จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]
    สาราณียกรรม6หลักแห่งความสามัคคี ประกอบด้วย

    1. เมตตามโนกรรม หมายถึง การคิดดี การมองกันในแง่ดี มีความหวังดีและปรารถนาดีต่อกัน รักและเมตตาต่อกัน คิดแต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ต่อกัน ไม่อิจฉาริษยา ไม่คิดอคติ ไม่พยาบาท ไม่โกรธแค้นเคืองกัน รู้จักให้โอกาสและให้อภัยต่อกันและกันกันอยู่เสมอ

    2. เมตตาวจีกรรม หมายถึง การพูดแต่สิ่งที่ดีงาม พูดกันด้วยความรักความปรารถนาดี รู้จักการพูดให้กำลังใจกันและกัน ในยามที่มีใครต้องพบกับความทุกความผิดหวังหรือความเศ ร้าหมองต่างๆ โดยที่ไม่พูดจาซ้ำเติมกันในยามที่มีใครต้องหกล้มลง ไม่นินทาว่าร้ายทั้งต่อหน้าและลับหลัง พูดแนะนำในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ พูดอย่างใดก็ทำอย่างนั้น ไม่โกหกมดเท็จ

    3. เมตตากายกรรม หมายถึง การทำความดีต่อกัน สนับสนุนช่วยเหลือกันทางด้านกำลังกาย มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่เบียดเบียนหรือรังแกกัน ไม่ทำร้ายกัน ให้ได้รับความทุกขเวทนา ทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องต่อกันอยู่ตลอดเวลา

    4. สาธารณโภคี หมายถึง การรู้จักแบ่งปันผลประโยชน์กันด้วยความยุติธรรม ช่วยเหลือกัน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เอารัดเอาเปรียบ และมีความเสมอภาคต่อกัน เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันอยู่เสมอ

    5. สีลสามัญญตา หมายถึง การปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อบังคับหรือวินัยต่างๆอย่าง เดียวกัน เคารพในสิทธิเสรีภาพของบุคคล ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน ไม่อ้างอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ถืออภิสิทธิ์ใดๆทั้งปวง

    6. ทิฏฐิสามัญญตา หมายถึง มีความคิดเห็นเป็นอย่างเดียวกัน คิดในสิ่งที่ตรงกัน ปรับมุมมองให้ตรงกัน รู้จักแสงหาจุดร่วมและสงวนไว้ซึ่งจุดต่าง ของกันและกัน ไม่ยึดถือความคิดของตนเป็นใหญ่ รู้จักยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นอยู่เสมอ


    Cr. Fb.พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    *********************************************


    ขอเจริญในธรรม ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.14
     
  2. Nooboonsawan

    Nooboonsawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +189
    <IMG id=TB_Image alt='


    View Raw Image' src="http://oi57.tinypic.com/nqtod4.jpg" width=480 height=360>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2014
  3. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    ผมอยากเจอหลวงพ่อซักครั้งนึง ผมชอบฟังธรรมะของท่าน ฟังแล้วสบายๆ หัวใจโล่งปลอดโปร่งบอกไม่ถูก
    (ถูกจริตผมหน่ะครับ อิๆ)
     
  4. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]


    เร่งรัดบารมี...ไปนิพพาน
    โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง


    บารมีนี่มันเร่งได้ ถ้าเราต้องการชาตินี้จริงๆ
    ก่อนภาวนาทั้งหมดให้ทุกคนคิดถึงทุกข์เสียก่อน
    ให้สร้างความเข้าใจตามความเป็นจริงว่าวันนี้ทั้งวัน
    เรามีงานอะไรบ้างงานทุกอย่างมันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์
    ความทุกข์เข้ามาครอบงำเราทุกวัน มันเบียดเบียนเราทุกวัน
    นั่นคือความหิว ชิฆัจฉา ปรมา โรคา

    ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง ความหิวเป็นทุกข์
    การปวดอุจจาระปัสสาวะก็มีกับเราทุกวันก็เป็นทุกข์
    ถ้าเรายังเกิดอย่างนี้มันก็ต้องทุกข์อย่างนี้ และความแก่
    ก็ครอบงำเราทุกวัน การป่วยไข้ไม่สบายก็เข้ามายุ่งกับเราทุกวัน
    ในที่สุดความตายก็เข้ามาถึง มันเป็นทุกข์อย่างหนึ่งมันค่อยๆ
    เห็นนะ แต่ว่าทั้งๆ ที่เราค่อยๆ เห็นเราก็ตัดสินใจง่ายๆ
    ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์มันทุกข์อย่างนี้ เราก็จะขอเกิด
    เพียงชาติสุดท้าย

    ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี
    จะไม่มีสำหรับเราอีกต่อไป เราต้องการนิพพาน หลังจากนั้น
    ก็ภาวนาจับลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่าพุทโธเรื่อยไป
    หรือว่าท่านผู้ใดได้มโนมยิทธิก็ขึ้นไปนิพพาน แต่ว่าท่าน
    ที่ไม่ได้มโนมยิทธิจะใช้อุปสมานุสสติกรรมฐานก็ได้
    ภาวนาว่า นิพพานะ สุขัง

    หมายความว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าเราทำอย่างนี้ทุกวัน
    สักวันละ 2-3 นาที ไม่ต้องมาก แล้วก็เวลาจะตายจริงๆ ถ้าป่วย
    ใกล้ตายจริงๆ อารมณ์อย่างอื่นมันจะตัดไปหมดจิตมันจะวางเฉย
    ในทรัพย์สินทุกอย่าง ในบุคคล และมันก็จะวางเฉยในร่างกาย
    ของมันเอง.

    จากธรรมปฏิบัติเล่ม17 หน้า95-96

    Cr.Fb.ชนะ สิริไพโรจน์

    *******************************************

    ขอเจริญในธรรม ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.14​
     
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ทำไมปฏิบัติธรรม จึงหายจากโรคได้...

    พระอาจารย์เล็ก อธิบายเรื่อง "โรคภัยไข้เจ็บ"

    ถาม : (เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ)

    ตอบ : โรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับกาฝาก สภาพร่างกายของเราเหมือนต้นไม้ ถ้าจะแยกกาฝากออกจากต้นไม้ได้ จะต้องมองให้เห็นจริง ๆ ว่า ต้นไม้ก็ไม่ใช่ต้นไม้...กาฝากก็ไม่ใช่กาฝาก


    ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมา ถ้าหากเราเข้าถึงความจริงแท้ก็จะเป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่เป็นสมมติกับปรมัตถ์จะอยู่ร่วมกันไม่ได้อยู่แล้ว ก็จะต่างคนต่างไป ทำให้หายจากอาการเจ็บป่วย

    บางทีเราจะสงสัยว่า ทำไมบางคนปฏิบัติธรรมหายจากโรคได้ เพราะท่านเห็นความจริงตรงจุดนี้ ไปลองพยายามดู..ถ้าหากบุญพาวาสนาช่วย เราเข้าถึงจริง ๆ ว่า สิ่งไหนเป็นสมมติ สิ่งไหนเป็นปรมัตถ์ แยกออกจากกันได้ ก็จะกลายเป็นต่างคนต่างอยู่ เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเราได้ แล้วเขาก็จะไป ตัวใครตัวมัน

    ความเจ็บป่วยเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ทำให้เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา และมีแต่ความทุกข์ ในเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็หมดความอยากที่จะเกิด เราก็เอาใจเกาะพระเกาะนิพพาน เท่ากับเรามีโอกาสหลุดพ้นสูงกว่าคนอื่นเขา

    เห็นทุกข์เห็นสภาพเป็นจริง ว่าร่างกายมีปกติเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็หมดความต้องการ ท้ายสุดก็คิดว่าเราอยู่กับร่างกายแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชดใช้กรรมไป จบจากชาตินี้เราก็ไปนิพพานแล้ว

    โดยเฉพาะคำว่าชาตินี้ บางทีฟังดูว่าไกล เราต้องคิดว่าเราอยู่กับร่างกายแค่วันนี้วันเดียว หรืออยู่กับร่างกายแค่ชั่วลมหายใจเดียว พ้นจากวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เห็นวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า หรือไม่ก็เราหายใจออกก็ไม่รู้จะได้หายใจเข้าหรือไม่..ก็จะพ้นไปแล้ว เราจะรู้สึกว่าแค่เดี๋ยวเดียว ก็จะไม่ทุกข์ทรมานมากนัก

    บางคนเขาสงสัยว่า อาจารย์ป่วยหนักขนาดนี้แล้วอยู่ได้อย่างไร ก็อยู่กับร่างกายวันเดียว พรุ่งนี้ก็ไม่มีแล้ว ถ้าอยู่ถึงพรุ่งนี้ ก็อยู่แค่อีกวันหนึ่ง แต่อาการป่วยนี้ดี..ทำให้ไม่อ้วน เพราะโรคเอาไปกินหมด ไม่เหลือไว้ให้เลย

    ถาม : ถ้าเราคิดว่าเราอยู่แค่วันเดียว ?

    ตอบ : นั่นยังหยาบไป เอาแค่ลมหายใจก็พอ หายใจออกเราอาจจะไม่ได้หายใจเข้าก็ได้ หายใจเข้าเราอาจจะไม่ได้หายใจออกก็ได้ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก เราจะพ้นจากร่างกายนี้ไปแล้ว

    ในเมื่อรู้สึกว่าเราจะพ้นจากร่างกายในชั่วอึดใจนี้ ก็จะอยู่ด้วยความปีติปลื้มใจ เพราะเราไม่ต้องทุกข์กับร่างกายนาน แค่ชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ถ้าพ้นจากตรงนี้ก็ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าที่นิพพาน ที่อื่นไม่เอาแล้ว

    ถาม : รู้สึกแย่

    ตอบ : แต่ละคนไม่มีใครไม่แย่หรอก สมัยก่อนรบทัพจับศึกกันมาตั้งเท่าไร ฆ่าเขาเอาไว้ตั้งเท่าไร ใช้คืนเขานิดหน่อยไม่ได้หรือ ?

    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓

    ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
     
  6. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    อ ริ ย สั จ จ์
    (ฉบับกระเป๋า)

    ทุ ก ข์ ก็คือ ขันธ์๕ของตนเอง
    นักภาวนา นักปฎิบัติธรรม จะรู้จักคำๆนี้ เป็นอย่างดี
    โดยไม่ต้องไปสงสัยอีกต่อไปฯ

    ส มุ ทั ย ก็คือ ตัณหาฯทั้ง ๓ ประการนั้น
    หมดตัณหา คือหมดความทยานอยาก เขาเรียกว่า ดับตัณหาหรือตัดตัณหา
    ใครเป็นผู้รู้ ใครเป็นผู้ดับหรือตัด คำว่า ตัณหา
    นั่นก็คือ จิตปัญญาไปจนถึงจิตธรรม หรือธรรม(ตัดคำว่าจิตออกไป)
    จิตธรรมก็คือ จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต
    เมื่อจิตกลายเป็นธรรมเสียแล้ว จิตก็คือธรรม นั่นเอง
    จิตธรรม ก็คือจิตเข้าถึงธรรม คือจิตพบธรรม หรือ จิตพบสภาวธรรม
    จิตพบสภาวะจิต ก็คือ จิตเห็นจิต คือเห็นเจตสิกชัด นั่นเอง

    นิ โ ร ธ ก็คือ ดับไม่เหลือ คือดับทุกข์ คือตัณหาดับ คืออาการอยากมันหายไปจากจิตใจ
    ดับไม่เหลือ ก็คือ การดับอารมณ์ต่างๆ คือการอยู่เหนืออารมณ์จิต(เจตสิก)
    ถือเป็นภาวะหรืออาการนิพพานอย่างหนึ่ง

    ม ร ร ค ก็คือ หนทางแห่งการพ้นทุกข์
    หรือวิธีออกจากทุกข์ ก็คือ วิธีออกจากขันธ์๕
    วิธีออกจากขันธ์๕ ก็คือ การอยู่เหนือ คำว่า ขันธ์๕ ทั้งปวง

    โดยเฉพาะ คำว่า มรรค สำคัญที่สุด
    นักภาวนาทั้งหลาย จำเป็นต้องทำให้เจริญขึ้น
    คำว่า เจริญขึ้น ก็แปลว่า การทำจิตตนเองให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปอีก

    หากนักภาวนา ไม่สนใจในมรรคตนเท่าที่ควรแล้ว
    ฉะนั้น คำว่า ทุกข์ คำว่า สมุทัย คำว่า นิโรธ
    จักไม่เกิด หมายถึง ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก คำว่า ปล่อยวางแน่
    สักแต่รู้ เท่านั้นเอง ไม่มีความหายอันใด
    เพราะนักภาวนา นักปฎิบัติธรรม เขาทำเพื่ออะไร
    หากไม่ใช่ คำว่า หลุดพ้น หรือ ปล่อยวาง เป็นต้น

    อาทิเช่น หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง หากละเอียดเข้าไปอีก นั่นก็คือ หลุดพ้นวัฎฎะ
    การปล่อยวาง น่าจะปล่อยวางเป็นอันดับแรกสุด นั่นก็คือ อารมณ์ของจิตนั่นเอง
    หากปล่อยวางอารมณ์ไม่ได้ คืออยู่เหนือตัวสังขารขันธ์ไม่ได้
    หากจะวางคนอื่นหรืออย่างอื่นๆ คงยาก!

    ปล. การปฎิบัติธรรม มิให้เราไปดูอย่างอื่น หรือไปสนใจอย่างอื่น
    แต่ให้ ดู ก า ย ใ จ โดยเฉพาะจิตของตนเป็นหลัก
    การเข้าถึงการปฎิบัติ ก็คือ การเข้าให้ถึง คำว่า ภาวนา
    การภาวนา ก็คือ เราต้องเข้าให้ถึง คำว่า พระรัตนตรัย

    เพราะฉะนั้น คำว่า การปฎิบัติธรรม พระให้พวกเราดูของใกล้ตัวที่สุด
    นั่นก็คือ กาย+ใจของตนเอง
    มิใช่ ให้เราไปสนใจสิ่งนอกจิต เช่น นิมิต อภิญญา เป็นต้น
    และไม่ต้องไปตามหาไกล คำว่า นิพพาน
    เพราะนิพพานนั้น ก็อยู่ในอก ก็อยู่ภายในใจเรานั่นเอง

    การปฎิบัติธรรม พระให้พวกเรามุ่งเน้น ปล่อยวางกิเลสตัณหาฯในขันธ์๕ของเราเองนี้
    การปฎิบัติธรรม ก็คือ การภาวนา
    การภาวนา ก็เพื่อให้เกิด คำเหล่านี้ เช่น สติ สมาธิ ปัญญา
    แต่มีกฎหรือข้อห้าม ก่อนลงมือปฎิบัติ ก็คือ ต้องรักษาศีลหยาบ(ศีล๕)เป็นอย่างต่ำ
    ทำไม พระต้องบอกว่า ให้ผู้ปฎิบัติรักษาศีลของตนก่อน
    ก็เพราะว่า หากผู้ปฎิบัติไร้ศีล ไม่รักษาศีล เมื่อทำไปๆ ก็ไร้ประโยชน์ เช่น
    ความหมายอย่างหยาบ เช่น นิวรณ์หรือกิเลสมักคอยรบกวนจิต
    มิให้ ผู้ปฎิบัติเข้าถึงหรือพบกับคำว่า บุญกุศล หรือ ความสงบสุขภายใน
    ความหมายอย่างละอียด ก็คือ ไม่เจริญในธรรม คือ จิตไม่เป็นสมาธิ
    พอจิตไม่เป็นสมาธิ จิตก็ไม่มีปัญญา (ใช่ไหม)
    เพราะคำว่่า สมาธิ เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ที่จิตเราจะนำไปวิปัสสนา(รู้ภายใน)
    และหากไม่ทรงสมาธิอย่างต่อเนื่อง เราก็จะรู้อย่างเดียว แต่วางไม่ได้ทันทีทันใด
    เพราะสมาธิขาด เพราะขาดเจริญปัญญาต่อเนื่อง
    ตัวรู้หรือตัวผู้รู้ จึงรู้วางไม่ได้ วางไม่เป็น
    เพราะอาการจิตเหมือนหลอดไฟ คือติดๆดับๆ มิใช่ จิตเห็นเกิด-ดับนะ คนละเรื่องกัน

    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติธรรม อย่าหลงตามหาสิ่งเหล่านี้ เช่น
    ...ไปตามหา อดีตหรืออนาคตตนหรือผู้อื่น
    ...ไปตามหา นิมิตหรืออภิญญา
    ...ไปตามหา โลกจักรวาลใหม่ เป็นต้น


    แต่ให้ตามหาตัว ปัญญา หรือ ปัญญาญาณ ตน
    หากพบแล้ว ยกเว้น คำว่า พระรัตนตรัย พระนิพพาน
    สำหรับอย่างอื่น สิ่งอื่นๆ ก็หมดความหมายไป โดยปริยาย

    หากผู้ปฎิบัติเดินมรรคไม่ครบถ้วน หมายถึง เจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต่อเนื่อง
    เพราะกงล้อแห่งธรรมของเราจะหมุนได้ ก็ต่อเมื่อธรรมทั้ง ๓ อย่างรวมกันหรือเข้ากันเป็นอย่างดี
    หากผู้ใด นึกไม่ออก พวกเราเคยเห็นเครื่องหีบอ้อยกันไหม หีบอ้อยจนเป็นน้ำอ้อยมีรสหวานหอม
    หรือส้มตำก็ได้ เมื่อนำมะละกอและเครื่องปรุงมาใส่ครกแล้วก็ตำ จนกลายเป็นส้มตำสามรสน่าทาน

    เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ปฎิบัติเจริญสติภาวนา หรือขยันสร้าง สติ สมาธิ ปัญญา
    คำว่า ปัญญาญาณหรือญาณ มันจะไปไหนเสีย
    มันก็ยิ่งจะรู้มากขึ้นไปอีก
    เพราะฉะนั้น คำว่า ปล่อยวาง ก็ง่าย ตามไปด้วย

    ภูทยานฌาน
     
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    ธ ร ร ม ะ
    ส ง ก ร า น ต์


    เที่ยวสงกรานต์ปีนี้ฯ
    ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุข+ปลอดภัย กายใจตนแลคนรอบข้าง รวมทั้งสมบัติต่างๆด้วย
    ให้ทุกท่านเล่นน้ำอย่างสุภาพชน คือเล่นอย่างมีศีลมีธรรม ไม่ล่วงเกินกายใจผู้อื่น
    เพราะบาปจะติดตัว
    หากผู้ใดเล่นน้ำ ก็จงเห็นธรรม ก็คือเวลาสาดน้ำคนอื่นไปแล้ว
    ให้จิตมองเห็น ความไม่เที่ยงเป็นต้น
    เมื่อสาดน้ำไปแล้ว เราเรียกน้ำกลับคืนไม่ได้

    เมื่ออารมณ์ตนเกิด ไม่ว่าจะดีหรอไม่ดี ก็ขอให้เรานึกถึงน้ำที่สาดทิ้งไปแล้ว
    แต่ทำไม เมื่ออารมณ์ต่างๆของเราเกิดขึ้นมาแล้วย่อมดับไป เป็นธรรมดา
    อย่านำเอาอารมณ์นั้นๆมาเป็นตัว เป็นตน หรือเป็นเราขึ้นมา
    เช่น ความโกรธ เป็นต้น

    เมื่อเห็นธรรมกันอย่างนี้แล้ว ต่อไป ให้เรานึกถึงคุณของพระพุทธเจ้ากันให้มาก
    มากแล้ว ปิติเกิดแล้ว สุขเกิดแล้ว ต่อไป จักสัมผัสอารมณ์ของพระพุทธเจ้าได้ง่าย
    เมื่อพบแล้ว รับอารมณ์ได้บ้างแล้ว ก็จักทำให้บ่อยๆจนกลืน จนจิตกลายเป็นพระในที่สุด
    ทีนี้ละ อย่าหลงไปตามหาจิต หาความรู้สึกแบบมนุษย์โลกอีกต่อไป
    ทรงไปนะ ทรงไป ทรงอารมณ์ในขณะรับรู้หรือสัมผัส พระองค์ท่านอยู่ไม่ไกลจากเรา ใช่ไหม
    หากรับอารมณ์ได้ อย่าอื่นก็หมดความหมาย
    แต่ระวังจิตเราจะไปยึดอารมณ์อันละเอียดเข้าไปอีกชั้นนึงกันนะ
    จิตรู้อะไรก็ให้กำหนดไปว่า มันใช่เรา มันใช่ของเราไหม
    แม้นกระทั่ง ตัวจิต คือตัวผู้รู้ คือจิตปัญญาก็ตาม
    ก็กำหนดไปเช่นเดินว่า มันใช่เรา ใช่ของเราไหม
    พระบอกว่า ให้พวกเราทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไป เราจะมีอะไรหลงเหลืออีกไหม
    ดับไม่เหลือเท่านั้นแหล่ะ

    ธรรมะก็อ่านไป ฟังเทศน์ฟังธรรมไป หรือใครชอบสวดก็สวดไป
    อะไรก็ตามที่พวกเธอทำกัน หากเป็นบุญ เป็นกุศล ท่านก็จะได้ตามนั้นเอง
    หากไม่ใช่ ก็ตัวใครตัวมัน จิตใครจิตมัน กรรมใครกรรมมัน เด้อ สาธุ

    ท้ายนี้ฯ ขอให้จิตพวกเราร่มเย็นเหมือนน้ำ ร่มไม้ริมห้วย
    ขอให้ศีลธรรมของตนเอง จงนำพารอดพ้นบ่วงมาร นำพาสุขสงบเพียงอย่างเดียว
    ใครระลึกหรือนึกถึงพระตถาคตเจ้าฯ ขอให้ผู้นั้น จงหลุดพ้นด้วยความทุกข์ทุกประการด้วยเทอญ..สาธุ

    ภูทยานฌาน
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    *** พูดปดเพราะเกรงใจ ***

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ เรื่องศีล ๕ มีอยู่ข้อหนึ่งที่รักษายากคือ ข้อมุสาวาท ห้ามพูดปด ความจริงไม่อยากพูดปดหรอกค่ะ แต่ด้วยความเกรงใจเขา ถ้าเราไม่พูดปดเขาก็ยิ่งเกลียดแล้วจะทำอย่างไรดีคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ไม่พูดปดก็หมดเรื่อง แต่ความจริงคำว่า “มุสาวาท”ถ้าไม่เข้าใจก็รู้สึกรักษายาก การพูดไม่ตรงตามความเป็นจริง แต่เต็มไปด้วยความเมตตา อันนี้ไม่เรียก มุสาวาท

    อย่างสมมติว่า คน ๒ คนทะเลาะกันอยู่ อีกคนหนึ่งมาหาเราแล้วก็ไปนั่งนินทาคนนั้น ที่นี้พอเขาไปแล้ว อีกคนหนึ่งถามว่า “เมื่อกี้เขามาว่าอย่างไรเขานินทาฉันหรือเปล่า ? ”
    ถ้าเราพูดตามความเป็นจริง คน ๒ คนก็จะทะเลาะกันใหญ่ เราบอกว่า “เปล่าเขามาพูดธรรมดาๆ ไม่เห็นว่าไรเธอ”
    ไอ่นี่ไม่ตรงตามความเป็นจริง แต่เป็นพรหมวิหาร ๔ สงเคราะห์ให้เขา ๒ คน ไม่แตกร้าวกัน อันนี้ไม่ขาด ศีลข้อ มุสาวาท จะขาดต้องทำลายประโยชน์เขา แต่นี่รักษาประโยชน์ พระพุทธเจ้าก็ใช้ พระสารีบุตร ก็เคยใช้มาก่อน ใช้แล้วก็มีผลให้บุคคลนั้นบรรลุมรรคผล แต่ผลให้มีความชื่นใจ อันนี้ก็ยังดี
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    อรุณสวัสดิ์เช้าวันหยุด

    กายเดียว จิตเดียว

    รู้กายเดียว ...จิตเดียว ...ไม่เกี่ยวข้อง
    สติจ้อง ...รู้จิต ...ปลิดสังขาร
    ทั้งดีชั่ว ...ปล่อยไป ...ไม่รำคาญ
    ชนะมาร ...ภายใน ...ใช้ปัญญา

    กำหนดรู้ ...กายจิต ...ไม่คิดแส่
    ตัดกระแส ...สมุทัย ...ไกลตัณหา
    แจ้งประจักษ์ ..ในไตร- ...ลักษณา
    จับอัตตา ...ฆ่ามัน ...ให้บรรลัย

    อัตตาตาย ...กลายเป็นพระ ...ละกิเลส
    พ้นวิเศษ ...ปรากฏ ....ความสดใส
    พระพุทโธ ...โผล่รู้ ...ดูภายใน
    ให้จิตใจ ...ชื่นบาน ...พ้นมารยา

    เราเขียนกลอน ...สอนใจ ...ใช้ความคิด
    ให้ญาติมิตร ...ตริตรึก ...ได้ศึกษา
    ดำเนินตาม ...ทางตรง ...ปลงปัญญา
    มีดวงตา ...เห็นธรรม ..ประจำเอย.

    Cr...FB 26 พุทธศตวรรษ
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    อย่าท้อนะ..คนดี
    เป็นกำลังใจให้กันและกันเสมอ
    น้ำยังมีขึ้น มีลงเลย
    ทำไม๊ จิตใจของคนเรา จะไม่มีขึ้น มีลง จริงป่าว..
    มีสุขย่อมมีทุกข์ คละเคล้าหรือปะปนกันไป ตามประสาของคนทางโลก
    หากไม่ประสงค์ หรือไม่ต้องการทุกข์ ปฎิเสธสุขทางโลกกันได้ไหม
    หากตอบว่า ไม่ได้ งั้นทุกข์เราก็หนีไม่พ้น
    ความจริง ไม่มีใครหนีพ้นได้จริงๆหรอก
    สิ่งที่พอจะหนีทุกข์ได้นั้น นอกจากทุกข์ทางใจเท่านั้น
    แต่จะมีได้แค่พระอริยเจ้าหรืออริยบุคคล ที่เขาบำเพ็ญเพียรดับ เพียรตัดกิเลสกันตนเท่านั้น
    ส่วนใครจะทุกข์มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญา หรือระดับปัญญาผู้นั้นเอง
    เช่น หากมีทุกข์มาเยือน..
    หากเราเป็นปุถุชน คนธรรมดาหรือผู้ไม่เคยฝึกจิต ย่อมเป็นทุกข์มากมาย
    หากเราเป็นพระโสดาฯ ทุกข์ที่เคยมีมาก่อน จะลดลงมากมายทันตาเห็น
    หากเป็นพระอรหันต์ อันนี้ไม่มีแล้วคำว่าทุกข์ทางใจ มีแค่ทุกข์ทางกายเท่านั้น
    หากกายทุกข์มาก ท่านก็จะหนีเข้าฌานสมาบัติไปเลย หมดเรื่อง
    แต่คนธรรมดา แม้นกระทั่งผู้ปฎิบัติธรรมแล้วก็ตาม ยังตามหา ยังควานหาจิตตนไม่เจอ
    จึงเท่ากับยังหนี คำว่า ทุกข์ ไม่พ้น
    หากเรามิใช่พระอรหันต์ แต่เคยได้สมาธิหรือฌาน อาจหนีทุกข์ได้ชั่วคราว
    แต่ยังดีกว่าไม่มีอะไร หรือไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อความทุกข์มาเยือน

    เพราะฉะนั้น ลองๆไปถามไถ่กับผู้ปฎิบัติกันดูนะว่า จริงหรือไม่จริง
    คำว่า สุขหรือทุกข์นั้น อยู่ที่จิตใจเรา ทุกคนรู้หมด แต่มีปัญหาอยู่ที่ว่า
    หาทางดับทุกข์ตนไม่เป็น
    ส่วนผู้ที่ไม่ทุกข์ คือผู้ที่เข้าใจ คำว่า ทุ ก ข์ นั่นเอง
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ตามนั้นเลย สาธุ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 เมษายน 2014
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    สวัสดีปีใหม่ไทย ๒๕๕๗

    สุขสันต์วันสงกรานต์

    พี่น้องชาวไทย...



    <embed width="440" height="420" type="application/x-shockwave-flash" src="http://v8.tinypic.com/player.swf?file=qpjkso&s=8"><br><font size="1"><a href="http://tinypic.com/player.php?v=qpjkso&s=8">Original Video</a> - More videos at <a href="http://tinypic.com">TinyPic</a></font>​
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    Cr.. Nooboonsawan ​
     
  17. Nooboonsawan

    Nooboonsawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +189
    ผู้เข้าใจทุกข์ ก็คือผู้ที่เข้าใจ " กายใจ" ของตนเองนั้นเอง จงอย่าหลงผิด คิดว่ากายใจนี้ เป็นของดี น่ารักน่าใคร่ น่าชื่นชม อยู่อีกเลย เห็นจะมีดีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือ เป็นห้องเรียน ให้เราได้เรียนรู้ความจริง ความจริงนี้ ก็คือ กายใจ นี้คือ กองทุกข์ ที่เราไม่ควรยึดถือ ควรอย่างยิ่งที่จะละ ปล่อย วาง เพราะถ้าเราไม่ยอมวาง เราก็ย่อมต้องเกิดมาเป็นเจ้าของกองทุกข์นี้ อยู่ร่ำไป ....ความทุกข์ที่เกิดกับเราในวันนี้ เราจะโทษใครดี ถ้าไม่ใช่ตนเอง...ที่ไม่ยอมลงมือเดินตามทางที่พระพุทธองค์ ทรงวางไว้ให้แล้ว...สาธุ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    www.facebook.com/photo.php?v=10151829542348507

    พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?
    (เรียกสติกันก่อน ก่อนเรื่องจะบานปลายไปกว่านี้)

    กำลังรักกัน เมตตากัน คอยสงเคราะห์ช่วยเหลือกันและกัน
    หรือ..
    กำลังเกลียดกัน โกรธกัน กำลังคิดจะทำร้ายซึ่งกันและกัน

    แล้วหันมาดูสัตว์เดรัจฉานกันบ้าง
    สำหรับมนุษย์ ที่เรียกตนเองว่า..สั ต ว์ ป ร ะ เ ส ริ ฐ
    ลองถามตนว่า..ใจเราประเสริฐ?
    เพราะบางคนทำเหมือนมิใช่คน
    หรือมีกายเป็นคน แต่จิตใจเป็นสัตว์ อย่างนั้นหรือ

    อันนี้ไม่ได้ว่าตำหนิใครๆนะ พูดกลางๆ อย่าเอาความรู้สึกตนเองตัดสิน
    หากผู้ปฎิบัติย่อมระงับตัวสังขารขันธ์ของตนเองได้
    แต่หากไม่หรือไม่รู้จักระงับ ก็จะยิ่งสร้างกรรม สร้างเวรที่ไม่ดีต่อเนื่องและตลอดไป
    จิตใจของผู้คนอันหลังนี้ เกิดกี่ภพ เกิดกี่ชาติ ก็หาความสุขยาก

    รู้นะ เข้าใจแล้ว ว่า คนเรามีกรรมนำมาเกิดด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    แต่หากวันนี้ เราไม่เริ่มทำกรรมเฉพาะดีกันแล้ว ย่อมเป็นไปตามกรรมที่กระทำมาครั้งอดีต จึงถูกต้อแล้ว
    แต่คนเราลืมไปว่า มีอยู่สิ่งเดียวที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนเองได้
    นั่นก็คือ บุญหรือกุศล
    บุญก็คือบุญ บาปก็คือบาป อย่านำมาหักลบกลบหนีกัน
    เพราะมันคนละเรื่อง แต่ส่งผลเหมือนกัน
    ว่าแต่ว่า ชาตินี้บุญหรือบาปกำลังส่งผล ขึ้นอยู่กับอันไหนแรงกว่า

    ปีใหม่ไทยนี้ ขอให้ทุกๆท่านจงพบแต่ความสุข ความเจริญด้วยเทอญ..สาธุ
    หากผู้ใด มีความประสงค์อยากจะพบความสงบ ความสุข(ถาวร)ของตนเอง
    ก็ให้เดินตามหรือปฎิบัติตาม..พระตถาคตเจ้า นั่นไง
    ส่วนผู้ใดไม่ปฎิบัติตามพระตถาคตเจ้า จึงพบแต่ความร้อนใจ ทุกข์ใจไปตลอด
    ทุกข์ให้เข็ด เพราะวันหน้าท่านจะเห็นธรรมเอง

    เพราะในขณะนี้ โลกนี้ ไม่ว่าคนหรือสัตว์
    กำลังต้องการความรัก ความเมตตาและความช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 เมษายน 2014
  19. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    พระอาจารย์เล็ก อธิบายเรื่อง "การขออโหสิกรรม"

    ถาม : การขออโหสิกรรม ถ้าไม่ได้ขออโหสิต่อหน้าอีกฝ่าย แต่ขอผ่านโทรศัพท์ ผ่าน sms
    ผ่าน e-mail ผ่าน facebook หรืออื่น ๆ ถ้าอีกฝ่ายตอบว่าอโหสิกรรม ถือว่ากรรมขาดจากกันหรือไม่ครับ ?

    ตอบ : ขาด...ขอให้ยอมรับเท่านั้น ถือว่าโจทก์หรือจำเลยรับรู้ทั้งคู่ แล้วยินดีให้อภัยอีกด้วย

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖

    ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
    ภาพประกอบ : งานทำบุญครบรอบปีที่ ๔ บ้านวิริยบารมี ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๗
    (มีการขอขมาพระอาจารย์เล็กเนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ไทย)​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2014
  20. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...