สติปัฏฐานสี่ในฌานสมาบัติ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ฐสิษฐ์929, 26 กรกฎาคม 2013.

  1. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    การเจริญสติปัฏฐานสี่กับฌานสมาบัตินั้นเป็นอย่างเดียวกัน แต่การอธิบายขยายความแสดงไปคนละนัย ตรงนี้เป็นปัญญาของพระพุทธเจ้าที่พระองค์สามารถสอนเรื่องเดียวกันเป็นหลายแบบ หลายอย่าง เพื่อความเหมาะสมกับผู้ที่รับฟังธรรม
    ลักษณะของฌานสมาบัติคือการเพ่งสติที่จุดมโนทวาร เป็นการสกัดและทำลายตัวสังขารหรือตัวความคิดปรุงแต่ง หากอธิบายเป็นเรื่องฌานก็มี ๙ ลำดับตั้งแต่ฌาน ๑ ถึงฌาน ๙ หากอธิบายมาทางสติปัฏฐานสูตรก็มี ๔ ลำดับดังนี้
    ๑.ขณะเพียรเพ่งนั้น จุดมโนทวารก็ย่อมเป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ย่อมเป็นกายานุปัสสนา
    ๒.ขณะเพียรเพ่งนั้น ย่อมเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ตรงนี้ก็เป็นเวทนานุปัสสนา
    ๓.ขณะเพียรเพ่ง จิตย่อมหดหู่บ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง ตรงนี้เป็นจิตตานุปัสสนา
    ๔.ขณะเพียรเพ่งที่จุดมโนทวารโดยบริบูรณ์แล้วและมีลำดับของกายา เวทนาและจิตตา เกิดบริบูรณ์ก็จะละทั้งสามตอนแรกและเข้าสู่ธรรมมานุปัสสนา ซึ่งเป็นธรรมมารมณ์ สภาพธรรมมารมณ์ก็เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง เมื่อสามารถดับธรรมมารมณ์ ก็จะถึงซึ่งอัพยากตาธรรม หรืออัพยาจิต หรือวิสังขาร หรืออสังคตธรรม หรือนิโรธธรรม หรือพระพิพานนั้นเอง
    การปฏิบัติเป็นการปฏิบัติโดยต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบโดยการเพ่งสติเข้าที่จุดมโนทวาร จะอธิบายไปทางมรรค ๘ หรือทางวิปัสสนาญาณ ๙ ก็ได้ หรือทางปฏิบัติอื่นๆ ได้ทั้งหมด การปฏิบัติอย่างเดียวกันเพียงแต่อธิบายได้เป็นหลายนัยเท่านั้น
    เจริญในธรรม
     
  2. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    มหาสติ เมื่อนำมาใช้ในฌาณให้พิจารณาแค่ ดับตัวหยาบในองค์ฌาณเท่านั้น
    เพราะเมื่อจิตเป็นฌาณแล้ว จิตจะประกอบด้วยองค์ 5 ของฌาณในเบื้องต้น
    คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข และเอกคตา. ให้ใช้มหาสติมองแล้ววางตัวหยาบ
    จะเห็นตัวละเอียดขึ้น
    ไม่ใช่ไปมอง ทุกข์บ้าง หดหู่บ้าง นั่นเป็นอาการของคนที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย จิตยังเสื่อม
    คนจะเจริญฌาณต้อง มีจิตค่อนข้างระงับ มีอินทรีย์กล้า เมื่อรู้ว่ามีนิวรณ์กลุ้มรุม จึงเจริญฌาณให้สงบระงับไป
    การเจริญฌาณก็ต้อง รู้เป้าหมาย คือสงบ อะไรเป็นข้าศึกก็รู้แล้ววาง ยังไม่ต้องไปเจริญมหาสติปัฏฐานในฌาณ แต่ใช่มหาสติปัฏฐานที่อบรมดีแล้วใช้ในชณะเจริญฌาณ
    ส่วนมหาสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม โดยทั่วไปให้เจริญเป็นปกติ
    คุณฐสิษฐ์ยังไม่ได้หลักนะครับ เชื่อไม่เชื่อก็สุดแต่จะพิจารณา
    หาพระสายพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแล้วฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน ขอนิสัยท่านจึงจะก้าวหน้า
     
  3. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ธรรมนี้เป็นธรรมที่หลวงปู่สาวกโลกอุดรซึ่งเป็นพระอรหันต์แสดงมาดีแล้ว หากไม่เชื่อก็ไม่ควรจะมาโต้แย้งเพราะจะเป็นในสิ่งที่ไม่ดีกับตัวคุณเอง ผู้อื่นกล่าวไว้อย่างไรก็อย่างนั้นครับ ผมจะเข้าตอบเฉพาะผู้สงสัยที่แสดงมา ส่วนผู้รู้มาโพสต์ว่ารู้ธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดผมก็ให้เกียรติทุกคน ไม่เคยทำอย่างคุณ
    หากคุณมั่นใจในธรรมที่คุณว่าก็โพสต์ให้ผู้อื่นสอบถามไปซิครับ
    อีกอย่างผู้มีธรรมย่อมไม่กล่าวอย่างคุณว่ามาหรอก ผมไม่เคยบอกให้ใครไปนับถือใคร ผมให้ดูที่ธรรมเป็นหลัก พระอาจารย์ทุกท่านผมให้ความเคารพทั้งหมดละครับ ผมเชื่อหลักนี้ถูกต้อง ส่วนหลักอื่นผมไม่ขอวิจารณ์
    การโพสต์ของผมมีเจตนาแจ้งแก่ผู้สงสัยในธรรม ผู้ไม่สงสัยอะไรก็ควรจะนิ่งจึงจะควร
    ที่ผมโพสต์นี้ก็ใช่ว่าฟังมาเพียงอย่างเดียวครับ ผมก็ปฏิบัติด้วย
    ธรรมนี้เป็นธรรมที่หลวงปู่แสดงซึ่งผมเองก็เชื่อว่าเป็นเนื้อธรรมแท้จากพระพุทธเจ้า การติเตียนของคุณอาจจะเป็นภัยแก่ตัวคุณเอง
    ในสมัยที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่ ก็มีการติติงธรรมอย่างนี้ละ และก็ได้กระทำทั้งต่อหน้าและหลับหลังหลวงปู่ ทุกคนก็ได้รับวิบากกรรม บ้างเป็นบ้า บ้างก็เสียชีวิตในระยะอันสั้น ผมก็เตือนคุณได้เท่านี้ครับ หากคุณไม่เชื่อก็ควรเฉยๆ ก็น่าจะดีกว่า
    หลวงปู่ท่านจะแสดงอยู่เสมอว่าธรรมนี้เป็นของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นเพียงรูปธรรมนามธรรมที่ผ่านสัจจธรรมขององค์เอกมหาบุรุษเท่านั้น ส่วนว่าใครจะนับหรือจะถือหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    หลวงปู่สาวกโลกอุดร เพิ่งเคยได้ยิน อยู่วัดไหนครับเนี่ย
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    พระพุทธองค์มีข่ายญาณรับรู้ได้ไม่จำกัด พระอรหันต์ ยังมีข่ายญาณรับรู้ได้จำกัด
     
  6. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    คุณครับ สติปัญญาของคุณ พิจารณาธรรมได้แค่ว่า ใครเชื่อรอด ใครไม่เชื่อเป็นบ้าหรือครับ
    แม้แต่พระพุทธองค์ ท่านยังท้าให้มาพิสูจน์ ให้มาถกธรรม
    เรื่องแค่นี้คุณยังแยกไม่ออก ระหว่าง ถกธรรม ด้วยปัญญากับ การปรามาสธรรม
    คุณยังห่างจากธรรมอีกไกล ผมพูดเพื่อให้คุณรู้ตัว จะได้ไม่เที่ยวสอนคนไปแบบผิดๆ ถูกๆ
    ของจริงเขามีอยู่ทั่ว เอาแค่ผมซึ่งเป็นเด็กหิ้วปิ่นโต ผมก็กล้าท้าให้คุณมาพิสูจน์แล้วครับ
    กล้าท้าหลวงปู่สาวกโลกอุดรของคุณด้วย มาถกกันเลยในนี้ ผมยินดีสนทนาด้วย ในธรรมทุกระดับ และไม่ติดใจว่าใครจะด่าจะว่าผมด้วยครับ ที่พูดนี้ไม่ได้กล้าไม่ได้กลัวนะครับแต่พูดตามอรรถตามธรรม เท่าที่ผมมี
    ธรรมะอะไรกันของคุณครับทำอย่างกับเพชรฆาต
    พระธรรมมีแต่เปิดตาคน ถ้่าอวิชชานั้นแลจึงปิดตาคนให้กลัว
    เชิญนะครับ ผมยินดีให้มาพิสูจน์ สนทนากันได้
     
  7. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ท่านบรรลุพระอรหันต์ที่วัดป่านาเบี้ย อำเภอนาหอ จังหวัดเลย ปัจจุบันที่วัดนี้ก็ไม่ได้เป็นพระในสายการปฏิบัติตามหลวงปู่
    ภายหลังบรรลุธรรมท่านก็ออกเทศนาและจำพรรษาไปเรื่อย ๆ อยู่หลายสิบวัด ในภาคกลาง อิสานและตะวันออก
    ท่านละสังขารที่สำนักสงฆ์วัดหนองเรือ อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา ในปี ๒๕๕๔
    ปัจจุบันมีวัดที่ปฏิบัติตามหลวงปู่ประมาณ ๒๐ วัด
    เจริญในธรรมครับ
     
  8. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    สติปัฏฐานสูตรสู้ภัยโรคร้าย

    พระพุทธองค์เสด็จไปสอนสติปัฏฐานสูตรที่แคว้นกาละ ซึ่งในช่วงนั้นเกิดโรคระบาดอย่างรุนแรงมีผู้คนเจ็บป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก จากที่เป็นพื้นที่แห้งแล้ง ฝนไม่เคยตก เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปถึงฝนก็ตกลงมา หลังจากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงสั่งสอนให้ชาวบ้าน ชาวเมืองปฏิบัติสติปัฏฐานสูตร โดยพระองค์ได้แสดงไว้ว่าสามารถต่อสู้และป้องกันโรคร้ายได้ ซึ่งก็ได้มีการปฏิบัติกันโดยทั่ว ชาวบ้านแม้นไปพบเจอกันที่ท่าน้ำก็ยังได้ถามกันว่าได้ปฏิบัติสติปัฏฐานสูตรไหม
    หากท่านใดมีผู้ป่วยที่เป็นโรคร้าย ลองแนะนำให้เขาปฏิบัติดูครับ ผมได้แนะนำท่านหนึ่งปฏิบัติอยู่ ไปตรวจเช็คเลือดก็ยังไม่หายแต่เขาก็ดูแข็งแรงและเป็นอยู่ตามปรกติดีครับ
    ธรรมเทศนาหลวงปู่สาวกโลกอุดร
    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  9. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    ท่านมรณะไปแล้วครับ จะเอาประวัติมาลงให้นะครับ
     
  10. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    --------------------------------------------------------------------------------

    ประวัติโดยย่อของ
    หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธมฺมปาโล
    หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธมฺมปาโล เกิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีเถาะ พ.ศ.๒๔๘๒ ที่บ้านสงเปือย หมู่ ๗ ตำบลหลุบ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจุบันอยู่ในเขตเทศบาลเมือง กาฬสินธุ์
    บิดาชื่อ นายสมบูรณ์ ดลอารมณ์
    มารดาชื่อ นางที ดลอารมณ์
    อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดชัยสุนทร อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยพระครูโสภณสุตกิจ เจ้าคณะอำเภอเมือง เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทองอินทร์ โกวิโท เป็นกรรมวาจาจารย์ พระระมัดศักดิ์ สิริธโร เป็นอนุสาวนาจารย์
    เมื่อบวชแล้วได้ไปเข้าเรียนสมถะและวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์มหาพิมพ์ หรือพระครูสุคลคณารักษ์ ที่วัดบ้านหนองริวหนัง ตำบลโคกเครือ อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์
    ออกจากวัดหนองริวหนังแล้วก็เดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ แล้วก็ล่องลงมาจนถึง จังหวัดจันทบุรี ได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่ป่าลึกสำนักสงฆ์เขาช่องลม ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี และได้ย้ายจากเขาช่องลมไปอยู่ที่วัดอ่างหินใน ตัวเมืองจันทบุรี แล้วออกธุดงค์ไปจำพรรษาที่ภูพานด่านแต้ จังหวัดสกลนคร จนมีพระอาจารย์จำเนียร และพระอาจารย์ปรีชา มานิมนต์ให้ไปอยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านนาเบี้ย ตำบลนาหอ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๒๙ – ๒๕๓๔ )
    ณ.ที่นี้ คืนวันที่ ๒๖ เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ ตรงกับแรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง หลวงปู่ได้บรรลุธรรมจบกิจพรหมจรรย์อย่างแท้จริง เป็นคุณธรรมชั้นพระอรหันต์ สิริอายุ ๔๙ ปี
    หลังจากนั้นได้จาริกเผยแผ่ธรรมไปตามสถานที่ต่างๆ ตามแต่จะมีผู้อาราธนานิมนต์ เช่นงานปริวาสกรรม และงานชุมนุมปฏิบัติธรรมตามที่ต่าง ๆ
    ต่อมาพ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กลับมาโปรดญาติโยมที่วัดชัยสุนทร อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์
    พ.ศ. ๒๕๓๖ จำพรรษาที่วัดบ่อส้างพระอินทร์ ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม โดย พระมหาเชื้อเป็นผู้อาราธนานิมนต์
    พ.ศ. ๒๕๓๗ จำพรรษาที่วัดป่าศรีรัตนพุทธาราม บ้านโคกหินแฮ่ ตำบลโคกหินแฮ่ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ได้เป็นประธานจัดงานปริวาสกรรมขึ้นเป็นครั้งแรกเดือนมีนาคม ๒๕๓๗
    เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ จัดปริวาสกรรมที่วัดป่าอุทุมพร บ้านนาม่วงท่า อำเภอเรณูนคร จังหวันครพนม
    ๒๓ ถึง ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ แสดงธรรมในงานปริวาสกรรมที่บ้านโคกม่วงอำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู
    พ.ศ. ๒๕๓๘ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๐ จำพรรษาที่วัดเขาทองนพคุณ (ภูเก้า) บ้านตาดไฮ ตำบลโคกม่วง อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู
    ๑๖ กุมภาพันธ์ ถึง ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๘ แสดงธรรมในงานปริวาสกรรมที่วัดประดู่ทรงธรรม บ้านกุดอ้อ ตำบลหัวเรือ อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
    ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ ได้มีโอกาสแสดงธรรมที่โรงเรียนพระอภิธรรมมงคลเทพมุนี วัดพระเชตุพน กรุงเทพมหานคร เนื่องในงานวันวิสาขบูชา
    ๑๙ ถึง ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ จัดงานปริวาสกรรม ที่สะโทยธรรมสถาน ตำบลวังสรรพรส อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี
    ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙ แสดงธรรมงานธรรมสังสรรค์ วัดถ้ำพระโพธิสัตว์ ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
    (๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ท่านได้แจ้งต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู ว่าท่านจบกิจพรหมจรรย์แล้ว)
    ๙ กุมภาพันธ์ ถึง ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๐ จัดงานปริวาสกรรมที่ป่าช้าบ้านหนองจิก ตำบลหนองบัว อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
    พ.ศ. ๒๕๔๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๒ จำพรรษา ณ ที่พักสงฆ์บ้านซับกระทิงใต้ ตำบลหนองย่างเสือ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี
    ๒๘ มกราคม ถึง ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๑ จัดงานปริวาสกรรมที่ป่าช้าบ้านนาน้อย ตำบลเหล่าพัฒนา อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม
    ๒๔ มีนาคม ถึง ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๓ จัดงานปริวาสกรรมที่ป่าช้าบ้านนาน้อยอีกเป็นครั้งที่สอง
    พ.ศ. ๒๕๔๓ จำพรรษาที่วัดป่าโพธิ์ชัย บ้านหนองเปง ตำบลฝั่งแดง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
    พ.ศ. ๒๕๔๔ จำพรรษาที่ สำนักสงฆ์บ้านหนองเรือ หมู่ ๑๐ ตำบลท่าตะเกียบ อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา
    และที่นี่ เป็นที่หลวงปู่ได้ละสังขาร เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ สิริรวมอายุได้ ๖๒ ปี
    ปัจจุบันเจดีย์อัฐิธาตุของหลวงปู่สาวกโลกอุดร ธมฺมปาโล ได้สร้างไว้ ณ สำนักสงฆ์บ้านหนองเรือนี่เอง
    (หมายเหตุ รายละเอียดนำมาจากหนังสือที่ระลึกงานฉลองเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธมฺมปาโล สำนักสงฆ์บ้านหนองเรือ)
     
  11. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    คุณรโชหรณังครับ สงสัยหลวงปู่จะถกกับท่านมิได้เสียแล้วครับ ...
     
  12. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    และเป็นไปได้ผมก็มีความปราถนาอยากจะให้คุณได้พบท่านตอนที่ยังไม่มรณะภาพด้วย การที่คุณเข้ามาเเวะเวียนในกระทู้ของพี่เขา ผมเชื่อว่าคงไม่ใช่เหตุบังเอิญ เพราะคำว่าบังเอิญไม่มี คงจะมีเหตุและปัจจัยให้คุณได้มาเจอ ผมก็ไม่ทราบที่คุณศึกษามาหรือรู้มาเป็นเช่นไรในธรรมะที่คุณเข้าใจว่าถูกต้องแล้ว การที่คุณได้มาเจอเนื้อหาสาระธรรมะผู้ที่เลื่อมใสในแนวทางที่หลวงปู่นำมาสอน หลวงปู่ผู้ซึ่งบรรลือสีหนาทในยุคกึ่งกลางพุทธศาสนานี้ ก็ได้ท้าให้มาลองมาพิสูจน์ในธรรมะของท่าน ที่ท่านก็พูดเสมอว่ามาจากพระพุทธเจ้าองค์เอกสัพพัญญูของเรา ตรงนี้ผมเข้าใจว่าต้องมีเหตุมีปัจจัย ให้คุณมาลองดูแนวทางที่คุณก็อาจไม่เคยได้สัมผัสมา หรืออีกแนวก็คือ แนวทางของคุณที่ศึกษามา ให้ได้ลองศึกษาดูว่าเป็นแนวทางที่ใช่หรือไม่ แต่ในส่วนของกระผมนั้น ได้ศึกษามาด้วยดีแล้ว และมั่นใจในแนวทางที่หลวงปู่ได้สั่งสอนเช่นกัน ก็กล้าท้าให้ลองมาพิสูจน์ได้เช่นกันครับ ผมก็อยากจะทราบเหลือเกินว่า บารมีของคุณรโชหรณังมีมากน้อยแค่ไหน...
     
  13. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    พระพุทธเจ้า ญาณหยั่งรู้ของท่าน เป็นพุทธวิสัย
    พระอรหันต์ ญาณหยั่งรู้ของท่าน เป็นญาณวิสัย
    เรื่องกรรม เป็นเรื่องอจินไตยเช่นกัน เป็นกรรมวิสัย
    และเรื่องโลก ก็เป็นโลกวิสัย

    ผู้ยังไม่บรรลุธรรมชั้นพระอรหันตผลขึ้นไป คงจะไม่มีญาณหยั่งรู้ในเรื่องของ ญาณวิสัย กรรมวิสัย และ โลกวิสัยเป็นแน่แท้
     
  14. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    คุณ aunyadham แก้ข้อธรรมที่ผมยกมาข้างต้นนั้นก่อน
    หากแก้ได้ ค่อยยกความดีหลวงปู่ว่าเป็นผู้สอนตน หากแก้ไม่ได้จะไปหยิบยกอาจารย์มา จะพลอยทำให้อาจารย์เสียชื่อเสียง ตามไปด้วยว่า ข้อธรรมของอาจารย์นั้นไม่ทนต่อเหตุผลที่มาหักล้าง
     
  15. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    หลักเพียรเพ่ง

    ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก ตามพระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังกิณี เล่ม๑ ภาค๑ หน้าที่๔๐ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ประมาณ ๗ วัน พระองค์ก็อุทานว่า
    "ยทา หเว ปาตุภวันติ ธรรมมา อาตาปิโน ฌานยโต พราหมฌัสสะ ฯ เป ฯ สูโรวะ โอภาสยมนูตลิกขัง"
    ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พรามณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงเทียว ของพราหมณ์ย่อมสิ้นไป เพราะมาทราบชัดซึ่งธรรมพร้อมทั้งเหตุ.
    ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พรามณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงเทียว ของพราหมณ์ย่อมสิ้นไป ซึ่งมาได้รู้ซึ่งความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย.
    ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พรามณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ ในกาลนั้น พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมาร และเสนามารได้เหมือนพระอาทิตย์ยังท้องฟ้าให้สว่างอยู่ ฉะนั้น.
    ทั้งสติปัฏฐานหรือฌานสมาบัติก็ใช้หลักการเพียรเพ่ง(ไม่มีการพิจารณา การรู้การเห็นก็เป็นจริงตามที่รู้ที่เห็นไปเลย) การเพียรเพ่งผลคือการดับไม่ว่าทั้งสติ ปัญญาและกิเลสก็ดับด้วยกันทั้งหมด ว่าโดยรวมๆก็ความคิดดับนั่นเอง ปัญญาที่ถูกดับนี้เป็นปัญญาโลกีย์ เมื่อดับไปทั้งหมดก็จะมีปัญญาญาณเกิดขึ้นหรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นปัญญาระดับโลกุตรธรรมครับ
    เจริญในธรรม
     
  16. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    คุณฐสิษฐ์ คุณไปยกมาคำเดียวแบบนี้ไม่ได้เป็นการสนับสนุนอะไรคำสอนนั้นเลย
    คุณลองค้นหาคำว่า สมาธิ ในพระไตรปิฎกสิครับ มีเป็นร้อยเป็นพัน
    จะไปบอกว่า อาจารย์เราสอนสมาธิ ถูกต้องเพราะคำว่าสมาธิ มีในพระไตรปิฎก ก็ดูจะกระไรอยู่นะครับ

    การเจริญสมถะ ก็ส่วนทำสมถะ การเจริญวิปัสสนาก็ส่วนเจริญวิปัสสนา ทั้งสองส่วนนี้จะเอาไปปนกัน คนที่ยังไม่มีมหาสติก็ปนเปกันไปแยกไม่ถูก ผิดจุดประสงค์ของแต่ละอย่างไป จึงต้องแยกความสามารถในแต่ละอย่างออกเสียก่อน แล้วจึงค่อยสัมประยุตในขั้นสุดท้าย คือ รู้แล้ววาง
    คนยังไม่รู้จักจะไปวางอะไรได้หละครับ
    คนยังไม่เคยสงบจะไปเจริญสติ มันจะสงบได้อย่างไร

    แยกออกสิครับ จะทำความสงบก็เอาจิตไปวางรู้จุดเดียว เช่นบริกรรม หรือ กสิณ ไม่ต้องรู้อย่างอื่น
    ส่วนเจริญสติ วิปัสสนา ก็เอาจิตที่มีกำลังสมาธินั้น คอยดูจิตใจที่ไหลไปตาม อารมณ์ หรือ เวทนา ในการใช้ชีวิตประจำวัน
    นั้นแลเรียกว่า ศึกษาตน

    นี่จะไปจับมารวมกันหมด นั่นเป็นเพราะไม่ชำนาญในมรรค ไม่รู้จักมรรคดีพอนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  17. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ปัญญาชนร้อยคนก็ไม่อาจเถียงสู้คนพาลเพียงคนเดียวได้
    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  18. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ว่าผมเป็นคนพาลไปซะอีก ก็ไม่ว่ากันครับ
    แล้วแต่จะศรัทธากันไป ผมก็เพียงแต่พูดไปตามเหตุผล
    ถ้าไม่ชอบใจก็ขออภัยนะครับ
     
  19. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ผู้ที่กล้าเถียงพระไตรปิฎกขั้นต่ำก็ต้องพระอรหันต์เท่านั้น เพราะรู้แจ้งแทงตลอดแล้ว
    หลวงปู่สาวกโลกอุดรได้กล่าวถึงพระไตรปิฎกมีทั้งธรรมที่ตกหล่นและธรรมที่แทรกซ้อน ตกหล่นอย่างไรหรือแทรกซ้อนอย่างไรท่านก็อธิบายมีเหตุมีผลทั้งหมด ไม่ใช่จะพูดลอยๆอย่างไร้เหตุไร้ผล
    การปฏิบัติของหลวงปู่ก็เอามาจากพระไตรปิฎกเช่นกัน
    เจริญในธรรมครับ
     
  20. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ผู้กล้าเถียงพระไตรปิฎกคือคนยังไม่แจ้ง เพราะพระไตรปิฎกนั่นคือ พระธรรมและพระวินัยที่พระศาสดาตรัสไว้ชอบแล้ว ครบถ้วนสมบูรณ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...