทาง และหากสามารถ "เดินจิตใน มหาปัฏฐาน ได้ถูกส่วนแล้ว" ก็จะ รู้ ในสิ่งที่เรียกว่า "อจินไตย" ด้วย เช่น ฟังเสียงฝน หรือ กาลอวกาศ ต่าง ๆ เป็นต้น

    +++ ตรงนี้เป็นการ "ฝึก รู้ ปฏิสัมภิทาญาณ" แต่ยังไม่ใช่ในส่วนของ การฝึก "ใช้" ปฏิสัมภิทาญาณ ให้เป็นประโยชน์ (ใช้หนี้) เพราะได้แค่ "ประโยชน์ตน" เท่านั้น

    +++ ประโยชน์ท่าน จะอยู่ตรงที่ "ใช้" จตุปฏิสัมภิทาญาณ มานำร่อง ให้ผู้อื่น เดินตามได้ เท่านั้น อ่านทวนในโพสท์ที่ 703 อีกรอบก็จะ ชัดเจนขึ้นมาเอง

    +++ ตรงนี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "การ Teleport ของ ตัวดู" หรือ ใช้ภาษาอีกอย่างหนึ่งได้ว่า "ใช้ จิตส่งออก ให้เป็นประโยชน์ ก็ได้" (ธรรมชาติของจิต คือ ส่งออก ต่างกันตรงที่ว่า "รู้จักมัน และ ใช้มัน" ได้แล้วหรือไม่ เท่านั้น) แต่ถ้า "ไม่รู้จักมัน แล้ว ปล่อยให้มัน จิกหัวใช้เรา" แล้วละก็ "จิตส่งออก คือ สมุทัย" ตามคำพูดของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล แน่นอนชัดเจน นะครับ
     
  5. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    รู้สึกโชคดีจังที่ได้เจอครูบาอาจารย์ทั้งในเน็ตและในชีวิตประจำวันที่ตอบคำถามสภาวะได้ถูกต้องตรงประเด็น หลวงปู่ท่านก็อาพาธ ไม่รู้ท่านจะสอนเราได้นานเท่าไหร่ แต่ก็ดีใจที่ท่านบอกว่า หลวงปู่มั่น หลวงปู่ใหญ่ และหลวงปู่เอง หากไม่มีวาสนาต่อกันไม่ได้มานั่งฟังธรรมอยู่อย่างนี้หรอก ( แฮะๆคิดมาหลายวันเกิ้น)หนูว่าพี่ธรรมชาติถึงเวลาก็คงต้องไป ขอให้บุญบารมีที่สอนพวกเราส่งผลให้บรรลุธรรมนะคะ ส่วนหนูก็จะพยายามต่อไปล้มลุกคลุกคลานบ้าน หวังไว้อย่างยิ่งสักวันหนึ่งอาจจะเดินจิตกันต่อหน้า ขอบคุณมากๆค่ะ
     
  6. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    "+++ ส่วนผู้สอน หรือ "ผู้ใช้ภาษา" (สติระดับ 9) ต้องฝึกฝน คือ
    1. เดินจิตตน "ให้เข้าถึง อาการที่จะสอน" (ทวน ประสพการณ์แห่งตน ในปัจจุบันขณะ)
    2. ปล่อยให้ "ตัวพูดมาก พากษ์ ตามอาการ" (ใช้ขันธ์ ให้ผลิต ปฏิสัมภิทาญาณ)
    3. Map จิตกลับลงไปใน ปฏิสัมภิทาญาณ แล้วเกิด "ขันธ์บริวาร"
    4. เลือก "ขันธ์บริวาร" ที่ตรงกับอาการที่ ตัวพูดมาก จะใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง"

    *** จะลองฝึกดูคะ เมิลว่าจะลองฝึกตอนอาการทำความรู้สึกตัว แยกขันธ์ ว่าจะลองบอกให้แม่สังเกตรู้ว่าตอนที่ทำสมาธินะจริง ๆ มันแยกกันอยู่ 2 ส่วน ส่วนที่ถูกรู้ กับส่วนที่รู้อยู่ ช่วงนี้แม่เป็นงูสวัดด้วยปวดมาก เวลาปวดมาก ๆ น่าจะเหมาะกับการฝึกแยกเวทนา แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน คงต้องใช้วิธีโพสต์บอกทาง facebok ไปก่อน

    *** คนที่ทำอานาปานมาตั้งนานก่อนเมิลเกิด มาถ้าจะบอกให้มาทำแบบนี้เขาคงไม่ค่อยจะยอมเปลี่ยนวิธี คงจะต้องใช้วิธีจี้ให้รู้สึกตัวแทน

    *** กิจท่าน นอกจากจะยากเป็นพหูพจน์แล้วยังมีไม้ยมกตามมาอีก 4 อัน แต่ยังไงก็ต้องเริ่มจากลงมือฝึกเหมือนกับตอนทำกิจตนให้จบ แต่จริง ๆ ต้องเริ่มจากใจเราที่จะฝึกด้วยแหละ :p

    *** เมื่อวันที่ 29-30/9 เมิลรู้สึกว่าในหัวมันเงียบผิดปกติกว่าที่เคยเป็น มีเสียงวิ้งเบา ๆ เวลามองดูอะไรรู้สึกว่ามุมมองจะกว้าง ๆ กว่าเดิม สว่างกว่าเดิม เหมือนเราอยู่อีกส่วนหนึ่ง ส่วนสิ่งที่เรารับรู้ อยู่อีกส่วนหนึ่ง เป็นส่วนที่อยู่ห่างกันกว่าเดิม
    *** เมื่อวานเย็นฝนตก รถวิ่งมาสาดน้ำโดนเมิลไปครึ่งตัว พอเช็คเข้าไปว่ารู้สึกอะไรยังไงไหมกลับเจอแต่ความว่างไปหมดเลย
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หลวงปู่ชื่ออะไรครับ มาทางหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทสก์ หรือทางจันทบุรี หากมาจากสายนี้ ก็ไม่แน่ว่า อาจเคยเจอกันมาก่อน ในช่วงที่ผม ออกวิเวก ก็เป็นได้ นะครับ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ผู้ที่มาทาง อานาปาน ให้ทำ "ลมหายใจทั้งหมด ให้ถูกรู้" จากนั้น ก็จะแยกได้เอง

    +++ ผู้ที่ทำ "อานาปาน" ได้อย่างถูกต้อง "พอจิตทิ้ง ลม และ คำบริกรรม แล้ว" สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ "ความรู้สึกทั้งตัว" ตรงนี้แหละ เพียงแต่ว่า "มีกี่คน" ที่มาถึงตรงนี้ได้ เท่านั้นเอง

    +++ ที่ผมสอนโดยการ "เริ่มที่ กายเวทนา" ก็คือ การรวบรัดตัดตอน อานาปาน มาลงที่ กายเวทนา แบบตรง ๆ เพราะเหตุที่ "กายเวทนา สามารถ กำหนดแบบตรง ๆ ได้เลย" ไม่ต้องเสียเวลาเป็นปีเพื่อที่จะลงมาถึง กายเวทนา นี่แหละ

    +++ ถ้าสำรวจโพสท์เก่า ๆ ของผม ก็จะพบได้ว่า "ผมฝึกมาจาก อานาปานสติ นั่นเอง" แต่กว่า อานาปานสติ จะมาถึง "อัปปนาสมาธิ" นั้น ครูบาอาจารย์หลายองค์ ใช้เวลานับ ครึ่งค่อนชีวิตกันเลยทีเดียว และไม่ว่า จิตจะลงสู่ "วิปัสสนา" หรือลงสู่ "สมถะฌานสมาบัติ" ทุกครั้ง จิตจะต้องลงสู่ "ความรู้สึกทั้งตัว" ตรงนี้ก่อนทุกครั้ง "ไม่มีข้อยกเว้น"

    +++ ดังนั้น ผมจึงเรียก "กายเวทนา" ตรงนี้ว่า "เป็นข้อต่อใหญ่" ที่จะแยกไปเป็น สมถะ หรือ วิปัสสนา ก็ได้ และ "กายเวทนา ย่อมอยู่ใน ฌาน 1 เสมอ" และเป็นการ "ข้ามตัด นิวรณ์ทั้ง 5 ไปเลย"

    +++ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่อง "น่าแปลกใจอะไร" ที่เมิลมาฝึกกับผมยกแรก ก็แยก "สัพเพธรรมาอนัตตา" ออกไปเลย แล้วพอมาฝึกยกที่สองที่ ศาลาท่าน้ำวัด ทุกคนก็สามารถทำ "จิตเดิมแท้ เปล่งประกายประภัสสร" ได้กันทุกคน เหตุเพราะทุกคนพอเข้า "กายเวทนา" ได้เมื่อไร ก็เป็น "จิตอ่อนควรแก่การงาน" ทันทีนั่นแหละ

    +++ แถมยังเป็น "อรูปฌาน ที่ พูดได้เสียอีก" แหกตำราทั้งหมด ทิ้งไปได้เลย เมิล ผ่านตรงนี้มาแล้ว ก็ย่อมรู้ได้เองว่า "ตำรา" มันจำกัดจำเขี่ยมาก มีแต่ "สันทิฏฐิโก" เท่านั้น จึงรู้

    +++ มี "พุทธภูมิ ในอดีต ไม่มี ปัจเจกภูมิ" ย่อมทำได้ทุกคน มากน้อยแล้วแต่ การบำเพ็ญผ่านมา ผมเองก็ผ่านมาทั้ง พุทธภูมิ และ ปัจเจกภูมิ ก็ยังทำได้เลย แล้วทำไมคนอื่นจะทำไม่ได้ และ จตุปฏิสัมภิทาญาณ นี้ ไม่มีใครจดทะเบียน สงวนลิขสิทธิ์ไว้แต่อย่างใด การฝึกฝนก็ไม่ใช่ เรื่องผิดกฏหมาย แปลกที่ทำไมคนไม่ยอมทำกัน แต่พอเรื่องผิดกฏหมาย กลับขมักขเม่นติดคุกกันเป็นแถว ๆ ชาวพุทธในเมืองทัยนี้ นับวันจะแปลกประหลาดไปเรื่อย ๆ

    +++ เปิดย้อนหลังไปดู "การมอง 3 ระดับ" ก็จะรู้ได้ชัดเจนเองว่า มันเป็น "การมองระดับ 3" นั่นเอง บางทีผมก็ใช้ภาษาว่า "การมอง ฝ่า อากาศ" แล้วแต่ภาษาในขณะนั้น ๆ

    +++ ตั้งใจว่าจะโพสท์ "อาการเสวย วิมุติสุข" แยกออกไปอีกโพสท์หนึ่ง แต่พิจารณาแล้ว "เอาแอบ ๆ ไว้ในโพสท์นี้ดีกว่า" เด่นมากไป อาจมีปัญหาได้

    +++ อาการหลัก ๆ ของอาการ "เสวยวิมุติสุข" คือ

    1. กายธรรมารมณ์ หรือ ตัวดูฝ่ายนาม "เป็น" (เสวย) ความรื่นเริงเบิกบาน และ "เป็นแก่นของปัฏฐาน" แต่ไม่มีความเป็นตน ชาวบ้านอาจลงความเห็นว่า "เป็นอาการ ติงต๊อง"

    2. ตัวพูดมากและอาการนึกคิดทั้งหมด หรือ ตัวดูฝ่ายรูป ถูกแยก ออกไปข้างนอก และมีสติ ชัดเจน เห็น "ตัวดูฝ่ายรูป" เป็นกสิณ หลุดออกไปอยู่ข้างนอก และ ไม่มีองค์ประกอบของ ความเป็นตน อยู่ตลอดเวลา แต่มันจะพูดว่า "เราอย่างนั้น อย่างนี้ เขาหรือเรา ต่าง ๆ นา ๆ" และเหมือน "การดูจำอวดของกิเลส" นั่นเอง

    3. เป็นอาการของ ตัวดูฝ่ายนาม เห็น อาการ "ติงต๊อง" ของตัวดูฝ่ายรูป แล้ว "เบิกบานใจ" แต่ไม่มีความเป็นตนอยู่ใน ตัวดูทั้ง 2 ฝ่าย

    4. เกิดอาการ "การมองระดับ 3" และ "แยกโลกภายนอก ออกจากขันธ์ทั้งหมด" อยู่ตลอดเวลาในช่วงของ การเสวยวิมุติสุข นี้

    5. ความ "สว่าง" ของสติ จะใสคมกริบ ชัดเจนไปหมด รอบด้าน 360 องศา และเจ้าของ สามารถประเมินได้ว่า มีรัศมีกว้างประมาณเท่าไร

    6. ใครนึกคิดอะไร ที่ไหน อย่างไร "จะถูกรู้" ทั้งหมดในขณะนั้น ๆ

    +++ อาการหลัก ๆ ของการ "เสวยวิมุติสุข" (ความสุขจาก การหลุดพ้น) จะเป็นคร่าว ๆ อย่างที่กล่าวมานี้ ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม หากไม่ผ่านอาการนี้ จะเรียกว่า "จบกิจ" ไม่ได้เลย

    +++ ให้ลองหาอ่าน "หลวงปู่ขาว อนาลโย ถ้ำกลองเพล" ดู ท่านผ่านตรงนี้มาแล้ว รวมทั้งหลวงปู่อื่น ๆ ทางสายหลวงปู่มั่นด้วย ส่วนของผม ได้ 10 วัน 10 คืน ในตอนครบรอบวันบวช 1 ปี คือ บวชก่อนวัน วิสาขะ 3 วัน และ ได้ตรงนี้ 3 วันก่อนวัน วิสาขะ ในปีถัดไป

    +++ ให้ฝึกปรับ "ความว่าง กับ ความจริง" ให้อยู่ที่ 50/50 แล้วทุกอย่างจะ "ลงตัวอย่างพอดีเอง" แล้วจะได้ "รู้" อะไรใหม่ ๆ อีกแยะ
     
  9. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    ส่งไปทาง pm แล้วนะคะไม่รู้ถึงหรือเปล่า เพิ่งส่งครั้งแรก มิกล้าเอ่ยชื่อหลวงปู่ กับจังหวัด (กลัวคนมาตามค่ะ อิอิ)
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ pm มาถึงและได้รับแล้ว เป็นสายที่วางใจได้ครับ
     
  11. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ขอบคุณพี่มากคะ
    เมิลไม่เห็นก้อนกสิณ แต่รู้ว่าตัวพูดมากและอาการนึกคิดอยู่ข้างนอกตัว เพราะว่าเวลามันพากย์อาการ เสียงไม่ได้ดังมาจากในหัวเหมือนปรกติ แต่เสียงมาจากข้างนอกตัว ยังสงสัยว่าเป็นอะไร เพราะในหัวเงียบมาก

    ช่วง 2 วันที่มีอาการนี้ มุมมองกว้าง และสว่างกว่าเดิม ทุกอย่างแยกส่วนกันอยู่ ไม่มีตน

    พี่คะ แล้วปรับความว่างกับความจริง ปรับยังไงคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2014
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    "วิมุติสุข"

    +++ ไป ๆ มา ๆ เรื่องของ "วิมุติสุข" นี้ ต้องแยกออกมาโพสท์ต่างหากจนได้นะ

    +++ อาการของ "วิมุติสุข"

    +++ 1. กายธรรมารมณ์ หรือ ตัวดูฝ่ายนาม "เป็น" (เสวย) ความสุข ความรื่นเริงเบิกบาน และ "เป็นแก่นของปัฏฐาน" (ตรงนี้ ตรงตามอาการที่สุด) ไม่มีความเป็นตนปรากฏ

    +++ 2. ตัวพูดมากและอาการนึกคิดทั้งหมด "ถูกแยกหรือหลุด" ออกไปข้างนอก และกล่าวได้ว่า "ไม่สามารถกลับเข้า ร่าง (ภาษาชาวบ้าน) หรือ ความเป็นตน (ภาษาในกระทู้นี้) ได้เลย" และ ความเป็นตน ไม่ปรากฏในที่ใดทั้งสิ้น

    +++ สรุปอาการได้ว่า ตัวดูฝ่ายนาม "เป็นความสุข" และเห็น ตัวดูฝ่ายรูปเหมือน "การดูจำอวดของกิเลส" และ ความเป็นตน "ไม่ปรากฏในที่ใดเลย"

    +++ 3. เกิดอาการ "การมองระดับ 3" และ "แยกโลกภายนอก ออกจากขันธ์ทั้งหมด" อยู่ตลอดเวลาในช่วงของ การเสวยวิมุติสุข นี้

    +++ 4. ความ "สว่าง" ของสติ จะใสคมกริบ ชัดเจนไปหมดรอบด้าน

    +++ ให้สำรวจตามข้อ 1 ว่า "ตัวดู เป็น ความสุข" ด้วยตัวมันเอง หรือไม่ และ "เป็นความสุข ที่ไม่มีในฌานใด ๆ ทั้งสิ้น" ความสุขที่เกิดจาก "การหลุดพ้น" นี้ ไม่มีและไม่เกิดใน "สมถะสมาธิ"

    +++ ตามข้อ 2 นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็น ก้อนกสิณก็ได้ แต่หลัก ๆ คือ มัน "หลุด ออกไปอยู่นอกความเป็น ตน" จึงเป็นอาการของ "วิมุติ"

    +++ "การมองระดับ 3" ตามข้อที่ 3 จะต้องเกิดขึ้นทุกคน ตรงนี้ผมเคยฝึกให้คนผู้หนึ่ง "จบกิจ" ได้ที่ เกาะพงัน แต่การฝึกเป็นแบบ "ดับตัวดู" แล้วพอถอนจิต ก็เปลี่ยนเป็น "คนละคน" ทันทีในขณะที่จิตพลิกกลับมา แล้วเกิด "การมองระดับ 3 อยู่ 3 - 4 วัน"

    +++ ตามข้อ 4 โลกทั้งหมด "สว่าง" กว่าปกติ สิ่งที่เห็นทั้งหมด "มีชีวิตชีวา" กว่าปกติ ความ "คมชัดในการเห็น" ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและวัตถุธาตุ "มีสีสันและ คม ชัด ลึก" กว่าปกติ

    +++ อาการหลัก ๆ ของ "ความสุขที่ได้มาจาก การหลุดพ้นนี้" จะมีอยู่ในข้อ 1 - 4 ของโพสท์นี้เป็นหลัก ส่วน 6 ข้อในโพสท์ก่อนหน้านั้น เป็นปรากฏการณ์ที่ผมผ่านมาเป็นส่วนตัว

    +++ ผู้ที่ได้ "วิมุติสุข" เท่านั้น จึงสามารถรู้ได้ว่า "จบกิจ ที่ไม่มีกิจใดยิ่งกว่า" นั้นมีอาการเป็นอย่างไร ส่วนผู้ที่ "ฝึกไป แล้วเทียบกับ ตำราไป" จากนั้นก็ "ทึกทักเอาเองว่า ตน ถึงตรงนั้นตรงนี้" บุคคลเหล่านี้ จะหมดโอกาสที่จะ "จบกิจ" ได้

    +++ ผู้ที่ "จบกิจ" ตัวจริงเท่านั้น จึงได้ "เสวยวิมุติสุข" หากผู้ใด "ไม่เคยได้ วิมุติสุข มาก่อนเลย" แล้วมาบอกว่าจบกิจ ก็ขอให้รีบ ๆ รู้ตัวไว้ว่า "ยังไม่ปิดอบาย" โดยเฉพาะผู้ที่มี "ทิฐิแรงกล้า ไม่ฟังใคร" นั้น จะมี "อัตราเสี่ยง" ที่สูงกว่าบุคคลโดยธรรมดาทั่วไป ตรงนี้ "ฝากเอาไว้ให้เป็น สาธารณะประโยชน์ ต่อพุทธศาสนิกชน" ในวงกว้าง นะครับ

    +++ มันเป็นลักษณะที่ "ไม่มีตน" มีแต่ "ขันธ์" มีสิ่งที่ "ถูกรู้ ตามความเป็นจริง ทุกประการ" สรุปคือ "ว่างจาก ความเป็นตน แต่ สรรพสิ่งมี ตามความเป็นจริง"

    +++ ความเป็นตนหมดไป ทั้งข้างนอกข้างใน (อาการจบกิจ) ไม่ใช่ สรรพสิ่งหมดไป เหลือแต่ความเป็นตน (อาการของ อรูปฌาณ) นะครับ
     
  13. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ขออนุญาติแลกเปลี่ยนความเห็น ประสบการณ์ครับ
    ย้อนไปดูอาการตามข้อ 1-6
    ที่ผ่านมาผมเข้าใจว่าแค่วิปัสสนาญาณขั้นต้นๆบวกกับอานิสงค์ที่พึงได้จากกำลังสมาธิเท่านั้น
    สังเกตุ มันเสื่อมได้

    แต่ก็ติดใจตรงประโยคที่ว่า " พอถอนจิต ก็เปลี่ยนเป็น "คนละคน" "
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    เจโตวิมุติ

    +++ ตรงนี้ต้องเทียบกับ "การมอง 3 ระดับ" (ลองค้นในโพสท์เก่า ๆ ของผมดู) ก่อน และ จุดที่สำคัญที่สุดคือ "ตัวจิตตะสังขารขันธ์ จะเข้าร่างไม่ได้เลย" นานเป็นวัน โดยไม่ต้องเข้าสมาธิ และ อยู่ในสภาวะจิตปกติ ทุกประการ

    +++ และจะ "เห็นชัดเจน" อีกด้วยว่า "มันพยายามจะกลับเข้าร่าง แต่ทำไม่ได" เพราะ อำนาจของ "สติที่เป็นสภาวะรู้บริสุทธิ์" ในขณะนั้น ๆ "ไม่มีอะไรเข้ามาเจือปนได้เลย" ตรงนี้เท่านั้นที่ "ยืนยันว่า นี่คือ เจโตวิมุติ" (จิต หลุดกระเด็น ออกจาก ตน)(หลวงตามหาบัว ใช้คำว่า กิเลสหลุดกระเด็น)(จิต นั่นแหละ คือ กิเลส)

    +++ หากจะสรุป "รวบย่อ แบบภาษาชาวบ้าน" ก็คือ "จิตตะสังขารขันธ์ ไม่สามารถเข้าร่างได้ ในสภาวะปกติ และ ไม่ได้เข้าสมาธิ" และคำว่า "เจโตวิมุติ" คือ "อาการ หลุดพ้นจาก ความเป็นจิต"

    +++ อาการ "แค่วิปัสสนาญาณขั้นต้นๆบวกกับอานิสงค์ที่พึงได้จากกำลังสมาธิ" นั้น ยังมี "ความเป็นจิต" อยู่ 100 % ดังนั้นจึงเป็น "คนละเรื่องกัน"

    +++ ในขณะที่ "เป็น" เจโตวิมุติ นี้ "วิมุติสุข" ย่อมมีอยู่ด้วยกัน ในขณะนั้น หาก "วิมุติสุข" ไม่เกิดร่วม ก็ให้เข้าใจไว้ได้เลยว่า ยังอยู่ใน "ญาณทัศนะของการเห็นขันธ์เฉย ๆ" แต่ยังไม่พ้นจาก "ความเป็นมัน หลังถอนจิตไปแล้ว"

    +++ ผมเคยฝึกบุคคล 2 คนจน "ขาดคามือ" และทั้งคู่ "เปลี่ยนเป็น คนละคน" แม้กระทั่ง "ตัวผมเอง ก็เปลี่ยนไปเป็น คนละคน" เหมือนกัน "ในขณะที่ ขาดออกจากมัน" และทุกคนได้ "เสวยวิมุติสุข" ตรงนี้ "ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีข้ออ้างใด ๆ อีกต่อไป" แต่เรื่องของการ "เสวยวิมุติสุข" นี้ "พระพูดไม่ได้้" ดีไม่ดี "อาจถูกจับสึกได้" และผู้ที่จับท่านสึกก็จะต้อง "ไปนรกแบบสิ้นข้ออ้้าง แน่นอน"

    +++ ดังนั้้น ทางสายพระป่าจึงมัก "พูดเลี่ยง ๆ" เอาเฉย ๆ ว่า "สว่างไสวเป็นพิเศษบ้าง" "โลกทั้งหมด สวยสะอาด เป็นพิเศษบ้าง" หรือ "ทั้งกายและจิต แจ่มใสเป็นพิเศษ" แต่ประโยคท้ายสุดนี้ "มีอัตราเสี่ยงสูง เพราะมีกล่าวอยู่ใน พระไตรปิฏก ในเรื่องที่ พระพุทธเจ้า แจ่มใสเป็นพิเศษ 3 วาระ" ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ "ผู้ที่ผ่าน เจโตวิมุติ เท่านั้น" จึงจะรู้จัก อาการนี้ได้

    +++ ทุกคนที่ผ่านอาการของ "เจโตวิมุติ" นี้จะ "ไม่เชื่อ จิตตะสังขาร อีกต่อไป ตลอดกาลนาน" และจะไม่มี "การวางใจใน ความวิเศษของจิต อีกด้วย" แต่จะรู้ชัดถึง "ขีดความสามารถของจิต และ ข้อจำกัดของมัน" ดังนั้น ผู้ที่ผ่านตรงนี้แล้ว "จะสามารถใช้จิตได้ แต่ จะไม่เชื่อจิตอีกเลย" และจากการ "เป็นอิสระจาก ข้อผูกมัดที่จิตมันผลิตขึ้นมานี้ จึงทำให้ เปลี่ยนไปเป็น คนละคน โดยสิ้นเชิง" และทั้งหมดจะ "เป็นอิสระ จาก จิต" "ปลดแอกแล้ว จากจิต"

    +++ การเสื่อมทั้งหมด "อยู่ในจิต" และ "จิต คือ สภาวะที่เสื่อมอยู่ตลอดเวลา" ดังนั้น "ใครก็ตามที่ ตั้งจิตมั่น" ก็ต้องเลือกกันเอาเอง เพราะ "จิต เป็น อนิจจัง" แล้วการ "ฝึกเพื่อให้ ตั้งมั่น กับ อนิจจัง" นั้น จะเป็น "สัมมา หรือ มิจฉา" ก็ให้เลือกกันเอาเองก็แล้วกัน ผมโพสท์ตรงนี้เอาไว้ตั้งแต่ "โพสท์ที่ 2 ในหน้าแรก" แต่แปลกตรงที่ หลายคน "อ่านไม่รู้เรื่อง"

    +++ การแสดงออก ทางกายและทางจิต นั้น โลกสามารถ รู้ได้เห็นได้ แต่ "สภาวะที่ เป็นอิสระจากจิตนี้ โลกจะรู้ไม่ได้ เห็นไม่ได้ แน่นอน" การเสื่อมทั้งหมด "อยู่ในสังขตะธรรม" ส่วน "อสังขตะธรรม" ไม่มีความเสื่อมใด ๆ เข้ามาเจือปนได้เลย

    +++ ลองอ่านทวนสัก 2-3 รอบ ก็จะชัดเจนมากขึ้น นะครับ
     
  15. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ผมลองเอาประสบการณ์เทียบดู ยังพอเข้าใจได้ครับ
    ตรงที่ผมเข้าใจได้จึงมีส่วนให้เห็นว่า ยังเป็นผู้ฝึกฝนอยู่
    เหมือนมันขาดส่วนสำคัญไปที่ผมยังไม่เห็น
    อย่างคำว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มันไม่ขาด สะบั้น
    หรือการที่จิตสังขาร ถูกผลักออก อาการนั้นมันปรากฏต่อเป็นอาทิตย์
    คือพอทวนตนเรื่อยๆ ตัวตนมันก็กลับมาทำงานอีก

    *****+++ ทุกคนที่ผ่านอาการของ "เจโตวิมุติ" นี้จะ "ไม่เชื่อ จิตตะสังขาร อีกต่อไป ตลอดกาลนาน" และจะไม่มี "การวางใจใน ความวิเศษของจิต อีกด้วย" แต่จะรู้ชัดถึง "ขีดความสามารถของจิต และ ข้อจำกัดของมัน" ดังนั้น ผู้ที่ผ่านตรงนี้แล้ว "จะสามารถใช้จิตได้ แต่ จะไม่เชื่อจิตอีกเลย" และจากการ "เป็นอิสระจาก ข้อผูกมัดที่จิตมันผลิตขึ้นมานี้ จึงทำให้ เปลี่ยนไปเป็น คนละคน โดยสิ้นเชิง" และทั้งหมดจะ "เป็นอิสระ จาก จิต" "ปลดแอกแล้ว จากจิต"******
    ตรงนี้ไม่แน่ใจว่ามีการย้อนกลับมาเป็นอีกหรือเปล่า คือมันแยกออกด้วยอำนาจสมาธิ เมื่อกำลังสมาธิถดถอย ก็กลับจมโลกได้อีก ผมเลยไม่แน่ใจว่าคุณธรรมชาติเลี่ยงไม่อธิบายส่วนสำคัญไปหรือเปล่า
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ตน ตน ตน

    +++ ผู้ที่ผ่านตรงนี้แล้ว จะค่อย ๆ กลับมา "อยู่กับ ความเป็นจริง"

    +++ ส่วนคำว่า "ขาดสะบั้น" นั้น คือ "อะไรขาด" ถ้าเป็นการฝึกที่ผมสอนแล้ว "ขาดสะบั้บ คือ การขาดจาก ความเป็นจิต" แต่ "จิตยังมีอยู่" แบบเดียวกับ "คนยังใส่เสื้อผ้า แต่ไม่ใช่เสื้อผ้า อีกต่อไป"

    +++ ถ้าคุณ jittinon ผ่านตรงนี้แล้ว และยาวนานเป็น อาทิตย์ "ผมก็ขออนุโมทนาด้วย" เพราะ สามารถได้ "วิมุติสุข" เป็นอาทิตย์ (ผมเน้นตรงนี้เป็นพิเศษ "วิมุติสุข") ของผม แค่ 10 วัน 10 คืน เอง และจริง ๆ แล้ว "ผู้ที่ผ่านตรงนี้ จะรู้ชัดเจนด้วยตนเองว่า อะไรเป็นอะไร" โดยเฉพาะ "สิ้นสงสัยในธรรมของศาสนาพุทธ"

    +++ อาการที่เรียกว่า "ตน" นั้น มันไม่ได้ "สูญหายไปไหน" มันก็ยังมีอยู่ "ตามความเป็นจริง" ทั้งสิ้น "ยังกินข้าว อร่อยได้ เพราะลิ้นมันไม่ได้ขาดด้วนไปไหน"

    +++ ผู้ที่มาถึงตรงนี้แล้ว "สัจจธรรมเท่านั้น ที่เป็นเรื่องที่จะต้อง อยู่" และจะ "ไม่อยู่กับ ความเชื่อใด ๆ อีกต่อไป" และ "ทุกอย่างมีอยู่ อย่างที่มันมีอยู่"

    +++ ต้องระวัง คำพูดหรือความเชื่อ ของผู้ที่ "ตกอยู่ในอรูปฌาน" ไว้ด้วย เพราะมันเป็น "คนละเรื่องกัน" (อันนั้นมัน "อยู่ข้างใน" สมาธิ ส่วนของผมนั้น "อยู่ข้างนอก" สมาธิ ด้วยความ "มีสติเต็ม 100")

    +++ "ส่วนที่สำคัญที่สุด" คือ "มันไม่ได้แยกออกด้วย อำนาจสมาธิ" แต่ "มันแยกออกด้วย อำนาจของสติ"

    +++ และเมื่อทุกอย่าง "กลับมาเป็นปกติแล้ว" ก็กลับมา "เป็นคนธรรมดา นั่นเอง" เพียงแต่ "รู้และสิ้นสงสัยว่า อะไรเป็นอะไร เท่านั้น" และ อีกประการหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ "รู้ว่า เวลาจะตาย จะต้องทำอย่างไร" ตรงนี้ ลองกลับไปอ่านทางครูบาอาจารย์สาย พระป่า ดูว่าท่านพูดว่าอะไรบ้าง อาจจะเจอเช่น "ฝึกมาชั่วชีวิต ก็เพื่อเอามาใช้ตอนที่จะตายนี่แหละ" เป็นต้น

    +++ หากคุณ jittinon ผ่านการ

    1. แยกตัวพูดมากและตัวนึกตัวคิด ในสภาวะปกติ นอกฌาน (ตัวผมเอง และในขณะนี้คือ เมิล)
    2. ดับตัวดู ในสภาวะปกติ นอกฌาน (มีผู้ที่ฝึกได้ "วิมุติสุข" ที่เกาะพงัน)
    3. แยกตัวดู ในสภาวะปกติ นอกฌาน (มีผู้ที่ฝึกได้ "วิมุติสุข" ที่สำนังสงฆ์ มรณะศาสตร์ จากเริ่ม "สร้างความรู้สึกตัว" จนจบ แค่ 4 ช.ม. เท่านั้น เป็นสถิติความเร็วสูงสุด เท่าที่ผมเคยสอนมา)

    +++ ข้อใดข้อหนึ่งใน 3 ประการที่กล่าวมานี้ ก็มีโอกาสที่จะรู้ได้ว่า "สภาวะที่เรียกว่า ตน" นั้นคืออะไรกันแน่ และ "สภาวะนั้น ยังเป็น ตน อยู่อีกหรือไม่" และจะรู้ชัดเจนด้วยว่า "มันเป็นเรื่องของ สติหรือสมาธิ กันแน่" และผมบอกได้ตรง ๆ เลยว่า "สมาธิ ไม่มีขีดความสามารถ ตรงนี้"

    +++ ประการสุดท้าย ผู้ที่ผ่าน "เจโตวิมุติ" ตรงนี้ ถือได้เพียงว่า "ได้เข้าสู่ หนทางใหม่" เท่านั้น และ เรียนรู้ที่จะ "อยู่กับโลก ตามความเป็นจริง" และ เมื่อถึงเวลาตาย ก็พร้อมที่จะ "เดินจิตอย่างไร จึงตายอย่างแท้จริงได้"

    +++ อีกประการหนึ่งคือ "ภาษาที่ผมใช้ในกระทู้นี้" จะเป็น "ภาษาตามอาการเท่านั้น" ดังนั้น "อย่าปะปนกันกับภาษาในกระทู้อื่น ไม่งั้น พายเรือในอ่าง แน่ ๆ"

    +++ เอาตรงนี้ "ไปอ่านเล่น ๆ ก่อนก็แล้วกัน" (มันส์ดี)

    1. ความเป็น "ตน" ยังมีอยู่หรือไม่ คำตอบคือ "มี"
    2. ในขณะที่ความเป็น "ตน" ยังมีอยู่ มีความเป็น "ตน" หรือไม่ คำตอบคือ "ไม่"
    3. ในขณะที่ความเป็น "ตน" ยังมีอยู่ ทำให้มัน "หายไป" ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
    4. ในขณะที่ความเป็น "ตน" ยังมีอยู่ เข้าไป "อยู่" ในมัน ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
    5. ในขณะที่ความเป็น "ตน" ยังมีอยู่ ออกมา "อยู่" ข้างนอกมัน ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
    6. ในขณะที่ความเป็น "ตน" หายไป ทำให้มันปรากฏมาอีก ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
    7. ในขณะที่อยู่ในร่าง เอาความเป็น "ตน" ออกมา "นอกร่าง" ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
    8. ในขณะที่ความเป็น "ตน" หายไป เรายัง "อยู่" ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
    9. เมื่อ "เรา" ไปแล้ว "ไม่กลับมาอีก" ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
    10. หาก "เรา" ไปแล้ว "จะกลับมาอีก" ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
    11. "เรา" จะเป็น "ตน" ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"
    12. "เรา" จะไม่เป็น "ตน" ได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้"

    +++ ทั้งหมดนี้ คือ "อาการตามความเป็นจริงทั้งหมด ของผู้ฝึก ในกระทู้นี้" ในเวลาอัน "ไม่ช้าไม่นานนัก" เพราะจะ "สามารถ จัดการกับ ความเป็น ตน ได้ตามความต้องการ" (ไม่ใช่ เซ็น ไม่ใช่ เต๋า) นะครับ
     
  17. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ว่าจะหยุดยาว แต่ก็ขอเข้ามาแจมนิดหน่อยค่ะ


    โดยส่วนตัว เคยผ่านอาการข้อ 1 - 6 มาแล้ว และสังเกตุมันก็ไม่ได้เสื่อมไปไหน หรือเป็นเพราะฝึกในสภาวะจิตปกติตลอดเวลา ที่สังเกตุเห็นคืออาการที่เป็นนี้ มันจะเป็นสลับสับเปลี่ยนกันตามวาระ โดยเฉพาะข้อ 3 นี่ อาการนี้เป็นนานหลายวันแล้ว คือช่วงที่บอกว่า อาจจะไม่เข้ามารายงานสักพัก จะพยายามฝึกใช้ ตัวพูดมาก ให้ได้ ตั้งแต่นั้นมาก็ปล่อยตัวพูดมากมันพูด แล้วค่อยๆสังเกตุวิถีการทำงานของมันอย่างละเอียด แต่สังเกตุมันจะพูดอยู่นอกตัวเราตลอดเวลา บางทีมันก็หายไปหรือดับไปเฉยๆ

    และมีอีกอาการหนึ่งที่เป็นบ่อย คือ มันเป็นอาการเหมือน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดับหมด เหลือแต่รู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าอยู่ในอาการนี้ ใครอย่ามาถามนะว่าอะไรเป็นอะไร มันไม่ตอบนะ เพราะมันไม่มีอะไรเป็นอะไร แม้แต่ตัวเราก็ไม่มี ลองแมปจิตกับอาการนี้แล้ว ตัวพูดมากมันแปลออกมาว่าเป็นอาการของ การหลุดพ้นจากสมมุติบัญญัติทั้งปวง
    ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรเป็นอะไร

    +++ ตรงนี้ต้องเทียบกับ "การมอง 3 ระดับ" (ลองค้นในโพสท์เก่า ๆ ของผมดู) ก่อน และ จุดที่สำคัญที่สุดคือ "ตัวจิตตะสังขารขันธ์ จะเข้าร่างไม่ได้เลย" นานเป็นวัน โดยไม่ต้องเข้าสมาธิ และ อยู่ในสภาวะจิตปกติ ทุกประการ

    +++ และจะ "เห็นชัดเจน" อีกด้วยว่า "มันพยายามจะกลับเข้าร่าง แต่ทำไม่ได" เพราะ อำนาจของ "สติที่เป็นสภาวะรู้บริสุทธิ์" ในขณะนั้น ๆ "ไม่มีอะไรเข้ามาเจือปนได้เลย" ตรงนี้เท่านั้นที่ "ยืนยันว่า นี่คือ เจโตวิมุติ" (จิต หลุดกระเด็น ออกจาก ตน)(หลวงตามหาบัว ใช้คำว่า กิเลสหลุดกระเด็น)(จิต นั่นแหละ คือ กิเลส)

    +++ หากจะสรุป "รวบย่อ แบบภาษาชาวบ้าน" ก็คือ "จิตตะสังขารขันธ์ ไม่สามารถเข้าร่างได้ ในสภาวะปกติ และ ไม่ได้เข้าสมาธิ" และคำว่า "เจโตวิมุติ" คือ "อาการ หลุดพ้นจาก ความเป็นจิต"

    มันจะกลับเข้ามาช่วงที่เราเผลอจะหลับ ถ้าเราเผลอ มันเข้ามาได้ เราจะรู้ด้วยตัวเราเอง และก็สามารถแยกมันออกไปได้ หรือถ้าไม่แยกมันออก ก็ไม่กำเริบค่ะ แบบว่าขาดแล้วขาดเลย มันอยู่ส่วนมัน เราอยู่ส่วนเรา มันไม่ใช่เรา และเราก็ไม่ใช่มันอีกต่อไป มันไม่กลับมากำเริบอีก ตรงนี้ยืนยันได้เลยว่าไม่กำเริบค่ะ เพราะมันขาดหลุดพ้นจากเราไปแล้ว ตรงนี้เราฝึกในสภาวะจิตปกตินะ แต่สำหรับคนที่ใช้กำลังสมาธิข่มหรือใช้กำลังสมาธิแยกมันออก เข้าใจว่าพอถอนออกจากสมาธิแล้ว มันก็อาจจะกลับมากำเริบอีกได้
     
  18. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ขอบคุณคุณธรรมชาติมากครับสำหรับคำตอบ
    +++ ต้องระวัง คำพูดหรือความเชื่อ ของผู้ที่ "ตกอยู่ในอรูปฌาน" ไว้ด้วย เพราะมันเป็น "คนละเรื่องกัน" (อันนั้นมัน "อยู่ข้างใน" สมาธิ ส่วนของผมนั้น "อยู่ข้างนอก" สมาธิ ด้วยความ "มีสติเต็ม 100")
    ผมเองไม่ได้มองถึงขั้นอรูปฌาณ เพียงแค่ระดับสมาธิขั้นต้นๆ การเข้าไปหลง หรือเข้าใจเอาเกิดขึ้นได้เสมอ บางคนอาจจะระยะเวลาสั้นๆ บางคนอาจจะยาวนาน ตรงนี้คงได้แค่คุยๆกันครับ
    สำหรับคนที่เคยผ่านและปฏิบัติได้เองย่อมจะเห็นในมุมที่แสดงออกมาผ่านการเจรจา ซึ่งบางทีมุมที่ถูกบัง แค่นิดเดียวก็ทำให้ทราบได้ว่าเป็นส่วนของการคิดเอาหรือพ้นจากความคิดแล้ว
    แต่หากส่วนนี้เป็นในข้อที่จะเดินสู่วิปัสสนาญาณเบื้องต้นก็น่าจะเข้าใจได้อยู่
    เรียกว่าเพิ่งจะรู้จักการเดินมรรค เพิ่งเข้าไปเห็นขอบๆของทุกข์ ที่ปรากฏเบื้องต้นเท่านั้นเอง
    ยังต้องทำให้แจ้งในอริยสัจจ โดยดำเนินตามมรรคไปเรื่อยๆตามกำลังความเพียร
     
  19. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เพิ่งอ่านย้อนไปเรื่อยๆ คุณธรรมชาติฝึกมาทางอานาปานสติเหมือนกัน ลำดับอาการอธิบายได้กระจ่างดีครับ ผมเคยเขียนอาการในการปฏิบัติไว้ แต่ตอนนี้ลบไปเกือบหมดเพราะใช้ภาษาไม่ค่อยจะถูกนัก

    ตรงความรู้สึกทั้งตัว แรกๆผมฝึกในส่วนของการดูกายเคลื่อน แล้วเข้าสู่การดูลม จับคำบริกรรม จนเห็นปีติอาบกายในครั้งแรกที่รู้จักความรู้สึกทั้งตัว นี่เป็นกุญแจ สำคัญ ต้องผ่านทุกครั้ง แต่จะเข้าสู่ดวงจิตสว่างไสว(ดวงจันทร์) หรือออกพิจารณา(รูปกายแสดงอาการเสื่อม)ก็ตรงนี้
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ข้อ 3. เป็นอาการของ ตัวดูฝ่ายนาม เห็น อาการ "ติงต๊อง" ของตัวดูฝ่ายรูป แล้ว "เบิกบานใจ" แต่ไม่มีความเป็นตนอยู่ใน ตัวดูทั้ง 2 ฝ่าย

    +++ และทั้ง 2 ฝ่าย "ถูกรู้" ตรงนี้แหละ คือ "เป็น" สภาวะรู้ ไม่ได้เป็น "สภาวะ รูป-นาม ของตัวดู"

    +++ ทั้งหมดเป็น "ความสุข" ในขณะที่เกิด "เจโตวิมุติ" ที่เรียกว่า "วิมุติสุข" (ผู้ที่ผ่านตรงนี้เท่านั้น จึงรู้ นอกนั้น "คิดให้อกแตกตาย" ก็ไม่รู้ เพราะตรงนี้ เป็น "อจินไตย" ตัวจริงตัวหนึ่ง)

    +++ ตรงนี้เป็น "ขันธะนิโรธ" (ขันธ์ดับหมด) แต่ไม่ใช่ "นิโรธสมาบัติ" ที่ "ตัวดูหยุดการทำงาน จึงดูเหมือนดับ แต่ ตัวดูยังอยู่" และ "ต้องอยู่ในสมาบัติ" ออกมาเมื่อไร "ตัวดู" ก็ออกมาด้วยเช่นกัน

    +++ "ขันธะนิโรธ" จะเหลือแต่ "กายสักแต่ว่ากาย" ส่วน "เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ดับสิ้น ตรงนี้เท่านั้นที่เรียกว่า "วิสุทธิขันธ์" หรือ "วิสุทธิเทวา" และ "สมาบัติทั้งหมด ก็ ถูกดับไปด้วย"

    +++ "ขันธะนิโรธ" นี่แหละคือ "สภาวะรู้บริสุทธิ" เมื่อ "อยู่" ในสภาวะนี้แล้ว "ปล่อย" ให้กายสิ้นสภาพ "ตาย" ก็จะตรงกับคำพูดที่ว่า "เมื่อตัวเทียนหมดไป เปลวเทียน หายไปไหน"

    +++ อาการของ "เจโตวิมุติ" และ "วิมุติสุข" นั้นเป็น "ขันธะวิมุติ" คือ "ขันธ์ทั้งหมด หลุดออกจากกัน แต่ยังมีขันธ์อยู่ครบ" ส่วน "ขันธะนิโรธ" นี้คือ "การดับขันธ์" ในขณะที่มีขีวิตอยู่

    +++ ที่สำคัญที่สุด ทำไมไม่ "ตายภายใน 7 วัน" ไอ้พวก "นั่งเทียนเขียนตำรา และ ไอ้พวกงมงาย สาปแช่งผู้ที่ จบกิจแล้ว มันจะไปไหนเสีย ตามกฏแห่งกรรม นั่นแหละ"

    +++ ตรงนี้ก็เป็น "อจินไตย" อีกตัวหนึ่งเช่นกัน "ผู้ที่ ทำ ได้เท่านั้น" จึงรู้ สำหรับ ผู้ที่ผ่านเข้ามาในกระทู้นี้ "โดยไม่ได้ฝีก" ก็ต้องขอเตือนด้วยความปรารถนาดีว่า "อย่ามโนเอาเอง" ในสภาวะธรรมบริเวณนี้ "กฏแห่งกรรม ในบริเวณนี้ แรงมาก" และให้ผล "ในชาตินี้" ดังนั้น "อย่าไปเสี่ยงกับ แค่ความอยากมโน" ก็แล้วกัน

    +++ สำหรับคุณ จิตวิญญาณ และ เมิล ในยามที่ต้องไป ตัดผม คราวหน้า ให้เอา ถุงพลาสติกไปด้วย และให้ช่างตัดผม เก็บเศษผมที่ยังไม่ได้ตกสู่พื้น (อาจปนกับของคนอื่น) บางส่วน เก็บไว้ในถุงพลาสติก เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว จึงหาที่เก็บให้ดี ใส่พะอบที่ กันลมและขี้ฝุ่นได้ วางไว้กับหิ้งพระก็ได้ วันดีคืนดี หรือ วันสำคัญ ๆ ทางศาสนาก็ให้เปิดออกมาดูสักครั้ง อาจจะเห็น Hard Copy ปรากฏอยู่ในนั้น หรือ เห็นเส้นผมที่เก็บไว้ กำลังเปลี่ยนสภาพไป ก็ได้ ส่วนของผมเอง ไม่ถึงปีก็มี Hard Copy ปรากฏแล้ว

    +++ ตรงที่ "มันจะกลับเข้ามาช่วงที่เราเผลอจะหลับ ถ้าเราเผลอ มันเข้ามาได้" นั้น กำลังอยู่ในช่วง "พ้นวิมุติสุข" หลังจาก "พ้น" ตรงนี้แล้ว "สติระดับ 9 ฝ่ายมรรค" จะพ้นไป แต่จะเป็น "สติระดับ 9 ฝ่ายผล" ที่เกิดมาเอง เป็นไปเอง พระพุทธองค์ "อยู่" ตรงนี้ 7 X 7 = 49 วัน พระองค์ได้ "เห็น" อะไรต่อมิอะไร มากมายในช่วงที่ "เป็น" อยู่นั้น สำหรับพวกเรา "ได้เท่าไร ก็คือ เท่านั้น" แต่เรียกได้ว่า "ชาตินี้ เหลือคุ้มแล้ว" ที่ได้เจอพระพุทธศาสนา และ "ได้ฝึกจริง ๆ" ตามพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เพียงแค่ "เจอ" เฉย ๆ

    +++ สำหรับพวกที่ยังต้องใช้ "กำลังสมาธิ" อยู่นั้น อย่าเอามาเปรียบเทียบกับในกระทู้นี้ เพราะพวกที่ "ยังต้องใช้สมาธิ" อยู่นั้น "ยังไม่รู้จักเลยว่า "ตัวสมาธิ" คือตัวอะไร"

    +++ สำหรับผู้ที่ฝึกอยู่ใน "ระดับ 9" ของกระทู้นี้ "รู้ชัดเจน" แล้วว่า "ตัวดู นั่นแหละคือ ตัวสมาธิ"

    1. ยามที่ตัวดู หยุด และ ไม่รับอะไร แล้ว "เหลืออารมณ์เดียว" ตรงนั้น "ตัวดู เป็น" อรูปสมาบัติ ส่วนชื่อของ อรูป นั้นเรียกตาม "อารมณ์ที่เสพอยู่" ต่อท้ายด้วย "ยตนะ" (ตัวดู เป็น อายตนะ)
    2. ยามที่ตัวดู หยุด และ เหลือแต่กายให้รู้ไว้เฉย ๆ แต่ "เหลืออารมณ์เดียว" ตรงนั้น "ตัวดู เป็น" รูปสมาบัติ ส่วน "อารมณ์เดียว" เรียกว่า "เอกัคตารมณ์"
    3. ยามที่ตัวดู "ส่งออก" ย่อมออกไป "เห็นและรับรู้" ทาง สฬายตนะ (อายตนะ 6) ตรงนี้เป็น "กามาวจร"

    +++ ผู้ที่ "รู้จัก ตัวดู" เท่านั้นจึงมีขีดความสามารถ ที่จะเดินจิตแบบ "เอกัคตา สู่ เอกัคตา" รวมทั้ง "อยู่-ย้าย กามาวจร-รูป-อรูป" ได้

    +++ ผู้ที่ "ควบคุม ตัวดู" ได้เท่านั้น จึง "ควบคุมฌาน" ได้ดั่งปรารถนา

    +++ ผู้ที่ "พ้นแล้วจาก ตัวดู" จึง "ไม่ต้องใช้ สมาธิอะไร อีกเลย" แต่ "ตัวสมาธิจะมีอยู่ ทุกครั้งที่ ตัวดู มี แต่ไม่มีความเป็น ตน ในสมาธินั้น ๆ"

    +++ นิโรธสมาบัติ คือ "ดับตัวดู ตัวเดียวเท่านั้น" (ดับวิญญาณขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร ก็จะถูกดับไปในที่เดียวกัน) (ดับตัว สมาธิ ดับตัว ฌาน)

    +++ เจโตวิมุติ คือ "แยกพ้น หลุดพ้น จากขันธ์ ไม่มีอะไรดับ" ความสุขที่เกิดขึ้น เรียกว่า "วิมุติสุข" ส่วนการ เห็นขันธ์ทั้งหมด แยกหลุดจากกัน เรียกว่า "วิมุติญาณทัศนะ"

    +++ เรื่องของภาษา "มันแยะไปหมด" แต่เรื่องของอาการ "มันก็แค่อาการเดียว" เท่านั้นเอง

    +++ สำหรับคุณ จิตวิญญาณ และ เมิล อย่าลืม "ถุงพลาสติก" และลองเล่นกับ "ตน ตน ตน" 12 ข้อดู นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...