หลวงปู่มั่นแนะนำวิธีการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือผี เข้าทรง การนับถือเทพเจ้าต่างๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 3 มิถุนายน 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ถ้าผู้ไดเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไปคบกับคนพาล คนเห็นผิดเป็นชอบ คนพาลเขาก็ชักชวนไปทำความชั่วลงไป เช่นมนุษย์น่ะถึงจะมีความรู้ในทางโลกมากมายเป็นถึงเศรษฐี โน้นก็ตามเหอะ มีความเห็นผิดไปคบคนผิด คนผิดที่ เขานับถือลัทธิอื่น เขาก็ชักชวน ทำพิธีบวงสรวงเทวดาอินทร์พรหม ฆ่าแพะฆ่าแกะฆ่า หมูฆ่าวัวฆ่าควายอะไร บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขานับถือนั่น เรียกว่ามันเห็นผิด มันเข้าใจว่า การ ทำเช่นนั้นน่ะเทวดาอินทร์พรหม จะเอ็นดูสงสาร แล้วก็จะมาดลบันดาลให้ตนร่ำรวยมั่งมี ศรีสุขอายุยั่งยืนนาน อะไรไปยังงั้นนะ นั่นศาสนาพราหมณ์นะมีอยู่จนเท่าทุกวันนี้ ขอให้เรียนรู้กันไว้ทุกคน เอ้าถ้าศาสนาเขาไม่ดีแล้วทำไมมันจึงมีอยู่ในโลกตลอดมา บางคนก็อาจจะถามอย่างนั้น อันศาสนาเขามีแต่ว่าเขาก็ทำทั้งบุญทั้งบาป แล้วความเห็นผิดนี่นะมันทำให้ เขาไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้เลย การทำบุญของเขาเช่นอย่างการ ช่วยเหลือสงเคราะห์ ลูกหลานญาติมิตรหรือเลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ให้อยู่เย็นเป็นสุข อะไรอย่างนี้ให้สละเงินทองช่วยเหลือประเทศชาติอะไรอย่างนี้ มันก็

    ก็เรียกว่าเขาก็ทำบุญเหมือนกันนะ แต่ว่าบุญนั้นเป็นบุญโลกีย์ เขาไม่ได้ปรารถนาให้ได้ถึงพระนิพพาน อะไรเลย ว่ายังเอาปรารถนาแค่สวรรค์ แต่ ปรารถนาเฉยๆ เอาไม่ได้ จะได้ยังไงล่ะก็ฆ่าแพะฆ่าแกะ ทีละสี่ร้อย ห้าร้อยตัว โยนเข้ากองไฟบูชายัน น่ะ บูชาพระอินทร์พระพรหม พระอินทร์พระพรหม ก็ไม่ยอมรับการบวงสรวงของเขาแล้ว เพราะว่า ผุ้ที่ไปเป็นพระยาอินทร์ พระอินทร์พระพรหม หรือเทวดาน่ะ ต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ตั้งแต่เป็นมนุษย์แล้ว ขอให้เข้าใจ แล้วเป็นจะไปยินดีกับมนุษย์ มนา เห็นผิดเป็นชอบ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอุทิศต่อเทวดาอินทร์พรหม ไม่มีทาง ที่ท่านจะรับเอา อินทร์พรหม น่ะ เป็นยังงั้น ให้พากันเรียนรู้ไว้เรื่องหมู่นี้นะอย่า ไปเข้าใจวาลัทธิอันนั้นวิเศษวิโส มันจะวิเศษ อย่างไรฆ่าสัตว์นั่นก็เป็นบาปเป็นกรรมเป็นเวรอยู่แล้ว แล้วจะเอาอะไรมาวิเศษอยู่ได้ แล้วเทวดาก็ไม่มีซักตนเดียวจะมากินอาหาร ของเขา ที่เขาไปวางไว้ตามศาลเจ้าหรืออะไรหมู่นั้น ไม่เห็นมีอะไรมากินน่ะ

    ภาคอีสาน เขาพูดกันเป็นคำพังเพยว่า ผีกินอาย คนบายตอน สำนวนภาคอีสาน เอาต้มหมูต้มเป็ดต้มไก่ยังร้อนๆ นะ เอาไปตั้งไว้ศาลเจ้า เป็นไอออกมางั้นแหละ แล้วผีออกมากินไอนั้น บัดนี้พอต้มหมูต้มเป็นต้มไก่เหล่านั้นมันเย็น ลงไป ไอมันก็หมดลงแล้ว บัดนี้ก็มนุษย์ก็ ผีกินอิ่มแล้ว ผีกินไอมันหมดแล้ว บัดนี้คนก็ยกมา เลี้ยงกัน ( หลวงปู่หัวเราะเบาๆ ) มันเป็นอย่างนิ้ จึงว่าผีกินอายคนบายตอน เป็นความเข้าใจผิด แม้ศาสนาพราหมณ์ ก็ยังทะลักเข้ามาเมืองไทย ตั้งแต่ปู่ย่าตายายนี้ก็นับถือกันมา พระก็ไหว้ผีก็กราบ อย่างนี้นะมันน่าทุเรศ จริงๆ หนา ลองมาคิดให้ดี พวกเรานี่

    เราได้เกิดมาชาตินี้นะ ก็พอดีได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้า ซึ่งพระสงฆ์ท่านผู้ ปฏิบัติดี ท่านผู้สนใจในคำสอนพระพุทธเจ้า เพ่งพิจารณาเห็นทางพ้นทุกข์ได้ เห็นฟัง คิด อ่าน คำสอนของ พระพุทธเจ้า รู้จริงเห็นจริงตามเป็นจริง ไม่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเช่นที่นำมาแสดงให้ฟังนี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คนเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรมอย่างนี้ เชื่อการกระทำของตัวเอง หมายความว่างั้น อย่างไปเชื่อสิ่งภายนออก อย่าไปเชื่อมงคลตื่นข่าว ที่พวกลัทธิหมู่นั้นนะนำมาโฆษณา ว่าพระเจ้าของเค้าวิเศษอย่างนั้นดี อย่างนี้ เมื่อได้ทำพิธีบวงสรวงบุชาแล้ว จะมีความสุขความเจริญ อย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนี้นะ ผู้ได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้า เห็นแจ้งในบุญในบาปในคุณในโทษ ตามเป็นจริงแล้วก็มีแต่หัวเราะ อยู่เท่านั้นแหละ โธ่เอ๊ยโฆษณาไปเถิด เรานั้นหาได้เชื่อไม่ ไม่มีทาง แต่พระนะเขายังสามารถที่จะไปชักจูงให้เห็นผิดไปตามเขา คนไทยเรานี่แหละตอนเคยอยู่วัด ในปัจจุบันนี้แหละตอนขึ้นมาจากภาคใต้ แล้วขึ้นไปอยู่วัด แล้วมันก็เป็นไข้อย่างนี้ ตอนนั้นนาไข้นิวมอเนียมันติดตามมาตั้งแต่ภาคใต้ตั้งแต่พังงา บัดนี้ เป็นไข้ลงไปแล้ว บัดนี้ ไอ้เราก็มีหมออยู่ ให้หมอ ไปดูแลฉีดหยูกฉีดยาให้อยู่ แต่ญาติพี่น้องผู้ที่มันถือผิด นี่มันก็วิ่งไปหาหมอส่องหมอทำ ไปถามหมอดูเหล่านั้น ทำไมท่านจึงเจ็บจึงป่วยเป็นเพราะอะไร หมอดูนั้นมันก็พยากรณ์ไว้แล้ว อ๋อท่านไปอยู่ที่นั้นนะ ท่านไม่บอกเจ้าที่เจ้าทางเขา เจ้าที่เจ้าทางเขาก็ไม่ค่อยพอใจ เท่าไหร่ว่างั้น เขาจึงทำให้ เจ็บ ให้ป่วย ให้ท่านเจรจากับเขาซะให้ท่านบอกกล่าวเขาซะ ว่าได้มาอยู่ที่นี่นะขอ พึ่งพาอาศัยเจ้าที่เจ้าทางนี่อยู่นะ เขาแนะนำมามีผู้มาเล่าให้ฟัง อู้หูย ชาตินี้ทั้งชาติจะให้เรา น้อมหัวหาผีไม่มีแล้ว (หัวเราะ) ไม่มีแล้วเน้อว่างั้น เอ้าถ้าผีมีอำนาจเหนือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริงๆ นะ เอาซิ เอาให้ตายไปเลย ว่างั้น ไม่ต้องรั้งรอ

    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "การที่เราเคารพนับถือเทพยาดาต่างๆ นี่ถือว่าเป็นสีลัพพตปรามาสหรือไม่ อย่างไรขอความเห็นจากหลวงปู่ด้วยครับ"

    หลวงปู่ "การที่พวกเรามีที่พึ่ง ที่เคารพนับถือสิ่งที่สูงกว่าอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องเคารพนับถือในสิ่งที่ต่ำ
    ธรรรมเนียมในทางธรรมต้องเป็นอย่างนั้น เช่น เราเคารพนับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้อันทรงคุณอันประเสริฐสูงสุดแล้วอย่างนี้
    พวกเทวดา อินทร์ พรหม นั้นยังมีกิเลส ยังต้องเวียนว่านตายเกิดเหมือนกันอย่างเรานี้นะ แล้วเรื่องอะไรที่เราจะไปเคารพกราบไหว้บูชา"

    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ก๋ง อาม่า และเตี่ย ผมมาจากเมืองจีน... มีความเคารพ เลื่อมใส ศรัทธา ในศาลเจ้าพ่อเสือ ที่เสาชิงช้า เป็นอย่างมาก ไปไหว้ทุกปี ปีละ หลายครั้งด้วยกัน การติดต่อสื่อสารกันก็ผ่านการเสี่ยงเซียมซี...ซึ่งก็แม่นมากมาย ปีไหนดวงซวย ได้เซียมซีไม่ดี ถึงจะลองเสี่ยงใหม่อีก 3 รอบ ก็ได้เซียมซีใบเดิม แม้ว่าจะเปลี่ยนกระบอกเซียมซีใหม่ก็ตาม...

    เวลามีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร ก็จะไปขอให้ท่านช่วย ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง...โดยเฉพาะอาม่า ที่เหมือนจะได้รับสิทธิพิเศษในการติดต่อสื่อสาร และให้ความช่วยเหลือ...เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ผมยังไม่เกิด...เมื่อเด็กๆผมก็ได้ติดตามไปไหว้ที่ศาลเจ้าพ่อเสือนี้เช่นกัน...

    จนกว่าจะเข้าถึงไตรสรณะคมแล้ว จึงได้เห็นว่า...
    การไปกราบไหว้ เสือ คือสัตว์เดรัจฉานนั้น เป็นสีลพตปรามาส
    การไปบนบานศาลกล่าว กราบกรานอ้อนวอนขอนั้น เป็นสีลพตปรามาส
    การเสี่ยงทาย ทำนายทายทักนั้น เป็นสีลพตปรามาส
    เรื่องพวกนี้ผมเองก็ทำมาหมดแล้วเหมือนกัน
    และทุกวันนี้ก็ยังมีคนไปไหว้กันอยู่เยอะ ดูเหมือนจะเยอะกว่าแต่ก่อนเพราะมีทั้งพี่น้องชาวไทยจากทั่วทุกทิศไปกราบไหว้ และแต่ละคนอายุจะน้อยลงเรื่อยๆ...

    มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นคือ เมตตาธรรม
    จะเป็นดวงจิต วิญญาณ เทพเทวา หรือภูติผี ปีศาจ ตนใดก็ตาม ที่เข้ามาอยู่ในรูปปั้นเสือโคร่งตัวนี้ ซึ่งคอยช่วยเหลือคนหลายๆคนที่มา กราบไหว้อ้อนวอนขอ บนบานศาลกล่าวนี้ ให้ประสบความสำเร็จ สมปรารถนา นั้น
    ผมเห็นว่าเป็นเมตตาธรรมอย่างหนึ่ง...

    ผมเห็นว่า คุณธรรม คือ เมตตา นี้ สำคัญมาก...
    เพราะเมตตาธรรมนี้ แม้สถิตอยู่ในสัตว์เดรัจฉาน ยังได้รับการเคารพกราบไหว้...
    ดังนั้นแล้ว เราจึงควรเจริญเมตตาธรรมนี้ให้มาก เมื่อมีเมตตาธรรมอยู่ในกมลสันดารแล้ว ย่อมนำมาซึ่งความเจริญ ... คุณธรรมนี้ หากประพฤติ ปฏิบัติ ไม่ได้แล้ว ก็ให้รู้สึกอับอายต่อสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ไม่น้อยทีเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เมตตาธรรมของดวงจิต วิญญาณ เทพเทวาหรือภูติผี ปีศาจ บางตนต้องการช่วยเหลือคน เพื่อต้องการให้คนกราบไหว้สรรเสริญตนก็มี เป็นเมตตาธรรมก็จริง แต่ใช่ว่าพวกนี้จะช่วยคนเสมอไป พวกเดรัจฉานบางพวกก็อาศัยพวกนี้หาประโยชน์บางอย่างให้คนทำบางอย่างเพื่อบางอย่าง พระพุทธองค์จึงทรงตรัสห้ามภิกษุกระทำเดรัจฉานวิชชา แต่ภิกษุส่วนมากก็ทำกัน แทนที่จะรักษาพระไตรสรณคมน์รักษาศีลตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เมื่อไปกราบไหว้พวกเทพเท่ากับทิ้งพระไตรสรณคมน์ พอทิ้งพระไตรสรณคมน์ได้ก็ทิ้งศีล กายเป็นมารเต็มตัว
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ที่เคยเห็นแรงๆ ก็มี พระภิกษุ ไปกราบคนทรงที่ร่างทรงเป็นผู้หญิง...
    อันนี้ไม่ใช่รับไม่ได้ แต่ว่าไม่ได้รับ มันเกินเลยมากไปมาก...

    ภิกษุที่ไปรับครอบครูจากฆราวาส โดยใช้เศียรพ่อแก่ครอบให้...
    ใครเห็นเข้าคงไม่ต้องบรรยายแล้วนะครับ ว่ารู้สึกอย่างไร...

    พระที่ท่านพุทธาภิเษกพระเครื่อง เพื่อให้ไว้เป็นพุทธานุสติ เป็นเครื่องระลึกถึงครูบาอาจารย์ เมื่อจะทำชั่วก็ให้ละอายใจ เพื่อสำหรับลูกศิษย์ผู้ใหม่อยู่ ยังไม่มีบารมีธรรมอันเข้าถึงไตรสรณคมแล้ว อย่างนี้ก็เป็นกุศโลบายในการน้อมจิตให้เข้าหากุศลเป็นเบื้องต้น อันนี้ก็เข้าใจได้...เพราะเมื่อถึงเวลาที่ได้ดวงตาเห็นธรรม ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะถอดพระเครื่องทั้งหมดออกจากคอเอง โดยไม่ต้องมีใครบอก...

    แต่สำหรับที่ทำเครื่องรางด้านเสน่ห์ ถึงกับเอากระโหลกผีบ้าง น้ำมันจากเครื่องเพศสตรีบ้าง มาผสมทำกัน แล้วมาอาศัยผ้าเหลืองบังหน้า อีกที...แบบนี้ต้องขอยืนกันคนละฝั่ง คืออยู่ห่างๆ อยากจะไปรบไปล้างภิกษุพวกนี้เหมือนเช่นครั้งพระเจ้าตากได้กระทำลงไปเช่นกัน เพียงแต่ทำไม่ได้ ได้แต่บอกคนใกล้ชิดทั้งหลายว่า อย่าไปยุ่งด้วย ก็แค่นั้นเอง...
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ก๋งและอาม่าผมเกิดเมืองจีน พ่อผมและผมเกิดเมืองไทย เมื่อก่อนผมนับถือหมดครับ ผมชอบไปวัดจีนคงจะเป็นมาจากสายเลือดครับ ประเพณีจีนทำทุกปีไม่เคยขาด เพื่อบรวงสรวงเทพเจ้าตามความเชื่อที่ยึดถือมาจากประเทศจีน คาถาอาคมผมก็เรียนมาจากก๋ง ก๋งผมเรียนมาจากอาจารย์แถวนครปฐม ก๋งมีคาถาป้องกันตัว คาถาบูชาเทพ เชิญเทพาดาท่องเป็นชั่วโมงๆ แต่ผมไม่เอาไหนก๋งเลยสอนบทย่อให้แทน พระเครื่อง สักยันต์ก๋งผมเล่นหมด พ่อผมก็ไม่น้อยหน้าก๋งเท่าไร ผมเองก็เล่นมาไม่น้อย ตอนนี้ผมวางหมดแล้ว มันไม่ใช่ของจริง ของจริงคือ พระรันตนตรัย อริยสัจและมรรคเท่านั้นครับ
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ในอนุสติ ๑๐ ข้อ เทตานุสตินั้น ก็ไม่ใช่ให้คิดให้นึกถึงเทพยดาเป็นที่เคารพนับถืออย่างใด ท่านให้ระลึกถึงคุณธรรมความดีอันใดที่ส่งผลให้ได้ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมนั้นๆ คนทั้งหลายยังตีความหมายของพระพุทธเจ้าไม่ถูกนะ มีเยอะแยะอยู่อาตมาก็ยังหมั่นพูดให้คนฟังให้เข้าใจ ไปเทศน์ที่ไหนก็พยายามสอนให้เข้าใจ การนับถือเทวดา อินทร์ พรหมหรือภูตผีปีศาจเหล่านี้ บางคนก็นับถือด้วยความกลัวอย่างนี้แหละ ความกลัวนี้เป็นเหตุทำให้คนเราเที่ยวนับถือในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยการเล่าลือกันว่า ผีตรงนั้นดุนะ ถ้าไม่กราบไหว้หรือไม่บูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียนไม่ได้เชียวนะ พอมีผู้โฆษณาไว้อย่างนี้ คนอื่นก็พากันกลัวตาม ตื่นกลัวโดยไม่ใช้ปัญญา ได้ทำตามอย่างกันไป เมื่อจะไปที่นั่นต้องมีดอกไม้ ธูป เทียนไปบูชา จึงผ่านไปได้

    อย่างทางที่จะไปอำเภอหล่มศักดิ์ จากจังหวัดเพชรบูรณ์เคยมีคนพูดว่า ริมแม่น้ำเลยนั้นใสนิ่งน่ากลัวอยู่เหมือนกันแหละ แต่ต่อมามีการสร้างศาลเจ้าที่ริมฝั่งแม่น้ำเลยตรงนั้น ก็มีธรรมเนียมใหม่ขึ้นมา ใครเดินทางไปถ้าไม่มีพวงมาลัย ไม่มีดอกไม้ไปบูชาไม่ได้เลย ถ้ามีร่มก็ต้องหุบร่ม ถ้าสวมรองเท้าก็ต้องถอดรองเท้า ใส่หมวกก็ต้องถอดหมวก ไม่งั้นมีอันเป็นไป เรามันต้องเดินทางไกล สวมรองเท้าก็สวม กางร่มก็กางไปถึงตรงนั้นก็ไปยืนดูเห็นพวงมาลัยคล้องคออยู่ที่ศาลเป็นกองพะเนินเทินทึก ปัดโธ่... มนุษย์หนอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งประเสริฐสูงสุดแท้ๆ หนาทำไมจึงไม่ไปกราบ ไม่กราบ ไม่ไหว้ ไม่เชื่อ ทำไมจึงเชื่อคำบอกเล่าปรัมปราอย่างนี้ เราจะไปหุบร่ม ถอดรองเท้า หรือเอาดอกไม้ไปบูชาเขาทำไม เรายืนดูแล้วก็เกินหนีไปเลย ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่

    แล้วก็ที่จังหวัดพังงา สมัยที่อาตมาไปท่องทางภาคใต้อยู่ 8 ปี ก็ได้เห็นอะไรแปลกๆ มากมายที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ไม่ห่างจากเมืองพังงานัก ที่หน้าถ้ำเขามีศาลเจ้าอยู่แห่งหนึ่ง สร้างค่อมพื้นหินติดกับดินที่หน้าถ้ำไม่ได้ยกพื้น ในศาลนั้นก็มีหินอยู่สองก้อนฝังอยู่ อยู่ใต้ดินครึ่งหนึ่งเป็นหินผิวเรียบเกลี้ยงเราก็สวมรองเท้าเข้าไป ก็ขึ้นไปเหยียบหินสองก้อนนั้นแล้วพูด

    "ไหนได้ยินว่าเจ้าพ่อหลักเมืองอยู่นี่หรือ เออ...ถ้าเจ้าพ่อหลักเมืองอยู่นี่ อาตมาจะมาพักอยู่ในถ้ำนี้ และจะมาแสดงธรรมที่หน้าที่หน้าถ้ำนี้ ให้ไปฟังธรรมเน้อ"

    พอว่าอย่างนั้นแล้ว ก็เดินเข้าไปดูในถ้ำโยมเขาพาไป พอดูถ้ำก็เห็นว่าเหมาะพอที่จะอยู่ได้ก็อยู่ โยมชาวบ้านก็ช่วยกันทำยกร้านไว้เป็นที่นั่งนอนภายในถ้ำ แล้วก็มาทำศาลาน้อยที่ข้างหน้าถ้ำ ใช้เป็นที่ฉันภัตาหาร ญาติโยมมาหาก็ไปต้อนรับกันที่ศาลาน้อยแสดงธรรมให้ฟังด้วยกันที่นั่น พักอยู่ในถ้ำได้ ๒ เดือนพอใก้ลจะเข้าพรรษาโยมชาวบ้านนิมนต์ไปจำพรรษาอยู่ที่ป่าช้าอีกแห่งในเมืองพังงาเขาทำเสนาสนะให้เสร็จสรรพ

    ปกติที่ศาลเจ้านั้น จะมีคนประทับทรงประจำตามเทศกาล วันสำคัญก็มีคนไปกราบไหว้กันเยอะ ไปขอหวยขอเบอร์ ทีนี้พอเข้าพรรษาได้ไม่นานก็มีเทศกาลจัดทรงเจ้าขึ้นอีก มีอุบาสกคนหนึ่งที่มาพักอยู่กับอาตมา ได้ไถลฟังกับเขาด้วยโดยหวังว่าจะได้เบอร์กับเขาบ้าง แต่พอไปถึง ได้เวลาเขาประทับทรงก็ไม่เป็นเหมือนเช่นเคย เมื่อประทับทรงแล้วพูดว่า "ต่อไปนี้ลูกหลานอย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอามาบวงสรวงเจ้าพ่อนะ ทำมาเพื่อขอบัตรขอเบอร์ไม่ได้ มันเป็นบาป"

    เจ้าพ่อก็ว่า "ก็เมื่อก่อนเจ้าพ่อไม่รู้นี่ แต่ตอนนี้รู้แล้วเพราะมีพระธุดงค์มาพักอยู่ในถ้ำและมาแสดงธรรมอยู่ข้างหน้าถ้ำ เจ้าพ่อก็ไปฟังกับเขาเหมือนกัน เจ้าพ่อถึงได้รู้ว่ามันเป็นบาปกรรมที่ทำอย่างนั้น"

    การเล่นหวยเบอร์ก็ไม่ดีมีแต่เดือดร้อนทั้งตนเองและครอบครัว ก่อนนี้อาตมาก็เคยเทศน์เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ชาวบ้านที่ชอบเล่นไม่เบื่อ ไม่เชื่อ ยังคงไปหาเจ้าพ่อขอบัตรขอเบอร์อยู่เรื่อย เราก็เทศน์ถึงเรื่องโทษที่เล่นบัตรเล่นเบอร์ต่างๆ นานาออกไป บางทีมันก็เป็นตัวเลข พวกนั้นก็จับเอาไปซื้อซะอีก ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร

    ที่อำเภอเถิน จังหวัดตากก็เหมือนกัน อาตมาเคยพาคณะไปปักกลดอยู่ที่ป่าช้าบ้านเหล่าหลวงเขตอำเภอเถิน ได้พักอบรมธรรมแก่ญาติโยมประมาณ ๓ เดือน มีคนมาฟังเทศน์กันมากทุกคืน ที่บริเวณใกล้ป่าช้านั้นมีศาลเจ้าใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ชื่อเจ้าพออะไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว ระหว่างนั้นเจ้าพ่อที่ศาลเจ้านั้นก็ได้ไปฟังธรรมดัวยเหมือนกัน

    พอใก้ลพรรษา พวกญาติโยมที่ศรัทธาก็ได้ประชุมตกลงกันที่จะสร้างเสนาสนะขึ้นให้คณะของอาตมาได้อยู่จำพรรษาตอนนี้ หลวงปู่หลอด ปโมทิโต ก็ได้พาคณะมาสมทบด้วย ชาวบ้านได้ถวายที่ดินประมาณ ๑๐ ไร่เป็นสวนอยู่หลังตลาดอำเภอเถิน ออกไปไม่ไกลนัก แล้วจัดสร้างกุฎิและศาลาโรงธรรมอย่างง่ายๆ เป็นเสนาสนะป่าให้พระได้อยู่จำพรรษากัน ให้ชื่อว่า "สำนักสงฆ์นันทวนาราม"

    พอออกพรรษาแล้ว อาตมาก็เดินทางไปภาคอีสานแล้วเลยต่อลงไปภาคใต้ปีต่อมาก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่เดิมอีก พอกลับมาจึงได้ทราบว่า เมื่อออกพรรษาปีก่อนได้ไม่นาน คนทั้งหลายที่นับถือเจ้าพ่อ ได้พากันทำพิธีบวงสรวงประจำปี เดิมที่ศาลเจ้าอำเภอเถินนั้นดุมาก ต้องกินควายปีละ ๑ ตัว ชาวบ้านจะฆ่าควายปีละ ๑ ตัว เพื่อทำพิธีบวงสรวงต่อเจ้าพ่อ ขอให้คุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข ทำมาหากินสะดวก และขอหวย ขอเบอร์ด้วย ศาลเจ้านั้นใหญ่โตมากทำด้วยไม้ทั้งหลัง มีไม้เสาเป็นไม้แดงไม้ประดู่ต้นใหญ่ๆ ทั้งนั้นในพิธีก็มีคนประทับทรงเจ้าพ่อเหมือนกัน เจ้าพ่อได้บอกว่า

    "ต่อไปนี้ เจ้าพ่อจะไปจำศีลอยู่ที่ภูเขาอินทรโขงแล้ว อย่าได้ทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเซ่นสรวงเจ้าพ่ออีก ไม่ดีมันบาป"

    ชาวบ้านก็ว่า "อ้าว... ทำไมว่าอย่างนั้น"

    เจ้าพ่อก็บอกว่า "อ้าว... เจ้าพ่อได้ยินพระธุดงค์มาแสดงธรรมอยู่ที่ป่าช้า เจ้าพอก็ไปฟังเหมือนกัน ก่อนนี้พระที่วัดเจ้าคณะอำเภอไม่เคยเทศน์อย่างนี้ ว่าบาป แต่พระธุดงค์กรรมฐานได้มาเทศน์สอนชาวบ้านว่าไม่สมควรเป็นบาปมาก เจ้าพ่อพึงเข้าใจ ดังนั้นพวกลูกหลานอย่าได้ทำบาปเช่นนั้นอีก"

    ต่อมาศาลเจ้านั้นก็ร้าง พวกเจ้าหน้าที่วัดป่าก็ได้ไปขอเอาศาลเจ้านั้นรื้อมาทำศาลาวัดได้หนึ่งหลัง อาตมากลับขึ้นไปที่นั่นได้เห็นศาลาใหม่ ชาวบ้านจึงได้เล่าให้ฟังถึงได้รู้เรื่องว่าศาลานี้เกิดจากเจ้าพ่อนั้น

    คัดลอกจากหนังสือ หลวงปู่เล่าเรื่อง (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
     
  8. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    บทสวด สัจจะกิริยาคาถา พร้อมคำแปล

    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
    พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ด้วยการกล่าวคำจริงนี้
    โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
    ธัมโม เม สะระณัง วะรัง, พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ด้วยการกล่าวคำจริงนี้
    โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
    สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ด้วยการกล่าวคำจริงนี้
    โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
     
  9. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
    พระพุทธ พระธรรม พระ(อริยะ)สงฆ์ เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า
    ด้วยการ กล่าวคำสัตย์(สัจจ)นี้

    ถ้าพุทธบริษัท ๔ กำลังใจไม่เข้มแข็งพอ ไปกราบไหว้พึ่งพาบนบานอย่างอื่นนอกเหนือจากพระรัตนตรัยละ ?ตระบัดสัตย์?

    น่าคิดนะ ว่ามันยังไงกันแน่
    หรือนี้คือสาเหตุหนึ่งที่พุทธบริษัท ๔ เสื่อมจากพระพุทธศาสนาของพระศาสดา เหตุเพราะรักษาสัตย์(สัจจวาจา)ไว้ไม่ได้
    บางท่านอาจบอกบทนี้ไม่เคยสวด
    บางท่านอาจบอกว่าคุ้นๆว่าเคยสวดแต่ไม่เคยรู้คำแปลมาก่อน ตอนนี้รู้แล้วจะได้ระวัง(ไม่สวดอีกแล้ว)
    บางท่านบอกเคยสวดแต่ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ แต่ไม่เคยบอกว่าอย่างอื่นไม่ใช่ สรณังคัจฉามิ ของฉันนี่

    เอ๊ะยังไง ลองๆคิดกันดู

    อันนี้ไม่ได้ต่อว่า หรือดูถูกเหยียดหยามผู้เคารพบูชากราบไหว้อ้อนวาน สิ่งศักสิทธิ์อื่นๆ นอกเหนือจาก พระรัตนตรัยนะคะ เพราะต่างคนต่างก็มีเหตุผลในการที่จะยกย่องบูชากราบไหว้ใครหรืออะไร

    แต่ท่านผู้อยู่ใน uniform สบง จีวร สังฆาติ แล้วกราบไหว้บูชาบวงสรวงอ้อนวอน ....... น่าคิดนะคะ ว่าอะไร ยังไง

    พิจารณาเอาคะ พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ดำรงธาตุขันธ์อยู่ให้เราถามท่าน ณ วันนี้เสียด้วย
    อย่างไรก็แล้วแต่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม

    เรื่องน่าห่วงคือ ไม่เห็นทั้งเรา ไม่เห็นทั้งธรรม แต่เข้าใจไปเองด้วยมิจฉาทิฐินี่สิ ว่าเข้าถึงแก่นธรรม น่ากลัว มวกๆๆๆๆ
     
  10. stone111

    stone111 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +32
    หลวงปู่มั่น ขอรับ
    ผมไม่รู้ว่า หลวงปู่มั่นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า
    ผมกราบไหว้หลวงปู่มั่น ปู่โต ปู่ทวด ทุกวี่วัน
    ผมระลึกถึงคุณงามความดีของปู่ที่เมตตา สั่งสอน
    สาธุชนทั้งหลาย ให้มั่นสร้างความดี
    ทุกวัดวาอาราม รวมถึงเคหะสถานทั่วบ้านทั่วเมือง
    ก็เห็นรูปเคารพปู่มีให้กราบไว้มากมาย แทบจะทุกวัดทุกครัวเรือน

    แต่บัดนี้ มีคนบอกว่า หลวงปู่มั่น แนะนำวิธีการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์.......ออก
    แล้วหลวงปู่มั่นจะถอนตนเอง ทำไมละขอรับ

    กระทู้นี้ ผ่านตาก็หลายราตรีแล้วนะขอรับ
    ไม่รู้ว่าเจ้าของกระทู้มันเอาส่วนไหนมาคิด
    หลวงปู่ ช่วยจัดการถอนมันออกจากกระทู้นี้หน่อยได้ไหมขอรับ
    หรือไม่ก้ ให้มันไปผุดไปเกิดตามภพภูมิ ตามก่อหญ้าที่ไหน ก็ได้ขอรับ

    อ่านไปก็หัวเราะขำ อิอิๆ ในใจ เก็บอารมณ์ไว้ ไม่อยากแสดงออกไปมากกว่านี้

    ปล. เข้าใจว่า เจ้าของกระทู้เป็นคนมีภูมิธรรมสูง เห็นแสดงธรรมอย่าน่าเลื่อมใส
    น่าจะไปบวช ละกิเลสสาม อนุสัยเจ็ด ต่อด้วยสังโยชน์ แล้วก็ละเจ้าโลกนี้ไป
    จะได้โมทนา สาธุ นะขอรับ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ท่านอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่น ฯ พร้อมทั้งศิษย์ของท่านอาจารย์ทั้ง ๒ รุ่นแรก และผู้เข้ามาฝึกหัดใหม่ รวมกันจำนวนมาก จำพรรษาอยู่ที่เสนาสนะป่า บ้านหนองลาด (ปัจจุบันเป็น ร.ร.ประชาบาล) อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร นับเป็นเวลา ๗ ปี ที่ท่านอาจารย์ได้เริ่มแนะนำการปฏิบัติธรรมที่ง่าย และได้ผลจริงจังจนถึงปีนี้ และได้มีผู้ที่ได้รับธรรมชั้นสูงจากท่านจนสามารถสอนธรรมกรรมฐานแทนท่านได้ก็มากองค์ มาในปีนี้ท่านอาจารย์ใหญ่ทั้ง ๒ ใคร่จะได้ปรับปรุงแผนการให้ได้ผลยิ่งขึ้น ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ จึงได้มีการรวมประชุมบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายให้มาจำพรรษา ณ ที่นี้

    แม้ท่านอาจารย์ทั้ง ๒ ก็ได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับธรรมปฏิบัติเป็นประจำ ท่านอาจารย์เสาร์ ก็ได้มอบให้ท่านอาจารย์มั่น ฯ เป็นผู้วางแผนงาน ตลอดถึงแนะนำธรรมปฏิบัติ เพื่อให้ทุกองค์ได้ยึดเป็นแนวการปฏิบัติ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    ทางฝ่ายบรรพชิต ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้ยืนยันถึงการที่ได้ปฏิบัติมาและแนะนำมาก่อนแล้วนั้น เป็นทางดำเนินถูกต้องแล้ว ว่าแต่ใครๆ อย่าไปแหวกแนวเข้าก็แล้วกัน เพราะเมื่อดำเนินมาเป็นเวลา ๗ ปีนี้ เกิดผลสมความตั้งใจแล้วคือการปฏิบัติตามอริยสัจจธรรม โดยเฉพาะท่านย้ำถึงการพิจารณากายนี้เป็นหลักประกันที่สำคัญยิ่ง ท่านได้ยกตัวอย่างมากมาย นับแต่พระบรมศาสดา และพระสาวกทั้งหลายซึ่งผู้ที่จะผ่านเข้าสู่อริยสัจจ์นั้นจะไม่พิจารณากายไม่มีเลย ข้อนี้ท่านยืนยันอย่างแน่วแน่

    การที่ท่านย้ำลงในข้อการพิจารณาโดยอุบายต่าง ๆ นั้น เพราะกลัวศิษย์จะพากันเข้าใจผิดว่าเป็นการพิจารณาที่ไม่ถูก อาจจะเข้าใจไขว้เขว แล้วจะเป็นการเสียผลเป็นอย่างยิ่ง ทั้งท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้วิตกว่ากลัวผู้ที่ไม่เข้าใจโดยละเอียดถ่องแท้จะพากันเขวหนทางและพาให้หมู่คณะที่อยู่ในปกครองเขวหนทางตามไปด้วย เพราะท่านได้นิมิตในภายในสมาธิของท่าน ณ ค่ำคืนวันหนึ่ง ท่านนิมิตว่า

    “ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า เราได้พาพระภิกษุสามเณรเป็นจำนวนมาก เข้าไปบิณฑบาตในละแวกบ้าน ขณะนั้นก็ได้เกิดนิมิตในสมาธิเป็นที่น่าประหลาดใจขึ้น คือ พระภิกษุสามเณรที่ตามเรามาดี ๆ ก็เกิดมีพวกหนึ่งแซงซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ขึ้นหน้าเราไป บางพวกก็เลยเดินออกไปนอกทางเสีย และก็มีอีกพวกหนึ่งที่เดินตามเราไป”

    การนิมิตเช่นนี้ ท่านได้เล่าให้ศิษย์ของท่านฟังทุก ๆ องค์ พร้อมทั้งอธิบายว่า

    ที่มีพวกภิกษุสามเณรแซงท่านขึ้นไปข้างหน้านั้น คือบางพวกจะพากันอวดตัวว่าเก่งว่าดีแล้ว ก็จะละจากข้อปฏิบัติที่เราได้พาดำเนิน ครั้นแล้วก็จะเกิดความเสื่อมเสีย ไม่ได้ผลตามที่เคยได้ผลมาแล้ว ซึ่งเขาเหล่านั้นก็จะมาอ้างเอาว่าเป็นศิษย์ของเรา แต่ที่ไหนได้พากันหลีกเลี่ยงการปฏิบัติต่างๆ ที่เรากำหนดให้ไว้ ที่สุดแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อย ๆ เช่นสีจีวรเป็นต้น การจะปฏิบัติเพื่อการพิจารณากายอันนับเนื่องด้วยอริยสัจจธรรมก็ยิ่งห่างไกล

    จำพวกหนึ่งเดินออกนอกทาง คือจำพวกนี้เพียงแต่ได้ยินกิตติศัพท์เราแล้ว ก็อ้างเอาว่าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ฯ บางทีจะยังไม่เคยเห็นหน้าเราเสียด้วยซ้ำ และก็หาได้รู้อุบายแยบคายในการปฏิบัติแต่อย่างใดไม่ หรือพวกที่เคยอยู่กับเรามา เมื่ออยู่กับเราก็คงเคร่งครัดเพราะกลัว แต่พอออกจากเราไปแล้ว ก็ไม่นำพาในข้อธรรมและการปฏิบัติของเรา เพียงแต่มีชื่อว่าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ฯ เท่านั้นแต่ไม่มีข้อปฏิบัติอันใดที่จะถือได้ว่าเป็นแนวทางเป็นตัวอย่างอันนำมาจากเราเลย

    จำพวกหนึ่งที่เดินตามหลังเราไปนั้น จำพวกนี้เป็นผู้ดำเนินตามคำแนะนำของเราทั้งภายนอกและภายใน เป็นผู้ใคร่ต่อธรรม ต้องการพ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร พยายามศึกษาหาความรู้ทุก ๆ ประการที่มีความสนใจ ต่อหน้าหรือลับหลังก็เหมือนกัน รับข้อปฏิบัติแม้เล็กน้อยรักษาไว้ด้วยชีวิตจิตใจ เพราะจำพวกนี้ได้รับผลแห่งการปฏิบัติมากับเราแล้ว เกิดผลอันละเอียดอ่อนจากข้อวัตรปฏิบัติเหล่านี้ ก็เป็นที่แน่นอนว่าจะแปรผันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

    พวกที่ออกนอกลู่นอกทางนั้นคือ เขาเหล่านั้นไม่ได้รับผลอย่างจริงจังจากการปฏิบัติอยู่กับเรา เพราะเหตุที่ไม่ได้ผลจริงนั้นเอง ทำให้เกิดความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ แต่พวกที่เดินตามเราย่อมได้รับความเจริญ

    การที่ท่านได้เล่าถึงเหตุการณ์ในอนาคตของศิษย์ของท่าน เพื่อเตือนสติให้ระลึกถึงความที่ว่า ธรรมปฏิบัติที่ท่านได้อุตส่าห์ลงทุนลงแรง พากเพียรพยายามทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จนบังเกิดผลมหาศาล จะพึงอยู่นานได้เพียงไรนั้น ก็แล้วแต่ศิษย์ทั้งหลายจะพากันมีสติหรือพากเพียร เพื่อให้เกิดผลจริงจัง จะรักษาการปฏิบัติเหล่านี้ได้ ถ้าใครจักพึงกล่าวว่าเป็นศิษย์ท่านอาจารย์มั่นฯ เขาก็จะได้รักษาไว้ซึ่งข้อวัตรปฏิบัติของท่านอาจารย์มั่น ฯ ผลลัพธ์ที่จะได้ก็จะได้สมจริง

    นอกจากการที่ท่านได้เน้นหนักในการรักษาแผนกการสอนและแนวทางด้านการปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรแล้ว ท่านมาแสดงถึงพุทธบริษัททางด้านฆราวาส

    ทางฆราวาสท่านเน้นหนักการเชื่อถือ เพราะปรากฏว่าพุทธบริษัทบางจำพวกพากันไปนิยมนับถือในสิ่งที่ผิดเสียมาก เช่นนับถือภูตผีปีศาจ นับถือศาลเจ้าที่ นับถือการเข้าทรง นับถือเทพเจ้าต่างๆ นับถือศาลพระภูมิ นับถือต้นไม้ใหญ่ นับถืออารามเก่าแก่ ซึ่งการนับถือสิ่งเหล่านี้นั้น มันผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าโดยแท้ เป็นการนับถือที่งมงายมาก ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทไม่ควรที่จะนับถือสิ่งเหล่านี้เลย เพราะเมื่อไปนับถือสิ่งเหล่านี้เข้า ก็เท่ากับเป็นอ่อนการศึกษามากหรือขาดปัญญาในพระพุทธศาสนา เขาเหล่านั้นได้ปฏิญาณตนว่าได้ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้วกลับมีจิตใจกลับกลอกหลอกหลอนตนเอง ไม่นับถือจริง เพราะถ้านับถือจริง ก็ต้องไม่นับถือสิ่งที่งมงาย ที่พระพุทธองค์ทรงตำหนิแล้ว ดังนั้นจึงปรากฏในภายหลังว่า ภิกษุผู้เป็นชั้นหัวหน้าผู้ที่ได้รับการอบรมจากท่านอาจารย์มั่น ฯ แล้ว จะต้องรู้จักวิธีการแก้ไขผู้นับถือผิดเกี่ยวกับภูตผีปีศาจเป็นต้นได้ทุกองค์ ถ้าแก้สิ่งงมงายเหล่านี้ไม่เป็น หรือพลอยนับถือไปกับเขาเสียเลย ก็จะรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ศิษย์ท่านอาจารย์มั่น ฯ แน่นอน เพราะว่าการแก้เรื่องภูตผีปีศาจเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากการนับถือที่ฝังอยู่ในสันดานมานานแล้ว และสถานที่อันเป็นเทวสถานหรือภูตผีอยู่ ก็จะถือว่ามันศักดิ์สิทธิ์ พากันหวาดเสียวไม่กล้าจะถ่ายถอนหรือกำจัดออกไป

    ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้แนะนำทั้งวิธีการจัดการเกี่ยวกับการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวิธีการแนะนำโดยอุบายต่าง ๆ เมื่อท่านแนะวิธีแล้ว ท่านจะใช้ให้ไปทดลองปฏิบัติงานดูถึงผลงานที่ท่านเหล่านั้นไปปฏิบัติงาน

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้อธิบายว่าอันที่จริงการนับถืองมงายนี้เกิดจากการไม่เข้าใจถ่องแท้ในพระพุทธศาสนา หรือขาดการศึกษาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนานั้นเอง ยิ่งชาวชนบทห่างไกลความเจริญแล้ว ก็ยิ่งมีแต่เชื่อความงมงายกับสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นล่ำเป็นสันจึงเป็นสิ่งที่แก้ยากมากทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงว่าชาวชนบทจะพากันหลงงมงายหรอก แม้แต่ชาวเมืองหลวงอย่างในกรุงเทพฯ ก็ตาม ยังพากันหลงงมงายในสิ่งเหล่านั้นมาก เช่น เจ้าพ่อนั้นเจ้าพ่อนี้ บางแห่งก็พากันสร้างเป็นเทวสถานแล้วก็ไปบูชาถือเอาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปก็มีมากมาย

    ในเรื่องเหล่านั้นพระเถระบางองค์ถือว่าไม่สำคัญ แต่ท่านได้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกทีเดียว เพราะการจะเข้าถึงซึ่งความเป็นพระอริยะในขั้นแรกคือพระโสดาบัน ก็จะต้องแก้ไขถึงความเชื่อถือในเรื่องความงมงายเหล่านี้ให้หมดไป เพราะท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านต้องการสอนคนให้พ้นทุกข์จริงๆ สอนคนให้ เป็นอริยะกันจริงๆ ซึ่งบางคนพากันบำเพ็ญภาวนา ได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์ของตนว่ามีธรรมปฏิบัติชั้นสูงเกิดขึ้นในใจแล้ว แต่เขานั้นยังมีความหลงงมงายในการนับถือเหล่านั้น ใช้ไม่ได้เป็นอันขาด

    ชั้นสูงในที่นี้ท่านหมายเอาถึงอริยสัจจ์ เพราะวิกิจฉาความลังเสสงสัยต้องไม่มีแก่ใจของบุคคลผู้มุ่งหน้าปฏิบัติเพื่อความเป็นอริยะ


    ในปีนี้ท่านได้แนะนำแก่พระภิกษุแทบจะถือได้ว่าล้วนแต่หัวหน้าทั้งนั้น จึงเท่ากับท่านได้แนะแนวสำคัญให้แก่บรรดาศิษย์โดยแท้ จึงปรากฏว่า หลังจากท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้ธุดงค์ไปจังหวัดเชียงใหม่แล้ว มอบศิษย์ทั้งหลายให้แก่ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งศิษย์เหล่านี้เป็นศิษย์ชั้นหัวกะทิทั้งนั้น จึงเป็นกำลังให้ท่านอาจารย์สิงห์ฯ ในการที่จะปราบพวกนับถือผิดมีภูตผีได้เป็นอย่างดี นับแต่ท่านได้พาคณะออกจากจังหวัดอุบล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ นั้นแล้ว ก็เริ่มแก้ไขสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ โดยการเข้าไปอยู่ที่นั้น แนะนำประชาชนให้ทราบถึงข้อเท็จจริง จนเป็นที่เชื่อมั่นแล้ว พากันละจากการนับถือภูตผีกันมากมายทีเดียว ในจังหวัดทั้งหลายมี อุบล-ขอนแก่น-กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด-มหาสารคาม-นครราชสีมา ตามที่ท่านคณาจารย์เหล่านี้ผ่านไปแล้ว จะปรากฏได้ถูกแนะนำให้เลิกจากการนับถือที่งมงายลงมากมาย นั้นเป็นสมัยตื่นตัว และพากันได้ทราบความจริงอย่างมากมาย ซึ่งชาวชนบทจะไม่เคยได้รับธรรมคำสั่งสอนเช่นนี้มาก่อนเลย

    ����ѵԾ���Ҩ������蹠 ���Էѵ���� ��Ѻ����ó� �¾���Ҩ���������ѧ�� 10



    ข้อความที่เอามาลงไม่ใช่ความคิดของผม ผมคัดลอกมาจากประวัติพระอาจารย์มั่นเขียนโดยพระอาจารย์วิริยังค์
    ปล. ขำๆ ตอนนี้ให้พอ ตายไปจะขำไม่ออก รักษาตัวเองดีๆ
     
  12. stone111

    stone111 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +32
    คนเรานี้ ก็แปลก ไปอ้างพระอ้างเจ้า
    ทำนองว่า จะทำให้ดูดี มีหลักการ แต่ๆๆๆ
    ทำไม่ได้อย่างที่บอกเล่า เอาเวลาไปสร้างบารมีให้ตนเองไม่ดีกว่าหรือ

    ไปจ่าหัวกระทู้ เหมือนคนสิ้นคิดอย่างนี้
    จะล่อเป้าให้ติดกับในวงวนทำไมละพ่อคู้น
    มันก็น่าคิดและน่าขำ ก็สมควรอยู่หรอก มิใช่หรือ

    อีกอย่างที่เล่าๆ ให้ฟังนะ สรุปรวบยอดให้ด้วยก็แล้วกัน
    ไม่ใช่เอาแต่อ้างๆๆๆๆๆๆๆ เอาสติปัญญาญาณของตน
    สรุปให้คนเขาเห็น ที่สำคัญพิสูจน์ได้ก็จะดีไม่น้อย

    ที่สำคัญเรื่องเล่ามาเป็นเบสิคๆๆๆๆ นักสร้างบารมี
    เขาเลยจุดนี้ ไปแล้ว ยิ่งความตาย เป็นเรื่องเล็กจ๊ะ
    เว้นแต่ว่า ผู้เริ่มต้น แต่มาอ่านกระทู้สร้างกระแสอย่างนี้
    คิดเอาแล้วกัน

    แต่หากต้องการสร้างเรทติ้งให้แก่ตัวเอง
    เพื่อให้ดูดี ก็ไม่ว่ากัน..............
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คนที่เชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขายอมตายเพื่อรักษาพระธรรม
    แต่บางคนก็แปลก ปากท่อง ขอมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แต่ยอมก้มห้วให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ผมเอาคำสอนของครูบาอาจารย์มาให้อ่าน ไม่ได้เอาคำสอนของผมมา ที่มาผมก็เอามาลงแล้ว
    หลวงปู่วิริยังค์ปัจจุบันยังสอนธรรมะอยู่ อยากรู้ความจริงจากปากท่านไม่ใช่เรื่องยากไปถามท่านได้
    ถ้าคุณอ่านตั้งแต่ต้นจนถึงกระทู้นี้ คุณจะเห็นบทพิสูจน์หลายๆ อย่าง เช่น
    - มีท่านที่กดอนุโมทนาจำนวน ๔๗ คน ไม่เห็นด้วยจำนวน ๑ คน

    ในบอร์ดนี้เขาตั้งกระทู้กันเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เขาเผยแผ่ธรรมะ
    ถ้าอยากตายโดยไม่ทรมานเชิญกระทู้นี้ http://palungjit.org/threads/เวลาจะตายไม่อยากทรมานจะทำยังไง.505755/
    ถ้าอยากสร้างบารมีเชิญห้องพุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน คือ อริยสัจและมรรคมีองค์แปด
    สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ ฯลฯ
    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์
    ความอยากมีอยากเป็น ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น ปรารถณาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
    อุปาทานขันธ์ห้าเป็นทุกข์
    ทางสายกลางอันเป็นทางที่จะทำให้พ้นจากทุกข์นั่นคือ มรรคมีองค์ ๘ คือ
    ความเห็นชอบ
    ความดำริชอบ
    วาจาชอบ
    การงานชอบ
    เลี้ยงชีพชอบ
    เพียรชอบ
    ระลึกชอบ
    ตั้งใจชอบ

    แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า ศาลพระภูมิ เจ้าที่ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ พวกนับถือผี สอนอะไรได้บ้างครับ
     
  15. stone111

    stone111 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +32
    แล้วพระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือ
    พระพุทธเจ้า ไม่ได้เกิดจากสิ่งเหล่านี้หรือ
    พระพุทธเจ้า ค้นพบอะไรหรือ
    มรรคมีองค์แปด อริยสัจสี่ ไตรลักษณ์ โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ หรือ

    จริงหรือ ที่ค้นพบสิ่งเหล่านี้ /////////////
    หรือว่า มันมีอยู่ในธรรมชาติ แล้วเข้าใจถ่องแท้ธรรมชาติ

    แล้วพระองค์ค้นพบอะไรกันแน่.!!!!!!!

    พระพุทธทรงตรัสไว้จริงหรือ
    คุณได้ฟังพุทธวจน จากพระโอษฐ์ ของพระองค์จริงหรือเปล่า

    คนสมัยพุทธกาล เขาบรรลุธรรมกันอย่างไรหรือ
    เป็นเรื่องเล่า พิสูจน์ได้จริงหรือเปล่า

    เขาว่ากันว่า ศรัทธา กับ ความหลง มักจะคู่กันเสมอ
    ศรัทธา ต่อ พระพุทธองค์ ประเสริฐแล้ว โมทนา สาธุ

    แต่ๆๆๆ ไปติเตียนสิ่งอื่นๆ โดยไม่เข้าใจ ไม่เคยสัมผัส เพราะความไม่รู้
    อันนี้ เขาเรียกว่า หลง

    ลองใช้จิตใต้สำนึก หรือสัญชาติญาณตน สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ ก่อน
    แล้วค่อยมาเปรียบเทียบ ให้เห็นจริง

    ไม่ใช่ไปด่วนสรุปรวบยอด เป็นเพราะเขาเล่ากันมา
    เพราะตนเองศรัทธาอย่างไร ก็จะสร้างฮีโร่เป็นไปอย่างนั้น

    ความรู้มีตั้งหลายระดับ
    ระดับจักรวาล โลกธาตุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จิตวิญญาณ มนุษย์ สัตว์ และพืช ฯลฯ
    ความรู้แค่ผิวเผิน จะมายกยอตนเองทำไม
    เห็นแล้วก็อนาจใจแท้...... ตามสบายจุเบย....
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีมาหลายมหากัลป์ พระสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้บำเพ็ญบารมีมามากจึงมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์
    ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ทรงมอบพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ คุณและผมโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เกิดเป็นมนุษย์
    แม้ไม่ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ แต่ได้ฟังพระธรรมจากพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกับได้ฟังจากพระพุทธเจ้า เพราะพระสงฆ์ท่าน
    ถ่ายทอดคำสอนมาจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงบอกให้พึ่งธรรมและพึ่งตน อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
    ไม่มีสิ่งใดศักดิ์สิทธิ์เหนือพระธรรม พวกเทพ เทวดา มารพรหม รุกขเทวดา ภูเขา ต้นไม้ จักรวาลทั้งจักรวาล โลกธาตุทั้งโลกธาตุไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์

    ผมบอกว่าที่ผมเอามาโพสต์ผมคัดลอกมาจาก ประวัติพระอาจารย์มั่น เขียนโดยพระอาจารย์วิริยังค์ ผมไม่ได้เขียนเอง ผมไม่ได้เล่าเอง
    ผมไม่ได้ยกยอตนเอง มีข้อความไหนที่ผมบอกว่าผมยกยอตัวเอง เอามาหลักฐานมาแสดงด้วย อย่าใช้เพียงแต่คำพูดลอยๆ ของคุณ
    ผมยกพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อริยสัจและมรรคมีองค์แปด สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗
    ผมถามคุณว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า ศาลพระภูมิ เจ้าที่ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ พวกนับถือผี สอนอะไรได้บ้าง"
     
  17. stone111

    stone111 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +32
    ถามจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ไม่เคยสอนว่าพระองค์ศักดิ์สิทธิ์"
    คุณรู้ได้อย่างไรหรือ ฟังความเขามา อ้างว่าพระเกจิ เล่าให้ฟังกันมา
    หรือว่า คุณรู้จากพระโอษฐ์ท่านจริงๆ

    ถามจริงๆ เถอะ รู้ความหมายของคำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเปล่า

    โถๆๆๆๆ ก่อนอื่น ต้องรู้ความหมาย...ของคำว่า

    ศาสนา คืออะไร เสียก่อน แสดงว่า นิยามของศาสนา ยังไม่มีอยู่ในจิตเลย
    แล้วจะไปเข้าใจแก่นศาสนาได้อย่างไร

    ศาสนาในภาพรวม
    - ศาสนาคืออะไร -
    - พุทธศาสนาคืออะไร -
    - มหายานกับเถรวาท -
    - เป้าหมายของพุทธศาสนา -
    - แก่นคำสอนในพุทธศาสนา -

    ศาสนาคืออะไร?
    - สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    - พระเจ้า
    - การสักการบูชา
    - เทพนิยาย หรือ นิทาน หรือชาดก
    - ดวงจิตวิญญาณ
    - การปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น

    * สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    พระเจ้า ภูตผีปีศาจ ที่มนุษย์เชื่อว่ามีพลังอยู่เหนือธรรมชาติ ที่จะคอยควบคุมหรือคุ้มครองปกปักรักษาตัวเรา ตลอดจนสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่อยู่รอบตัวเราให้เป็นไปตามพลังอำนาจที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องการดลบันดาล
    - สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆ ... ?
    - สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นธรรมชาติ ...?

    * พระเจ้า
    คือ พระผู้เป็นเจ้า พระพุทธเจ้า เทพเจ้า เทพยดาฟ้าดิน และบรรพบุรุษ
    - เทวนิยม... ?
    - อเทวนิยม... ?
    - วิญญาณบรรพบุรุษ ... ?
    - วิญญาณบรรพกษัตริย์... ?

    * การสักการบูชา
    กิจกรรมที่มนุษย์ได้แสดงออกต่อการยอมรับในพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
    - พิธีกรรมทางศาสนา
    - การจัดแห่ขบวน
    - การสวดมนต์
    - การบายศรี ฯลฯ

    * เทพนิยาย นิทาน หรือชาดก
    เรื่องเล่าสู่กันฟังเป็นอุธาหรณ์สอนคนให้ศรัทธาในพระเจ้า ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีความเป็นปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้ปรากฏต่อเหล่าศาสนิก เพื่อสร้างความเชื่อ ความศรัทธาให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น

    * ดวงจิตวิญญาณ
    สิ่งที่สิงสถิตอยู่ในตัวคนที่ไร้รูปตั้งแต่เกิด เมื่อถึงวาระที่ต้องตายลง ก็จะแสวงหาที่อยู่ใหม่ตามคติหรือภพภูมิ
    - วิญญาณ หรือจิตสำนึก ...?
    - จิตวิญญาณ หรือจิตใต้สำนึก ...?

    * การปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น
    เป้าหมายหลักในทุกศาสนาที่ชี้แนะให้ศาสนิกของตนพากันบำเพ็ญ เพียรภาวนาให้พ้นจากบางสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ
    - โมกษะ...?
    - ไกรวัลยะ...?
    - นิพพาน...?

    อีกประเด็นสำคัญหนึ่ง ที่ควรรู้ไว้ว่า
    ตัวคุณไม่ได้ปฏิบัติทางจิต คุณก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะเหล่านี้ เลย
    ไม่สามารถใช้อำนาจจิตในการเชื่อมโยงหรือสื่อสารกับสิ่งเหล่านี้ได้เลย
    ในเมื่อไม่ได้ คุณก็บอกแต่อ้างๆๆๆๆๆๆ พระเกจิฯ
    แล้วก็ด่วนสรุป ว่า

    "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า ศาลพระภูมิ เจ้าที่ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ พวกนับถือผี สอนอะไรได้บ้าง

    สรุปแล้วก็น่าเห็นใจ ที่ไม่เข้าใจ
    ถามจริงๆ พ่อแม่บังเกิดเกล้าของคุณ คุณคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม
    ไม่ต้องไปอ้างพระพุทธเจ้าก็ได้ ... เพราะพระองค์อยู่เหนือสามัยวิสัยไปแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 สิงหาคม 2013
  18. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ไม่รู้ว่าเทวดาศักสิทธิ์แค่ไหนนะ แต่ที่เคยเจอเจ้าที่มาก็น่ากลัวพอดู เขาก็เคยเป็นคนมาก่อน ไปว่าเขามากๆก็มีสิทธิ์โดนตืบเหมือนกัน ศาลหลักเมืองเขามีไว้ทำอะไรกันเห็นมีมาแต่โบราณแล้ว มีหลายเมืองด้วย กรุงเทพฯจะอยู่แถวสนามหลวงนั่นแหล่ะ ใครสั่งให้ตั้งก็ไม่รู้เหมือนกันนะ คุณคิดว่าเขาโง่มากใช่ไหมที่ทำแบบนั้น ใครรู้จริงช่วยตอบที
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้ง ๒ ท่าน
    ทั้ง ๒ คือใคร คือ มารดา ๑ บิดา ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคอง
    บิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง เขามีอายุมีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้น
    ด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระ
    ปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว
    หรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่งบุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์
    ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่า
    อันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร
    เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
    ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา
    ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่
    ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้น
    ย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา ฯ"


    พ่อแม่คือพ่อแม่ ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    สำหรับผมพ่อแม่คือเจ้าของชีวิตผม ร่ายกายทั้งหมดเป็นของพ่อแม่
    ทั้งสองท่านเป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดสำหรับลูกทุกคน
    คุณนับถือศาสนาอะไรกันแน่ ทำไมคุณไม่ให้อ้างพระพุทธเจ้า
    ผมนับถือศาสนาพุทธ ผมอ่านพระไตรปิฏก ผมมีพระธรรมเป็นศาสดา
    คุณไม่อ้างอิงธรรมะ คุณไม่มีวันเข้าถึงแก่นพระศาสนา
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ใครสั่งผมไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าพระพุทธศาสนาสอนให้คนละความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม
    คุณ 5buddha ต้องกล้าๆ ตอบแบบคุณ พยัคฆ์นิล
    ผมถามคุณ 5buddha มาสองครั้งว่าสิ่งศักดิสิทธิ์สอนอะไร คุณไม่ตอบผม
    ตอนนี้ผมรู้แล้ว พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เวลามันโกรธ มันสอนให้ตืบคน
    ต่อให้โลกนี้แตกสลาย ถูกทำลายด้วยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    พวกเทพเจ้า ศาลพระภูมิ เจ้าที่ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ภูเขา ต้นไม้ ศาลหลักเมือง ผีฯลฯ
    ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ ก็อย่าหวังว่าผมจะก้มหัวหรือนอบน้อมให้
     

แชร์หน้านี้

Loading...