ระดับอุปจาระสมาธิกายกับจิตแยกจากกันหรือยังคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย M_Y, 2 ธันวาคม 2013.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    แยกออกจากกันต่อเมื่อ จิต เป็นผู้รู้ ครับ

    ถ้าจิตเป็น ผู้รู้ มันจะตัดกาย ประสาทสัมผัสกายออกไป เหลือแต่ จิต ครับ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปัญญาธรรม ใน ศาสนาพุทธ จะต้องเป็น การเห็นการเปลี่ยนแปลง
    แปรปรวน หรือ สลัดคืน(ส่วนแปรปรวน)

    ปัญญาในทางธรรม ไม่ใช่ มืดตึ๊บ

    การฝึกให้ มื๊ดตึบ หรือ เสพภูมิ อเวจีมหานรก อันนั้น เอามีดเฉือนคอก็ได้
    จะไป เพ่งตัดช่องน้อยแต่พอตัวด้วยอำนาจจิต ทำไม

    ***

    จขกท สังเกตดีๆนะ

    ปัญญาที่ล้ำหน้า มันคือ อาการทาง สภาวะธรรมที่เรียกว่า ฝุ้งซ่าน

    คนที่ ปัญญาล้ำหน้ามากๆ จึง ฝุ้งซ่านสุดๆ

    ฝุ้งซ่านแล้ว เอามาประกอบกับ องค์ธรรม สมาธิ ปั๊ป มันคือ กริยาจิต การฆ่าตัวตาย

    ปัญญาในพระพุทธศาสนา ต้อง คล่องตัว มีประโยชน์ ทำประโยชน์แก่โลกได้
    ไม่ใช่ ตัดช่องแต่พอตัว หรือ คิดอ่านการณ์ใดๆ ไม่ได้ แบบนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2013
  3. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ยิงปืนกับ ชู้ดบาสอยู่ในขณิกสมาธิ ไม่ใช่หรอ ค่ะ ถ้าพิมอะไรขอโทษด้วย ตาลายล่ะ
    ก็เปิดใจนั่น แค่งงๆเท่านั้นเอง
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สมาธิทางโลก เรื่องทางโลก กับ สมาธิทางธรรม การปฏิบัติ การทำสมาธิ ต้องแยกให้ออกนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2013
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ทำสมาธิ ไม่มีความทรงจำหายนะครับ ไม่ว่าจะ สมาธิ หรือ ฌาน ก็แล้วแต่ครับ

    มีแต่คนขาดสติ เช่น คนเมาเหล้า สติไม่มี หรืออื่นๆ ที่จะจำอะไรได้มากกว่านะ

    ไม่รู้ว่า จขกท ใช้คำผิด หรือว่าเข้าใจ สื่อความหมายผิดหรือป่าวนะครับ


    และถึงไม่เมาเหล้า แต่ขาดสติ หรือ มีสติ แต่ไม่จำ ก็จำไม่ได้เหมือนกันนะครับ ไม่ต้อง ทำสมาธิหรอก

    ยกตัวอย่างเช่น ลองถามตัวเองดูว่า ตอนเช้า ตักเข้ากินเข้าไปไปกี่ครั้ง เคี้ยวไปกี่ครั้ง กินน้ำไปกี่อึก ดูครับ ว่าจำได้ไหม ความทรงจำหายไหม:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2013
  6. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    พอดีไม่ค่อยเข้าใจคำบัญญัติต่างๆ ใน ภาษาธรรมมะ อย่างลึกซึ้ง อ่ะนะ ขอโทษทีค่ะ
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กลับไปยังคำถาม

    ถ้า เจ้าของกระทู้ ไปฝึก พิจารณา ราคะ กามราคะ ( ไม่ใช่เรื่อง กาม อย่างว่า นะ
    กามราคะ เป็นภาษาธรรม หมายถึง การมีฉันทะในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มโนนึก )

    ถ้า เจ้าของกระทู้ ไปฝึก พิจารณา ราคะ เป็น

    เจ้าของกระทู้จะรู้เลยว่า ขณิกสมาธิ จิตก็แยกออกจากกาย ได้แล้ว !!

    ไม่งั้น เขาไม่เรียกว่า สุญญตาสมาธิ หรอก [ จิต ที่ไม่มี ราคะ คือ สุญญตา ]
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่าไปปล่อย หรือ อ่อนข้อให้กิเลส

    กิเลสนะ มันแสบ มันจะพาเราออกห่างจาก ธรรมะ

    ส่วนมาก มันจะ ผุดขึ้นเป็นคำพูดว่า " เราไม่รู้ สัทธรรม คำของ พระพุทธองค์เหล่านี้ "

    เพราะ ความไม่รู้ สัทธรรม เหล่านี้ เราจึง ไม่รู้ธรรมะ

    กิเลส มันจะหลอกให้เรา หยิบจับ ทิฏฐิแบบนั้น


    แต่ถ้า คุณ มีปฏิภาณพอ ไม่เชื่อกิเลส

    สังเกตดีๆนะ สัทธรรม คำของตถาคต ที่ตรัสไว้ดีแล้ว เหล่านี้คือ
    สิ่งที่ ควรใส่ใจ หรือ ควรจะสร้างกำแพงขึ้นกีดกันไม่ให้รับการสดับ กันหละ
     
  9. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ความทรงจำหายไป คุณน่าจะใช้คำผิดไปมากกว่า
    หมายถึง ดับผวังค์ คือไม่รู้สึกตัว เหมือนวูบไป
    ระหว่างที่วูบไป เวลาผ่านไปเท่าไร เราก็ไม่รู้ตัวเลย
    แต่ก็ไม่ได้หลับ เหมือนข้ามเวลามา
    อย่างนี้เรียกว่า ดับผวังค์ ยังไม่ใช่ฌาน ๔ ครับ
    และก็เกิดกันได้ทุกคน ส่วนมากเกิดในฌาน ๒
    อาการเกิดเพราะจับเมนหลักผิดจุด
    ไปจับที่คำภาวนาเป็นเมนและบังคับลมหายใจให้ตามภาวนา
    อารมณ์ของฌาน ๒ ละวิตกวิจาร
    เมื่อเราเอาคำภาวนาซึ่งคืออาการวิตกวิจารเป็นหลัก
    ไม่ไดกำหนดรู้ลมหายใจเป็นหลัก
    พอเข้าฌาน ๒ วิตกวิจารหาย จิตเราก็ไม่มีหลักยึด มันก็เข้าผวังค์ไป


    ถ้าอยากพัฒนาไปต่อ ต้องการให้จิตยังอยู่ ไม่ดับผวังค์
    ให้เจอสภาวะจิตนิ่ง จะต้องกำหนดให้ถูกต้อง
    คือกำหนดลมหายใจเป็นหลัก
    และกำหนดคำภาวนา ตามจังหวะลมหายใจ
    ให้เป็นธรรมชาติ ไม่ฝืน ไม่อึดอัด
    เมื่อยึดลมหายใจเป็นหลัก แล้วภาวนาเป็นรองเพื่อประคองไม่ให้ฟุ้ง
    เมื่อเข้าสู่ฌาน ๒ คำภาวนาหายไป แต่ลมหายใจจะยังสัมผัสได้อยู่ตลอด
    อยู่สัมผัสได้ไปจนเข้าฌาน ๔ จึงหายไป
    ฉะนั้น จิตจะมีหลักให้ยึดอยู่ตลอดไม่ดับผวังค์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2013
  10. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ไม่ผิดหรอกค่ะ จากประสบการณ์ตรงของเราเองค่ะ เรื่องมันยาวว เราโพสไว้ในห้องอภิญญาxp แน่ะ ความจำหายแต่สติอยู่ครบค่ะ ภาคปฏิบัติจริงอาจมีอะไรแปลกกว่านี้เยอะนะ อย่าเพิ่งปักษ์ใจเชื่อหรือไม่เชื่อ
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สงสัยต้องเข้าไปหาอ่านหน่อยละ

    แต่บอกตรงๆ ตามความเห็นผม

    อะไรหาย รู้ว่าอะไรหายแล้วมันจะหายได้อย่างไร แล้วเอาองค์ประกอบอะไรไปหาย เพราะขนาด อดีตชาติ ยังใช้ อตีตังสญาณ ไปดูได้เลยครับ :cool:

    .
     
  12. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ประสบการณ์ของฉันอาจไม่เหมือนคุณนะ
    ความจำหายไปหลังที่จิตตกภวังค์เห็นแสงสว่างจ้าไปแล้วค่ะ จากนั้นรู้สึกตัวแต่จำอะไรไม่ได้ เลยค่ะ (เพราะจำอะไรไม่ได้เลยไม่ได้ภาวนาต่อค่ะ เลยรีบออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้นมา แบบจำไม่ได้ว่าที่นี่ที่ไหน เราเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ จากนั้นค่อยๆนึก ความจำปกติก็กลับมาค่ะ
     
  13. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    อ๋อ ความทรงจำหายที่ว่า ไม่ได้หมายว่าลืม งั้นก็คงหมายถึงทรงอยู่ในฌาน
    อารมณ์จิตที่ละเอียด จะไม่ปรุงแต่ง ไม่เอาความนึกคิดความทรงจำมาใช้
    จะมีแต่ตัวรู้ รู้ว่าจิตนิ่งๆ สบายๆ อย่างนี้ละมั้งครับ งั้นไม่มีอะไรต้องวิตก เป็นปรกติครัย
     
  14. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ไม่รู้จะใช้คำพูดว่ายังไงดีค่ะ ปรมัตถ์กับบัญญัติ
     
  15. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ไม่ใช่ไม่เหมือนครับ แต่เหมือนกันเปะๆเลยล่ะครับ
    มันเป็นอาการที่ต้องเกิดสำหรับผู้ฝึกสมถภาวนาอยู่แล้วครับ
    เพียงแต่คุณสื่อออกมา และผมก็เข้าใจผิดเท่านั้นเอง
    เรื่องอาการนั้นๆ ผมก็เป็น ในระหว่างสมาธิ จิตละเอียด
    มีความสุข สบายใจ และไม่นึกไม่ออกว่า
    ลืมไปว่านั่งท่าไหนอยู่ นั่งหันหน้าไปทางไหน นึกไม่ออก
    ไม่ว่าความจำหายครับ แต่จิตมันละเอียดไร้การปรุงแต่งเฉยๆ ^^
     
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เข้าไปอ่านมาแล้วนะครับ

    บอกตรงๆ อาการเหมือนคนตื่นนอนใหม่ๆ มีสติอยู่ แต่จำอะไรไม่ได้ พอสักพักค่อยจำได้เลยละครับ


    ส่วนความเห็นผมจากที่อ่านมานะครับ

    คือ จิต เป็นสมาธิ จิต เข้าไปเห็นภพ เห็น จิต อยู่ครับ พอออกจากสมาธิปุบใหม่ๆ กลับมาสู่ร่างกาย หลุดออกมาสมาธิ เลยเกิดอาการเหมือนที่ จขกท เล่าอยู่ตามนั้นนะครับ

    จิตเสวยองค์อารมณ์สมาธิละเอียดอยู่ พอออกมาสู่กายหยาบ ตามไม่ทัน ก็เลยเป็นแบบนั้นนะครับ

    ซึ่งอาการของคุณคือ ความทรงจำไม่ได้หาย ครับ เหมือนอย่างที่คุณบอกว่า พอค่อยๆนึก ความจำก็กลับมาเหมือนเดิมค่ะ.. นั้นเองนะครับ เป็นแค่อาการ ครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2013
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ประมาณนั้นครับ ลองอ่านดูยาวหน่อยนะครับ.แต่คิดว่าประโยชน์..จะขออธิบายก่อนนะครับ.คำว่าความทรงจำของคุณ ความหมายเดียวกันกับความ
    คิดที่เกิดจากจิตกรณีที่ผมพูดให้ฟังก็คือตัวเดียวกันครับ.เพราะว่าฐานของ
    ความคิดตัวนี้มันอยู่ที่จิตครับ.ผมเลยใช้คำว่าความคิดที่เกิดจากจิต.
    เป็นสิ่งที่เรานึกได้ในขณะปัจจุบัน.เป็นความรู้ที่เราได้ ยินได้ฟังมาในชาตินี้
    นะครับ.ไม่ว่าจะมาแหล่งใดๆก็ตาม.จุดนี้เป็นประเด็นแรกนะครับ...

    ที่นี้มาประเด็นที่ ๒ ส่วนความทรงจำที่คุณถาม.ประเด็นแรกเรื่องการลืมสามารถลืมได้โดยธรรมชาติ
    ของสมองนะครับประเด็นนี้ขอให้เข้าใจตรงกัน..แต่ถ้าเป็นส่วนที่เป็นความทรง
    จำที่เคยอยู่ในจิตหรือที่จิตเคยเก็บไว้..ผมหมายถึงไม่ว่าจะความสามารถอะไรต่างๆ
    ก็ตามหรือว่าเหตุการณ์ต่างๆอะไรก็ตามที่เราเคยผ่านมาในอดีตชาติ
    หรือเคยมีความสัมพันธ์กับเรามาก่อนไม่ว่าจะชาติๆไหนก็ตาม
    หรือจะเป็นภูมิความรู้อะไรก็ตามที่คุณจำได้ชนิดที่ว่าฝังในจิต
    (บางทีเราก็เรียกว่าง่ายๆว่าความทรงจำนั้นหละครับในทางปฏิบัติเค้าเรียก
    ว่าความคิดตัวนั้นมันมีกำลังครับ)
    ตัวนี้จะยังอยู่.และก็จะยังไม่หายครับ.
    บางครั้งบางเรื่องผ่านไป ๑o หรือ ๒o ปี
    มันจึงผุดขึ้นมาได้ครับแต่ลักษณะการขึ้นมาของมันมักจะมาไม่เป็น
    เวลาต้องอาศัยองค์ประกอบหลายๆอย่างร่วมด้วย..
    .และไม่ว่าจะเป็นความทรงจำที่จิตเก็บไว้ได้หรือว่า
    แบบที่จิตดวงนี้ที่อยู่กับเรานี้เคยผ่านมาก่อนในอดีตชาติ.

    ถ้าเป็นเรื่องราวในอดีตชาติพอเราฝึกสมาธิมาถึงระดับหนึ่งเราจึงสามารถ
    ย้อนไปรู้อดีตชาติเราได้ไงครับ..หรือถ้าเป็นพวกความสามารถพิเศษ
    ถ้าเราฝึกมาถึงจุดหนึ่งคล้ายๆว่า การฝึกสมาธิเป็นการใช้คีย์ในการค้น
    ข้อมูลที่อยู่ในจิตเรานั่นเอง.บางคนมาถึงจุดนี้ได้ ความสามารถพิเศษ
    ต่างๆเค้าเลยกลับมาแบบไม่ต้องฝึกนั่นหละครับ..
    ที่นี้พอเรามาถึงในระดับกำลังสมาธิระดับกำลังฌาน ในความเข้าใจของ
    คนทั่วๆไปมักจะเข้าใจว่า ร่างกายแยกกันกับจิตอย่างเด็ดขาดซึ่งก็ไม่ผิดครับ..
    แต่มันเป็นการแยกกันอย่างเด็ดขาดชั่วคราว แต่ร่างกายมันยังทำงานอยู่ครับ
    แต่ว่ามันใช้พลังงานที่น้อยมากจนดูคล้ายเหมือนกันเสียชีวิต. และที่ตัดขาดเป็นระบบการควบคุมประสาท
    ของร่างกายคล้ายๆระดับอุปจารสมาธิ.และการเชื่อมโยงของร่างกายจะไม่มี
    เหมือนระดับอุปจารสมาธิ.คุณลองสังเกตุได้ครับ อารมย์อุปจารสมาธิอย่างที่
    บอกคือคล้ายๆว่า ใจมันไปแต่กายมันไม่ไป..แต่ระดับฌานนี้ ใจมันจะไม่นึกถึงร่างกายครับ.

    จะไปคิดว่าจะขยับแขนขยับขาอย่างนี้ไม่ได้ เพราะกำลังมันเลยจุดนี้ไปแล้ว.และกำลังระดับสมาธิระดับนี้
    จริงๆแล้วมันไม่ได้แยกกับกายอย่างเด็ดขาดนะครับ..
    คือถ้าเราเคยโดนทางภพภูมิมาจับกายทิพย์เราแล้วยก
    เราออกไปจากร่างกายนี้เลยเราถึงจะเข้าใจครับว่า
    จึงๆมันยังมีสายใยทิพย์ที่เชื่อมโยงจิตกับกายตัวนี้อยู่
    ทางด้านหลังเราครับ.และสายใยตัวนี้หละครับถ้าเค้า
    ปล่อยเราๆจะกลับเข้าร่างกายไม่ได้.หรือถ้าเราไปแบบไม่
    มีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิดูแลแล้วโดนกลั่นแกล้งพอกลับ
    มารวมกับกายเราจะกลายเป็นคนเพี้ยนๆ.ที่ต้องมาทำการรักษา
    การพอกกายทิพย์นั่นหละคับ.แต่ปัญหาคือใครจะทำให้เราแค่นั้นหละคับ
    .และระดับฌาน นี้คนที่นั่งสมาธิมาถึงจุดนี้ได้จริงๆ.
    จึงไม่ค่อยมีใครสามารถที่จะควบคุมจิตให้อยู่ในร่างกายได้ครับ.
    แต่จุดนี้นะครับ บางคนเค้าไม่ต้องฝึกเข้าก็สามารถมาถึงได้แบบไม่ตั้งใจครับ
    ถ้าของเก่าในอดีตชาติเค้ามี..แต่การจะมาฝึกแบบบังคับได้นั้น
    ต้องอาศัยความเพียรพอสมควรครับ
    .บางคนก็ลุกขึ้นมาเดินแล้วมองไปเห็นตัวเองนั่งอยู่ ถ้าเป็นในกรณีที่คุณนั่งสมาธิแบบดับวงจรการก่อตัวของจิตแล้ว.
    .จิตก็จะออกมานอกร่างกายเองของมันโดยที่เราไม่สามารถที่จะบังคับได้ครับ
    .อาการนี้เราเรียกง่ายๆว่าถอดจิตหรือถอดกายทิพย์นั่นหละครับ.
    แต่ครั้งแรกๆความสามารถของจิตจะยังไม่ไกลจากร่างกายเท่าไร
    .และเพราะกำลังระดับนี้เราจะไม่มีความคิดอะไรเลยครับ..เรียกว่าเป็นการ แยกส่วนรูป(กาย) กับ ส่วนนาม(จิต) แต่ยังไม่ใช่การ
    แยกรูปแยกนามแบบที่จะไปเดินปัญญาได้นะครับ
    ถ้าจะแยกรูปแยกนามในโหมดนี้คุณจะต้องควบคุมจิตไว้ได้
    ในระดับที่สามารถมองเห็นขันธ์ ส่วนนามธรรมได้ครับ
    ถึงจะเรียกว่าเป็นแยกรูปแยกนาม คือแยกส่วนนามธรรมกับนามธรรมครับ
    .และการมาถึงระดับนี้ที่แยกรูป(กาย)กับนาม(จิต)จึงยัง
    ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าเราจะเป็นคนดี หรือว่าว่ากิเลสในใจเราจะน้อยลงได้ครับ.
    .เพราะถ้าแยกมาแล้ว.ตัวจิตเราจริงๆมันจะซื้อบื่อครับมันคิดอะไรไปเป็น
    คนที่่นั่งสมาธิแล้วเผลอหลุดไปอรูปฌานจะเข้าดีครับ.เห็นแต่ดวงดาว
    เต็มท้องฟ้าไปหมด คิดอะไรก็ไม่ออก ซึ่งตรงนี้สามารถเป็นกันได้
    แบบไม่ตั้งได้เหมือนกันสำหรับนักปฏิบัติครับ.
    .และจิตเรามันมีแต่จะออกไปท่องเที่ยวอย่างเดียวตามสัญญาความจำได้
    เดิมของตัวจิตมันที่มันไปค้นพบเข้า.ที่เราเข้าใจว่า.เราไปยังสถานที่นั้นสถานที่นี้
    ไปเจอคนนั้นไปเจอท่านนี้นั้่นหละครับ..
    .
    และกำลังระดับฌานความจริงนะครับถ้าคนที่มาถึงจุดนี้โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมิจฉาทิฐิสูงด้วยครับ
    เพราะจะชอบคิดว่าตัวเองเก่ง.และยิ่งไปติดทางด้านฤิทธิ์ยิ่งบอกยากครับ.
    สังเกตุง่ายๆครับ.ใครบอกอะไรไม่เคยน้อมรับฟัง เอาความคิดของตัวเองเป็น
    ที่ตั้ง..เห็นใครดีกว่าชมเป็น..คิดว่าวิธีที่ตัวเองปฏิบัติอยู่ดีที่สุด.เถียงคอเป็นเอ็น
    แบบดำน้ำขุ่นๆ.คิดว่าคนเองปฏิบัติไม่ได้เหมือนตน ประมาณนี้หละครับ..
    เค้าเลยจึงต้องให้มาสร้างสติทางธรรม ด้วยวิธีอะไรก็ได้ขอให้อยู่ที่ฐานกาย.
    จะสติปัฏฐาน หรือเจริญสติในชีวิตประจำวันหรือ
    จะพิจารณากายด้วยการนับนิ้วหรือดูลมหายใจด้วยการภาวนาจะยังไงก็ได้แล้วแต่เหตุและปัจจัยแต่หลักๆ
    ก็คืออยู่ที่ฐานกายครับก็คืออยู่ในร่างกายนี้หละครับ..
    ..เพราะกำลังสติตัวนี้.คุณจะมองเห็นได้ต้องกำลังสมาธิระดับ
    กำลังฌาน นะครับในระดับอุปจารสมาธิเราจะมองไม่เห็นแต่มันจะคือตัวที่คอยฉุด
    คอยดึงตัวจิตไว้คล้ายความคิดแต่ไม่ใช่ความคิดที่ทำให้จิตกับการรวมกัน
    และก็มองเห็นไม่เห็นครับ.แต่ถ้ากำลังระดับฌาน ..จะเป็นตัวที่จะคอยตามดวงจิต
    เราตลอดเวลาครับ คนละตัวกับดวงจิตนะครับ.
    เป็นตัวที่ตามจิตตลอดแต่ไม่ใช่ตัวเดียวกันกับจิต ผมเปรียบจิตเป็นวงกลม
    กำลังสติตัวนี้คล้ายๆอุ้งมือที่คอยจะตะครุบจิตนั้นหละครับ...

    และคุณจะมองเห็นได้ชัดเจน..
    คล้ายๆว่าเป็นความคิดตัวหนึ่งที่มิใช่นิวรณ์ครับ..
    เป็นตัวที่ทำให้เราทราบคำตอบทุกอย่างในทางภพภูมิที่เราสัมผัส
    และเป็นคล้ายความคิดที่ไม่ทำให้กายกับจิตเรากับมารวมตัวด้วยครับ..
    และถ้าเรารู้จักการวางอารมย์เพื่อวิปัสสนาในจุดนี้จะทำให้เราเกิดปัญญา
    ทางธรรมได้ด้วยครับ.และสามารถตัดกิเลสได้ถึงส่วนละเอียดแต่การ
    เข้าถึงอารมย์นี้ค่อนข้างยากครับ..แต่ฟิดพอตัวเลยครับ..
    ในอนาคตข้างหน้าถ้าภาระทางสมมุติคุณเบาบางลง..
    และคุณมีเวลาพอ.ให้คุณลองสังเกตุสิ่งที่ผมพูดดูได้ครับว่าจริงหรือไม่
    ตั้งแต่เรื่องพอถึงกำลังฌาน ว่าคุณจะควบคุมจิตคุณได้ไหมอย่างที่เรา
    ให้ฟัง..และพอคุณมาสร้างกำลังสติตัวนี้จนสามารถควบคุมมันให้อยู่ในร่าง
    กายได้แต่มันจะแยกกันแล้วนะครับ..และคุณลองออกไปข้างนอกดูคุณจะ
    เห็นตัวสติทางธรรมตัวนี้อย่างที่ผมพูดหรือเปล่า แต่ต้องประมาณครั้งที่
    หรือ นะครับหลังจากที่คุณถึงกำลังฌาน แบบละเอียดที่เล่าให้ฟังนี้ส่วนถ้าใครถนัดแบบ
    ยกกายนั้นตัวนี้จะอยู่ในกายซึ่งอาจทำให้คนที่ถนัดแบบยกกายมองไม่เห็น
    แต่ว่าเค้าจะคล้ายๆคิดได้ และเป็นความคิดที่คิดแล้วไม่ทำให้กายกับจิตกับ
    มารวมกันนั่นเองครับ..

    ปล.ลองอ่านๆดูอาจหลายรอบหน่อยนะครับ แต่คิดว่ามีประโยชน์
    สำหรับคุณครับ.ขอบคุณมากครับ​
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คุณครับ.ผมกดไม่เห็นด้วยกับคุณผมเพื่อมาเตือนคุณนะครับ
    แต่คุณกดไม่เห็นด้วยกับผมคุณทำได้เข้าใจได้
    อธิบายสิ่งที่ถูกได้ไหมครับ.อย่าดำน้ำซิครับคุณ
    .ผมจะบอกคุณอีกรอบนะครับ.คือผมอาจจะใช้คำพูด
    หรือการสื่อสารของผมอาจจะยังไม่พอดีพอก็ได้ครับ..คุณลองอ่านๆ
    ที่ผมแนะนำดู จขกท.ดูก่อนนะครับ.และก็ลองเทียบเคียงกับคำสอน
    ของครูบาร์อาจารย์หลายๆท่านดูก่อนก็ได้ครับ.แล้วลองพิจารณาดูอีกรอบครับ
    คือ เรื่องการปฏิบัติอะไรของคุณนะผมไม่เถียงหรอกครับ.เพียงแต่คุณเข้า
    ใจกิริยาของระดับกำลังสมาธิคาดเคลื่อนเท่านั้นเอง..พอกำลังสมาธิคุณ
    มันขึ้นระดับฌาน เนี่ยผมให้คุณลองกลับไปคิดดูคับว่ามันจะเกิดนิมิตรได้
    ไหมครับคุณ.ได้ยินเสียงภายนอกแต่ไม่สนใจนะใช่อยู่ ประเด็นนี้คุณคิดเอาเอง
    แล้วกันครับ..อุปจารสมาธิที่ผมบอกมันไม่ใช่กำลังระดับฌาน อย่างที่คุณเข้า
    ใจว่าอาจจะแน่นอนครับ..

    ที่สำคัญเรื่องการอธิษฐานจิตอะไรเนี่ย.ผมไม่ใช่พวกที่จำแล้วมาอ่านอย่าง
    ที่คุณเข้าใจแน่นอนครับ และสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยทำไม่ได้นะครับ.
    ผมจะพูดเฉพาะสิ่งที่ผมทำได้ สัมผัสได้เท่านั้นหละครับ.คุณลองพิมพ์ชื่อผมแล้วไปย้อนอ่าน
    ที่ผมเคยเขียนไว้ในอดีตแล้วค่อยคิดใหม่อีกรอบก่อนจะพูดก็ได้ครับ
    คนที่รู้จักผมในกลุ่ม...หรือเคยอ่านเรื่องที่ผมเคยเขียนมา
    มาเห็นคุณเขียนข้อความแบบนี้ที่บอกว่าผมจำมาจากตำราเค้า
    จะขำคุณจนฟันร่วงครับผมจะบอกๆเตือนๆคุณไว้ก่อน..
    ..เรื่องนี้ผมต้องสอนต้องแนะนำคุณมากกว่าการที่
    คุณจะมาบอกผมนะครับ.เรื่องการอธิษฐานแบบนี้ผมเคยเขียนไว้แล้ว.
    รวมทั้งเทคนิคและวิธีการต่างๆด้วยครับ..แต่ผมบอกว่ามันต้องฟิตพอตัว
    และส่วนมากที่ทำได้จะเป็นพระสงฆ์
    .และทุกวันนี้ผมทำได้มากกว่าที่คุณจะเข้าถึงได้.
    และท่านที่คุณอ้างถึงคือท่านที่มาตามผม

    และมาสอนและแนะนำเทคนิคการฝึกกสิณน้ำให้ผมเองในทางภพภูมิ
    และเป็นหนึ่งในครูบาร์ทางภพภูมิที่สอนผมและผมให้ความเคารพมาก
    ท่านหนึ่ง...ยังไม่รวมทางสายในดงที่คุณเคยเห็นแต่รูปภาพแน่นอน..
    .เพราะฉนั้นถ้าคุณคิดจะมาใช้.ทิพยเดาญาน ของคุณมาวิเคราะห์ผมคง
    ต้องชาติหน้านะครับถึงจะถูก.เรื่องกำลังระดับฌาน ๔ ผมเขียนไว้เกือบ ๓ ปีมาแล้วครับละเอียดทุกขั้นตอน.
    ผมแนะนำว่าถ้าคุณไม่เคยเห็นที่ผมเขียนมาก่อน..
    ให้คุณอ่านที่ผมบอกคุณไปก่อนให้ดูเจตนาที่แนะนำด้วยครับ
    จะดีกว่าครับ..เพราะคุณไม่ใช่คนไม่ดีนะครับ..ผมดูฝ่ายภพภูมิที่สนับ
    คุณออก ตัวคุณนะมีเรื่องสัมผัสพิเศษ
    มีเรื่องของการป้องกัน ๒ ฝ่ายที่เด่นและดี.และมีฝ่ายสมบัติเก่าด้วย..
    แต่ฝ่ายความดียังแทรกขึ้นมาได้น้อย.และทุกฝ่ายที่คุณมี
    ยังผสมผสานครับมันยังมีเรื่องเทาๆอยู่
    .เพราะคุณยังสร้างความดีและยังเดินมาทางนี้
    ยังไม่ตรงทาง ถ้าคุณเดินมาตรงทางฝ่ายความดีของคุณ
    ถึงจะขึ้นมาเด่นชัด จะทำให้ฝ่ายที่เหลือที่ผมบอกจะชัดเจนตามไปด้วย
    ตอนนี้ผมจะบอกคุณอีกรอบว่าคุณแค่เข้าใจกิริยาที่เกิดในระดับกำลัง
    สมาธิคาดเคลื่อนเท่านั้นเองซึ่งถ้าคุณยอมรับฟังบ้างไม่เชื่อไปเป็นไร ไปเทียบเคียงตามตำราอะไรดูก็แล้วแต่คุณ
    .แต่อย่ามาคอยจะเถียงแบบนี้ไม่ดีหรอกครับ.
    ผมหวังดีนะครับ..ขอบคุณมาก ถือว่าแนะนำกันแบบกัลยาณมิตรนะครับ.

    ปล.แนะนำว่าอ่านให้ดีๆแล้วควรจบๆนะครับ..​
     
  19. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    เราพิจารณาความโกรธเอาค่ะ เพราะปกติไม่ค่อยสนใจพวกราคะสักเท่าไร ไม่สนใจความรัก ส่วนมโนนึกจะไปทางโทสะซะมากกว่า รส (กินข้าววันละ2 เมื้อ เพราะไม่อยากให้ชีวิตยุ่งยาก) ถ้าหิวมากๆก็ครบมื้อเลย แต่บางครั้งตอนที่ความโกรธเกิดขึ้นเมื่อนึกถึงหน้าคนบางคน ลองใช้ขณิกะพิจารณา ในมโน ขณะที่อารมณ์ไม่ชอบเกิดขึ้น ตอนนั้นมั้นปิ้งขึ้นมาเลยค่ะว่า หน้าตาของคนนี้อยู่คนละส่วนกับจิตใจของคนนี้ จะไปโกรธรูปที่เห็นทำไม ตอนนั้นรู้สึกว่าอะไรที่มันแน่นๆหนักๆในใจเบาลงมากในทันที พอนึกเห็นหน้าคนนั้นอีกที รู้สึกเฉยๆไปเลยค่ะ ควานหาความโกรธไม่เจอ พยายามนึกว่าทำไมไม่โกรธอีก
     
  20. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ขอบคุณมากค่ะ แต่สติของเรายังไม่แข็งแรงดีเลย หลังจากโดนความกลัวเล่นงานมาเกือบ2ปี ทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า คงเป็นกรรมที่เราไปปรามาสคนที่เข้าไปกราบพระในสถานธรรมเข้า พลอยทำให้จิตเราต่อต้านพระในสถานธรรม(แบบจีน)ไปด้วย กรรมเลยทันตาเห็น กว่าจะรู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงหลังจาก ฮึด....สู้...กับกิเลส...กัดฟันต่อสู้กับความกลัว เดินจงกรมนานหลายวันวันละเป็นชั่วโมง เพื่อรวบรวมกำลังสติ(โชคดีที่อยู่ในช่วงรอเรียกให้ไปทำงานเพราะรายงานตัวแล้ว เลยมีเวลาได้ปฏิบัติ) แล้วก็นั่งสมาธิพิจารณา ทราบสาเหตุที่แท้จริงแล้ว ตอนนี้หายกลัวแล้วค่ะ เหลือแต่อกุศลสัญญา
    ไว้มีเวลาจะพิจารณาอ่านของคุณอีกรอบนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...