จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    ไม่แน่ใจค่ะ.. ดูจากความชันแล้ว ขับโฟร์วิลไปก็ดีเหมือนกันค่ะ แต่คนขับต้องเก่งพอควรนะคะ ภูเขาสูง.. อันตราย..แฮ่..(พูดเหมือนเคยไป)

    แค่น้องสื่อทางจิตยังไม่มั่นใจตัวเองเลย... (กลัวตัวเอง หลอกตัวเอง.. ฮ่าๆ)
    กว่าจะไปถึงขั้นเข้าเฝ้าท่านพ่อตอนน้องลืมตาคงอีกหลายเืดือนกว่าจะทำได้..
     
  2. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    การไม่ทำบาปทั้งปวง
    การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม
    การทำจิตของตนให้ผ่องใส
    การไม่ว่าร้ายผู้อื่น
    การไม่ทำร้ายผู้อื่น
    ความมีศีลสำรวม
    การรู้จักบริโภคแต่พอดี
    การอยู่ในที่อันสงัด
    และการประกอบความเพียรทางจิต
    นี้เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    พระพุทธพจน์
     
  3. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เอางี้ดีกว่า หนูคิมฝึกระลึกภาพท่านพ่อให้เป็นประกายพรึกโดยการลืมตาก่อน หรือว่าได้แล้ว ตอบด้วย ...กิ๊ว กิ๊ว
     
  4. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ได้แล้วจ้าาา แล้วทำยังไงต่อคะ?
     
  5. jprabs

    jprabs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +1,229
    สวัสดีท่านอาจารย์ทุกท่านครับ
    ผมเพียรระลึกภาพพระอยู่ทุกวันครับ ทั้งหลับตาและไม่หลับตา
    หลายครั้งเมื่อหลับตาแล้วกำหนดเอาจิตไปจับภาพพระ ซักพักจะรู้สึกว่าเหมือนจิตตกวูบลงไป เมื่อก่อนวูบแรง เดี๋ยวนี้มันเบาๆ ครับ แต่รู้สึกได้ว่าวูบๆ มีความสว่างมากครับ สว่างไสวในจิตอยู่ บางครั้งก็หายไปแล้วก็สว่างอีก แต่พยายามจับภาพพระไว้ตลอด ส่วนรางกายรู้สึกรับรู้การเต้นของหัวใจชัดเจนครับ หรือจะเต้นเร็วกว่าปกติหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่รับรู้ได้ชัดเจน และก็รู้สึกเหมือนกับมีพลังงานอะไรซักอย่างวิ่งวนอยู่ในร่างกายครับ (อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งครับ)

    วันนี้ผมนั่งสมาธิแล้วจับภาพพระตามปกติ ขณะที่เห็นพระก็กำหนดรู้ตามไปว่าจิตเห็นพระอยู่ เวลาที่จิตจะส่งออกไปจับอย่างอื่นก็จะคว้าหมับเลยครับ ให้กลับมาอยู่กับพระเหมือนเดิม จนกระทั่งจิตสว่างไสวดี แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าจิตมันทิ้งภาพพระน่ะครับ ไม่ยอมมองภาพพระอีก มานิ่งๆอยู่เฉยๆ ไม่ได้คิดเรื่องอื่น ผมก็ทำความรู้สึกตามรู้เฉยๆ ว่าตอนนี้จิตไม่ดูพระแล้วแต่มานิ่งเฉยอยู่ แล้วซักพักจิตก็กลับไปมองดูพระอีกครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อน จิตทิ้งพระผมจะพยายามเอาจิตกลับไปมองพระอีก แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าผมมองดูจิตอย่างเป็นกลางมากๆ ว่าจะดำเนินไปยังไงก็ช่างเขา เราคอยดูไปเรื่อย ไม่ไปบังคับให้เขามองเขาดู ไม่ทราบว่าถูกผิดประการใดบ้างครับ...
     
  6. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    คุณเพ็ญ คุณภู คุณดัชนี คุณคิม คุณวิทย์คะ(เรียกหมดทุกคนเลย อิอิ) เวลเราลืมตาจะนึกภาพพระบ่อยๆ แต่หากหลับตานั่งสมาธิจะจับได้ไม่นานแล้วจะวูบไปอยู่เฉยๆนิ่งๆค่ะ เป็นมาตั้งแต่ก่อนหัดจับภาพพระแล้วค่ะ เพียงแต่เมื่อหัดจับภาพพระจิตจะรวมเร็วขึ้น เมื่อก่อนเคยอ่านเจอท่านว่าตามดูความรู้สึกไป เฉยๆนิ่งๆก็ให้รู้ไปตามนั้น แต่ปัญหาของเราก็คือ จิตก็นิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น จนเบื่อ หรือง่วงนอนอ่ะค่ะ จิตเบื่อก็ให้รู้ว่าเบื่อ แต่งวงนอนนี่สิ เห่อแพ้ทุกที ความเำีพียรยังไม่พอใช่มั้ยคะ มีตัวช่วยมั้ยคะ แหะแหะ
    :d:d
     
  7. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    แห๊ม...เร็วได้ใจจริงน้องเรา ทีนี้ไม่ให้แค่ได้ภาพพระเป็นประกายพรึกแค่นั้นนะ ให้ภาพพระเป็นสามมิติก่อน แล้วให้เราเดินวนดูพระ ทั้งซ้าย หลัง ขวา อ้อมมาข้างหน้า เอาจิตเดินให้รอบและเห็นพระเป็นประกายพรึกสามมิติตลอด พรุ่งนี้มาต่อ เพราะเดี๋ยวตื่นแล้ว
    ปล.เจอกันในเมลล์ก้อได้นา...กลัวท่านที่ฝึกใหม่งงอ่ะ กิ๊ว กิ๊ว
     
  8. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    สวัสดีค่ะทุกคน
    น้องหนูมารายงานตัวแล้วจ้า......
    มาม๊ะ...เริ่มจากใครก่อนดี
    คุณLinda2009 ดีกว่า อาการเหมือนกัน
    เคยเป็นแบบคุณลินดาเลยค่ะ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่
    คุณดัชนีเคยแนะนำให้ลองเปลี่ยนอิริยาบถดู
    พอเบื่อ หรือง่วงนอนก็ลองเดินจงกรมดูสิคะ
    หรือไม่ก็นอนดูลมหายใจจนหลับเลยก็ได้
     
  9. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    หวัดดีค่ะ ขอแชร์ก่อนนอนนิดเพราะเดี๋ยวพี่ภู ครูเพ็ญและน้องๆมาต่อเวร ทำได้ดีได้ถูกทางทีเดียวค่ะ จิตวูบคือเป็นสมาธิและดิ่งลงฌานแต่ละขั้น พอภาพพระหายไปท่านก้อดึงกลับ คือฌานถอยท่านก้อดึงขึ้นจะสังเกตุเห็นว่าภาพพระมาและหาย สติแข็งดีค่ะ ทีนี้ลองปล่อยหากจิตเข้าสู่การวางเฉยดู ตามดูตามรู้เข้าไป อย่าไปพยายามดึงภาพกลับ หากภาพจะกลับมาก้อให้เขากลับมา เอาแบบพี่เบร์ดอ่ะค่ะ สบาย ๆ
     
  10. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937


    รับทราบค่ะท่านพี่...ไว้เจอกันในเมล
    ส่วนภาพก็งามมากๆ ..น้องคิดว่าน้องเห็นทั้ง 360 องศาเลยนะ..
    แฮ่..
     
  11. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ระหว่างรอท่านอื่นมาเข้าเวรดึก...
    หว้าขอลงภาพรอละกันนะคะ...
    ใครแวะเวียนมาดูกระทู้ขอให้ใจชุ่มๆ นะคะ
    ขอให้เย็นกาย เย็นใจ...


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
    (ภาพจาก Wisavus Vacharakool@picasaweb)​
     
  12. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ก่อนอื่น ผมขอให้เพื่อนๆทุกท่านได้กรุณาใช้สติและปัญญาในการพิจารณาข้อมูลที่ผมจะหยิบยื่นให้ต่อๆไปครับ

    การจะมีสติและปัญญาได้ ท่านต้องมีสมาธิก่อน และสมาธินี้ไม่ใช่สมาธิ ณ ขณะนั้น หรือสมาธิที่เพิ่งเริ่มสะสม
    หากแต่เป็นสมาธิที่ท่านต้องหมั่นฝึกหมั่นทำสมาธิอย่างน้อยวันละครั้ง ผมใคร่จะขอเฉลยว่าทำไมเราต้องสะสมสมาธิ

    ผู้ที่ไม่ประมาท แสดงว่าผู้นั้นเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง
    ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง แสดงว่าผู้นั้นเป็นคนที่มีกำลังใจ
    ผู้ที่มีกำลังใจ แสดงว่าผู้นั้นเป็นคนที่มีบุญ มีวาสนา และมีบารมี
    ผู้ที่มีบุญ มีวาสนา และมีบารมี แสดงว่าผู้นั้นเป็นคนที่มีการสะสมพลังจิต
    ผู้ที่มีการสะสมพลังจิต แสดงว่าผู้นั้นเป็นคนที่มีการทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
    ผู้ที่มีการทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ แสดงว่าผู้นั้นเป็นคนที่มีการทำอะไรด้วยความตั้งใจ

    ประโยชน์ที่ได้จากสมาธิ

    - ช่วยให้จิตใจเข้มแข็ง ไม่ประมาท
    - ช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตได้ เมื่อเกิดปัญหา
    - ช่วยดำรงชีวิตให้อยู่ในสังคมได้
    - ช่วยพัฒนาจากปุถุชนที่มีจิตใจหยาบหนา ไปเป็นคนดี จากคนดีไปเป็นอริยชน

    สมาธิแบ่งออกเป็น 2 แบบ

    1) สมาธิธรรมชาติ เช่น การนอนหลับพักผ่อน ทุกผู้ทุกคนพึงมีกันอยู่แล้วตั้งแต่กำเนิด
    2) สมาธิที่สร้างขึ้น เช่น การยืนสมาธิ การเดินสมาธิ การนั่งสมาธิ และการนอนสมาธิ

    ณ เวลานี้ เราจะสนใจในสมาธิที่สร้างขึ้นเท่านั้น

    สมาธิใช้ควบคุมขัดเกลาจิต
    จิตคือ วิญญาณธาติ (ธาติรู้)
    จิตโดยธรรมชาติมักอยู่ไม่สุก มีขึ้นๆลงๆตามสภาวะของอารมณ์

    หากเราขาดพลังจิตมากๆ จะส่งผลให้เป็นโรคประสาทได้
    หากเรามีพลังจิตมากๆ จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ดังนั้น เราทำสมาธิเพื่อสะสมพลังจิต เมื่อเรามีพลังจิตมากก็จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

    ฉะนั้น เพื่อให้เราได้มีสติ ก็ต้องมีจิตที่เข้มแข็งก่อนเป็นอันดับแรก จึงจะสามารถเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝันในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นได้
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีและยินดีต้อนรับนะครับ
    เดี๋ยว! ผมต้องขอบใจน้องคนนี้ก่อน
    น้องนี่ใช้ได้เลยนะ
    เอาอย่างนี้นะ
    ตามที่น้องแนะนำมาดีและถูกต้องทั้งหมด

    แต่ปกติทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ยังมีสติยังไม่พอ สำหรับปัญญาคงยังไม่ต้องพูดถึงกันในเวลานี้ และกำลังใจก็ยังไม่มากกันด้วย

    นี่แหล่ะ!!!
    คือปัญหาใหญ่ ณ.เวลา
    ตามที่น้องพูดไปนั่นแหล่ะ!

    แต่พี่ภูถึงให้ทำจิตเกาะพระกันอยู่ ณ.เวลานี้นี่ไง!
    เพราะการปฎิบัติธรรม หรือการฝึกสมาธิกันนี้
    เราจะมาแค่เรียนรู้ และท่องจำกันไม่ได้ มันไม่เหมือนกับการเรียนรู้กันทางโลก
    ทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้ว เพราะการเรียนรู้นั้น สามารถเรียนรู้ตามทันกันได้หมด แต่...
    การทำสมาธิ หรือการปฎิบัติธรรมนั้น คือเราจะต้องปฎิบัติกันให้มากๆ
    หรือปฎิบัติอย่างต่ำจะต้อง 90%ขึ้นไป
    แต่เรียนรู้จากตำรา การท่องจำ หรือจากการอ่าน-ฟัง แค่10% ก็พอแล้ว
    เพราะคนยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งบรรลุยากเท่านั้น

    เพราะการเรียนรู้ทางจิต จึงไม่เหมือนเรียนรู้กันในทางโลก
    การเรียนรู้ทางโลก เราต้องใช้สมองจำ แต่พอนานไปก็ลืม
    เพราะกายไม่เที่ยง สมองไม่เที่ยง มีเสื่อมได้ทุกเวลา
    แต่การเรียนรู้เรื่องจิตนั้น สมองไม่เกี่ยว แต่จะนำสติไปดู ไปรู้จิตกันเท่านั้น
    ที่ให้ดู หรือรู้จิตนั้นหมายความว่าอย่างไร???
    ให้เรานำสติไปจดจำอาการ หรืออารมณ์ต่างๆของจิต(เจตสิก) กับสิ่งต่างที่ไปกระทบจิต วและหลังกระทบจิตไปแล้วนั้น จิตของเรามีอาการ อารมณ์อย่างไร???
    นี่ไง! ก็คือการเข้าไปเรียนรู้เรื่องจิตของตนเอง เขาทำกันแค่นี้

    หรือบางทีเรียกกันว่า นาม(สติ)ดูนาม(จิต)
    มิใช่เอารูปไปดูนาม หรือมิใช่เอาตาเนื้อตนเองไปดูจิตตนเอง เพราะไม่เห็น
    แต่ต้องเอานามเข้าไปดูนาม เราถึงจะดู จะรู้กันได้

    การที่ให้ทำจิตเกาะพระกันอยู่ขณะนี้
    นี่แหล่ะ! พวกท่านทั้งหลาย ท่านก็กำลังฝึกสติ การสร้างสติ หรือทำให้เกิดความรู้สึกตัวบ่อยๆกันอยู่แล้ว และขณะที่เราทำกันบ่อยๆนี้
    หรือในระหว่างจิตกำลังจะจำภาพพระกันได้นี้ เราก็ได้ฝึกสติเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆกัน โดยที่ตัวเราก็ยังมิรู้ตัวกันอยู่แล้ว

    และเมื่อเรามีสติเกิดขึ้นบ่อย จิตก็จะเป็นสมาธิมากยิ่งๆขึ้นไป
    และมากที่สุด จนกลายเป็น สติสัมปชัญญะ
    คือเรามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมมากขึ้น และด้วยจิตที่มีสติสัมปชัญญะนี้
    ก็เท่ากับจิตมีปัญญา และเมื่อจิตมีปัญญามากขึ้นไปแล้ว
    จิตก็สามารถนำไปพิจารณาถึงธรรมต่างๆกันได้ โดยตามความเป็นจริง ณ.ขณะธรรมปัจจุบันกันได้
    หรือเรียกกันว่า จิตพร้อมใช้งาน หรือจิตวิปัสสนา นั่นเอง

    ดีแล้วที่น้องพูดถึง ถามถึง มาเตือนกัน ผู้ที่เผลอ ผู้ที่ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจใน เรื่องสติ สมาธิ ปัญญา หรือเรื่องจิตเกาะพระกัน
    พวกเขาจะได้มาเรียนรู้ของจริงๆกัน มิใช่เพียงแค่อ่านผ่านๆกันไปอย่างนั้นเอง
    รู้แบบนั้น แบบไม่ได้ปฎิบัติ รู้อย่างนั้น คือรู้หยาบ
    แต่ถ้าอยากรู้ละเอียดกันต้องนำจิตไปเรียนรู้ มิใช่เรา

    ทุกๆท่านพอจะเข้าใจไม่มากก็น้อยกันนะครับ
    ดีครับมีน้องเพิ่มมาอีกคนนึง น้องเขาจะได้เรียนรู้เพิ่มเติม
    เพิ่มสติปัญญาของตนเองตามไปด้วย

    แต่อย่านำความขัดแย้งมาสู่กันก็พอ เพราะผมมาเพื่อบอกให้ทุกคนรักกัน และเข้าใจกัน มิใช่มาทำให้แตกแยก
    พอจะเข้าใจกันนะครับ

    อย่าสงสัยกันมาก ให้ปฎิบัติมากๆ เมื่อจิตนิ่งดีพอแล้ว
    เดี๋ยวท่านก็จะทราบเอง โดยไม่ต้องไปถามกับผู้ใด
    จิตยิ่งนิ่ง จิตก็ยิ่งรู้มากเท่านั้น และยิ่งเป็นสุขใจมากเท่านั้นตามไปด้วย
    นี่คืออานิสงส์ของจิตเกาะพระ ทำให้จิตนิ่งง่ายขึ้น

    อย่าถามเยอะ ขอให้ปฎิบัติตามกันเยอะๆ แล้วท่านจะหายโง่
    เพราะผู้ที่มีความลังเลสงสัย หรือมีคำถามเยอะนั้น เขาเรียกว่าคนโง่
    แต่ถ้าอยากหายโง่ ต้องมาทำจิตเกาะพระ
    เพราะจิตเกาะพระนี้ เป็นอุบายทำให้จิตนิ่ง จิตทรงสมาธิ ทรงฌานง่ายดาย
    และต่อเนื่องด้วย เพราะไม่ต้องอาศัยตัวเรากำหนด หรือระลึกช่วยจิตกันแล้ว หลังจากที่จิตเขาจำพระได้ เพราะจิตจะทำหน้าที่ภายใน หรือระลึกถึงพระได้เอง

    ขอขอบใจอีกครั้งนึง
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แหม๊! ต้องให้เครดิตน้องหว้า หรือน้องคิม เกาหลีเลย (ไม่กล้าผวนเลย เกรงว่าจะผิด)
    เพราะกำลังตามหารูปพระแก้วมากรต หรือรูปพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่เป็นรูปสีขาว
    นึกไรได้อย่างนั้นจริงๆ เพราะไม่มีเวลาตามหา
    น้องคิมได้ยินจิตพี่ภูหรอ???
    จัดหั่ยซะเต็มที่เลย

    ขอบใจนะ
     
  15. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    แม่น้ำเต็มฝั่ง ไม่ไหลวนขึ้นสู่ที่สูงฉันใด

    อายุของมนุษย์เราทั้งหลาย

    ก็ย่อมไม่เวียนกลับมาสู่วัยเด็กอีกฉันนั้น

    เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เหลืออยู่นี้

    ทุกคนควรทำกิจหน้าที่ของตนด้วยความไม่ประมาท..
    .

    พระพุทธพจน์
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตของเราก็เปรียบเสมือนกระจกเงา

    เพราะกว่าเราจะรู้ว่า ที่แท้จริงตนเองนั้นก็คือ จิต ดวงจิต นั่นเอง
    และเมื่อไหร่เราหยุดสั่นกระจกเงา เราจึงมองเห็นจิตของตนชัดเจนมากเมื่อนั้น

    สติเท่านั้น ที่จะทำหน้าที่ไปหยุดความสั่นนั้นกันได้
    เมื่อสติหยุดความสั่นนั้นได้ ก็เท่ากับจิตนิ่งตามไปด้วย

    หรือถ้าสติกับจิตรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อไหร่ จิตก็จะนิ่งเมื่อนั้น
    หรือสติมา ปัญญาเกิด

    การนำสติตามดู ตามรู้จิตอยู่บ่อยๆนั้น จึงเปรียบเสมือนเรากำลังเรียนรู้เรื่องจิต การเข้าไปให้ถึงธรรมชาติแห่งจิตของตนเอง

    อย่าลืมนะว่า เมื่อจิตทุกข์เราก็ทุกข์ เมื่อจิตสุขเราก็สุข(ตามไปด้วย)
    ถ้าจิตปล่อยวาง เราก็ปล่อยวาง(ใจเราจึงเป็นสุขได้เมื่อนั้น)
    แต่ถ้าจิตไม่ปล่อยวาง เราก็ไม่ปล่อยวาง(และท้ายที่สุดใจของเราเองนั้น
    เป็นทุกข์ตามไปด้วย)

    เพราะฉะนั้นแล้ว มนุษย์ประกอบไปด้วย ร่างกายและจิตใจ
    แต่สองอย่างนี้ จิตใจนั้นสำคัญกว่าร่างกาย
    เพราะว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    แต่ถามว่าท่านรู้ตัวกันบ้างไหม๊ ว่าอะไรใหญ่???
    ท่านก็ตอบกันได้ทุกคน

    แต่ทำไม จึงไปให้ความสำคัญกับร่างกาย หรือสิ่งภายนอกมากว่าจิตใจ
    ซึ่งเป็นภายในของตน
    เพราะต่างก็รู้ว่า ทั้งสุข ทั้งทุกข์นั้นมันจะไปกองรวมกันอยู่ที่ใจของท่านเอง
    ทั้งนั้น
    แต่ทำไมทุกคนวิ่งหนีทุกข์ วิ่งหาสุขกัน ทั้งๆที่สุขก็เป็นสุขแค่ภายนอก
    หรือสุขชั่วคราว
    แต่ทำไมพวกเราจึงนำความสุขไปฝากไว้กับคนอื่น สิ่งอื่นๆนั้น
    เพราะต่างล้วนเป็นของไม่เที่ยง

    เมื่อความทุกข์มีมากขึ้น จนบางครั้งเราก็รับไม่ไหว
    แต่ทำไมบางคนมีความรู้สูง กลับเอาตัวไม่รอด
    เพราะคนส่วนใหญ่ขาดสติปัญญากัน นั่นเอง

    สติปัญญานั้นขอกันไม่ได้ ตามร้านสะดวกซื้อก็ไม่มีขาย
    ที่แท้สติคนเรานั้นมีอยู่ด้วยกันทุกๆคนอยู่แล้ว แต่ไม่ปฎิบัติยอมกันเอง
    เพราะรักแต่สบายกัน แต่พอความทุกข์มาถึงตัว ก็รับเอาความเวทนาต่างๆกันเข้าไป และแสดงออกต่างๆนานา

    พวกเราไม่ละอายใจกันบ้างหรือ? ว่าเราเป็นชาวพุทธกัน
    พวกเรารู้กันบ้างไหมว่าจะต้องประพฤติ ปฎิบัติกันอย่างไร
    ถึงจะเรียกว่าเป็นพุทธบุตรที่ดี เป็นพุทธบริษัทที่ดี
    หมายความว่า นอกจากจะต้องให้ความรักและเคารพต่อพระรัตนตรัยกันแล้ว
    เราจะต้องประพฤติ ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ และปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์กันด้วย
    คือเจริญรอยตามมรรคมีองค์8 หรือเดินสายกลาง "มัชฌิมาปฎิปทา"
    หรือย่อได้ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือทาน ศีล ภาวนา
    และนี่ก็คือ หัวใจของพระพุทธศาสนาของพวกเราทั้งหลาย

    ขอให้ผู้เจริญในศีล ในธรรมกันทั้งหลาย จงเลือกเดินทางสายเอก หรือเดินทางสายตรงเข้าสู่มรรค ผล และนิพพานกันด้วยเทอญ...

    และท่านที่กำลังทำจิตเกาะพระกันอยู่ ณ.ขณะนี้
    เท่ากับท่านกำลังเจริญสติภาวนา หรือเจริญสติปัญญา

    สติท่านจะเกิดก็ต่อเมื่อ ในขณะที่ท่านกำลังช่วยจิตกำหนด
    หรือระลึกถึงพระกันอยู่นั้น

    สติสัมปชัญญะของท่านจะเกิดก็ต่อเมื่อ จิตของท่านเกาะพระกันได้โดยอัตโนมัติ หรือจิตเกาะพระได้แนบแน่นแล้ว
    จิตจึงเป็นสมาธิ หรือจิตทรงฌาน
    และในขณะที่จิตทรงฌานกันอยู่นั้น หรือเรียกว่าจิตพร้อมใช้งาน พร้อมพิจารณาธรรม หรือจิตพร้อมทำวิปัสสนา นั่นเอง

    เพราะฉะนั้นแล้ว จิตเกาะพระนั้น จึงเป็นอุบายที่ทำให้จิตใจนิ่งและสงบง่าย
    ขณะที่เรากำลังทำจิตเกาะพระกันอยู่นั้น เราก็กำลังฝึกสติ สร้างสติ
    หรือทำำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมกันอยู่แล้ว

    ต่อไปนี้เราก็จะเริ่มรู้สึกตัว รู้สึกอิริยาบถของตนเองกันมากขึ้น
    ศีลของใครที่หยาบอยู่ก็จะละเอียดขึ้น เพราะจิตนิ่ง จิตสงบ และจิตละเอียดของตนนี้เอง
    หรือการสำรวมทั้งกาย วาจา ใจจึงดีตามไปด้วย
    เพราะภายในดี ข้างนอกจึงดีตามไปด้วย


    ปล.วันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องจิตกันก่อน โดยผ่านวิธีทำจิตเกาะพระ
    เพราะคนที่ไม่เข้าใจจิตของตนเองแล้ว และต่อไปเราจะไม่ค่อยเข้าใจผู้อื่น และไม่ค่อยเข้าใจการอยู่บนโลกนี้ตามไปด้วย
     
  17. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะ ทำได้แล้วต้องทำอย่างไรต่อไปค่ะ รบกวนบอกด้วยค่ะ ขอบพระคุณมาก
     
  18. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    สวัสดีค่ะ.. ที่หว้ากำลังฝึกและพูดคุยกับพี่ดัชนี่เป็นการฝึกสื่อสารทางจิตอยู่ค่ะ..
    หลังจากที่จิตเกาะพระได้ดีแล้วใครที่ไม่ได้เรียนมโนมยิทธิ หรือฝึกสมาธิอื่นๆ ที่พอสื่อสารกันได้ก็ต้องมาฝึกประมานนี้น่ะค่ะ.. เพราะส่วนตัวหว้าเองก็สื่ออะไรกับใครไม่ได้เลย


    ส่วนท่านใดที่สนใจขอให้งดไว้ชั่วคราวก่อนนะคะ (ยกเว้นคนที่มีสื่อ หรือสามารถสัมผัสได้อยู่แล้ว) เพราะช่วงนี้ ตอนนี้ขอให้ไปค้นหาจิตแท้ของตนเองก่อน ด้วยการนำจิตเกาะพระให้แนบแน่นนะคะ เมื่อดวงจิตยกแล้ว หรือจิตเกาะพระแนบแน่นแล้ว..ใครขาดเหลืออะไรก็ต้องฝึกกันต่อไปอีกที... (หมายถึงว่าถ้าตัวเองอยากฝึกเพิ่มอีกทีก็ไม่ว่ากัน)
     
  19. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    มีอยู่ช่วงนึงหว้า(Kim_UoonSo) ก็เป็นนะคะ
    ตอนแรกก็ตามใจจิตไป จิตอยากทำอะไรให้ทำ
    ช่วงจิตเกาะพระใหม่ๆ จะมีปีติเกิดขึ้นบ่อย...
    เราก็รู้ว่า "ทุกข์นั้นไม่เที่ยง สุขนั้นไม่เที่ยง"
    พอมาตอนหลังเจอจิตเบื่อก็ปล่อยมันไปสักพักก็เข้าใจได้ว่า
    "สุข-ทุกข์ไม่เที่ยง ความเบื่อก็ไม่เที่ยงเช่นกัน"
    พอเรามีสติ และเรารู้ทันความเบื่อ เราก็วาง...
    และเห็นทั้ง "สุข-ทุกข์-เบื่อ" เป็นของธรรมดา
    พอเห็นธรรมดา ชีวิตก็อยู่แบบปกติคือ
    สุขกายอยู่ที่ไหน สุขใจอยู่ที่ไหน

    สรุปว่า "มีสติรู้ทันจิต รู้เกิด-รู้การตั้งอยู่-รู้การดับ" ของอารมณ์ (จิต) ตัวเองนี่คือวิธีของหว้าที่ใช้ค่ะ
     
  20. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ขอบคุณค่ะ คุณหว้าที่ชี้แนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...