ผลของการแยก กาย ใจ จิต

คุณ ตอบว่า ไม่รู้จักเขา .
เอางี้ ไหนเล่าให้ฟังสิ ว่า เถรใบลานเปล่า เป็นใคร แบบไหน ยังไง..

 

ผม โวยวายอะไรล่ะ...
ผม ก็ บอกไปแล้วว่า ใครจะตัดสินล่ะ ว่า คุณ พูดถูก หรือ ผมพูดถูก
แน่จริง ถามอะไร ที่ สังคมเขายอมรับ กันสิ ไม่มใช่ ถาม เรื่อง ที่ คิดเอาเอง.

 

คุณลุงหมานถามว่า ผมรู้จักพระองค์นั้นดีแค่ไหน ต่างหาก

ผมก็ตอบว่าไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว จึงไม่รู้จักว่าดีแค่ไหน

หากผมจำไม่ผิดคงจะประมาณนี้ แล้วก็ตอบทุกคำถาม

ไม่เหมือนคุณที่ไม่ตอบเลย หลวงปู่มั่นก็เคยกล่าวเอาไว้ เถรใบลานเปล่า

คุณรู้เรื่องหลวงปู่มั่นมากนี่นา คงมีได้อ่านอยู่แล้ว

สาธุครับ

 

ผู้ที่ได้ประสบณ์เขารู้ว่าคิดเอาเองไหม ยังบอกว่าไม่ได้โวยวายอีก

ตอบได้ไหมแค่นั้นแหละ หรือว่าตอบไม่ได้

สาธุครับ

 

หุหุ...
ผม จัดให้ครับ.....
การ ที่จิตหยุดนิ่ง ถึงที่สุด มี 2 ประการ..คือ
ในสมถะกรรมฐาน..นั้น จิต สงบ ที่สุดใน อัปปนาสมาธิ
แต่ ใน วิปัสสนากรรมฐาน จิตจะสงบที่สุดเมื่อ หมด ความปรุงแต่งแล้ว อันเกิดจาก การเห็นไตรลักษณ์ ของจิต และ เมื่อ จะตัด อาสวะ..จิตจะรวม ลง ในอัปปนาฌาณ เหมือนกัับในสมถะกรรมฐาน..เพียงแต่ จิต เขาจะรวมเอง ด้วยอำนาจ การปล่อยวาง..ตัวมันเอง....ไม่ได้เกิดจาก กรพเ่ง การ กด หรือ การน้อม อย่างที่สุด....

หาก จิต สงบถึงที่สุด แล้ว..ก็ ตัวจิตเอง นั่นแหละ ที่รู้ ตัวมันเอง...
การเกิด ดับ ของจิต ยังดำเนินไป ไม่หยุด แต่ การเกิดนั้น เป็นการเกิด แบบ รู้ เป็นการเิกด ที่ไม่จับ กิเลสอาสวะอีกแล้ว ความสงบปลดปล่อย ไม่ยึดเหนี่ยว ขันธ์ อีก นั่นเอง ที่เป็นความ สงบ....

จะ เข้าใจ มั้ย เด็ก ธิเดช..หุหุ

 

กรุณาตอบด้วยครับ เพราะอีกไม่นานไฟฟ้าจะดับอีกแล้ว เพราะการเคลื่อนไหวของจิต

ผมจะอธิบายยังไงดี เมื่ออารมณ์ถึงจุดๆหนึ่งแล้วไฟฟ้าชอบดับ ผมเคยได้บอกกล่าวในเว็บนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง

ยังมีคนนำมาล้อผมอยู่บ่อยๆ แต่อาการนี้ก็ยังไม่หายไปเสียที

สาธุครับ

 

ถูกแค่ตรงนั้น ที่เหลือไม่ถูกเลย และ ยังตอบไม่หมดด้วยครับ คำถามในแถวที่สองก็ยังไม่ได้ตอบ

สาธุครับ

 

อันไหน ที่ผม ไม่ตอบหรอ...ธิเดช
การ โพสเรื่องเถรใบลานเปล่า ของคุณ ก้ กระทบกระเทียบ..ว่าประชด ผม
ทำนองว่า อ่านพระไตรปิฏก มาแต่ ไม่รู้เรื่อง ปกิบัติ..หุหุ

ยังเด็ก นัก ธิเดช..สิ่งที่คุณ แสดง ใช่ว่า จะ แจ้งชัด คุณก้ มั่วๆ เอาทั้งนั้น แถม มานั่งชื่มชม ตนเองว่า เก่ง..ว่าปกิบัติมา ที่แท้ หลงตัวเอง แต่ไม่รู้ัตัว.

อัตตา จัด มาก แต่ ยัง ไม่รู้ตัว

 

เฮ้อออ
คูณ ก็ คิดว่า คูรคิดถูก คนเดียว แล้วจะคุย กันแบบไหนล่ะ...
ผม ว่าคุณ เพี้ยนๆไปนะ..คุณ คงเป็นคน แบบ นาย เทวดา ที่คิดว่าเป็นพระศรีอาริย์ แน่ๆ

 

หากผมชื่นชมตนเอง ผมคงไม่เข้ามาหาเกล็ดธรรมในเว็บแห่งนี้หลอกครับ

ที่ผมอนุโมทนาในเกล็ดธรรมเหล่านั้น เพราะเป็นเกล็ดธรรมที่ผมยังไม่เคยได้พบเห็น

ขณะนี้ใครกันแน่ที่เป็นเช่นที่คุณกล่าวมา

สาธุครับ

 

หยุดปรุงแต่งเรื่องอื่นก่อนดีไหมครับ ไม่ต้องไปพาดพิงใครๆด้วยครับ

เพราะเป็นการนิททา เรื่องนี้ควรรู้ไว้ด้วยครับ ดิ้นรนไม่หยุดเลยคุณนี่

สาธุครับ

 

เรื่องกระทู้ นี้ ผม ชี้ว่า คุณ ผิด เรื่อง แยก กาย กับจิต เป้นสมถะ..ทำไม ไม่เชื่อผมล่ะ

คุณ มั่วๆๆ จะให้อื่นเชื่อ คุณ..มันไม่หลักฐานอะไร
คุณ เม้นๆไป แบบไม่มี ตรรกกะ..เอาแบบมั่วไว้ก่อน เม้นเอา เทห์ๆ

อธิบาย ก็ ไม้ได้ ว่า ทำไม จึง แยกกายออก จาก จิตได้...
เอาแต่ เปรียบเปรยว่า จิตรวมลง กายหายไป.งแล้วจะให้เชื่อว่า กายกับใจ มันแยกกันได้..มันง่านไป ครับ น้อง ธิเดช

 

ก็ คุณ ดู ดเพี้ยนๆไป เหมือน นายคนนั้นครับ....
ผม กล่าวผิดตรงไหน..สมาธิสักตัว ยังไม่มีเลย คุณ น่ะ ดีแต่ คุย อวดสาวไป วันๆ

 

ธิเดช....

สมาธิ เป้น แบบไหน รู้จักมั้นย ไหนเล่าให้ฟังสิ ว่า คุณ มีสมาธิอะไีร แบบไหน
อย่า ดี แต่ พูด แบบ ปชป. นะ โธ่

 

คุณคงสติไม่ดีกระมังครับ เพราะผมบอกว่าไม่ได้สนใจว่าใครจะเชื่อ หรือ เลื่อมใสผม

คุยกันมาหลายครั้งแล้ว จำไม่ได้เลยหรือครับ ส่วนเรื่องแยกกายออกจากจิต

แทนที่จะมาถามมาก ก็ลองให้รู้เลยสิครับ จะได้ไม่ต้องถามบ่อยๆ บอกก็ไม่เชื่อ

ในเมื่อไม่เชื่อก็ปฎิบัติธรรมนั่งกรรมฐานในแบบที่คุณนั่งอยู่จนถึงที่สุดก็จะรู้เอง

ผู้ปฎิบัติย่อมเห็นไม่แตกต่างกัน เพราะสภาวะจิตนั้นไม่แตกต่างกัน

สาธุครับ

 

ผม ดิ้น อะไร หรอ..ก็ เราตกลงกันแล้วไง ว่า
จะลอง กัน...คุณ พูด รับคำท้าผม แล้วไง...

แค่ นี้ ก้ ร้อนใจ แล้วหรอ ธิเดช คุณน่ะ เพี้ยน เหมือน นายคนนั้นไง ผม แค่ยกตัวอย่าง..คูณ ก็ ร้อนรน นะ..สมาธิ แบบ คุณ น่ะ เขาเรียก สมาธ เด้กๆ..เด็กแถวบ้านผม ทำได้นานแล้ว..โดน แม่ตี ไม่ร้องสักแอะ..พอแม่เลิกตี เด็ก ก็ วิ่งไป เล่น เกม ต่อ

ผม ว่าคุณ คง เข้าใจ สมาธิแบบเด็ก แน่ๆ เลย..น่าจะหัดใหม่นะ..สมาธิ แบบ เด็กๆ เลิกเหอะ อายเขา แค่นมาคุย..แถม ลีลา วกวนด้วย เม้น โก้ๆ อวดสาว หรอ ธิเดช

 

ถึงแม้ผู้อื่นจะไม่ดีอย่างไร ผมก็ไม่นำมากล่าวในเชิงนิททาครับ เพราะไม่ใช่วิสัยของผู้ปฎิบัติ

ผมไม่เคยดูถูกใครเช่นที่คุณได้กระทำอยู่ครับ หากผมมีความคิดเช่นที่คุณกล่าวมา

ผมยิ่งไม่จำเป็นต้องเข้ามาในนี้เพื่ออวดสาวๆ ในชีวิตประจำวันของผมก็มีมากมายแล้วครับ

หากผมคิดคงจะไปไกลแล้วครับ ไปไกลจากพระศาสนาแล้วครับ

สาธุครับ

 

แล้วจะทำเช่นไรต่อไปครับ ในเมื่อไม่มีนิมิต ไม่มีการรับรู้ในส่วนภายนอก มีแต่การรับรู้ที่อยู่เฉยๆครับ

ในส่วนนี้ เมื่อไหร่คุณจะตอบครับ ผมรออยู่นานแล้วครับ ขณะนี้ผมคุยได้แล้วครับ ไฟฟ้าไม่ดับแล้ว

ข้ามอารมณ์นั้นไปได้แล้วครับ ผมรออยู่นะครับ

สาธุครับ

 

ไปกล่างพาดพิงคนอื่นนี่ ยังไม่ดิ้นรนอีกหรือครับ ที่คุยกันนี่คุยกันสองคนไม่ใช่หรือครับ

ตกลงไว้เช่นนั้นไม่ใช่หรือครับ คุณควรจะเลิกมากกว่าครับ จิตใจคุณนี่ไม่พ้นเรื่องอวดสาวเลย

จิตใจที่นึกคิดแต่เรื่องหญิงสาว นึกคิดแต่เรื่องเพศตรงข้าม อืม อีกไกลไหมครับ

สาธุครับ

 

โถๆๆ..มีโมโห..ด่าผม สติไม่ดีด้วย..555+
คุณ ก็ มั่วๆไปได้ ผม หัด สมาธิ มา ตั้งแต่ คุณยัง ดื่มนมแม่เลยมั้ง
อะไรคืออะไร มาแบบไหนผมรู้หมดแล้ว.งไม่ขี้คุยแบบคุณแน่ๆ พอ เม้นไม่ออก ก็ อ้างว่า ไปทำให้ถึงสิ จะรู้เอง

แก้ ตัว ง่ายไป น้อง ธิเดช...ผม ถึงบอกไง ไม่มีหลักฐาน คุยกันหาข้อสรุปไม่ได้..ผม ถึงท้าคุณไง...แน่จีริง หาอะไร มายืนยัน แบบที่ ชาวโลก เขายอมรับกันสิ..คุณ มีปัญญามั้ยเล่า..ธิเดช