ถามเกี่ยวกับการภาวนาพุทโธ นะมะพะทะ และหลายๆอย่าง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 31 มีนาคม 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า ที่พระท่านให้ท่อง พุทโธ นะมะพทะ เช่นหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ

    เพื่อนเป็นพุทธานุสติกรรมฐาน หรือว่า ดูลมหายใจเป็นอาปานุสติ หรือทั้งสองอย่าง (ผมไม่รู้ว่าฝึกสองกรรมฐานแล้วจะได้ไหม) หรือว่าให้อยู่แค่พุทโธ

    ผมก็เริ่มมึนๆ เพราะผมจะลองภาวนา สัมปจิตฉามิ จริงๆภาวนาไปแล้วแต่ไม่แน่ใจว่า จะให้ดูลมหายใจ หรือ จดจ่อภาวนาอย่างเดียว
     
  2. jubganoi

    jubganoi สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +13
    ผมแนะนำหากมีศรัทธาดีแล้ว ไม่ต้องท่องอะไรเลย พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน ให้ท่องพุทโธ หรือ มะนะพะทะ หลังๆ นี้คำสอนเพี้ยนไปมาก ให้รู้ลมหายใจไปตรง ใจจดจ่อ เฝ้าดู
     
  3. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    อันไหนก็ดีทั้งนั้น หากถูกจริตเรา

    ดูสิในสมัยพุทธกาล ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ พระผู้มีพระภาคฯ ได้ให้อุบายแก่พระสาวก
    ที่แตกต่างกันไป ตามจริตวาสนาอินทรีย์ภาวนา ของแต่ละดวงจิต จนเกิดมรรคเกิดผล ขึ้นมาได้

    ส่วนเรื่องคำบริกรรม ก็มีมาแต่สมัยพุทธกาล พระผู้มีพระภาค
    ได้ให้คำบริกรรมภาวนาแก่ พระจุลลปัณฐก ว่า “รโชหรณํ รโชหรณํ”

     
  4. phongpeera

    phongpeera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +138
    จะใช้คำภาวนาไหนก็ใช้อันนั้นเอาให้จิตมันนิ่งทรงตัว สุดท้ายคำภาวนาไหนก็หายไปเหมือนเดิม
    ส่วนเรื่อง ว่า บางที่บอก พุทธ-โธ แล้วต่อด้วย นะมะ-พะธะ นั้น เป็นการฝึก มโนมยิทธิ
    บางคาถาก็ยาวกว่านี้อีกและมีแรงครูกำกับ ส่วนเรื่องอันไหนดีกว่ากัน แล้วแต่ใจใช้ครับ
    แต่อย่าใช้มั่วน่ะครับ คาถาที่มีครูเฉพาะท่านอาจโดน ก็ได้
    สำหรับผม พุทธ-โธ มันง่ายสุดเป็นพุทธานุสติด้วย เอาอันนี้ให้ได้ดีก่อน
    ถ้าของง่ายยังทำไม่ได้ดี แล้วยากกว่านี้จะทำได้ดีได้อย่างไร
    เป็นกำลังใจให้ครับ ทุกท่าน
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    น้อง...การศึกษาในกรรมฐานหลายอย่างถือเป็นสิ่งที่ดีนะ....แต่ถ้าพูดถึงการปฏิบัตินี่เราต้องจับหลักให้ได้...พี่เห็นเรานี่งมมานานแล้ว....ไม่เอาจริงสักอย่าง...เมื่อไรจะลงมือจริงๆจังๆสักที....
     
  6. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    บางทีน้องอาจมีจริตเป็นวิตกจริตก็ได้นะ เป็นคนคิดเยอะ คิดมาก ตัดสินใจไม่ตกลงหรือเปล่า ?
    ถ้าเป็นอย่างนั้นจับลมหายใจอย่างเดียว ไม่ต้องภาวนานะ ไม่งั้นจะฟุ้ง

    ค่อย ๆ ทำไปทีละนิดละหน่อย ลองดาวน์โหลดโปรแกรมวัดระดับสติไปดูนะ จะช่วยเรื่องฉันทะในการปฏิบัติได้บ้าง ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    สโลแกน ยังนำมาใช้เปนคำภาวนาได้เลยนะ
    มือใหม่หัดขับควรใช้ พุท -โธ ในการขับเคลื่อนการภาวนาจิต
    พุทโธ เมนาโถ
    ธัมโม เมนาโถ
    สังโฆ เมนาโถ
    จิตจะเข้าถึง พระ สาม องค์นี้ ก้ควรระลึกพุทโธ ก่อน มาไว้ในใจให้ได้ประคองจนจิต เปน อุปจาระ สมาธิ เป็นต้นไป

    คำภาวนามีหลายคำนะ จะขอยกตัวอย่าง
    เช่น สัมมาอะระหัง เกสา โลมา นะขา ทันตา ตโจ(ท่องกลับไปกลับมา)
    อนิจจังทุกขังอนัตตา, ยุบหนอ-พองหนอ, นะโมฯและก็นิรุชฌันติ(ชอบแบบไหน ก้เลือกตามที่ถนัดเถอะ หรือแม้แต่เพ่งกสิณ เช่น อาโปๆ,เตโชๆหรือวาโยๆ แล้วก้เพ่งรุปกสินนั้นให้ติดตาติดใจเข้าไป)
    แต่ถึงอย่างนั้นก้ตาม ก้มีเกจิบางท่านภาวนาสมถะแบบไม่ใช้คำภาวนา เช่นพ่อท่านคล้าย ตอนท่านไปฝึกกับพระพม่าอาจารย์ของท่านก้สอนภาวนาจิตสงบอย่างเดียว ไม่สอนคำบริกรรม ถ้าจะสงบก้ปล่อยให้สงบเอง ขอแต่เอาจริงเท่านั้น(อดทนจริงๆ) ใครไม่เอาจริงอาจารย์ท่านไล่ออกจากสำนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012
  8. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบคุณครับพอเข้าใจแล้ว พอดีผมไปดูยูทุปพระท่านเทศน์ว่า คําภาวนาไม่จําเป็นพระสาวกตั้วขึ้นมาเอง เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยบอกประมาณว่านี่สารีบุตรเทอจงภาวนาคํานี้นะ

    ผมก็ไม่แน่ใจ แต่มันเป็นพุทธานุสติกรรมฐาน


    อ่อจริงๆผมก็ลองฝึกหลายอย่าง ก่อนหน้านี้อะนะ ลองฝึกกสินน้ำ แต่ฝึกแปปเดียว แปปเดียวนี่คือไม่ถึงอาทิตย์ไม่เอาอะ ไปอาปานุสติต่อ หายเหนื่อยได้ด้วย เลยจะท่องอาปานุสติ แต่
    อาปานุสติ ของพระพุทธเจ้าคือดูลมหายใจ รู้ว่าลมหายใจเข้าก็เข้าออกก็ออกเหมือน ช่างกลึ่ง

    ตอนนี้ผมก็ฝึกอาปานุสติ แต่ผมก็ยังเจอนิวรณ์ ความฝุ้ง ราคะ ไรพวกนี้ เลยไม่ค่อยไปไหน แปลกดีตอน แรกไม่เคยฟังธรรม นั่งสมาธิตอนนั้นเอาจริงมาก คือตอนนั้นจริงทุกอย่าง นั่งปุ้บโอ้วสุขอะไรจะขนาดนี้ พอตอนนี้ก็ไม่ได้เจอ แต่คลายเครียดได้แต่ไม่เท่าสุขตอนนั้น ผมต้องตัดสุขให้ได้ก่อน
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คําภาวนาไม่จําเป็นพระสาวกตั้วขึ้นมาเอง เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยบอกประมาณว่านี่สารีบุตรเทอจงภาวนาคํานี้นะ

    เอามาจากไหน หว่า คิดเองหรือป่าว หรือไม่ได้คิดเอง ขอคริปไป ดูศึกษาเปิดหูเปิดตาหน่อยครับ

    เหอๆ

    พระพุทธเจ้าสอนไว้ กรรมฐาน 40 ห้องจะไม่มีคำภาวนาเลยได้ยังไงหว่า

    แค่ กสิน ก็มีคำภาวนา แล้ว นี่ยกตัวอย่างนะ

    ทาน ศีล ภาวนา พระพุทธเจ้าสอนไว้ แล้วบอก คำภาวนา ไม่จำเป็น แล้ว จะเอาอะไร ไป ภาวนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    จัดให้ สักเรื่องนึง สำหรับคนกล่าวตู่พระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้า ให้ ภาวนา บริกรรม จน บรรลุ อรหันต์


    พระอสีติมหาสาวก
    ตอนที่ ๒๑ กลุ่มพระชาวแคว้นมคธ

    พระอุปเสนะ พระมหาจุนทะ และพระขทิรวนิยเรวตะ ได้บรรลุธรรมตามลำดับกันดังนี้

    พระ อุปเสนะ หลังบวชแล้วได้ ๑ พรรษา ท่านได้เป็นอุปัชฌาย์บวชให้กุลบุตรคนหนึ่ง โดยมีจุดมุ่งหมายหวังจะช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ต่อมาท่านได้พาสัทธิวิหาริกไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าครั้นทรงทราบว่าท่านบวชได้เพียงพรรษาเดียวแล้วเป็นอุปชฌาย์บ วชให้กุลบุตร จึงทรงตำหนิอย่างรุนแรง

    “โมฆบุรุษ เธอทำไม่ถูกนะ เธอเองยังต้องถูกสั่งสอน แต่นี่กลับไปสอนคนอื่นเสียแล้ว ดูช่างมักมากเหลือเกิน”

    ท่านสลดใจที่ถูกพระพุทธเจ้าตรัสตำหนิจึงคิดหนัก

    “เพราะ สัทธิวิหาริกนี้เองจึงทำให้เราถูกพระพุทธเจ้าตำหนิ ดังนั้นเราจะอาศัยการมีสัทธิวิหาริกนี้แหละทำให้พระพุทธเจ้าสรรเสริญเราให้ ได้”

    ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว ท่านก็ลาพระพุทธเจ้า แล้วพาสัทธิวิหาริกกลับ จากนั้นก็เร่งบำเพ็ญเพียร ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล

    พระมหาจุนทะ หลังจากบวชแล้วก็ได้ศึกษากรรมฐานจากพระสารีบุตร ท่านบำเพ็ญเพียรอยู่ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล

    ส่วน พระขทิรวนิยเรวตะก็เช่นเดียวกัน หลังจากบวชแล้วก็ได้เรียนกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์ ท่านได้เดินทางไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าไม้ขทิระ (ป่าไม้ตะเคียน) และได้บรรลุอรหัตผลภายในพรรษานั้นเอง

    พระมหาปันถก หลังจากบวชพระแล้ว ท่านเจริญโยนิโสมนสิการ คือกำหนดนามรูปเป็นอารมณ์อย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งได้บรรลุอรูปฌาน ๔ ออกจากอรูปฌาน นั้นแล้วก็เจริญวิปัสสนา ต่อด้วยการพิจารณาองค์ฌานจนเกิดความรู้แจ้งได้บรรลุอรหัตผล พระไตรปิฎกเล่าว่า ท่านตั้งปณิธานไว้ว่าตราบใดยังถอนลูกศรคือตัณหาออกไม่ได้ จะไม่ยอมนั่งแม้แต่ครู่เดียว ปรมัตถทีปนีกล่าวเพิ่มเติมว่า ครั้นตั้งปณิธานอย่างนั้นแล้วท่านก็เจริญวิปัสสนาอยู่ทั้งคืน ด้วยการยืนกับการเดินจงกรม เท่านั้น เมื่อออกจากอรูปฌานก็เจริญวิปัสสนา โดยพิจารณาองค์ฌานเป็นหลัก จนทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล

    พระจูฬปันถก หลังจากบวชแล้วได้ ๔ เดือน ท่านถูกพระมหาปันถกผู้พี่ชายขับไล่ให้สึก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นท่านท่องจำคาถา (คำร้อยกรอง) ไม่ได้เลยแม้แต่บทเดียว ท่านเสียใจมากจึงจะไปสึก เช้าวันนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จมาปลอบและพาท่านไปนั่งอยู่หน้าพระคันธกุฎี แล้วทรงประทานผ้าขาวให้ผืนหนึ่ง ทรงสอนให้ ท่านนั่งดูดวงอาทิตย์พลางลูบผ้าขาวพลาง พร้อมทั้งนึกบริกรรมว่า ‘ผ้าเช็ดฝุ่น ผ้าเช็ดฝุ่น’ (รโชหรณํ รโชหรณํ) วิธีปฏิบัติดังกล่าวถูกกับอุปนิสัยท่าน เพราะเมื่อลูบไปๆ ผ้าก็เริ่มสกปรกทีละน้อยๆ จนมีสภาพเหมือนผ้าเช็ดหม้อข้าว

    ใน ขณะเดียวกันความรู้ของท่านก็แก่กล้าขึ้นตามลำดับ จนทำให้ท่านมองเห็นความสิ้นความเสื่อมของสังขารได้ชัดเจน ท่านพิจารณาเปรียบเทียบจิตเหมือนผ้าขาว ซึ่งเดิมทีสะอาดแต่มาสกปรกไปเพราะอาศัยร่างกายนี้เอง จึงแสดงให้เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง ท่านพิจารณาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งจิตสงบบรรลุฌาน ออกจากฌานแล้วก็อาศัยฌานนั้นเองเป็นพื้นฐานเจริญวิปัสสนาต่อไป ท่านเจริญสมถะสลับกับวิปัสสนาอยู่อย่างนี้จนเกิดความรู้แจ้ง ได้บรรลุอรหัตผลหน้าพระคันธกุฎีนั้นเอง

    พระสภิยะ หลังจากบวชแล้วท่านเจริญวิปัสสนาอยู่ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล


    http://www.dhammakid.com/board/adiaoaeoc/adieooaeoeoc-i1oe-on-aoeaadaocace1a/?wap2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012
  11. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ผู้ที่จะรู้รอบกรรมฐานทั้ง ๔๐ ของพระพุทธเจ้านั้นหาได้ยากมาก....

    ส่วนใหญ่แต่ละสำนักจะถนัดแต่สิ่งที่ตนเองรู้...จนบ้างครั้งเห็นของสำนักอื่นไม่เหมือนกับของตนก็เกิดการปรามาสสำนักอื่นว่าผิดบ้าง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ไม่พ้นกิเลสบ้าง ทำไปก็ไม่หลุดพ้นบ้าง อุปทานบ้าง....อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น....เพราะความเป็นปุถุชน ของฉันดี ของเธอไม่ดี อย่างนี้หละเป็นเหตุ ก่อให้เกิดคณะศิษย์พากันเล่นขายของตามเจ้าสำนัก...

    ถ้าเข้าใจกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองเสียแล้ว....อะไรก็ถูกหมด ไม่มีอะไรพูดกัน...เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงกล่าวไว้แล้ว อะไรก็ตามที่พระองค์เห็นว่าไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อการหลุกพ้น พระองค์จะไม่ทรงสอน.....
     
  12. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    จากพระอาจารย์ท่านนี้อ่าครับ ผมก็มึนๆ ผมก็หาคําสอนจากพระต่างๆ พระพุทธเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว ก็หาอาจารย์ดีๆก็ยากสอน แบบพระพุทธเจ้าสอนไม่ได้เอา ความคิดตัวเองมาใส่มาสอนก็หาายาก
     
  13. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ก็เหมือน 86Iพานุเดช ไปโพสในกระทู้ของหมอกฤช นั่นล่ะม้างง

    เพราะไปกระทบเซียน 18+ เข้าให้ ^^
     
  14. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ช่วยพูดอะไรให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไมครับ.....
     
  15. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    หาไม่ยากหลอกครับ....สำคัญแต่ว่าทำจริงหรือเปล่าเท่านั้นหละ....
     
  16. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,962
    พุทโธ ทำให้ผมเกิดเมตตาเป็นอารมณ์ได้ง่าย

    นะมะพะทะ รู้สึกว่าทำให้ผมกำลังสมาธิมากขึ้นเข้าฌาณเห็นอะไรง่ายๆ ภาวนาตอนที่ ล.พ.มาสงเคราะห์ผม

    ส่วนตัดกามผมก็เล่นเจาะจง โดยใช้ หัวใจอาวุธพระพุทธเจ้า ผมภาวนา1-3วัน ผมหายเสี้ยนและชนะใจตนได้(ขอโทษที่ใช้คำหยาบไปนิดนึงนะครับ)

    นี่ประสบการณ์ของผม
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ลองดูนะครับ เป็นทางเลือกน้องชอบแบบไหน เป็นข้อความเดิมเขียนไว้นานแล้วครับ

    ลองพิจารณาดูนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012
  18. witchura

    witchura สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +20
    พุทโธ นะมะพะทะ
    พุทโธ มะพะทะนะ
    พุทโธ พะทะมะนะ
    พุทโธ ทะนะมะพะ

    พอจิตนิ่งแล้ว เหลือ พุทโธ ตัวเดียว
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    จดจ่อภาวนาอย่างเดียว
     
  20. นาย เอ

    นาย เอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +535
    (พิจารณาโดยไม่กล่าวถึงพุทธคุณ พุทธธานุภาพ ในบทภาวนานั้นๆ)

    การให้ความสำคัญกับการท่อง คำต่างๆ หรือสร้างรูปต่างๆในจินตนาการขึ้นมา มีประโยชน์ คือ
    ขั้นต้นสร้างความเชื่อใจ มั่นใจ ระลึกถึง พุทธคุณ เกื้อหนุนในการปฎิบัติ
    ประโยชน์อีกส่วนคือ เป็นการดึงจิตรวม ไม่ส่งจิตออกนอก เพราะต้องสนใจคำภาวนา เป็นการยึดจิตให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ส่งจิตไปในอดีตหรือในอนาคต
    ซึ่งการส่งจิตออกนอก จะเป็นอยู่ตลอดถ้าไม่มีสติ ตามปกติ
    แต่จะเป็นการบังคับหรือบีบจิตให้อยู่ในกรอบ ต้องมีการกำหนดจังหวะ ทำให้เกิดภาวะตึงเคลียด เป็นพื้นฐานด้านสมถะ เป็นตัวส่งเสริมด้าน สมาธิ แต่ จะขวางกั้นวิปัสสนา คือการพิจารณา อนิจลักษณะ หากเราจิตจดจ่อกับคำภาวนามากเกิน

    การดูสมหายใจ หรืออานาปณสติ คือ การดูลมหายใจโดยการสังเกตุลมหายใจ โดยที่ปล่อยลมหายใจเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่บังคับ ไม่ว่าสั้นหรือยาก ก็ดูไป ไม่กำหนด ร่างกายมีการปล่อยให้ทำงานปกติตามธรรมชาติ คล้ายหลับ ส่วนจิตก็เข้าสู่กระบวนการสมาธิ อยู่กับปัจจุบันโดยไม่มีการบีบคั้น เป็นการเกื้อหนุนวิปัสสนา เพราะใช้ หลักพิจารณา เหมือนกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...