ระดับอุปจาระสมาธิกายกับจิตแยกจากกันหรือยังคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย M_Y, 2 ธันวาคม 2013.

  1. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ในกระทู้นี้ ฟังได้ทุกคน ยกเว้น telwada ครับ ลองไปอ่านในลายเซ็น telwada แล้วจะเข้าใจ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ครับผม พอจะเข้าใจกิริยาทางจิตของคุณอยู่ครับ..
    เด่วลองอ่านดูทั้งหมดจะเข้าใจนะครับ
    และก็แนวทางปฏิบัติด้วยครับ
    พวกกิเลสส่วนละเอียดต่างๆอะไรพวกนี้หละครับตัวสำคัญมากเลยครับ
    เป็นตัวที่เราเคยแพ้เค้ามาในอดีตทั้งนั้นหละครับ.การที่เค้าจะมีกำลัง
    เพราะว่าเรามีหนทางที่กำลังจะชนะได้จึงไม่แปลกที่เค้าหาทุกวิธีทาง
    ที่จะขวางเราให้ได้นั่นหละครับ.ถ้าลองสังเกตุดูนะครับ..
    วิธีที่แรกๆที่เค้าใช้คือการขวางการสร้างความดีของเรา
    และต่อมาถ้าเค้าขวางตัวนี้ไม่ได้.ก็จะมาในรูปแบบความฝัน
    เพื่อทดสอบนิสัยบางอย่างที่เราไม่เคยคิดทำในขณะลืมตา..
    และลำดับต่อมาถึงจะมาถึงในระดับที่คุณเจอและมักจะมาควบคู่คือ
    มาเล่นตัวหลักๆที่ให้บารมีทางธรรมเราตกลงได้เร็วถ้าสติเราทันก็จะ
    ไปแหย่ในส่วนของเรื่อง ความโกรธ ความหลงผิด ความโลภต่างๆ
    ที่น้อมไปสู่การปรามาสอะไรก็ตามเพื่อลดบารมีทางธรรมเราให้ตกลง
    ทำให้ส่งผลถึงการปฏิบัติของเราที่ล่าช้าและห่างไกลออกไป เหมือนกับ
    ว่าเราทำไปเพื่ออะไร ได้อะไร และไม่รู้อะไรนั่นหละครับ.ซึ่งจริงๆแล้ว
    ก็ไม่แปลกครับ.และไม่แปลกที่เราจะยังไม่ผ่านเลยซะทีเดียว.ด้วยภาระ
    หน้าที่ทางสมมุติเราอีกส่วนหนึ่ง..ผมจึงพยายามแนะนำว่าอย่าไปเน้น
    ในเรื่องที่จะทำให้จิตว่างมากกว่าการรักษาอารมย์ระหว่างวันนั้นหละครับ
    ที่บอกว่าจากวินาทีพัฒนาเป็นนาทีให้ได้...

    และการที่เราปฏิบัติมาถึงจุดนี้และเราเข้าใจว่าเหมือนเรามาเริ่มนับใหม่
    แสดงว่าเราเดินมาถูกทางแล้วครับที่ไม่หลงกลไปกับการหลอกหล่อให้
    เผลอนึกว่าเราคนดี ไม่ว่าจะเหนือกว่าใคร หรือ ว่าด้อยกว่าใคร.ทำให้เรา
    รู้สภาพตัวเราจริงๆ.จะได้ไม่ประมาทหรือหลอกตัวเองไปวันๆแบบไม่รู้ตัว
    .เอาง่ายๆก็ได้ครับ.ถ้าเราตายตอนนี้จิตเราคิดถึงอะไรและอยู่ที่่ไหน.
    นี่ก็เป็นบททดสอบได้ดีเหมือนกันครับ พวกนี้จะขึ้นมาปิดเราไว้ทันทีครับ..
    .สำหรับบางคนดูสิ่งที่พบเห็นในสมาธิก็ได้ครับ.
    กำลังสติประมาณคุณน่าจะพอแยกได้ว่านิมิตรไหนจริงนิมิตรไหนหลอก.
    .ถ้าเราดีจริงๆเคยมีพระสงฆ์ มีพระพุทธ มีเทพ มีพรหม แวะมาโมทนากับเราหรือไม่.
    หรือไปไหนได้รับการต้อนรับที่ดีจากภพภูมิ
    ณ สถานที่นั้นๆหรือไม่.มีดวงวิญญานมานั่งรอเราเป็นระเบียบให้เรา
    อุทิศส่วนกุศลให้เราทำอะไรได้รับความเกรงใจจากทางภพภูมิหรือไม่
    แต่ต่อให้เรามีอย่างที่กล่าวมาเด่วกิเลสละเอียดส่วนนี้ก็จะตามไปขวาง
    การสร้างบารมีเราในเรื่องนี้อีกเหมือนเดิม..
    หรือเราลองคิดดูเล่นๆว่าความดีเราตอนนี้จิตเราอยู่ระดับไหนก็ได้ครับ
    แต่ได้แค่ไหนก็แค่นั้น.ช่างมันไว้ก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เค้าจะวางจริงๆ.
    .หรืออีกกรณี กำลังทำฟันลองยกจิตดูครับว่าตอนนี้เราไปอยู่ที่ไหน
    หรือพบเจอใคร.อย่างน้อยก็เพื่อเตือนๆตนไว้จะได้ไม่ประมาท
    ที่คุณเข้าใจตัวเองมาอย่างนี้ตอนนี้ถือว่าดีแล้วครับ..

    และกิเลสละเอียดอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นเชื้อที่ลงเหลืออยู่ที่ทำให้เราต้องวนเวียนอยู่ในไตรภพนี้เลยก็ว่าได้ครับ
    .และเค้าก็ฝั่งอยู่ในจิตเรามานาน
    และจะมาผุดขึ้นมาปรุงร่วมกับเรื่องราวในชาตินี้เพื่อพยายามทุกอย่าง
    ที่จะขวางการเข้าถึงความดีของเราครับ..เพราะเค้าต้องกันเราทุกวิธีทาง
    เพราะกลัวเราจะไม่ได้กลับมาเกิดอีกครับ..เล่าตั้งนานทีนี้มาดูวิธีการนะครับ
    ตรงจุดนี้สำคัญนะครับต้องอ่านดูดีๆนะครับ
    ผมจะแนะนำแบบลืมตาให้ครับเพราะเข้าถึงง่ายกว่า..
    ไว้ถ้าคุณคล่องในระดับอุปจารสมาธิแบบเข้าได้ไม่ถึงนาที
    หรือคุณไปฝึกกสิณในระดับบังคับปฏิภาคนิมิตรได้เพื่อนำกำลังสมาธิตัวนี้
    มารักษาอารมย์ระหว่างวันให้นานขึ้นค่อยมาคุยกันอีกทีครับเพราะมันอาจจะยาก
    ไปสำหรับคุณในช่วงนี้และคุณอาจจะไม่เข้าใจที่ผมสื่อถ้าพื้นฐานการปฏิบัติ
    คุณยังเข้าไม่ถึงและไม่ได้แบบที่ผมกล่าวมาข้างต้น....
    ในระดับที่แนะนำนี้คุณต้องไม่ลืมการสร้างสติรวมช่วงเอี่ยว
    เพื่อเอากำลังสมาธิตัวนี้มาหนุนและรักษาอารมย์ให้ถึงระดับฌาน ๑
    คือเสียงหรือภาพอะไรไม่มาทำให้จิตเราหวั่นไหวหรือกระเพือมได้.
    ในระหว่างวันให้ได้นะครับถึงจะทำได้.และสังเกตุกิริยาทางจิตให้ดีๆร่วมด้วย
    ว่าคุณทำอย่างที่จะแนะนำไปนี้จิตคุณจะลงสู่อาการจิตว่างได้ไหมนะครับ
    ถ้าเป็นอกุศลสัญญานะครับ.พอมันผุดขึ้นมา.คุณสังเกตุดูว่ามันจะขึ้นอยู่วน
    เวียนซ้ำๆกันหรือเปล่าและเราเปลียนแปลงเรื่องราวไม่ได้

    ในขณะที่จิตกระเพื่อมด้วยหรือไม่..พอเรามีสติทันมันก็เปลี่ยนเรื่องทันที
    หรือดับไปและมันแอบขึ้นมาอีกพอเราเผลอสติ...หรือมันขึ้นมาแบบนิ่งๆแต่
    จิตไม่กระเพื่อมแต่มันปรุงไปในทางอกุศลล้วนๆ..ถ้าขึ้นมาลักษณะอย่างนี้
    ถ้าเรารู้เร็วให้รีบดับด้วยการภาวนาหรือกำหนดดับหรือนับนิ้วอะไรก็แล้วแต่
    แต่ส่วนมากถ้าคุณมาถึงจุดนี้มันจะปรุงไปนานพอสมควรให้ดับเหมือนกัน
    .แต่มันจะไม่ลงง่ายๆให้เทียบกับสังโยชน์ ๑o หรือป้อนความคิดดีๆเข้าไปซ้ำๆนะครับ
    .มันจะดับลงได้แต่มันจะแอบขึ้นมาอีกรอบ
    พอรอบนี้ถ้าเราทันอีกอย่าพึงรีบไปดับ.ปล่อยมันไปแต่ห้ามใช้ความ
    คิดอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีนะครับ.คือคล้ายหายๆใจทิ้งไปเรื่อยๆ ไม่ต้อง
    ไปสนใจมัน ทำเฉยๆไว้(ช่วงนี้สำคัญนะครับ).จิตอาจจะมีการกระเพื่อมแต่ไม่
    ใช่กระเพื่อมแบบส่ายไปมาซ้ายขวาเหมือนกับที่จิตรวมกับความคิดนะครับ.
    จะกระเพื่อมแบบวูบวาบขยายเป็นวงกลม.ก็ให้เฉยๆไว้ครับ

    .พอเฉยๆเรื่อยๆ.มันจะวางของมันเอง.แต่ความรู้สึก
    ของอารมย์ยังคงอยู่นะครับ..ช่วงนี้หละครับอีกไม่นานในขณะที่เราไม่รู้ตัว
    จะเกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้.และมันจะอัตโนมัติรวดเร็วมาก
    จะคล้ายๆเราอ่อๆ แต่เราไม่รู้ว่าเราอ่ออะไร และพยายามนึกก็นึกไม่ออก.
    จิตคุณจะเข้าสู่ความว่างได้ทันทีครับ..จะรู้สึกถึงความเย็นโล่งๆ.สบายๆทันที
    เหมือนตัวเบาๆครับและคุณจะลืมๆเรื่องนั้นไปเลยหรือถ้าเกิดเหตุ
    การณ์ในเรื่องนั้นขึ้นมาอีกจิตเราจะเฉยๆมากๆไม่สนใจ.
    ประมาณว่าเราจะมองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาไปเลย
    .พยายามทำให้ถึงจุดนี้ให้ได้ซักครั้งจะถึงจะเข้าใจที่ผมเขียนครับ
    และจะทำแบบตั้งใจทำก็ไม่ได้.ถ้าไม่ตามขั้นตอนอย่างที่บอกไม่ต้องซีเรียส
    เน้นการรักษาอารมย์แทนก็พอ.บางทีกว่าจะทำได้บางคนเป็น ปีๆหรือทั้งชาติยังไม่เคยเกิดก็มีครับ.
    แต่ของคุณไม่เกินเดือนเดียวก็ทำได้ครับ.
    มีขั้นตอนประมาณที่ได้แนะนำมาลองอ่านดีๆหลายๆรอบนะครับ.

    ที่นี้พอทำตัวนี้ได้ใช่ว่าจะจบมันจะมีตัวที่มาควบคู่กันที่จะยังเหลือในส่วนของ โลภ โกรธ หลง
    แบบละเอียดอีกตัวนี้ไม่ใช่ตัวที่มาลดบารมีเรา
    แต่จะเป็นตัวที่จะดึงให้เราเกิดตัวนี้เพื่อขวางการเข้าสู่ในการรักษา
    อารมย์ระหว่างวันครับ..ตัวนี้ต้องมาอาศัย
    สัจจะบารมีในการ ลด ละ พวกนี้ค่อยๆทำไป.ควบคู่อย่างที่ได้แนะนำก่อนหน้า.
    อาการทางความคิดที่ดึงให้ลดบารมีทางธรรม.และอกุศสัญญาต่างๆมันถึงจะค่อย
    หายๆไปครับ.แต่ต้องทำหลักการอย่างนี้ให้ได้ทุกๆเรื่องนะครับ...
    ปล.ตอนนี้อาจจะเข้าใจยากหน่อย.แต่ง่ายๆถ้าคิดอะไรไม่ออก.คือ
    รักษาอารมย์กระทบระหว่างวันให้นานที่สุด..เรื่องอกุศลต่างๆที่ขึ้นมาดับให้หมด
    ถ้ามันลงยากเทียบกับสังโยชน์ไว้..ต่อไปจะทำแบบที่ผมแนะนำได้แบบไม่รู้ตัว
    และจิตจะว่างได้นานขึ้น จากวินาที พัฒนาเป็นนาที..พอเข้าตรงนี้ได้บ่อยๆต่อไป
    การรักษาอารมย์ระหว่างวันจะเป็นปกติ.และความสามารถทางจิตของคุณ
    จะกลับฟื้นคืนมา.และถึงจะสามารถใช้กำลังจิตในระดับใช้งานได้ตลอดเวลา
    แบบไม่เสื่อมสภาพไปตามร่างกายครับ...

    ปล.สำหรับคุณช่วงนี้แนะนำได้ประมาณนี้ครับ ขอบคุณครับ
     
  3. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ขอบคุณมากค่ะคุณnopphakan พูดได้ตรงจุดพอดีเลยค่ะ ที่กลุ้มใจเพราะนึกว่าตัวเองเป็นอยู่คนเดียว ดิฉันคงต้องใช้เวลาฟื้นฟูกำลังจิตตัวเองสักพัก เพราะก่อนที่จะเป็นแบบนี้ รู้สึกว่าจะประคองจิตให้อยู่เหนืออารมณ์ได้ไม่ยาก เป็นอาทิตย์ก็เคย แต่คำว่าอยู่เหนืออารมณ์ของฉันไม่แน่ใจว่า มีความหมายเดียวกับที่หลายคนเข้าใจหรือเปล่าค่ะ (เคยทำได้ดีตอนช่วงที่ไม่ค่อยพบเจอผู้คนนานๆ) อยากกลับไปทำได้แบบนั้นอีก แต่ก็สภาวะจิตในขณะนี้ เหมือนตกต่ำกว่าเมื่อก่อนมากเลยค่ะ ตอนนี้พอความกลัวหาย ก็พยายามๆดึงจิตให้สูงขึ้น แต่ช่างยากจริงๆค่ะ บางทีหน้าตาของความกลัวตัวนี้ที่เจอมา อาจเป็นวิบากกรรมในอดีตชาติที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ก็ได้ค่ะ เพราะตั้งแต่จำความได้ ก็เคยรู้สึกกลัวแบบนี้แต่ไม่รู้ว่ากลัวอะไรแค่นั้น นึกเรื่องที่กลัวไม่ออก แต่เหตุของความกลัวนี้ในชาตินี้ ดิฉันรู้เลยทำให้รู้สึกกลัวหนักกว่าหลายเท่าค่ะ
    ช่วงคาบเอี่ยวเพิ่งจะเข้าใจค่ะ ช่วงนี้จะเน้นการฝึกสติให้มีกำลังค่ะ รู้สึกว่าจิตตัวเองต้องการสติมากๆค่ะ และที่สำคัญในเวลานี้คือตัดความรู้สึกผิดออกจากใจไม่ได้ค่ะ รู้สึกเหมือนตัวเองบาปหนาเหลือเกินถึงความกลัวจะหายไป แต่ความรู้สึกผิดยังอยู่ค่ะ ตัดยากจัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ธันวาคม 2013
  4. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220

    อ่อ ขอบคุณค่ะ อยู่ใกล้ๆนี่เอง
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้ามันยังเป็นของเรา ยังเป็นเราอยู่ มันก็วางยาก
    ถ้ารู้เมื่อไหร่ ว่ามันไม่ใช่ของเรา มันก็วางง่ายขึ้น
     
  6. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    กว่าจะรู้ได้แจ่มแจ้งและเข้าถึงในความจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เอาแค่ตรงนี้ให้รอดก่อน ค่ะ ถ้าผ่านมันไปได้โดยเด็ดขาดแล้ว คงเป็นเรื่องที่ไม่ยากนักที่จะจัดการกับสภาวะธรรมต่อต่อมา
     
  7. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ท่าน noppakan..
    คุณเป็นคนมีเมตตามากนะครับ สุภาพ อ่อนโยน ไม่ถือตัว ใจดีภาษานุ่มนวลมากแม้ถูกตอกกลับ แสดงว่าฝึกมาดีครับ สาธุ ส่วนใหญ่คุณ รู้จริง(ความเห็นส่วนตัว) ผมสังเกตุได้จากการสนทนาด้วยครับ สำหรับผมช่วยแนะนำมากๆด้วยใจจริงครับ
    ส่วนพวกที่เข้ามาก็ด่าผม ดูถูกผม คนตั้งกะทู้ ทั้งที่ตัวเองไม่เคยคิดจะตั้งความเห็น หรือชอบดูถูกคนตั้งกะทู้..(ก็ผมอยากรู้เพราะผมไม่รู้ บางครั้งอยากเน้นย้ำความเข้าใจตนเองล่วงหน้ามั่ง) .. ส้นตีนแน่ะครับเอาไปเลย..
    ผมไม่ระรานใครก่อนเลยคุณไปหามา ยกเว้นไอ้สมีนิวรณ์ เอกวีร์ ..และพวกที่มาด่าผมก่อน ผมชอบคุยดีๆกับคนที่มาดีนะครับ วจีไพเราะ อิอิ
     
  8. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ยังมีความเข้าใจคลาดของเจ้าของกระทู้นะครับ
    ท่านเจ้าของกระทู้เอาการเจริญฌานมาถาม เป็นการเจริญวิปัสสนา
    ขออธิบายมีดังนี้นะครับ อุปจาระสมาธิ เป็นสมาธิที่ใกล้ฌาน แต่ก็ยังไม่ถึงจะยกจิตขึ้นสู่องค์ฌาน
    สำหรับการแยกกายกับจิตนั้นเป็นการเจริญวิปัสสนา จะใช้สมาธิเพียงขณิกสมาธิเท่านั้นยังไม่เข้าถึงอุปจารสมาธิ การแยกรูปแยกนาม หรือกายกับจิตนั้น ต้องเข้าสู่ญาณที่ ๑ ที่เรียกว่านามรูปปริเฉทญานนะครับ

    ฌานนั้นไม่สามารถแยกรูปแยกนามได้ เพียงการทำให้จิตสงบเข้าถึงฌาน ฌานใดฌานหนึ่งเท่านั้นหรือเมื่อได้ฌานถึงฌาน ๘ หรือฌาน ๙ ก็สามารถทำให้อภิญญาเกิดขึ้นได้

    ส่วนวิปัสสนานั้นไม่สามารถทำอภิญญาให้เกิดขึ้นได้เลย แต่วิปัสสนานั้นเมื่อเข้าถึงมรรคญาณก็จะทำการประหารกิเลสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
     
  9. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    อุปจระสมาธิ ยังไม่แยกครับ แต่ก็เริ่มๆละ

    ประฐมฌาณแยก 1ในส่วน

    1ประถมฌาณ

    2ทุติยฌาณ

    3ตะติตฌาณ

    4จตุตฌาณ

    ฌาณ มี ทั้ง 4 ขั้น

    ฌาณ4 หรือ จตุตฌาณ ละเอียดสุด ประณีตสุด

    กาย กับ ใจ หรือตัวเราจริงๆ แยกกันเด็ดขาด ที่ฌาณ 4 ครับ
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ข้าพเจ้าไปชมคุณตอนไหนขอรับ ไม่ได้ชมคุณสักนิด มีแต่สอนให้คุณได้รู้จักคำว่า สมถะกัมมัฎฐาน คุณก็แค่ชอบหลงผิด ชอบหลงคารม ชอบหลงคำหวาน คำสรรเสริญเยินยอ แถมอีกนิด หลงคำยุยง ของเจ้าพวก บ่างช่างยุ ความรู้ของเจ้า อินทรบุตร มันแค่หางอึ่งเท่านั้นขอรับ มันอยากให้คุณไปอ่านอะไร คุณก็ไปอ่านให้เกิดความเข้าใจเถิดขอรับ
    แต่ในความเป็นจริง ข้าพเจ้าก็คือ ข้าพเจ้า นั่นแหละ

    คุณไม่ได้รู้อะไร(ก็ความเขลาของคุณนั่นแหละ) เกี่ยวกับ สมถะกรรมฐานเลย ฮ่า..ฮ่า...ฮ่า...แค่..สมถกัมมัฎฐาน จะ "แยกจิต ออกจากกาย"
    คุณไม่ได้ปฏิบัติสมถะกัมมัฎฐานดอกขอรับ คุณปฏิบัติอะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่หลักพุทธศาสนาดอกขอรับ เชิญหลงไปตามทางของคุณเถิดขอรับ
     
  11. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220

    ทุกประโยคที่คุณพูดดิฉันถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะคะ

    หากคุณคิดอย่างนั้นก็ตามใจค่ะ เพราะดิฉันเองก็ไม่ได้ปฏิบัติดีเลิศอะไร และไม่มีเจตนาโอ้อวดอะไรด้วย แค่สงสัยผลจากการปฏิบัติอันน้อยนิดเท่านั้น วัตถุประสงค์หลักคือให้ได้มาซึ่งตัวปัญญาต่างหากล่ะ เพื่อพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นเท่านั้น
    คุณtelwada คำพูดของคุณช่างน่าขันนัก ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างน่าเป็นห่วงจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ธันวาคม 2013
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สิ่งที่คอยขัดขวาง ไม่ให้เห็นแจ่มแจ้งในความจริงนั้น มีแค่ทิฏฐิของตัวเราเอง มีแค่อย่างเดียวแค่นี้เอง หากวางทิฏฐิไว้ชั่วคราวก่อน ปฏิบัติให้จริงจัง มันไม่นานหรอกครับ
     
  13. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    สมาธิ แปลว่า ความแน่วแน่ตั้งมั่นของจิต

    อุปจารสมาธิ แปลว่า สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่าอัปปนาสมาธิ


    อุปจารสมาธิ - แยกแต่ยังไม่สนิทคะ ถ้าแยกแบบเด็ดขาดเลยคือ ญาณสี่ มันจะไม่รับรู้อะไรทางร่างกายทั้งสิ้น และไม่หายใจด้วย เป็นความรู้สึกประหลาดๆกึ่งคล้ายๆฝัน แต่มันไม่ใช่ฝัน เพราะเห็นทุกอย่างได้ชัดแม้ว่าตัวร่างกายเราจะหลับตา


    ญาณ ก็คือปัญญา แต่มักใช้ในความหมายที่จำเพาะกว่า คือเป็นปัญญาที่ทำงานออกผลมาเป็นเรื่อง ๆ มองเห็นสิ่งนั้น ๆ หรือเรื่องนั้น ๆ ตามสภาวะจริง

    มีการกล่าวถึงญาณในหลายลักษณะ หรืออาจจัดแบ่งญาณ ได้ดังนี้คือ ประเภทญาณ 3 จะมีด้วยกัน 3 แบบ คือ


    1. วิชชา 3

    2. ญาณในการ หยั่งรู้ ส่วนอดีตชาติ อนาคต หรือหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆในขณะปัจจุบันที่ไม่เห็นกับตาด้วยญาณ

    3. ญาณในการ หยั่งรู้ อริยสัจ


    อีกประเภท คือ ญาณ 16 และ วิปัสสนาญาณ 9

    อันนี้ปรากฏในวิปัสสนาจารย์ของสายพม่า รวมๆแล้ว
    จะไม่ใช่เรื่องญาณที่เกิดจากนั่งสมาธิ แต่จะเป็นระดับขั้นของการ ปฏิบัติตัวจนหยั่งรู้สิ่งต่างๆตามความเป็นจริง

    เช่นรู้ว่าเข้าใจว่าคนเกิดมาต้องตาย ก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาจึงไม่เศร้า, หรือ รู้ว่าหนอนมันน่าเกลียดแต่ก็ไม่รู้สึกกลัวหรือคะยักคะแหยงเพราะเข้าใจได้ด้วยการพิจารณาตามเหตุตามผล ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น, เห็นความเบื่อหน่ายกับการเวียนว่ายตายเกิดฯลฯ อะไรทำนองนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2013
  14. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    อ่านจนตาลายไปหมดเลย
    .....ถ้าถึงฌาน สี่ ธรรมเอกผุดขึ้น "...เหมือนสระน้ำบนยอดเขาใสสะอาดไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระนั้น จะพึงเห็น
    หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง
    หยุดอยู่บ้างในสระน้ำนั้น..." ผมเข้าใจเอาว่า ถึงฌานสี่ ตัวญาณ จะมองเห็นการทำงานของจิต ถ้าจิตไม่สงบ ตัวญาณก็ถูกบดบังมองไม่เห็น การทำงานของจิต เมื่อตัวญาณมองเห็นว่าจิต มีกิเลส ก็น้อมจิตให้ปราศจากกิเลส.... ประมาณนั้น จะเห็นได้ว่าฌานสี่ ตัวผู้รู้ที่เด่นขึ้นมาก็คือตัวญาณ นั้นเอง
    ....
    ....ตัวจิตไม่ต้องเข้าฌานหรอกครับ ตอนนี้ตัวจิตผมก็ชัดเจน รับรู้อะไรได้หมด จริงหรือเปล่า
     
  15. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    ที่ว่าไม่ต้องเข้าญาณก็ว่ารับรู้ได้ทั้งหมด แต่นั้นคือการรู้จากประสาทสัมผัสของกายหยาบเท่านั้น แต่จะสามารถรับรู้ได้ตามความเป็นจริง หรือเกิดปัญญานั้นก็อีกเรื่อง
     
  16. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    กายและจิตจะแยกจากกันได้ก็ขึ้นอยู่กะสองสภาวะ

    1. ขณะกำลังจะตาย


    2. ญาณสี่เป็นต้นไป ไม่เช่นนั้นหลวงพ่อต่างๆคงไม่พูดอยู่เสมอหรอกว่า ให้ฝึกเข้าออกญาณสี่ให้คล่อง ส่วนพวกที่แม้ไม่ต้องหลับตานั่งก็ จิตแยกกะกายได้อย่างรวดเร็วก็เพราะว่าชำนาญ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ใครจะเอาจิตออกจากร่างได้ง่ายๆ ทุกคนต้องทำสมาธิ ถึงญาณสี่เป็นอย่าต่ำทั้งนั้น เพียงแต่ พระบางองค์ ที่บำเพ็ญมาหลายกัป สามารถทำสภาวะจิตให้ถึงญาณสี่ได้ทันทีเพราะชำนาญการจะพูดว่า ระดับญาณไหนก็ถอดจิตได้ ถ้าสภาวะจิตถึงพร้อม เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2013
  17. ยากจะรู้

    ยากจะรู้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +18
    ในคลิปนี้ เริ่มนาทีที่ 29:28 นะครับ ผมก็ไม่ทราบว่าผิดถูกยังไง อ่านไม่เห็นภาพเริ่มสับสนhttps://www.youtube.com/watch?v=KOLT9mJpJNk
     
  18. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    คลิปนี้ ผมเปิดดูอยู่หลายตอน คุณแดงกีต้านี่..แค่คนจับความรู้สึกได้ สติเกิดแต่ไม่รู้จะต่อยังไง เขาแค่เห็นความรู้สึก..เขาบอกว่าอยู่กับตัวรู้ได้
    แต่รู้มีทั้งกุศลและอกุศล..ควรจะอยู่ที่ตัวรู้ ตัวไหน..รู้แล้วมันจะสงบ ระงับ คุณแดงไม่รู้จักสติตัวจริงแต่ก็พยายามสื่อให้คนเห็นคงคิดเองว่านี่คือที่สุดแห่งทุกข์แล้วไม่ต้องไปทำอะไร ก้เข้าใจกันไปอนุ อนุโมทนาครับ
    ต้องดู ครูบาบัญชา ตั้งไชย์วงษา นี่อีกคน จิตระเบิด3ชั่วโมงบรรลุธรรม เป็นความเข้าใจของท่านเอง ก็ไม่ผิดอะไร คนมีความรู้มาก-ทำธุรกิจอยู่เมืองนอก-วันหนึ่งจิตระเบิดแล้วปล่อยวางอบายมุขได้เอง จึงหันมาทำตนเองสมถะ พอเพียง จิตเข้าสู่ธรรมชาติเดิมๆคือ เข้าใจชีวิตว่าจะดิ้นรนไปทำไม ก็เมื่อตนเองก็รับได้เพียงเท่านี้ ..จิตตื่นในสัจจธรรมบางอย่างที่ตนเองไม่เคยเจอ แล้วก็หันหน้ามาทำประโยชน์ให้สังคม ไม่หันห้าเข้าสู่สังคมธุรกิจอีก คงจะเหนื่อยอย่างสาหัสในการทำธุรกิจมา เมื่อจิตตีกลับ จึงพบสัจจธรรมบางอย่าง คือสมถะกับชีวิตคือสุขอันแท้จริง ก็อนุโมทนาครับ:cool:
    แหมเรานี่บังอาจไปวิจารณ์ ผู้สำเร็จทั้งสองทีเดียว แค่มุมมองนะครับมิได้ดูหมิ่นอะไร สาธุ
     
  19. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    กรณีนั่งเอง

    คุณนพกานต์คะ อยากทราบว่าอย่างนี้ เค้าเรียกฌาณระดับไหนคะ ดิฉันเคยประสบมาทั้งสองแบบ คะ แบบหนึ่งเหมือนที่คุณบอก คือ ร่างกายปิดสภาวะการรับรู้ทางกายหมด จดจ่อเห็นแต่ภาพกสิณ หรือตัวดิ่ง ต้องฮึดอย่างหนัก บางทีก็ฮึดแล้วไม่ออก ต้องใช้กำลังสมาธิ เพ่งไปที่ความคิดว่าเราจะออก


    กรณีมโณ


    กับอีกแบบนี้ จะเป็นแบบว่านั่งสมาธิเข้าฌาณเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ลักษณะนั่งเอง แต่อยู่ในระหว่างฝึกมโณนะคะ สร้างกสิณพระ เห็นจนชัด อันนี้เป็นครั้งเดียวที่ดิฉันได้เห็นอภินิหารอะไรนิดหน่อยคือ สามารถเห็นห้อง เห็น สิ่งต่างๆได้ แม้ขณะหลับตาอยู่ แต่จะเห็นเหมือนตาเนื้อเลยอะคะ แต่ สภาวะทางกายไม่ปิด แบบกรณีแรกที่นั่งเอง
    กรณีมโณนั้น สามารถได้ยินเสียง รู้สึกทางสัมผัสได้ ถ้ามีคนมาแตะมือเราระหว่าง เข้าฌาณอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังประคองกสิณให้ชัดได้ และเกิดตาทิตย์หลังจากนั้น

    อาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์หลังจากผ่านมโณยิทธิ เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ดิฉันสามารถเห็นผีได้แม้ตอนกลางวันแสกๆ และสามารถบอกรายละเอียดการแต่งตัวของผีให้ แก่ผู้หญิงที่ผีเดินมากับเขา ผู้หญิงคนนั้นตกใจมากเพราะเธอบอกว่า เป็นลักษณะของสามีที่ตายของเธอซึ่งโดนฟ้าผ่า และเอารูปให้ดิฉันดู พบว่าเหมือนกับผีที่ดิฉันเห็น


    ดิฉันตั้งใจว่าถ้าได้ไปฝึกมโณอีกทุกอาทิตย์เวลากลับไปเมืองไทย จุตูปปาตญาณ ไม่น่าจะเกินความสามารถ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอบ ดีครับ..ถ้าจะถึงระดับนั้น.สิ่งที่มีผลให้เข้าถึงได้เร็วคือ.อย่าไปตั้งใจนะครับ
    เพราะการตั้งใจจะเป็นการปิดกั้นตัวเราเองนั่นก็คือใจ.ให้เปลี่ยนมาเป็นการเจริญ
    สติเพื่อไปทำความเข้าใจกับใจในระหว่างวันนะครับ..และเพิ่มเมตตาให้มากๆต่อ
    คนและสัตว์..ทำดีทั้งในที่หลับและที่แจ้ง..อย่าสนใจจริยาของบุคคลอื่น.
    เพิ่มความเสียสละให้มากขึ้นแม้ว่าจะไม่ใช่หน้าที่เราถ้ามันมีประโยชน์ก็ทำๆไป
    เวลานั่งอย่าไปนึกเปรียบเทียบว่าวันนี้จะต้องดีกว่าเมื่อวาน หรือบ่นว่าไม่เท่า
    วันก่อน ได้แค่ไหนแค่นั้น..ที่กล่าวมานี้ถ้าทำได้ด้วยเราจะได้รับการส่งเสริม
    จากสิ่งที่มองไม่เห็นเพื่อเป็นกำลังใจและช่วยให้เราเข้าถึงระดับที่เราว่าได้เร็ว
    กว่าทั่วๆไป..อืมๆ เรื่องอารมย์ถ้าคุณจะแยกสภาวะนะครับ.เราต้องเทียบด้วย
    ว่าเรากำลังฝึกอะไร และให้สังเกตุกิริยาเทียบเคียงดู
    กับแนวการฝึกด้วยครับ.มันถึงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ

    ปล.ประมาณนี้หละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...