เทคนิคการรวม ธรรม เทพ จักรวาล ครั้งที่ 1

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เดมีดี, 9 กันยายน 2011.

  1. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ดำรงชีพเหนือธรรมชาติขาดสติ
    อุตริผิดผิดจิตถลำ
    เพราะวัตถุนิยมเกิดกงกรรม
    ถูกกระหน่ำภัยธรรมชาติมิขาด<WBR>วัน
    คนพึ่งพาธรรมชาติดังทาสหลัก
    แต่ไร้รักษ์มุ่งประโยชน์โฉด<WBR>มหันต์
    มีแต่ทำลายล้างอย่างเมามัน
    ถูกลงทัณฑ์ย้อนหลังยังน้อยไ<WBR>ป

     
  2. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    หัวโขน เดี๋ยวนี้ใครๆก็ชอบมี
    อยู่ข้างนอกใส่แล้วแอคท่า วางท่า อาจดูดี
    ตามสายตาของคนที่ ประเภทแรก ใส่หัวโขนเหมือนกัน
    อีกประเภท สังคมพาไป แต่ อย่าลืมว่า
    ถ้าใส่ไปนานๆหัวโขนนั้นคุณจะถอด<WBR>เท่าไรก็ถอดออกไม่ได้ กลายเป็นหัวจริงไปเลยก็มี
    แต่ถึงอย่างไร หัวโขนก็คือหัวโขน ไม่ใช่หัวคุณ

     
  3. Yourtime

    Yourtime สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +0
    ผมถึงขึ้นที่ หายใจไม่ค่อยออกครับ หายใจอยู่แต่ไม่เหมือนหายใจ เหมือนขาดอากาศแต่ไมม่ขาดอากาศ บทสวดภาวนาต่างๆ เริ่มค่อยๆหายไป จนไม่มี อาไร คล้ายกับคำว่าว่างป่าวครับ พอพยายามนึกคำภาวนา ก็เหมือนกับโดนทำให้ผิดเพี้ยนไป ทำให้นึกไม่ออกจำไม่ได้ ก็เลยปล่อยไป ค่อยๆดูลมหายไปเรื่อยๆแค่นี้อ่ะครับ ส่วนในหูก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ตลอด ก็ให้รู้ไว้เฉยๆ ก็ปล่อยไป จนมันเหมือนไม่ใช่ตัวเรา นี่ไม่ใช่ตัวเรา กายเรา จิตเรา วิญญาณของเรา จนเกือบเหมือนกับคำว่า ว่างเปล่าน่ะครับ แห๊ะๆ
     
  4. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ดีมากครับขอให้ปฐิบัติแบบดูลมหายใจเป็นหลัก จะใช้ยุบหนอ พองหนอก็ได้ พุทโธก็ได้ที่สำคัญสติกับสมาธิต้องมี การปฐิบัติต้องใช้ใจกำหนดไว้ 4ข้อ
    1. ไม่ใช่เรา 2. ไม่อยากได้ 3. ไม่อยากมี 4. ไม่อยากเห็น
    การปฐิบัตินี้มีประโยชน์สองแนว คือ1.ช่วยทำให้สมาธิมากขึ้น 2.ช่วยประคับประคองสติเราไว้ ทั้งสองแนวช่วยให้เรามีสมาธิในการทำสิ่งต่างในขณะที่ใช้สติและเมื่อมีสติและสมาธิควบคู่กันไป เราก็ไม่หลงไม่ขาดสมาธิ
     
  5. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    Howard Gardner (1983) กล่าวถึงเชาวน์ปัญญา 7 ชนิด แม้ว่าแต่ละชนิดต่างเป็นอิสระไม่ต้องอาศัยอย่างอื่นประกอบ แต่โดยทั่วไปแล้ว กิจกรรมต่าง ๆ จะประกอบด้วยส่วนของเชาวน์ปัญญาเหล่านี้ร่วมกัน (Gardner, 1983; Walter and Gardner,1986; Krechesky and Gardner,1990)
    เชาวน์ปัญญา 7 ชนิดคือ
    1. เชาวน์ปัญญาทางด้านดนตรี (Musical intelligence) ได้แก่ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการดนตรี
    2. เชาวน์ปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Bodily kinesthetic intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ส่วนต่าง ๆของร่างกายในการแสดง หรือแก้ไขปัญหาเช่น นักกรีฑา นักแสดง นักเต้นรำ และ ศัลยแพทย์
    3. เชาวน์ปัญญาในด้านตรรก และการคำนวณ (Logical and mathematic intelligence) ได้แก่ทักษะในการใช้เหตุและผล รวมทั้งการคิดคำนวณ และความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา
    4. เชาวน์ปัญญาทางด้านการใช้ภาษา (Linguistic intelligence) ได้แก่ทักษะซึ่งเป็นผลจากการใช้ภาษา
    5. เชาวน์ปัญญาเกี่ยวกับที่ว่าง (Spatial intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้าง รูปพรรณสัณฐาน องค์ประกอบ มักพบในกลุ่มที่เป็นศิลปิน หรือสถาปนิก
    6. เชาวน์ปัญญาเชิงปฏิสัมพันธ์ (Interpersonal intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่นมีความไวในการรับหรือส่งอารมณ์ ความรู้สึก แรงจูงใจ หรือมีความเข้าใจในผู้อื่น ข้อนี้น่าจะคล้ายกับเรื่องของ EQ.
    7. เชาวน์ปัญญาในด้านความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับตนเอง (Intrapersonal intelligence)ได้แก่ความเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ตนเองมีอยู่
     
  6. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ในปัจจุบันมีนักจิตวิทยารุ่นใหม่ ๆ ที่มีการจัดแบ่งเชาวน์ปัญญาออกไปในด้านต่าง ๆ เช่น ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional intelligence) หรือเชาวน์อารมณ์ ( Emotional Quotient, EQ.) เชาวน์ปัญญาเชิงปฎิบัติการ (Practical intelligence) และเชาวน์ปัญญาเชิงจริยธรรม (Moral intelligence) อย่างไรก็ตามทฤษฏีใหม่ในปัจจุบันเน้นถึงความสำคัญของเชาวน์ปัญญาเชิงปฏิบัติการ (practical intelligence) ที่ช่วยให้มนุษย์ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มากกว่าเชาวน์ปัญญาที่ได้รับจากการเรียนรู้ในโรงเรียน (school intelligence)
    ในทางจิตวิทยา เชาวน์ปัญญา (Intelligence) หมายถึงความสามารถที่จะเข้าใจโลกตามความเป็นจริง คิดอย่างมีเหตุผลและใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อต้องเผชิญกับการท้าทาย เชาวน์ปัญญายังหมายถึง ความสามารถทางการรู้ การเรียนรู้ ความจำทั้งในอดีตและปัจจุบัน การจัดแนวคิดทั้งในการใช้คำพูดและตัวเลข ความสามารถในการเปลี่ยนความคิดเชิงนามธรรมเป็นภาษาเขียนหรือคำพูด และการใช้ภาษากลับไป เป็นความคิดเชิงนามธรรมยังรวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์และการสังเคราะห์รูปทรง และการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ อย่างมีความหมายและแม่นยำตามลำดับก่อนหลัง ( พริ้มเพรา ดิษยวณิช, 2543 )
    จากนิยามดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเชาวน์ปัญญาเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลเป็นผลรวมของชีวิตที่เกี่ยวกับจิตใจ ซึ่งสัมพันธ์กับความสามารถในด้านการรู้หรือประชาน (cognitive ability) พัฒนาการของเชาวน์ปัญญาเกี่ยวข้องกับอิทธิพล ของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

    มนุษย์มีความแตกต่างกันในเรื่องเชาวน์ปัญญา แต่จะแตกต่างกันมากน้อยอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับพันธุกรรมที่เป็น ส่วนหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนทุนเดิมที่แต่ละคนได้รับมา และที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งนั้นคือสิ่งแวดล้อมที่เลี้ยงดูอบรมเขาเหล่านั้น มาด้วยเช่นกัน อิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจและกล่าวถึงเป็นระยะเวลาอันยาวนานว่า อย่างไหนจะมีอิทธิพลต่อเชาวน์ปัญญามากกว่ากัน

    ความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและเชาวน์ปัญญา
    ส่วนใหญ่แล้วการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและเชาวน์ปัญญามักเป็นการหาค่าสหสัมพันธ์ (correlation) จากการสำรวจรายงานการวิจัยเกี่ยวกับการวัด IQ. จำนวน 111ฉบับ ข้อมูลแสดงค่าสหสัมพันธ์เฉลี่ย (average correlation coeffients) ของคะแนน IQ. กับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในครอบครัวที่มีลักษณะต่างกัน โดยทั่วไปเป็นการชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัวที่มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมสูง จะมีค่าของสหสัมพันธ์ของ IQ. สูงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ค่าสหสัมพันธ์เฉลี่ยของความสัมพันธ์ระหว่าง IQ. ของพ่อแม่กับลูกของตนเองเท่ากับ .50 แต่ค่าสหสัมพันธ์เฉลี่ย IQ.ของพ่อแม่กับลูกที่รับมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมเท่ากับ .25
    ฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน (identical twins) ได้รับอิทธิพลของพันธุกรรมเหมือนกัน ค่าสหสัมพันธ์ของ IQ. จะสูงถึง .90 ส่วนIQ. ของฝาแฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ (Fraternal Twins) จะมีค่าสหสัมพันธ์เท่ากับ .55 เกี่ยวกับพันธุกรรมแล้วฝาแฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ จะมีลักษณะไม่ต่างกับพี่น้องที่ไม่ได้เป็นฝาแฝดกัน
    ถึงแม้ว่าพันธุกรรมจะเป็นตัวกำหนดเชาวน์ปัญญาที่มีอิทธิพลอย่างมากก็ตาม แต่สิ่งแวดล้อมและการอบรมเลี้ยงดูก็มีอิทธิพลไม่ด้อยไปกว่ากัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า พี่น้องที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวเดียวกันค่าสหสัมพันธ์ของ IQ. จะสูงกว่าพี่น้องที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแยกกัน ( ต่างสิ่งแวดล้อม ) การศึกษานี้เป็นเครื่องชี้ถึงอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อเชาวน์ปัญญา

    อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม
    มีความแตกต่างกันของศักยภาพทางพันธุกรรมกับการเลี้ยงดูภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน ได้แก่สิ่งแวดล้อมที่ขาดแคลน สิ่งแวดล้อมปานกลางและสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์มีการดูแลที่ดี ในแต่ละกรณีคือ สิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ส่งผลให้มี IQ. สูง และสิ่งแวดล้อมขาดแคลนทำให้ IQ. ต่ำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละบุคคล คนที่มีศักยภาพสูง มีความสามารถสูง เมื่ออยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ จะพัฒนา IQ. ได้ดี แต่ศักยภาพนั้นจะลดต่ำลง ถ้าอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ขาดแคลน (ทำให้ IQ. ลดลง) Weisman (1966), Scarr-Salapatex (1971) จึงกล่าวได้ว่าสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลสูง ต่อเด็กที่มี IQ. ตั้งแต่เกณฑ์เฉลี่ยขึ้นไป
    สิ่งแวดล้อมที่กำหนดศักยภาพทางเชาวน์ปัญญา ได้แก่ อาหาร สุขภาพ คุณภาพของสิ่งเร้า บรรยากาศทางด้านอารมณ์ภายในครอบครัวและชนิดของพฤติกรรมที่มีการป้อนกลับ ถ้าเด็กสองคนที่มีพันธุกรรมเหมือนกัน เด็กที่ได้รับอาหาร การกระตุ้นเร้าทางปัญญา และมีความมั่นคงทางอารมณ์ภายในครอบครัวภายใต้ภาวะทั้งก่อนคลอดและหลังคลอด จะมี IQ. สูงกว่า คะแนนในชั้นเรียนก็สูงกว่าเด็กที่ไม่ได้รับสิ่งกระตุ้นเร้าที่ดีดังกล่าว
    การศึกษานี้แสดงว่าสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมมีผลต่อความแตกต่างของ IQ. ในช่วงเกิดจนกระทั่งเข้าเรียน
    ในขณะนี้ยังสรุปไม่ได้ว่าระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม อย่างไหนจะมีอิทธิพลต่อเชาวน์ปัญญามากกว่ากัน ปัญหาในขณะนี้อยู่ที่ว่าหากทำการทดลองโดยนำทารกไปเลี้ยงดูภายใต้ภาวะสิ่งแวดล้อมที่ขาดแคลนหรืออุดมสมบูรณ์เพื่อนำมาเปรียบเทียบศึกษาในงานวิจัยโดยไม่กระทบกับปัญหาจริยธรรมแล้วจะทำได้อย่างไร ?
    มีคำถามมากกว่านั้นว่า ไม่ว่าพันธุกรรม หรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวกำหนดเชาวน์ปัญญาแล้ว จะมีอย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้อีกบ้างไหมที่เข้ามามีบทบาทอย่างสูงต่อพัฒนาการทางด้านเชาวน์ปัญญาของแต่ละบุคคล และสามารถที่จะนำไปสู่ศักยภาพที่สูงขึ้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    การป้องกันและการรักษา (Prevention and Treatment)
    ก. ขั้นปฐมภูมิ (กับพ่อแม่)
    1. ให้การศึกษาแก่ประชาชน เกี่ยวกับสาเหตุและการรักษาภาวะเชาวน์ปัญญาอ่อน
    2. โครงการด้านสังคมและเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาความยากจน ที่อยู่อาศํย การฝึกงาน บริการเกี่ยวกับการศึกษา
    3. ด้านการแพทย์ เกี่ยวกับการคลอดและการดูแลทารก
    4. การแนะแนวเกี่ยวกับกรรมพันธุ (Genetic counseling).

    ข. ขั้นทุติยภูมิ (กับเด็ก)
    1. การเสาะหาและการรักษา phenylketonuria, galactosemia, hypothyroidism และ aminoaciduria.
    2. ให้การรักษาทันท่วงทีสำหรับ bacterial meningitis, lead poisoning, subdural hematoma, hydrocephaly, craniosynostosis และ epilepsy.
    3. การรับรู้เด็กที่มีความบกพร่อง เช่น ความบกพร่องทางการรับรู้และการเคลื่อนไหว ความยากลำบากในการอ่านหนังสือ การคิดเลข หรือการเขียน ความแปรปรวนเกี่ยวกับช่วงของความสนใจ หรือ aphasias.
    4. รีบให้การรักษาเด็กที่ขาดการกระตุ้นจากวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมอย่างทันท่วงที

    ค. ขั้นตติยภูมิ ( กับเด็กและพ่อแม่ )
    1. การรักษาปัญหาทางพฤติกรรม และบุคลิกภาพ ด้วยจิตบำบัดเฉพาะตัวหรือกลุ่ม การรักษาด้วยสิ่งแวดล้อม (milieu therapy) และยา
    2. การแนะแนวแก่พ่อแม่ รวมทั้งการประคับประคอง การแนะนำ การช่วยเหลือเกี่ยวกับกิจกรรมในบ้าน การไปพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด กิจกรรมกลุ่ม
    3. การให้อยู่ในสถาบันชั่วคราว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ การฝึกหัด การเรียน การรักษา และการดูแลเด็กที่อยู่ที่บ้านไม่ได้
    4. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางด้านอาชีพ โดยเน้นเกี่ยวกับการฝึกอาชีพที่เหมาะสำหรับแต่ละบุคคล จัดสถานที่สำหรับการฝึกให้ในระยะแรก
    5. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย เพื่อแก้ความพิการทางร่างกายบางอย่างที่เกิดร่วมกับภาวะเชาวน์ปัญญาอ่อน
    6. ให้การศึกษาพิเศษ (special education) พอจะแบ่งเด็กเหล่านี้ได้เป็น 2 พวกคือ เด็กเชาวน์ปัญญาอ่อนที่ฝึกหัดได้ (trainable retarded children) มี IQ.30-49 เด็กกลุ่มนี้เรียนหนังสือได้ช้า แต่สามารถให้การฝึกหัดได้เกี่ยวกับการพูด การช่วยเหลือตนเอง การทำกิจกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันและการเข้าสังคม IQ.50-69 สามารถเรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ หลักสูตรในการสอนต้องจัดแบบง่ายและค่อยเป็นค่อยไป ทำงานช่วยเหลือตนเองประกอบอาชีพที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและมีครอบครัวได้ เด็กที่มีความพิการเกี่ยวกับสมอง ยิ่งต้องจัดการเรียนการสอนที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
     
  8. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    ใจจะขาด แล้ว เอย ........................
    งานหนัก เงินน้อย อดอยาก ไปอีกนิด...............ขอความเห็นใจ.......ฮิ ฮิ ฮิ

    กำลังหาสถานที่ แบบดี ดี ฟรี ฟรี ไม่รู้จะมีหรือเปล่า

    รู้แต่ว่า คราวนี้จะ อลังการงานสร้างเสียหน่อย

    เอา แบบ ทั้งลด ทั้ง แจก ทั้งแถม ...........เอาไหม..........ฮิ ฮิ ฮิ
     
  9. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ตาที่สาม ในวิทยาศาสตร์ทางจิต
    ต่อม pineal ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์ของสมอง, ระหว่างสองซีกโลก, ซุกอยู่ในร่องที่สองหน่วยงาน thalamic ปัดเข้าร่วม ซึ่งแตกต่างมากที่เหลือของสมองที่ต่อม pineal ไม่ได้แยกออกจากร่างกายโดยระบบอุปสรรคเลือดสมอง มันเป็นสีแดงและสีเทาเกี่ยวกับขนาดของถั่ว (8 มม. ในมนุษย์) ตั้งอยู่เพียง rostro - หลังไป colliculus ที่เหนือกว่าและอยู่เบื้องหลังและใต้ medullaris stria ระหว่างร่างกาย thalamic ตำแหน่งด้านข้าง เป็นส่วนหนึ่งของ epithalamus มันเป็นโครงสร้างที่ midline และมักจะเห็นในกะโหลกศีรษะธรรมดา X - rays, มันเป็น calcified มักจะ การกลายเป็นปูนเป็นปกติเนื่องจากการหดตัวของฟลูออไรที่พบในน้ำและยาสีฟัน มันเป็นต่อมต่อมไร้ท่อล่าสุดที่จะมีการค้นพบการทำงานของ
    อภิปรัชญา
    สถานที่ต่อม pineal ลึกในสมองดูเหมือนจะสำคัญใกล้ชิดที่ซ่อนอยู่ ในวันก่อนฟังก์ชั่นที่เป็นตาทางกายภาพที่สามารถมองเห็นเกินพื้นที่เวลาถูกค้นพบก็ถือว่าลึกลับที่เชื่อมโยงกับความเชื่อโชคลางและเวทมนตร์

    วันนี้มันเป็นที่เกี่ยวข้องกับจักรที่หกที่มีการกระตุ้นการเชื่อมโยงกับคำทำนายและสร้างความตระหนักและพลังจิตเพิ่มขึ้นเป็นสติขึ้นไป ทำหน้าที่คล้ายกับสัตว์เช่นค้างคาว ปลาโลมา เป็นต้น

    [​IMG]
    12 Around Spiraling Cones of Creation
    เริ่มต้นสร้างเป็นแหล่งที่มาของเสียงแสงและสีที่เกิดจากลูกตาเร้าใจของสติ 12 กรวย spiraling (แตร, เสียง, ฮาร์โมนิ) ออกมาในรูปวงกลมรอบ ๆ สติแหล่งที่มาเชื่อมต่อกับมันและแต่ละอื่น ๆ เพื่อสร้างโปรแกรมที่ไม่มีที่สิ้นสุดของตารางต่อไปนี้ประสบการณ์เป็นพิมพ์เขียวทางเรขาคณิตที่เราเรียกว่ารูปทรงเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์ ประกายจิตวิญญาณของเกลียวแสงจากแหล่งกลางสุ่มย้ายเข้าสู่ระบบกริดเพื่อให้มีสติประสบการณ์

    "12 ประมาณ 1 รูปแบบ"(12 = 1 +2 = 3) หรือมิติความเป็นจริงที่สามอ้างอิงทางกายภาพเป็นอะไรมากไปกว่าการทดสอบ biogenetic ขึ้นอยู่กับเวลาเชิงเส้นจะได้สัมผัสกับอารมณ์

    เราทำเครื่องหมายเวลาในรอบและลูปต่อไปนี้รูปแบบนี้ -- นาฬิกา, ปฏิทินล้อราศี,, ล้อขลัง ฯลฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    [​IMG]

    <CENTER>All-Seeing-Eye and Eye Symbole</CENTER><CENTER>ต่อม pineal นี้สามารถใช้งานได้โดยแสงและการควบคุมจังหวะชีวภาพต่างๆของร่างกาย การทำงานในความสามัคคีกับต่อม hypothalamus ซึ่งนำความกระหายของร่างกายที่หิว, ความต้องการทางเพศและนาฬิกาชีวภาพที่กำหนดกระบวนการชราของเรา เมื่อมันตื่นหนึ่งรู้สึกความดันที่ฐานของสมองที่เป็น

    ในขณะที่การทำงานทางสรีรวิทยาของต่อม pineal ที่ได้รับการที่ไม่รู้จักจนกระทั่งครั้งล่าสุดประเพณีลึกลับและลึกลับในโรงเรียนได้รู้จักกันนานพื้นที่นี้ในช่วงกลางของสมองที่จะเป็นลิงค์เชื่อมต่อระหว่างโลกทางกายภาพและจิตวิญญาณ ถือว่าเป็นแหล่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและสูงสุดของพลังงานที่ไม่มีตัวตนที่มีต่อมนุษย์ที่ต่อม pineal ได้เสมอที่สำคัญในการเริ่มต้นอำนาจเหนือธรรมชาติ การพัฒนาความสามารถของกายสิทธิ์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอวัยวะของการมองเห็นสูงกว่านี้
    </CENTER><CENTER> </CENTER>
     
  11. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ตาของพรหรือที่ตาเห็นทั้งหมดของพระเจ้าเป็นสัญลักษณ์แสดงตามักจะล้อมรอบด้วยรังสีของแสงหรือพระสิริและล้อมรอบโดยปกติสามเหลี่ยม มันถูกตีความว่าเป็นตัวแทนบางครั้งตาของพระเจ้าเฝ้าดูมนุษยชาติ นอกจากนี้ยังพบในยุคหลายและวัฒนธรรม โดยทั่วไปแล้วสัญลักษณ์ของอำนาจและตื่นตัวในการป้องกันของมีอำนาจสูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรที่มีการพิจารณาในบริบทของแสงอาทิตย์หรือสวรรค์
    [​IMG]
     
  12. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    เมื่อตาที่สามถูกกระตุ้นพร้อมกับระบบภายในของร่างกายหรือที่เรียกกันว่าการเปิดจักกระทั้งหมดจะเกิดปรากฎการณ์ ที่การทำงานทางสรีรวิทยาของต่อม pineal ที่ได้รับการที่ไม่รู้จักจนกระทั่งครั้งล่าสุดประเพณีลึกลับและลึกลับในโรงเรียนได้รู้จักกันนานพื้นที่นี้ในช่วงกลางของสมองที่จะเป็นลิงค์เชื่อมต่อระหว่างโลกทางกายภาพและจิตวิญญาณ ถือว่าเป็นแหล่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและสูงสุดของพลังงานที่ไม่มีตัวตนที่มีต่อมนุษย์ที่ต่อม pineal ได้เสมอที่สำคัญในการเริ่มต้นอำนาจเหนือธรรมชาติ การพัฒนาความสามารถของกายสิทธิ์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอวัยวะของการมองเห็นสูงกว่านี้
    [​IMG]
    ในการเปิดใช้'ตาที่สามคือการเพิ่มความถี่หนึ่งและย้ายเข้าสู่จิตสำนึกที่สูงกว่า -- ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ที่มีสติรับรู้ผ่านทางสายตาของเวลาหรือตาที่สาม การทำสมาธิ, โยคะการแสดงและทุกรูปแบบของการเดินทางออกจากร่างกายให้เปิดตาที่สามและช่วยให้คุณสามารถ'มองเห็น'เกินทางกายภาพ ในขณะที่คุณปฏิบัติคุณจะได้รับมันได้เร็วขึ้นและบ่อยครั้งมากขึ้น ความสามารถพลังจิตของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็นข้อความเวลาในฝันของคุณ คุณอาจเริ่มต้นด้วยตาของคุณปิด แต่เป็นวิธีที่คุณจะสามารถเปิดตาที่สามของคุณโดยมุ่งเน้นความสนใจของคุณและรับข้อความทางกายภาพด้วยตาของคุณเปิด การสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์ / ความถี่เร่งชี้แจงให้ดวงวิญญาณให้เพื่อนเข้าไปในอาณาจักรอื่น ๆ จะได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต ความถี่จะยังคงเพิ่มขึ้นจนหมดสติออกมาจากวิวัฒนาการทางกายภาพในไม่กี่ปีต่อไป
     
  13. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    Kundalini เป็นคำสันสกฤตหมายถึงทั้ง"ม้วนขึ้น"หรือ"ขมวดเช่นงู." เช่น -- มีจำนวนของการแปลอื่น ๆ ของคำมักจะเน้นธรรมชาติงูมากขึ้นเพื่อจะมีคำว่า 'งูกำลัง'

    สัญลักษณ์ของงู caduceus ขมวดเป็นความคิดที่จะแสดงสัญลักษณ์โบราณของ Kundalini สรีรวิทยา

    แนวคิดของการ Kundalini ที่มาจากปรัชญา yogic โบราณของอินเดียและหมายถึงปัญญาแม่หลังตื่นนอนและการสุก yogic จิตวิญญาณ
    มันอาจจะมีการยกย่องจาก yogis เป็นจัดเรียงของพระเจ้าจึงเป็นครั้งคราวของเงินทุนระยะที่

    ภายในกรอบตะวันตกของความเข้าใจมันมักจะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติของการปฏิบัติครุ่นคิดหรือศาสนาที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะของสติทั้งนำเกี่ยวกับธรรมชาติผ่านประเภทของโยคะผ่านยาเสพติดที่ทำให้เคลิบเคลิ้มหรือผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย

    ตามประเพณี Kundalini yogic ม้วนขึ้นในส่วนหลังของจักระรากในสามและครึ่งหนึ่งเปลี่ยนรอบ sacrum
    Yogic รัฐปรากฏการณ์ที่กระตุ้น kundalini มีความเกี่ยวข้องกับลักษณะของปรากฏการณ์ทางชีวภาพมีพลังที่จะกล่าวว่าเป็นประสบการณ์ somatically โดยโยคี

    ลักษณะนี้ยังเรียกว่า"ตื่น pranic" Prana ถูกตีความว่าเป็นที่สำคัญ, พลังชีวิตอย่างยั่งยืนในร่างกาย ยกหรือทวีความรุนแรงมากชีวิตพลังงานจะเรียกว่า pranotthana และควรจะมาจากอ่างเก็บน้ำที่ชัดเจนที่บอบบางของพลังงานชีวภาพที่ฐานของกระดูกสันหลัง
    พลังงานนี้จะตีความว่าเป็นปรากฏการณ์การสั่นที่ระยะเวลาเริ่มต้นหรือกระบวนการของการพัฒนาจิตวิญญาณของการสั่น

    ข้อความแหล่งที่มาของแนวคิดของการ kundalini คือ"หฐโยคะ Pradipika"เขียนโดย Swami Svatmarama (ภาษาอังกฤษแปล, 1992) บางแห่งในระหว่างศตวรรษที่สิบสองและสิบห้า การตรวจสอบของหัวข้อใด ๆ ควรจะรวมถึงงานนี้ pradipika เป็นหนึ่งในการพัฒนาภายหลังในข้อความศักดิ์สิทธิ์โยคะ
    หฐโยคะคือการพูดอย่างเคร่งครัดเป็นเทคนิคที่มีการบังคับให้เป็นจุดมุ่งหมายหลักของการบังคับที่เกิดขึ้นจาก kundalini

    เน้นหลักเป็นระบอบการปกครองที่ยากของเทคนิคการหายใจหมายถึงการเพิ่มการจัดเก็บของ"Prana"ในร่างกาย ที่รู้จักกันดีท่ามีความหมายทางกายภาพเท่านั้นที่จะช่วยในการรักษาสมรรถภาพทางกายสูงสุดเพื่อให้เป็นไปสนับสนุนการทำงานจริงของการปฏิบัติที่หายใจ ทั้งหมดนี้มีตามประเพณีที่จะมาพร้อมกับฝึกสมาธิเป็นเวลานานและติดต่อกัน (ซึ่งข้อความหลักคือ"สูตรของโยคะ Patanjali") ข้อความที่กล่าวว่าโชคดีที่ดีคือความต้องการอื่น ieluck สำหรับขั้นตอนที่จะประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามเทคนิคเหล่านี้ไม่ได้โดยไม่มีอันตราย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    Kundalini และสรีรวิทยา
    วรรณกรรมร่วมสมัยทางจิตวิญญาณมักจะบันทึกว่าจักระตามที่อธิบายไว้ในเอกสารลึกลับ kundalini, หมีความคล้ายคลึงกันที่แข็งแกร่งในสถานที่และจำนวนของต่อมไร้ท่อที่สำคัญเช่นเดียวกับการรวมกลุ่มของเส้นประสาทที่เรียกว่า ganglions

    หนึ่งการเก็งกำไรก็คือการปฏิบัติแบบดั้งเดิมมีวิธีการอย่างเป็นทางการเพื่อกระตุ้นต่อมไร้ท่อในการทำงานในโหมดที่แตกต่างกันซึ่งมีผลโดยตรงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการหมดสติในที่สุดอาจจะโดยการกระตุ้นการปล่อยของ DMT โดยต่อม pineal ซึ่งอาจจะคล้ายคลึงกับ 'จักร pineal'

    ปลาย Itzhak Bentov Kundalini ศึกษาจากมุมมองของวิศวกรรม ตามที่ Bentov (1990), การสั่น 7.5 เฮิร์ตซ์ของจังหวะการเต้นของกล้ามเนื้อหัวใจทำให้เกิดความถี่เฮิร์ตซ์กลในสมองที่ในการเปิดสร้างเทียบเท่ากระตุ้นของวงในปัจจุบัน ที่ปลายประสาทในวงที่สอดคล้องกับเส้นทางผ่านซึ่ง Kundalini ที่"เพิ่ม"ที่

    ปัจจุบันนี้ polarizes ส่วนที่สมองผ่านทางที่มันไหลเป็นเนื้อเดียวกันในทางที่มีประสิทธิภาพการปล่อยจำนวนมหึมาของความเครียดออกจากร่างกาย ร่างกายแล้วจะกลายเป็นเสาอากาศที่มีประสิทธิภาพสำหรับความถี่ 7.5 เฮิร์ตซ์ซึ่งเป็นหนึ่งของความถี่ที่สะท้อนจากบรรยากาศรอบนอกโลก ในแง่คนธรรมดาแล้วคุณรับข้อมูลจากทางอากาศ

    ซึ่งอาจบัญชีสำหรับคำอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกของความรู้สึกความเป็นผลจากการเพิ่มขึ้น Kundalini, เช่น ที่อธิบายไว้โดย Yogananda :"บริเวณใกล้เคียงทั้งวางเปลือยก่อนที่ฉันมองเห็นหน้าผากของฉันสามัญได้เปลี่ยนตอนนี้จะเห็นทรงกลมขนาดใหญ่พร้อมกันทุกเฉลียว.."
     
  15. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    มีคำถามมาสด ๆ ร้อน ๆ.................

    คนที่ไม่มีพื้นความรู้ด้านนี้เลย ไม่ชอบเรียนรู้เลย จะให้พวกเค้าช่วยเหลือตัวเอง ได้อย่างไร เมื่อเกิดวิกฤต อย่างเช่นข่าวแบบปัจจุบัน ในเหตุการณ์น้ำท่วม

    การแก้ปัญหา กับการอยู่กับปัญหา ที่แตกต่าง สภาพสังคมที่แตกต่าง หรือ จะเก็บเกี่ยวแต่เฉพาะกลุ่มที่เชื่อและพวกพ้อง เท่านั้น

    .....................

    ความรักที่ไร้ขอบเขต.............จะมีจริง ๆ ๆ หรือ
     
  16. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
     
  17. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    จริง ๆ การวัดค่า ฝ่ายดี และ ไม่ดี ก็อยู่ที่ตนเองเป็นหลัก แต่หากการนำคำพูด คำวิจารณ์ มาประกอบ อาจยังมองไม่ชัดได้ ถึงสิ่งที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ นี้ได้ จึงต้องใช้หัวใจและความเที่ยงของคุณธรรม พิจารณา ประกอบกับความเมตตาเป็นฐาน
    ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถวัดค่าพื้นฐานได้ ในระดับหนึ่ง

    และอาจเอา การกระทำมาประกอบถึงค่าการเปลี่ยนแปลง เข้าไปอีก

    สุดท้ายสรุป ความมีค่า หรือคุณค่า ดี หรือ ไม่ดี มันอยู่ที่เราได้ประโยชน์หรือใครได้ประโยชน์

    แค่นั้นเอง .......................บททดสอบพื้นฐาน จริต มนุษย์ จะร่วนเรเช่นใด
     
  18. suphattra

    suphattra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +19
    โอ๊ยยย ไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนาน เข้าหน้าที่ 8เเลัว อิอิ
     
  19. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    เป็นนิมิตรของสี จำไว้ว่าอย่ายึดอย่าติดเห็นแล้วก็ดเห็นไปสมาธิต้องอยู่ที่สติเห็นแล้วก็บอกว่าเห็นหนอแล้วปล่อยเป็นจิตที่ยังไม่ละเอียดต้องหมั่นฝึก อย่าตามอะไรจริงก็จะอยู่นาน
     
  20. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    เราก็เห็นแบบนี้เป็นพื้นฐาน พอดูไปนาน ๆ กลายเป็นหน้าคน ดูไปเรื่อย ๆ มันพาเข้าไปในความมืดแล้วก็สว่าง พอตอนนี้ รู้สึกสมาธิหลุดเข้าไปในความฝันเสียแล้ว ตอนนี้ก็กลายเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ไปในแต่ละวัน ในกิจกรรมที่มีการเรียนรู้ หลาย ๆ แบบ

    แต่ที่สังเกตเห็นคือ ค่าของสีเปลี่ยนไปตามบุคคลที่มา มวล และ ความละเอียด ก็จะแตกต่างกันไป

    ระยะเวลา ของการเกิด ก็จะทำให้ภาพเปลี่ยนไป บงครั้งเหมือนเรากำลังดูหนังสักเรื่อง ที่เรามีความรู้สึกอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ เสียเอง แต่เราไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้เอง มี่จะเป็นค่า แห่งอดีต หรือค่าแห่งอนาคต นั่นเอง

    สิ่งสำคัญ ของการมี ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย สำหรับเราคิดว่า เป็นการต่อท่อยาวออกไปของระบบจักรวาล ระบบพันธุกรรม และ รวมถึง พุทธศาสนา และอีกหลาย ๆ ศาสนาเช่นกัน

    ถ้าหากเรามั่วไปแสวงหาความสุข ส่วนใหญ่ โดยที่บางกลุ่มไม่ได้สนใจศาสนาเลย ในที่สุด ศาสนาก็จะเสื่อมลง เช่นเดียวกับ อาณาจักร ต่าง ๆ ในอดีต มีความรุ่งเรืองสูงสุดและก็ตกต่ำสุด มันเป็นเช่นนั้นเอง และเพื่อประโยชน์อันใด ที่ต้องการมีไว้ครอบครอง...................
     

แชร์หน้านี้

Loading...