ตอบข้อสงสัยทุกเรื่องเกี่ยวกับพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย สุดทั่รัก, 9 ตุลาคม 2013.

  1. tutong

    tutong เมสัมมุขขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขขา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +236
    สาธุ...ขอบคุณที่ให้คำตอบครับ
     
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    ผมไม่ได้มาตอบ ให้ใครๆว่า จริงหรือเท็จ แต่คำว่า บุญ กับ บารมี มันต่างกันอย่างไร ผมว่า ที่ผมมองดูนะ และการกระทำ และที่ คนอื่นทำ และตัวผมทำ มานี่ ผมว่า มันไม่เหมือนกันที่ ตัวหนังสือ เท่านั้นนะครับ แต่ผมว่า บุญกับบารมี มันตัวเดียวกัน มันเยื่อม โยงถึงกันหมด แยกกันไม่ออกเลย แม้แต่น้อย นะครับ สำหรับตัวผม ที่เดินมาในชาตินี้ ตั้งแต่ต้น ถึงปัจจุบัน บุญกับบารมี มันคือตัวเดียวกัน


    จะเริ่มต้นตรงไหนล่ะ ผมว่าไม่ว่า คุณหรือท่านๆทั้งหลาย จะขึ้นต้น ทำบุญ ด้วยอะไร เช่น ให้ ทานแก่สัตว์ ทุกประเภท สัตว์ ทุกประเภท ก็มีบุญต่างๆ กันออกไป จากสัตว์เล็ก ไปหาสัตว์ใหญ่ ก็มีหลายชนชั้นนะครับ แล้วว่าไปถึง ให้ทานกับ คนที่ไม่มีศิล ก็มีหลายชั้น แล้วก็ผ่านไปถึง คนมีศิล ไปหาบุคคลที่ เจริญสมาธิ กรรมฐาน ได้ฌาณสมาบัติ ก็ไปตามขั้นอีก จนได้ ทำบุญกับ พระโสดา บัน สกิทาคา อนาคามีผล ถึงพระอรหันต์ พระปัจเจกะพุทธเจ้า ถึงพระพุทธเจ้า จนไปถึงถวาย สังฆทาน วิหารทาน อภัยทาน จนถึงทำตนให้พ้นทุกข์ ได้นี่ ว่าตามเสต็ป ที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้


    นี่มันพรรณนาไม่หวาดไหวหรอกครับ บุญมันเกิด ตั้งแต่คุณคิดแล้ว ถ้าคุณทำปุ๊บ คุณได้ เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็น ในเมื่อคุณ ทำบุญ ทำบ่อยๆ มันก็เป็นบารมี นั่นเอง ถ้าคุณไม่ทำบุญ สั่งสมบุญ บารมีมันจะไปเกิด ตรงไหน ถ้าคุณไม่ลงมือทำอย่างเดียว บุญก็ไม่เกิด บารมีไม่มี แล้วบารมีมันจะไปเกิดตรงล่ะ ขึ้นชื่อว่าได้ทำ สั่งสม บุญ หรือบารมี การเจริญสมาธิ ก็ดี บุญทานกองการกุศล ต่างๆ ก็ดี ทุกๆตัว เมื่อทำ บารมี ๑๐ มันก็ตามมา เป็นตัวสนับสนุน บุญนั้นๆ ที่เราทำ ตามกำลัง บุญญา บารมี ที่ ตัวหรือ บุคคลนั้น สั่งสมเอาไว้ บารมีต้น ก็มี หยาบ กลางและปลาย


    บารมีกลาง มันก็มีหยาบ กลาง และปลาย บารมีปลาย มันก็มี หยาบ กลาง และปลาย คุยกันเป็น วันคืน ก็ไม่จบหรอกครับท่าน ไหน จะ ในการทำความปราถนา อีก มี ๓ แบบ ๓ ขั้น ๓ ชั้น มันมีขั้นตอน ของมันแล้ว คุณจะเดิน วกวนไปไหนก็ตาม มันก็ต้องแวะ ไปหา ๓ ขั้นนี้เท่านั้น นอกกรอบไม่ได้ หรอกครับ กรอบ เขาตีไว้ ให้พวกคุณเดินแล้วครับ จะสมมุติ แบบง่ายๆให้ฟัง ฝนตก คุณเอาตุ่ม น้ำไปลอง รับน้ำฝน ฝนตกทีละหยด น้ำเต็มตุ่ม คุณเอาไปเท ลงคลอง น้ำเต็มคลอง แล้วคุณ เอาไปเทลง แม่น้ำ น้ำเต็มแม่น้ำ คุณเอาไปเทลง ทะเล ก็คิดดูแล้วกัน น้ำทะเล มันเยอะ ขนาดไหน


    สมมุติ คุณคิด มุมกลับมา เอาน้ำฝนลงตุ่ม ทีละหยด น้ำเต็มตุ่ม คุณก็ ปีหน้า ไม่ลองน้ำฝนต่อ หรือหาอะไรใส่ต่อ กินอย่างเดียว น้ำหมดตุ่ม ก็เหมือนบุญนั้นแหละ คุณนอนกินบุญเก่า ไม่ทำต่อ ไปในชาติหน้า ก้คิดเอา หรือปีหน้า คุณไม่มีน้ำฝนบริโภคต่อ ยิ่งคุณ สะสม บุญมากเท่าไหร่ มันก็สะสมตัวไว้มากเท่านั้น เมื่อบุญ ล้น บารมีล้น ทำอะไรก็ได้ครับ เหมือนคน จน กับเศรษฐี หรือกษัตย์ นั่นแหละ ไม่ต่างกัน ฉนั้น ทุกอย่าง มันไปจากการกระทำ ของเรา จะไปเป็นอะไร มันก็ไปจากการทำ จาก โลกมนุนษย์ เท่านั้น บารมี ๑๐ มันก็เกื้อหนุนกัน ตลอด แต่ตัว ไหน จะนำหน้า เท่านั้นเอง มันเกื้อหนุนกันตลอด มันไม่อาจแยกกันได้ ยิ่งพวกพุทธภูมินี่ ยิ่งเข้มข้น กว่า สายสาวก นับประมาณ มิได้ ไม่งั้น พระอรหันต์ ปรกติ ธรรมดา ถ้าบวช เป็นพระ ด้วยกัน จะต้องนั่งรอง พระโพธิสัตว์ แม้ทำ ความปราถนา ในวันนี้ก็ตาม


    ไม่ต้องพูดถึงบารมี ๑๐ แล้วนะ เพราะว่า ทุก ท่าน ถามตอบกันมา ได้อย่างมีอัธรส ยิ่งแล้ว ใครจะเอาตัวไหน เป็นตัวตั้ง นั้น บารมีตัวอื่น จะตามมาหมดทุกๆตัว ถ้าคุณอ่านเข้าใจ ทุกๆอย่างเข้าใจหมด ไม่ต้อง สงสัยแน่นอน นอกจาก พวก ที่ยังไม่เข้าใจ และเดินไม่ถูกทางเท่านั้น ต่อให้คุณเดินผิด มันก็มี บารมี ๑๐ เหมือนกัน มีผิด มันก็มีถูก อยู่ในนั้น มีถูก มันก็ผิดอยู่ในนั้น แต่ใครจะเข้าหา ทางที่ถูกได้เร็วกว่ากัน เท่านั้นครับ อย่าว่าผมเก่ง หรือ ว่า แหม ทำตัว เสือก หรือ อวดตัวว่าเก่ง ผมว่าผมเอง ก้เดินถูกผิด มาตลอด พอรู้ค่าวๆ ได้พอประมาณครับ ว่าโดนหรอกมากกว่า รู้จริงครับสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  3. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    จากรูปภาพถ่ายทางดาวเทียมที่ผมนำมาลงให้ดูในโพสนี้
    ผมพิจารณาแล้วเหมือนกับว่า อ่าวเบงกอลนั้น ในอดีตกาลอันไกลโพ้น
    เคยเป็นผืนแผ่นดินที่เชื่อมติดต่อเป็นผืนเดียวกันระหว่างประเทศอินเดียหรือทวีปเอเชียใต้ กับ ดินแดนสุวรรณภูมิหรือทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ผมเคยคิด ถ้าประเทศไทยมีเรือดำน้ำที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยใช้ในการสำรวจ ก็คงจะพบผืนแผ่นดินอารยธรรมที่จมอยู่ใต้ท้องทะเล และเป็นผืนแผ่นดินที่พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายได้ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดในการสร้างสมบารมีภพแล้วภพเล่า

    เข้าประเด็นคำถาม
    เป็นไปได้หรือไม่ พื้นที่บริเ้วณอ่าวเบงกอลนี้ ในอดีตกาลอันไกลโพ้น เคยเป็นผืนแผ่นดิน ต่อมาได้ยุบตัวจมหายลงไปในทะเล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • weekly_2.gif
      weekly_2.gif
      ขนาดไฟล์:
      309.1 KB
      เปิดดู:
      79
  4. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ขอถามครับ

    การบรรลุเป็นพระโสดาบัน จนถึงขั้น พระอรหันต์ แตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ
     
  5. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    พระโสดาบันนั้น เป็นผู้ที่รักษาศีล
    ศีลในที่นี้หมายถึง สำรวมระวังละเว้น
    จากการสร้างกรรมทาง กาย วาจา และใจ
    อะไรที่เบียดเบียนตัวเอง หรือเบียดเบียนผู้อื่น
    ระดับโสดาบันขึ้นไป จะไม่แม้แต่จะคิดที่จะทำ
    พระโสดาบัน เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    และหมั่นปฏิบัติธรรม รู้จักการให้ทาน ศีล ภาวนา อย่างแท้จริง
    พระโสดาบัน ละเสียซึ่งความหลงไหลในร่างกายของตน
    ไม่ปรนเปรอไม่ดูแลไม่เอาใจใส่จนเกินงาม
    ทำเพียงที่จำเป็นในการดำรงค์อยู่
    ไม่มองว่าร่างกายนี้ต้องอยู่ไปนานๆ
    ไม่มองร่างกายนี้ต้องงามที่สุด
    ไม่ใส่ใจเรื่องการมีชีวิต ตายก็แค่ไปเกิดใหม่ ตายเมื่อไรก็ได้
    ความคิดอย่างนี่ ถือว่าเป็นโสดาบัน

    หากเป็นโสดาบัน ที่ผ่านการฝึกจิต อบรมจิตมามาก
    จนความหลงไหลในกามราคะลดลง
    และ ปฏิฆะ คือความกระทบกระทั้งทางใจ ลดน้อยลงไป
    ความกระทบกระทั่งท่างใจก็จำพวก โกรธ เสียใจ น้อยใจ
    คืออารมณ์เหล่านี้ยังมีอยู่ แต่รู้เท่าทันมัน
    ไม่ปล่อยให้แสดงออกมาง่ายๆ
    อย่างนี้ ถือว่าข้ามความเป็นโสดาบัน
    ขยับมาสู่ความเป็น สกทาคามี (สกิทาคมมี)

    หากแต่สกทาคามี ที่ฝึกจิต จนละกามราคะ และ ปฏิฆะ ลงได้
    คือ ไม่มีความกำหนัดในราคะอีกแล้ว ไม่มีความกระทบกระทั่งทางใจ
    อีกต่อไป เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ปรุงแต่งอารมณ์เหล่านั้นอีกแล้ว
    ถือว่าก้าวข้ามความเป็นสกทาคามี มาสู่ความเป็น อนาคามี

    เมื่อเป็นอนาคามีแล้ว
    สุดท้าย เมื่อฝึกไปถึงการทำสมาธิ ที่เป็นระดับรูปฌาน และอรูปฌาน
    จะมีความอารมณ์สุขที่เกิดในฌาน เมื่อเราไม่ติดใจในความสุขจากฌาน
    ทั้งรูปฌาน และอรูปฌาน ความคิดฟุ้งซ่านดับไปสิ้น เพราะกำหนดจิต
    อยู่กับปัจจุบันขณะตลอดเวลา ความยึดมั่นถือมั่น ความเห็นตนนั้นดีกว่าคนอื่น
    หรือความเห็นคนอื่นนั้นดีกว่าตน ความคิดเปรียบเทียบว่าเขาดีกว่าเขาด้อยกว่า
    หายไปหมดสิ้น ธรรมที่เป็นของคู่ไม่ถูกยึดมั่นอีกแล้ว
    ละอวิชชา คือความไม่รู้จริง ซึ่งได้จากการปฏิบัติจนบรรลุธรรม
    สำเร็จอาสวักขยญาณ เป็นพระอรหันต์

    ระดับของอริยบุคคล ก็แบ่งได้ประมาณนี้แหละครับ
    ถ้าเอาตามตำรา ต้องว่ากันที่การละ สังโยชน์ทั้ง ๑๐
    หาอ่านตามลิงค์ด้านล่างนี้เลย
    สังโยชน์ - วิกิพีเดีย
     
  6. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257

    ขอบคุณครับ คุณ tsukino2012 ที่หาข้อมูลมาให้ ผมเชื่อว่า เราสามารถหาอ่านทฤษฎี ได้จากเว็บ หรือ หนังสือทั่วไป

    แต่ที่ผมอยากรู้ คือ ในทางปฏิบัติ ที่ไม่มีอยู่ในหนังสือ คุณสุดที่รัก2 จะอธิบายว่าอย่างไร (กรุณาอย่าอ่านหนังสือ หรือ ไปหาข้อมูลอื่นมาตอบนะครับ ขอใช้ สัจจะบารมี จากการปฏิบัติจริงๆ )

    ผมเลยอยากให้คุณสุดที่รัก2 มาตอบในฐานะผู้ปฏิบัติอ่ะครับ

    ปล. ว่าที่พระพุทธเจ้า ก็จะต้องรู้เรื่องนี้ เพราะต้องไปสอนคนอื่นได จริงไหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2013
  7. leehonza

    leehonza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +78
    จะรู้ได้ไงว่าใครมีบุญบารมีแตกต่างกันหรือเท่ากันอย่างไรครับ
     
  8. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    มนุษย์เรานั้นไปอุบัดเอาในภพใหม่ภูมิใหม่ก็ด้วยขณะจิตสุดท้าย
    เมื่อสังขารใกล้แตกดับ จิตก็จะดิ้นรนเพื่อค้นหาที่อยู่ใหม่
    สภาพจิตของคนทั่วไปที่สร้างกรรมอยู่สม่ำเสมอ
    จะเป็นในทางชั่วก็ดี ทางบุญก็ดี
    ในสภาวะที่กระทำ่บ่อยๆอย่างนั้น
    จิตใต้สำนึกหรือจะเรียกกันกว่าจิตเดิมแท้หรือจิตในก็แล้วแต่
    จิตใต้สำนึกนี้เอง ที่จะปรากฏนิมิตออกมาในช่วงสุดท้ายของชีวิต
    เมื่อความตายคืบคลานเข้ามา สภาวะอารมณ์ที่เริ่มแปลปรวน
    กรรมในอดีตที่ทำไว้เริ่มปรากฏ
    หากเราฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วยมิจฉาอาชีวะมาตลอด
    จิตสุดท้ายย่อมระลึกได้แต่การฆ่า
    อันจะนำไปสู่อบายภูมิ
    หากเราเป็นผู้ที่ขยันสร้างบุญ จิตใจเบิกบานอยู่เสมอ
    จิตสุดท้ายย่อมระลึกถึงแต่สิ่งดีๆ
    มีสุขติภูมิเป็นที่ไป

    [​IMG]

    ความเป็นโสดาบันนั้น ปิดอบายภูมิได้จริง
    เพราะเมื่อเรามองโลกในแง่ดี
    จากการรักษาศีล
    จากความไม่ยึดมั่นในกาย
    จากความไม่สงสัยในการทำความดี
    เราก็จะเป็นผู้ไม่มีความทุกข์ในจิต
    เมื่อใช้ชีวิตด้วยความเบิกบานใจมาโดยตลอด
    ยากที่จะละจากสังขารนี้
    ก็จะมีนิมิตรที่สดใส
    ที่ไปสำหรับพระโสดาบัน จึงมีแต่สุขติภูมิ
    และที่พิเศษของอริยขั้นโสดาบันขึ้นไปคือ
    แม้จะเกิดมาใหม่ ก็ยากนักที่จะเผลอทำกรรมชั่วช้า
    เพราะจิตใต้สำนึกจะคอยเตือน
    คอยชักจูงจิตของเรา ให้ห่างจากความชั่วเหล่านั้น
    ทุกวิถีทาง อาจจะกระตุ้นด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
    ให้เกิดขึ้นมาก่อนจะที่ลงมือกระทำกรรมเหล่านั้น
    หรือไม่ก็ ทำให้บุคคลนั้นๆทำกรรมไม่ขึ้น
    เช่น ตกปลาก ยังไงปลาก็ไม่กินเบ็ด

    แต่กลับกัน ผู้ที่ยังไม่มีจิตเป็นอริยะ
    แม้จะเป็นคนดีมีบุญสูงส่งแค่ไหน
    มีโอกาสที่จะลงอบายภูมิได้เสมอ
    เมื่อเรานั้นทำดีมากๆ ขึ้นสวรรค์
    เราก็เสพสุขบนสวรรค์จนเคยตัว
    พอกลับมาเกิดเสวยบุญต่อ ก็เป็นผู้มีทรัพร่ำรวย
    ด้วยความมีทรัพ ก็แสวงหาความสุข ตอบสนองกิเลส
    จนละเลยที่จะปฏิบัติธรรม เพราะชีวิตนั้นมีแค่ความสุข
    จนสุดท้าย พลาดไปสร้างกรรมชั่วช้า
    จากผู้มาจากสวรรค์ ต้องก้าวลงสู่อบาย
    ถูกทำโทษอย่างแสนสาหัส
    เมื่อกลับมาเกิดด้วยจิตสำนึก
    จึงได้กลับตัวเป็นคนดีอีกครั้ง
    ในสภาพที่เป็นคนจนค้นแค้นเพราะเสวยกรรมเก่า
    ด้วยสภาพทนทุกข์ จึงสร้างแต่กุศลตลอดชีวิต
    เมื่อตายไป ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์
    แล้วก็เสวยบุญ อย่างลืมตัว
    โดดขึ้นโดดลงสวรรค์นรกอยู่เป็นว่าเล่น
    ไม่น่าสนุกเลย

    ส่วนเรื่องของอรหันต์นั้น
    เป็นเรื่องของการฝึกจิตระดับสูง
    ต้องปล่อยวางจากธรรมทั้งปวง
    บาปนั้นไม่เอาอยู่แล้ว
    แต่บุญก็ต้องไม่ยึดมั่นเช่นกัน
    เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง
    ผู้ที่ไม่ยึดบุญไม่ยึดบาป
    หมดแล้วซึ่งความปรุงแต่งของกิเลส
    ก็ไม่มีที่ให้ไปต่อ ไม่ไปอยู่ในกายใดอีก
    "นิพพาน"




    คำว่า "โสดาบัน" ในความเป็นจริงก็คือ
    ผู้ที่เป็นบุคคลทั่วไป ใช้ชีวิตปรกติ
    แต่เป็นไปด้วยธรรม
    คือการไม่เบียดเบียนใคร
    ไม่เบียดเบียนตนเอง
    ไม่เบียดเบียนมิใช่แต่กับคน
    แต่มีเมตตาต่อทุกสรรพสัตว์
    เชื่อมั่นยึดมั่นว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    ใครจะเลวจะชั่วปล่อยเขา
    เราจะเอาแต่ความดีเท่านั้น
    ไม่ยึดมั่นในร่างกายของตน
    ไม่สนว่ามันจะต้องงามจะต้องสวย
    จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    ถ้ามันจะเสียมันจะพังมันจะดับ
    ก็ปล่อยไปตามวาระของมัน
    จะไม่ดิ้นไม่รนให้เกิดความทุกข์
    เพียงมีความคิดเหล่านี้ได้
    ก็ได้ชื่อว่าเป็นโสดาบันแล้ว

    [​IMG]

    พิจารณาว่า วันนี้เรายังเบียดเบียนผู้อื่น
    เรายังเอาเหตุผลที่เห็นแก่ตัวมาเบียดเบียนผู้อื่นอยู่หรือไม่
    เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ข้อนี้จะเห็นได้ชัดที่สุด
    ยังซื้อขายเนื้อสัตว์เพื่อนำมาจำหน่ายและบริโภค
    ได้อย่างหน้าตาเฉยอยู่หรือไม่?
    ยังฉีดมดฉีดปลวกกันอยู่หรือไม่?
    ยินดีที่เห็นคนอื่นฆ่าสัตว์หรือไม่?
    ถ้าไม่ยินดี แล้วเรารับประทานเนื้อเขาลงไปได้อย่างไร?
    หรือจะเป็นข้อกาเม
    เรายังประพฤผิดในกามอยู่หรือไม่?
    เรายังไม่พอในราคะหรือเปล่า?
    เราทำให้สามีหรือภริยาเราเสียใจอยู่หรือไม่?
    เราไปกระทำกับลูกของผู้อื่นหรือเปล่า?
    ลูกเขายินยอม และพ่อแม่เขายินยอมหรือไม่?

    ความหมั่นพิจารณาธรรมเหล่านี้
    จะทำให้เรานั้นสามารก้าวเข้าไปสู่
    ความเป็นอริยชั้นต้น
    คือ "โสดาบัน" ได้ในภพนี้อย่างแน่นอน (หากตั้งใจแน่วแน่)




    ปล. ขออภัย ลืมดูไปว่า กระทู้นี้เป็นกระทู้ตอบคำถามของคุณสุดที่รัก2
    ไหนๆผมก็พิมตอบไปแล้ว ก็ขออภัย
    คิดซะว่าเป็นการร่วมแสดงความคิดเห็นก็แล้วกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2013
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มนุษย์เรานั้นไปอุบัดเอาในภพใหม่ภูมิใหม่ก็ด้วยขณะจิตสุดท้าย
    เมื่อสังขารใกล้แตกดับ จิตก็จะดิ้นรนเพื่อค้นหาที่อยู่ใหม่
    ====================

    เราไม่ควรกล่าวว่า จิตดิ้นรนเพื่อไปหาที่อยู่ใหม่
    แต่เราควรกล่าวอย่างละเอียดว่า เมื่อหมดอายุไขหรือรูปนามในปัจจุบันชาตินั้นดับลง วิสัญญีภาพปรากฏสลบไปชั่วขณะ เกิดสภาวะการดับไปชั่วขณะเหมือนสลบไปหลับไป

    และด้วยสภาพจิตครั้งสุดท้าย มีอวิชาตัณหาอุปทาน ภายในที่ประกอบอยู่กับจิตปรุงแต่งจิต ประกอบด้วยกุศลและอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ให้ผล ร่วมกันประกอบกับจิต ทำให้จิตเกิดการปรุงแต่งและเคลื่อนอัตถภาพ ไปจนเมื่อกาลเวลาเหมาะสม จิตจึงมีสภาวะเหมือนตื่นจากสลบหรือภวังค์เปลี่ยนอัตภาพใหม่แล้ว จะเป็นจิตวิญญาณก็มี จะเป็นเทพก็มีจะไปเกิดเลยเป็นมนุษย์ก็มีจะเป็นสัตว์เดียรฉาน โอปาติกะ สัมพพะเวสีก็มี ไปเป็นอะไรก็ไม่ทราบได้ ขึ้นอยู่กับ สภาวะของจิตก่อนวิสัญญีภาพ และมีกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมร่วมให้ผลอย่างไร หรือจิตบางดวงมีเจ้ากรรมนายเวรมาร่วมรบกวนทำร้ายจิตก็มี หรืออื่นๆอีกหลากหลายเหตุปัจจัยก็มีครับ

    การปฏิบัติเมื่อท่านเข้าไปสู่จตูปญาณ รู้การเกิดดับย่อมมีฌาณและญาณรู้เห็นการเคลื่อนอัตภาพของจิตเป็นไปตามที่กระผมกล่าวมาอย่างพอสังเขปครับ สาธุ


    ==============
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2013
  10. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ขอบคุณที่ช่วยอธิบายแบบศัพท์ชั้นสูงครับ
    สำหรับผมใช้เพียงคำกล่าวง่ายๆชิวๆเพียงเท่านั้น
    เอาแค่เพียงพอที่ผู้อ่านได้เข้าใจได้ง่ายก็พอ
    ผู้อ่านมีหลายระดับ นักเทศนักอธิบายที่ดี
    ต้องอธิบายให้ผู้ฟังได้เข้าใจง่ายๆ
    ไม่ใช้ภาษาซั้บซ้อน
    หากผู้อ่านบทความผมนั้น
    ได้เข้าใจแล้วและมีภูมิธรรมสูงขึ้น
    พวกเขาเหล่านั้นย่อมตามไปศึกษา
    เพื่อหาความหมายที่อยู่ในระดับลึกๆด้วยตนเองได้
    หากแต่ถ้าเราเริ่มอธิบายด้วยศัพท์ยาก
    เกรงจะมีผู้เข้าใจได้น้อย ไม่ใช่จุดประสงค์
    การให้ธรรมทานที่แท้จริง ไม่ใช่ยกศัพท์ตำรามาพูด
    ต้องอธิบายอย่างไรก็ได้ ให้ผู้ฟังผู้อ่านได้เข้าใจ
    ถ้าอธิบายไม่เข้าใจก็หาประโยชน์มิได้
    เหมือนการพิมหนังสือสวดมนต์ไปแจก
    แล้วก็ไปวางที่วัด กองๆไว้อย่างนั้น
    หรือมีผู้เก็บไปไว้หิ้งพระ วางไว้อย่างนั้น
    อานิสงส์ก็กองนิ่งๆอยู่อย่างนั้นเอง


    บทความที่ผมอธิบายนั้นก้เป็นแค่เครื่องมือทำความเข้าใจ
    เหมือนสะพานที่จะพาข้ามฝั่ง
    จุดที่จะต้องโฟกัสคือ การจะข้ามไปให้ได้
    หากแต่สะพานหรือบทความของผม
    อาจจะมีจุดบกพร่อง สะพานอาจจะมีรูรั่วไปบ้าง
    แต่ไม่อยากให้มาโฟกัสอยู่แค่จุดเล็กๆ
    จนมองข้ามที่ปลายทาง หรือจุดประสงค์ที่แท้จริงไปครับ
    หากมีสะพานให้ข้าม ไม่ข้าม แต่มามัวเพ่งหารูโหว่
    เราก็จะไม่ได้ข้ามฝั่งเสียที

    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2013
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    หากท่านใดไม่เข้าใจในข้อความของกระผม รบกวนสอบถามได้ครับ ยินดีอธิบายครับ แต่ทว่าในข้อความผมก็ได้อธิบายให้เข้าใจง่ายแล้วนะครับ แต่ก็ยินดีครับ

    ข้อความที่กล่าวไปมุ่งเน้นอธิบายให้เข้าใจวิถีแห่งการเปลี่ยนอัตภาพของจิต ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดและแน่นอนไม่มีใครอธิบายได้ดีเยี่ยมไปกว่าท่านบรมครู ครับ สาธุ
     
  12. ผู้ไกล

    ผู้ไกล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +4,752
    อันนี้ผมสงสัยส่วนตัวนะครับ ไม่รู้มีใครถามไปยัง เผื่อจะเป็นประโยชน์ส่วนรวม

    1.พระโพธิสัตว์เจ้า ท่านจะทราบได้อย่างไรว่า ตัวท่านบำเพ็ญบารมีมาขนาดไหนแล้ว

    บารมีต้น อุปบารมี ปรถัตมะบารมี

    2.แล้วต่อจากข้อ 1 พระโพธิสัตว์เจ้า ที่กล้าประกาศต่อสาธารณะชนเนียส่วนใหญ่ต้องบารมี ขั้นไหน

    3.บารมีของพระโพธิสัตว์เจ้า ขั้นไหนย่อมทำให้เกิด อภิญญาสมาบัติ ได้

    4.หากลาพุทธภูมิแล้วแต่อยู่ขั้นปรมัตถะบารมีในชาติสุดท้าย ท่านจะมีมหาปริสะลักษณะ ไหม

    5.ธรรม อะไรทำให้ บรรลุ พระอนุตระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้เป็น
    พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้ สมกับการบำเพ็ญมานาน

    ปล.ผมก็ถามเท่าที่สงสัยไม่ได้ถามเพื่อลองภูมิ ขอคำตอบแบบเนื้อ ๆ ไม่ขอน้ำนะครับ อ่านเยอะแล้วตาลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2013
  13. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    หากได้ลองอ่าน ฆฏิการสูตร แล้วลองพิจารณาดูสักนิด

    จะเห็นได้ว่าโชติปาละมาณพ ซึ่งเป็น อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
    ได้เกิดร่วมสมัยกับเพื่อนที่ชื่อฆฏิการะช่างหม้อ ในพุทธกาลพระกัสสปะพุทธเจ้า

    ก็ลองพิจารณาดูเถอะว่า พระกัสสปะพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ 4 ส่วนโชติปาละมาณพนั้น

    จะได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ เป็นลำดับต่อไป ท่านยังเผลอไปปรามาสพระกัสสปพุทธเจ้าเข้าเลย

    จนเป็น "ปุพพกัมปิโลติ พุทธาปาทาน" ให้ต้องบำเพ็ญทุกขกิริยาถึง 6 ปี จึงได้บรรลุโพธิญาณ

    ถามว่า หากโชติปาละมาณพรู้ว่าตนเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ในพุทธกาลข้างหน้า ท่านจะเผลอไปปรามาสได้อย่างไร

    โดยพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น คือผู้สงเคราะห์อย่างใหญ่หลวง
    ต่อผู้ตั้งความปราถนาเป็นพุทธเจ้า และทั้งผู้ตั้งความปรารถนาเป็นอัครสาวก และเอตทัคคะสาวก ต่างๆ
    ที่เป็นเหตุและผลในพุทธพยากรณ์ในกาลข้างหน้า

    เหตุใด โชติปาละมาณพ จึงไม่รุดรีบตามคำชักชวนของเพื่อฆฏิการะช่างหม้อ ให้ไปนมัสการพระกัสสปะพุทธเจ้า
    แม้ชักชวนดึงผ้าดึงผม ถึง 3 ครั้ง ซึ่งกว่าจะได้ไปฟังธรรมีกถาให้รื่นเริง
    โชติปาละมาณพ นั้นยังก็ยังเผลอกล่าวปรามาสไปแล้วถึง 3 ครั้ง เช่นกัน
    (ฆฏิการะ ได้เป็นพระอริยสาวกอนาคามีของพระกัสสปะ แล้วได้ไปเกิดเป็น ฆฏิการพรหม สุทธาวาส
    ในช่วงที่ โชติปาละมาณพ ได้เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ฆฏิการพรหม
    ได้นำเครื่องอัฏบริขารนำมาถวายตอนพระโพธิสัตว์ มหาภิเนษกรมณ์ ริมฝั่งแมน้ำอโนมา ตามประวัติ)

    เรื่องของบารมี บารมีต้น บารมีกลาง บารมีปลาย ก็ลองพิจารณาดูเถอะว่า
    โชติปาละมาณพโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ในกาลข้างหน้า มีบารมีระดับใด

    แม้ในของช่วงกาลพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ไปเจอมาให้น่าพิจารณาอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ใครเขียน
    เป็นเรื่องราว ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่สงเคราะห์แก่พระโพธิสัตว์
    แต่ในช่วงนี้ไม่รู้ว่าอยู่ในบารมีระดับใด และรู้ตัวหรือไม่



    เรื่องการเปล่งวาจาให้รับรู้ ในจริยาบำเพ็ญ พระโพธิสัตว์คงไม่ฟุ่มเฟือย ที่จะประกาศต่อสาธารณะชนโดยทั่วๆไป
    สู้เก็บไว้แสดงความมุ่งมั่น และเปล่งวาจาต่อหน้าพระพุทธเจ้า
    หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ดีกว่าหรือ ทั้งจะได้รับการพยากรณ์ มีคุณกว่าเยอะ

    อภิญญาเป็นเรื่องของสาธารณะชน ต่อผู้ที่กระทำความเพียรบรรลุฌาน4 ซึ่งบาทฐานแห่งอภิญญา ก็สามารถทำได้

    เคยอ่านเจอหลวงพ่อฤาษี หลวงพ่อเล็ก ท่านบอกไว้ว่า พระมหากัจจายนะ ซึ่งเป็นเอตทัคคะสาวกพระสมณโคดมพุทธเจ้า
    ท่านเคยปราถนาพุทธภูมิมาก่อน จึงมีมหาปุริสสลักษณะ คล้าย พระพุทธเจ้า

    ธรรมสโมธาน
    ธรรมสโมธานทั้ง 8 ประการ เพราะมี 1 ใน 8 นั้นเป็นเรื่องการได้พบพระพุทธเจ้า และได้รับพยากรณ์

    ---------------

    จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เมื่อเหตุพร้อมปัจจัยพร้อม ท่านได้เป็นแน่ มันอยู่ในจิตของท่านๆ

    บารมีไม่ได้อยู่ที่การคิด เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2013
  14. ผู้ไกล

    ผู้ไกล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +4,752
    อนุโมทนากับคำตอบที่สาธารณะประโยชน์นะครับ

    ข้อ 3-5 ผมเคลียร์

    แต่ 1-2 ผมยังไม่เคลียร์นะครับ

    เรื่องแรกผมเคยอ่านและเรื่องนายช่างหม้อที่เป็นอุปฐากพระบรมศาสดาสัมมาสัมพทุธเจ้ากัสสปะ แต่ผลสุดท้ายท่านก็ทราบเรื่องการบำเพ็ญบารมีของท่านตอนที่ท่านได้ออกบวชโดยมีนายช่างหม้อชักจูงพระบรมโพธิสัตว์ให้ออกบวช

    ส่วนเรื่องที่ 2
    ผมเคยอ่านประวัติหลวงปานซึ่งท่านบอกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำว่าถ้าผู้ใดปราถณาพุทธภูมิแล้ว ไม่ว่าจะทำบุญอะไรก็จะอธิษฐานเรื่องพุทธภูมิแต่มีเฉพาะผู้มีบารมีขั้นปรมัตถบารมีเท่านั้นที่จะเปล่งวาจาให้สาธารณะชนได้รับรู้

    แต่ไงก็ขอบคุณมาก ๆ นะครับกับคำตอบ



     
  15. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ลองพิจารณาแบบนี้สิ สมัยก่อนนั้น มีการจับยัดใส่ แนวคิดทางความเชื่อ เรื่องพระศรีอาริย์ลงมาเกิด
    โดยใช้ธรรมะ คุณวิเศษ เกลี้ยกล่อม นำมาเป็นเครื่องมือ ปลุกระดมรวบรวมกำลัง ส่องซุม
    แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องทางการเมือง จนกลายมาเป็น กบฏผีบุญ

    เช่นกัน สมัยนี้ก็ย่อมมีให้พบเห็น ในการแอบอ้างอวดอุตริเป็นผู้วิเศษ มีฤทธิ์มีเดชต่างๆ นาๆ
    ทำการชักชวนในเรื่องภัยพิบัติ กล่าวอ้างตนว่าเป็นพระศรีอาริย์ก็เยอะ เป็นผู้ดูแลโลกธาตุ ก็มี
    ลงมาเคลียร์ ปูทาง ก็แยะ

    แต่เชื่อว่าของจริงก็ต้องมี ต้องพิจารณาให้ดี อาจจะอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า หรือโลกมนุษย์ ตรงนี้ไม่รู้ ไม่บอก

    และของปลอมที่กล่าวอ้างวาจา ต่อสาธารณะ ไม่อายฟ้าดิน ก็ต้องมีเช่นกัน

    หากคุณเข้าใจว่า ตนเป็นพุทธภูมิ อยู่ขั้นปรมัตถบารมี

    คุณมีความแตกฉาน ในธรรมะมากแค่ไหน ทั้งสติ สมาธิ ปัญญา

    ไม่ใช่แต่เพียงกล่าววาจา ลอยลม

    เด็กวัยรุ่น ที่มีนิสัยอยากเป็นฮีโร่ พอมาศึกษาธรรมะ เลยอยากเป็นพุทธภูมิ โพธิสัตว์
    เพื่อเผยแผ่ธรรม ก็มี แต่นั่นเป็นส่วนที่คิดดีของเขานะ เขาอาจจะเป็นจริงก็ได้

    แต่จิตจริง ที่เป็นพุทธภูมิมันจริงแค่ไหน มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่

    ให้ญาติพี่น้องลูกเมียรู้ธรรมเห็นธรรมไปตามสถานะ เท่าที่ควรจะเป็น
    ได้มากแค่ไหน เอาแค่สหชาติคนใกล้ตัว ก่อนที่จะช่วยสรรพบริสัตว์

    แต่อย่าไปปั้นจิต ที่จะต้องเป็นไปเช่นนั้นเช่นนี้ ตามแบบฉบับ เป๊ะๆ !

    เพราะเมื่อมันจะจริง ก็ต้องจริงไปตามสถานะ พร้อมทั้งเหตุปัจจัย ทุนน้อยทุนมาก

    สมเด็จโตท่านว่า สุนัข ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นโพธิสัตว์ เพราะนั่นเป็นกุศโลบายชี้ลงไปว่า อย่าประมาทดูแคลน

    เพราะไม่ใช่แต่เพียง หงษ์ หรือนกยูงที่ชูชี้หางลำแพน เท่านั้น ที่มีคติเป็นโพธิสัตว์

    ถ้ามันเป็นจริง มันก็จริงของเรานะ แต่ถ้าไม่จริงใครจะมาบอกว่าใช่ มันก็ไม่ใช่

    แต่อย่าท้อที่จะกระทำดี เพราะทั้งพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิ ก็มุ่งสู่พระนิพพานเช่นกัน ในความแตกต่าง

    ยังไงก็ขออนุโมทนาผู้กับปรารถนาช่วยสรรพสัตว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2013
  16. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659
    ส่วนมากท่านที่รู้..มักจะทราบเองเมื่อได้ญาณสมาธิกลับมา

    แต่สำหรับ เราปุถุชนคนธรรมดา อยากจะรู้ไปทำไมครับ?
    รู้เพื่อว่าจะได้มีกำลังใจทำต่อ หรือ รู้แล้วอาจจะดูแล้วว่า โห มาถึงครึ่งแล้วก็ยังอีกไกลเลยจะได้เปลี่ยนใจ! ^^

    สุดท้ายเมื่อถึงเวลา ก็รู้เองนั้นหละครับ ..
    บางทีการหาแรงจูงใจให้ทำกุศลในปัจจุบันก็อาจจะมีประโยชน์กว่าก็ได้นะ!
     
  17. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    คุณว่าแปลกไหม ผู้ปราถนาพุทธภูมิมีอยู่เยอะแยะ

    แต่ผู้ปราถนาเป็นอัครสาวก หรือเอตทัคคะในด้านต่างๆ

    ทั้งฝ่ายพระ ฝ่ายคฤหัสถ์ ไม่ค่อยมีปรากฏ

    เพราะผู้ที่ตั้งความปรารถเป็นสาวกชั้นผู้ใหญ่ ก็ต้องได้รับพุทธพยากรณ์เช่นกัน

    ธรรมเนียมแล้ว เช่นหากศึกษาในเรื่องชาดก หากพระโพธิสัตว์ไปเกิดที่ใด

    ก็จะมีท่านนั้นท่านนี้ อดีตในครั้งนั้น ปัจจุบันเป็นในครั้งนี้

    หรือนั่นสังคม แสดงให้เห็นว่า "ไม่อยากเป็นรอง ต้องเป็นเบอร์หนึ่ง"

    เพราะไม่ค่อยปรากฏ หรืออาจจะเก็บงำไว้ก่อนก็เป็นได้ ซึ่งก็เป็นสิทธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2013
  18. ผู้ไกล

    ผู้ไกล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +4,752
    ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของพี่นะครับ

    และคำตอบของพี่สุรินทร์

    ก็อย่างที่บอกที่ถามก็เพราะตัวสงสัย หมดสงสัยก็หมดคำถาม

    อย่างน้อยก็ช่วยให้เป็นประโยชน์ให้กับผมและท่านอื่น ๆ ได้ไม่มากก็น้อย

    เรื่องปราถณาจะเป็นอะไรก็ตามหลักๆ ก็มุ่งพระนิพพานเป็นสำคัญเป็นตัวหลัก

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤศจิกายน 2013
  19. ผู้ไกล

    ผู้ไกล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +4,752
    ปราถณาพุทธภูมิเยอะนี้ผมว่าเป็นเรื่องปกตินะครับพี่

    เหตุก็จากพระพุทธองค์เปิด 3 โลก นั้นและ

    แต่ถึงเวลาพระโพธิสัตว์ที่เบื่อในวัฏสงสารแล้วจริง ๆ

    ก็ลา ๆ ทั้งนั้น เหลือแต่ตัวจริงที่จะได้เป็นเท่านั้นและ

    ปล.ที่มานั่งๆพิมพ์ๆในเวปพุทธภูมิกันเนียอาจจะเป็น 1 ในตอนพุทธองค์เปิด 3 โลกก็ได้
     
  20. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    งั้นก็อย่าท้อ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...