เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตีความหมาย-ความฝัน

    การเอาจิตวิญญาณไปอ่านหนังสือล่วงหน้าหรือไปแก้ปัญหาในยามฝัน เป็นวิธีการที่คล้ายคลึงกันตรงที่ว่า เราไม่ได้รู้เห็นหรือกระทำการผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่ใช้ประสาทสัมผัสที่หกแทน และจิตวิญญาณก็อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ดังนั้นนอกจากว่าเราจะสามารถรู้เห็นได้ในขณะที่ร่างกายเราหลับจ็อแป้ สบายกายเฺฺฉิบ แต่จิตวิญญาณก็ไปทำงานต่อในความฝัน ล่วงรู้เหตุแห่่งปัญหาในอดีต ล่วงรู้ทางแก้ปัญหา และล่วงรู้ผลลัพธ์ในอนาคต หรือรู้เห็นบทความที่เราจะอ่านต่อไปในวันรุ่งขึ้นหรืออาทิตย์หน้า เดือนหน้าได้ด้วย ความสามารถทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติของจิตวิญญาณซึ่งเปลีี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หก หรือประสาทสัมผัสภายในอยู่เสมอ เราไม่ต้องฝึกให้จิตวิญญาณไปรู้เห็น เพราะมันไปเองอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด สิ่งเดียวที่เราต้องฝึกคือใช้สติสัมปชัญญะติดตามไปสังเกตการณ์ว่า จิตวิญญาณไปรู้เห็นอะไร และรู้เห็นได้อย่างไร เราจึงจะนำสิ่งที่จิตวิญญาณไปรู้เห็นมาใช้ประโยชน์ได้ทันการค่ะ คุณน้องก็ใช้การจิตวิญญาณได้เก่งมากอย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ ควรฝึกฝนเพื่อให้ทำซ้ำได้ตามต้องการเสมอๆ

    เวลาที่ตัวเองไม่มีปัญหา เรามักไม่จดจ่อพอที่จะแก้ปัญหาให้คนอื่นได้ ทำให้ฝันแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ แต่ก็ฝึกได้ คือ ให้ฝึกเอาอารมณ์ไปจดจ่อกับการแก้ปัญหาให้ผู้นั้น หากเรามีเจตนาที่จะช่วยเหลือเขา มันจะเกิดอารมณ์เมตตาขึ้นมาจับใจ เหมือนรู้สึกรักและสงสารอย่างจับใจอยากให้เขาหายทุกข์ การจดจ่อกับอารมณ์นี้ทำให้เกิดพลังผลักดันให้สติสัมปชัญญะพุ่งไปในทิศทางที่เราต้องการได้

    การจดจ่อของเราเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้สัมฤทธิ์ผล คนส่วนมากจดจ่อกับสิ่งที่ขบคิดไม่ตกยามตื่น แต่ไม่ได้คำตอบจากความฝันอย่างที่คุณน้องทำได้ เพราะเหตุว่า เมื่อเราจดจ่อ เรามักจะเผลอไปจดจ่อกับปัญหา แทนที่จะจดจ่อกับการหาทางแก้ ดังนั้นตื่นขึ้นมา นอกจากจะไม่ได้ download ทางแก้ปัญหามาแล้ว เผลอๆยังไป download เอาปัญหามาเพิ่ม เพราะการจดจ่อกับปัญหาเป็นการเพิ่มพลังให้ตัวปัญหา หรือดึงดูดสิ่งอื่นๆที่คล้องจองกับปัญหาให้มาเพิ่มพูนให้ปัญหามันหนักหน่วงหรือพลังเพิม หากเราใช้ปัญญาแยกแยะตัวปัญหากับทางแก้ เข้านอนด้วยการจดจ่อกับการแก้ปัญหาจะทำให้มันมีพลังเพิ่มขึ้น จนในทีึ่สุดปัญหาก็สลายตัว การจดจ่อกับการแก้ปัญหาจะดึงดูดปัจจัยอื่นๆที่สนับสนุนการแก้ปัญหาให้ผูดขึ้นในประสบการณ์ชีวิต

    ท่านอาจารย์อนาลัยท่านกล่าวถึงกฏแห่งการดึงดูดของจักรวาลไว้ว่า:
    เธอจดจ่อกับสิ่งใด ได้สิ่งนั้น-ไม่มีกฏเกณฑ์อื่น

    สำหรับความฝันที่คุณน้องต้องเลือก แล้วหลังจากนั้นคุณยายก็เสีย พี่นักเขียนเชื่อมั่นว่า คุณน้องไม่ได้เป็นผู้เลือกให้ใครตายอย่างแน่นอน ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวเรา เราทั้งหลายเป็นจิตวิญญาณซึ่งมาแสวงหาประสบการณ์ในโลกมนุษย์ เราเลือกเกิด เลือกวิถีทางดำเนินชีวิต และเลือกความตายของตนเอง

    แม้แต่ผู้ที่ป่วยและตาย ก็ไม่ได้ตายเพราะแพทย์บอกว่าเขาจะต้องตาย แต่ตายเพราะว่าเขา "เชื่อ" ในสิ่งที่แพทย์วินิจฉัย

    เมื่อคุณน้องได้ยินเสียงหัวเราะในความฝัน การที่จะเข้าใจความหมายของประสบการณ์ในความฝันได้นั้น เราจะต้องจับที่อารมณ?์ของตัวตนในความฝัน เพราะบ่อยครั้งตัวตนในความฝันเผชิญกับสถานการณ์หนึ่งๆด้วยความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ที่แตกต่างไปจากที่เราน่าจะเป็นยามตื่นมากๆ

    ประสบการณ์ในความฝันมักเป็นสัญญลักษณ์ โดยขึ้นอยู่กับว่าจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะใดในความฝันนั้นๆ การเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ "ดึงดูด"รูปกายและสภาพแวดล้อมที่คล้องจอง มาสู่จุดที่จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเสมอ

    จากหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ - บทที่ 8 ตัวตนในความฝัน กับ ตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้

    นอกจากนี้การตีความหมายประสบการณ์ในความฝัน ยังขึ้นอยู่กับสภาวะของรูปกายหรือตัวตนในความฝันของเราอีกด้วย รูปกายหรือตัวตนในความฝันมี 3 สภาวะด้วยกันคือ:
    1.ตัวตนที่เป็นกายภาพ เป็นตัวตนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ ยังจดจ่อกับสภาวะทางกายภาพ - เหมือนที่เราเป็นเรายามตื่น หน้าตา รูปพรรณสัณฐานอาจไม่เหมือน แต่เรามักคิดว่าเป็นเรา-คือเรา เพราะสติตามรู้เห็นไม่ถ้วน แต่กระทำการได้มากกว่าปกติ เช่น ลอยตัวได้ แต่ทะลุกำแพงไม่ได้ เพราะรูปกายยังเป็นภาวะที่มีความหนาแน่นสูง
    2. ตัวตนที่เป็นจินตภาพ เป็นตัวตนที่เกิดจากการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ ไปสู่ภาวะทางกายภาพมิติอื่นๆ มีรูปกายคล้ายรูปกายทางกายภาพแต่ลอยตัว เหาะเหิน และทะลุกำแพงได้ ไปได้เพียงในระบบสุริยจักรวาล ไปไกลเกินกว่านี้ไม่ได้
    3. ตัวตนที่เป็นจิตวิญญาณ เป็นตัวตนที่เกิดจากการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ ไปสู่มิติต้นกำเนิดแห่งจิตวิญญาณ อันเป็นมิติที่เป็นห้วงแห่งความว่างเปล่า ซึ่งเป็นรากฐานของสรรพสิ่งทั้งปวง

    การตีความหมายความฝันขึ้นกับภาวะของรูปกายทั้ง 3 นี้ โดยประสบการณ์ทั้งหลายจะปรากฏเป็นสัญญลักษณ์ที่ต้องถอดความหรือถอดรหัส

    ถ้าเรามีรูปกายเป็นภาวะกายภาพ ประสบการณ์ในความฝันก็จะใกล้เคียงกับความเป็นจริงมีความหมายสอดคล้องเกือบตรงไปตรงมาทางกายภาพ

    ถ้ามีรูปกายเป็นภาวะทางจินตภาพ ก็จะมีประสบการณ์ในความฝันที่ต้องตีความหมายแตกต่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏมักเป็นเพียงสัญญลักษณ์หรืออุปมาอุปมัย แม้แต่บุคคลตัวตนที่ปรากฏในความฝันก็มักไม่ใช่บุคคล แต่เป็นอุปมาอุปมัยถึงสภาวะจิตของเราเอง ซึ่งเราต้องจับอารมณ์ดูว่า บุคคลเหล่านั้นที่เราเผชิญในความฝันทำให้เรารู้สึกอย่างไร จึงจะได้ความหมายที่แท้จริง

    ถ้ามีรูปกายเป็นจิตวิญญาณ เราจะพบว่าเราปราศจากร่างกายตัวตน บุคลิกภาพอื่นๆที่ปรากฏในความฝันนั้นๆก็ปราศจากร่างกายตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและรู้เห็นได้ในทิศทางที่ฉับพลัน และมักเป็นความฝันที่มีสภาพแวดล้อมออกไปนอกโลก นอกระบบสุริยจักรวาล การตีความหมายความฝันชนิดนี้เสมือนการถอดรหัส เพราะสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่อุปมาอุปมัย เห็นได้มาก รู้ได้เร็ว แต่เหมือน download file ใหญ่โตทีี่มีการบีบอัดข้อมูลไว้ให้เล็กพอที่จะพกติดสติสัมปชัญญะกลับมาได้ สิ่งที่รู้เห็นเป็น concept ใหญ่ ๆ ที่จะถอดรหัสออกมาได้มากมาย หากตื่นขึ้นมาไม่ประคองสติสัมปชัญญะให้คงที่ได้นานพอ file จะหาย หรือขยาย file ออกมาไม่ได้ เสมือนทำข้อมูลหลงไปถูกเก็บเข้าแฟ้ม-หาไม่เจอ

    ทั้งหมดนี้ศึกษารายละเอียดได้จากหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ
     
  2. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ว่าจะไม่ไปเมืองไทยปีนี้ เห็นหน้าคุณน้อง CHAYA MARUTY ชักอยากจะกลับซะแล้วซี ! หากกลับเมื่อไรก็คุยกันได้เสมอค่ะ บวกอายุไว้ให้พี่นักเขียนมากๆๆๆก่อน เจอตัวจริงจะได้ไม่ตกใจ
     
  3. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    NREM vs ฌาน 4

    คุณ physigmund_foid ถามคำถามดี น่าคิดสมชื่อจัง นักเขียนไม่มีภูมิเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อมีผู้ถามมาก็เลยอยากรู้ไปด้วย ไปค้นหาข้อมูลมาฝาก
    จาก http://www.holisticonline.com/Remedies/Sleep/sleep_stages-1-4NREM.htm
    http://en.wikipedia.org/wiki/REM
    http://en.wikipedia.org/wiki/NREM
    แล้วได้ความว่า:

    นักจิตวิทยาตะวันตกเขาแบ่งการนอนหลับออกเป็น 2 ภาวะโดยพิจารณาจากการกลอกของลูกตา คือ Non-rapid Eye Movement (NREM) (ลูกตากลอกไปมาอย่างเชื่องช้า หรือ แทบจะหยุดนิ่ง) กับ Rapid Eye Movement (REM) (ลูกตากลอกไปมาอย่างรวดเร็ว)

    Non-rapid Eye Movement (NREM) แบ่งย่อยออกเป็น 4 ระยะด้วยกันคือ :
    ระยะ 1. เกิดขึ้นเมื่อเร่ิมนอนหลับ ตาจะกลอกไปมาอย่างเชื่องช้า เมื่ออยู่ในระยะนี้ เรามักจะคิดว่า เรายังตื่นอยู่เต็มตัว และการก้าวล่วงจากภาวะยามตื่น มาสู่ภาวะของ stage 1 สังเกตได้จากการกระตุก

    ระยะ 2. นักจิตวิทยาตะวันตกเขาว่า ระยะนี้ของการนอนหลับ คนเราจะตกอยู่ในภาวะหมดสติ (unconscious) แต่ก็ตื่นได้ง่ายถ้าถูกปลุกหรือปลุกตัวเองให้ตื่น ดวงตาจะไม่กลอกไปมา และเรามักจะไม่ฝันในระยะนี้ เป็นระยะที่เขาว่าเราเข้าภวังค์ที่ทำให้เราอยู่ในความสงบ (tranquil state)

    ระยะ 3. ระยะหลับลึก ไม่มีความฝัน

    ระยะ 4. ระยะหลับลึกที่สุด ซึ่งมักจะมีความฝันได้มากกว่าระยะ 1-3 แต่ไม่บ่อยเท่า ระยะ 5.

    ระยะ 5. Rapid Eye Movement (REM) ลูกตากลอกไปมาอย่างรวดเร็ว เป็นระยะที่มีความฝันมากที่สุด

    ข้อแตกต่างระหว่างความฝันที่เกิดในระยะ NREM (ระยะ 1-4) กับ ความฝันที่เกิดในระยะ REM (ระยะ 5) คือ : ความฝันที่เกิดในระยะของ NREM (ระยะ 1-4) มักเป็นความฝันชนิดที่สั้นๆ ไม่ค่อยจะปรากฏเป็นภาพ และถ้าปรากฏก็จะเป็นภาพที่ไม่ปะติดปะต่อ และไม่ค่อยจะก่อให้เกิดอารมณ์ได้มากเท่าความฝันที่เกิดในระยะ REM (ระยะ 5)

    ความฝันที่เกิดในระยะ NREM (ระยะ 1-4) เปรียบได้กับการนึกคิดเลื่อนลอยเสมือนการฝันกลางวัน ส่วนความฝันที่เกิดในระยะ REM (ระยะ 5) จะเปรียบได้กับการคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง-อย่างลุ่มลึก การนอนหลับในช่วง NREM อาจเป็นไปติดต่อกันนานถึง 6 ชั่วโมงต่อคืน และการนอนหลับในช่วง REM อาจเป็นไปติดต่อกันนานถึง 2 ชั่วโมงต่อคืน

    ถ้าเข้าใจตรงกันตามนี้นะคะว่า NREM กับ REM เป็นระยะของการนอนหลับและฝันที่เกิดขึ้นกับทุกคน โดยไม่ได้ฝึกหรือตั้งใจให้เป็นไป แต่เป็นไปตามธรรมชาติ พี่นักเขียนคิดว่า เราไม่น่าจะเอา ฌาน 4 มาเปรียบกับการนอนหลับและฝันตามปกติได้ โดยไม่กล่าวถึงภาวะของสติสัมปชัญญะของนักฝัน เพราะแต่ละคนจะนำสติสัมปชัญญะติดตามเข้าไปสู่การหลับและฝันได้แตกต่างกัน บางคนตามไม่ได้-หากปราศจากการฝึกสมาธิ บางคนติดตามได้อย่างเป็นธรรมชาติ-โดยไม่ได้ฝึกสมาธิ ซึ่งนักจิตวิทยาเขาแทบจะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนถึงการรู้เห็นของสติสัมปชัญญะใน NREM และ REM เลย เขากล่าวแต่เพียงว่าระยะ 2 เป็นระยะที่เราตกอยู่ในภาวะหมดสติ หรือ unconscious แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าระยะ 1,3,4 เรามีสติสัมปชัญญะที่คมชัดเพียงใด และจดจ่อกับสิ่งใด

    แต่ไม่ว่าจะฝึกหรือไม่ฝึกสมาธิ เข้าใจว่าเราจะระบุ ฌาน 4 ได้ว่า เป็นภาวะที่สติสัมปชัญญะมีภาวะที่รู้เห็นต่อเนื่องได้ยาวกว่า ฌาน 1-3 ถ้าเอา ฌาน 4 ไปเปรียบกับ NREM ระยะใดๆ นักเขียนก็ไม่แน่ใจนักว่าเราจะเปรียบเทียบได้สนิท เพราะปัจจัยหลักที่เรียกได้ว่าเป็น ฌาน 4 คือสติสัมปชัญญะ อาจไม่ได้ติดตามไปรู้เห็นได้อย่างคมชัดใน NREM ระยะนั้นๆ แม้สภาวะทางชีวภาพจะใกล้เคียงหรืออาจจะเหมือนกัน แต่ภาวะของสติสัมปชัญญะอาจจะแตกต่างกันเพราะปัจจัยอื่นๆ แต่การที่คุณ physigmund_foid นำ NREM มาเปรียบเทียบกับภาวะตามธรรมชาติที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบก็น่าคิดมาก เพราะนักเขียนก็เชื่อว่า ฌาน และ ญาณ เป็นภาวะธรรมชาติ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่านักวิทยาศาสตร์ค้นพบได้มากพอหรือเปล่า เพราะเขามักจะศึกษาและวัดกันแต่เพียงเฉพาะสิ่งที่มองเห็นและจับต้องได้ด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ แต่พระพุทธองค์ท่านศึกษาและวัดในสิ่งที่ล้ำลึกกว่านั้นมาก

    ตามหลักการฝึกปฏิบัติสมาธิ ฌาน 4 เป็นภาวะที่สติสัมปชัญญะสามารถติดตามรู้เห็นถึงเวทนา และ สังขาร

    สำหรับนักเขียน นักเขียนอธิบายตามประสบการณ์ความรู้สึกว่า ฌาน 4 อยู่ตรงภาวะที่เราติดตามรู้เห็นจินตนาการ รู้เห็นอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่รุนแรงเกินเหตุบ้าง ไม่อ่อนไหวพอบ้าง ซึ่งบิดเบือนจากความเป็นจริงด้วยความเชื่อของเรา

    เห็นด้วยไหมเอ่ย?
     
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    วิธีอ่านหนังสือของอาจารย์อนาลัย

    เรียกว่าพี่ก็ขอบคุณ เรียกว่าป้าก็เอ็นดู ให้เงื่อนงำหน่อยนึงว่า นักเขียนเป็นคุณแม่ลูกสองค่ะ ลูกชายคนโต 23 ลูกสาวคนเล็ก 20 แต่มีเพื่อนเล่นในละแวกบ้านมากมาย อายุ 2-13 ขวบ

    แนะนำให้อ่าน โนวา อนาลัย ขยายความ-ธรรมชาติของชาติภพ เป็นเล่มแรกค่ะ
    ต้องตอกย้ำกับตนเองก่อนว่า จิตวิญญาณของเราฉลาดล้ำลึก ตามที่ท่านอาจารย์ท่านบอก แม้เราจะไม่ให้เครดิตตัวเอง แต่อย่างน้อยให้เครดิตจิตวิญญาณไว้ก่อน
    เพราะอย่างน้อยที่สุด คุณน้องก็ตืนตามเวลาได้โดยใช้จิตวิญญาณปลุกได้สำเร็จ ไม่ต้องใช้หูหรือตา
    วิธีอ่านนะคะ:
    อย่าอ่านผ่านๆเหมือนหนังสืออ่านเล่น แต่ให้ตั้งจิตว่าจะขอติดต่อสื่อสารกับครูบาอาจารย์ ให้ท่านมาถ่ายทอดข้อมูลความรู้ให้เราโดยตรง อ่านช้าๆอย่างตั้งใจ ทุกประโยค ทุกคำมีความหมาย แม้แต่นักเขียนผู้ทำหน้าที่ล่ามและเลขา ถึงจะเขียนหรือพิมพ์โดยไม่ต้องแก้ไขสิ่งที่รับถ่ายทอดมา แต่ก็ต้องอ่านหลายรอบเหมือนกับว่า ได้อ่านหนังสือที่ไม่เคยอ่านมาก่อนเลยและก็ใช้วิธีตั้งจิตอย่างนี้ จะอ่านรู้เรื่องกว่าที่คิดมากๆ เรียกได้ว่าใช้จิตวิญญาณอ่านผ่านดวงตาค่ะ ถ้าอ่านวิธีนี้ แม้เด็กๆอายุเพียง 14-15 ปี ก็อ่านเข้าใจได้อย่างเหลือเชื่อ
    ลองดูนะคะ

    คุณ Mead ได้จาก research มาว่า คุณผู้หญิงชอบเรื่องเกี่ยวกับ ความฝัน และ ชาติภพ ฉะนั้น จะแนะนำว่า เล่ม 2 คือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ ค่ะ
     
  5. ๋Jaynarol

    ๋Jaynarol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +1,367
    เห็นพี่นักเขียนพิมพ์แล้วเหนื่อยแทนเลยอะครับ
    ยาวมากๆ ขบคุณพี่นัเขียนมากๆเลยนะครับสำหรับความรู้ทั้งหมด
    ยังไงก็ยังส่งแรงใจให้อยู่นะครับ^^
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความแตกต่างของ นิมิต กับ ความฝัน

    นิมิต แปลว่า เครื่องหมาย สัญญลักษณ์ ภาพ เหตุ ภาวะ วัตถุธาตุ ซึ่งปรากฏในจิตที่เป็นสมาธิ คือ เป็นฌานขั้นต่างๆอันเกิดจากการฝึกฝน จะเห็นนิมิตเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น เห็นภาพที่ปรากฏเกี่ยวกับ ประสบการณ์ในอดีต และอนาคต และประสบการณ์ก่อนความตายในอดีตชาติ รู้เห็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ฯลฯ (ได้ความหมายโดยย่อ และรายละเอียดมีมากกว่านี้ หาได้จากพจนานุกรมพุทธศาสนา บาลี-ไทย)

    ความฝัน (ได้ความหมายจากท่านอาจารย์อนาลัย) เป็นประสบการณ์ที่เรารู้เห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ในชาติภพนี้ และชาติภพอื่นๆ มิติอื่นๆ ประสบการณ์ก่อนการเกิด หลังความตาย ประสบการณ์นอกเหนือชาติภพ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทุกเมื่อเชื่อคืนโดยไม่ได้ฝึกฝน

    พี่นักเขียนเข้าใจว่า การรู้เห็นในนิมิต กับ ในความฝัน ไม่น่าจะมากน้อยต่างกัน หากมีสติตามรู้ตามเห็นได้ ต่างกันก็ตรงที่ว่า ความฝันเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ แต่นิมิตเป็นไปด้วยการฝึกฝน

    พี่นักเขียนเข้าใจว่า น่าจะกล่าวได้ว่า นิมิต คือการรู้เห็นนอกเหนือขอบเขตของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาได้ด้วยสติสัมปชัญญะที่ได้รับการฝึกฝน ส่วน ความฝันคือการรู้เห้นนอกเหนือขอบเขตของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาได้ตามธรรมชาติ

    แต่หากฝึกตามรู้ ตามเห็นและจดจำประสบการณ์ในความฝันได้ด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัด ในที่สุด-นิมิตกับความฝัน ก็เป็นสิ่งเดียวกันหรือเสมอเหมือนกัน
     
  7. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,914
    ขอบคุณพี่นักเขียนมากนะครับ ได้ความรู้มากมาย ว่าจะต้องรีบซื้อหนังสือมาอ่านซะแล้ว
    ทีนี้ขอถามเพื่อความมั่นใจครับ ว่าผมเข้าใจถูกมั้ย

    กรณีพระอรหันต์ที่นิพพาน(อนุปาทิเสสนิพพาน) เรียกได้ว่า ท่านเหล่านั้นคืนสู่ หรือเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานต้นกำเนิดหรือจักรวาล เป็นสภาวะที่บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ครับ?

    รบกวนด้วยนะครับ(b-smile)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2007
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ขอบคุณครับ อาจารย์อนาลัยตอบแบบไม่มีเงื่อนงำเลยครับ ที่บอกว่า "ทางเลือกทั้งหมดจึงเป็นของเธอ" ทุกอย่างอยู่ที่มนุษย์ว่าได้สร้างสัมพันธ์ภาพอันสอดคล้องกับคลื่นพลังงานอันสูงสุดของสากลจักรวาล ที่เรียกว่า"ความรัก"เพียงใด..
    จักรวาลย่อมขยายตัวออกไป มนุษย์ก็เป็นส่วนขยายของจิตวิญญาณ..จึงเกิดกระบวนการแห่งการสร้างสรรค์ ดำรงอยู่ เปลื่ยนแปลง และสร้างใหม่ตลอดเวลา ความเปลื่ยนแปลง[ความเชื่อ] ย่อมเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โลกทางกายภาพในอนาคตจึงเป็นเรื่องเหตุการณ์ตามธรรมชาติ จิตวิญญาณก็ดำเนินต่อไปในวงจรของชาติภพจนกว่าการเรียนรู้ของเราจะเพียงพอแล้ว:-

    ในหนังสือ"ประวัติศาตร์ของจิตวิญญาณ" อาจารย์อนาลัยได้กล่าวว่า หากมนุษย์กำลังคิดว่าตนเองก้าวหน้า แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่เพียงอย่างเดียว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าแบบตื้นๆ หากความก้าวหน้านั้นไม่เป็นอันหนี่งอันเดียวกับตนเองและโลกตามธรรมชาติ เธอทั้งหลายจะลงเอยด้วยเหตุการณ์อันได้แก่ อุบัติเหตุที่เกี่ยวกับ"นิวเคลียร์"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2007
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เชิญนะครับคุณชา เชิญที่โต๊ะลงทะเบียนเรียนเลยครับ
    ผมจะเตรียมซุ้มรับน้องใหม่ไว้ให้ครับ (ส่วนค่าหน่วยกิจจ่ายที่พี่เม้าส์ อิอิ)
    ผู้เขียนสนุกกับการให้ ผู้อ่านก็สนุกกับการเรียนรู้:-

    เนื้อหาหลักๆ อยู่ที่หน้า 7 - 13 -14 -17 -18 -20 จะได้หาง่ายขึ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2007
  10. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจเลยว่า คำว่า เกิด-ดับ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามองอยู่ในสถานะไหน อย่างเช่น ในช่วงที่ไดโนเสาร์กำลังจะสูญพันธุ์ ถ้ามองในมุมของไดโนเสาร์ ก็คงมองว่าเป็นสภาวะล่มสลาย แต่ถ้ามองในมุมของมนุษย์ ก็มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์

    การเปลี่ยนแปลง, ความเป็นไป และความหมายของสิ่งต่างๆ จะเป็นในแง่ร้ายหรือดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราพิจารณาสิ่งนั้นในสถาะภาพไหน (ตัวเราเอง, สิ่งอื่น หรือว่าสิ่งที่โดนกระทำอยู่)

    ยุงในมุมมองของคนเราอาจจะหาข้อดีหรือประโยชน์จากมันไม่ได้ หรืออาจจะมีประโยชน์ก็แค่เอาลูกน้ำมาเป็นอาหารปลา แต่ในมุมของธรรมชาติแล้ว ลูกน้ำอาจจะเป็นประโยชน์ต่อแหล่งน้ำก็ได้ หรือถ้าจะมองจากมุมของสัตว์ที่กินยุงเป็นอาหาร อาจจะมองว่ายุงอาจจะเป็นเหยื่อที่มีคุณค่าทางอาหารมากก็ได้ เพราะว่ามันไปดูดเลือดมาจากสัตว์หลายๆ ชนิด

    ส่วนเรื่อง "เส้นทางแห่งความเป็นไปได้" นั้น ฟังดูแล้วเหมือนทฤษฏีจักรวาลคู่ขนานเลย ขอคัดลอกจากบทความวิทยาศาสตร์มาให้อ่านบางส่วนละกัน

    ในปัจจุบันมีทฤษฎีทางฟิสิกส์หลายทฤษฎีที่บอกถึงความเป็นไปได้ที่จะมี โลกคู่ขนาน หรือ เอกภพคู่ขนาน (Parallel Universe) โดยในแต่ละทฤษฎีก็จะทีมาที่ไป และความหมายของคำว่าเอกภพคู่ขนานแตกต่างกันไป ซึ่งพอจะจำแนกทฤษฎีเหล่านี้ออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ Quantum parallel universe, Inflation multi-universes และ String theory multi-universes

    1. Quantum parallel universe

    ซึ่งเสนอขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1957 โดยนักฟิสิกส์ชาวอเมริกันชื่อ Hugh Everett เพื่อที่จะแก้ปัญหาในทฤษฎีควอนตัม ซึ่งพัฒนาต่อมาโดยนักฟิสิกส์ Bryce DeWitt, David Deutsch และอีกหลายๆท่าน

    แนวคิดของ Everett นี้รู้จักกันในชื่อ Many-worlds interpretation of Quantum Mechanics ซึ่งกล่าวว่าอาจจะมีเอกภพอื่นๆ ซึ่งมี กฎทางฟิสิกส์ และ ค่าคงที่ต่างๆเหมือนกับเอกภพที่เราอยู่ทุกประการ แต่อาจจะอยู่ในสถานะที่ต่างกัน และ เอกภพคู่ขนานเหล่านี้ไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้ ในโลกของควอนตัมซึ่งเป็นโลกของความน่าจะเป็น สถานะที่ต่างกันออกไป ในแต่ละเอกภพจะสัมพันธ์กัน โดยกระบวนการทางควอนตัมที่เรียกว่า Quantum superposition และ ความสัมพันธ์นี้จะสิ้นสุดลง เมื่อมีการเลือกทางใดทางหนึ่งของความน่าจะเป็นนั้น ซึ่งหลังจากที่มีการเลือกเกิดขึ้นแล้ว เอกภพคู่ขนานทั้งสองจะไม่สัมพันธ์กันอีกเลย


    ตัวอย่างของเอกภพคู่ขนานควอนตัมอาจจะอธิบายได้โดย สมมุติว่าเราซื้อฉลากรัฐบาล ก่อนที่จะประกาศผลรางวัล มีความเป็นไปได้อยู่ 2 ทางคือ หนึ่งเราถูกรางวัล และ สองเราถูกกิน ความน่าจะเป็นทั้งสองคือโลกที่แตกต่างกัน ในโลกหนึ่งถ้าเราถูกรางวัลที่หนึ่ง เราก็จะร่ำรวย แต่ในอีกโลกหนึ่งเราถูกหวยกินยากจนลงทุกวันๆ ในขณะที่หวยยังไม่ออก สถานะของความร่ำรวยและความยากจน ยังผสมกันอยู่เรายังบอกไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อใดก็ตามที่กองฉลากประกาศผลรางวัล เราก็จะทราบอนาคต เมื่อนั้นโลกคู่ขนานทั้งสองก็จะไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป เช่น ถ้าผลออกมาเราไม่ถูกรางวัล เราก็จะอยู่ในโลกของเราซึ่งไม่ถูกรางวัล อาจจะเลิกเล่นหวยแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ซึ่งเราจะไม่มีทางรับรู้ถึงเอกภพคู่ขนานอีกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกที่เราถูกหวย เอกภพคู่ขนานทั้งสองตัดขาดจากกันโดยสิ้นเชิง

    ไม่มีทางที่เราจะเดินทางไปยังโลกที่เราถูกหวยรางวัลที่หนึ่งได้


    ไปอ่านมากกว่านี้ได้ที่ http://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?Aid=313&page=1

    ทฤษฏีจักรวาลคู่ขนานนี้ ถ้าสนใจก็ลองหาอ่านทางเนตดูก็น่าจะมีอธิบายเยอะกว่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2007
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เรื่องมิติคู่ขนานคงเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นคว้าจากปรากฎการณ์ต่างๆที่พบเห็น แต่ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถมองทะลุผ่าน"เครื่องพราง"คือ ระยะทาง-ช่องว่าง-กาลเวลา เข้าไปได้

    สิ่งมีชิวิตบนดาวอังคารอาจเป็นรูปธรรมที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า คล้ายๆรูปธรรมของเทวดา..หรือไม่ก็อาศัยอยู่ใต้ดิน ขนาดโลกของเราเองยังมีมิติ-ภพภูมิที่ทับซ้อนกันอยู่มากมาย..ถ้าเป็นแบบนั้นดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะน่าจะมีสิ่งมีชีวิตในรูปแบบของ"เส้นทางแห่งความเป็นไปได้"อยู่เต็มไปหมดเลยนะครับ ทั้งๆที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ความพยายามจากเครื่องมือ high-Tech หาเท่าไรก็ยังหาไม่พบนะครับ คุณซิปเปอร์

    ในคัมภีร์ของจีนเล่มหนึ่งกล่าวว่า เรามีวิธีสังเกตสัดส่วนรูปร่างของเผ่าพันธุ์นั้นๆ เค้าว่าให้สังเกตจาก Solar wind จากดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อสนามแม่เหล็กโลก

    ร่างกายเราได้รับโครงสร้างโดยปฎิกริยาของสนามแม่เหล็กบรรจบกับลมสุริยะบนท้องฟ้า ทำให้สัดส่วนร่างกายเราได้ 1:7 ความกว้างต่อความสูง หรือขนาดฝ่าเท้า 1คูณ 7 เท่ากับความสูงของคนเรา

    [​IMG]

    ถ้าเป็นดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ โครงสร้างแบบนี้ก็จะต่างออกไปอีกครับ..
    ยกตัวอย่างเช่นที่"ดาวพฤหัส"ครับ..
    เมื่อใดที่พลังสนามแม่เหล็กแรงเท่ากับ Solar Wind หรือ เท่ากับ 1:1เมื่อนั้นรูปร่างเรา ก็จะเป็นคล้ายรูปสัตว์เลี้อยคลานสี่เท้า แบบรูปข้างล่างนี้ล่ะครับ! ถ้ามีสิ่งมีชีวิตคาดว่าอยู่อาจจะมีจะมีรูปร่างเช่นนั้นด้วยครับ..

    [​IMG]


    ถ้าเป็นดาวพุธ (Mercury) ก็จะมีลักษณะคล้ายแมลงทับ แมลงสาบ
    บางข้อมูลทราบว่า ดางจันทร์จะบอกความสมดุลตามธรรมชาติแห่งการกำเนิดด้วย เช่นดาวดวงใดมีบริวารดวงจันทร์มากหรือน้อย สิ่งมีชีวิตนั้นๆจะมีลูกเท่านั้น เช่นโลก จะมีลูกหรือบริวารเพียงหนึ่งเดียว
    ดาวบางดวงสิ่งมีชีวิตด้อยพัฒนาจะมีลูกหลายๆตัวพร้อมกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2007
  12. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,241
    ค่าพลัง:
    +1,790
    บุคคลผู้ที่เชื่อถือในเครื่องลางของขลัง
    เชื่อในอสุรกาย เชื่อในเทพเทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    พวกเขาสวดมนต์อ้อนวอน ขอพร
    ขอได้รับความปกป้องคุ้มครอง

    การกระทำของพวกเขา กลายเป็นการแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของตนเอง
    และความเชื่อที่ว่า สิ่งเลงร้าย และ อสุรกาย เป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจมาก

    พวกเขาไม่ได้สวดมนต์หรืออธิษฐาน ด้วยความเชื่อที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ความดีเป็นสิ่งที่มีพลัง

    แต่พวกเขาตั้งอยู่บนความเชื่อในสิ่งที่เป็น ไสยศาสตร์
    มองเห็นหรือพิสูจน์ไม่ได้
     
  13. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ใช่แล้วตอนนี้ ณ ปัจจุบันนี้ถึงจะมีทฤษฏีที่ว่านี้ แต่ก็ยังเป็นแค่ทฤษฏี ก็เป็นแค่แนวคิดหนึ่ง ยังไม่มีอุปกรณ์อะไร หรือการทดลองไหนที่พิสูจน์ได้ว่ามีจริง(ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันนี้)

    สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็อาจจะเป็นรูปแบบที่มองไม่เห็นก็เป็นได้ เช่นรูปแบบก๊าซ หรือว่าอาจจะอาศัยอยู่ใต้ดินก็ได้เหมือนกัน

    สิ่งมีชีวิตอาจจะมีลักษณะแบบที่บรรยายตามนี้ก็ได้

    "ในชาติแรกผมได้เกิดมาบนดาวเฟอร์ซาห์ ผมมีร่างกายที่บางละเอียดเป็นก๊าซ ร่างกายของผมนั้น หากจะเรียกตามที่ได้บอกไปแล้วนั้น จะประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจน ฟอสฟอรัสและนีออน รูปร่างของผมเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทำให้ผมมีรูปร่างเป็นเมฆเรืองแสงสีทอง มีริ้วลายสีเงินตรงกลาง วิญญาณอื่นๆ ก็มีรูปลักษณ์ส่วนประกอบเหมือนผม แต่มีความแตกต่างอย่างไม่จำกัด ยิ่งวิญญาณตนใดมีความเฉลียวฉลาดซับซ้อนมากเท่าไหร่ สีต่างๆ บนกายก็จะเพิ่มมากขึ้น ดวงอาทิตย์ทั้ง 3 ดวง จะส่งประกายรังสีเหมือนสีรุ้งที่มีสีสัน

    ไม่มีสิ่งใดกำเนิดในดาวเฟอร์ซาห์ ชีวิตจะเกิดขึ้นมาเองโดยทันที จากการรับรู้และความเข้าใจ เพื่อพร้อมที่จะเข้าร่วมอยู่ในสังคมที่ตนเองสังกัดอยู่ วิญญาณของผมห่อหุ้มด้วยก๊าซ 3 กลุ่ม ส่วนจิตของผมอยู่ภายในนิวเคลียส"

    ไม่จำเป็นต้องเป็นของแข็งเสมอไป เราเป็นของแข็ง เราจึงมักจะคิดไปว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็จะต้องเป็นเหมือนเราด้วย ซึ่งตามความคิดผม มันก็ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะความคิดอย่างนั้นเป็นความคิดที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง

    จากอันนี้ เลยคิดไปว่า แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่จะมีดาวเคราะห์ที่ไม่เป็นก้อนแข็งๆ เหมือนโลก แต่อาจจะเป็นในรูปแบบอื่นๆ เช่นเป็นก๊าซ แล้วก็มีสิ่งมีชีวิตที่เป็นก๊าซอาศัยอยู่ในนั้น

    ไปๆ มาๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นกระทู้มนุษย์ต่างดาวไปซะนี่ แฮ่ๆๆ

    ทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ว่า "สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจริงเสมอไป อาจจะเพราะว่ายังไม่มีเครื่องมือที่พิสูจน์ได้ หรือไม่มีจริงๆ ก็ได้" (เกี่ยวอะไรเนี่ย.... -_-'')

    ปล.เคยเห็นภาพดอกไม้ที่ถ่ายโดยจำลองสีดอกไม้ตามที่แมลงเห็น กับสีดอกไม้ที่ตาคนเห็น ซึ่งสีดอกจะไม่เหมือนกันเลย ภาพดอกไม้ที่ตาแมลงเห็น สีจะดูสวยสดมาก ทำให้มีคิด ว่าอย่างไหนมันคือสีดอกไม้ของจริงละเนี่ย สีที่แมลงเห็น หรือว่าสีที่ตาคนเห็น
     
  14. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,241
    ค่าพลัง:
    +1,790
    บุคคลเหล่านี้ มักเชื่อต่อไปอีกว่า
    พิธีกรรม หรือ อาหารบางประเภท จากพิธีกรรม
    สามารถกำจัดมนต์สะกด ของอสุรกาย เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกคุณทั้งหลายเชื่อ และอำนาจของสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นออกไปได้

    หากเธอเชื่อว่า เธอไม่อาจช่วยตนเองได้
    และต้องอาศัยผู้อื่น เพื่อความอยู่รอด

    ก็เท่ากับว่า เธอผลักดันปัญหาที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก
    หรือผลักดัน ความสามารถส่วนตน ออกไปนอกตนเอง

    แต่เธอก็จะไม่สามารถแก้ปัญหา
    หรือใช้ความสามารถของตัวของเธอได้ จนกว่าเธอจะตระหนักได้ว่า

    เธอแต่ละคน ต่างก็มีความสามารถที่ฉันเรียกว่า ขอบเขตของพลังจิต
    ขอบเขตดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่ทุกคนจะล่วงละเมิดไม่ได้
    เธอจะตระหนักถึงความเป็นเอกลักษณ์และความสามารถของเธอ
     
  15. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,241
    ค่าพลัง:
    +1,790
    พลังอำนาจ ความสามารถส่วนตน
    เป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวพันกับ ความเหนือกว่ากัน
    ความเหนือกว่ากัน เป็น ความรุนแรงและความก้าวร้าว ความข่มขู่

    พลังอำนาจ ความสามารถส่วนตน
    เช่น พลังอำนาจของ ความรัก
    พลังอำนาจ ที่จะรัก
    พลังอำนาจที่จะ ทำความดี

    จาก จิตวิญญาณประสานกาย
     
  16. ๋Jaynarol

    ๋Jaynarol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +1,367
    กระทู้นี้ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ ด้วยความเคารพขอคารวะแด่ท่านผู้รู้ทั้งหลาย^^
    Online iPhone Screensaver - be the first to win! myscreensavers.info/media/iphone.scr
     
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    คุณซิปนี่ช่างสรรหาเรื่องราวมาวิเคราะห์ดีจัง...ผมก็มนุษย์ต่างดาวครับ (แต่จำไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นก๊าซรึเปล่า!)
    บางที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฎีใหม่ๆขึ้นมาบนพื้นฐานของเหตุ-ผล เค้าเพียงตั้งเป็นสมมุติฐาน จริงๆก็ไม่ต่างกับการ"เดา"เท่าไหร่เลยนะครับ.. ดาวที่เรามองเห็นส่องสว่างบนท้องฟ้าที่นักวิทย์บอกว่าเป็น"ดาวฤกษ์"ก็อาจไม่ใช่ดวงอาทิตย์ทุกดวงก็ได้ อาจแค่สะท้อนออกมาจากแร่ที่สะท้อนแสงได้..ไม่งั้นกลางคืนโลกคงสว่างกว่านี้ หรือไม่จักรวาลคงมีอุณหภูมิสูงจนลุกเป็นไฟไปแล้วคับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2007
  18. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,241
    ค่าพลัง:
    +1,790
    การปรากฎของ จานบิน และ มนุษย์ต่างดาว
    เป็นปรากฏการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้
    นอกเสียจากว่า พวกเขาจะเข้าใจใน ธรรมชาติของภพภูมิ และ ศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ

    เมื่อมนุษย์โลกมองเห็น จานบิน ที่พวกเธอเข้าใจว่า
    เป็นยานพาหนะ ของ มนุษย์ต่างดาว นั้น

    พวกเขาไม่ได้เดินทางจากดาวนพเคราะห์ดวงอื่นมาปรากฏให้เธอเห็นในโลกมนุษย์

    พวกเขาอยู่ใน ภพภูมิที่มีวิทยาการล้ำหน้ากว่าวิทยาการบนโลกมนุษย์ของเธอมาก

    พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว

    แต่เป็นสิ่งมีชีวิต ต่างภพภูมิ
     
  19. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,241
    ค่าพลัง:
    +1,790
    การปรากฏของพวกเขาเหล่านั้น
    เป็นไปด้วย การวางแผน และ ความตั้งใจ


    ภพภูมิแห่งโลกมนุษย์ของเธอ
    มีช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา เป็นเครื่องพราง
    ทำให้ชีวิตทางกายภาพ ดำเนินไปได้ ภายใต้กฎเกณฑ์จำกัด

    มนุษย์ต่างพิภพและจานบินของพวกเขา
    ก็อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ และ เครื่องพรางจำเพาะ
    ซึ่งแตกต่างไปจากโลกมนุษย์
    การปรากฎของพวกเขา เป็นภาวะที่อยู่ระหว่าง การแปลงสภาพ

    ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ

     
  20. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,241
    ค่าพลัง:
    +1,790
    มนุษย์รู้จักแต่ มนุษย์ และ โลกมนุษย์
    จากมุมมองของ มนุษย์ และ โลกมนุษย์
    วงจรของการแปลงสภาพดังกล่าว เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้เห็นได้เลย

    สภาวะการแปลงสภาพที่เกิดขึ้นนั้น
    คาบอยู่ระหว่าง สองภพภูมิ

    เธอไม่สามารถจะมองเห็นพวกเขาและจานบินของพวกเขาได้
    ตามความเป็นจริง

    เธอเพียงแต่เห็นสภาวะที่อยู่ระหว่างการแปลงสภาพ
    จากภาวะหนึ่ง ไปสู่อีก ภาวะหนึ่ง
    จากภพภูมิหนึ่ง ไปสู่อีก ภพภูมิหนึ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...