ใครมีประสบการณ์+ภาพหลวงปู่นาคหลวงปู่หินวัดระฆังเชิญมาแลกเปลี่ยนสนทนาครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 12 ธันวาคม 2012.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    พระสมเด็จพิมพ์เอียง หลวงปู่หิน วัดระฆัง[
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  2. Hamac

    Hamac เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +1,866
    ไม่อยากให้เอากระแสจากกระทู้นี้ไปปั่นราคาพระนะครับ

    อยากให้เล่าประสบการณ์ และธรรมะกันดีกว่าครับ

    ส่วนตัวผมบูชาพระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง ไว้องค์กลาง

    ซ้ายพระหลวงปู่โต๊ะ ขวา พระผงวัดปากน้ำรุ่น 4
    อีกเส้น พระผงจักรพรรดิ์ หลวงตาม้า พิมพ์หลวงปู่ดู่ อุ้มดวง ได้มาฟรีๆๆ ครับ

    ประสบการณ์สุดยอดแห่งเมตตามหานิยมครับ
    พระหลวงปู่นาคตอนผมได้มา แกะมาจากห่อ ปรากฏพระท่านเย็นเจี๊ยบมากๆ กระแสเย็นแบบ สัมผัสเนื้อมือแบบไม่ต้องมีพลังจับพุทธคุณอะไรเลย เย็นจริงๆ

    เวลาอาราธนาเซตนี้ขึ้นคอไปไหนมาไหน มักได้ความโชคดี คนเมตตา สุดๆๆ

    ทั้งคนและสัตว์ ไปทานข้าวร้านอาหารเดินมาลานจอดรถมาเป็นกลุ่ม สุนัข ที่ร้านก้อวิ่งมาเล่นด้วยและเจาะจงมาที่ผมคนเดียวเสมอๆ เป็นอย่างนี้หลายร้านจริงๆๆ

    ล่าสุดเอาไปให้พระที่นับถือท่านจับพลังให้ ท่านบอกเมตตาแรง กระแสเย็นมากๆ ทั้งเซต
    ดีๆๆ เจอเซตนี้เข้าไปแทบไม่เปลี่ยนไปบูชาอย่างอื่นเพิ่มเลยครับสุดยอดมากๆๆครับ
     
  3. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ผมก็ไม่ได้ให้ปั่นกระทู้ในเรื่องราคาอยู่แล้วครับที่นำลงเพราะอยากให้หาบูชากันเก็บไว้ทั้งหลวงปู่หินและหลวงปู่นาค เพราะฮ่องกง สิงคโปร์เขากว้านบูชาไปหมดครับเขารู้ในพุทธานุภาพ และแถมมีผงเก่าสมเด็จโตอีก และก็ไม่อยากให้เสียเวลาไปกับพระเก๊วังหน้าด้วยครับเลยเอารูปมาลงให้ดูกันครับยินดีที่ได้รู้จักครับ
     
  4. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +3,172
    ผมมีหลวงปู่นาคครับ.....ไม่ทราบท่านใดเคยเห็นบ้างไหมครับ...พระองนี้ท่านเสด็จมาเองพร้อมเชือกร่ม... อยู่ก้อเจอท่านที่ขันใส่พระเครือง..ตอนี้เลียมกรอบเงินแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2012
  5. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    สมเด็จหลวงปู่นาคปี๒๕๑๐ พิมพืห้าเหลี่ยมครับ รุ่นนี้มีผงขมิ้น ผงสุริยาตรา(ของหลวงปู่หินมอบให้)และมีผงเก่าสมเด็จปิลันท์จากเจดีย์ที่พังครับ
     
  6. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +3,172
    ขอบพระคุณครับ ครั้งแรกผมไม่ทราบ เปิดหาในกูเกิล แต่เจอของพี่อีกเวปหนึ่งเขาลงไว้ในเวปเขาครับ
    ...เลยมั่นใจว่าใช่ แต่ที่เขาลงไว้นั้นเป็นองสีเหลือง แต่ของผมสีดำ..สันนิฐานว่าเขาคงลงรักดำไว้เพื่อรักษา เนื้อพระ เพราะดูจากพิมด้านหน้าและด้านหลัง เหมือนกันทุกอย่าง....
    วันแระที่ได้พระาพระท่านอยู่ในกรอบเสตนเลส ผมเแอาไปใสกรอบพลาสติก พอมาถึงบ้านเอาให้แฟนดู แล้ววางพระไว้บนโต๊ะ แล้ววางกล้องส่องพระทับไว้ ...แล้วหันหน้าไปคุยกับแฟน....หันกลับมาเจอแต่กล้องส่องพระครับ.....งงงง พระหายไปไหนถามใครก็ไม่มีใครหยิบไป...เลยต้องอธิฐานบอกกล่าวขอขมา....ก่อนกลับบ้านเจอพระอยู่หน้ารถ...แปลกมากครับ..
    พระของท่านเมตตาและปาฏิหารมีจริงครับ..ใครมีไว้ครอบครองต้องรักษาให้ดีครับ...สาธุ...จากประสปการณืตรงครับ.
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2012
  7. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกมรณภาพแล้วไปพระนิพพาน
    หลวงพ่อฤาษีเล่าว่าหลวงปู่นาคไปนิพพาน
    [​IMG]
    “..เมื่อวันที่๑๔ มกราคม ๒๕๑๔ อาตมาทราบจากคุณนิด (อรอนงค์ อรรถไกวัลวที) ว่าท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายก ตาย เวลานั้นพอดีเจ้าท้องมันทำพิษต้องใช้ยาระบาย มันเพลียเลยขี้เกียจเที่ยว อาศัยการปลงสังขารรู้สึกว่าสบายดี แต่ก็แปลกใจอยู่หน่อยหนึ่ง คืนที่กลับมาค้างบ้านครูนนทา กำลังปลงสังขารพอสบายก็ปรากฏแสงสว่างเกิดพุ่งมาทางศีรษะ มีแสงสว่างมากแต่ก็ไม่คิดสงสัย เพราะขณะใดที่มีอารมณ์สบายจะปลากดว่ามีพระพุทธรัศมีแบบนั้นปลากดเสมอ แต่ทว่าวันนั้นเป็นแสงสว่างธรรมดาไม่มีแสงอื่นผสมก็เลยคิดว่าคงเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมา สงเคราะห์ มันเพลียมากก็เลยปล่อยไปไม่ได้สนใจอะไรอีก ตอนกลางวันฉันยาแก้หวัดเข้าไปเลยนอนหลับตื่นขึ้นเวลา ๑๕.๐๐ น. รู้สึกสบายใจมีกำลังทางร่างกายดี เก็บงานเล็กๆน้อยๆ เสร็จแล้วก็คิดว่าคืนนี้จะออกเที่ยวสักที นานมาแล้วไม่ได้เที่ยวfficeffice" />>>
    พอถึงเวลา ๑๙.๕๕ น. ก็เตรียมสมาทานพระกรรมฐานกันตามปกติ เมื่อเสร็จพิธีสมาทานก็ปลงสังขารตามเคย เวลาผ่านไป ๓๐ นาทีคือถึงเวลา ๒๐.๓๐ น. ได้ยินเสียงนาฬิกาให้สัญญาณว่าเหลืออีก ๓๐ นาทีจะหมดเวลาแล้ว จึงออกจากกายพบ สมเด็จองค์ปฐม ท่านมายืนคุม ได้กราบทูลถามว่า “ท่านเทพประสิทธินายกไปไหน” ท่านบอกว่า “ไปพระนิพพาน”ถามท่านว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์ระดับไหน” ท่านบอกว่า “เป็นพระอรหันต์ระดับวิชชาสามและทรงมโนมยิทธิ แต่ทิพย์จักขุญาณใสเป็นพิเศษ” เลยลาท่านจะไปตามดูท่านเทพประสิทธินายก ท่านก็บอกว่า “ไปเถอะ ทางนี้ฉันดูเอง” หมายถึงคุมคนที่กำลังเจริญพระกรรมฐานกันอยู่>>
    เมื่อไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เข้าพบโยมคือท่านปู่พระอินทร์กับท่านย่า เห็นบรรดานางสาวสรรค์เข้าเวรกันมาก จึงถามท่านว่า “มาหาบ่อยๆ โยมรำคาญไหม” ท่านบอกว่า “ไม่รำคาญ มาบ่อยๆ ดี ใจจะได้ไม่ต่ำ เวลาตายจะได้ไม่ไปอบายภูมิเพราะจิตเกาะกุศล” อาตมามองดูแม่สาวๆ วันนี้ไม่สวมชฎาปล่อยผมมาปรกหลัง ได้ถามว่า “ทำไมไม่สวมชฎา” ตอบว่า “อยู่เวรปกติไม่ต้องสวมชฎา เวลาท่านผู้ใหญ่ประชุมเทวดาจึงจะสวมชฎา” คุยกับโยมแล้วก็ลาท่านไปพระจุฬามณี ความจริงก็มีสถานที่ติดกันนั่นเอง ท่านบอกว่า “นิมนต์ตามสบาย จะมาหาท่านเทพฯ ใช่ไหม” ตอบท่านว่า “ใช่” ท่านบอกว่า “ท่านเทพฯกำลังมาที่พระจุฬามณี” อาตมาจึงเดินเข้าพระจุฬามณีทางประตูทิศตะวันตก เมื่อผ่านท่านมเหสักขาที่ยืนเป็นยามเฝ้าประตู ท่านเป็นเทวดาอนาคามี >>
    ท่านมเหสักขาบอกว่า “หลวงพ่อครับ ท่านเทพฯ ที่หลวงพ่อต้องการพบท่านกำลังจะออกมาแล้ว” ก็เลยเดินสวนเข้าไปพบท่านเทพฯ เดินสวนออกมาพอดี ท่านสว่างมากเหลือเกิน ท่าทางสง่างดงามมาก พอถึงกันท่านก็จับมือบอกว่า “ตามฉันทำไม” ตอบท่านว่า “ไม่ทราบว่าไปทางไหนแต่ก็ลองตามดู” ท่านบอกว่า “ดีแบบนี้ดี ทำไปเป็นปกติเถอะ มีประโยชน์แก่ตัวเองมาก” ถามท่านว่า “ท่านมีทิพย์จักขุญาณแจ่มใสมาก ผมทำไม่ได้อย่างท่าน เมื่อท่านตายแล้วผมก็หนัก ยิ่งแก่มากผมก็ยิ่งหนัก เพราะคนก็จะรวมตัวเข้ามา ขอให้ผมแจ่มใสอย่างท่านบ้างได้ไหม” ท่านบอกว่า “รักษาสมาธิที่ศูนย์ไว้เป็นปกติก็แล้วกัน มันจะคล่องตัวเอง และชำระใจให้สะอาดมันจะสว่างมากเอง” แล้วต่างก็ลากันไปท่านไปที่ของท่าน อาตมาเข้าไปนมัสการพระ พอเข้าไปพระท่านก็บอกว่า “คุณไม่มานานแล้วควรมาเป็นปกติ การปลงสังขารเป็นของดีแต่ญาณเครื่องรู้จะผิด เวลานี้เรามีศิษย์จำเป็นต้องใช้ญาณ ควรหันกลับเข้าใช้ญาณตามเดิม ความรู้จะได้ว่องไวตามเดิม” และท่านก็สอนมาก ต่อจากนั้นท่านก็ให้ไปเฝ้า สมเด็จพระสมณโคดม ที่พระนิพพาน>>
    พอขึ้นไปก็เห็นท่านใสสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ เข้าไปนมัสการท่านที่พระบาท ท่านตรัสเตือนเรื่องใช้ญาณอีก ท่านว่า “เธอปล่อยมากเกินไป การปลงเป็นสมบัติส่วนตัว การทำญาณให้คล่องเป็นเครื่องมือช่วยศิษย์ เธอต้องทำให้คล่องตามเดิม” และท่าน พระมหากัจจายนะอาจารย์สอนญาณเครื่องรู้ก็เข้ามาหา สมเด็จท่านบอกให้ท่านพระมหากัจจายนะเป็นพี่เลี้ยงเดินนำทางไปเฝ้า สมเด็จพระพุทธกัสสป” ความจริงไม่ต้องนำก็แวะอยู่แล้ว อาตมากราบถามท่าน สมเด็จพระสมณโคดม ว่า “ทำไมข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องมีท่านมหากัจจายนะเป็นผู้ควบคุม องค์อื่นคุมไม่ได้หรือ” ท่านตรัสว่า “เธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ท่านมหากัจจายนะก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน คนที่ปรารถนาพุทธภูมิจนเข้าถึงบารมีปลายจะเอาพระประเภทสาวกปกติคุมไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถทำให้เลื่อมใสได้ ต้องเป็นพวกพุทธภูมิด้วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องพระพุทธเจ้าโดยตรงจึงจะทำให้เชื่อและเลื่อมใสได้”>>
    พบพระนิพพานครั้งแรก

    เมื่อไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านก็เตือนเรื่องใช้ญาณและให้หมั่นขึ้นไปเพราะเวลานี้ขาดเฝ้ามานาน การเฝ้าท่านมีประโยชน์จากการได้รับพระพุทธบัญชา บอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้แล้วเอามาแนะนำต่อๆ ไป ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก เมื่อพระองค์ทรงตักเตือนพอสมควรแล้วก็ทรงมีพระพุทธบัญชาให้ไปที่อยู่โดยมีพระมหากัจจายนะ พระอาจารย์เป็นผู้ควบคุม เมื่อจะเข้าประตูวิมานอาตมาเห็นยักษ์ ๔ ตนยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูเป็นปกติ ยักษ์พวกนี้เป็นยักษ์อนาคามี เป็นลูกเป็นหลานเก่า พอเห็นเข้าเขาก็ดีใจ พอเข้าประตูไปด้านในมีพรหม ๔ ท่าน เป็นพรหมอนาคามีเหมือนกันเป็นยามด้านใน เมื่อสนทนาปราศรัยกันตามสมควรแล้วก็เดินเข้าสู่สถานที่อยู่ พอไปถึงหอระฆังหน้าที่อาศัยก็จำได้ว่า เมื่อตายครั้งหลังในชาตินี้มาตรงนี้และพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน ท่านได้ตรัสว่า “เธอคิดไหมว่าชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้” ได้กราบทูลว่า “ไม่เคยคิดว่าจะมาได้” ท่านทรงถามว่า “เพราะอะไรจึงคิดอย่างนั้น” ได้กราบทูลท่านว่า “วิปัสสนาอ่อนมากและสนใจน้อย” ท่านถามว่า “เธอทราบไหมว่านิพพานอยู่ไหน” กราบทูลท่านว่า “ไม่ทราบ” ท่านตรัสว่า “นี่ตรงนี้เขาเรียกอะไร” กราบทูลท่านว่า “ไม่ทราบ” ท่านถามว่า “เทวดาและพรหมทุกชั้นเธอรู้จักหมดไหม” กราบทูลท่านว่า “รู้จักหมด” ท่านถามว่า “ที่ตรงนี้เป็นแดนของเทวดาหรือพรหม” กราบทูลว่า “ไม่ใช่เทวดาและพรหมทั้งสองอย่างเพราะพรหมมีชั้นที่ ๑๖ เป็นชั้นสูงสุดก็ผ่านมาแล้ว” ท่านตรัสว่า “ที่ตรงนี้เขาเรียกว่า นิพพาน” จึงกราบทูลท่านว่า “ตามที่เรียนมานั้นครูบาอาจารย์ท่านสอนว่านิพพานไม่มีรูป ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรปรากฏ” ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า “เธอมาถึงนิพพานแล้วยังสงสัย”>>
    เป็นอันว่าในที่สุดท่านรับรองว่า นิพพานมีสถานที่ มีรูป มีความสุข เป็นสถานที่มีอารมณ์ปกติ ไม่มีอารมณ์ความรัก โลภ โกรธ หลง และอารมณ์ขัดข้องใดๆ เลย เป็นอารมณ์ว่างสบายด้วยประการทั้งปวง ไม่มีห่วง ไม่มีกังวล ขั้นสุดท้ายท่านก็นิรมิตไม้ขึ้น ๑๐ ท่อน ท่านบอกว่า “คนที่จะมานิพพานได้จะแบกไม้นี้ไหว ถ้าแบกไม่ไหวก็จะมานิพพานไม่ได้” แล้วท่านก็เรียกพระที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วมา ๙ องค์ ปรากฏว่ามี หลวงพ่อปานเป็นองค์ที่ ๔ ทุกองค์มาถึงก็แบกไม้ขึ้นบ่าไม่มีท่าทางแสดงว่าหนักเลย เหลืออีกท่อนหนึ่ง ท่านตรัสว่า “ท่อนนี้เธอแบก” ตอนนั้นกำลังใจไม่มีเลย ใจมันบอกว่าไม่ไหว แต่เกรงพระบารมีก็จำต้องเข้าไปหยิบไม้ท่อนที่เหลือท่อนเดียวนั้น ตั้งท่ายักแย่ยักยันออกแรงเสียสุดแรงเกิด พอหยิบเข้าจริงไม้ท่อนนั้นไม่มีนํ้าหนักเลย มีนํ้าหนักคล้ายเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ เท่านั้นเอง รู้สึกว่าเบาก็เลยออกเดินตามพระที่แบกก่อนไปพอเดินไปได้หน่อยเดียว ท่านก็เรียกให้เอาไม้มาวางที่เดิมและให้กลับมานั่งที่เก่า ท่านบอกว่า “เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนายังอ่อน กลับไปซ้อมวิปัสสนาให้เข้มข้นเสียก่อน เธอจะมานิพพานได้ในชาตินี้ สถานที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัยอานิสงส์ที่สร้างวิหารทาน (สร้างที่อยู่อาศัยเป็นสาธารณะประโยชน์)>>
    การป่วยคราวนั้นมีอารมณ์ตัดหมด คิดว่าเราไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีญาติ ร่างกายไม่ใช่ของเราห้ามคนที่มาเยี่ยมพูดถึงทรัพย์สินและเรื่องอื่นทั้งหมด พูดได้อย่างเดียวธรรมปฏิบัติ ตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าอารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณและเป็นอารมณ์ของพระที่เข้าถึงพระ นิพพาน ทำส่งเดชแต่ด้วยใจจริง เข้าทำนองที่ท่านกล่าวว่าบังเอิญขี้ตรงร่อง เมื่อหวนคิดถึงความหลังครั้งนั้นขึ้นมาแล้ว ก็เลยไม่นั่งตรงที่พระพุทธเจ้าท่านนั่ง จึงนั่งลงข้างล่างกราบตรงนั้นสามครั้ง พอเงยหน้าขึ้นเห็นท่านมานั่งที่เดิมอีกและก็ตรัสว่า “วีระ เธอคิดถึงความหลังหรือ” จึงกราบทูลว่า “คิดอย่างนั้นพระเจ้าข้า” พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า “ดีแล้ว ต่อไปนี้จงซ้อมญาณให้คล่องตามเดิมนะ จะได้เป็นที่อาศัยของศิษย์” พระองค์ทรงชี้ให้ดูสถานที่ว่าหลังนี้เป็นที่อยู่ของเธอเป็นแก้วมณีโชติ หลังนี้เป็นที่ประชุม หลังนี้เป็นที่พักการประชุมเป็นแก้วมณีโชติเหมือนกัน คงจะสงสัยว่าทำไมจึงเรียกว่าแก้วมณีโชติ เรียกแก้วมณีเฉยๆ ไม่ได้หรือ มันไม่เหมือนกัน แก้วมณีธรรมดามีสีใสแต่ไม่สว่าง มีแต่รัศมีออกเมื่อต้องแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ ส่วนแก้วมณีโชตินั้นมีแสงสว่างออกมาเองเหมือนโคมดวงใหญ่แต่สวยสดงดงามมาก>>
    เมื่อท่านทรงตักเตือนหมดเรื่อง อาตมาก็กราบทูลถามว่า “ท่านเทพประสิทธินายกอยู่ที่ไหน” ท่านก็ทรงชี้ให้ดูทางทิศตะวันออกของที่อยู่ว่า “นี่วิมานของเธอ ต่อไปนั่นเป็นสระโบกขรณีของเธอ ถัดสระไปเป็นวิมานของนนทาเทวี ห่างจากวิมานนนทาเทวีไปสามคาวุตก็ถึงวิมานของท่านเทพประสิทธินายก” ขณะนั้นท่านนั่งอยู่บนที่ของท่าน มองตามไปเห็นท่านนั่งสุกปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์ วิมานเป็นแก้วมณีล้วน ทูลถามท่านว่า “สามคาวุตของนิพพาน เทียบระยะความไกลของเมืองมนุษย์ได้เท่าไร” ท่านบอกว่า “ประมาณแสนโยชน์” พอตรัสเท่านี้ก็ได้ยินเสียงนาฬิกาที่กุฏิให้สัญญาณบอกเวลา ๒๑.๐๐ น. พระองค์ตรัสว่า “ได้เวลาแล้ว ลูกศิษย์จะทรมานตัวเกินไป เธอกลับได้ อีก ๑๐ ปีเธอมีสิทธิ์มาที่อยู่ของเธอได้ตามความต้องการ แต่จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้หรืออีกประเดี๋ยวหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ก่อนเธอจะมาลูกศิษย์เขาจะทำตนเป็นคนเข้าถึงธรรมได้หลายคน เมื่อกลับไปพรุ่งนี้เธอเขียนเล่าเรื่องนี้ให้อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เขาอ่าน อ๋อยเขาเป็นคนมีศรัทธาจริตและพุทธจริต คือมีศรัทธาแต่เชื่อเหตุผลไม่งมงาย เล่าให้เขาฟัง เขาจะได้เร็วกว่าเดิม” และพระองค์ก็เสด็จกลับ อาตมาก็กลับลงมา..
    ที่มา”http://www.thaisquare.com/Dhamma
     
  8. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  9. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    RIMG0079.JPG RIMG0080.JPG

    สมเด็จ แจกฟรี

    องค์นี้ท่านหยิบให้ จากพาน เป็นของแจกฟรี

    ของที่ขายจะใส่พานอยู่อีกห้องบนกุฏิหลังใหญ่ของท่าน มีหลายอย่าง ลูกศิษย์ทำออกบูชา ส่วนใหญ่จะเป็นชุดฝังตะกรุด จะมีราคาหน่อย มีทั้ง ตะกรุด ทอง เงิน นาค ใครบูชาจะเอามาหาท่าน ท่านจะเอาแป้งเจิมแล้ว รดน้ำมนต์ให้ อีกห้องข้างๆ

    ส่วนของนี้จะเป็นของแจกฟรี ท่านจะหยิบแจก คนที่มาหา ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ผมเคยมีหลายองค์เพราะ ไปบ่อย แต่คนที่รู้มาขอไปหมด ( หลังจากนั้น สามสิบปี )และท่านเจิมหัว เป่าหัวให้หลายครั้ง คนจะชอบท่านเพราะท่านใจดี ไม่เลือกเด็กหรือ ผู้ใหญ่

    ผมเอามาลงรักปิดทองทีหลัง ยังดูใหม่อยู่ แม้จะร่วม ยี่สิบกว่าปีแล้ว ส่วนเนื้อใน จะเป็นปูนขาวล้วนๆ จะขาวจั้วะ

    ตอนผมทำงานในทะเล เคยรู้จักกับ พล วิทยุ อดีตพัน จ่า ทหารอากาศเก่า คนผู้นี้อยู่กับหลวงปู่นาคมาตั้งแต่เด็ก พ่อ แม่ เป็นคนโคราช บ้านเดียวกันกับท่าน เอามาฝากหลวงปู่ท่านเลี้ยง คนๆนี้เล่าว่า ตอนรุ่นๆเรียนหนังสือ จะแอบปีนหน้าต่างกุฏิท่าน แอบขโมยเอาพระไปขายเอาเงินเที่ยวกินเหล้า ระยะเวลาน่าจะก่อน ๒๕๐๐ พระท่านให้มา ก็เอาขายเกลี้ยง บางทีไปขอท่านก็ให้มา เอามาขายกินเหล้าหมด แสดงว่ามีคนเก็บพระท่านมานานแต่ราคาคงไม่แพงมาก แค่พอค่าเหล้า

    ที่เขาซื้อขายกันผมไม่เคยเห็นพิมพ์นี้ ทั้งที่ แจกฟรี ไปเป็น โถๆ หลายปี ผมเอามาลงไม่มีเจตนาซื้อขาย ใครไปเจอก็โชคของท่านเพราะเขาคงไม่ทราบว่าพระอะไร

    ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นพิมพ์เทวดา หลวงพ่อเจริญวัดตาลานใต้ มาขอพิมพ์ หรือ ถอดพิมพ์ไป ผมสืบทราบไม่ชัด พิมพ์ออกแจกเหมือนกัน ดูเก่าและ แยกยาก ท่านที่ไปเจอ อาจจะนึกว่าเป็นของหลวงปู่นาคแต่ไม่ใช่น่ะครับ หลวงพ่อเจริญชอบพระพิมพ์นี้มากจะพกในย่ามแจกฟรีเสมอ

    เดี๋ยวผมค้นเจอจะเอามาลง เขาจะดันซื้อขายกันเป็นหลวงปู่นาค แต่ที่จริงเป็นของหลวงพ่อเจริญ วัดตาลานใต้ หายากกว่าซ่ะอีก แต่ไม่ว่าวัดไหน ดีเหมือนกันครับ
     
  10. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    สุดยอเลยครับเคยเห็นเขาเอาพิมพ์นี้ออกให้บูชาแต่ไม่มีใครดูเพราะไม่ใช่พิมพ์มาตรฐาน แต่หลวงลุงวีระลูกบุญธรรมหลวงปู่หินก็บอกว่าเป็นของหลวงปู่นาคครับ
     
  11. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    ไปเจอราคาขนม เก็บเลยครับ ดีกว่าพระขายอีก เพราะพระทำขาย ลูกศิษย์ทำทั้งนั้น เจตนาออกทำบุญ หรือ ขายนั่นแหละ

    ลุงจ่าบอกมีครกตำกันครกใหญ่ ช่วยกันตำ สมัยนั้นคงยังไม่มี โม่ไฟฟ้า ตำลูกเดียว

    แต่ชุดนี้แจกฟรี เขาเลยใส่แต่ปูนเฉยๆ ไม่มีมวลสาร แต่ท่านแจกแก่ทุกคนครับ
     
  12. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  13. paper_white

    paper_white เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    2,021
    ค่าพลัง:
    +4,804
    หลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์เทวดาครับ (มรดก หวังว่าถูกวัดนะครับ เพราะอ่านพี่พีแล้วกลัวเป็นอีกวัดเหมือนครับ)
    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN33022.JPG
      DSCN33022.JPG
      ขนาดไฟล์:
      714.1 KB
      เปิดดู:
      2,234
    • DSCN33033.JPG
      DSCN33033.JPG
      ขนาดไฟล์:
      780.6 KB
      เปิดดู:
      2,170
  14. paper_white

    paper_white เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    2,021
    ค่าพลัง:
    +4,804
    หลวงปู่หิน วัดระฆัง ครับ ได้จากการผู้ใหญ่ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN32911.JPG
      DSCN32911.JPG
      ขนาดไฟล์:
      622.8 KB
      เปิดดู:
      2,274
    • DSCN32955.JPG
      DSCN32955.JPG
      ขนาดไฟล์:
      692.4 KB
      เปิดดู:
      2,172
  15. Hamac

    Hamac เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +1,866
    ยินดีที่ได้รู้จักครับ พระของท่านสุดยอดจิงๆ ครับ
    ยิ่งรักษาศีล สวดมนต์ภาวนา จิตนิ่งๆ นี่สุดยอดพระเครื่องเลยครับ
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรูปลักษณ์พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ทุกๆครูบาอาจารย์สรา้ง ถ้าเจตนาดี
    แม้ไม่โด่งดัง แต่ผู้นำไปบูชาปฏิบัติข้างต้นก็เห็นผลดีครับ
    พระคุ้มครองเจริญก้าวหน้า เมตตาพารวยครับ

    สาธุ อนุโมทนา สาธุชนทุกท่านครับ
     
  16. Hamac

    Hamac เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +1,866
    สาธุครับ พระท่านชอบคนรักษาศีลครับ เทวดามาอนุโมทนา
     
  17. Hamac

    Hamac เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +1,866
    อนุโมทนาครับ
     
  18. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    พิมพ์อกครุฑ ผมก็มีแต่เนื้อสวยสู้องค์นี้ไม่ได้เลยอ่าอนุโมทนาครับ
     
  19. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  20. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่องหลวงปู่นาค...วัดระฆัง ปลุกเสกพระ
    [​IMG]
    เรื่องของหลวงพ่อนาค เขียนไว้อีกข้อเดียว คือเรื่องดูใจเวลาปลุกพระ นี่เรื่องมันเกี่ยวกันกับอาตมา ต้องขอประทานโทษบรรดาท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟัง เมื่อฟังแล้วอ่านแล้วก็อย่าคิดว่าอาตมาเป็นผู้วิเศษ อย่าคิดยังงั้นนะ จงคิดเสียว่าอาตมาก็เป็นเถรหัวล้านธรรมดาๆ ไม่มีอะไรดีกว่าท่านผู้ฟัง เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย กินแล้วก็ขี้

    ตื่นแล้วก็หลับ ธรรมดา ปวดเมื่อยไม่สบาย ปวดฟันตาฟ้าหูฟางเหมือนกัน พูดจาเอะอะโวยวายหยาบคายก็ได้ พูดนิ่มนวลก็ได้ ทำท่าเป็นผู้ดีก็ได้ ทำท่าเป็นสิงห์หน้าพลับพลาก็ได้ ทำเป็นหมาเห่าชาวบ้านก็ได้ เป็นทุกอย่าง ไอ้ที่ทำอย่างนั้น เพราะใจมันเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนหลวงพ่อนาค ท่านดีจริงๆ เลยยอมรับนับถือท่าน

    มาครั้งหนึ่ง ที่วัดชิโนรสาราม ธนบุรี ตอนนั้น สมัยนั้น เจ้าคุณสุวรรณเวที(ทองดี) อดีตเป็นพระของวัดระฆังมาเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ทำพิธีพุทธาภิเศก ปลุกพระเรียกว่าบวชพระพุทธเจ้า พระเครื่องนี่เขาทำรูปเปรียบพระพุทธเจ้าบ้าง บางทีก็ทำรูปเปรียบของพระสงฆ์

    แต่วันนั้นทำรูปเปรียบเฉพาะพระพุทธเจ้า ก็เลยเรียกว่าไปบวชพระพุทธเจ้ากัน ปลุก ไม่ใช่บวชกระมัง ท่านกำลังหลับ ไปปลุกให้ตื่น ท่านมีหน้าที่ปลุกเขานิมนต์มา 9 องค์ พระอะไรบ้างก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้จักมีอยู่หลายองค์ แต่พูดถึงอยู่ 2 องค์ คือ หลวงพ่อนาค กับพระครูธรรมาภิราม พระแขนสั้นแขนยาวนครปฐม นอกนั้นที่รู้จักก็มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกัน ในสมัยนี้ก็โด่งดัง สมัยนั้นก็โด่งดังอีก 7 องค์

    แต่ไม่พูดถึงหรอก คือพูดถึงไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกด่า เวลาท่านปลุกพระ สำหรับพระครูธรรมาภิราม รู้จักอาตมาดี อาตมาเรียกหลวงน้า พอเจอะท่านเข้าก็คุยตามแบบฉบับ ทีแรกก็ทำท่าเป็นพระติ๋มๆ เพราะไม่เคยรู้จักใคร พออาตมาเข้าไปก็เลยออกท่าตามแบบฉบับ ออกท่าอะไรทราบไหม ท่าลิง ก็ไปยั่วท่านด้วยอาการต่างๆ ท่านก็ทำโน่นทำนี่
    ชาวบ้านเขาก็เลยรู้สึกว่าท่านจะล่อกแล่กไปหน่อย ก็เลยบอกว่าหลวงน้า ไอ้แก้วน้ำน่ะ มันอยู่ไกลผม หลวงน้าช่วยหยิบมาให้ทีเถอะ

    ท่านบอก เฮ้ย แขนกูหยิบไม่ถึงนี่หว่า ก็เลยบอก เอ๊อะ พระจะปลุกพระนี่ เอาพระที่ไม่มีฤทธิ์มามันก็เสีย เสียของเปลืองที่ ไม่เอา ถ้าหยิบแก้วน้ำไม่ได้ก็นิมนต์กลับวัด ไม่มีประโยชน์ พระแบบนี้ ความจริงตอนนั้นพระคณาจารย์หลายองค์ก็นั่งอยู่ด้วย แต่เราไม่เกี่ยว เราคุยกับน้าชาย ท่านบอกไอ้นี่มันดูผิดคนนี่หว่า

    หนอยแน่มันดูถูกนี่หว่า หาว่ากูหยิบไม่ได้เรอะ ก็ตอบว่าไม่ได้ดูถูก แต่ว่าหยิบไม่ถึง นิมนต์กลับวัดเลย เอามารกที่ พระประเภทนี้ เสียศักดิ์ศรีครูบาอาจารย์ นี่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานนะ แล้วก็เป็นหลานชายหลวงพ่อปานด้วยนะ ไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างเดียว มองหน้าเป๋ง
    เออ มึงดูถูกกู กูก็เอาได้วะ เรื่องอะไร ท่านก็ยื่นแขนซ้ายออกไปมันก็ไม่ถึง เลยเอาแขนขวาตบตรงข้อศอก บอกแขนยาวออกไปซิหว่า ไอ้แขนมันค่อยๆ ยาวออกไปๆ ความจริง ไอ้แก้วน้ำตั้งอยู่ห่างสุดแขนท่านสักเมตรหนึ่งเห็นจะได้หรือเมตรเศษๆ ในที่สุดท่านก็หยิบแก้วน้ำมาส่งให้

    คนพวกนั้นมองกันตาตั้งหมดแปลกใจว่าพระทำได้ ท่านก็บอก ไอ้นี่มันเป็นยังงี้ละ ถ้าไปเจอะมันเข้าทีไรมันทำเสียผู้ใหญ่ทุกทีแหละ มันให้เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ ไม่เล่นมันก็ว่า

    เราจะให้มันทำมั่งมันก็บอกว่ามันลูกศิษย์รุ่นหลัง มันเล็กกว่า มันไม่ทำ นี่ให้มันทำอะไรซี มันไม่ทำหรอก แล้วมันก็ไม่ทำจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่า หลวงน้า คือหลวงพ่อปานนะ ท่านเรียกหลวงน้า หลวงน้าท่านสั่งมันไว้ ห้ามไม่ให้ทำ

    มันก็เลยเลิกทำ ไอ้นี่เคารพคำสั่งครูบาอาจารย์จริงๆ ไอ้เราไม่ถูกจำกัดนี่ มันก็เลยใช้ให้เราทำอะไรต่ออะไรเรื่อยไป ชาวบ้านเขาถามว่าไม่โกรธมันรึ ลูกหลาน บอก โกรธมันยังไงไปด่ามันเข้าซี ดีไม่ดีมันล้วงย่ามเอาสตางค์หมด ไม่ได้หรอก ไปด่งไปด่ามันไม่ได้หรอก

    ถ้ามันจะว่าอะไร จะใช้อะไรก็ต้องตามใจมัน เดี๋ยวมันไม่ชอบในมันก็หยิบก็ล้วงเอาตามพอใจ เขาก็ถามว่าไม่บาปเรอะ มันจะบาปยังไง มันลูกมันหลาน มันเอาไปแล้วก็เลยนึกให้มันไปเลย ไม่เอาโทษเอาโพยกับมัน นี่เล่าเรื่องตอนต้นนะ สำหรับครูธรรมาภิราม

    ทีนี้ถึงเวลาปลุกพระจริงๆ เก้าองค์เข้าไปนั่ง อาตมาเองคิดในใจ ว่าเราก็ไม่มีความรู้อะไร ความดีด้านสมาธิก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นคนธรรมดาๆ เป็นพระเดินผ่านหน้านรกไปผ่านหน้านรกมา เดินห่างนรกอยู่ครึ่งนิ้วเท่านั้นเอง ถ้าเผลอเมื่อไรหัวก็ทิ่มนรกเมื่อนั้น ก็เลยนึกในใจว่าเอาพระ 9 องค์นี้องค์ไหนมีอานุภาพมากบ้าง อยากรู้ก็เลยเข้าไปในโบสถ์ เขาปลุกในโบสถ์ ไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ สำหรับพระที่ปลุกพระเขาทำเก้าอี้ให้นั่ง เอาไม้ไผ่มาทำเก้าอี้ เขาบอกว่าถ้าปลุกด้วยเก้าอี้ไม้ไผ่มันขลังดี ไอ้นั่นเรื่องของอุปาทาน
    ไม่เกี่ยว เรื่องของคนคิด
    เมื่อไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า คือมองดูพระประธานเป็นกำลัง ขอบารมีพระพุทธเจ้าได้โปรดสงเคราะห์ ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะดูอานุภาพจิตของพระแต่ละองค์ที่มานั่งปลุกพระในวันนี้ ถ้ากระแสจิตของบุคคลใด มีขนาดเท่าใด มีอานุภาพอย่างไรก็ขอให้ปรากฏแก่อารมณ์ของข้าพระพุทธเจ้า นึกเท่านี้นะ อธิษฐานเอาตามเรื่อง ตามเรื่องของคนที่ไม่มีฌานสมาบัติชั้นดีอย่างเขาหรืออาจจะไม่มีเลย พออธิษฐานเท่านั้นก็จับลมหายใจเข้าออก ทำจิตสงบนิดหนึ่ง ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ นี่เป็นอำนาจของพุทธานุภาพจริงๆ นะ

    ไม่ใช่ความดีของอาตมา เห็นกระแสจิตของพระทุกองค์ใสแจ๋ว เหมือนกับเห็นของในเวลากลางวัน สำหรับกระแสจิตหลวงพ่อนาคนี่พุ่งออกมาใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด เรียกว่าแสงสว่างของจิตแทรกลงไปในเครื่องของขลังอยู่ที่ผิดด้านหน้า ยันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมด อาบลงไปหมดเลย โพลงสว่างชัด ของพระครูธรรมาภิราม พุ่งออกมาเหมือนหอก เป็นกระแสเล็กแต่พุ่งแรงมาก แสดงว่าพระครูธรรมาภิราม เป็นพระนักเลง ชอบคงกระพันชาตรี ของหลวงพ่อนาคนี่เต็มไปด้วยอำนาจพระพุทธบารมีจริงๆ มีความเยือกเย็นสบายๆ ยังไงชอบกล แต่พระอีก 9 องค์ มองดูไปแล้วกระแสจิตไม่ได้ออกมา เหมือนกับจุดเทียนจุดริบหรี่ ปักอยู่ในอกนั่นเองอยู่เฉยๆ เป็นดวงนิดหนึ่ง แล้วก็อยู่ในอกเฉยๆ ก็นั่งดูอยู่ยังงั้นจนกว่าเขาจะเลิกปลุกกัน

    เมื่อถึงเวลา 23 น. เศษๆ ก็หมดสัญญาณการปลุก ความจริงการปลุกพระนี่ ไม่ต้องใช้เวลามาก ถ้าใช้เวลามากแล้วไม่มีผล ควรจะให้พระกำหนดกันเอง ปลุกพร้อมกัน ใครเต็มเมื่อไรก็พัดผ่อนได้เมื่อนั้น แต่ยังไม่ลุกออกมา ยังงี้จะดีมาก แล้วเวลาปลุกพระ ต้องใช้กำลังสมาธิสูงมาก

    ถ้าพระได้สมาบัติยังต่ำหรือโยเยอยู่ ยังไม่มั่นคงนัก จิตจะส่ายไปตามกระแสสวด ผลจะไม่ดี แต่ว่าที่ทำกันเวลานี้ ก็มีพระสวดพุทธาภิเศกควบไปด้วย เขาเอาแบบมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเอาแบบมาจากไหน แต่ว่ามันจะดีหรือไม่ดีแค่ไหนก็ตามเรื่อง หากมีพระกำลังจิตดีก็ใช้ได้ ถ้าพระกำลังจิตไม่ดีก็เลยนั่งหลับตา อีตอนนั่งหลับตาใครจะรู้ว่าทำอะไรบ้าง บางวัดก็เกณฑ์กันตลอดรุ่งไม่เห็นมีประโยชน์ เคยไปร่วมกับเขาเหมือนกัน ถ้าเกณฑ์ตลอดรุ่งดีไม่ดีก็นั่งหลับเลย

    ตานี้ พอเขาเลิกทำพิธี พระอาจารย์ทุกองค์ก็ลงมา พอลงมาเสร็จท่านก็ไปนั่งกันตามหน้าอาสนสงฆ์แต่ไม่ถึงท้าย อาตมานั่งอยู่ทางท้ายกับพระสมุห์สมบูรณ์ พอลงมานั่งกันเรียบร้อย หลวงพ่อนาคก็บอกว่านี่ท่านพวกนี้รู้ไหม ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ พระพวกนั้นก็ทำหน้าล่อกแล่กๆ มีพระครูธรรมาภิรามองค์เดียวยิ้ม หันมายิ้มด้วยแสดงว่าท่านรู้ก็เลยยิ้มกับท่าน แต่หลวงพ่อนาคท่านก็ทำเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ บอกท่านทั้งหลายรู้หรือเปล่า ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ ท้ายอาสนสงฆ์ แล้วก็มีญาติโยมคนหนึ่งถามว่าขโมยอะไร ถามขโมยอะไรเจ้าค่ะหลวงพ่อ ท่านก็บอก มันไม่ได้ขโมยอะไรหรอก มันมานั่งขโมยดูใจพระปลุกพระ ไอ้ขโมย มันนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์

    ตานี้เวลาที่ท่านลงมาแล้วเขาขอพระท่าน ท่านก็แจก เวลาท่านแจกไปขอท่านมั่ง ท่านไม่ให้ บอกไอ้นี่ขโมย ไม่ให้ละ ทำได้อย่างที่เขาทำนี่ ทำได้ไปทำเอาเองซี ท่านไม่ให้ ก็มีพระหลายองค์ท่านมองหน้า

    ท่านก็เลยบอกว่าไอ้นี่แหละขโมย ขโมยดูใจพระทุกองค์ มันรู้ ว่าใจพระองค์ไหนเป็นยังไง นี่มันทำได้นะพระนี่ มันทำได้ ทำได้คล้ายๆ ข้าแหละ

    แต่ไอ้ข้ากับมันใครดีกว่ากันข้าไม่รู้หรอก แต่วันนี้ท่านผู้ฟังจำไว้นะ ว่าอาตมาไม่ดีเท่าหลวงพ่อนาค แล้วก็ดียังไม่ใกล้หลวงพ่อนาค ยังไกลอยู่นะ เพราะยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังเป็นคนปวดอุจจาระ
    ปวดปัสสาวะ มีหนาว มีร้อน มีเมื่อย มีหิว มีกระหาย รู้เปรี้ยว รู้เค็ม รู้เผ็ด แล้วมีอารมณ์ เสียงดังบ้าง ดุบ้าง ด่าบ้าง ว่าบ้าง คำสุภาพบ้าง ยิ้มแย้มแจ่มใสบ้าง หน้าบึ้งขึงจอบ้าง

    อย่างนี้อย่าชมกันว่าดีนะ เป็นอาการของคนเลว แต่มันยังอยากจะเลวอยู่ก็ปล่อยมันไป ตายเมื่อไร เลิกเมื่อนั้น

    เป็นอันว่าเรื่องของหลวงพ่อนาค ยุติกันเพียงเท่านี้ แต่ก็ยังไม่เลิกพูด เวลามันยังไม่หมด วันนี้เห็นจะสรุปงานกันได้แล้วนะ เพราะว่าเทปเหลือนิดเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...