เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ขอบคุณอาจารย์อย่างสูงครับ(ขอเรียกอาจารย์ ครับ เพราะท่านก็เป็นครูบาอาจารย์ของผมคนหนึ่ง) ที่เมตตาตั้งฉายาให้ ว่านักเรียนผู้มีเอกลักษณ์สารพัดรูปแบบ 555 (deejai) ชอบฉายานี้ครับเพราะตรงกับตัวตนในเครื่องพรางปัจจุบัน
    ก็มีประสบการณ์ อันนี้ไม่ใช่ความฝันครับ เป็นช่วงที่ผมกำลังศึกษาคำสอนของท่านอาจารย์ อนาลัย ผมจำไม่ได้ว่าอยู่เล่มใหน อาจารย์อนาลัย สอนว่าให้ฟังจากเสียงภายในของเรา พอดีผมมีปัญหาเรื่องการทำงาน เด็กๆหาวัสดุที่ลูกค้าส่งมาให้นานแล้ว ไม่เจอและเรื่องนี้เจ้านายผม ให้ผมรายงานเรื่องนี้ให้นายทราบด้วยเพราะลูกค้าปรับเราแน่นอนถ้าของส่งไม่ครบ ผมก็เริ่มสอบสวนสโตร์ สอบสวนหัวหน้า ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวว่าลูกค้าส่งมาให้ไม่ครบ และบางส่วนก็ทิ้งเป็นเศษขยะขายไปแล้ว ก็ด้วยความกดดันที่กลัวโดนปรับและกลัวถูกนายตำหนิว่าควบคุมดูแล อย่างไรให้งานมีปัญหา ก็เลยนิ่งไปสักครู่ ถามจิตดูว่าเอาไงดี ก็ปรากฏความรู้สึกว่าของยังอยู่ในโรงานไม่ได้หายไปไหน จึงให้หัวหน้า ไปหาดูอีกครั้งค้นให้ทั่วโรงงาน ก็เกือบชั่วโมงครับ ทุกคนทีไปหาก็บอกเป็นเสียงเดียวว่าหาไม่เจอ แต่ผมเชื่ออารมณ์ของผมขณะนั้นผมมีความสุขไม่ได้กังวล ผมเดินไปหยิบไมโครโฟนขึ้นบนเก้าอี้สูง เรียกพนักงานทั้งหมดก็เกือบร้อย และประกาศให้หาชิ้นงานตามตัวอย่างนี้ให้ได้ และผมก็ขึ้นออฟฟิตไป ปรากฏว่ายังไม่ทันถึง ห้านาที ได้ยินเสียงพนักงานปรบมือ ดีใจร้องวิ๊ดวิ้วกันลั่น คือหากันเจอ ของก็อยู่ในโรงงานนั่นแหละไม่ได้หายไปไหน
    เล่าเสียยาวเลย ก็เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ที่เราฟังเสียงของเรา (ไม่ใช่เสียงที่เราฟังกันทั่วไปครับ แต่เป็นความรู้สึกแรกที่เราจับได้) อาจารย์ว่าเป็นไปได้หรือเปล่าแบบนี้ หรือว่าเหตุบังเอิญครับ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งเดียวครับ บางครั้งจิตเริ่มแรกบอกว่ามีปัญหาแน่ ก็มีจริงๆ ครับ แค่นี้ก่อนนะครับยังมีประสบการณ์อื่นอีกครับความฝันก็มีครับผมอาจจะทึกทักเอาเองก็ได้ แต่ผมเชื่อในสิ่งที่ผมได้รับรู้ครับและขอเรียนรู้เพิ่มเติมครับ ก็สัญญากับอาจารย์อนาลัยแล้วนี่ครับ ว่าจะ ท้าทาย ใฝ่รู้และมีสุข ครับ
     
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    พี่เม้าส์ได้วิชา "นอนปรับสมดุลกายจากพลังสนามแม่เหล็กโลก" จากพี่นักเขียนอีกวิชาแล้วครับ
    เคยรู้มาว่าการนอนขวางกระแสแม่เหล็กโลกไม่ค่อยดีนัก เพราะเม็ดเลือดแดงจะเคลื่อนที่ชิดติดกับผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือดได้ง่าย การนอนตามแนวเส้นแรงแม่เหล็กโลก เหนือ-ใต้..ทำให้เม็ดเลือดของเราไหลเวียนได้คล่องตัวดีกว่ามากครับ..โรคภัยไข้เจ็บจะลดลง ลองนำวิชานี้ไปปรับห้องนอนกันดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2007
  3. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    สงสัยต้องไปจับแนวเหนือ-ใต้ในห้องนอนตัวเองแล้วล่ะมั๊งเรา

    ที่คุณเฉลยเล่ามา ก็มีประสบการณ์คล้ายๆ กันเลย คือวันนั้นต้องออกไปหาลูกค้าข้างนอก ปกติจะมีกุญแจออฟฟิศเก็บไว้ที่ตัว วันนั้นก็กะว่าจะไม่เอาไปเพราะคิดว่าคงไม่ได้กลับเข้าออฟฟิศหรอกกว่าจะคุยเสร็จก็คงเย็นแล้วก็คงกลับบ้านเลย แต่ก็รู้สึกตะหงิดๆ ว่าให้เอาไปเผื่อใช้ หลังจากที่ตัดสินใจซักพัก(ทำยังกะเรื่องใหญ่โต) ก็ลองเอากุญแจออฟฟิศติดไป

    สุดท้าย วันนั้นก็ต้องมีเหตุให้ใช้จริงด้วย ต้องมีเอาของ(ของลูกค้า)ไปไว้ออฟฟิศ พี่ก็ไม่อยู่ไปประชุมอีกที่นึง นี่ถ้าไม่ได้พกไปด้วย คงต้องรอพี่ที่หน้าออฟฟิศเป็นชั่วโมงแน่ๆ เลย
     
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085

    กระดูกผมจริงๆแล้ว ใกล้เคียงกับตาแป๊ะหัวร่อในรูปที่แนบมาให้ชมนี้ครับ
    เอ่อ...พี่นักเขียนรับอุ้มตาแป๊ะ ด้วยไหมครับ..ตอนนี้ผมยังหาเด็กให้อุ้มไม่เจอ อ่ะ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 10506.gif
      10506.gif
      ขนาดไฟล์:
      66.1 KB
      เปิดดู:
      1,383
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    พอดีพี่นักเขียนไม่อยู่อุ้ม..
    เอาเพื่อนผมอุ้มแทนไปพลางๆนะคับ!!
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2007
  6. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    (b-wow) อ๊ะจ๊ากกกกกกกกก คืนนี้ฝันร้ายแน่เลย พี่ mead นะพี่ mead
    ไม่น่าทำกะน้อง mount อย่างนี้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2007
  7. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    อย่างนี้ต้องเรียกว่าเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองดีที่สุด ^_^
    มีหลายเรื่องที่เราจะคิดจะทำแต่อาจมีเสียงคัดค้านหรือพูดให้เราไขว้เขว
    จงเชื่อมั่นเพราะว่าการตัดสินใจที่เกิดจากตัวเราเองนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
    ไม่ว่าผลลัพธ์จะดีหรือไม่ดี แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องมาคิดเสียใจภายหลัง เพราะหากเราฟังคนอื่นแล้วเลือกทำตามที่เค้าบอก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง
    อย่างนี้จะเสียใจมากกว่าหรือเปล่าว่าทำไมเราไม่เชื่อตัวเราแต่แรก

    "รับฟังความคิดคนอื่นเป็นเรื่องที่ดี แต่จะดีที่สุดหากคิดตัดสินใจเด้วยตัวเอง"
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ถูกต้องครับ การรับฟังสัญญาณจากจิตแว่ปแรก..มักถูกต้องเสมอ
    ให้ปรับแนวคิด เป็นอิสระจากความเชื่อ แล้วทุกอย่างจะคมชัดขึ้น

    คืนนี้น้องmount ของผมคงเก็บไปฝันแน่ครับ..(หุหุ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2007
  9. ๋Jaynarol

    ๋Jaynarol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +1,367
    พี่ๆทุกท่านครับ หลังจากผมนั่งสมาธิก่อนนอนทุกครั่งทำให้ผมมีสติขึ้น(นิดนึง)
    แต่ที่แน่ๆคือผมจำความฝันตัวเองได้แม่นยำขึ้น+กับจำรายละเอียดของความฝันและจำความฝันได้นานขึ้น แต่ที่ผมยังคาใจอยู่อย่างนึงนะครับ ทำไมผมถึงไม่มีสติในฝันตัวเองซักทีคือฝันแบบปล่อยเลยตามเลยอะครับ
    ทำไงถึงจะมีสติในความฝันได้ซักทีใครพอจะสรุปวีธีฝึกให้ผมได้มั่งครับ^^
     
  10. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    ได้เห้น สัญลักษณ์แสดง การจบบท จากหนังสือ ที่เป็น จุดกลมวางเรียงกันแล้วมีจุดกลมๆเล็กๆ เรียงเป็นรูปคลื่น เห็นแล้วเข้าใจเลยครับพี่นักเขียน จักวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกสิ่งมีสัมพันธ์กัน
     
  11. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    ได้เห้น สัญลักษณ์แสดง การจบบท จากหนังสือ ที่เป็น จุดกลมวางเรียงกันแล้วมีจุดกลมๆเล็กๆ เรียงเป็นรูปคลื่น เห็นแล้วเข้าใจเลยครับพี่นักเขียน จักวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกสิ่งมีสัมพันธ์กัน
     
  12. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    เมื่อคืนฝันว่าได้พูดคุยกันระหว่างคนที่อยู่ในบอร์ดนี้ ว่าแต่ละคนมาพูดคุยที่บอร์ดนี้ได้ยังไง แต่จำไม่ได้แล้วว่าได้คุยกับใครเรื่องอะไรบ้าง จำได้ลางๆว่าคุยกับพี่ผู้ชายที่อายุมากกว่า2คน
    เมื่อคืนง่วงมากรีบนอน ไม่ได้ทำสมาธิเลย สติยามหลับก็เลยหายไปหมด
     
  13. virojch

    virojch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +264
    ผมได้อ่านหนังสือธรรมชาติของชาติภพ ของอ.โนวา อนาลัย แล้ว มีข้อสงสัยหลายประการครับ เนื่องจากพยายามที่ปรับความคิดเพื่อให้ไปในทางเดียวกับความรู้ที่ได้เคยทราบ และที่ยึดถือตลอดเวลาคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนังสือ อ.ปริญญา ก็เคยอ่าน ของอ. ศุภวรรณ กรีน ก็เคยอ่าน อยากทราบหลายประการแต่คงทะยอยถามท่านผู้รู้ละกันครับ
    คืออยากทราบครับว่า ท่านอ. โนวา อนาลัย ถ้าเทียบกับทางพุทธศาสนาแล้ว เสมือนท่านคือ อรูปพรหม ใช่ไหมครับเพราะได้ทราบว่าพรหมจะมีอายุยาวนานมากๆ เป็นหลายกัปล์
    จิตวิญญาณเดียวกันแต่ต่างร่างมีอยู่อย่างจำกัดไหมครับ เพราะเคยจำได้บ้างว่า อ.ปริญญา บอกว่าจิตวิญญาณจะแบ่งออกได้อีก38 จิตวิญญาณ และถ้าหากไม่จำกัด สิ่งใดที่ชี้ให้จิตวิญญาณแบ่งออกครับ
    ถ้าความเชื่อสร้าง วัตถุธาตุ สภาวะแวดล้อม ประสบการณ์แล้ว ทำไม วัตถุธาตุ สภาวะแวดล้อม จึงมีอยู่ก่อนที่เราเกิดครับ
    ความฝันเป็นมิติแห่งความเป็นจริง ที่อยู่ต่างมิติ จริงเสมอไหมครับ เช่นตอนเด็กๆ เคยฝันว่าเป็น superhero จะมีมิตินั้นอยู่จริงได้อย่างไรครับ
    สิ่งกล่าวในหนังสือพูดถึง แต่เฉพาะมนุษย์เท่านั้นใช่ไหมครับ ในเรื่อง ความเชื่อ จิตนาการ อารมณ์ แล้วสัตว์ลงไปถึงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ จะมีจิตวิญญาณ ที่มีความเชื่อ จินตนาการ อารมณ์ เหมือนเช่นมนุษย์ได้หรือครับ ก็ในเมื่อบางทีมนุษย์ก็ไปเกิดเป็นสัตว์ แม้นแต่สัตว์ชั้นต่ำก็อยู่ด้วยสัญชาตญาณไม่ใช่สมอง
    การที่ผู้เขียนบอกว่าบทละครแห่งภพชาติทุกภพชาติดำเนินไปพร้อมกันหมด เป็นการกล่าวเพือให้เราเข้าใจง่ายๆเท่านั้น ใช่ไหมครับ แต่มิได้หมายความเช่นนั้นจริงๆ เพราะพร้อมกันหมดในมิติของเวลาหมายถึงขณะเดียวกันทั้งสิ้น แต่จริงๆผู้เขียนหมายถึงไม่มีมิติของเวลาใช่ไหมครับ
    การเรียนรู้ของจิตในสภาวะหนึ่งๆ จะเป็นไปได้ยากมาก เช่นณ. ชาติภพหนึ่งเราทำให้ผู้อื่นต้องทุกข์ร้อน โดยไม่เห็นใจผู้อื่นเลย ชาติภพต่อไปจะต้องต้องมาเกิด เป็นผู้ที่ถูกทำให้ทุกข์ร้อน เพื่อเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่ความเป็นจริงจิตมนุษย์มักโต้ตอบกันด้วย ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะผูกอาฆาตแทนที่จะเรียนรู้ แล้วอย่างนี้จะบอกว่าเกิดมาเพื่อเรียนรู้ได้อย่างไรครับ หรือว่า นั่นก็คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนสั่งพวกเราให้มั่นเจริญพรหมวิหารสี่ ให้มาก ละ โลภโกรธหลง ใช่ไหมครับ
    ขอขอบคุณท่านผู้เขียน หรือใครที่จะให้ความกระจ่างให้ปรากฏครับ ขอบคุณครับ
     
  14. virojch

    virojch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +264
    ขอโทษครับที่ข้อความย่อหน้าเพี้ยนหมดเลยครับไม่รู้เป็นเพราะอะไรครับแต่พออ่านได้ครับ
     
  15. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    คุณ axzon47 สุดยอดจริงๆ เขียนมาแค่ 2 บรรทัด เล่นเอาพี่นักเขียนต้องไป rewind ทั้งโลกแห่งความฝันและโลกแห่งความเป็นจริงหลายม้วน...

    สัญญลักษณ์ที่ใช้ในการจบบทในหนังสือ เป็นสัญญลักษณ์ที่พี่นักเขียนได้มาจากความฝันอีกเช่นกัน โดยรับเอามาด้วยความรู้สึกที่ว่า เป็นสัญญลักษณ์ของแหล่งข้อมูลรวมที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา เป็นข้อมูลความรู้อันเป็นสากลโลก ข้ามชาติภพ ข้ามมิติ ซึ่งเป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนารูปกายและภาวะจิตในแต่ละมิติ

    เมื่อตื่นขึ้นมาลองใช้ graphic software ทำขึ้นตามรายละเอียดที่ได้จากความฝัน ทำแล้วก็งงๆว่า มันคือสัญญลักษณ์อะไรหนอที่เป็นสากลในโลกทางกายภาพด้วยหรือเปล่า เพราะหากมันเป็นสัญญลักษณ์ที่ไปพ้องกับอะไรเข้า แล้วความหมายแตกต่างไปจากที่เราคิดว่าเรารับมา มันจะขัดแย้งกันหรือเปล่า แต่ก็มีความเชือว่าเป็นสัญญลักษณ์ที่มีความหมายอย่างแน่นอนไม่น้อยไปกว่าสาระอื่นๆในหนังสือ และวันหนึ่งก็ "บังเอิญ"ได้คำอธิบายจากเพื่อนรัก ที่พี่นักเขียนและเขาเรียกกันและกันว่าเป็น จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ ชื่อ Rebecca ซึ่งชอบแวะมาทานกาแฟที่บ้านเป็นประจำ (กาแฟทำให้ปิ๊งอะไรบางอย่าง ไม่นำทำให้สมองฝ่อนะคะ)

    Rebecca มาเห็นสัญญลักษณ์นี้บนจอ computer เขาถามว่าพี่นักเขียนว่าได้มาจากไหน ไม่ทันตอบเธอก็หัวเราะแล้วล้อว่า "เอ ทำไมฉันไม่ได้ฝันเห็นด้วยล่ะคราวนี้" (รู้จักกันมา 7 ปี แต่เหมือนรู้จักกันมาหลายชาติภพ - ฝันร่วมกันบ่อยๆ) แต่กลับถามว่าทำไมมันดูเหมือนสัญญลักษณ์ของ Crop Circle - คุ้นๆตาลองหากันไหม แล้วเราก็ตาโตด้วยกันทั้งสองคน ขนหัวลุกไปตามๆกัน เมื่อ...

    พบภาพสัญญลักษณ์นี้หลายแห่งที่เกิดจากปรากฏการณ์ตามทุ่งนา ทุ่งข้าวโพด ที่เรียกกันว่า Crop Circle มีปรากฏทั่วโลก และมักเกิดตอนกลางคืนโดยไม่มีผู้รู้เห็น และคนจำนวนมากเชื่อว่าเกิดจากการ landing ของยานพาหนะต่างดาวหรือเกิดจากการส่งสัญญาณมาจากระยะไกล(ต่างดาว) นักวิทยาศาสตร์พบว่าทุกแห่งที่มีสัญญลักษณ์เหล่านี้ปรากฏขึ้น จะเต็มไปด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งวัดได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์

    ภาพข้างล่างนี้
    สีดำ เป็นภาพพี่นักเขียนทำเองด้วย photoshop จากความฝัน
    ภาพถ่ายทางอากาศ เป็นภาพจากทุ่งนาและทุ่งข้าวโพดในประเทศอังกฤษ
    สีม่วง เป็นภาพที่เพิ่ง google เจอตะกี้เนี๊ยะ...ไปพบว่าเป็นสัญญลักษณ์ของ DNA
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DNA.jpg
      DNA.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.9 KB
      เปิดดู:
      1,428
    • images-1.jpg
      images-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.5 KB
      เปิดดู:
      1,213
    • images-2.jpg
      images-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.9 KB
      เปิดดู:
      1,192
    • images-3.jpg
      images-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.9 KB
      เปิดดู:
      1,221
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.2 KB
      เปิดดู:
      1,220
  16. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การใช้ประสาทสัมผัสที่หกเพื่อ"หาของหาย"

    เมื่อเช้านี้พี่นักเขียนตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดว่า วันนี้จะแชร์กับพวกเราเรื่อง การใช้ประสาทสัมผัสที่หกเพื่อ"หาของหาย"

    ก็"บังเอิญ"คุณเฉลย มาเฉลยประสบการณ์ของหายให้พวกเราฟังพอดี เรียกได้ว่า พิสูจน์ล่วงหน้าให้พวกเราทราบว่า เราจะหาของหายด้วยประสาทสัมผัสที่หกได้จริงๆ ทำให้พี่นักเขียนสบายใจเฉิบว่ามีผู้ทำงานให้เราเสร็จไปแล้วตั้งแต่ก่อนที่พี่นักเขียนจะตื่นเสียอีก เพิ่งจะคุยเรื่องนี้กับพวกเราไปเมื่อวานนี้เองว่า เราสามารถทำงานในความฝันได้ แต่กรณีวันนี้ยิ่งดีไปใหญ่ คือ นอกจากจะทำในฝันแล้ว ไม่ต้องลงแรงในฝันอึกด้วย แต่กลับเป็นงานที่คนอื่นทำให้จริงๆยามตื่น ส่วนพี่นักเขียนก็นอนหลับปุ๋ยอย่างเดียว(b-smile) อย่างนี้เรียกว่าสุดยอดเลยนะคะ ต้องขอบคุณ คุณเฉลยมากๆ

    คุณเฉลยใช้ประสาทสัมผัสที่หกอย่างเป็นธรรมชาติ คือใช้ความรู้สึก ที่ทำให้รู้ว่าของที่ว่าหายนั้นอยู่ที่ไหน:cool:

    พวกเรามักไม่ค่อยเชื่อถือความรู้สึกลึกๆของเราเท่าที่ควร
    คุณน้อง leogirl พูดได้ถูกประเด็นมากว่า หากเราไม่เชื่อตนเองเรามักเสียใจภายหลัง:cool:

    คุณ zipper ก็สนับสนุนความเป็นจริงนี้จากประสบการณ์โดยตรง:cool:

    ส่วนคุณ Mead ก็บอกวิธีการที่พี่นักเขียนเตรียมจะมาบอก คือ คุณ Mead บอกว่า การรับฟังสัญญาณจากจิตแว่ปแรก..มักถูกต้องเสมอ ให้ปรับแนวคิด เป็นอิสระจากความเชื่อ แล้วทุกอย่างจะคมชัดขึ้น:cool:

    ทุกครั้งที่่ของหาย ไม่ว่าจะเป็นของใครในบ้าน พอมีใครถามขึ้น พี่นักเขียนจะตอบแบบทันควันที่เห็นภาพปรากฏแว้บขึ้นมาขึ้นภายใน เช่น "ลูกชายถามว่า ใครเห็นนาฬิกาผมบ้างครับ?" โดยไม่ต้องคิดเป็นเหตุเป็นผลว่า เขาไปทำอะไร? ที่ไหน? เมื่อไหร่? ครั้งสุดท้ายที่ใส่นาฬิกาทำอะไรอยู่? ซึ่งเป็นการใช้ความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลด้วยสมองซึกซ้ายที่เรามักทำกัน ซึ่งดูก็น่าจะได้ผล และบางครั้งก็ได้ผล - หากการติดตามย้อนหลังนั้นเป็นไปได้ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาโดยไม่ขาดตอน แต่การที่ของหายมักเกิดจากการที่สติสัมปชัญญะของเราขาดตอนที่จะติดตามและจดจำประสบการณ์ของเราเองตามเส้นทางแห่งกาลเวลาส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆด้วยซ้ำไป คือไม่ได้อยู่ในช่องว่างและกาลเวลานั้นๆ เช่นในกรณีของคุณเฉลย ของที่หายไม่ได้ผ่านตา หรือผ่านมือเรา เราจะรู้ได้อย่างไร? และในกรณีของคุณ zipper เหตุการณ์นั้นๆที่ทำให้คุณ zipper จำต้องใช้กุญแจยังมาไม่ถึง เราจะรู้ตัวและเตรียมการณ์ล่วงหน้าได้อย่างไร?

    เรารู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกหรือด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการ ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการสร้างภาพด้วยจินตนาการอันเกิดจากวิตกวิจารณ์ว่ามันน่าจะอยู่ที่ไหน หรือเหตุการณ์ในอนาคตน่าจะเป็นไปอย่างไร ? แต่หมายถึงจินตนาการที่คุณ Mead เรียกว่าเป็นสัญญาณจากจิตแว่บแรก เป็นนิยามที่เยี่ยมยอดมากๆ มันผุดขึ้นมาในอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่เรายังไม่ทันจะคิดหรือวิตกวิจารณ์ พี่นักเขียนต้องขอจดคำนิยามของคุณ Mead ไว้ในสมุดบันทึกไว้ใช้ถ่ายทอดประสบการณ์ที่หาคำอธิบายยาก เอ... หรือจะมีใครจดให้แล้วรึเปล่าคะ ? ห้องวิทย์ฯ นี้มีแต่ gas ไวไฟ แถมยังเป็น gas ไวไฟต่างมิติอีกด้วย พี่นักเขียนแค่ตั้งท่าว่าจะจุดไม่ขีดในมิติแห่งความฝัน ในโลกซึกนี้คือทวีปอเมริกา ยังไม่ทันจะฝัน ยังไม่ทันจะตื่น มีคนจุดไม่ขีดเสร็จแล้วจุดเทียนไขให้อีกด้วยทางเมืองไทย พอพี่นักเขียนตื่นมาสู่มิติยามตื่น ห้องวิทย์ฯของเราก็สว่างไสวไปหมด (^) (^) (^) (^) (^) (^) (^)
     
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    กลัวลุง Mount จะ heart attack เลยรีบส่งมังกรมาอุ้มแทนมังกือต่างดาวของคุณ Mead อย่าร่วงนะคะคุณลุง จะพาไปเที่ยว Atlantis
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เมื่อนั่งสมาธิแล้วนอนต่อนะคะ ให้ตั้งจิตว่าจะฝันเพื่ออะไร อยากเผชิญกับความฝันที่แสดงให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรก่อน ตั้งโจทย์ง่ายๆก่อนอย่าซับซ้อน เช่น ตั้งโจทย์ว่า ขอเผชิญกับความฝันที่แสดงให้เราเห็นว่า ชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไรถ้าฉันเป็นนักร้องนั้นที่ประสพความสำเร็จ เป็นต้น โจทย์หรือ keyword นี้เสมือนการตั้งใจขอลองใช้ชีวิตในชาติภพที่เราเป็นนักร้องชื่อดังในความฝัน เพื่อเรียนรู้ปัญหาและประสบการณ์หรือคุณค่าด้านต่างๆที่เราเดาไม่ได้ คิดไม่ออกตอนตื่น

    เมื่อเราตั้งโจทย์ หรือตั้ง keyword ขึ้นมาแล้ว สติสัมปชัญญะจะทำหน้าที่เสมือน navigator ที่หันเหการจดจ่อของจิตวิญญาณไปสู่ทิศทางนั้นๆ หากเราปราศจากเจตนา ความปรารถนาที่จะเรียนรู้ และปราศจากความเชื่อว่าเราจะรู้เห็นและจดจำได้ในความฝัน จิตวิญญาณจะเปลี่่่ยนวิถีการจดจ่อไปอย่างสะเปะสะปะ ไปตามความคิดเล็กๆน้อยที่ผุดขึ้นมา ซึ่งเราเองก็ไม่ได้สนใจที่จะจำ ตื่นมาจึงมักจะจำความฝันไม่ได้ ต่อเมื่อเราจงใจที่ฝัน เพื่อรู้เห็นสิ่งที่เราอยากรู้ อยากเห็น สติสัมปชัญญะของเราจะคมชัดอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต่างไปจากว่า เราชอบอะไรยามตื่น เราก็มักจะมองตาไม่กะพริบ หากเราไม่สนใจเราก็มองผ่าน

    ดังนั้นหลักการสำคัญที่จะทำให้เราฝึกฝนที่จะมีสติสัมปชัญญะที่คมชัดได้ยามฝัน ก็คือการสั่งการ การตั้งโจทย์ หรือ keyword เพื่อกำหนดว่าเราปรารถนาจะรู้อะไร เห็นอะไร ได้ไปรู้ไปเห็นตามปรารถนาแล้ว จิตวิญญาณก็จะจดจ่อเพราะจิตวิญญาณใฝ่รู้

    หากตื่นมาวันใดจำได้ ให้พยายามจด การจดความฝันทำให้เราพัฒนาระบบความจำและระบบการถ่ายทอดได้ดีขึ้น หากจดบ่อยๆเท่าที่พอจะจดได้ จะพบว่า ยิ่งจดยิ่งจำได้ และในขณะเดียวกันยิ่งจำได้ก็ยิ่งจดค่ะ ไม่งงนะคะ ถ้างงพักทานขนมก่อน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สวัสดีค่ะ คุณ vir ยินดีต้อนรับสู่ห้องวิทยฯ ค่ะ ก่อนอื่นพี่นักเขียนต้องขอออกตัวว่า ไม่ใช่ผู้รู้ทางด้านพุทธศาสนาหรือศาสนาใดๆเป็นพิเศษ เป็นชาวพุทธโดยกำเนิด เรียนโรงเรียนคริสต์ตั้งแต่อนุบาลจนจบมัธยมปลาย ศึกษาสมาธิแนวพุทธ+คริสต์+เต๋า ทุกวันนี้สอนสมาธิแนวผสมให้กับเพื่อนๆทุกชาติภาษา ทุกศาสนา ทุกวัยอยู่ที่ Kansas ค่ะ (อยู่ใน Heartland ของ Bible Belt หรือหัวใจของชาวคริสต์ ในเชิงภูมิศาสตร์นะคะ)

    เมื่อมาเขียนหนังสือโดยทำหน้าที่ล่ามและเลขาให้ท่านอาจารย์อนาลัย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่ปราศจากร่างกายตัวตน แต่เต็มไปด้วยบุคลิกภาพ อารมณ์รักและเมตตา ท่านได้ถ่ายทอดข้อมูลความรู้มากมายมาให้ ซึ่งพี่นักเขียนได้ถอดรหัสออกมาเป็นหนังสือ 10 เล่มนั้น พี่นักเขียนไม่อาจจะกล่าวได้ว่า ท่านคือใคร หรือ มีภาวะอย่างไรที่เปรียบได้กับบุคลิกภาพตามคัมภีร์ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเพียงศาสนาเดียว เพราะหากจะพยายามบรรจุภาวะของท่านให้เข้ากับคำนิยามในศาสนาหนึ่งๆ อย่างมากที่จะทำได้คือต้องตัดทอนภาวะอื่นๆของท่านที่คล้องจองกับคำนิยามในศาสนาอื่นๆออกไปด้วย

    เรามักจะยอมรับโดยปริยายว่า วิทยาการต่างๆในโลกเป็นสิ่งที่ทำให้โลกของเราเจริญก้าวหน้าทางด้านกายภาพ เรารับเอาวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ของตะว้นตกเกี่ยวกับการรักษาทางยา การผ่าตัด การฉีดวัคซีน แล้วเราก็รับเอาวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนโบราณของจีน ได้แก่การฝังเข็ม การกดจุด และรับเอาการรักษาด้วยสมุนไพรไทย ฯลฯ เรารับได้หมด เพราะเราเห็นคุณประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับมวลมนุษย์ แต่เมื่อกล่าวถึงศาสนา เรามักจะรับเพียงศาสนาใดเพียงศาสนาเดียว ศาสตร์ทางจิตวิญญาณเป็นสิ่งใกล้ตัวเราอย่างมากเสียยิ่งกว่าศาสตร์ทางชีววิทยาเสียอีก หากเราเปิดกว้าง เราจะได้รับประโยชน์มากมายเหลือคณานับ

    การปรับความคิดเพื่อให้ไปในทางเดียวกับความรู้ที่ได้เคยทราบ เป็นวิธีการที่เรามักจะคุ้นเคย มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เมื่อเราได้รับรู้จากมุมมองหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่มีข้อจำกัดใดบังคับเราว่า เราไม่สามารถจะเปลี่ยนหรือเลื่อนมุมมองไปสู่ตำแหน่งอื่นๆเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ หากเราลองเปลี่ยนมุมมองไปบ้าง โดยเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณจากมุมมองของศาสนาอื่นๆ เราก็ไม่ได้สูญเสียความรู้ที่ได้จากมุมมองเดิมอันเป็นศาสนาที่เรายึดถือไป หากแต่ว่าเราจะรู้เห็นได้กว้างไกลขึ้น เพิ่มเติมขึ้นจากมุมมองเดิม

    ตามที่พี่นักเขียนศึกษาจากท่านอาจารย์อนาลัย กล่าวได้ว่า จิตวิญญาณปราศจากขีดจำกัด เพราะจิตวิญญาณคือข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ซึ่งถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด เมื่อเรามีความรู้และเราถ่ายทอดให้ผู้อื่น ผู้นั้นได้ความรู้จากเราไปแต่ส่วนที่เป็นความรู้ของเรานอกจากจะไม่ได้ลดหายไปแล้ว บ่อยครั้งยังขยายตัวอีกด้วยหลังจากที่เราได้ถ่ายทอดแล้ว เมื่อเราเข้าใจในคุณสมบัติของความรู้ในทิศทางนี้แล้ว เราจะตระหนักได้ว่า จิตวิญญาณอันมีแก่นแท้เป็นความรู้ จึงเป็นสิ่งที่ปราศจากขีดจำกัด ปราศจากจำนวน ไม่มีปริมาณหรือปริมาตร ผลรวมย่อมไม่เท่ากับผลบวก แต่ยิ่งใหญ่กว่าผลบวกมหาศาล เพราะหากนำความรู้ 2 สาขามาผนวกกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะก้าวไกลเกินกว่าจะคำนวณได้ เช่น วิทยาศาสตร์+การแพทย์ วิทยาศาสตร์+การเกษตร เป็นต้น ตัวเลขเป็นสัญญลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ตัวเลขจึงปราศจากความหมายต่อจิตวิญญาณ

    จากหนังสือ ความฝันและวิถีแห่งจิตวิญญาณ และอีกหลายๆเล่ม ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้เสมอว่า โลกแห่งความฝัน เป็นโลกแห่งความเป็นจริงที่จริงจังไม่น้อยไปกว่าโลกยามตื่นของเรา แม้ความฝันของเด็กน้อยที่ฝันว่าเป็น superhero ก็เป็นความเป็นจริงในมิติหนึ่งๆ และเป้นสัญญลักษณ์หรือภาพสะท้อนที่ปรากฏเป็นความเป็นจริงในโลกนี้มิตินี้ หากจินตนาการว่า โลกยามตื่นที่เรารู้จักนี้ คือโลกแห่งความฝันของตัวตนในความฝัน ดังนั้นในขณะเดียวกัน superhero ก็กำลังตั้งคำถามอยู่ว่า คุณ vir ซึ่งเป็นเพียงตัวตนในความฝันของเขา เป็นเพียงตัวตนในโลกแห่งความฝัน คุณ vir จะมีความเป็นจริงไปได้อย่างไรกัน

    พี่นักเขียนไม่ทราบเกี่ยวกับการแบ่งจิตวิญญาณด้วยตัวเลขค่ะ ใครทราบเล่าสู่กันฟังหน่อยนะคะ ห้องวิทย์ฯของเรามีผู้ที่ได้ศึกษาข้อมูลจากอ.ปริญญาหลายท่าน เท่าที่พี่นักเขียนเข้าใจจากข้อมูลของท่านอาจารย์อนาลัย ความแตกต่างของจิตวิญญาณอยู่ตรงที่ีความเชื่อส่วนที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นความรู้ ดังนั้นการแบ่งแยกความแตกต่างจึงอยู่ที่ความเชื่อ ท่านกล่าวว่า มนุษย์มีความเชื่อที่จำกัดว่า มนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลก และสิ่งต่างๆอันได้แก่พืชและสัตว์ และวัตถุธาตุต่างๆเป็นเพียงสิ่งที่เอื้ออำนวยมนุษย์และอยู่ต่ำกว่ามนุษย์ เราตัดสินทุกอย่างในโลกโดยเอามาตรฐานของมนุษย์เป็นมาตรวัด เมื่อสุนัขไม่สวมรองเท้า ไม่ผูก neck tie เมื่อก้อนหินไม่เคลื่อนไหว เราก็ตัดสินว่ามันปราศจากจิตวิญญาณ ปราศจากความเชื่อ จินตนาการ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิด เราไม่เคยคิดเผื่อว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะมีจิตวิญญาณ ความเชื่อ จินตนาการ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดได้ในทิศทางที่แตกต่างไปจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง เรามักตัดสินเพียงว่ามันมีหรือไม่มีเท่านั้น

    จากหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมีจิตวิญญาณ และจิตวิญญาณไม่ได้อยู่คงที่เสมือนลมหายใจที่ผ่านร่างกายมากมายมาหลายยุคหลายสมัย แต่เราก็หายใจเข้าไปแล้วคิดว่า มันคือลมหายใจส่วนตัวของเรา สรรพสิ่งทั้งหลายมีจิตวิญญาณ คำกล่าวนี้ท่านครอบคลุมถึง สัตว์ พืช ธาตุต่างๆ อิฐ หิน ดิน เมล็ดทราย หยดน้ำค้าง สายรุ้ง ดวงดาว ฯลฯ และแม้แต่โลก ก็มีจิตวิญญาณ ซึ่งแสดงออกและสื่อสารกับมนุษย์ในภาวะที่มนุษย์เรียกกันว่า เจ้าป่า เจ้าเขา ผีสาง นางไม้ (จากหนังสือ-ชีวิตนอกเหนือชาติภพ)

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณมาถือกำเนิดด้วยรูปกายหนึ่งๆได้ด้วยการเลือก เพื่อการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตในทิศทางจำเพาะที่จิตวิญญาณเลือกก่อนมาถือกำเนิด ความเชื่อที่ว่าบางทีมนุษย์ก็ไปเกิดเป็นสัตว์ ไม่ได้ปรากฏในทุกศาสนา แต่ปรากฏเพียงบางศาสนาเท่านั้น และเป็นส่วนของความคิดที่ทำให้ศาสนามีความขัดแย้งกันไม่มากก็น้อย พี่นักเขียนเชื่่อในสาระของท่านอาจารย์อนาลัยที่กล่าวว่า
    "หากทุกศาสนาและทุกลัทธิความเชื่อ ยึดถืิอในธรรมชาติแห่งความเป็นจริงร่วมกัน ความขัดแย้งย่อมไม่ปรากฏ"
    (โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ)
    หากเรามาพิจารณากันถึงเป้าหมายของจิตวิญญาณ ซึ่งมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต พี่นักเขียนยอมร้บว่าการเกิดเป็นก้อนหินหรือสัตว์โลกอื่นๆก็น่าจะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ได้เช่นกัน แต่ในนัยของความเป็นมนุษย์ ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า เรามาถือกำเนิดด้วยเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ คือ การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ เมื่อจิตวิญญาณเรียนรู้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้แล้ว เหตุใดจิตวิญญาณจะเลือกไปเกิดในรูปกายที่ไม่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปได้อีกกว้างไกล

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า สุนัขมีจิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่ทำให้มันจดจ่อกับรูปกายและตระหนักว่า-มันคิือสุนัข-มันไม่ใช่แมว ก้อนหินมีึมีจิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่ทำให้มันจดจ่อกับรูปกายและตระหนักว่า-มันคิือก้อนหิน-มันไม่ใช่นก ฯลฯ เช่นเดียวกันกับที่มนุษย์มีจิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่ทำให้มนุษย์จดจ่อกับรูปกายและตระหนักว่า-เราคืิอมนุษย์ และสติสัมปชัญญะส่วนนั้นๆก็ทำหน้าที่คงสภาวะร่างกายไปตามข้อมูลความรู้ที่มันได้รับถ่ายทอดมาจากจิตวิญญาณ คือเป็นลักษณะทางพันธุกรรม
    (รายละเอียดอยู่ใน หนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 8 อะไรมาเป็นเธอ การถ่ายทอดของจิตวิญญาณมาสู่ความเป็นตัวตนในแต่ละชาติภพ)

    เมื่อพิจารณาในแง่ของการเลือกมาถือกำเนิดของจิตวิญญาณเพื่อการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ ด้วยการมารับบทบาทต่างชาติภพ ในละครของชาติภพต่างโรง ซึ่งดำเนินไปพร้อมกันหมดทุกโรง ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า หากบทบาทของเราในโรงละครโรงหนึ่งเป็นบทบาทของบุคคลซึ่งเผชิญกับความเกลียด และบทบาทของเราในโรงละครอีกโรงหนึ่งเป็นบทบาทของบุคคลผู้เผชิญกับความรัก และจิตวิญญาณรวมของสองตัวตนนั้นกำลังเรียนรู้ ความเกลียดและความรักพร้อมๆกันทั้งสองด้าน จิตวิญญาณรวมจะเรียนรู้ได้มหาศาลกว่าการเรียนทีละบท ข้ามชาติภพ ตามเส้นทางแห่งกาลเวลา เช่นเรียนรู้ความเกลียดในชาติภพหนึ่งๆ และกว่าจะกลับมาเรียนรู้ความรักอีกห้าพันปีหรือร้อยปีให้หลัง การเรียนรู้นั้นๆจะแตกต่างกันมาก เรียกได้ว่าเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ได้ยากกว่าการเรียนพร้อมกันไปหมด เมื่อท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึงว่า ทุกชาติภพดำเนินไปพร้อมกันหมดในปัจจุบัน ท่านกล่าวว่า ท่านไม่ได้มาเสนอทฤษฎี และไม่ได้กล่าวเป็นอุปมาอุปมัย แต่กล่าวถึงธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณทีปราศจากเครื่องพรางของโลกมนุษย์ ท่านหมายความเช่นนั้นจริงๆค่ะ เพราะท่านตอกย้ำให้เราตระหนักถึงธรรมชาติข้อนี้เสมอๆ ราวกับว่าจะให้เรารู้จักสะกดจิตตนเองให้เปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับกาลเวลาให้ได้ เพราะถ้าหากเราเข้าใจไม่ได้ว่า จิตวิญญาณอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง ระยะทางและกาลเวลา เราจะสร้างข้อจำกัด คำนิยามต่างๆ และตีความเหมายเกี่ยวกับจิตวิญญาณบิดเบือนไปหมด

    แม้ว่าเรายังต้องดำเนินชีวิตตามนาฬิกา เพราะเราอาจมีนัดทุกวัน แต่หากเราหยุดคิดสักนิดหนึ่งถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า ธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา เราจะเผชิญกับความเป็นจริงนีิ้ได้บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ความคิดวูบหนึ่งของเรา พาเราไปสู่อดีต หรือ อนาคตอย่างแจ่มชัด และในขณะเดียวกัน หากเราตั้งคำถามว่า อดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้วของเราต่างจากความฝันอย่างไร? เราแทบจะแยกไม่ออก เพราะความฝันบางความฝันฝังใจเราเสมือนความเป็นจริงมากกว่าประสบการณ์ในโลกยามตื่นที่เราจำได้เลือนรางเสียอีก เวลาจึงเป็นสิ่งที่เสมือนไม่มีจริงในบางขณะ

    คำว่า พร้อมกันหมด-เป็นปัจจุบัน หมายถึงปราศจากช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาค่ะ จิตวิญญาณสถิตย์อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-หลายโลก-หลายมิติ พร้อมกันหมดในปัจจุบัน หมายความว่า เราเป็นบุคคลตัวตน หลายร่าง หลายบุคคล ที่กำลังมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในขณะปัจจุบันนี้ พร้อมกันหมดทุกชาติภพ พร้อมกันหมดทุกวัย และพร้อมกันหมดทุกความเป็นไปได้ ในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ซึ่งต่างกาลเวลา ต่างชาติภพ ต่างวัย ต่างสมัย และต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ซึ่งท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า ความเป็นไปด้งกล่าวนี้ เป็นหนทางเดียวที่จิตวิญญาณจะเรียนรู้ได้จากทุกมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต

    ท่่านอาจารย์อนาลัยเปรียบการเป็นบุคคลตัวตนของเราในแต่ละชีวิต-แต่ละชาติภพเสมือนชิ้นส่วนภาพต่อแต่ละชิ้น ท่านกล่าวว่า หากเราเอาภาพต่อมาวางเรียงกันเป็นเส้นตรงตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก ภาพรวมที่สมบุรณ์จะเกิดขึ้นไม่ได้ ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นจะต้องมีอยู่พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบ้น และชิ้นส่วนแต่ละชิ้นก็ไม่ได้เป็นชิ้นส่วนตายตัว มันผันแปรไปตามความคิดและการกระทำของเรา ซึ่งส่งผลต่อชาติภพอื่นๆที่เปรียบเสมือนชิ้นส่วนอื่นๆด้วย การทำดี-ทำชั่ว จึงส่งผลกระทบต่อชาติภพทุกชาติในภาพรวมอย่างเป็นปัจจุบันทันด่วน

    ตามตัวอย่างของคุณ vir ที่กล่าวว่า เมื่อชาติภพหนึ่งเราทำให้ผู้อื่นต้องทุกข์ร้อนโดยไม่เห็นใจผู้อื่นเลย ชาติภพต่อไปจะต้องมาเกิดเพื่อเป็นถูกทำให้ทุกข์ร้อน เพื่อเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจ....

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า การทำผิดและการลงโทษ จะเป็นเหตุเป็นผลก็ต่อเมื่อมันดำเนินไปบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเท่านั้น แต่เมื่อจิตวิญญาณอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์และเครื่องพรางของช่องว่าง-ระยะทางและการเวลา จิตวิญญาณจึงไม่ได้เรียนรู้ทีละบทเรียน ทีละชาติภพ การเรียนรู้ของจิตวิญญาณเป็นการเรียนรู้แบบระบบเครือข่าย ดังนั้นบุคคลตัวตนนั้นๆจึงเผชิญกับชาติภพที่เป็นผู้กระทำ พรัอมกันกับที่เขากำลังเผชิญกับอีกชาติภพหนึ่งซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำ การเรียนรู้จึงจะเป็นไปได้อย่างลึกซึ้ง

    เมื่อเราเผชิญกับบุคคลผู้หนึ่งที่กำลังบริหารบทเรียนชีวิตของเขาด้วยการเป็นผู้ที่ทำให้เราต้องทุกข์ร้อนโดยไม่เห็นใจเรา เรามักไม่เคยคิดถึงความเป็นหนึ่งเดียวของจิตวิิญญาณได้กว้างไกลพอที่จะตั้งคำถามว่า เราคือบุคคลตัวตนต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของผู้ที่กำลังทำให้เราเดือดร้อนอยู่หรือเปล่านะ? เรากำลังเรียนรู้บทเรียนเดียวกันจากอีกขั้วหนึ่งอยู่หรือเปล่า? แม้เราจะไม่เคยตั้งคำถามเช่นนี้ แต่เราก็กำลังเรียนรู้โดยปริยาย-จริงไหมคะ? และตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว ไม่มีบุคคลใดที่เกิดมามีพฤติกรรมเพียงด้านเดียว แต่หากเรามีความเชื่อและจดจ่อว่าเขาเป็นผู้ที่เอาเปรียบไม่เคยเห็นใจใคร เราก็จะมองเห็นและเผชิญแต่ประสบการณ์ที่สนับสนุนความเชื่อของเราเท่านั้น แม้ว่าเขาจะแสดงให้เห็นด้่านอื่นของเขา เราก็มักจะมองไม่เห็น

    เรากำลังช่วยกันเรียนรู้ด้วยจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังของเราที่แปลกแยกไปจากเขา เพื่อเรียนรู้และเติมเต็มประสบการณ์ต่างด้านซึ่งจิตวิญญาณรวมมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังของเรา-เขา การศึกษาเกี่ยวกับการเป็นตัวตน การเรียนรู้ที่จะไม่แบ่งแยกเรา-เขา จึงลึกซึ้งกว่าเพียงแค่การเรียนรู้ที่มาของการเป็นตัวตน หากแต่จะต้องเรียนรู้ถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันในการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในระดับจิตวิญญาณ

    เราทั้งหลายล้วนมีจิตวิญญาณรวมอันเป็นหนึ่งเดียว เราต่างก็พัฒนาจิตวิญญาณร่วมกันเป็นระบบเครือข่าย ด้วยการเป็นบุคคลตัวตนผู้มีมุมมองจำเพาะ พรัอมดัวยบุคลิกภาพและความสามารถจำเพาะ เราแต่ละคน แต่ละร่างกายตัวตนในแต่ละชาติภพ จึงเปรียบเสมือนชิ้นส่วนภาพต่อที่เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน และมีความสำคัญยิ่ง จะขาดชิ้นใดชิ้นหนึ่งไปเสียไม่ได้ เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ของจิตวิญญาณ พรหมวิหารสี่จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ภาพรวมทั้งหมดเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์พูนสุขด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน-เป็นระบบ

    ห้องวิทย์ฯ ของเราจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
    อ่านเหนื่อยหน่อยนะคะ ทานขนมไปพลางๆแก้เหนื่อย หมอฟันคงไม่ว่านะคะ(b-smile)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2007
  20. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ภัยพิบัติ กับ ความเชื่อ

    โรคภัยไข้เจ็บ การสูญเสีย การพลัดพราก ความล้มเหลว อุบัติเหตุและภัยพิบัติต่างๆเกิดจากความเชื่อและจินตนาการที่สนับสนุนความเชื่อของเธอ ความเชื่อที่เกิดจากความรักอันปราศจากเงื่อนไข ความศรัทธาและการมีมุมมองที่ถูกต้องเป็นอำนาจประหลาดที่เนรมิตสร้างสรรค์สิ่งสวยงามให้เกิดขึ้นในชีวิตของเธอ เธอจะกล่าวว่ากรรมหรือการกระทำของเธอในชาติภพต่างๆเป็นสิ่งที่ปลูกฝังความเชื่อของเธอก็คงไม่ผิด กรรมดีทำให้เธอมีความเชื่อที่เต็มไปด้วยความรัก-ความศรัทธาและมุมมองที่ถูกต้อง กรรมชั่วมักทำให้เธอมีความเชื่อที่เต็มไปด้วยความกลัว ความลังเลสงสัย ความรู้สึกผิดและการมีมุมมองที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าเธอจะเรียกมันว่าอะไร ความเชื่อของเธอนั่นแหละ คืออำนาจประหลาดที่แปลงสภาพจินตนาการ-อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเธอให้เป็นไปในทิศทางนั้น

    ความเชื่อของเธอสร้างโลกของเธอและตัวตนของเธอ

    ความรู้สึกนึกคิดของเธอเป็นพลังงานที่ถูกส่งกระแสออกไปและไม่มีวันที่จะถูกดึงกลับคืนมาได้ ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าเธอจะนึกคิดสิ่งใด ความนึกคิดของเธอเป็นพลังงานที่จะแปลงสภาพเป็นวัตถุธาตุและความเป็นจริงในชาติภพใดชาติภพหนึ่งเสมอ ความรู้สึกนึกคิดที่ปราศจากสติ จึงเป็นดาบสองคมที่สร้างสรรค์และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอได้เสมอ

    จากหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 3 เธอคืออะไร (หน้า 32-33)
     

แชร์หน้านี้

Loading...