เมตตา...มีผลมากกว่าทาน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย yo09(), 5 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. yo09()

    yo09() เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +4,897
    ( จาก โอกขาสูตร พระไตรปิฎกภาษาไทย สุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ )

    สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแล
    เมื่อพระพุทธองค์จะทรงแสดงอานิสงส์แห่งการเจริญเมตตา จึงทรงยกเอา
    การให้ทานมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ ดังนี้

    " ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ ในเวลาเช้า
    ผู้ใดให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่เวลาเที่ยง และผู้ใดพึงให้ทานประมาณ
    ๑๐๐ หม้อใหญ่ในเวลาเย็น

    แต่ทว่าผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเช้า โดยที่สุดแม้เพียงชั่วขณะแห่ง
    การหยดของนำ้นมวัว หรือผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเที่ยง โดยที่สุด
    แม้เพียงชั่วขณะแห่งการหยดของนำ้นมวัว และผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตใน
    เวลาเย็น โดยที่สุดแม้เพียงชั่วขณะแห่งการหยดของนำ้นมวัว

    เรากล่าวว่า การเจริญเมตตาจิตนี้ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลให้แล้ว
    ๓ ครั้ง ในวันหนึ่งนั้น

    เพราะเหตุดังนี้แล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า

    เราจะเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ กระทำให้มาก กระทำให้เป็นดุจยาน
    กระทำให้เป็นที่ตั้งอาศัยให้มั่นคง สั่งสมเมตตาและปรารภด้วยดี

    ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายพึงศึกษาเมตตาอย่างนี้แหละฯ "

    __________________________________

    เมตตา ดั่งสายนำ้ใส ไหลชะโลมระรื่นจิต
    กรุณา ดั่งสายวายุทิพย์ ระยิบระยับไล้ในกมล
    มุทิตา ดั่งไออบอุ่นดล บันดาลชนชิดสนิทหทัย
    อุเบกขา ดั่งแผ่นผาไร้อาลัย สงัดในสงบนิ่งปริ่มใจตน



    เมตตา ฆ่าความโกรธ กรุณา ฆ่าความเกลียด
    มุทิตา ฆ่าความเครียด อุเบกขา ฆ่าความเขลา


    ขอชวนทุกท่านโปรดเมตตาต่อ...สรรพสัตว์
    ....ทุกดวงใจใหญ่น้อยกระจ้อยริด
    ....หยดหยาดทิพย์ที่รอคอยจากทุกท่านคือ...เมตตา


    " นิพพานชาตินี้กันเถอะ "
    _____________________________
    ขอขอบคุณท่าน ธรรมรักษา และรูปภาพจาก kapook.com
    guru.sanook.com
    2.bp.blogspot.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ขออนุญาติเปลี่ยนคำว่า"ม่ค่ามากกว่า" ไปเป็น "มีผลบุญมากกว่า"
    การเจริญเมตตา มีผลบุญมากกว่าทาน.....น่าจะดีเนอะ
     
  3. mhooitim

    mhooitim Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +30
    เมตตาค้ำจุนโลก
     
  4. talkjoss

    talkjoss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +2,252
    "เมตตาธรรม ค้ำจุนสรรพชีวิตบนโลก ให้เกิดเหตุแห่งกรรมดี"
     
  5. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ดังนั้นเมื่อมีเมตตาแล้ว ทานก็หาประมาณมิได้
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,458









    ถ้าจะพิจารณา ให้เห็นว่า ในสถานะการณ์นั้น ทำไมจึงกล่าวเรื่องนี้




    .......ที่ท่านกล่าวว่า มีผลมาก

    นั้นหมายถึง ถ้าทำตามที่ท่านบอก จะ มีผลต่อผู้เคยให้ทานแต่วัตถุ ( แต่ไม่มีเมตตามาก )


    คนบางคน ให้ทานวัตถุมาก เพราะ มีทรัพย์มาก ตามบุญเก่า หรือ ทรัพย์อาจหามาได้จากความไม่บริสุทธิ์ ก็ง่ายที่จะให้ไป
    หรืออาจให้ทานวัตถุด้วยความโลภ ความหลง ที่จะต้องการสิ่งตอบแทนภายหลังอันเป็นเรืองกิเลส



    เมื่อใดก้ตามที่กิเลส โลภ โกรธ หลง กำเริบก็ยังอาจฆ่าคน ทำร้ายคน พูดร้าย คิดร้าย ทั้งต่อตนและคนอื่นได้ภายหลัง



    แต่ผู้ที่ เจริญเมตตาเจโตวิมุตติ กระทำให้มาก กระทำให้เป็นดุจยาน กระทำให้เป็นที่ตั้งอาศัยให้มั่นคง สั่งสมเมตตาและปรารภด้วยดี ตามที่ท่านสอน


    สามารถให้ทานโดยที่ไม่ย้อนมาเป็นภัยต่อตนและคนอื่นภายหลังได้ เพราะ ให้ด้วยจิตเมตตาอันยิ่งมากกว่าจิตธรรมดา



    คนที่มีเมตตา แม้ไม่มีวัตถุทานจะให้ ก็ให้สิ่งที่มีคุณค่าอื่นๆได้จากจิตเมตตาของเค้า



    เป็นการให้ทานที่สมบูรณ์ มีผลดีต่อตนและชีวิตอื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กุมภาพันธ์ 2013
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,458
    ที่ผมเขียนตามทัศนะของผม ที่โพสก่อนหน้านี้


    ....ผมไม่มีจิตเจตนา จะกล่าวค้านพระพุทธเจ้าหรือคำสอนของพระองค์

    แต่เป็นเพียงการพิจารณา แตกออกมาจากมุมมองที่ตรงกับตัวหนังสือเกินไป

    และพิจารณาให้เห็นว่า ธรรมแต่ละหมวดหมู่อันเป็นกุศลที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวดีแล้วนั้น ย่อมสามารถนำมาเชื่อมโยงเกื้อกูลกันได้ เพียงแต่ เราจะเห็นหรือไม่



    ***************************************************




    พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา พระพุทธเจ้ายกย่องว่าเป็น “ผู้เลิศด้วยปัญญา”
    พระสารีบุตรอยู่ทิศไหนเหมือนมีพระพุทธเจ้าอยู่ทิศนั้น
    อีกทั้ง พระสารีบุตรยังเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของพระราหุลอีกด้วย

    พระสูตรที่ผมจะนำมาให้อ่าน ชวนให้พิจารณาว่า
    เหตุใดพระสารีบุตร จึงไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ส่วนตัวผมเห็นว่า
    พระสารีบุตรมีจริตที่ไม่เชื่อใครง่ายๆชอบพิสูจน์ค้นคว้า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนที่มีปัญญามาก
    ไม่ใช่ว่าพระสารีบุตรจะไม่เคารพพระพุทธเจ้า ท่านเคารพแน่นอน
    ท่านเคารพในคำสั่งสอน แต่การที่จะเชื่อนั้น ท่านต้องพิสูจน์ โดยการปฏิบัติให้เห็นแจ้งเสียก่อน
    หลักการอันนี้ตรงกับหลักของกาลามสูตรพอดี ข้อที่ว่า

    มา สมโณ โน ครูติ (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา)
    ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น

    ถึงตรงผมขอสรุปเลยว่า ศรัทธาของพระสารีบุตรที่มีต่อพระพุทธเจ้านั้น
    เป็นไปโดยการใช้เหตุผลไตร่ตรอง



    ดังเช่น กรณีที่มีในพระไตรปิฎกที่่จะอ้างมานี้


    พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม(มหามกุฏฯ)
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
    สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
    ปุพพโกฏฐกสูตร
    พระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้า

    [๙๘๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปุพพโกฏฐกะ ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้น
    แล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรมาแล้ว ตรัสว่า
    [๙๘๔] ดูกรสารีบุตร เธอเชื่อหรือว่า สัทธินทรีย์ที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก
    แล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด วิริยินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์
    ที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็น
    ที่สุด.
    [๙๘๕] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญในเรื่องนี้ ข้าพระองค์ไม่
    ถึงความเชื่อต่อพระผู้มีพระภาคว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้
    มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด

    ด้วยว่าอมตะนั้น ชนเหล่าใดยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่กระทำให้แจ้ง ไม่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา ชนเหล่านั้นพึงถึงความเชื่อต่อชนเหล่าอื่น

    ในอมตะนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด

    ก็แลอมตะนั้น ชนเหล่าใดรู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว กระทำให้แจ้งแล้ว พิจารณาเห็นแล้วด้วยปัญญา
    ชนเหล่านั้นหมดความเคลือบแคลงสงสัย

    ในอมตะนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
    ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อมตะนั้น ข้าพระองค์รู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว กระทำให้แจ้งแล้วพิจารณาเห็นแล้วด้วยปัญญา

    ข้าพระองค์จึงหมดความเคลือบแคลงสงสัย ในอมตะนั้นว่าสัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด.

    [๙๘๖] พ. ดีละๆ สารีบุตร ด้วยว่าอมตะนั้น ชนเหล่าใดยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ
    ไม่กระทำให้แจ้ง ไม่พิจารณาเห็นแล้วด้วยปัญญา ชนเหล่านั้น พึงถึงความเชื่อต่อชนเหล่าอื่น
    ในอมตะนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่ง
    ลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ก็แล อมตะนั้น

    ชนเหล่าใดรู้แล้ว เห็นแล้วทราบแล้ว กระทำให้แจ้งแล้ว พิจารณาเห็นแล้วด้วยปัญญา

    ชนเหล่านั้นหมดความเคลือบแคลงสงสัย ในอมตะนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรียอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด.
    จบ สูตรที่ ๔

    ที่มา
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ บรรทัดที่ ๕๗๖๗ - ๕๗๙๖. หน้าที่ ๒๔๐ - ๒๔๑.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=5767&Z=5796&pagebreak=0
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=983
    ---------------------------------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กุมภาพันธ์ 2013
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,458


    เอาหละครับ นอกเรื่องไปมาก

    ผมก็มาพิจารณา โดยหยิบยกข้อธรรมมาพิจารณาเป็นวิตก วิจาร
    ต่อ จนกว่า ข้อธรรมจะแจ้งในใจ เป็นปิติ สุข และ ใจจะเป็นเอกัคคตา ตั้งอยู่สักระยะ แล้วพร้อมจะเจริญเมตตาแผ่ไปยังทุกทิศตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนต่อไป



    ขอบคุณ และ อนุโมทนา ที่หยิบยกพระธรรมมาให้เป็นธรรมานุสสติครับ
     
  9. yo09()

    yo09() เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +4,897


    เมตตา..โดยปราศจากเงื่อนไข แลไม่ปรารถนาสิ่งใดตอบแทน..

    บุคคลพึงใช้ปัญญานำชีวิต ในทุกกาล ทุกสถาน..

    ท่าน ดาบหัก กล่าวได้ดีครับ สาธุ


    " นิพพานชาตินี้กันเถอะ "
     
  10. terryh

    terryh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +1,280
    เมตตาต่อเหล่า สรรพสัตว์ ลด ละ เลิกบริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งเหล่าสรรพสัตว์ ต่างหวงแหน รักชีวิต ใยเราต้องพรากชีวิต เพื่อ สนองตัญหา ความหยาก ด้วยชีวิตผู้อื่น ๆ
    ความเมตตาของหลวงปู่ ชัดเจนกับคำสั่งเสีย ข้างล่างการพรากชีวิต จักเป็นการทำบาป สั่งสมวิบากกรรม ละ เลิกบริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเมตตาธรรม และ สุขภาพ ห่างไกลโรคภัยร้าย นานาชนิด เหตุผลที่คนเลือกมังสวิรัติ - YouTube





    เผยคำสั่งเสีย"หลวงปู่จาม มหาปุญโญ"
    ก่อนละสังขาร สุดยอดเมตตาธรรม ศิษย์พร้อมปฏิบัติ!!

    “เมื่อกูตายแล้ว สูจะเอาสัตว์มาฆ่าทำลาบทำแกงเลี้ยงคน อีนี้เป็นคนไปซื้อมา บักนี้เป็นคนฆ่า อีนี้เป็นคนฟักลาบทำแกง ไอ้นี้เป็นคนชิม อีนี้เป็นคนตักกิน เป็นบาปเป็นกรรมกับสัตว์ กูหน๋าไม่อยากตายกับสูเจ้า อยากไปตายกับเวสสุวัณอยู่ป่าหิมพานต์ ตายแล้วให้เขาเอาเตโชธาตุเผา ไม่เป็นบาปเป็นกรรมเป็นโทษไปกับสัตว์ หมู ไก่ ปลา วัว ควาย ดูแต่เพิ่นอาจารย์มั่น นอนป่วยอยู่หนองผือนาใน แล้วทีนี้ก็รีบจัดแจงให้เขาหามออกไปใส่ทางรถ ขึ้นรถจากพรรณานิคม เข้าสุทธาวาส แล้วก็นิพพาน จึงปลอดภัยจากการเอาชีวิตสัตว์มากินของผู้คนมาส่งศพ การเลือกที่จะตายนั้นเลือกได้ของพระอรหันตเจ้าผู้ได้วิชชา พิจารณาตัวอย่างรอบคอบ เพราะเพิ่นรักษาสัตว์โลกไว้ตามกรรม อันนี้พอกูตาย สูเจ้าก็เอาสัตว์มาฆ่าลาบกินกันจนตลอด โห...จะเก็บไว้เท่าใดวัน ก็กินกันไปเท่านั้น กินกันทั้งวัน กินแล้วขี้ ส้วมขี้เต็มสูบทิ้ง อึกทึกกันอยู่ทั้งวัด ฆ่าไปกินไป”

    ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 20 มกราคม บรรยากาศที่วัดวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ตลอดทั้งวันมีศิษยานุศิษย์จากทั่วสารทิศนับหมื่นคน เดินทางมาร่วมไว้อาลัยและเคารพสรีระสังขารของหลวงปู่จาม มหาปุญโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ซึ่งเป็นพระเกจิที่ชาวมุกดาหารและคนทั่วประเทศให้ความเคารพเลื่อมใส ทั้งนี้ทางจังหวัดได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและบริการประชาชนที่เดินทางมาที่วัดวิเวกวัฒนารามอย่างดี


    Just for all living beings on earth -

    ชีวิตที่ร่ำไห้ PART1 - YouTube

    แด่..ชีวิตที่ร่ำไห้ทุกๆ ชีวิต - YouTube
     
  11. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    เขาว่ามาก็ถูกแล้วลุง จะไปบอกว่ามีบุญมากกว่ายังไง คนล่ะอย่างเลย รถกับบ้านประโยชน์ต่างกัน เพชรกับทอง

    ยกตัวอย่าง อาหาร กับจานช้อน เหมือนเขายกว่า อาหารดีกว่าจานช้อน แต่ลุงไปมองจานช้อนมีสวยมีค่ามากกว่าอาหาร ทั้งที่มันเคี้ยวลงท้องไปไม่ได้
     
  12. itemnoi

    itemnoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +323
    อนุโมทนา สาธุ
    การเมตตาจิต ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะเลยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...