จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    .........................................................................

    อ้าวหนูzeusi ฝึกอยู่รึปล่าวจ๊ะ ป้าออกจะงงๆหมู๋นี้ เพราะยูสเซอร์บางทีในเฟสก็อย่างในเว้ปก็อีกอย่าง ชื่อจริงๆที่ใช้อยู่ก็อีกอย่าง เคยเห็นหนูเหมือนกันแหละ มีชื่ออื่นอีกมั้ยตะเอง บอกมาเลย ม่ายงั้นป้าจะเป็นลมนะเอ้าhello4
     
  2. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ปุกาด...ปุกาด
    เย้ย! "ประกาศ" เจ้าค่าาาา


    ท่านเจ้าของกระทู้ ไม่สามารถเข้ากระทู้นี้ได้มาหลายวันแล้ว
    ขอฝากความระลึกถึงทุกท่านและขอโมทนาบุญในธรรมทานของทุกท่านด้วยคร๊าบบบบ

    [​IMG]





    ...
    ไปเฮ็ดจั๊งใด๋น้อพี่หมีภู.. เอ้ย! ท่านพี่ภู??
    เข้ากระทู้อื่นได้หมด แต่เข้ากระทู้ตัวเองไม่ได้ซะงั้น
    สงสัย...งานนี้ต้องให้มีดอกบัวบานเพิ่มอีกสักสองสามดอก
    บานต้อนรับพี่ภูกลับเข้ากระทู้อีกครั้ง


    เอ้า!!! มาเร้ว! เร่เข้ามา
    ใครอยากมีจิตเบิกบาน ตื่นรู้ มีจิตเย็นเห็นนิพพาน
    มาทำดอกบัวบาน มาฝึกจิตเกาะพระ
    ก็รีบเข้ามารายงานตัวหน่อยจ้ะ
    คุณครูรออยู่เพี้ยบจ้าาา!!



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2014
  3. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ljkl.jpg
      ljkl.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.5 KB
      เปิดดู:
      93
    • kjk.jpg
      kjk.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.9 KB
      เปิดดู:
      108
  4. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]

    "จิตแจ่มใส ใจสว่าง ต่างต่างดอก
    จิตที่ปลอก มาลอกเปลือก เลือกหวังผล
    มุ่งในหวัง ตั้งนิพพาน กลางใจตน
    จงอดทน เพื่อพ้นทุกข์ (พบ) สุขนิรันดร์"



    แต่งกลอนมารอดอกบัวบาน...อิอิ

    [​IMG]

     
  5. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    วันนี้ขออนุญาตเสนอธรรมทานจากการบ้านของจิตบำเพ็ญท่านหนึ่ง ที่กำลังมาแรงแซงทางโค้งเลยค่ะ ท่านเคยหัดฝึกจิตเกาะพระมาก่อนแล้ว พอเข้ามาขอเรียนจิตเกาะพระอย่างจริงจัง ยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ จิตท่านก็เกาะพระติดเป็นออโต้แล้วค่ะ สาธุ​


    (deejai)*---*---*---*---*---*---*---*---*---*---*---*(deejai)​

    คิดถึงพระเมตตาของพระพุทธเจ้า

    คิดถึงแล้วเกิดอาการน้ำตาไหลอย่างไม่รู้ตัว แต่ไม่ได้เกิดจากความเศร้าเสียใจ

    น้ำตาไหลเพราะรู้สึกถึงพระเมตตามหาศาลของพระพุทธเจ้าที่มีต่อทุกคนทุกชนชั้นไม่มีประมาณ พระองค์มีแต่ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ทุกคนโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลยสักอย่างเดียว

    สิ่งที่พระพุทธเจ้ามอบให้แก่ทุกคนมีค่ามากกว่าปริญญาด็อกเตอร์ทั่วโลกรวมกันก็ยังเทียบไม่ได้ แต่สิ่งที่พระองค์มอบให้นี้มีค่ามากสูงสุดแต่พระองค์ก็ไม่เรียกเก็บอะไรเป็นค่าตอบแทน ในสิ่งที่พระองค์ได้ค้นคว้า ค้นพบและนำมาแบ่งปัน

    ตอนนี้มองดูตัวเองแล้วไม่มีเวลาไหนเลยที่ไม่ทุกข์ เริ่มเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายในทุกข์ที่เกิดกับร่างการทุกวัน มีทุกข์เพราะมีร่างกาย มีร่างกายเพราะมีการเกิด อยากได้ก็เป็นทุกข์ ได้มาแล้วก็มีสุขแป๊บเดียว สุขนั้นก็คลายหายไป ก็เป็นทุกข์ในการดูแลรักษา เนื่องจากเป็นของเรา พอเสียหายไปก็เป็นทุกข์อีกวนไปเวียนมาเหมือนตกนรก

    สิ่งที่มีอยู่บางอย่างก็เกิดความต้องการอยากจำหน่ายออกไป แต่เมื่อยังทำไม่ได้อย่างใจคิดก็เกิดความทุกข์อีกทั้งๆที่สิ่งของอันนี้ เมื่อก่อนเคยรักเคยหวงไม่อยากให้ใครมาแย่ง แต่ตอนนี้อยากจำหน่ายให้คนอื่น
    ดูแล้วตัวเองมันโง่ซ้ำซ้อนจริงๆ

    เห็นคนอื่นฟังเพลงหรือไปดูคอนเสริจ เห็นอาการทุกคนมีความสุขสนุกสนานกับเพลงและคอนเสริจนั้น แต่ที่เห็นคือ เห็นว่าพวกที่ฟังเพลงหรีอดูคอนเสริจนั้นเป็นการหลงเพลินไปในความทุกข์แบบที่ตนเองพอใจเลยไม่รู้สึกถึงความทุกข์นั้นๆ

    ขอบคุณครับ

    เอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2014
  6. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะ น้องลูกหว้า ที่นําภาพ ดอกบัวที่สดใสสวยงามมาลง ดอกบัวเป็นสัญญาลักษณ์ ทีตีความหมายได้หลายอย่าง ทางพระศาสนา ท่านจึงนิยม นําดอกบัวมาไหว้พระ มาเปรียบเทียบ เพราะมีความหมายที่ลึกซึ้ง อย่างเช่น พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า คนมีอยู่สี่ประเภท เช่นเดียวกับดอกบัวสี่เหล่า ที่อยู่ใต้ตรม ที่อยู่ในนํ้า และรอจะพ้นนํ้า และพ้นมาเหนือนํ้า อย่างที่เราได้เห็นในรูปนั้เอง..
    และอีกอย่างหนึ่งใบบัวยังมีความหมายที่ดีอีกด้วย ก็คือ นํ้าไม่สามารถซึมเข้าไปในใบบัวได้เลย ทุกๆหยดจะหล่นลงมา ซึ่งเปรียบได้กับจิตที่ฝึกมาดีแล้ว ย่อมไม่รับเอากิเลสเข้าไปข้างในฉันนั้น..สาธุค่ะ
     
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]



    [​IMG]



    ลูกขอน้อมกราบพระธรรมคำสอนของหลวงพ่อฯ ด้วยเศียรเกล้า เจ้าค่ะ ...

    คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ...แต่ละคำนั้น ยิ่งฟัง ยิ่งกระแทกจิต
    แทงใจลูกเหลือเกิน...ภาษาสมมติเดี่ยวนี้ เขาเรียกว่า มันโดน
    ถามว่า มันโดนอะไรหรือ? ...โดนกิเลสค่ะ
    มันกระทุ้งกิเลสออกมาให้กระเจิดกระเจิงดีจัง..โดยเฉพาะ
    กิเลสละเอียดที่ซุกซ่อนอยู่ตามซอกหลืบในเนื้อ อ ณู จิ ต

    อัตตามานะ การถือตัวถือตน หรือ ตัวกู ของกู เนี่ย..มันมีอยู่ในสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ไม่ว่า มนุษย์ หรือ สัตว์ เป็นสัญชาตญานดิบ ไปแล้ว อะไรๆ ก็ของกู ๆ หวงไปซะหมด

    มีแต่พระพุทธองค์ เท่านั้น ที่ท่านค้นพบแล้ว กับทางออกที่จะไม่ต้องมาเวียนว่าย
    ตาย แล้ว ก็ เกิด แล้วก็มาสร้างกรรมต่อกัน เป็นวงจร ไม่รู้จบ สิ้น ท่านพบแล้ว
    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ...นั่นคือ การออกจาก ตัวกู ของกู
    หรือ การละสักกายทิษฐิ นั่นเอง

    แต่ใครล่ะจะเห็นธรรมตรงนี้ ตามพระพุทธเจ้าได้ หากผู้นั้นไม่เข้ามาปฏิบัติตาม
    ก็ยาก ที่จะเห็นความจริงอันนี้ การเห็นนั้นก็ไม่ได้เห็น ด้วยการอ่านด้วยสายตา
    และสมองบันทึก แบบคนทางโลก ก็ได้ปัญญามาระดับนึง ...
    แต่ไม่ใช่ปัญญา ที่จะนำไปละกิเลส โดยเฉพาะ กิเลสตัวละเอียด อย่าง มานะทิษฐิ
    1 ใน สังโยชน์10 ที่ต้องทำลายให้สิ้นหมดจากจิต ก่อนจะไปนิพพานได้
    กิเลสตัวนี้ จะถูกละไปได้ ด้วยปัญญาที่ได้มาจากการภาวนา เท่านั้น ภาวนามยปัญญา
    และถ้าหากผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติได้จนถึง ปัญญาญาน ญานตัวนี้ จะสามารถส่องมองเห็น
    กิเลสละเอียด ที่ยังหลงเหลือ ในจิต ได้อย่างง่ายดาย ...

    หลวงพ่อ ถึงพูดบอกลูกหลาน แบบให้เข้าใจง่ายๆว่า " ตัดสักกายทิษฐิตัวเดียว ลูกเอ๋ยไปนิพพานได้ "
    เพราะอะไร เพราะนั้นคือ จิตเข้าใจ รู้แจ้ง เห็นจริง ตรงตามความจริง ในเรื่อง ขันธ์5
    ว่า ขันธ์5 นี่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันก็ไม่มีในเรา
    ดังนั้น คำว่า ตัวกู ของกู ...มันจะวางไปเลย...
    มันมองเห็นความจริง ว่า ไม่ว่า คน หรือ สัตว์ ต่างก็เหมือนกันหมด
    เป็นแค่เพียง รูป ทีจิตแต่ละดวงอาศัย อยู่เท่านั้น
    เพียงแต่ ไปอาศัยอยู่ในรูปอะไร ลักษณะอย่างไร ก็มีกรรมเป็นตัวกำหนดเท่านั้น
    ไม่ต่างกันเลย คน สัตว์ ... หากเราเข้าใจแล้ว เราจะมองทุกคน เหมือนกันหมด
    มองด้วยความเมตตาเสมอภาคกันเลย ว่าต่างคนต่างหลงมาเกิดกันทั้งนั้น
    อย่าได้หลงไปคิดว่า ใครดีกว่าใคร ใครด้อยกว่าใคร ...มันไม่มีเลย
    พอเข้าใจจุดนี้ ...มันทำให้ วิชั่น การมองเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
    การเข้าใจ กฏของกรรม ก็ตามมา ทันที ...

    การอยู่แบบ ไม่มี ตัวกู ของกู นี่มันสบายนะ ... มันเข้าใจทุกชีวิต ไปซะหมด
    เห็นน้องหมา ตัวนั้น ใส่บาตร ก็โมทนากับ ดวงจิตของเขา ชาตินี้ยังมีบุญอยู่บ้าง
    ที่ได้มีกรรมสัมพันธ์ กับเจ้าของ พามาใส่บาตร เห็นพระสงฆ์ผ้าเหลือง ก็มีจิตนอบน้อม
    ยกมือไหว้ ...สร้างบุญไปก่อนจะเปลี่ยนภพชาติ...

    แต่เรา มนุษย์ ผู้ที่เรียกว่า เป็นสัตว์ประเสริฐ ได้โอกาสที่มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน
    เพราะมีโอกาสบรรลุธรรม หากเกิดมาในภพความเป็นมนุษย์
    โอกาสที่ได้พบพระศาสนามีแล้ว ได้เอาโอกาสนี้ มาปฏิบัติเดินตาม พระธรรม
    คำสอน ที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้เป็นตัวแทนพระองค์ท่าน ทำกันหรือยัง?...
    ทำกันจริงจังมั้ย ..หากต้องการให้ จิตหลุดพ้น ออกจากวงจรปฏิจสมุปบาท
    ก็ให้รีบ ถอดถอน ตัวกู ของกู ...อยู่กันแบบ จิตหลุดพ้นขันธ์5 จิตอิสระ ดีกว่า
    ก่อนกายหยาบ กลับคืนสู่พื้นโลก เป็น อนัตตา...

    โมทนาสาธุ... ข้าพเจ้าก็แค่เห็นภาพนี้ แล้วอดไม่ได้มาเสวนาประสาธรรมกันหน่อย
    คั่นรายการบ้าง...ระหว่างรอ ท่าน ภูทยานฌาน แก้ไขปัญหาการเข้ากระทู้ฯ
    อ่ะนะ ...อะไรก็ไม่เที่ยง ทั้งน้าน.
    ..


    ณัฐชยาวดี
     
  8. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    คุณแนทเขียนได้ดีค่ะ อนุโมทนา สาธุ
     
  9. ladylamb

    ladylamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +200
    ขอสารภาพตามตรงว่าอิฉันเองหล่ะค่ะ ที่ต้องอายเจ้าเต่าน้อยตัวนี้มากกว่าใครๆ เพราะช่วงนี้ความขยันหมั่นเพียรของการเข้าถึงมรรคผลนิพพานนั้น
    ไม่ค่อยจะมีเลยค่ะ สาธุค่ะครูเกษที่ได้ส่งเต่ามาให้ได้เป็นตัวอย่าง
    อุ๋ย
     
  10. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    เคยเห็นผมที่ไหนอ่ะป้า?(อย่าบอกว่าในเฟสนะ เพราะผมไม่เคยเล่นเฟซ ขอบอก)

    ปล.ผมไม่เล่นเฟซ ไม่เล่นไลน์ ไม่แอด ไม่เมวกับใครทั้งนั้น ทอสับมีไว้แค่รับเข้าและ โทรออก ธรรมด๊า ธรรมดา
    (แอนตี้พวกบริโภคนิยมครับพ๊มม:cool:)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2014
  11. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ยอมรับว่ามีหลายยูส(อดีตน่ะครับ):p
    ปล.ป้าลินดาเคยเจอผมในกระทู้คุณชยุตอ่ะป่าว? อิๆ
     
  12. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ว่าแต่ว่าทำไมคุณพี่ภูฯเข้ากระทู้ไม่ได้ล่ะครับ.(อดอ่านธรรมะกันพอดีเลย:p)
     
  13. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    อารมณ์เดียวกันเลยนะเนี่ยย โมทนาด้วยนะครับผม:cool:
     
  14. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    .........................................
    จ้า ป้ายิ่งเชยกว่าหนูอีก กลับเมืองไทยคราวที่แล้ว เพื่อน..พูดถึงไลน์ ยังไม่รู้จักเลยว่าคืออะไร ฺ ป้าไม่แอนตี้อะไรเลยจ้ะ ...........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • cdf.jpg
      cdf.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.9 KB
      เปิดดู:
      116
  15. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    พีขอโมทนากับจิตบุญฝาแฝดทั้งสองและคุณครูทุกท่านค่ะ ปลื้มใจกับ จบ 143 และ144 มากค่ะ แม้พีี่ไม่มี facebook แต่ขอกด Like ทุกบุญในค่ายเส้าหลินของจิตเกาะพระนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอนำมาแบ่งปัน...ก่อนเข้านอนค่ะ ^^

    ลูกขอน้อมจิตกราบ กราบ กราบ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านจิตโต ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
    สาธุ สาธุ สาธุ _/l\__/l\__/l\_

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=GQP0_lYfu1k]ท่านจิตโต บ้านสบายใจ - ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ - ปกิณกะธรรม น้อมขอขมา และขอบารมีฯ - YouTube[/ame]
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    ภูทยานฌาน กับ ธรรมะดีมีคุณค่า
    ค่อยๆอ่านไป พิจารณาตามไป ด้วยจิตที่นิ่งเป็นสมาธิ จะเกิดประโยชน์
    ...​


    นั ก ภ า ว น า

    จงอย่าสนใจ..
    ในความเลวของตน
    ในความเลวของผู้อื่น


    เพราะว่า...
    เรากำลังปฎิบัติดี เพื่อจะมาเอาความดีหรือบุญกุศล เข้าสู่จิตใจของตนเอง

    โดยเฉพาะ ผู้ทำภาวนา หรือในขณะภาวนา มักมีความไม่ดีชอบมาขว้างกั้น
    นักภาวนา อย่ามัวหลงเสียเวลาคำว่ามารต่างๆเลย
    หากเรานึกให้ดี ว่า ตัวเราเอง นี่แหล่ะ ทำขึ้นมาเองทั้งนั้นเลย..(เวรกรรม กรรมเวน)
    เราอาจจำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดี ก็ไม่เป็นไร อย่าพยายามไปค้นหามัน
    เพราะเรากำลังทำกรรมดี หรือบุญกุศล จากการภาวนา
    หากจิตนักภาวนา มัวติดแต่สิ่งดั่งกล่าวมาแล้ว
    การปฎิบัติธรรมของตนก็จะไม่ไปไหน ย้ำเท้าเดินอยู่กับที่
    ครูหรือผู้สอนควรแนะหรือวางกำลังใจให้ดีและถูกต้องด้วย
    นักภาวนา ทำเองนั้น ไม่สู้ดีแน่ ทำไมพวกเราไม่ดูตัวอย่างครูบาอาจารย์
    เช่น หลวงปู่มั่นก็ยังมีหลวงปู่เสาร์ เป็นพระอาจารย์ คอยตรวจสอบจิตให้
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็มีหลวงปู่ปาน เป็นพระอาจารย์ คอยตรวจสอบจิตให้
    แล้วย้อนกลับมาหาตัวเราบ้างสิ เราเป็นเพียงนักภาวนาแบบไหน ดีกว่า เก่งกว่าครูบาอาจารย์ที่เอ่ยไปไหม
    ลดอัตตา ลดมานะทิฎฐิตนเองลงบ้าง ไม่ใช่ลดแค่น้อยๆนะ ถ้าเป็นไปได้ ลดมากๆก็ยิ่งดีใหญ่
    หากลดมากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นผลดีกับตนมากเท่านั้น มิใช่ใครอื่น ที่ได้ประโยชน์
    ประโยชน์ตนเองทั้งนั้น มิเกี่ยวกับครูผู้สอนหรือใครๆเลย

    นักภาวนา หรือ นักปฎิบัติธรรม ปฎิบัติธรรมไปเพื่ออะไร
    เพื่อเพิ่มหรือลดอัตตา มานะของตนเอง หรือ???
    (((ถามเอง แล้วก็ตอบตนเองกันด้วย)))

    ผู้ที่เจริญในธรรมส่วนใหญ่ เห็นมีแต่เฉพาะ คนอ่อนน้อมถ่อมตน
    คำว่า อ่อนน้อมถ่อมตน จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคนนะ
    มิใช่ ถ่อมตน เฉพาะครูผู้สอนหรือคนที่เราศรัทธา เท่านั้น

    เพราะฉะนั้น หากเราจะมาเอาความดี มาเอาบุญกุศล โดยเฉพาะ เรื่องภาวนา
    นักภาวนา จะต้องวางอัตตามานะของตน ชั่วคราวก่อน
    โดยเฉพาะ กูรู หรือกูรู้ทุกอย่าง กูรู้ทุกเรื่อง ยกเว้น ตัวกู!
    โดยเฉพาะ ปัญญาทางโลก
    ลองถามตนเองกันดูนะว่า ปัญญาทางโลกนั้น ออกจากทุกข์ได้ไหม๊
    เห็นมีแต่เฉพาะ ปัญญาทางธรรมเท่านั้น
    ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมนั้น จึงต่างกัน ราวฟ้ากับเหวทีเดียว
    ก็เพราะด้วยเหตุนี้ฯ โดยมิต้องสงสัย


    สำหรับปัญญาในทางธรรม หรือปัญญาพาใจคนหลุดพ้น เช่น ความทุกข์ เป็นต้น
    คำว่า ปัญญา ที่กล่าวมานี้ ก็หมายถึง ภาวนามยปัญญา
    คือปัญญาที่ได้จากการภาวนา หรือ ปัญญาที่ได้จากจิตนักภาวนาเป็นสมาธิจิตนั้น
    สมาธิจิต ก็มาจากคำว่า สติ หรือที่พวกเรากำลังเจริญสติภาวนา
    หรือจากกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง จากทั้งหมด ๔๐ กองนั้น
    สำหรับคำว่าภาวนา สำหรับ การปฎิบัติธรรม ในแนวจิตเกาะพระนี้ ไม่มีคำภาวนา
    แค่กำหนดจิตระลึกหรือนึกถึงพระเท่านั้นเอง พระอะไรก็ได้ ตามใจเราชอบ ตามใจเราปราถนา
    พอทำไปๆสักระยะนึง เดี๋ยวจิตจะเป็นผู้เลือกเองภายหลัง หากผู้ทำจิตเกาะพระเป็นแบบนี้ ก็ให้ตามจิตเขานะ
    อย่าไปฝืนจิต อย่าบังคับจิตด้วย ใหม่ๆให้เราตามจิต หรือหลอล่อจิตไปพรางๆก่อน
    เช่น ที่พวกเรากำลังเจริญสติกันอยู่ นั่นไง
    หากจิตเบื่อกรรมฐาน ก็ให้พักชั่วคราวก่อน ห้ามตึงเกินไป และก็ห้ามหย่อนยานเกินไป
    มัชฌิมาปฎิปทาในมรรค คือเดินสายกลาง กลางหรือไม่กลางก็อยู่ที่สติตนเอง นั่นแหล่ะ
    หลงหรือไม่หลง ก็อยู่ที่สติปัญญาของนักภาวนา นั่นแหล่ะ
    บรรลุธรรม จะต่ำหรือสูง ก็อยู่ที่จิตปัญญา หรือจิตปัญญาญาณของตน นั่นแหล่ะ
    ไม่เกี่ยวกับผู้ใดเลย เห็นไหม ตัวเรา จิตเรา แท้ๆเลย
    หากนักภาวนา ยังมีนิสัยไม่เลิกยุ่งเกี่ยวคำว่า โลกธรรม๘ หรือ มัวสนใจคนอื่นๆอยู่
    ไม่สนใจจิตตนเองเท่าที่ควรแล้ว บอกคำเดียวเลยว่า มรรคผลช้า เพราะใคร หากมิใช่ตนเอง

    อย่าลืม!!!
    ผู้เดินมรรคนั้น มิใช่ใครที่ไหน แต่กลับเป็นตัวจิตหรืออารมณ์จิต นั่นไง
    จิตเป็นผู้เดินมรรค หากนักภาวนามัวแต่เอาจิตไปท่องโลก โดยไม่สนใจสติ ไม่สนใจจิตตนแล้ว
    บอกคำเดียวเลยว่า เสียหายๆๆ
    ปากเอาแต่พร่ำว่า เรานี่แหล่ะ คือผู้ปรารถนาพระนิพพาน
    ท่องไป ท่องไปนะ ท่องทุกๆวันเลยนะ มีหวังจะได้ไปสักวันนึงนะ...สำหรับคนปากดี เอ๊ย
    สำหรับคนที่ปรารถนาพระนิพพาน แต่ไม่ยอมลงมือปฎิบัติ คงปล่อยกาย ปล่อยให้เพ้อหรือละเมออยู่แบบนั้น
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือบบ. ที่กำลังตั้งหน้ารอคอยแต่ดวงจิตลูกหลาน ว่า เมื่อไหร่ มันจะเอาจริงๆสักทีนึง
    ว่าจะๆอยู่นั้นแหล่ะ มันรวมกำลังจิต กำลังใจกันยากเสียจริงนะ
    เวลาเพื่อนชวนเที่ยว ชวนกินเหล้า นี่ไวเลย แถมไม่ต้องมาชวนเราอีกด้วย เพราะตรูจะไปชวนเขาเองเลย
    คนเรามันเป็นซะอย่างนั้น จึงไม่ต้องพากันสงสัยเลยว่า...
    คนดี..ทำดีง่าย ทำชั่วยาก
    คนไม่ดี..ทำดียาก แต่ทำชั่วง่าย


    มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนเราจริงๆ
    หากวาระจิตผู้นั้น ยังมาไม่ถึง หรือวาระกรรมยังเยอะอยู่ หรือบุญยังไม่ส่งผล
    ก็ยากที่อยากจะปฎิบัติธรรมเหมือนผู้อื่นเขา เพราะการปฎิบัตินั้น ไม่มีผู้ใด จะไปฝืนหรือบังคับให้ต้องมาปฎิบัติธรรม
    หากจิตผู้นั้น ยังชอบเรื่องทางโลกอยู่ เห็นมีแต่เฉพาะคำว่า บุญเท่านั้น ที่พอจะดลจิตหรือเปลี่ยนใจให้ต้องมาปฎิบัติธรรม
    ถึงเราจะเอาธรรมของพระพุทธเจ้า หรือธรรมะจากครูบาอาจารย์ที่เป็นถึงพระอรหันต์ ก็ยากที่จะเข้าใจ
    ฟังหูซ้ายแล้วก็ทะลุหูขวา เท่านั้นเอง ตัวข้าพเจ้ารู้ดี เพราะเคยเป็นมาก่อน จึงพอจะเข้าใจ
    สำหรับคนที่ยังไม่ลงมือหรืออยากที่จะมาปฎิบัติธรรม
    คำว่า บุญ ไม่ว่าจะเป็นผีเปรต มนุษย์หรือเทวดา ต่างก็อยากได้กันทั้งนั้นแหล่ะ
    แต่เฉพาะบุญใหญ่หลวงคือบุญจากการภาวนา มักทำกันไม่ค่อยจะได้ เพราะกำลังใจของเราเป็นสำคัญ

    สำหรับผู้ที่เห็นเขาปฎิบัติธรรมกันได้ แต่ตัวเรานั้นยังทำไม่ได้ เพราะด้วยเหตุกำลังใจหรือบุญบารมีของเรายังไม่มากพอ
    จึงขอแนะนำกันตรงนี้เลยว่า...ให้เราเริ่มทำบุญ ทำทานเล็กๆน้อยๆไปก่อน
    หากไม่มีทรัพย์หรือทรัพย์น้อย เวลาเห็นคนเขาทำบุญหรือความดีต่างๆ
    ก็ให้เราพูดคำว่า สาธุในใจ หรือขอโมทนาบุญด้วยคนนะ แค่เนี๊ย เราก็ได้อานิสงส์หรือได้บุญไปด้วยแล้ว
    หากผู้ที่มีกำลังใจสวดมนต์ก็ให้ทำไป สวดมนต์นี้ถือว่าเป็นบุญขนาดกลาง อาจเทียบได้กับกรรมฐาน คือขั้นสมถะ
    กรรมฐาน ประกอบไปด้วย สมถะและวิปัสสนา
    คำว่า สมถะ แปลตรงตัวว่า สมาธิ สมาธิก็มี ๓ ระดับ คือ

    ๑.ขณิกสมาธิคือสมาธิเล็กน้อย ถือเป็นสมาธิเบื้องต้น เช่น คนปกติทั่วๆไป เป็นต้น
    ๒.อุปจารย์สมาธิ หรือเฉียดฌาน น้องๆฌาน ถือเป็นสมาธิขั้นกลาง เช่น ที่เจริญสติภาวนาใหม่ๆ เป็นต้น
    ๓.อัปปนาสมาธิ หรือฌานสมาบัติต่างๆ(ฌาน๑ถึง๘) ถือเป็นสมาธิขั้นสูง

    อันนี้พูดถึงเรื่อง สมาธิเพียงอย่างเดียวนะ
    ส่วนสติ สติแบบคนธรรมดาก็มีอยู่แล้ว แต่หากภาวนาแล้ว เราจำเป็นต้องสร้างสติขึ้นมาบ่อยๆ
    เพราะจะทำให้เรามีสมาธิจิตที่สูงขึ้นไปเรื่อย ไปตามลำดับดังที่กล่าวมาแล้ว
    ส่วนคำว่าปัญญาก็เช่นกัน ปัญญาในจิตจะเกิดมากหรือน้อย ตัวแปลหลักก็คือ สมาธิจิต
    ว่าสมาธิจิตของตน เข้มไหม หากตอบว่า เข้าม ถ้าอย่างนั้น ปัญญาเราก็เข้มตามไปด้วย
    ปัญญาเข้มมีผลต่อจิตอย่างไร ก็ต้องตอบว่า เป็นเรื่องปล่อยวางของจิตเราโดยตรง นั่นเอง


    สำหรับผู้เดินมรรค ก็คือนักภาวนา หรือ นักปฎิบัติ ก็แค่นำจิตเดินมรรค
    เดินมรรคไม่เท่าไหร่ คือใครๆก็ปฎิบัติกันได้ แต่สำคัญมันอยู่ที่ว่า เราเดินถูกไหม
    ตรงทางไหม สนใจอย่างอื่นไหม นอกจากความศรัทธามีแล้ว วิริยะคือความเพียรตนก็มีแล้ว
    โดยเฉพาะสำคัญในเบื้องต้น นั่นก็คือ การสร้างสติ จะต้องทำให้ต่อเนื่อง ทำบ่อยๆ จนสมาธิเกิดอัตโนมัติ
    จึงจะเรียกว่า สติดีคือสติเข้มมาก ต่อไป เราจึงจะเข้าใจคำว่า สมาธิและปัญญา เป็นอย่างดีไปเอง
    นักภาวนาตัวจริงเสียงจริง คำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา โดยเฉพาะ สติ และอารมณ์จิตของเราจะต้องชัดเจน
    สำหรับผู้ปฎิบัติใหม่ คำว่า สติตนจะต้องชัดเจนก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจคำว่า สมาธิหรือปัญญา
    สำหรับผู้ปฎิบัติธรรมคนเก่าๆ หรือคิดว่าเราแน่แล้ว ก็ขอให้เรารู้จักคำว่า จิตหรืออารมณ์จิตของตนเองให้ดี
    สภาวะจิต สภาวธรรมที่ผุดขึ้นมาในปัจจุบันนั้น ต้องแม่น ต้องชัด และต้องแยกแยะ ว่า...
    ในขณะนี้ เรามีจิตหรืออารมณ์เป็นแบบคนทางโลก หรือจิตหรืออารมณ์อริยะ คือ จิตที่ฝึกมาดีแล้ว
    โดยเฉพาะ จิตบุญ หรือ ผู้ปฎิบัติธรรม ผ่านคำว่า สมถกรรมฐานและกำลังวิปัสสนา เราจะต้องเห็นสองสิ่งที่กล่าวมาแล้วชัด
    หากยังมองเห็นนามสองตัวสุดท้ายของขันธ์๕ตนไม่ชัด นั่นก็แสดงว่า สติปัญญาของเรายัง อ่ อ น เกินไป
    หากมีสติปัญญาเข้มแข็งแล้ว จะต้องตามดูหรือตามรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบจิตตน

    ขอแนะนำเพื่อนแท้ คือกัลยาณมิตร แต่เพียงเท่านี้
    หากผู้ที่รู้แล้ว เก่งแล้ว ก็ผ่านไป แล้วจงอย่าเก็บไว้เพียงคนเดียว
    หากคิดว่าตนเองนั้น มีศักดิ์ภาพ หรือมีกำลังใจมาก
    ก็ให้ออกมาช่วยสงเคราะห์หรือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่กำลังตกอยู่ในกองทุกข์นั้นๆกันด้วยเถิด
    ไม่เห็นใจผู้เขียนหรือผู้อื่น แต่ขอให้เห็นใจ...พระตถาคตเจ้าหรือครูบาอาจารย์ ที่พวกเรากำลังรักเคารพนับถือกันอยู่นี้ด้วยเถิด
    หากนักภาวนาหรือผู้ปฎิบัติธรรม มองไม่เห็นพระรัตนตรัย โดยเฉพาะ พระพุทธคุณ คือคุณงามความดีทั้งหลาย ทั้งปวงของพระตถาคตเจ้า
    ก็ให้พวกเรานึกถึงพระตถาคตเจ้า ออกจากวังไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป ทิ้งกระทั่งความสุขเล็กๆน้อยๆ และตำแหน่งกษัตริย์
    เพื่อจาริก เพื่อตามหาความสงบสุขที่แท้จริง มิใช่ความสุขแบบโลกมนุษย์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
    และแล้วพระองค์ท่านก็ได้ลองผิด ลองถูกมามาก เช่น ทรมารกายคืออดอาหาร ตอนแรกคิดว่า จะมาถูกทาง
    ในที่สุด ความตั้งมั่นตั้งใจของพระตถาคตเจ้า ไม่มีคำว่าถ้อถอยหรือลดละในความเพียร ยิ่งเอาชีวิตเดิมพัน
    ก็เพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงนั้น คืออะไรกันแน่ และแล้ว ก็หันมาบำเพ็ญเพียรทางจิต
    (((จำไว้นะ ทางจิต)))
    จนสำเร็จธรรมขั้นสูงสุด หรือตรัสรู้ธรรม เป็นพระอนุตตระสัมมะสัมโพธิญาณในที่สุดได้แล้ว
    ต่อมาภายหลัง มีกำลังมากเกินไป มากจนมองไม่เห็นคำว่า ตัวตนหรือตนเอง
    นอกจากทรงโปรดปัจจวัคคีทั้ง๕แล้ว ยังไปโปรดทั้งผีเปรต ผีสัพเวสี มนุษย์ เทวดา พรหม ทั้งหลายเป็นต้น
    นับตั้งแต่ตรัสรู้มาแล้ว พระองค์ท่านไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย หรือคำว่าท้อ เพราะจิตรู้ ตื่น เบิกบาน นี่เอง


    เมื่อก่อน ข้าพเจ้า เคยได้ยินคำว่าๆนี้มานานมาก นั่นก็คือ พระพุทธคุณ แต่มิได้สนใจเลย
    ไม่แปลกใจเลย เพราะว่า ศีลก็ไม่มี สติก็มีเท่าคนทั่วๆไป ใครดีก็ดีกลับ ใครเลวก็จะเลวกลับไปสองเด้ง เป็นต้น

    นี่แค่กล่าวความดีของพระตถาคตเจ้าแค่ หลังตรัสรู้ นี่ยังไม่นับตั้งแต่ออกจากวังไปเข้าป่า
    หากพูดถึงความดีของพระตถาคตเจ้าทั้งวัน ทั้งคืน ก็ยังไม่กล่าวไม่หมดเลย
    พระองค์ทิ้งทั้งหมดทั้งหลายในโลก หากผู้ปฎิบัติที่พอจะเข้าถึงธรรม ย่อมเข้าถึงพระรัตนตรัย
    หรืออารมณ์พระพุทธเจ้าได้ หากได้แล้ว ทุกท่านก็คงจะเข้าใจความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอย่างดี
    ดั่งจิตบุญ คู่แฝดล่าสุด ติดตามอ่านกันดูนะว่า สองดวงจิตนี้ ไปสัมผัสอะไรมาบ้าง นอกจากธรรมในจิต
    โดยเฉพาะ อารมณ์ของพระพุทธเจ้า พยายามเข้าให้ถึง หากถึงแล้วย่อมมีกำลังใจสูง
    สูงมากกว่าคนปกติ หากผู้ปฎิบัติท่านใด มีจิตใจดั่งพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันตเจ้าแล้วก็จักเข้าใจดี
    ดูแค่ตัวอย่างหลวงพ่อฤาษีฯของพวกเรา พวกเรารู้ไหมว่า ทั้งชีวิตพ่อนั้น ร่างกายไม่มีคำว่า สบายเลย
    ป่วยตลอดเวลา แต่ทำไม ปฎิบัติทะลุกลายเป็นพระอรหันต์ แถมเป็นที่พึ่งพาอาศัย พึ่งใบบุญจากพ่อของเรา
    แต่ทำไม ลูกพ่อ หลานพ่อ ทั้งๆที่ยังมีชีวิตที่สุขสบายกว่าพระตถาคตเจ้า พระอรหันตเจ้า เช่น หลวงพ่อฤาษีฯเป็นต้น
    ทำไมไม่ดู และมองไม่เห็นความดีของพระองค์ท่าน หรือหลวงพ่อของเราเลยหรือ...

    หากพวกเรามองเห็นคุณงามความดีของพระตถาคตเจ้า ดั่งหลวงพ่อฤาษีฯของพวกเรา
    แล้วพวกเราจะมานั่งเฉยดูดาย ไม่สนใจใยดีผู็คนที่เขากำลังทุกข์ ที่หลงเบียดเบียนกัน
    หลงด่าว่านินทากัน อะไรอีกต่างๆนานา มองเห็นเฉพาะแค่ความสุข ความทุกข์ของตนเอง เท่านั้นหรือ
    สำหรับผู้ที่ยังออกจากทุกข์ไม่ได้ ก็ไม่ว่ากัน แต่ผู้ที่ออกจากทุกข์ หรือผู้ที่ออกจากรูปนามได้แล้ว
    ห่รือว่าท่านจะหนีไปพระนิพพานคนเดียวก็เอานะ ตามใจ
    หากไปนิพพานจริง แล้วจะเอาหน้าหรือมองหน้าพระตถาคตเจ้า หรือหลวงพ่อฤาษีฯยังไง
    แล้วจะไปตอบคำถามท่านพ่อ หลวงพ่อยังไง หากผู้ใดกำหนดจิตไปถึงท่าน แล้วท่านพ่อ หลวงพ่อฝากบอกมาอย่างไร
    ให้ไปคิดเอากันเองนะ สำหรับผู้ที่มีกำลังใจสูง หรือคิดว่า ตนละหรืออยู่เหนือคำว่า รูปนาม หรือขันธ์๕ตน


    ปล. จิตบุญ ระยะหลังๆนี่้
    คอยดูนะว่า... จะมีกำลังใจมากเกือบทุกคน เพราะด้วยเหุตุใด
    พวกเรา หมายถึงตัวข้าฯ หรือครูสอนจิตเกาะพระ ไม่ต้องไปตามหาด้วย
    เพราะเหมือนจะมีบางสิ่งไปตามหรือดลจิตให้มาเรียน
    แต่พวกเรามีหน้าที่แค่ตรงกลาง หรือยกจิตแค่ชั่วคราวเท่านั้น
    นอกนั้นจะเป็นหน้าที่บบ.ต่อไปฯ เช่น
    แต่ตอนต้นก็คือ ดลจิตต้องให้มาปฎิบัติธรรม และหลังจิตยกจะเป็นหน้าที่ของบบ.
    สาธุ...


    ภูทยานฌาน
     
  18. chunya_kung

    chunya_kung Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +27
    <IMG id=TB_Image alt='​








    View Raw Image' src="http://oi59.tinypic.com/20pu0as.jpg" width=399 height=300>


    [FONT=TH SarabunIT๙]“พระรัตนตรัย” รักแท้ที่มีอยู่จริง[/FONT]<O:p</O:p

    รักแท้คืออะไร....

    [FONT=TH SarabunIT๙]ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะตอบว่า.....คนที่รักเราด้วยความจริงใจ รักโดยไม่หวังผลตอบแทน อยู่เคียงข้างเมื่อเรามีความทุกข์....[/FONT]<O:p</O:p

    [FONT=TH SarabunIT๙]คงมีหลายๆ คนที่พยายามไขว่คว้าและแสวงหารักแท้ตามนิยามความคิดของตนเอง[/FONT]

    [FONT=TH SarabunIT๙]แต่จะมีสักกี่คนที่จะพบเมื่อความต้องการของคนเราไม่เคยสิ้นสุดลงเลย[/FONT]<O:p</O:p



    [FONT=TH SarabunIT๙]แต่ตอนนี้จิตดวงนี้ได้พบแล้ว “พระรัตนตรัย” คือรักแท้ที่แสนบริสุทธิ์ยิ่งกว่าความรักใดๆ ในโลกนี้ [/FONT]<O:p</O:p


    [FONT=TH SarabunIT๙]พระพุทธคุณพระมหากรุณาธิคุณอันสุดประมาณที่ทรงเสียสละตลอดพระชนม์ชีพเพื่อโปรดชาวโลกและสรรพสัตว์ทั้งหลาย[/FONT]<O:p</O:p


    [FONT=TH SarabunIT๙]พระธรรมคุณตัวแทนแห่งความรัก และพระเมตตาของพระพุทธองค์ที่ทรงให้ไว้คอยชี้นำแสงสว่างให้กับชาวโลก [/FONT]<O:p</O:p


    [FONT=TH SarabunIT๙]พระสังฆคุณตัวแทนแห่งความดี ผู้สืบทอดพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง[/FONT]<O:p</O:p


    [FONT=TH SarabunIT๙]หากดวงจิตใดได้สัมผัสถึงความรักในดวงแก้วทั้ง 3 ประการนี้แล้ว[/FONT]

    [FONT=TH SarabunIT๙]จะรู้ว่า “พระรัตนตรัย” ได้ครอบคลุมนิยามคำว่ารักแท้ ทุก – ทุก นิยามจนหมดสิ้น [/FONT]

    [FONT=TH SarabunIT๙]จนคุณไม่ต้องการความรักใดๆ อีกแล้วในโลกใบนี้ [/FONT]



    [FONT=TH SarabunIT๙]ชัญญา[/FONT]
    [FONT=TH SarabunIT๙]จบ.144[/FONT]<O:p</O:p
     
  19. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ผมก็เจอรักแท้แล้วอ่ะคับ:p
     
  20. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ไม่รู้จักไลน์!!!!!(ทำเครื่องหมายตกใจ อิๆ)
    ปล.แบบนี้เป็นเพื่อนซี้ผมได้อ่ะป่าว?:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...