ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    บางข้อคิดเห็นเกี่ยวกีบหนี้สินของสหรัฐอเมริกา ครับ

    ...หนี้เงิน 14 Trillion, ที่เป็นหนี้นั้น ผมเคยอธิบายให้ง่ายขึ้นแล้ว?ว่ามากมายขนาดไหน ถ้าเอาหนึ่งดอลลาร์มากองซ้อนต่อเรียงกัน มันจะได้ความยา...ว 949,200 ไมล์ ซึ่งมันยาวประมาณเท่ากับการ?เดินทางระหว่างโลกไปกลับดวงจันทร์ถึง 2 รอบ (โลกดวงจันทร์ระยะทาง = 234,878 ไมล์)
    หนี้มากมายขนาดนี้ เขาคิดจะใช้หนี้กันไหมครับ??
    คำตอบที่ง่ายสั้นและชัดเจนค?ือ NO
    เขาไม่ได้กู้มาเพื่อใช้หนี้? แต่เขากู้มาใช้จ่าย เราต้องยอมรับกันว่า อเมริกามีศักยภาพในการรบ และอาวุธที่เหนือใครในจักรวาลนี้ และสำคัญที่สุดคือ อเมริกาคื?อตำรวจโลกครับ...อเมริกาคือมาเฟียในมาดผู้ดี?นักเลง ที่สามารถยื่นข้อเสนอประเทศใดๆ, เมื่อไร, แล้วประเทศนั้นต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนที่จะปฏิเสธ
    เศรษฐกิจการเงินของอเมริกาที่หนักหนาสาหัสขณะนี้ เป็นเพียงเกมการเมืองที่นักการเมืองผิวขาวขนานแท้ดึงเกมไว้ เพื่อมั่นใจว่า "นักการเมืองผิวดำ" คนนี้จะไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัยหนึ่ง ใครมีเงินเหลือใช้ ตอนนี้ ผมแนะนำว่าให้มาลงทุน?ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ราคาถูกมากๆ...อีก 4 ปี รับรองบูมส์ส์ส์แน่ๆ
    และสุดท้ายที่ผมบอกว่า ยากส์ส์ส์ที่จะล่มสลายนั้น เพราะอเมริกาไม่เคยใช้ทรัพยากรธรรมชาติของตัวเอง อเมริกาปล้นทั้งทางตรง คือซื้อ และทางอ้อม คือส่งกองทัพพาลห?าเรื่องไปยึดมาเฉยๆ เอามาใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ ส่วนของตัวเองที่มากมายมหาศ?าลนั้น เก็บเอาไว้ให้ลูกหลาน, เหลน, ?โหลนครับ
    จีนรู้เรื่องนี้ดี จึงปล่อยหนี้ได้เรื่อยๆ จ่ายช้าก็ยังดีกว่าไม่จ่าย และถ้าจะพูดกันไป จะหาลูกหนี้ที่ฟุ่มเฟือย ขายอะไรก็ได้ ซื้อง่ายขายคล่อง อย่างอเมริกา จะไปหาที่ไหนครับ...


    แหล่งที่มา www.thaipost.net คอลัมน์ เปลว สีเงิน 9 ส.ค.54
     
  2. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ...สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า...ความล้มเหลว เสื่อมถอย ของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่กำลังแทบหาทางออกไม่เจออยู่ในขณะนี้ มันจะส่งผลให้ระบบการเมือง การปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบทุนนิยม จะต้องปรับตัว ปรับทิศทาง ตามความเป็นไปทางเศรษฐกิจหรือไม่ อย่างไร โดยเฉพาะถ้าหากระบบการเมืองชนิดนี้มันกำลังกลายเป็นตัวฉุดดึงให้สังคมต่างๆ ประเทศต่างๆ เดินหน้าไปสู่ความฉิบหาย หรือ พัฒนาไปสู่ความฉิบหาย อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นๆ ประชาธิปไตยในบางรูป บางแบบ ที่นักคิด นักวิชาการบ้านเรา อย่าง ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช เรียกว่า ประชาธิปไตยพอเพียง จึงเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสนใจ อยู่ไม่น้อย...


    คัดลอกจาก ประชาธิปไตยกับเศรษฐกิจทุนนิยม | ไทยโพสต์
     
  3. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ดีเดย์ 3G ดีแทค 16 ส.ค. ลูกค้าเก่าใช้ได้เลย

    ดีแทค ลุยเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 850 MHz ในพื้นที่ให้บริการตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2554 ยันให้บริการตามสัญญาสัมปทานปัจจุบัน หวังขึ้นเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายดาต้าที่ดีที่สุด ลูกค้าเก่าสามารถใช้งาน 3G ได้ทันทีในเขตกรุงเทพมหานคร เพียงมีอุปกรณ์ที่รองรับ...
    ...
    นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ ดีแทค กล่าวว่า การเปิดให้บริการ dtac 3G ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาบริการให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการที่ครอบคลุมต่อไป ลูกค้าดีแทคทุกหมายเลขมีสิทธิ์ใช้บริการ dtac 3G ได้ในพื้นที่ให้บริการของเราในเขตกรุงเทพมหานคร เพียงมีมือถือหรืออุปกรณ์ที่รองรับ 3G บนคลื่น 850 MHz และใช้งานในพื้นที่ให้บริการ

    โดยสามารถใช้บริการได้เหมือนการใช้งานดาต้าที่เคยใช้อยู่ด้วยความเร็วสูงและคุณภาพสัญญาณดีกว่าเดิม ไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มจากเดิมแต่อย่างใด ทั้งนี้มั่นใจว่าบริการ dtac 3G มีจุดเด่นในด้านความเร็ว (speed) สูงที่สุดเนื่องจากดีแทคมีช่องสัญญาณแบนด์วิธขนาดใหญ่มากถึง 10 MHz รองรับการใช้งานได้มากกว่า...

    ปัจจุบัน ดีแทคลงทุนเพื่อปรับปรุงเครือข่ายสู่ระบบ 3G ครอบคลุมสถานีฐาน (Cell Site) ทั้งหมด 1,220 แห่งและมีแผนการที่จะลงทุนเพื่อครอบคลุม 40 จังหวัดด้วยสถานีฐานทั้งหมด 2,000 สถานี ภายในปี 2555 ลูกค้าดีแทคสามารถตรวจสอบพื้นที่บริการ รายละเอียดอื่นๆ รวมทั้งอุปกรณ์หรือมือถือรุ่นที่รองรับ 3G และการตั้งค่ามือถือได้ที่ www.dtac.co.th/3G (เริ่มใช้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคมนี้)

    ทั้งนี้ ลูกค้าดีแทคปัจจุบันที่ใช้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตแบบไม่จำกัด (Unlimited) สามารถใช้ dtac 3G ได้ทันที สำหรับลูกค้าที่ใช้งานแพ็กเกจอื่นๆ สามารถกด *3000# และกดโทรออก (ไม่คิดค่าบริการ เริ่มใช้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม) เพื่อใช้บริการ dtac 3G ได้ ระบบจะอัปเกรดจาก EDGE เป็น 3G อัตโนมัติเมื่อใช้งานในพื้นที่ให้บริการ โดยลูกค้าชำระค่าบริการดาต้าปกติตามแพ็กเกจเดิมที่เลือกไว้ ไม่มีค่าบริการใช้งานเพิ่ม

    แหล่งที่มา Telecom - Manager Online
     
  4. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ศรีอยุธยา (1)

    เรื่องอมรรัตนโกสินทร์แล้ว ยังนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรต่อ แม้แต่เรื่องอมรรัตนโกสินทร์ เดิมก็คิดว่าจะเล่าพอเอาสนุก เพราะไม่ได้เขียนสารคดีหรือทำวิทยานิพนธ์ กะว่าสัก 10 ตอนคงจบ เอาเข้าจริงก็ติดลมบนลมล่าง มีคนโน้นถามมาบ้าง ขอให้ขยายความบ้าง สงสัยเรื่องโน้นเรื่องนี้มาบ้าง เขียนไปเขียนมาจนงอกเป็น 25 ตอน

    เรื่องของประวัติศาสตร์นั้น ถ้าเล่าให้น่าเบื่อก็จะน่าเบื่อ แต่ถ้าจะเล่าให้สนุกก็สนุก วิธีทำให้สนุกมีหลายวิธี สมัยเด็ก ๆ ถ้าได้ฟังประเภทพระอาทิตย์ทรงกลด แผ่นดินไหว อสุนีบาตฟาดเปรี้ยงจนยอดปราสาทหัก หรือขณะไฟไหม้พระมหาปราสาท สมเด็จพระนารายณ์ราชกุมารแม้ทรงพระเยาว์ก็หาญกล้าสะบัดมือจากพระพี่เลี้ยงเสด็จขึ้นไปดับไฟผู้คนหวีดร้องกันอึง บัดนั้นก็เห็นเป็นเงาดำรูปคนสี่พระกรแกว่งจักรอยู่กลางกองเพลิง ไฟก็ดับลง หรือตอนโกษาปานไปฝรั่งเศส เรือตกลงในทะเลวนจนต้องอธิษฐานบนบาน เรือจึงลอยขึ้นมาได้ อย่างนี้ละแหม! สนุกนัก

    โตขึ้นถูกบังคับให้จำ พ.ศ. วันเดือนปีขึ้นกี่ค่ำแรมกี่ค่ำ พม่ายกมากี่คน มาทางทิศไหน ใช้เวลากี่วัน ความสนุกเลยเหือดหายไปหมด ได้แต่พึมพำว่า “จำไปทำไม (วะ)”

    โตขึ้นกว่านั้นกลายเป็นต้องมาขบคิดสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน เช่น เหตุใดพม่าจึงพากเพียรจะต้องยึดไทย เหตุใดไทยจึงต้องเข้ายึดลาว เหตุใดเราจึงต้องคบพระเจ้ากรุงจีน เหตุใดเราต้องส่งทูตไปฝรั่งเศส เหตุใดเราจึงต้องเสียกรุง เหตุใดพระยาตากซึ่งมีเชื้อสายจีนและไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตมาก่อน นอกจากเจ้าเมืองบ้านนอกแถบตะเข็บชายแดนจึงสามารถชนะใจผู้คนตั้งตนเป็นผู้นำได้สำเร็จ ความสงสัยอย่างนี้ชวนให้สนุกอีกแบบ พอแก่ตัวลงกว่านั้นสิ่งที่เคยนึกว่ารู้กลายเป็นว่ามีคนชวนให้สงสัยอีกแล้วว่าข้อมูลเดิมถูกต้องไหม เช่น ไทยมาจากไหน ศิลาจารึกพ่อขุนรามฯ ทำขึ้นเมื่อใด พระมหาอุปราชของพม่าทำยุทธหัตถีจนแพ้และถูกพระนเรศวรฟันด้วยพระแสงของ้าวจริงไหม ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นต้น นี่ก็สนุกแต่น่าปวดหัว

    ประวัติศาสตร์มีประโยชน์ตรงช่วยให้เรารู้จักตัวเรา อเมริกาเขามีอายุแค่ 200 ปีเศษ แต่เขาก็ภูมิใจในประวัติศาสตร์ 200 ปีเศษของเขา คนอเมริกานั้นใครจะตบหัวลูบหลังด่าทออย่างไรก็ไม่ว่า แต่อย่าทะลึ่งไปดูหมิ่นเหยียดหยามธงชาติและเพลงชาติของเขาเป็นอันขาด

    ไทยเรามีประวัติความเป็นมายาวนาน บางเรื่องแม้ไม่นานขนาดก่อนคริสตกาลพุทธกาลเราก็อดภาคภูมิใจในความเป็นตัวเป็นตนของเรา ความมีรากเหง้าอันยาวนานของเราไม่ได้

    ประโยชน์ต่อไปคือประวัติศาสตร์เป็นองค์ความรู้ที่สืบสาวราวเรื่องแตกลูกแตกหลาน และต่อยอดไปถึงเรื่องต่าง ๆ ได้อีกหลายเรื่อง เพราะในท่ามกลางกาลเวลาและเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นั้นย่อมมีความสำเร็จ ความล้มเหลว มีตัวบุคคล มีขนบธรรมเนียมประเพณี ชื่อเสียงเรียงนาม ชื่อบ้านนามเมืองหลายต่อหลายอย่างผุดขึ้นมา คนจะมีความรู้ทางนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ อักษรศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และอีกสารพัดศาสตร์ จึงควรมีความรู้ทางประวัติศาสตร์อยู่บ้าง มิฉะนั้นจะรู้แต่เรื่องปัจจุบัน แล้วถวิลหาแต่อนาคต โดยไม่รู้ความเป็นมาในอดีต

    ประโยชน์ที่เกี่ยวเนื่องกันและเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่คือการได้บทเรียนจากอดีตในสิ่งที่สำเร็จและล้มเหลวมาแล้ว มีคนพูดว่าประวัติศาสตร์เหมือนวงล้อเกวียน นี่คงเทียบมาแต่สมัยที่มนุษย์นั่งเกวียน วันนี้จะเทียบกับล้อแม็กก็ได้ วงล้อนี้หมุนไปหมุนมาย่อมทับรอยเดิมของตัวฉันใด ประวัติศาสตร์ก็ฉันนั้น บางอย่างเราสามารถเรียนรู้ภูมิปัญญาในอดีต เช่น ตำรายา ตำราข้าวปลาอาหาร ของคาว ของหวาน ตำราโหร ตำราเกษตร บางอย่างเราสามารถเรียนรู้กลวิธีในอดีต ดังที่วันนี้ทหารก็ยังต้องเรียนรู้วิธีรบทัพจับศึกของสมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเจ้าตากสิน รัชกาลที่ 1 และกรมพระราชวังบวรฯ ในสงคราม 9 ทัพ ตลอดจนวิธีปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นและวิธีการทูตของไทยในอดีต เหล่านี้คือบทเรียนจากประวัติศาสตร์

    มีผู้ใหญ่หลายคนแนะว่าถ้างั้นย้อนกลับไปเขียนเรื่องกรุงศรีอยุธยาสิ เอาแบบง่าย ๆ เล่าสนุก ๆ อย่างเดิม ผู้ใหญ่อีกคนแนะว่าแต่ไม่ต้องยาวขนาดเทียบบัญญัติ ไตรยางศ์ว่ากรุงรัตนโกสินทร์ 9 รัชกาลยังว่าเสีย 25 ตอน อยุธยามี 34 รัชกาลมิยาวถึง 80 ตอนหรือ ท่านกระซิบว่าเกรงว่าจะอยู่ไม่ทันถึงตอนจบ!

    อย่างนั้นเห็นจะเล่าพอสัณฐานประมาณ และพยายามหลีกเลี่ยงรายละเอียดที่ยังโต้แย้งกัน อะไรที่ไม่น่าสนุกก็อาจข้าม ๆ ไปบ้างโดยไม่ให้เสียเนื้อความ โดยขอให้ชื่อเรื่องว่า “ศรีอยุธยา” ซึ่งเป็นชื่อกรุงก่อนจะตั้งกรุงธนบุรีและกรุงเทพฯ คำนี้สำคัญเพราะเมื่อตั้งกรุงเทพฯแล้วยังใช้คำว่ามหินทรายุธยา เป็นสร้อยนามของกรุงเทพฯ ในท่อนที่ว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์”

    อ้อ! ไม่ต้องกลัวหรอกครับว่าจบเรื่องศรีอยุธยาแล้ว ผมจะต่อด้วยมหาดิลกภพ และนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ ไปจนถึงวิษณุกรรมประสิทธิ์ เพราะผมเองก็เบื่อตัวเองเป็นเหมือนกันนะครับ

    ก่อนมีกรุงเทพมหานครฯ ที่เราเรียกว่ากรุงรัตนโกสินทร์ และก่อนมีกรุงธนบุรี ซึ่งเราเคยเรียกสองกรุงนี้รวมกันว่าบางกอก แล้วแต่จะพูดถึงบางกอกฝั่งตะวันตก (ธนบุรี) หรือฝั่งตะวันออก (พระนคร) เราเคยมีกรุงอันยิ่งใหญ่ไพศาลมาก่อนชื่อกรุงศรีอยุธยา อยู่ทางเหนือของบางกอก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก รูปพรรณสัณฐานเหมือนเกาะเพราะมีน้ำล้อมรอบ แม้บางช่วงจะเป็นคลองขุดจนเป็นลำน้ำล้อมอยู่ก็ตาม เดี๋ยวนี้คนรุ่นเก่าบางคนก็ยังเรียกว่า “เกาะเมือง” หรือ “เกาะกรุง” เพราะจะเข้าจะออกต้องข้ามสะพาน ความเป็นเกาะนี้จะว่าดีก็ดี เพราะช่วยกันข้าศึกได้ จะว่าเสียก็เสียเพราะถ้าข้าศึกปิดล้อมอยู่นอกเกาะ เราก็ไปไหนไม่รอด

    ฝรั่งแล่นเรือรอบกรุงแล้ววาดแผนที่อยุธยาเป็นรูปคล้ายเรือสำเภาหรือถุงตะแคงอยู่ สมัยนั้นไม่ได้ใช้แผนที่ทางอากาศนี่ครับกูเกิลก็ยังไม่มี ชื่อกรุงตามทางการเรียกว่า กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา ซึ่งเรารับเอาชื่อนี้มาดัดแปลงเรียกเป็นชื่อทางการของกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ในเวลาต่อมา บางครั้งก็เรียกแบบรวบรัดว่ากรุงเทพมหานครด้วยซ้ำ คนอ่านประวัติศาสตร์จึงต้องระวังอย่าปะปนกับกรุงยุคปัจจุบัน

    เราถือธรรมเนียมมาแต่โบราณว่าเมืองใด กรุงใด (หมายถึง เมืองริมแม่น้ำสายใหญ่) เป็นราชธานีที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เมืองนั้นกรุงนั้นมีชื่อว่ากรุงเทพ มหานครทั้งสิ้น ส่วนสร้อยว่า “ทวาราวดีศรีอยุธยา” นั้นเป็นเพราะเดิมก่อนจะตั้งกรุงศรีอยุธยาทุกวันนี้เคยมีเมืองโบราณอยู่นอกเกาะเมืองอยู่ก่อนแล้ว เรียกกันว่าอโยธยาศรีรามเทพนคร วัดนอกเกาะชื่อ วัดมเหยงค์ วัดพนัญเชิงที่มีพระนั่งองค์ใหญ่ หรือแม้แต่วัดธรรมิกราชในเกาะเมืองซึ่งยังมีหลักฐานมาจนบัดนี้ล้วนมีมาก่อนพระเจ้าอู่ทองตั้งกรุงศรีอยุธยาทั้งสิ้น พระเจ้าอู่ทองซึ่งยังเถียงกันอยู่ว่ามาจากไหน บ้างก็ว่าหนีโรคระบาดมาจากอู่ทองแถวเมืองสุพรรณบุรี บ้างก็ว่ามาจากทางเหนือ บ้างก็ว่าคงแถว ๆ ลพบุรี แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าขึ้นจากทางใต้แถวสุไหงโก-ลกหรือยะลา ได้นำผู้คนอพยพมาอยู่ที่อโยธยาแห่งนี้เป็นครั้งแรก

    ต่อมาจึงขยับขยายไปตั้งเมืองในตัวเกาะแถวหนองโสนหรือบึงพระรามในบัดนี้ เมื่อคำนวณวันเวลาจากปูมโหรและพระราชพงศาวดารแล้ว น่าจะเป็นวันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ พ.ศ.1893 เป็นอันว่าเริ่มวันที่ 1 ปีที่ 1 แห่งการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และอยู่ยั้งยืนยงมารวม 417 ปีจึงแหลกสลายลง มีกษัตริย์ปกครอง 34 พระองค์ เราเรียกพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ว่าสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า เวลาที่ต้องมีพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณอดีตพระมหากษัตริย์ เช่น คราวรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นไปบวงสรวงที่พลับพลาจัตุรมุข พระนครศรีอยุธยาหรือคราวรัชกาลปัจจุบันทรงครองราชย์ครบ 60 ปี มีพระราชพิธีบวงสรวงที่พระที่นั่งชุมสาย หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ใน พ.ศ.2549 ก็ได้ออกพระนามพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทั้ง 34 พระองค์ โดยเฉพาะพระเจ้าอู่ทอง พระผู้สร้างกรุงศรีอยุธยานั้น ถือมาตลอดกรุงศรีอยุธยาว่าเป็น “พระเทพบิดร” หรือ Founding Father ของพระนคร เวลาดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา ข้าราชการสมัยอยุธยาต้องไปถวายสัตย์ปฏิญาณต่อดวงพระวิญญาณเสมอ

    ชื่อ “อยุธยา” หรือ “อโยธยา” แปลว่ายากที่ผู้ใดจะรบด้วยจนได้ชัยชนะ แปลอีกอย่างก็ได้ว่าเมืองที่ไม่เคยพ่ายแพ้ เป็นการตั้งเอาเคล็ดตัดไม้ข่มนาม ฝรั่งที่เข้ามาภายหลังเรียกตามพม่าและมอญว่า โยเดีย คงกระดกลิ้นเรียกแบบไทยยาก ชื่ออยุธยาตรงกับชื่อเมืองที่พระอินทร์ใช้ให้พระวิษณุกรรมไปสร้างขึ้นให้เป็นที่อยู่ของท้าวอโนมาตัน พระชนกของท้าวอัชบาล และต่อมาตกเป็นของพระรามผู้เป็นพระราชโอรส ของท้าวอัชบาลตรงกับคตินิยมว่า พระมหากษัตริย์คือพระรามซึ่งต้องครองกรุงศรีอยุธยา

    อีกประการหนึ่งการนำเอาคำว่าทวาราวดีมาใช้เพราะกรุงทวาราวดีเป็นเมืองมีน้ำล้อมรอบและมีประตูหลายด้านตรงกับลักษณะของกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ตรงกับลักษณะของกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะไม่มีแม่น้ำล้อมรอบ รัชกาลที่ 1 จึงทรงตัดคำว่าทวาราวดีออก แล้วทรงเปลี่ยนสร้อยนามพระนครเป็นบวรรัตนโกสินทร์แทน เพราะเป็นที่อยู่ของพระแก้วมรกตอันพระอินทร์เนรมิตขึ้น และทรงรักษาคำว่า “อยุธยา” ไว้ แต่แทนที่จะเป็นกรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยา ก็ให้เป็นกรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยาฯ ซึ่งแปลว่ายิ่งใหญ่เหนืออยุธยา ภายหลังรัชกาลที่ 4 เปลี่ยนคำว่า “บวร” เป็นอมร จนถึงบัดนี้

    ศรีอยุธยาหรือกรุงศรีอยุธยาอันยิ่งใหญ่เริ่มต้นขึ้นแล้ว!.

    ชื่อ “อยุธยา” หรือ “อโยธยา” แปลว่ายากที่ผู้ใดจะรบด้วยจนได้ชัยชนะ แปลอีกอย่างก็ได้ว่าเมืองที่ไม่เคยพ่ายแพ้ เป็นการตั้งเอาเคล็ดตัดไม้ข่มนาม ฝรั่งที่เข้ามาภายหลังเรียกตามพม่าและมอญว่า โยเดีย

    วิษณุ เครืองาม
    wis.k@hotmail.com

    ขอขอบคุณ
    Daily News Online > หน้าวาไรตี้ > ศรีอยุธยา (1)
     
  5. Florence125

    Florence125 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอเชิญท่านผู้ศรัทธาสมเด็จพระสุพรรณกัลยาทุกท่าน ร่วมพิธีบวงสรวงฯ สร้างพระบรมรูปสมเด็จพระสุพรรณกัลยา (หุ่นขี้ผิ้ง) ในวันศุกร์ที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐-๑๑.๓๐ น. ที่วัดตาลเอน อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2011
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สวัสดีค่ะคุณ Florence

    พี่สายไม่มีความรู้เรื่องครุฑกับนาค ตอบคำถามที่ส่งมาตาม sms ไม่ได้จริงๆ อิอิ

    ------------------------------------------------------------------------

    ตอนนี้กับอินกับราคาข้าวของแพง จริงๆก็คล้อยตามคุณชูวิทย์เหมือนกันนะ

    อ่านในblogหนึ่งเขาเขียนไว้ว่าคนไทยปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ เอง ทำไมพวกเราจึงยังต้องกินข้าวแพง เนื้อสัตว์แพง แล้วเหตุผลจะจริงตามที่คุณชูวิทย์พูดจริงไหม

    คุณชูวิทย์ช่วยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างทีนะ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่งค่ะ

    ขอ้มูลดังนี้

    Tuesday, June 21, 2011

    ชูวิทย์ พูดโดนจริงๆ ของแพงเพราะ CP



    ดูใน Youtube เฮียชูวิทย์พยายามอธิบายว่า ทำไมสินค้าแพง เออ ทำไมอ่ะ
    • ไข่ ไก่ หมู เนื้อ ของไทย ราคาพอๆกับ ของอเมริกา
    • ค่าแรงขั้นต่ำไทย วันละ 215 บาท
    • ค่าแรงขั้นต่ออเมริกา วันละ 1715 บาท
    • ค่าแรง คือ ต้นทุนการผลิต
    • อเมริกา มีต้นทุนการผลิตแพงกว่าไทย แต่ทำไมขายของได้ราคาพอๆกัน
    ชูวิทย์ตอบว่า CP เป็นคนกำหนดราคา โดยอ้างว่า
    • ต้นทุนสูง
    • ราคาจึงต้องสูง
    ซึ่งโกหก เพราะเทียบดูจากอเมริกา เราต้นทุนต่ำสุดในโลกเลยก็ว่าได้นะ

    ชูวิทย์ บอกว่า CP ให้เงินนักการเมืองทุกพรรค จึงไม่มีพรรคไหนกล้าต่อต้าน CP
    โห... ตาสว่างกันบ้างหรือยังพวกเธอว์

    Posted by เมพขิง at <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://lordbsd.blogspot.com/2011/06/cp.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2011-06-21T18:57:00-07:00>6:57 PM</ABBR> [​IMG] [​IMG]

    เรื่องจากข่าว: ชูวิทย์ พูดโดนจริงๆ ของแพงเพราะ CP
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    ตลับแป้งทองคำรูปสิงโตปักกิ่ง หนึ่งในเครื่องทองจากกรุวัดราชบูรณะ​
     
  9. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    เรื่องน่ารู้ ปฏิเสธการยื้อชีวิต

    เพราะชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน...เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตนเองและคนใกล้ชิด แต่ก็สุดที่จะทัดทานได้ ความเจ็บปวดทรมานจากโรคที่รุมเร้า บางครั้งคนไข้ก็อยากที่จะเลือกจากไปดีกว่าที่จะต้องมานอนทรมานตนเองและสร้างภาระให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะรู้ว่าการอยู่ต่อไปก็เป็นเพียงการยืดเวลาในวาระสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น!!

    ปัจจุบันคนไข้สามารถใช้สิทธิปฏิเสธการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิตได้แล้ว โดย นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เป็นไปตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ในมาตรา 12 โดยเป็นการเขียนหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตไว้ล่วงหน้า เมื่อยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์อยู่

    “ต้องเข้าใจด้วยว่า หนังสือแสดงเจตนาฯ ไม่ใช่นิติกรรม แต่เป็นการเขียนหนังสือขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่า มีเจตนาปฏิเสธการรักษาหรือบริการสาธารณสุขที่เกินความจำเป็นในเรื่องวาระสุดท้ายของการเข้ารับการรักษาก่อนที่จะไม่รู้สึกตัว เช่น ไม่เจาะคอเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจ การใส่เครื่องช่วยหายใจ การปั๊มหัวใจ ไม่ใส่สารกระตุ้นหัวใจ การให้สารอาหารและน้ำทางสายยาง เป็นต้น ที่เป็นการยืดการเสียชีวิตออกไป โดยที่ร่างกายไม่มีทางกลับฟื้นดีขึ้นมาได้ ถือเป็นทางเลือกหนึ่ง เพราะจะเขียนหรือจะไม่เขียนก็ได้ ไม่ได้มีการบังคับ”

    ทุกวันนี้ ในกรณีผู้ป่วยรู้สึกตัว แพทย์เจ้าของไข้ต้องพูดคุยกับผู้ป่วยถึงขั้นตอนการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล หรือจะรักษาต่อเนื่อง แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวแพทย์เจ้าของไข้ต้องพูดคุยกับญาติ ซึ่งในกรณีดังกล่าวมักเกิดปัญหาขึ้น เพราะญาติแต่ละคนมีความคิดเห็นแตกต่างกันและอาจขัดแย้งกันเอง

    อีกทั้ง การตัดสินใจของญาติอาจไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วย ซึ่งในต่างประเทศเมื่อเกิดปัญหาทำนองนี้ จึงมีกฎหมายลีฟวิ่ง วิล (Living Will) เจตจำนงที่เขียนตอนมีชีวิตอยู่ หรือบางครั้งเรียกว่า แอดวานซ์ ไดเร็กทีฟ (Advance Directive) คำสั่งล่วงหน้า รองรับไว้ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้มาก เพราะแพทย์จะได้ทราบเจตนาของผู้ป่วย และทำตามได้ถูกต้อง ทั้งนี้ เมื่อมีการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ญาติสนิทควรรับรู้ในฐานะพยาน เพื่อจะได้รับรู้ว่า ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาต้องการอะไรบ้าง เมื่อแพทย์ทำการรักษาจะได้เข้าใจตรงกัน “แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยตามหลักวิชาการทางการแพทย์ว่า เป็นวาระสุดท้ายของชีวิตหรือไม่ โดยจะต้องอธิบายการดำเนินของโรคและแผนการรักษาให้ญาติเข้าใจ เพื่อจะได้ทำตามเจตนารมณ์ที่แสดงไว้ในหนังสือ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวแล้ว แต่ทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ไว้ แพทย์ต้องถามญาติอีกครั้งว่า ผู้ป่วยถึงวาระสุดท้ายแล้ว จะยินยอมให้หมอทำตามคำสั่งเสียหรือไม่ ถ้าญาติไม่เห็นด้วยหรือไม่เชื่อว่าถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ปล่อยให้กระบวนการรั้งชีวิตดำเนินต่อไป”

    หลายคนสงสัยว่าเมื่อทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้วจะถูกทอดทิ้งหรือไม่ สำหรับเรื่องนี้ นพ.อำพล กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ คือ การที่แพทย์ทำตามหนังสือแสดงเจตนาฯ ไม่ใช่เรื่องที่แพทย์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะเป็นการทำตามความต้องการของคนไข้ เช่น ไม่ให้เจาะคอหรือใส่เครื่องช่วยหายใจเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่การให้การรักษาอื่นๆ ที่เรียกว่า การรักษาแบบประคับประคองจำเป็นต้องทำอยู่ เช่น การให้ยาบรรเทาปวด หรือกรณีหายใจไม่ออกต้องให้ออกซิเจน โดยยังคงดูแลผู้ป่วยเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ทำในสิ่งที่ผู้ป่วยไม่อยากให้ทำ ซึ่งการทำตามหนังสือแสดงเจตนาฯของแพทย์ มีกฎหมายรองรับไว้ว่า จะไม่ได้รับโทษใด ๆ ทั้งสิ้น

    การรักษาแบบประคับประคอง เป็นศาสตร์ที่สำคัญ ให้ความสำคัญกับมิติอื่นๆ ร่วมด้วย นอกเหนือจากการรักษาทางการแพทย์ เช่น มิติทางมนุษย์ มิติทางจิตวิญญาณ เพราะในวาระสุดท้ายของชีวิตจะมีเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม เข้ามามาก ถ้ามีอาการเจ็บปวดก็ต้องดูแลให้คนไข้พ้นทุกข์ เพราะวาระสุดท้ายของการจากไป ควรจะจากไปด้วยจิตที่สงบ ไม่ถูกแทรกแซงด้วยสิ่งใด ซึ่งบางศาสนา บางคน มีความเชื่อว่า ถ้าในวินาทีสุดท้ายที่จะต้องจากไปแล้ว มีความทุกข์เข้ามาสัมผัส เมื่อจากไปแล้วจะไปตกในภพ ภูมิ ที่ไม่ควรจะไป หรือยังมีจิตที่เป็นห่วง เป็นกังวลอยู่

    ฉะนั้น การจะจากไปในช่วงสุดท้ายของชีวิตมนุษย์จึงเป็นก้าวที่สำคัญ การรักษาแบบประคับประคอง จึงไม่ใช่ การให้ยา อาหารหรือบรรเทารักษาความทุกข์ทรมานเท่านั้น แต่หมายถึงการเปิดโอกาสให้ญาติมิตรและผู้ป่วยได้ร่วมกันดูแลชีวิตและจิตใจซึ่งกันและกันอย่างเหมาะสม เป็นการเยียวยาทางจิตใจเป็นหลัก

    “จะต้องมีการจัดสถานที่ ห้องจะต้องเงียบ ญาติอยู่กับคนไข้ด้วยกันได้ แสงก็จะต้องพอดีๆ มีกลิ่นที่ผ่อนคลาย มีเสียงเพลงหรือเสียงธรรมะที่คนไข้ชอบฟัง ซึ่งในสถานพยาบาลในเมืองไทยก็มีการพัฒนาในเรื่องนี้เช่นกัน โดยมีการเตรียมความพร้อมของผู้คนจากระบบต่างๆ ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย

    แต่ก็มีคนไข้ส่วนหนึ่งอยากกลับบ้าน ซึ่งตรงนี้หากต้องไปรักษาตัวที่บ้าน การรักษาแบบประคับประคอง หมายความว่า ถ้าเจ็บปวด เป็นโรคที่เจ็บปวด หมออาจจะต้องให้ยากับญาติเพื่อให้คนไข้ทานหรือฉีดแล้วแต่อาการของโรคเป็นการบรรเทาหรือลดอาการเจ็บปวดของคนไข้ ไม่ให้ทรมาน

    รวมทั้ง มีคำแนะนำในการจัดห้องที่บ้านให้เหมาะสมหรือในแบบที่คนไข้ชอบ เพื่อให้คนไข้อยู่แล้วมีความสุข ซึ่งการรักษาแบบประคับประคองนั้น สามารถทำได้ทั้งที่โรงพยาบาลและที่บ้าน”

    เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เป้าหมายของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายไม่ใช่การพยายามรักษาให้โรคที่เป็นอยู่หายขาด แต่เป็นการทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีที่สุด เท่าที่สภาพของร่างกายและการดำเนินโรคของผู้ป่วยจะเอื้ออำนวย ไม่ได้เป็นการยื้อการเสียชีวิตออกไป แต่เป็นการทำเพื่อให้คนไข้จากไปอย่างสงบและมีความสุข หลุดพ้นจากความทุกข์ ทรมานนั่นเอง”

    .................

    ใจความสำคัญ “พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 มาตรา 12”

    เนื้อหาพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ในมาตรา 12 ใจความว่า “บุคคล มีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
    การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความผิดทั้งปวง”

    สิทธิปฏิเสธการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิตนี้ เป็นสิทธิโดยธรรมชาติของทุกคน แต่ในบั้นปลายของชีวิต หรือขณะที่ป่วยหนักจนเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิต คนไข้อาจไม่มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์พอที่จะบอกความต้องการของตนเองต่อแพทย์ได้ มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มีขึ้นเพื่อรับรองสิทธิ และดำรงรักษาสิทธิดังกล่าว โดยให้ทำเป็นหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขฯไว้ล่วงหน้า ขณะที่ยังมีสติสมบูรณ์ ซึ่งสิทธินี้สามารถใช้ได้ตั้งแต่ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2550 มาแล้ว แต่เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุขทำงานได้อย่างมีมาตรฐาน และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ขอใช้สิทธิ จึงออกเป็นกฎกระทรวง แต่ไม่อาจระบุรายละเอียดแนวทางการปฏิบัติทุกอย่างลงไปในกฎกระทรวงได้ จึงระบุให้ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ออกประกาศกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานของสถานบริการสาธารณสุข พร้อมทั้งตัวอย่างหนังสือแสดงเจตนา ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา

    ขอบคุณ หัวข้อ วาไรตี้ นสพ.เดลินิวส์ 10 ส.ค.54
    สำหรับคำถามที่มีการถามมาบ่อยๆว่า นี่ถือเป็นการเจตนาฆ่าตัวตายหรือไม่?
    ตอบง่ายนิดเดียวเลยเพราะมองไปผิดประเด็น จิตไม่ได้มีเจตนาไปทางนั้นเลย นี่เพียงเป็นการขอตายด้วยวิธีธรรมชาติที่ไม่ไปแทรกแทรงมากเกินควรเท่านั้นเอง ตัวเจตนาในการฆ่าตัวเองนั้นไม่มีเลย มันตายมันเองอยู่แล้ว

    แหล่งที่มา ยินดีต้อนรับเข้าสู่ เว็บไซด์สวนยินดีธรรม
     
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE class=content border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #e2e2e2 1px solid">รถมีไหม
    คนมีรถ...มีรถ
    ตอนกำลังอ่านอยู่วินาทีนี้ รถมีไหม.....มี ไม่มี (รถมีอยู่ แต่ในใจไม่มีในขณะอ่าน) ตอนที่รถในใจไม่มีไม่มีสุขไม่มีทุกข์กับมันเลยนะ ถูกไหม
    ถ้าอยู่ๆใครเอารถไปเฉี่ยว แล้วโทรมาวินาทีนี้เลย ทุกข์ไหม...ทุกข์ เพราะรถข้างนอกถูกเฉี่ยวรถข้างในก็ถูกเฉี่ยว ใจแป้วเลย
    ถ้าวันที่เห็นความจริงคือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการแล้ว เมื่อรถข้างนอกถูกเฉี่ยว มันไม่มีอะไรข้างในให้เฉี่ยวเพราะมันไม่ได้ปรุงแต่งมาเป็นของเรา เสียหายก็ซ่อมไป มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละทุกๆอย่าง มีดีก็มีเสีย อุเบกขาอยู่ตรงนี้ ไม่ทุกข์แล้ว แถมไม่ยึดอุเบกขาด้วย
    ตกลงรถมีไหม?​




    </TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE border=0 width="100%" height=36><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%"><BIG><BIG><<< <<< ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป >>> >>> [​IMG] </BIG></BIG></TD><TD vAlign=top width="20%" noWrap align=right><!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT> </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!--VoteBody--><!--MsgIDBody=0--><!--Richtext--><H3>วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของ ซีรี่ย์ประวัติศาสตร์จีนเรื่อง "มหาบุรุษ จางจวีเจิ้ง" ซึ่งฉายทางช่อง TPBS

    ช่วงแรกของเรื่อง ในอาณาจักรต้าหมิง จักรพรรดิหลงชิ่งใกล้ตาย ขุนนางและขันทีโกงกินล้างผลาญบ้านเมือง

    ในช่วงแรกนี้ มีคำคมที่สามารถใช้เป็นข้อคิดกับการเมืองไทยได้ทุกตอน ทำให้ผมติดตามดูตลอดมา [​IMG]

    (ช่วงนี้เนื้อเรื่องยืดไปหน่อย หยู่เหนียง ไม่สำคัญกับเนื้อเรื่องหลักเลย ลดให้สั้นกว่านี้ก็ได้)
    [​IMG] ช่วงกลางเรื่อง หลงชิ่งฮ่องเต้ตาย ว่านลี่ฮ่องเต้ อายุยังน้อย จางจวีเจิ้ง ได้รับตำแหน่งเป็น มหาอำมาตย์

    ทั้งๆที่พยายามปฏิรูปบ้านเมืองอย่างเป็นธรรม แต่กลับเป็นการสร้างศรัตรูและเพิ่มความแค้นจากกลุ่มอำนาจ

    ของมหาอำมาตย์คนเก่า ซึ่งได้สูญเสียผลประโยชน์จากแผนปฏิรูปของจางจวีเจิ้ง

    ช่วงปลายเรื่อง ว่านลี่ฮ่องเต้เติบโตเป็นวัยรุ่น เริ่มมีความคิดของตัวเอง แต่กลับเล็งเห็นว่า จางจวีเจิ้งเป็นภัยแก่ตนเอง

    เพราะจางจวีเจิ้งไม่ตามใจว่านลี่ฮ่องเต้ แต่จะยึดถือกฎระเบียบ ยึดถือกฎหมาย และผลประโยชน์แก่บ้านเมืองเป็นหลัก

    ว่านลี่ฮ่องเต้จึงร่วมมือกันกับกลุ่มอำนาจของมหาอำมาตย์คนเก่า กำจัดจางจวีเจิ้ง ด้วยการให้หมอหลวงปรุงยาให้ตายไวๆ

    เมื่อสิ้นจางจวีเจิ้งกลุ่มอำนาจเก่าก็กลับมา ครอบครัวของจางจวีเจิ้งถูกขังถูกทรมานจนตายไปเยอะ และถูกยึดทรัพย์ด้วย

    แต่ทรัพย์สินที่ยึดได้กลับมีน้อยมากๆ เพราะจางจวีเจิ้ง "ไม่รับสินบน ไม่โกงกินเงินหลวง" เพื่อไม่ให้คนสรรเสริญจางจวีเจิ้ง

    ผู้รับชอบเรื่องยึดทรัพย์จึงอ้างว่ามีการถ่ายเททรัพย์สิน จึงไปยึดทรัพย์ของพรรคพวกจางจวีเจิงด้วย แล้วก็จบซะงั้น - -

    ตอนแรกคิดว่าซีรี่ย์เรื่องนี้จะให้ข้อคิดว่า การพัฒนาบ้านเมืองเพื่อปวงชนนั้น ต้องใช้บัณฑิตผู้มีความรู้คู่คุณธรรม

    แต่พอดูจบตอนสุดท้ายในวันนี้ ผมสรุปได้ว่า "ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป" และ "เสียเวลาดูครับ"[​IMG]



    [​IMG]
    </H3><!--MsgFile=0-->
    <CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>


    อ่านความเห็นเก่าๆเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มา ทางสายธาตุคิดว่าท่านจางคงไม่ได้รับสินบนจริงเพราะจะทำให้ปกครองขุนนางด้วยกันยาก ต้องเด็ดขาด แต่ว่าท่านก็ไม่ได้จน ท่านมีทรัพย์สินขึ้นมาจากการทำการค้า ในสมัยที่ท่านจางดำรงตำแหน่งสูงสุดของขุนนางในสมัยนั้น ท่านเป็นคนริเริ่มเปิดการค้าขึ้นใหม่อีกครั้งหลังจากที่สมัยพระเจ้าเจียจิ้งสั่งให้ปิดไป การค้าทำให้ท่านมีสายสัมพันธ์ไปทั่วภูมิภาคและมีทรัพย์สินมากมาย
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป"

    หลายๆดวงจิตในอดีตก็ติดน้อยใจกับสิ่งที่ตัวเองเคยถูกกระทำจนตายไปพร้อมกับความคิดที่ว่าทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป

    และความคิดนี้เป็นอวิชชานำดวงจิตต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ที่เราต้องรู้คือ คำว่า ได้ดี เราต้องการได้ดีเรื่องอะไร ได้ดีแค่ไหน ได้ดีตอนไหน ได้ดีนานแค่ไหน

    ถ้าเรารู้อย่างแน่ชัดแล้วว่าชีวิตนี้ตายแล้วไม่สูญ เวียนตายเวียนเกิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว คำว่าได้ดีคือไม่ต้องกลับมาเกิดอีก น่าจะเป็นการได้ดีขั้นสูงสุด

    ที่ท่านจางได้ทำคือการสร้างบารมีให้กับดวงจิตของตัวท่านเองเพื่อยกให้พ้นไปจากการต้องกลับมาเกิดอีก ซึ่งแน่นอนต้องเป็นปรมัตบารมี จึงต้องเกิดมาได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งที่สูงเพื่อทำบุญกับคนหมู่มากให้ได้

    ดังนั้น พระพุทธวจนะที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ยังคงเป็นจริงอยุ่ตราบนิรันดร์ตราบใดที่สรรพสัตว์ได้รู้อย่างแน่แท้ว่าตนเองนั้นก็อยู่ในวงเวียนของการเวียนว่ายตายเกิดเช่นกัน เส้นทางอีกยาวไกลนัก ไม่อาจสรุปคำว่าได้ดี ด้วยชาติภพเพียงชาติเดียว ..

    พระพุทธเจ้าจึงเป็นสิ่งสูงสุดสมควรแก่การระลึกไว้เสมอในใจของเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายผู้ยังหาทางออกจากทุกข์มิได้

    กราบพระพุทธองค์ด้วยเศียรเกล้า

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=fCjitsTz0lk"]??????????????????? - YouTube[/ame]

    ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ จะดีใจเสียใจไปทำไม
    สิ่งทั้งหลายก็คล้ายความฝัน ตื่นขึ้นมาก็พลันหายไป
    * ดั่งของที่ขอยืมมาในไม่ช้าต้องคืนเขาไป

    ชีวิตที่ผ่านมาเหมือนภาพลวงตากลางทะเลทราย
    สักวันต้องไปสู่จุดสลาย ทำไมจะต้องไปผูกพัน
    *ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากคลายความผูกพัน

    ปล่อยวางได้ใจก็จะสบาย สบายอย่างที่ไม่เคยเป็น
    ไม่ช้าใจจะใสบริสุทธิ์ หยุดนิ่งอยู่กลางกาย
    จะเข้าถึงความสุขที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีประมาณ
    ชีวิตจะเบิกบาน ด้วยตัวของเราเอง

    ร้องโดย เจิน เจิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2011
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อ้างอิงข้อมูลท่านจงรักภักดี

    การที่อเมริกาไปพาลหาเรื่องนี้ ที่ว่า

    อเมริกาปล้นทั้งทางตรง คือซื้อ และทางอ้อม คือส่งกองทัพพาลหาเรื่องไปยึดมาเฉยๆ

    ที่ฟังมาเขาว่าอเมริกาอาจจะเป็นผู้ก่อวินาศภัยเหตุการณ์ 911 เองก็ได้ แล้วยกเอาเหตุการณ์เรื่องนี้มาอ้างเพื่อยกทัพกีฑาไปยึดประเทศโลกอาหรับด้วยกองกำลังทหาร หวังประโยชน์ในบ่อน้ำมันของโลกอาหรับเหล่านั้น ก็เป็นเรื่องน่าคิด คือน่าคิดที่ว่าจะคิดอะไรก็มองและคิดในหลายๆมุมไว้ก่อน เพื่อจะได้เข้าใจความเป็นจริงที่จริงแท้ของโลกใบนี้ ก็ถือว่าเก็บไว้คิดอีกมุมหนึ่ง เป็นกระจกหลายด้านส่องเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
     
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สำหรับเรื่องยู่เหนียงอาจจะไม่มีจริง แต่ท่านจางมีภรรยาที่สองน่าจะจริง สมัยที่ท่านจางดำรงตำแหน่งว่าราชการกระทรวงกลาโหม(กระทรวงสงคราม) ท่านได้มีความสัมพันธ์อันดีกับเผ่ามองโกล นโยบายมิตรภาพนำสันติสุขมาสู่ประชาชนทั้งสองแผ่นดิน เจ้าหญิงจากเผ่ามองโกลองค์หนึ่งได้แต่งงานกับท่านเป็นภรรยาที่สอง ตอนนั้นท่านจางมีภรรยาแรกและมีบุตรชาย 6 คนแล้ว ส่วนเจ้าหญิงองค์นี้ได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนเล็กให้กับท่านจาง ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าตามหลักฐานในประวัติศาสตร์จีนอย่างเจาะลึกแล้วน่าจะหาได้ว่าท่านจางมีภรรยาสองคนจริงๆค่ะ (นอกประวัติศาสตร์แต่อยากเล่าเสริมค่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2011
  15. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ... ความเครียดถือเป็นสังโยชน์ คือ "อารมณ์ที่มัดตัวเราไว้กับทุกข์" อย่างหนึ่ง ฉะนั้น พยายามรับรู้สิ่งต่างๆ ด้วยอารมณ์มีสตินำ สติจะกรองสิ่งกระทบหู กระทบตา กระทบใจ ให้เราเข้าใจตามเหตุ-ตามผล เมื่อเข้าใจมันแล้ว เรื่องราวและเขานั้น มันก็จะไม่ทำให้เราเครียด
    เมื่อไม่เครียด ใจเราก็เหมือนน้ำใส ใจใส-คือใจมีพลัง มองเห็นหลัง-มองเห็นขณะ-มองเห็นหน้า เมื่อเห็นแล้วก็ "บริหาร-จัดการ" คือรับมือเรื่องนั้นๆ ไปตามเหตุปัจจัยของมัน ไม่ต้องไปอกไหม้ไส้ขม ไม่ต้องกินไม่ได้-นอนไม่หลับกับมัน
    เพราะถึงวัน-ถึงเวลา "เหตุ-ปัจจัย" เขาก็ทำหน้าที่ในส่วนของเขาเอง!
    ผมอยากให้พวกเราเงยหน้าพ้นขอบประเทศไทยซักนิด จะเห็นว่า ไม่เพียงบ้านเรา แต่ "ทั่วโลก" ก็วิปริตกันไปต่างๆ นานา สหรัฐอเมริกาอย่างที่ทราบ เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ปรากฏว่า...ยิ่งแก้-แหยิ่งพัน สภาพสังคมอเมริกันก็เหมือนกับประเทศเศรษฐกิจทุนนิยมทั่วไป รวมทั้งไทยเรา
    คนระดับกลางถึงล่าง จะเดือดร้อนมากกว่า รายได้ก็หายาก แล้วยังหนีไม่ออกทั้งภาษี ทั้งเงินประกันสังคม ค่าชีวิตประจำวันราคาแพงสวนทางรายได้ที่ฝืดเคือง ตรงข้ามคนระดับบนคือ "พวกเศรษฐี" นอกจากอยู่เหนือภาระเศรษฐกิจแล้ว กลับรวยเพิ่มบนความเดือดร้อนของคนระดับกลางและล่าง
    สัปดาห์ที่แล้ว มหาเศรษฐีของโลกชาวอเมริกัน "นายวอร์เรน บัฟเฟตต์" สะท้อนความบัดซบคนในรัฐสภาที่ดีแต่ออกกฎหมายอุ้มคนรวย-รีดคนจน ประมาณว่า คนขายก๋วยเตี๋ยวถูกนับชามคำนวณภาษี แต่คนขายเงิน-ขายหุ้น
    กลับได้ยกเว้นภาษีเป็นกรณีพิเศษ!
    ผู้ใช้นามว่า VARS ส่งเรื่องที่นายบัฟเฟตต์เขียน และมีผู้แปลจาก New York Times มาให้ผมอ่าน วันนี้ผมจะเอามาให้ท่านอ่านบ้าง ท่านที่อ่านแล้ว โปรดผ่านไป ส่วนท่านที่ยังไม่ได้อ่าน ต้องอ่านนะครับ
    หยุดเอาใจมหาเศรษฐีเสียที
    สารจาก “วอร์เรน บัฟเฟตต์”
    ผู้นำประเทศของเราได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชน “เสียสละร่วมกัน” แต่ในคำขอนั้น พวกเขากลับยกเว้นตัวผมเอาไว้ ผมได้สอบถามไปยังเพื่อนมหาเศรษฐีหลายคนว่า พวกเขาคิดว่าตัวเองจะต้องเสียอะไรบ้าง จากคำขอดังกล่าว แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครไปแตะต้องพวกเขาเช่นกัน
    ในขณะที่คนจนและคนชั้นกลางออกไปสู้รบในอัฟกานิสถาน และคนอเมริกันส่วนใหญ่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มหาเศรษฐีอย่างพวกเรา กลับได้รับยกเว้นภาษีเป็นกรณีพิเศษ
    พวกเราบางคนเป็นผู้จัดการกองทุนซึ่งทำรายได้หลายพันล้านเหรียญฯ จากหยาดเหงื่อของผู้ใช้แรงงานมากมาย แต่กลับได้รับอนุญาตให้จัดประเภทรายได้ของเราเป็น "รายได้ที่ได้รับการยกเว้น” ซึ่งช่วยให้ลดภาษีได้ถึง 15%
    พวกเราหลายคนถือหุ้นไว้เพียง 10 นาที และทำกำไรได้ถึง 60% โดยเสียภาษีเพียง 15% ราวกับเป็นนักลงทุนระยะยาว
    สิ่งเหล่านี้คือพรที่เราได้รับจาก พวกที่ออกกฎหมายในวอชิงตัน ซึ่งรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องปกป้องเรา ราวกับพวกเราเป็นนกฮูกที่กำลังถูกไล่ล่าหรือสัตว์อะไรบางอย่างที่กำลังจะสูญพันธุ์
    ปีที่แล้วใบเสร็จภาษีทั้งหมดของผม ประกอบด้วยภาษีเงินได้ และภาษีอื่นๆ ที่เสียในนามของผม รวมแล้วเป็นจำนวน 6,938,744 ดอลลาร์ ฟังดูเหมือนเป็นเงินมากมาย แต่อัตราภาษีที่ผมจ่ายไปนั้นอยู่ในระดับ 17.4% ของรายได้
    ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับลูกน้องอีก 20 คน ที่นั่งอยู่ในสำนักงานของผม ซึ่งเสียภาษีในอัตรา 33-41% เฉลี่ยแล้ว 36% เลยทีเดียว
    ถ้าคุณใช้เงินทำเงิน แบบที่เพื่อนมหาเศรษฐีของผมทำ อัตราภาษีที่คุณต้องจ่ายจะยิ่งน้อยกว่านี้เสียอีก แต่ถ้าคุณทำงานเป็นลูกจ้าง คุณกลับต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าผม โดยมากแล้วจะสูงกว่ามากทีเดียว
    การจะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ คุณต้องวิเคราะห์ที่มาของรายได้ของรัฐบาลเสียก่อน ในปีที่แล้ว 80% ของรายได้รัฐบาลมาจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินประกันสังคม เหล่ามหาเศรษฐีจ่ายภาษีแค่ 15% ของรายได้ทั้งหมด แต่แทบไม่ต้องจ่ายประกันสังคมเลย
    ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับคนชั้นกลาง ที่โดยส่วนใหญ่แล้วอยู่ในกลุ่มที่ต้องเสียภาษี 15-25% ทั้งยังต้องรับกรรมด้วยการเสียภาษีประกันสังคมจำนวนมาก
    ย้อนหลังกลับไปในทศวรรษที่ 1980 และ 1990 อัตราภาษีสำหรับคนรวยยังสูงกว่านี้มาก เปอร์เซ็นต์ของภาษีที่ผมต้องเสียถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับคนทั้งหมด บางทฤษฎีถึงกับบอกว่าผมควรเลิกลงทุน เพราะยิ่งลงทุนมากก็ยิ่งต้องเสียภาษีมากขึ้นในอัตราก้าวหน้า ทั้งภาษีจากกำไรในการขายหุ้น และภาษีเงินปันผล
    ผมอยู่ในแวดวงการลงทุนมามากกว่า 60 ปี ไม่ว่าตัวผมเองหรือใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกเรายังไม่เคยเห็นใครเลิกลงทุน แม้แต่ในช่วงที่กำไรจากการขายหุ้น ถูกหักภาษีถึง 39.9% ในปี 1976-77 เพียงเพราะต้องจ่ายภาษีจากกำไรที่ทำได้ คนเราลงทุนเพื่อให้ได้เงิน และภาษีก็ไม่เคยทำให้พวกเขาถอยหนี
    พวกที่เถียงว่าภาษีที่สูงขึ้นจะทำให้การจ้างงานลดลง ผมจะบอกให้ว่า มีตำแหน่งงานเกือบ 40 ล้านตำแหน่ง ถูกว่าจ้างระหว่างปี 1980 ถึงปี 2000 ซึ่งคุณก็คงรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อัตราภาษีที่ต่ำลง และการจ้างงานที่ลดลง
    ตั้งแต่ปี 1992 กรมสรรพากรได้รวบรวมข้อมูลของคนอเมริกัน 400 คน ที่เสียภาษีสูงสุด ในปี 1992 ปีเดียว คน 400 คนนี้มีรายได้รวมกัน 16,900 ล้านเหรียญฯ และจ่ายภาษีคิดเป็น 29.2% ของเงินจำนวนดังกล่าว ในปี 2008 รายได้รวมของ 400 คนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 90,900 ล้านเหรียญฯ เฉลี่ยแล้ว 227.4 ล้านเหรียญฯ ต่อคน แต่อัตราภาษีที่พวกเขาต้องเสียกลับลดลงเหลือ 21.5%
    ภาษีที่ผมอ้างถึงในที่นี้ หมายถึงภาษีที่ต้องจ่ายให้กับรัฐบาลกลาง แต่เชื่อได้เลยว่า ภาษีประกันสังคมของ 400 คนนี้ ไม่ได้มากเหมือนกับรายได้ของพวกเขาอย่างแน่นอน ที่จริงแล้ว 88 จาก 400 คนที่ว่า ไม่ได้รับค่าจ้างเลย แต่พวกเขามีรายได้จากกำไรในการลงทุน พี่ๆ น้องๆ ของผมบางคนอาจไม่ชอบทำงาน แต่พวกเขาชอบที่จะลงทุน (ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น)
    ผมรู้จักมหาเศรษฐีจำนวนมาก พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย พวกเขารักอเมริกา และซาบซึ้งในโอกาสที่ประเทศนี้ให้กับเขา หลายคนได้มาร่วมโครงการ “สัญญาว่าจะให้” ของผม โดยรับปากว่าจะบริจาคเงินส่วนใหญ่ของพวกเขาให้กับการกุศล พวกเขาส่วนใหญ่แทบไม่สนใจหากจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติกำลังเดือดร้อน!
    สมาชิกสภาคองเกรส 12 คน กำลังจะทำหน้าที่อันสำคัญยิ่ง คือจัดระเบียบการเงินของประเทศนี้เสียใหม่ พวกเขาได้รับคำแนะนำให้เขียนแผนระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดภาระการใช้จ่ายของชาติเราใน 10 ปีข้างหน้า ให้เหลือ 1.5 ล้านล้านเหรียญฯ แต่พวกเขาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกแผนลดภาษีให้ได้มากกว่านั้น
    คนอเมริกันกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของคองเกรส ในการจัดการกับปัญหาการใช้จ่ายของชาติ มีแต่การกระทำที่เร่งด่วน จริงแท้ และยั่งยืนเท่านั้น ที่จะขจัดความระแวงสงสัย หรือความสิ้นหวังออกไปจากจิตใจของอเมริกันชน ความรู้สึกเชื่อมั่นเท่านั้นที่จะสร้างความจริงขึ้นมาได้
    งานแรกของสมาชิกสภาฯ 12 คน คือ ให้คำมั่นสัญญาในสิ่งที่แม้แต่คนรวยก็ทำไม่ได้ คือสัญญาว่าจะประหยัดเงินให้ได้มากๆ จากนั้นสมาชิกสภาฯ ทั้ง 12 คน จึงควรหันไปพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับรายได้ ผมอยากให้อัตราภาษีที่คนอเมริกัน 99.7% ต้องจ่ายยังคงเดิม แต่ควร ลดเปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่ลูกจ้างต้องจ่ายเป็นภาษีประกันสังคมลง 2% การลดลงนี้จะเป็นการช่วยเหลือคนจนและคนชั้นกลางที่กำลังต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง
    แต่สำหรับคนที่ รายได้เกิน 1 ล้านเหรียญฯ ซึ่งมีอยู่ 236,883 ครัวเรือน ในปี 2009 ผมเสนอให้ขึ้นภาษีทันที ในส่วนของรายได้ที่เกิน 1 ล้านเหรียญฯ ซึ่งแน่นอนว่า ต้องรวมภาษีจากกำไรจากการขายหุ้นและเงินปันผลด้วย และสำหรับคนที่ รายได้เกิน 10 ล้านเหรียญฯ ซึ่งมีอยู่ 8,274 คน ในปี 2009 ผมแนะนำ ให้ขึ้นอัตราภาษีขึ้นไปอีก
    เพื่อนๆ ของผมและตัวผมได้รับการเอาอกเอาใจมากพอแล้วจากสภาคองเกรสที่แสนจะเป็นมิตรกับมหาเศรษฐีมาโดยตลอด ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลของเราจะต้องทำให้เกิดการ “เสียสละร่วมกัน” อย่างแท้จริงเสียที
    วอร์เรน อี บัฟเฟตต์
    ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารของเบิร์คไชร์ แฮธาเวย์
    [เนื้อหาข้างต้นเป็นสารของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ออกเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2011 ผมได้อ่านในเช้าวันที่ 15 ส.ค. แล้วถึงกับขนลุก ชอบมากๆ จึงรีบแปลจากเว็บไซต์ของ New York Times อยากให้คนไทยได้อ่านเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วเอาลงบล็อกโดยพลัน...มีใครคิดเหมือนผมบ้าง ผู้ชายคนนี้ยิ่งใหญ่เหนือคำบรรยายจริงๆ ครับ]...


    ขอขอบคุณแหล่งที่มา "จนต้องจ่ายภาษี-เศรษฐียกเว้น" | ไทยโพสต์
     
  16. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.774001/[/MUSIC]

    คุณโมเยเธอมีจิตเป็นกุศลอยากที่จะเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน จึงอนุญาตให้นำเพลงนี้มาเผยแพร่ให้ฟังค่ะ (ขออนุญาตคัดลอกจากข้อความของคุณทางสายธาตุ)
     
  17. น้องจุ๊บ

    น้องจุ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    603
    ค่าพลัง:
    +1,303
    คุณโมเย เสียงเธอเพราะมาก ฟังแล้วซึ้งเศร้าสงสารพระองค์มากๆ
    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ศรีอยุธยา(2)

    วันอังคาร ที่ 23 สิงหาคม 2554

    เมื่อสมเด็จพระเจ้าอู่ทองตั้งกรุงศรีอยุธยานั้น ประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่เกิด อังกฤษยังอยู่ในรัชสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 เกิดสงครามรบพุ่งกับฝรั่งเศสที่เรียกว่าสงครามร้อยปี รัฐสภาซึ่งเกิดก่อนหน้านั้นราวร้อยปีเริ่มแบ่งแยกเป็นสองสภาคือสภาสามัญและสภาขุนนาง ภาษาอังกฤษเพิ่งจะเข้ามาเป็นภาษาทางการในอังกฤษแทนที่ภาษาฝรั่งเศส แต่ในอุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขอมยังคงรุ่งเรืองอยู่พร้อมทั้งพุทธศาสนานิกายมหายาน และศาสนาพราหมณ์นิกายบูชาพระศิวะ เรียกว่าไศวนิกาย ตลอดจนนิกายบูชาพระวิษณุเรียกว่าไวษณพนิกาย

    บ้านเมืองทั้งหลายเวลานั้นพยายามแปลกแยกปลีกตัวจากอิทธิพลขอมซึ่งเป็นเจ้าถิ่นในละแวกนี้ เช่น สุโขทัย ลพบุรี อู่ทอง และกรุงศรีอยุธยาก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่แม้จะเพิ่งตั้งขึ้นใหม่แต่ก็พยายามสลัดจากอำนาจปกครองของขอม อาณาเขตกรุงศรีอยุธยาในเวลานั้นนอกจากจะครอบคลุมเกาะกรุงศรีอยุธยาแล้ว ยังข้ามแม่น้ำไปทางเหนือจนกินถึงเมืองลพบุรี และชัยนาทด้วย ส่วนทางทิศตะวันตกไปถึงเมืองตะนาวศรี ทวาย ทางตะวันออกไปถึงเมืองจันทบุรี และทางใต้ลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชและมะละกา

    เมื่อเด็ก ๆ ผมเคยเข้าใจว่าเดิมเมืองไทยคือกรุงสุโขทัย พอสุโขทัยล่มสลายจึงเกิดกรุงศรีอยุธยาขึ้นแทนที่ ครั้นกรุงศรีอยุธยาแตกจึงเกิดกรุงธนบุรี กรุงธนฯ ล่มจึงเกิดกรุงรัตนโกสินทร์ ข้อความท่อนหลัง ๆ นั้นจริงเพราะถ้ากรุงศรีอยุธยาไม่แตก ไฉนเลยจะเกิดกรุงธนบุรีได้

    แต่แท้จริงแล้วกรุงศรีอยุธยาเกิดขึ้นโดยที่กรุงสุโขทัยยังอยู่ดี ตอนนั้นยังอยู่ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท กรุงใหม่ของพระเจ้าอู่ทองตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อทั้งขอมและสุโขทัย แต่สุโขทัยและอยุธยาก็มีไมตรีต่อกันด้วยดี หลังจากนั้นอีกหลายปี สุโขทัยจึงเสื่อมลง เจ้านายสายสุโขทัยอพยพลงมาอยู่อยุธยาก็มาก จนภายหลังกลับมีอำนาจขึ้นในกรุงศรีอยุธยา เรียกว่าเจ้านายสายราชวงศ์พระร่วง

    ที่เรียกว่าพระเจ้าอู่ทองเพราะท่านเคยเป็นใหญ่อยู่ในเมืองอู่ทอง (ปัจจุบันเป็นอำเภอในจังหวัดสุพรรณบุรี) เชื่อกันว่าเป็นเชื้อพระราชวงศ์ฝ่ายเหนือจากเชียงรายหรือเชียงแสน คำว่าพระเจ้าอู่ทองมีหลายพระองค์เพราะใครที่ครองเมืองอู่ทองก็เป็นพระเจ้าอู่ทองทั้งนั้น กรุงศรีอยุธยาที่ตั้งขึ้นใหม่ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นขอมในนครกัมพูชา และยังรบพุ่งกันอีกด้วย จนอยุธยาเคยยกทัพไปตีเมืองพระนคร เมืองหลวงของขอมได้ แม่ทัพไทยครั้งนั้นคือพระราเมศวร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่แต่ที่เก่งกล้าสามารถมากกว่าคือขุนหลวงพงั่วผู้เป็นพระเจ้าอู่ทองถัดจากเจ้าเมืองอยุธยาทั้งเป็น “พี่เมีย” ของเจ้าเมืองอยุธยาด้วย ชัยชนะเหนือขอมในครั้งนั้นไทยได้กวาดต้อนผู้คนจากขอมเข้ามาอยู่กรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก และขอมเลิกตอแยกับไทยมาอีกนาน ที่สำคัญคือชื่อเสียงขุนหลวงพงั่วลบรัศมีพระราเมศวรผู้เป็นหลานลุงเกือบสิ้นเชิง

    แม้กระนั้นการที่อยุธยามีชัยชนะเหนือกัมพูชา กลับทำให้อิทธิพลของขอมพุทธศาสนานิกายมหายาน และศาสนาพราหมณ์นิกายไวษณพนิกายแผ่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเป็นกรุงใหม่ ยังไม่มีขนบธรรมเนียมใดเป็นของตนเอง จึงเต็มใจรับเอาขนบธรรมเนียมพราหมณ์เข้ามาเต็มที่ โดยเฉพาะคตินิยมที่ว่าเจ้าเมืองคือสมมุติเทวราชหรือพระนารายณ์จุติลงมาเกิดเช่นเดียวกับพระราม พระนามของกษัตริย์จึงเปลี่ยนจากขุนหลวงหรือพ่อขุนเป็นสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ประทับกลายเป็นปราสาทราชวัง คำพูดคำจากลายเป็นราชาศัพท์หรือศัพท์ชั้นสูงที่คนทั่วไปฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง คำสั่งของกษัตริย์เรียกว่าพระบรมราชโองการ คตินิยมนี้ยังใช้กันมาจนบัดนี้แม้จะไม่ถึงขนาดเลื่อมใสจริงจัง แต่ก็เป็นโบราณประเพณี

    เป็นอันว่าเราตีได้ขอม แต่เป็นฝ่ายรับอิทธิพลแนวคิดจากขอมมาใช้คล้าย ๆ กับที่โรมันตีได้กรีก แต่ก็เป็นฝ่ายรับอิทธิพลแนวคิดกรีกมาใช้ ลงท้ายไม่รู้ว่าใครชนะใครแพ้กันแน่

    สมัยสมเด็จพระรามาธิบดี (พระเจ้าอู่ทอง) นั้น ฝรั่งยังไม่เข้ามา แต่จีน แขกชวา แขกมลายู แขกเทศ และแขกจาม (เคยเป็นอาณาจักรใหญ่อยู่ในเวียดนามตอนกลาง แถวเว้ ดานัง) เริ่มเข้ามาค้าขายแล้ว ตอนนั้นตรงกับราชวงศ์เหม็งของจีน

    เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีสวรรคต (เริ่มใช้คำนี้เป็นครั้งแรก แปลว่าไปสู่สวรรค์แล้ว) พระชนมพรรษา 55 พรรษา ครองราชย์ 19 ปี พระราเมศวรเจ้าเมืองลพบุรีซึ่งเป็นเมืองชายแดนต่อกับขอม ได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 2 ในฐานะพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ แต่ราว 1 ปีต่อมา ขุนหลวงพงั่วผู้เป็นลุง (พี่ชายแท้ ๆ ของแม่) ก็ยกทัพจากเมืองอู่ทองเข้ามาจะชิงราชสมบัติ สมเด็จพระราเมศวรเคยแพ้ทางกันอยู่คราวไปรบกับขอมก็ยอมถวายราชสมบัติให้ลุงแล้วกลับออกไปเป็นเจ้าเมืองลพบุรีอย่างเดิมแต่โดยดี

    พระราเมศวรกลายเป็นพระนามสำคัญของรัชทายาทราชบัลลังก์อยุธยาต่อมา ซึ่งจะตั้งจากพระราชโอรสพระองค์ใหญ่เท่านั้น โปรดสังเกตว่าธรรมเนียมหลายอย่างมักเกิดจากการเริ่มต้นครั้งแรกไม่ว่าจะผิดหรือถูก และไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ หลังจากนั้นก็ถือปฏิบัติกันสืบมา เรียกว่า “โบราณราชประเพณี”

    ขุนหลวงพงั่วอภิเษกเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 3 ตามแบบธรรมเนียมขอม แต่ใช้พระนามาภิไธยว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชไม่ใช่สมเด็จพระรามาธิบดี เคยเสด็จขึ้นไปรบกับเชียงใหม่และกำแพงเพชร เวลานั้นกำแพงเพชรเป็นเมืองขึ้นสุโขทัย พระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองสุโขทัยยกทัพมาสู้แต่ก็พ่ายแพ้ ครั้งนั้นเองที่สุโขทัยตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา สมเด็จพระบรมราชาธิราชอยู่ในราชสมบัติ 12 ปี ก็สวรรคตขณะขึ้นไปรบทางเหนือ

    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า “พงั่ว” น่าจะมาจากภาษาไทยโบราณว่าพ่องั่ว แปลว่าลูกชายคนที่ 5 เริ่มจากอ้าย ยี่ สาม ไส งั่ว ลก เจ็ด แปด เจา เจ๋ง

    พระเจ้าทองลัน พระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราช พระชนมพรรษา 15 พรรษาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 แต่ครองราชย์ได้ 7 วัน สมเด็จพระราเมศวร เจ้าเมืองลพบุรีก็ยกทัพเข้ามาทวงราชสมบัติคืน และจับพระเจ้าทองลันได้ ซึ่งความจริงก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเพราะพ่อของพระเจ้าทองลันเป็นพี่ของแม่พระราเมศวร ได้โปรดให้ปลงพระชนม์พระเจ้าทองลันเสียด้วยท่อนจันทน์แล้วขึ้นเป็นกษัตริย์รอบสอง

    สมเด็จพระราเมศวรคงต้องการแสดงความสามารถในการรบให้เป็นที่ประจักษ์แก้ปมด้อยที่เคยไปรบที่เมืองเหนือแต่ก็ไม่ได้แสดงวีรกรรมเหมือนลุง จึงยกทัพขึ้นไปรบทางเหนือจนชนะเชียงใหม่ คราวนี้กวาดต้อนผู้คนลงมาเป็นอันมากแล้วส่งลงไปอยู่ทางใต้ที่เมืองไชยาและนครศรีธรรมราช คงจะให้ไกลหูไกลตา แต่นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ศิลปวัฒนธรรม และภาษาปักษ์ใต้หลายคำแถบเมืองนครฯ ค่อนข้างใกล้เคียงกับภาษาเหนือจนกระทั่งบัดนี้

    ขากลับสมเด็จพระราเมศวรทรงแวะนมัสการพระพุทธชินราชที่เมืองพิษณุโลกจนเป็นธรรมเนียมสืบมาว่ากษัตริย์อยุธยาเสด็จผ่านไปทางนั้นต้องแวะนมัสการพระพุทธรูปสำคัญองค์นี้ สมเด็จพระราเมศวรอยู่ในราชสมบัติราว 6 ปีก็ประชวรสวรรคต พระรามราชบุตรได้เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 5 ทรงพระนามว่าสมเด็จพระรามราชาธิราช นี่ก็ดัดแปลงใช้ชื่อใหม่

    เรารู้เรื่องเกี่ยวกับสมเด็จพระรามราชาธิราชน้อยที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยาทั้งหลาย แม้จะอยู่ในราชสมบัตินานถึง 15 ปี ซึ่งนับว่านานมากสำหรับการจะทำสงครามแผ่ขยายอาณาเขตหรือการจะริเริ่มก่อสร้างหรือวางขนบธรรมเนียมประเพณีใด ๆ แต่แล้วก็หาได้รู้เรื่องของพระองค์ไม่ จนกระทั่ง เจ้าเมืองสุพรรณบุรีชื่อเจ้านครอินทร์ยกทัพเข้ามาแย่งราชสมบัติ แล้วเนรเทศสมเด็จพระรามราชาธิราชให้ไปปลูกตำหนักอยู่เงียบ ๆ ทางฝั่งตรงข้ามเกาะเมือง ย่านนั้นเรียกกันว่า ปทาคูจาม รัชกาลที่ 5 ทรงสันนิษฐานว่าไม่ใช่เมือง แต่คงเป็นท่าเรือ (ภาษาใต้เรียกว่าปละท่า ที่สงขลายังใช้คำนี้) และชุมชนแขกจาม จึงเรียกปทาคูจาม

    เจ้านครอินทร์ผู้นี้เป็นลูกน้องชายของขุนหลวงพงั่ว เมื่อขุนหลวงพงั่วเข้ามาครองอยุธยา ก็ยกเมืองอู่ทองให้น้องชายปกครอง พอน้องชายตาย เจ้านครอินทร์ลูกชายได้เป็นใหญ่และคงเห็นตัวอย่างจากลุง (ขุนหลวงพงั่ว) ที่เข้ามายึดกรุงศรีอยุธยาได้โดยง่าย ประกอบกับสมเด็จพระรามราชาธิราชคงเป็นคนธรรมะธัมโมไม่ใช่ขุนศึกนักรบ จึงเข้ายึดอยุธยาบ้างแล้วตั้งตนเป็นกษัตริย์ชื่อสมเด็จพระอินทราชา รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงศรีอยุธยา บางครั้งเรียกสมเด็จพระรามาธิบดีศรีนครินทราธิราช

    เจ้านครอินทร์เป็นนักการค้า เคยแต่งสำเภาไปค้าขายกับจีนในสมัยราชวงศ์เหม็งจนมีไมตรีอันดีต่อกัน พงศาวดารจีนออกพระนามว่า “เจียวลกควนอิน” บางครั้งเรียก “อินตอลอทีล่า” คงจะมาจากคำว่าอินทราชาธิราช มีพระราชโอรสสำคัญ 3 พระองค์ เจ้าอ้ายพระยาองค์โตให้ไปครองเมืองสุพรรณบุรี ฐานที่มั่นเดิม เจ้ายี่พระยาองค์รองครองเมืองสรรคบุรี แถวกำแพงเพชร เจ้าสามพระยาองค์เล็กครองเมืองชัยนาท

    เจ้านครอินทร์อยู่ในราชสมบัติได้ 17 ปีก็สวรรคต ยังไม่ทันมอบราชสมบัติแก่ผู้ใด เจ้าอ้ายพระยาก็ขับช้างมาจากสุพรรณ เจ้ายี่พระยาขับช้างลงมาจากเมืองสรรค์เกิดการยุทธหัตถีกันขึ้นที่สะพานป่าถ่านกลางกรุงศรีอยุธยา ลงท้ายสิ้นพระชนม์ทั้งคู่ เป็นอันว่าตาอินกะตานาตาย เหลือแต่ตาอยู่คือเจ้าสามพระยา น้องนุชสุดท้องได้ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 7 ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราช และเพื่อไม่ให้สับสนกับขุนหลวงพงั่วผู้เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชพระองค์แรก จึงออกพระนามเรียกเจ้าสามพระยาว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 บัดนี้ชื่อกษัตริย์อยุธยาเริ่มวนเวียนซ้ำกันแล้ว

    สมเด็จพระบรมราชาธิราชพระองค์ใหม่โปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์สององค์ไว้ที่สะพานป่าถ่านตรงที่เจ้าพี่ทั้งสองชนช้างกัน (เรียกว่าขาดคอช้าง แปลว่าตายคาคอช้าง) แล้วจัดการถวายพระเพลิงที่ลานใหญ่ไม่ไกลกัน ภายหลังโปรดฯ ให้ก่อพระปรางค์องค์ใหญ่ครอบที่ตรงนั้นแล้วสร้างวัดขึ้น ณ บริเวณนั้นเรียกว่าวัดราชบูรณะ บางคนเข้าใจว่าอาจเป็นวัดเก่ามีมาแต่เดิมแต่มาทรงบูรณะขึ้นใหม่หมดจึงมีชื่อว่าวัดราชบูรณะ

    เรื่องการขาดคอช้างและการสร้างวัด ตลอดจนความพิลึกพิลั่นของพระปรางค์วัดราชบูรณะพิสดารขนาดสร้างเป็นหนังไทยได้สบาย เรื่องนี้ต้องเล่าคราวต่อไป

    มาถึงบัดนี้ก็ลำดับได้ 7 รัชกาลแรกของกรุงศรีอยุธยาแล้ว นักประวัติศาสตร์นิยมจัดให้ผู้สืบเชื้อสายเดียวกันเป็นญาติกันอยู่ในราชวงศ์เดียวกัน สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเรียกราชวงศ์แรกของกรุงศรีอยุธยาว่าราชวงศ์เชียงราย แต่บางคนเรียกราชวงศ์อู่ทอง ประกอบด้วยพระเจ้าอู่ทองเจ้าเมืองอู่ทองจากสุพรรณบุรีและผู้สืบเชื้อสายคือพระราเมศวรและพระรามราชาธิราช แต่คั่นด้วยขุนหลวงพงั่ว เจ้าเมืองอู่ทองคนใหม่ที่มาชิงราชสมบัติจากหลานคือพระราเมศวรจนมีลูกหลานเหลนเป็นกษัตริย์ต่อมาอีกหลายพระองค์ เรียกว่าราชวงศ์สุวรรณภูมิ ประกอบด้วยขุนหลวงพงั่ว พระเจ้าทองลัน พระเจ้าอินทราชา (เจ้านครอินทร์) เจ้าสามพระยา ทั้งยังจะมีต่อไปอีกหลายพระองค์

    ถ้าเห็นว่ายุ่ง ๆ มากจะจำแต่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) และสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ไว้แค่นี้ก็ได้เพราะสำคัญอยู่ อ้อ! แล้วมาถึงตอนนี้ กรุงศรีอยุธยามีกษัตริย์แค่ 7 รัชกาล และตั้งมาได้ราว 70 ปีแล้วนะครับ แต่แย่งราชสมบัติกันถึง 4 ครั้ง จับพระเจ้าแผ่นดินสำเร็จโทษ (แปลว่าประหาร) 1 ครั้ง

    และนี่เองที่เป็นจุดอ่อนในประวัติ ศาสตร์กรุงศรีอยุธยาสืบมา.

    วิษณุ เครืองาม
    wis.k@hotmail.com


    ขอขอบคุณแหล่งที่มา Daily News Online > หน้าวาไรตี้ > ศรีอยุธยา(2)
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE id=post2035730 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>[​IMG] 14-04-2009, 06:52 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#8 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Fort_GORDON<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2035730", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2008
    ข้อความ: 295
    พลังการให้คะแนน: 100 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2035730 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->
    ...กลับมาพูดคุยเกี่ยวกับเพลงของพี่โมเยต่อนะครับ เพื่อคนที่ยังไม่มีโอกาสได้ฟังจะได้รับรู้รับทราบกันบ้าง ฟอร์ทเคยพูดถึงเพลงพระสุพรรณกัลยา ไว้บางตอน ลองติดตามกันนะครับ " ...ต้องจำพรากไกลจากจร จากถิ่นฟ้าเคยนอน ต้องจำจรไกลร้างห่างเมือง "ไกล..โอ้ไกล แผ่นดินถิ่นกำเนิดมา ห่วงรักในอนุชา มุ่งสู่หงสา ชีพเป็นเดิมพัน ..."

    ท่านที่พอทราบเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ก็คงจะเข้าถึงความรู้สึกของพระองค์ท่าน โดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมใดๆ เพราะผู้ประพันธ์เพลงได้กล่าวบรรยายไว้ได้ครบถ้วนชัดเจน หากได้ฟังเสียงหวานปนเศร้าของท่านผู้ร้องคือพี่โมเย ด้วยแล้ว แทบไม่ต้องบรรยายใดๆกันเลยทีเดียว พูดได้คำเดียวว่าน้ำตาซึม แค่คำว่า "ห่วงรักในอนุชา " ซึ่งหมายถึงสมเด็จพระนเรศวร ที่ต้องไปเป็นตัวประกันที่หงสา คงจำกันได้นะครับ

    ยังมีอีกครับ ไหนๆได้พูดคุยกันแล้วก็ขอต่อให้จบ ...."ยอมสละสิ้นแล้วทุกสิ่ง ต้องละวางทิ้งสุขนับคณา หยดริน ไหลร่วง น้ำตาเพื่อสุขประชาไพร่ฟ้าสราญ "

    และอีกท่อนหนึ่งครับ " กู่ร้อง หาใครได้ยิน ดั่งเหมือนฟ้าฟาดธรณิน ชีพดับแดสิ้น โอ้อนิจจา "...

    เป็นอย่างไรบ้างครับ รู้สึกอย่างไรลองเขียนมาคุยกันบ้างสิครับ

    ท่านใดที่ทราบเรื่องประวัติศาสตร์ตอนนี้ดี เขียนมาเล่าสู่กันฟังนะครับ......



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=post2035730 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>
    เข้าไปอ่านกระทู้เก่าๆในกระทู้เพลงไทยสากล: เพลงพระนเรศวรมหาราช พบข้อความเกี่ยวกับบทเพลงพระสุพรรณกัลยา ที่คุณน้องฟอร์ทเธอโพสต์ไว้ เลยคัดลอกมาฝากคุณน้องจุ๊บ และคุณ Florence125 ครับ

    </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right></TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2035730", true); </SCRIPT>


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2035730 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->
    <!-- google_ad_section_end -->


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE id=post4602037 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>[​IMG] 18-04-2011, 06:17 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#3911 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->จงรักภักดี<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4602037", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2009
    ข้อความ: 1,227
    พลังการให้คะแนน: 281 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1051783/[/MUSIC]
    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_4602037 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ผู้ยอมพลัดพรากจากแผ่นดินไทย
    พลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
    จากไอศวรรย์สมบัติ...จากฐานันดรอันสูงส่ง
    ยอมเป็นองค์ประกันในแผ่นดินที่ผู้คนเหยียบย่ำในศักดิ์ศรีของคนไทย
    ใครจะรู้ถึง...ในพระทัยที่ทนเจ็บปวดทรมาน
    ใครจะได้เห็น...พระอัสสุชลที่หลั่งไหล...ท่วมท้นดวงพระทัย
    ...นับรวมสิบปี...
    ก่อนที่จะทรงพลีชีพเพื่อชาติ...หลั่งโลหิตในแผ่นดินพม่า...
    สิ้นพระชนม์ชีพ...อย่างไร้พิธีอันสมพระเกียรติ
    ในขณะที่บุคคลอันเป็นที่รัก...พระชนก...พระชนนี...และพระอนุชา
    ...อยู่ในแผ่นดินอันไกลโพ้น...
    เพื่อให้แผ่นดินไทย...ได้ดวงแก้วอันมีค่ายิ่งกลับคืนมา...กอบกู้เอกราช
    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    ...ให้เราทุกคน มีวันนี้ได้...​
    <!-- google_ad_section_end -->



    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]



    </FIELDSET>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...