พระสงฆ์กับเงินตราและกรณีปัญหาเกี่ยวกับพระอ.เกษม อาจิณณสีโล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 16 กรกฎาคม 2012.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    [​IMG]

    พระเกษม อาจิณฺณสีโล พระผู้โด่งดังเพราะข้อหาอยากดัง ด้วยการทำอาการต่างๆ ที่ไม่เรียบร้อย
    ดังปรากฏเป็นข่าวในสื่อกระแสหลักและ social media ชาวพุทธส่วนใหญ่รับไม่ได้กับการแสดงออก
    ดังกล่าว โดยไม่ทันได้ฟังคำพูดของท่าน ก็ก่นด่าเสียไม่มีเหลือชิ้นดี ผู้เขียนได้สนใจติดตามข่าวก็
    พบว่า มีสานุศิษย์ของท่านกลุ่มหนึ่งยังเชื่อมั่นศรัทธาในตัวท่าน แม้ท่านจะถูกศาลพิพากษาจำคุกและ
    ปรับเงินแล้วก็ตาม สิ่งที่ลูกศิษย์กลุ่มนี้ยังศรัทธาแน่นแฟ้นก็คือ การแสดงออกทางกายกับสิ่งที่ต้อง
    การสื่อนั้นไม่ได้สัมพันธ์กันนัก กล่าวคือ การแสดงอาการดังกล่าวนั้นท่านให้เหตุผลว่า เพื่อให้สังคม
    สนใจและรู้ว่า ท่านไม่ได้อยากดัง พระที่อยากดังต้องไม่กล้าทำเช่นนี้ แต่แสร้งทำเป็นนั่งเงียบขรึม
    และพูดจาให้เคลิบเคลิ้ม หรือ เสกเป่าเวทมนต์คาถาต่างหาก ประเด็นต่อมาที่ท่านต้องการให้สื่อและ
    สังคมสนใจก็คือ ท่านอยากให้มหาเถรสมาคม แก้ปัญหาพระทำผิดวินัย หลักๆ ก็คือ ภิกษุรรับเงินและ
    ทองเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ทั้งรับไว้เพื่อตนหรือรับเพื่อผู้อื่น ก็ตาม รวมถึงให้คนอื่นเก็บไว้ให้ตน ก็ผิด
    พระวินัยเช่นกัน (แต่อย่างไรก็ตาม แบบอย่างที่ดีก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ พระสงฆ์ก็ยังควรรักษาพระวินัย
    แม้เล็กน้อยเอาไว้ให้อนุชนได้ประพฤติตาม การอ้างว่าใครอยากสำรวมก็ให้สำรวมเอาเอง ไม่ใช่ให้
    ท่านสำรวมให้ ก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่ก็ผิดอีกส่วนหนึ่งก็คือ การประพฤติตนไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย ก็
    เป็นอาบัติ การยังชุมชนที่ไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใสก็ทำไม่ได้ และการทำผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
    ให้ศรัทธาตกไปก็ไม่ถูกต้องนัก ) อย่างไรก็ตามการไม่สำรวมของท่านก็เป้นคนละประเด็นกับสิ่งที่
    ท่านนำเสนอกล่าวคือ
    พระเกษมกล่าวว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาเพราะ
    ๑. พระสงฆ์รับเงินกันจนเป็นปกติ
    ๒. ชาวบ้านก็เคยชินกับการถวายเงินพระ
    ๓.พระ สังฆาธิการตั้งแต่เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะหน รองสมเด็จ สมเด็จ เรื่อยไปจนถึงสมเด็จพระสังฆราช รวมถึงพระพิธีธรรมต่างๆ ล้วนมีนิตยภัต หรือ เงินเดือนพระ ซึ่งเจ้าตัวคือพระสงฆ์ต้องเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับการโอนเงินจากสำนักงานพระ พุทธศาสนาแห่งชาติ



    [​IMG]
    [​IMG]
    ๔. หลายกรณีพระสงฆ์เปิดบัญชีธนาคารเพื่อสะสมเงินโดยใช้ชื่อตนเอง และเมื่อวาสิกขาไปก็พบว่า บางคนร่ำรวยมาก จากเงินที่เก็บสะสมได้ในขณะเป็นพระ
    ๕. พระสงฆ์ที่เรียนหนังสือ ต้องเสียค่าเทอมกันรูปละ หลายหมื่นบาท หรือ หลักแสนในระดับป.โท ป.
    เอก ก็จำเป็นต้องหาเงินมาจ่้ายค่าเทอม
    ปัญหาดังกล่าว ยังส่งผลต่อเนื่องไปถึง
    ๑.ปัญหา อาชญากรรม พระสงฆ์หลายรูปถูกฆ่าตายเพราะการชิงทรัพย์ และถูกขโมยเงินไป (จนเป็นข่าว ชาวบ้านอาจคิดว่า โจรใจบาปปล้นแม้กระทั่งพระ ผู้เขียนคิดเพิ่มเติืมไปอีกว่า พระทำไมมีเงินให้โจรปล้นปล้น)
    ๒. พระสงฆ์หลายรูป ถูกลักขโมยโทรศัพท์ขณะออกไปบิณฑบาตทั้งวัด
    ๓. ชาวพุทธยึดติดค่านิยมการทำผ้าป่า กฐิน เพื่อหาเงินไปให้พระมากๆ
    ๔.พระสงฆ์ถูกวัตถุนิยมครอบงำได้ง่าย และสะสมเงินทองมาก เกินไป
    หากเราจะหันกลับไปปฏิบัติตามพระวินัยให้เคร่งครัด เหมือนเดิม
    ปัญหาที่ตามมาบ้างก็คือ พระสงฆ์ที่จำเป็นต้องเดินทาง แต่รถโดยสารไม่พอใจที่จะรับเท่าไหร่ หาก
    ไม่มีเงินจ่าย และค่าน้ำค่าไฟของวัด หากไม่มีผู้เป็นจ้าภาพ ก็อาจจะลำบาก ซึ่งปัญหานี้ก็น่าแก้ไขได้
    ไม่ยากนัก
    แต่ที่ยาก ก็คือ พระสงฆ์ทั้งประเทศจะคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้ หรือ จับพระเกษมสึกซะ แล้วเรา
    ก็รับเงินกันต่อไปเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    [​IMG]


    คัดลอกมาจาก พระสงฆ์กับเงินตราและกรณีปัญหาเกี่ยวกับพระอ.เกษม อาจิณณสีโล
     
  2. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ไม่้ว่าจะมีพระเกษมอยู่บนโลกนี้หรือไม่ แต่พระวินัยก็คือพระวินัย นั่นเป็นสิ่งที่ผมเคารพสุดชีวิตสุดดวงใจ เป็นพระแล้วให้ตัวตายซะยังดีว่าศีลขาด

    ด้วยความเคารพและจงรักภักดีต่อพระบรมศาสดา
     
  3. thammakarn

    thammakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2011
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +376
    ผมว่าประเด็นพระ "รับเงิน" "จับเงิน" ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
    ที่สำคัญคือ พระรับเงินแล้ว จับเงินแล้ว ท่านเอาเงินไปใช้อย่างไรมากกว่า
    ถ้าท่านนำไปใช้เพื่องานการศาสนา ผมก็อนุโมทนาสาธุ
    แต่ถ้าท่านเหล่านั้นนำเงินไปใช้ในทางมิชอบ เช่น ซื้อหวย, เสพยาบ้า, ซื้อประกันชีวิต(เผื่อว่าสึกไปแล้วยังมีเงินเก็บ) ซื้อชุดเครื่องเสียงคารราโอเกะมาร้องเพลง อย่างนี้ผิดแน่ๆ และมีอยู่ทั่วไปด้วย

    ที่สำคัญที่สุด คงขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้รับว่าตรงกับเจตนาของผู้ให้หรือไม่
    ญาติโยมเค้าปรารถนาจะได้บุญหรืออุทิศบุญแก่ผู้ล่วงลับ ถ้าพระท่านรับเงินเพื่อมาทำเรื่องเสื่อมเสียมันก็ชัดเจนอยู่ในตัวเอง

    เรื่องนี้ไม่ต่างจากเอาน้ำเน่ามาเทใส่น้ำดี พระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีอยู่มากมาย ท่านรับเงินมาท่านก็ได้นำไปใช้ถูกตามครรลองคลองธรรม ก็น่าจะนำมาพูดเพื่อเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ว่าอะไรๆก็เหมารวมไปหมดว่าไม่ดี

    พวกเราเป็นชาวพุทธ ก็ต้องขบคิดกันให้ดี ดูเจตนาของผู้พูดในเรื่องนี้ด้วยว่าเค้าต้องการอะไร
     
  4. คนยอง

    คนยอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +242
    มีใครบนโลกใบนี้ ในตอนนี้ ถูกต้อง 100%บ้าง?
    มีใครบนโลกใบนี้ ในตอนนี้ ผิดพลาด 100%บ้าง?
    เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมไหม? เชื่อเรื่องกฏแห่งการกระทำไหม?
    ถ้าเชื่อ...เราจะแสดงตัวเป็นกฏแห่งกรรมเสียเอง เพื่อจัดการกับ คน*ทุศีลเหล่านั้นเสียเองหรือ?
    หรือจะปล่อยให้กฏแห่งกรรมจริง ๆ จัดการกับ คน**ทุศีลเหล่านั้นเอง?
    คำตอบอยู่ในใจท่าน และ แต่ละคำตอบไม่มีทางเหมือนกัน

    เช่นกัน โลกนี้จะมีพระพุทธองค์อุบัติเกิดขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม ศีล 5 ก็ยังคงเป็นของโลกนี้อยู่ แต่ศีล 227 จะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกนี้มีพระพุทธองค์อุบัติบังเกิดขึ้นมาแล้วเท่านั้น..ชั่วกับดี มืดกับสว่าง ขาวกับดำ.....
    ก็มีอยู่บนโลกนี้ตามปกติของมัน.......อ้าว ถ้ารู้แล้ว แล้วจะทำยังไงต่อดีละ?
    ก็ ถ้ารู้ว่ามันมีเป็นปกติของมันอยู่แล้ว ก็ย้อนกลับไปอ่านสีแดงข้างบนอีกครั้งหนึ่ง
    ความจริง ที่เราอยากเห็นคนกระทำความผิดได้รับผลกรรมเร็ว ๆ เพราะอะไร? เพื่ออะไร? คำตอบก็อยู่ในใจท่าน และจะไม่มีทางตอบเหมือนกันโดยเด็ดขาด แน่นอน...
    ( *,** ใช้คำว่า "คน" นะครับไม่ใช่คำว่า "พระ")

    วางใจเป็นกลาง (หนักบ้างก็วางลง)
    ล้างใจเราให้สะอาด (พลาดบ้างก็ช่างมัน)
    อย่าอุบาทว์ไปล้างใจให้คนอื่น (จะยุ่งก็ตรงนี้)
    หยิบยื่นเมตตาให้กัน (อย่าขยันจ้องจับผิด)
    ...........แวะมาคุยครับ..........................
     
  5. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ว่าด้วยพระวินัย และพระพุทธวัจจนะ กล่าวเรื่องเงิน ทอง หรือรูปิยะ นั้นมีความหมายกำหนดไว้ว่า เงินและทอง อันสมัยก่อนเป็นวัตถุมีค่าสามรถนำเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุอื่นๆได้โดยง่าย พระองค์เห็นว่า ทั้งเงินและทองจึงเป็นวัตถุที่อันตรายสำหรับพระสงฆ์เนื่องด้วยทั้งเงินและทองสามารถนำมาเก็บก็ดี หรือนำไปใช้สอยแลกเปลี่ยนก็ดี ย่อมก่อให้เกิดกิเลสและนำไปสู่การทำบาบ ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ และไม่ควรแก่สมณะ อนึ่งในกาลก่อนนั้น สมณะเองควรรับเฉพาะปัจจัยที่จำเป็นต่อสมณะเท่านั้น อันเป็นปัจจัย ที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติธรรมเท่านั้น

    ดังนั้นหากพิจาณาโดยนัยความหมายแล้ว เงินและทองก็เป็นวัตถุอย่างหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือการใช้เงินในทางที่ผิด ก่อให้เกิดกิเลสและนำไปใช้ในทางที่ผิดก่อให้เกิดการทำบาบทำกรรม อันนี้ผิดแน่นอน ดังนั้นจึงอยู่ที่เจตนาของพระสงฆ์ที่จะจับเงิน มีเงินหรือครอบครองเพื่ออะไร และนำไปใช้ตามนั้นจึงหรือไม่
    อนึ่งผมคิดว่า ไม่ว่าพระสงฆ์หรือเราเองหรือท่านทั้งหลาย การใช้จ่ายเงินทองของเราก็เช่นกัน เราใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ดีแล้วหรือยัง หากเรามีเงินทอง แต่เราใช้ไม่เป็นใช้สำหรับอบายมุขหรือล่อลวงผู้อื่น ใช้เพื่อเสพกาม ก็เป็นบาบเวรแก่เราไม่ต่างจากพระสงฆ์เช่นกันครับ
     
  6. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    มาอีก ก็ตอบเหมือนเดิม "ถ้าภิกษุ ยินดีในรูปิยะนั้น ที่รับเองก็ดี ให้ผู้อื่นรับก็ดี ต้องด้วยอาบัตินิสสัคคีปาจิตตีย์" เอาเนื้อความในพระวินัยมาให้ครบครับ อย่าเอาแต่วัตรที่ตัวเองทำแล้ว ยกว่าดี มาข่มคนอื่น ผมยังเชื่อในพระวินัยที่ สมเด็จฯ ท่านประกาศเอาไว้ ตั้งแต่ 2500 ปีแล้ว อาจารย์ผม เอาขันรับเงินใบใหญ่วางข้างหน้า ให้ญาติโยม ใส่เงินทำบุญ ท่านเอาไปใช้ในกิจการพระศาสนา สร้างถาวรวัตถุ ทำประโยนช์ให้ประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ท่านก็ไปนิพพานแล้วจะขนลูกศิษย์ตามไปเป็นแสน ผมเชื่อสมเด็จฯท่าน ผมเชื่ออาจารย์ผม ไม่ต้องเอาคำพูดสวยหรู เอาดีใส่ตัวว่า "จับพระ...สึกซะ แล้วพระรับเงินเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น" ถ้าเราไปช่วยพระท่านสร้างวัดด้วยตัวเองแบบสมัยโบราณ โดยพระท่านไม่ต้องจ้างช่างไปทำให้ ใส่บาตรกันทุกวัน ทำบุญกันครบทุกประเภท ทั้งยา และยานพาหนะ และทำทั่วถึงทั้งประเทศไทย ทั่วทุกที่ๆ มีพุทธศาสนา ไปถึง ก็ไม่ต้องทำบุญด้วยเงินครับ ถ้าอยากไม่ให้ทำบุญกันด้วยเงิน ก็ไปแนะนำให้ชาวบ้านทำแบบนี้ทั่วถึงกัน จะโมทนาด้วย
     
  7. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739
    แล้ว เกษม เอาตังจากไหน มาทำวัด อะ แล้ว เผากระพุทธรูป ด่า การนั่งสมาธิทำให้บ้า

    ถ้าจะยกย่องใคร ดู พระอริยะ ที่มันดีๆ หน่อยนะอุรุเวลา

    ตอนที่เขาจะจับสึก ไม่รู้ว่าวิ่งหนี หายไปไหน ไหนบอกไม่กลัว ไง

    ...............เราไม่เชื่อนายหรอก เกษม......เราสวดของเราทุกวัน เพราะ ทำให้จิตเราสงบ นึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=zE271xbqx0E&feature=related"]http://www.youtube.com/watch?v=zE271xbqx0E&feature=related[/ame]



    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=LH-CRBsTxvM&feature=relmfu"]http://www.youtube.com/watch?v=LH-CRBsTxvM&feature=relmfu[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2012
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    บทสวดมนต์พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ถ้าจะสวดก็สวดบทที่พระพุทธเจ้าสอน บทสวดมนต์ที่สวดกันลองไปเปิดในพระไตรปิฏกดูว่ามีหรือไม่ แล้วที่สวดกันมาสวดตามใคร สวดมนต์ของชาวบ้านแบบปุถุชน ย่อมรู้ย่อมเห็นแต่ปุถุชน ไหนเลยจะเห็นพระอริยะ
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๑/๓๐๔
    [๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม
    ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-
    ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
    เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
    เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
    เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
    เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
    ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
    อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
    เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
    เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
    เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
    เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
    เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
    เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
    เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
    เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
    เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
    เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.

    ----
    ----
    พระพุทธเจ้าทรงสวดปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ใดเข้าใจปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต บทสวดมนต์ที่ท่านสวดท่านสวดตามใครครับ
     
  10. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนให้พระเดินบิณฑบาตรรอบโต๊ะ
    ไม่ได้สอนให้แม่ชีใช้บาตรแบบพระ
    ไม่ได้สอนให้พระยกตีน พูดหยาบคาย ถ่ายคลิป ออกยูทูป
    ไปเปิดในพระพระไตรปิฎกดูว่าท่านสอนหรือไม่ มีหรือไม่

    เอามาพูดมั่งสิ เดินตัวเอียงเชียว

    อย่ามาพูดว่าอาบัติเล็กน้อยนะครับมันไม่ใช่ประเด็น
    ตอนนี้เราพูดถึงการทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนหรือไม่ ตามที่คุณพูดมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2012
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002

    เมื่อมีทิฐิเสียแล้ว จิตพาแต่คิดเรื่องอกุศล พระไตรปิฏกมี พระธรรมวินัยมี ไปศึกษาบ้างครับ เมื่อไม่ศึกษาก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็คิดเอาเอง ในพุทธกาลมีภิกษุรูปหนึ่งมีข้อวัตรที่ไม่เหมาะสม พระพุทธเจ้าทรงบอกแก่ภิกษุรูปอื่นๆ ที่มาโจษภิกษุรูปนั้นว่า ว่าอย่าได้ถือโทษภิกษุรูปนั้นเลย เมื่อชาติก่อนภิกษุรูปนั้นเคยเกิดเป็นสัตว์... นิสัยนี้จึงสืบต่อมาถึงในชาตินี้ ไปเปิดพระไตรปิฏกอ่านเอานะครับ

    คำถามพวกที่เห็นแก่เงิน ๑๐ ล้าน เงิน ๑๐ ล้านไม่ได้เอาค่าโทรศัพท์ก็ยังเอา ดูแต่หนัง ดูแต่ละคร ถ..
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    นายหนูกลับใจ

    นายหนูกลับใจ จากหนังสือ บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร
    หลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง
    อำพล เจน บรรณาธิการ
    [​IMG]
    ผมไม่เคยรู้จักหรือมีความสัมพันธ์กับนายหนูเป็นการส่วนตัว แต่ก็รู้เรื่องของนายหนูได้ดีเท่า ๆ กับคนอื่น เนื่องจากว่านายหนูดูเหมือนจะเป็นผู้ เดียวเท่านั้นที่เป็นปฏิปักษ์กับหลวงพ่อชาอย่างชัดเจนที่สุด
    คนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิบัติของหลวงพ่อ ก็อาจรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจ ไม่ถึงกับแสดงอาการออกมาสู่ภายนอกอย่างเด่นชัดนัก โดยมากก็เฉยอยู่ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็อยู่ข้างใน ส่วนข้างนอกดูเรียบร้อยดี ไม่มีกิริยา ผิดกับนายหนู นั้นแสดงออกอย่างไม่จำเป็นต้องอำพรางความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ว่ามีต่อหลวงพ่อชาอย่างไร จึงนับได้ว่าเป็นบุคคลพิเศษคนหนึ่งที่ใคร ๆ ก็กล่าวขวัญถึง
    นายหนูมีชื่อจริง ๆ ว่า หนู ศิริมา เป็นชาวบ้านก่อ บ้านเดียวกันกับหลวงพ่อชา ปัจจุบันอายุ 75 ปี เป็นคนขี้เหร่ ใบหน้ามีรอยปรุพรุนอยู่ทั่วไป จึงมีผู้เรียกว่า “หนูผี” อีกชื่อหนึ่ง เดิมเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่เคยเชื่อว่าศาสนาเป็นของมีจริง ศาสนาคือเรื่องเหลวไหลที่มนุษย์สร้างขึ้นมาลวงกันเอง
    ก่อนที่นายหนูจะเชื่อว่าศาสนาเป็นเรื่องโกหก นายหนูได้ศึกษาค้นคว้าปรัชญาของศาสนาต่าง ๆ มามากแล้วเกือบทุกศาสนา ไม่ว่าคริสต์, อิสลาม, พราหมณ์ หรือแม้แต่พุทธ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า นายหนูเป็นคนไม่เคยเชื่ออะไรง่าย ๆ และออกจะเป็นผู้รู้จักใช้เหตุใช้ผลของตนเองสำหรับตัดสินว่าอะไรจริงไม่จริง อะไรเชื่อได้และเชื่อไม่ได้ ในที่สุดก็สรุปแก่ตนเองว่า ศาสนาเป็นเรื่องมดเท็จ ทั้งนั้น
    นายหนูเคยบวชในบวรพุทธศาสนามาครั้งหนึ่ง บวชไปตามประเพณีของผู้ชายไทย บวชแล้วก็ไม่ทำให้รู้หรือเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นของดีวิเศษอย่างไร พุทธศาสนาก็เหมือนศาสนาทุกศาสนาในโลก เหลวไหลไม่ได้ความเหมือนกัน
    “ถ้าหากพุทธศาสนาดีจริง ทำไมประเทศไทยจึงมีผู้นับถือศาสนาหลายศาสนานัก”
    นายหนูคิดเห็นเช่นนี้ตลอดมา เมื่อพบเห็นนักบวชแต่ละศาสนา และมีโอกาสได้สนทนาด้วยเมื่อไหร่ นายหนูมักเข้าไปเบี้ยวนักบวชเหล่านั้นเสมอ และด้วยเหตุที่เป็นคนพูดเก่ง คล่องตัว นักบวชเหล่านั้นมักหงายท้องไปตาม ๆ กัน เนื่องจากว่า จะถกเถียงเอาชนะนายหนูได้ยาก
    นายหนูเคยได้พบพระกรรมฐานรูปหนึ่ง ปักกลดอยู่แถวสะพานรถไฟ ระหว่างสถานีวารินชำราบ (อุบลฯ) กับสถานีบุ่งหวาย สองสถานีมีระยะห่างกันประมาณ 9 กิโลเมตร นายหนูเข้าไปกราบสนทนาด้วย และได้โต้กันกลางแดดเปรี้ยงเป็นเวลานาน ผลสุดท้ายพระกรรมฐานรูปนั้นก็หมดทางจะแก้ข้อสงสัย หรือให้ความกระจ่างแก่นายหนูได้ จึงออกปากชวนให้ไปด้วยกัน เพื่อจะได้รู้เองเห็นเอง ด้วยตัวเอง จะดีกว่าจะให้ท่านพูด หรือบอกให้ฟัง แต่นายหนูกลับตอบว่า
    “ผมขอให้ท่านพูดมาเพื่อให้เข้าใจเท่านั้นก็พอ แต่ท่านแก้ความสงสัยไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องไปกับท่าน”
    เลยต่างคนต่างแยกจากกัน
    นายหนูก็ยังคงอยู่อย่างคนไม่เชื่อในศาสนาใดๆ เรื่อยมา
    หลายปีต่อมา หลวงพ่อชาได้เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดครั้งแรก โดยเข้ามาพักในป่าช้าบ้านก่อ ซึ่งเป็นคนละที่กับป่าพงที่ได้กลายมาเป็นวัดหนองป่าพงในปัจจุบัน เมื่อมาพักที่ป่าช้าบ้านก่อแล้ว พวกชาวบ้านที่รู้ ข่าวก็พากันไปกราบและฟังธรรมะจากท่าน ผู้ที่ฟังแล้วก็กลับมาเล่าให้ผู้ที่ไม่ได้ไปฟังอีกทอดหนึ่ง
    นายหนูอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้ไปฟัง แต่ก็สรุปใจความจากผู้ไปฟังมาแล้วได้ว่า
    “คนทุกคนเกิดมาต่างมีความหลง ถ้ายังอยู่ครองเรือนแล้วไม่ว่าหนุ่มหรือแก่หลงทั้งนั้น”
    นายหนูจึงคิดว่า ระหว่างนายทุนกับพระอาจารย์ชาใครหลงกันแน่ และใครจะหลงมากกว่าใคร ในเมื่อคนทุกคนล้วนมีความอยากกันทั้งนั้น ใครบ้างที่ไม่อยาก
    “อาจารย์ชานั่นแหละตัวหลง มีความเห็นผิดเอามาก ๆ อีกด้วย” นายหนูคิดอย่างนั้น
    สองปีให้หลัง คุณแม่พิมพ์ และผู้ใหญ่ลา โยมแม่และโยมพี่ชายได้ตามไปนิมนต์หลวงพ่อให้กลับมาอยู่ที่บ้านเกิด ตอนนั้นอยู่ในราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497 เข้าใจว่าหลวงพ่อกำลังพำนักอยู่ที่วัดป่าตาว อ. คำชะอี จ.มุกดาหาร
    เมื่อหลวงพ่อชารับนิมนต์และเดินทางมาพักที่ป่าพงที่ได้กลายมาเป็นวัดในทุกวันนี้แล้ว พวกชาวบ้านได้พากันไปช่วยปลูกกุฏิที่พักถวาย นายหนูก็ไปช่วยปลูกกับเขาด้วย แม้ว่าจะไม่ได้มีความเลื่อมใสแต่อย่างใด หากแต่เพราะขัดเพื่อนชวนไม่ได้ และตนเองก็เป็นช่างไม้อีกด้วย จึงเป็นอันหมดทางปฏิเสธ
    เย็นวันหนึ่งคุณแม่พิมพ์ได้บอกแก่นายหนูว่า หลวงพ่อชากำลังคอยอยู่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร นายหนูก็ไปกราบนมัสการหลวงพ่อโดยไม่ขัดขืน เมื่อกราบแล้วเงยหน้าขึ้น หลวงพ่อก็พูดโต้ง ๆ ออกมาทันที
    “นายหนูมีความเห็น และความเข้าใจในศาสนาอย่างไรให้พูดกันอย่างเปิดอก”
    แต่นายหนูดูจะยังมีความเกรงใจหลวงพ่อชาอยู่บ้าง จึงหันไปสนทนาธรรมอื่น ๆ แทน เช่นเรื่องของกุศล อกุศล และข้อธรรมต่าง ๆ เท่าที่จะนึกขึ้นมาคุยได้ หลวงพ่อก็เมตตาอธิบายให้ฟังทั้งหมด
    การสนทนาธรรมครั้งแรกระหว่างนายหนูกับหลวงพ่อชาไม่ได้เป็นการสนทนากันอย่างง่าย ๆ พื้น ๆ หรือสั้น ๆ แต่เป็นมหกรรมสนทนากัน เพราะว่าใช้เวลาสนทนากันทั้งคืนยันรุ่งของวันใหม่จึงได้แยกจากกัน
    ถึงอย่างนั้นเรื่องคุยกันในคืนวันนั้นก็ยังไม่เข้าหัวของนายหนูสักเท่าไหร่
    ปีนั้นทั้งปี นายหนูไม่มาเหยียบวัดหนองป่าพงอีกเลย
    ปีต่อมา (พ.ศ. 2498) พวกชาวบ้านกล่าวหาหลวงพ่อชาว่าท่านหวงน้ำ คือไม่ยอมให้ชาวบ้านทั้งหลายเอาครุลงตักน้ำในบ่อน้ำของวัด
    ครุก็คือภาชนะสานด้วยไม้ไผ่เป็นรูปอย่างถังน้ำแล้วยาด้วยชันเพื่อให้ขังน้ำได้ โดยน้ำไม่รั่ว
    นายหนูได้ยินก็เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที
    “พระอะไรกัน แค่น้ำในบ่อก็หวง ทีข้าวปลาอาหารของชาวบ้านกลับบิณฑบาตได้ทุกวัน” นายหนูว่า
    “ยังงี้ไม่เข้าท่าว่ะ จะต้องไปถามดู ไม่ได้เรื่องยังไงจะไล่ให้หนีไปจากที่นี่”
    นายหนูเดินบุกโครม ๆ เข้าไปจนถึงกุฏิหลวงพ่อชาอย่างปั้นปึ่ง
    “เขาว่าท่านหวงน้ำ”
    “หวงยังไง” หลวงพ่อสงสัย
    “ท่านไม่ยอมให้ชาวบ้านเข้ามาอาศัยตักน้ำในวัดไปใช้” นายหนูแจ้งข้อหา
    “อ้ออย่างนั้นหรือ” หลวงพ่อพยักหน้า “ที่ห้ามน่ะ ห้ามไม่ให้เอาครุมาตักน้ำในบ่อของวัดหรอก เอาครุขังปลาขังเขียดมาตักน้ำดื่มน้ำใช้ของพระ มันเกิดมลทินแก่น้ำ ทำให้ผิดระเบียบของสงฆ์ ถ้าใช้ครุหรือถังที่สะอาดตักใครจะไปห้าม”
    นายหนูจึงได้ข้อคิดในทันใดได้ยินอะไรอย่าเพิ่งเชื่อ ต้องรู้เห็นด้วยตาหูของตนเองเสียก่อนจึงค่อยเชื่อ
    “มีอะไรก็ให้พูดกันอย่างเปิดอก” หลวงพ่อกล่าวซ้ำเหมือนที่ได้กล่าวเมื่อปีที่แล้ว
    “พูดเปิดอกก็ได้ แต่กลัวว่าท่านจะโกรธ” นายหนูแย๊ปนำ
    “รับรองไม่โกรธ” หลวงพ่อยืนยัน “พูดมาเถอะ พูดตามสบาย”
    “ที่เคยว่าพวกผมหลงผิดนั้น ผมว่าอาจารย์ก็หลงผิดเหมือนกัน จะหลงผิดมากกว่าเสียด้วย เพราะศาสนาไม่มีจริง เป็นเรื่องที่คนสมมุติขึ้น แต่งขึ้น ทุกอย่างมันเป็นสมมุติทั้งนั้น เช่นควาย เราก็สมมุติเรียกมันว่า ควาย จะเรียกว่าหมาก็ได้ ไก่ก็ได้ หมูก็ได้ มันจะมาว่าอะไร คน สัตว์ วัตถุทุกอย่างก็สมมติกันเอาเองทั้งนั้น พระพุทธเจ้ากับศาสนาก็สมมติกันขึ้นมา ไม่มีตัวตนหรอกครับ”
    นายหนูได้โอกาสร่ายยาวและหลวงพ่อยังคงนั่งฟังเงียบ ๆ
    “อย่างอาจารย์นี่ผมสงสัยว่าทำไมจึงต้องกลัวบาป ถึงกับหนีเข้าป่าเข้าดง ทรมานร่างกายให้ลำบากไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ผมไม่เชื่อเลยว่าบาปบุญมีจริง เป็นเรื่องหลอกเด็กเท่านั้น อาจารย์อยู่ตามวัดบ้านทำไป อยู่ไปเหมือนพระอื่นก็พอแล้ว จะเข้าป่าทำไม ไม่ก็เลือกทางที่ดีกว่านั้น คือสึกออกมารู้รสกามและรับความสุขอย่างพวกผมดีกว่าอยู่อย่างทรมานแก่ตนเอง”
    หลวงพ่อชายังคงนั่งอยู่ นายหนูรู้ สึกว่าตนเป็นต่อแล้วจึงรุกฆาต
    “ผมมีความเห็นอย่างนี้แหละ อาจารย์ล่ะ เห็นเป็นไง.
    “คนแบบโยมนี่พระพุทธเจ้าท่านทิ้ง” หลวงพ่อกล่าว “พระพุทธเจ้าตรัสว่าโปรดไม่ได้ เหมือนดอกบัวในตม”
    “ อ้าว ”
    “ถ้านายหนูไม่เชื่อเรื่องบาปและบุญ ทำไมไม่ไปลักทรัพย์เขา ปล้นฆ่าเขาล่ะ”
    “ผมกลัวว่ามันบางทีมันอาจจะมีมั่งก็ได้” นายหนูอึกอัก
    “อาตมาประพฤติอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าบาปไม่มี บุญไม่มี ก็เสมอทุนไม่ได้กำไร แต่ถ้าบาปมี บุญมี อาตมาก็จะได้กำไร” หลวงพ่ออธิบาย “คนหนึ่งขาดทุนกับได้กำไร อีกคนหนึ่งเสมอทุนกับได้กำไร ใครจะดีกว่ากัน”
    “ไอ้เรื่องบาปเรื่องบุญนี่ผมปวดหัวมานานแล้ว จะเชื่อว่ามันไม่มีก็ยังไม่แน่ใจเสียทีเดียว แต่ถ้ามันไม่มีจริง อาจารย์จะให้ผมทำยังไง”
    “ทำยังไงก็ได้”
    “งั้นถ้าผมตาย และรู้ว่าบาปบุญไม่มี ผมจะไล่เตะท่านนะ”
    “ได้” หลวงพ่อรับคำ “ข้อสำคัญต้องละบาปบำเพ็ญบุญจริง ๆ ก็แล้วกัน”
    “นิมนต์อาจารย์เทศน์โปรดผมด้วย” นายหนูอ่อนข้อลง
    “คนเห็นผิดอย่างนี้โปรดไม่ได้” หลวงพ่อเมิน
    “คนในโลกนี้ใครล่ะจะมีวิชาความรู้ เป็นเลิศกว่าคนทั้งมวล พระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ ถ้าพระพุทธเจ้าเลิศจริง ประเสริฐจริง อาจารย์เป็นศิษย์พระพุทธเจ้าต้องเทศน์โปรดผมได้ ผมเป็นศิษย์พระยามาร แต่ศิษย์พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็โง่กว่าพระยามารน่ะซี่”
    หลวงพ่อนั่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
    “งั้นจงตั้งใจฟังธรรมสักสองข้อ”
    “เชิญเลยครับ”
    “เรื่องที่ครูบาอาจารย์สอนมาทั้งหมดนั้นไม่เชื่อใช่ไหม”
    “ ใช่ ครับ
    “โยมเป็นช่างไม้ใช่ไหม”
    “ ใช่ ครับ
    “เคยตัดไม้ผิดไหม”
    “เคยครับ”
    “เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเคยคิดถูกทำถูกหมด หรือว่าเคยคิดผิดทำผิดเหมือนกัน”
    “ถูกก็มีผิดก็มี”
    “ตนเองยังเชื่อไม่ได้เสียแล้ว เพราะมันยังสามารถพาให้ทำผิดคิดผิด พูดผิดก็ได้ นี่เป็นข้อที่ 1 ” หลวงพ่อกล่าว
    “ต่อไปข้อที่ 2 อย่าเป็นคนคิดมาก พูดมากเท่านั้นแหละ”
    ปีนั้นทั้งปี นายหนูไม่เคยมากราบหลวงพ่อชาอีกเลย แต่คำพูดของหลวงพ่อกลับเหมือนคำสาป คอยสะกิดใจนายหนูอยู่ตลอดทั้งปี เรื่องความคิดที่ถูกห้ามเอาไว้ ก็ยังคงเผลอคิดไปเรื่อยไม่มีทางจะสิ้นสุดลงได้เลย เป็นเหตุให้ตามเห็นความคิดของตนเองตลอดมา
    ปีที่ 3 พ.ศ. 2500 นายหนูกลับมาหาหลวงพ่อชาและถามว่า
    “การเข้าถึงพระรัตนตรัยจะต้องทำอย่างไร”
    “ไม่ยาก ไปหาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาและกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณจะเข้าถึงพระรัตนตรัย รับศีล 5 ไปปฏิบัติ เลิกมงคลตื่นข่าว จะเชื่ออะไรต้องเชื่ออย่างมีเหตุผล ไม่เชื่องมงาย และให้ละทิฏฐิมานะออกเสียด้วย”
    คืนวันนั้น หลวงพ่อได้เทศน์โปรดนายหนูจนเที่ยงคืนตรง
    เลิกเทศน์แล้วหลวงพ่อก็ให้นายหนูไปนอนที่ใต้ต้นไม้กลางลานวัด ที่นั่นมีแคร่ไม้ไผ่อยู่อันหนึ่ง
    รุ่งเช้าหลวงพ่อถามว่า
    “เป็นไงนอนสบายดีไหม”
    “ไม่เป็นอันนอนทั้งคืนเลยครับ”
    “ทำไมล่ะ”
    “ผมฝันคล้าย ๆ กับว่า อาจารย์ทำให้แคร่ผมลอยไปทั่วทั้งบริเวณวัด ลอยไปไม่มีที่จะวางแคร่ลงได้ พอวางลง ก็วางบนตัวสามเณร มองเห็นสามเณรนอนอยู่ใต้แคร่ ต่อมาก็คันคายไปทั้งตัวไม่เป็นอันหลับอันนอน”
    “เอาเถอะ จะนอนบนหัวสามเณรก็ตามใจ” หลวงพ่อว่า
    นายหนูฟังแล้วก็งง ๆ
    ต่อมาอีก 5-6 วัน ในบ้านของนายหนูก็หาความสุขไม่ได้ทั้งลูกทั้งเมีย ดูร้อนรุ่มทุรนทุรายโดยไม่รู้สาเหตุ วัวควายใต้ถุนบ้านก็แตกตื่นตกใจอะไรไม่ทราบ เป็นเรื่องวุ่นวายแปลก ๆ ที่หาเหตุไม่พบ
    แต่เนื่องจากว่านายหนูเป็นคนเรียนวิชาอาคม ที่เรียกว่าวิชานอก หรือเดรัจฉานวิชามาโดยตลอด ดังนั้นบรรดาญาติพี่น้องของนายหนู จึงลงความเห็นว่า ที่มีเหตุวุ่นวายยุ่งเหยิงหาความสุขสงบไม่ได้อย่างเมื่อก่อนนั้น เป็นเพราะนายหนูไปเรียนวิชาอาคมมาจากหลวงพ่อชา
    “ไม่ได้เรี๊ยน ไม่ได้เรียน” นายหนูเถียง
    “อ้าว งั้นทำไมมันร้อนกันทั้งบ้านทั้งเรือนยังงี้เล่า”
    “ฉันแค่รับศีลและรับเอาพระรัตนตรัยเท่านั้นเอง”
    “นั่นแหละ เพราะอันนี้แน่ ๆ” ญาติของนายหนูสรุป
    “เลิกเสียนะที่รับมาน่ะ เอาไปคืนท่านซะ”
    แต่นายหนูไม่คืนศีล 5 และพระรัตนตรัย ตั้งใจมั่นคงเด็ดเดี่ยวจะถือต่อไปไม่สิ้นสุด
    ไม่ช้าเรื่องร้อนรนวุ่นวายก็ค่อยหายไป ความสุขสงบก็กลับคืนมาสู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง
    ทำไมจึงมีเรื่องเช่นนี้เกิด
    ผมมีทางอธิบายได้ทางเดียวว่า เดิมนายหนูเป็นคนมีวิชาอาคม เรียกอย่างชาวบ้านก็คือ “เล่นของ” เมื่อนายหนูรับเอาของใหม่เข้ามายึดถือ ซึ่งก็คือพระรัตนตรัยและศีล 5 ของเก่าก็เกิดแรงต้าน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของอะไรก็ตาม ที่สำเร็จฤทธิ์โดยวิชานอกพระพุทธศาสนา ซึ่งนายหนูนำเข้ามากราบไหว้บูชาในบ้านก็ล้วนแต่ออกแรงออกฤทธิ์ต้านทั้งนั้น เลยเป็นเรื่องร้อนรนวุ่นวายในบ้านไปพักหนึ่ง แต่ในที่สุดของเก่าเหล่านั้นก็เสื่อมไป เรื่องก็กลับมาสงบสุขเหมือนเดิม
    ผมเคยถามหลวงปู่อีกองค์หนึ่งที่ผมเคารพยิ่งเท่า ๆ กับหลวงพ่อชาว่า
    “วัตถุมงคลของครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง เอาไปถวายให้อีกองค์เป่าช้ำเข้าไป พุทธคุณเดิมจะเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร”
    “ไม่เปลี่ยน”
    “แล้วอย่างที่ผมมักได้ยินว่าวัตถุมงคลนั้นอ่อนกว่านี้หรือแรงกว่าโน้นล่ะครับ”
    “อันนี้ขึ้นอยู่กับพลังจิตของผู้อธิษฐานวัตถุมงคลนั้น ๆ ให้เป็นมงคล” หลวงปู่ว่า
    “ดูกระโถนใบนี้สิ ถ้าน้ำยังไม่เต็มก็สามารถเติมน้ำให้เต็มได้ แต่ถ้าน้ำเต็มกระโถนอยู่แล้ว น้ำใหม่ที่เติมเข้าไปจะล้นออกมาเปียกสิ่งของอื่น ๆ ภายนอกกระโถน จิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่เต็มเปี่ยมอยู่อย่างนั้น ไม่มีเกินกว่าหรือน้อยกว่า เมตตาที่ล้นออกจากกระโถนก็จะแผ่ไปถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายไปเอง ข้อที่ว่าเมื่อเสกช้ำลงไปแล้วจะเปลี่ยนหรือไม่นั้น ถ้าเป็นพุทธคุณแล้วไม่เปลี่ยน แต่ว่าเป็นวิชานอกหรือเดรัจฉานวิชาแล้วจะเปลี่ยนทันทีเมื่อพบพุทธคุณ”
    ผมคิดว่าคำอธิบายนี้คงใช้ได้สำหรับกรณียุ่งเหยิงอลหม่านในบ้านนายหนูที่ได้เกิดขึ้นดังกล่าวมา
    อย่างไรก็ตาม นายหนูนอกจากจะไม่เลิกเข้าถึงพระรัตนตรัยและถือศีล 5 แล้ว ยังเพียรปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และประพฤติปฏิบัติเช่นนี้มาตลอดจนทุกวันนี้
    แต่เดิมเรียกว่า “หนูผี” พอมาคลุกคลีกับวัดก็เป็น “หนูดี” ต่อมาได้เป็นคนดูแลจัดการเรื่องการก่อสร้างในวัดก็เป็น “หนูสร้าง”
    จากปฏิปักษ์มาเป็นผู้พิทักษ์
    ไม่อาจบอกได้หรือวัดใจกันได้ ว่านายหนูรักและศรัทธาหลวงพ่อชาน้อยกว่าคนอื่นหรือเปล่า


    คัดลอกมาจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-cha/lp-cha-hist-special-05.htm
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
    กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา

    ความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ พึงเสาะแสวงหาเอาในเวลาที่ยังสามารถเป็นไปได้อยู่ คือ เวลาที่ยังเป็นอยู่นี้แหละ ศาสนาท่านไม่ได้สอนคนตาย ท่านสอนคนที่มีชีวิตอยู่ ตายแล้วก็สุดวิสัย ดังดาบสทั้งสองนั่น พระองค์ทรงเล็งพระญาณทราบว่าสองดาบสนี้สามารถจะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อทราบว่าได้สิ้นไปเสียแล้วก็สุดวิสัย และทอดพระทัย ทอดอาลัยที่จะไปสั่งสอน นั่นฟังเอาเพื่อเป็นหลักปฏิบัติว่าท่านสอนคนเป็น มิได้สอนคนตาย ศาสนาท่านสั่งสอนคนมีชีวิตอยู่อย่างพวกเราๆ ท่านๆ นี้ เพราะยังรู้ดีรู้ชั่วทุกสิ่งทุกอย่างอยู่และรู้จักปฏิบัติตัว เวลาตายแล้วนั่นสุดวิสัย

    การนิมนต์พระไป มาติกา กุสลา ธมฺมา เวลาคนตาย เหล่านี้เพิ่งมีมาหลังๆ ไม่ใช่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล โดยถือเอาสาเหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์นั่นแหละมาเป็นคติตัวอย่างเป็นแบบฉบับ เป็นประเพณีเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้ ในครั้งพุทธกาลจริงๆ ไม่มี เห็นมีอยู่บ้างเมื่อเวลาคนตาย พระองค์ใดอยากจะไปปลงกรรมฐานก็ได้ คือปลงกรรมฐานเกี่ยวกับการพิจารณา ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ในคนตาย เขาก็ตายเราก็ตาย ให้ไปพิจารณาปลงธรรมสังเวช เพื่อเป็นคติเตือนใจตัวเองไม่ให้ประมาทในชีวิต เวล่ำเวลา กาลสถานที่ ไม่ให้ประมาทในวัยว่ายังหนุ่มยังจะไม่ตายง่าย เพราะตายได้ทุกแห่งทุกหนทุกเวล่ำเวลาและทุกเพศทุกวัย เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วตายได้ทั้งนั้น ท่านจึงสอนให้ไปเยี่ยมป่าช้าบ้าง ให้ไปปลงกรรมฐานบ้าง แต่ที่จะสอนให้ไป กุสลา ธมฺมา มาติกาเพื่อให้บุญคนตายนี้ ไม่ปรากฏในหลักธรรม

    ต่อๆ มาจึงได้มี กุสลา มาติกา กัน ทั้งนี้คงจะยึดเอาหลักที่ท่านเทศน์โปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์ด้วยพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ ซึ่งก็เป็นความชอบธรรม เพราะเป็นพิธีการในทางดี การสวด กุสลา ธมฺมา ก็พระอภิธรรมทั้งนั้น ถ้าพูดตามความจริงแล้ว คนตายจะรู้เรื่องรู้ราวอะไร กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา แปลว่าอย่างไร มีความหมายว่าอย่างไร บางรายแม้เวลามีชีวิตก็ไม่ได้สนใจกับศีลกับธรรมเลย เวลาตายแล้วพระไปสวดกุสลา ธมฺมา ให้ฟัง ก็จะรู้เรื่องอะไร ตั้งแต่ยังเป็นอยู่ก็ไม่รู้เรื่อง กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เพราะไม่สนใจ ตายแล้วจะได้ความเฉลียวฉลาดมาจากไหน เพราะคนที่ตายไปกับคนที่เป็นอยู่ก็คือใจดวงเดียวกัน จะไปได้ความรู้ความฉลาดพิสดารนอกโลกมาจากไหน

    ธรรมก็มิใช่ธรรมแหวกแนวพอจะไปคอยต้อนรับเฉพาะคนตายแล้ว ส่วนที่เป็นอยู่ไม่มีหวังกับ กุสลา ธมฺมา นั้นเลย นี่ฟังไปๆ จะพากันประมาท ไม่สนใจปฏิบัติธรรมในขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่จะคอยไปตักตวงเอา กุสลา ธมฺมา เวลาตายแล้วกันหมด ศาสนาก็จะไม่มีในคนเป็น จะไปรวมอยู่กับคนตายเสียหมด นี่เป็นคำเตือนให้มีหลายสันหลายคมไม่ให้เป็นแบบเถรตรง เป็นอยู่ก็ให้ได้ ตายก็ไม่เสียที รีบขวนขวายในเวลาเป็นอยู่ เวลาตายไปหากควรจะได้ฟังได้รับ กุสลา มาติกา ก็ไม่ครึไม่ล้าสมัย

    กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ท่านสอนคนเป็น โดยยกเอาคนตายเป็นต้นเหตุ แล้วก็สอนคนเป็นให้รู้สึกสำนึกตัวเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ให้สร้างคุณงามความดี ด้วยความฉลาด กุสลา ธมฺมา คือความฉลาด อกุสลา ธมฺมา คือความโง่ ความโง่ทำให้จนตรอกจนมุม ความฉลาดพาให้ผ่านวิกฤตการณ์ไปได้ นี่คือความหมายของพระอภิธรรม ท่านสอนพระสอนคนให้ฉลาดทันความโง่ แก้ความโง่ของตน ในครั้งพุทธกาลท่านไม่ได้นิมนต์พระไปมาติกาในเวลาคนตายอย่างทุกวันนี้ แต่ทั้งนี้มิได้ปฏิเสธพิธีการทำบุญของญาติๆ ด้วยการนิมนต์พระมาสวดบทธรรมต่างๆ ให้ฟัง ด้วยความตั้งอกตั้งใจฟังจริงๆ มิใช่แบบสนุกคุยกันเวลาพระสวด กุสลา มาติกา เป็นต้น ดังที่มักเป็นกันอยู่ทั่วๆ ไป ในชาวพุทธเรา การฟังแบบนี้จนเป็นประเพณีที่น่าเกลียดของผู้ดีทั้งหลาย

    เวลาคนตายก็ไปเที่ยวกว้านนิมนต์พระมา กุสลา มาติกา ให้ยุ่งไปหมด ทั้งๆ ที่เวลามีชีวิตอยู่ไม่สนใจกับศีลกับธรรม ไม่สนใจกับ กุสลา มาติกา ว่าเป็นยังไง มีความหมายว่ายังไงบ้างเลย ตายแล้วก็คนดีนั้นแหละยุ่งกันเอง นิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา เหมือนกับศาสนานี้สอนคนตาย ถ้าหากเป็นไปได้ตามความคิดเห็นและที่ทำๆ กันมามันก็ไม่ลำบากอะไรนี่ ในหมู่บ้านหนึ่งๆ ก็บวชหลวงตาไว้ในวัดสักองค์หนึ่งก็พอ เวลาคนตายก็ไปนิมนต์หลวงตาไป กุสลา ธมฺมา ให้ไปสวรรค์กันหมด คนเป็นเราก็ไม่ต้องไปเข้าวัดเข้าวาให้ทานรักษาศีลรักษาธรรมให้ลำบากลำบนสิ้นเปลืองเปล่าๆ ตายแล้วไปนิมนต์หลวงตามา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ส่งไปสวรรค์หมดเลย สะดวกและเป็นทางลัดดีด้วยสมกับสมัยเรียนลัดกัน

    อย่างหลวงตาบัวนี้ก็ไม่มาบวชให้เสียเวล่ำเวลาและลำบากทรมาน ดังที่เป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้เลย เวลาตายแล้วก็ให้คนไปนิมนต์หลวงตาสักองค์มา กุสลา ธมฺมา หลวงตาบัวไปสวรรค์โน่นนา สบายไปเลย แต่นี้มันไม่สำเร็จประโยชน์ดังที่ว่าน่ะซิ จึงต้องฝืนใจมาบวชและฝึกฝนอบรมทรมานตนเรื่อยมา เพราะมันขึ้นอยู่กับเจ้าของผู้จะสร้างจะทำความดีไว้ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ เวลาตายจะได้อาศัยผลบุญที่สร้างไว้นี้ช่วยสนับสนุน ทั้งคติภพและความเป็นอยู่อย่างมีความสุข พระพุทธเจ้าท่านสอนคนเป็นดังที่ประทานธรรมไว้ให้เราทั้งหลาย ได้ศึกษาอบรมและปฏิบัติตามเรื่อยมาหลังจากปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงชักสะพานไปพร้อมกับการปรินิพพาน ทั้งนี้ก็เพราะสงสารสัตว์โลกผู้ยังมีชิวิตอยู่นี่แล ไม่ได้เห็นไม่ได้ยินว่าพระองค์สงสารคนตาย และประทานธรรมไว้เพื่อคนตายโดยไม่มีคนเป็นเกี่ยวข้องเลย

    จึงควรทราบว่าศาสนธรรมนั้นสอนคนเป็น คือในเวลาที่เป็นฐานะยังเป็นไปได้อยู่นี้ เมื่อเป็นอฐานะไปแล้วมันสุดวิสัย แต่การทำบุญให้ทานอุทิศถึงกันนั้น เป็นความชอบธรรมมาแต่กาลไหนๆ อยู่แล้ว ไม่มีอะไรเป็นปัญหา การทำเช่นนั้นทำเผื่อไว้หากว่าเปตชนคือผู้ล่วงลับไปสมควรจะได้รับส่วนกุศลก็ให้ได้รับ อย่าให้เสียความหวังทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายญาติผู้ทำบุญอุทิศ และฝ่ายผู้ล่วงลับที่คอยรับไทยทานอยู่อย่างหิวกระหาย เช่น ปรทัตตูปชีวีเปรต นี่เป็นประเภทที่สมควรจะได้รับทักขิณาทานจากญาติมิตรพ่อแม่พี่น้องที่อุทิศส่วนบุญให้อยู่โดยดี

    พระขีณาสพท่านไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่โต ถือเป็นเรื่องวุ่นวาย ในเรื่องการเป็นการตาย ท่านอยู่ที่ไหนท่านก็นิพพานที่นั่นได้สบายๆ ไม่ต้องกลุ้มต้องรุมต้องวุ่นต้องวายกันเหมือนอย่างปุถุชนจำพวกชนดะเรา ที่ถือการตายเป็นเรื่องใหญ่โตเกินโลก ถ้าจะหัวเราะก็น่าหัวเราะจริงๆ ทำราวกับเด็ก เวลาเป็นอยู่มีแต่มัวเพลินกัน ไม่สนใจกับสารคุณใดๆ เวลาตายแล้ว ต่างก็ถือกันใหญ่โต ตายแล้วต่างก็เอาดอกไม้ธูปเทียนเอาอะไรมาเผาพรางเผาหลอกเผาเล่นให้ยุ่งกันไปหมด นอกจากนั้น ก็เอากระดูกไปจำหน่ายขายกินเรื่อยๆ ไปทำรูปนั้นรูปนี้ รูปพระรูปอะไรก็แล้วแต่เถอะ จำหน่ายขายกิน เห็นแก่ความโลภ ไม่ได้คำนึงถึงอรรถถึงธรรมเลย มันเป็นอย่างนั้นทุกวันนี้ มันจึงไม่ตรงกับอรรถกับธรรมกับพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมศาสดา นับวันเลอะเลือนไปเรื่อยๆ ต่อไปจะหาของแท้ของจริงจากศาสนธรรมไม่เจอ เพราะไม่สนใจหากัน หาแต่ของปลอมก็เจอแต่ของปลอมเรื่อยไปนั่นแล

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  14. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ธรรมมะล้วนๆ แล้วไม่มีถูกไม่มีผิด มีแต่เป็นไปตามกรรมหรือเป็นไปตามธรรม
    เป็นทิฐิของคนของจิตนี้เอง ล้วนเป็นเหตุผลของผู้อ้าง จะให้ถูกก็ถูกจะให้ผิดก็ผิด
    เถียงกันไปไม่มีวันจบสิ้น เพราะทิฐิไม่้ตรงกัน โลกก็เป็นของเขาอยู่อย่างนี้
    ไม่มีอยู่จริง ทุกๆ อย่างล้วนเป็นของสมมุติ ท่านให้รู้จักสมมุติ ใช้ให้เป็น
    แต่อย่าไปติดในสมมุติ ท่านให้ละสมมุติเสีย

    โลกก็มีกฎ มีระเบียบข้อบังคับเพื่อความสงบสุขของคนอยู่อาศัยเป็นส่วนรวม
    ฉะนั้นกฎก็ย่อมเป็นกฎ บทลงโทษย่อมมี เราจึงพิจารณาการกระทำต่างๆ
    ว่าอยู่ในกรอบของกฎหมาย อยู่ในกรอบของศีลธรรมหรือไม่้ เช่น กรณีการ
    ทำลายทรัพย์สินซึ่งมีผู้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ของสาธารณะเป็นของส่วนรวม
    ก็ถือว่าผิดศีลข้อ ๒ อย่างกรณีทำลายพระพุทธรูปซึ่งเป็นการทำลายของสงฆ์
    เป็นของส่วนรวม ที่ทำขึ้นเพื่อกราบไหว้บูชาระลึกถึงพระพุทธคุณอันหา
    ประมาณมิได้ เปรียบเสมือนยิ่งกว่ารูปเคารพของ บิดา มารดา ที่กราบไหว้
    บูชา ระลึกถึงพระคุณท่าน

    อย่าไปแก้ที่วัตถุ อย่าไปแก้ที่สิ่งของ อย่าไปแก้ที่คนอื่น ให้แก้ที่ใจเรา
    เมื่อแก้ไขที่ใจเจ้าของแล้ว ก็หมดทุกข์ หมดข้อข้องใจ ทุกๆ เรื่อง ทุกๆ อย่าง
    มันก็เป็นอย่างนี้แหละ หายสงสัย เป็นธรรมมะธรรมชาติ เวรภัยใดๆ ก็ไม่ทำให้
    จิตใจเจ้าของหวั่นไหวไปกับ สิ่งสมมุติที่ไม่มีอยู่จริงนี้ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง
    อยู่ภายใต้กฎธรรมชาตินี้หมด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    ทำไมเราจึงคิดว่า สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงนั้นมีอยู่

    ไม่มีอะไรที่ทำร้ายตัวเราเองเท่ากับจิตของเราเอง


    สรุปแล้วก็คือเราสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาเองทั้งนั้น มันไม่มีอะไรอยุ่จริงเลย



    อันนี้แถม : พอปี ๕๗ เขารบกัน ก็ต่อด้วยภัยใหญ่ แต่ไม่เท่าภัยในวัฏฏะสงสาร




     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คนที่คิดว่า "เราสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาเอง มันไม่มีอะไรอยู่จริงเลย" พระพุทธเจ้าเรียกคนที่มีความเห็นประเภทนี้ว่า ความเห็นผิด ๑๐ อย่าง
     
  16. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    เมื่อมีทิฐิเสียแล้ว จิตพาแต่คิดเรื่องอกุศล จริงๆครับ เห็นได้ชัดเจน
    ยกพระไตรฯมาข่มด่าสิ่งที่ไม่เห็นด้วย
    ยกพระไตรฯมาอุ้มชูสิ่งที่ตนเห็นด้วย

    เรื่องเดิมๆ

    แล้วแม่ชีใช้บาตรเหมือนพระละท่านมีความเห็นว่าไง พระไตรฯไม่ได้สอนไว้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2012
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระปุสสเถระทำนาย ภิกษุทั้งหลายในอนาคตฯ ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นาที่ดิน แพะ แกะฯลฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๖ หน้าที่ ๓๔๔/๔๔๗
    [๓๙๕] ฤาษีมีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอันมาก ที่น่าเลื่อมใส
    มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึงได้ถามพระปุสสเถระว่า ในอนาคต
    ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จักมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร
    กระผมถามแล้วขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด?
    พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า
    ดูกรปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำคำของอาตมาให้ดี
    อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า
    ภิกษุเป็นอันมากจักเป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อ
    โอ้อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึง
    คิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพ
    กันและกัน ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก
    ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้
    ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว โวหารจัด แกล้วกล้า มี
    กำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล
    ภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่
    เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย
    ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นา
    ที่ดิน แพะ แกะ และคนใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษ
    ผู้อื่น ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแก่การทะเลาะ
    วิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียวแดง เป็นคนลวงโลก
    กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดั่งพระ
    อริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่ เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้นละเอียด
    เหลาะแหละ ให้ยาหยอดและทาตา มีร่างกายคลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสี
    งา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่ จักพากันเกลียดชังผ้าอันย้อมด้วยน้ำ
    ฝาดเป็นของไม่น่าเกลียด พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วยินดียิ่งนัก
    เป็นธงชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาวๆ จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผล
    เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็น
    ความลำบาก จักใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉา
    ชีพ จักได้ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น (เที่ยวคบหา
    ราชสกุลเป็นต้นเพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่สำรวมอินทรีย์ เที่ยวไป
    อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จัก
    ไม่สมคบภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาว
    มิลักขะชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัยของตนเสีย บางพวก
    ก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวกเดียรถีย์ อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุ
    เหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะ จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคาย
    บริโภคผ้ากาสาวะ เมื่อทุกข์ครอบงำ ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่
    พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยากในใจออกมา มีแต่เสียงโอด
    ครวญอย่างใหญ่หลวง เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ ได้เห็นผ้ากาสาวะ
    อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพราน นุ่งห่มไปในคราว
    นั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมาย
    ว่า ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะจักนุ่งผ้ากาสาวะ
    ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้ว
    ตั้งมั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคง ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นจึงสมควรจะ
    นุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์
    กระทำตามความใคร่อย่างเดียว มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควร
    ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจาก
    ราคะ มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
    โดยแท้ ผู้ใดไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มีจิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟูขึ้นเหมือน
    ไม้อ้อ ย่อมสมควรจะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น จักควรนุ่งผ้าห่มผ้ากาสาวะ
    อย่างไร อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีจิตใจชั่ว
    ร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขี่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่ มีเมตตาจิต แม้ภิกษุ
    ทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำ
    ตามความใคร่ ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอยผ้าจีวร ก็จักไม่เชื่อฟัง
    พวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระเถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือน
    อย่างนั้น จักไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อในพระอุปัชฌายาจารย์
    จักเป็นเหมือนม้าพิการไม่เอื้อเฟื้อนายสารถี ฉะนั้น ในกาลภายหลังแต่
    ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.
    ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว เมื่อจะ
    ให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
    ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้
    ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย
    มีความเคารพกันและกัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล
    ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่าน
    ทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่
    ประมาทโดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อ
    ทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย
     
  18. eve1

    eve1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +682
    สมัยนี้มันต้องแปลกๆ แหวกแนว สุดขั้ว ไม่สนอะไรทั้งนั้น

    สรุป "เพราะอยากดัง"

    [​IMG]
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๑๑๐/๗๑๗
    พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
    พระบัญญัติ
    ๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน
    อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๕๐๘/๗๑๗
    พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้ ว่าดังนี้:-
    พระบัญญัติ
    ๑๐๐. ๑. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะดื่มสุราและเมรัย.

    ----
    ภิกษุรับเงินและทอง อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
    ภิกษุซื้อขายด้วยเงินและทอง อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
    ภิกษุดื่มสุราและเมรัย อาบัติปาจิตตีย์

    ภิกษุรับเงินและทองอาบัติหนักกว่าภิกษุดื่มสุรา
    ภิกษุซื้อขายด้วยเงินและทองอาบัติหนักกว่าภิกษุดื่มสุรา

    ภิกษุรับเงินและทอง ซื้อขายด้วยเงินและทอง อาบัติหนักว่าภิกษุดื่มสุรา ชาวบ้านทำบุญด้วยเงินและทอง ภิกษุต่างพากันยินดีรับเงินและทอง เมื่อรับเงินและทอง ภิกษุทำการซื้อขายด้วยเงินและทอง ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ภิกษุต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีสองตัว ภิกษุดื่มสุราไม่ผิดข้อปาราชิก อาบัติปาจิตตีย์หนึ่งตัว อาบัติเบากว่าภิกษุรับเงินและทอง ชาวบ้านพากันจับภิกษุดื่มสุราสึก ชาวบ้านพากันกราบไหว้นับถือภิกษุรับเงินและทอง ชาวบ้านพากันกราบไหว้นับถือภิกษุซื้อขายด้วยเงินและทอง เห็นรูปเป็นที่พึ่ง หากินกับวัตถุ ซื้อขาย พ.
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๑๑๓/๗๑๗
    เรื่องพระฉัพพัคคีย์
    [๑๐๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถ
    บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ถึงความซื้อขายด้วยรูปิยะ มีประการต่างๆ
    ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ถึง
    ความซื้อขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า?.
    ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาผู้ที่เป็นผู้
    มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพน-
    ทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้ถึงการซื้อขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ เล่า?
    แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
    ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
    ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ
    เหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอถึงการซื้อ
    ขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ จริงหรือ?.
    พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
    ทรงติเตียน
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น
    ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน พวกเธอจึงได้ถึงการซื้อ
    ขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ เล่า การกระทำของพวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ
    ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำ
    ของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่าง
    อื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
    ทรงบัญญัติสิกขาบท
    ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยาย ดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่ง
    ความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ
    ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ
    มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภ
    ความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น
    แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ
    ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม
    บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน
    ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
    เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
    เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
    พระบัญญัติ
    ๓๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุใดถึงความซื้อขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ, เป็น
    นิสสัคคิยปาจิตตีย์.

    เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...