ฉันทะ วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **

benyapa · 1 กรกฎาคม 2011

โห พี่งมาตามอ่าน พี่ชายโจให้หวยด้วยหรอคะ ดีจัง สาธุค่ะ

omega111 · 1 กรกฎาคม 2011

...

ทักทายพี่ๆๆทุกคนครับ

Aimee2500 · 1 กรกฎาคม 2011

การดูจิต ที่หลวงปู่ดู่สอน

Q: ไม่ทราบว่าการดูจิตที่หลวงปู่ท่านสอน ท่านสอนเอาไว้แบบไหนอย่างไร

A: ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติธรรมในแนวทางที่เรียกกันว่า “การดูจิต” นั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากในปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีเพื่อน ๆ หลายคนสงสัยถามกันมาไม่น้อยในเรื่องนี้ จึงทำให้ระลึกทบทวนว่าหลวงปู่ดู่ท่านสอนเรื่องการดูจิตไว้เหมือนหรือแตกต่าง กันอย่างไร เพราะหลวงปู่มักสอนลูกศิษย์เสมอ ๆ ว่า “ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต ของดีก็อยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา” ก่อน อื่นต้องขอเน้นย้ำว่าไม่ได้มาฟันธงว่าแบบใดผิด แบบใดถูก หากแต่กล่าวถึงเพียงอุบายวิธีที่หลวงปู่ท่านสอนเพื่อแก้ข้อสงสัยของผู้ที่ สงสัยถามมาเท่านั้น ซึ่งสรุปความแตกต่างไว้ใน ๓ ประเด็น ดังนี้ครับ
๑. การแทรกแซงหรือบังคับจิต
ประเด็น นี้แตกต่างกันอย่างมาก เพราะแนวทางการดูจิตที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบัน เน้นการไม่เข้าไปแทรกแซง บังคับ หรือปรุงแต่งจิต ในขณะที่แนวทางอุบายที่หลวงปู่ดู่ท่านสอนนั้น ท่านให้บังคับจิต ฝึกฝืน อบรมจิต สอนจิตเจ้าของ เป็นต้นว่าพิจารณาสิ่งที่ดูที่เห็นว่ามีคุณมีโทษอย่างไร
ท่าน ว่าเราต้องหลอกล่อมันเสียก่อนจนกว่ามันจะฉลาดหรือแข็งแรงพอจะช่วยตัวเองได้ ดังที่ท่านสอนว่าเราต้องอาศัยการหลอกให้เขียน ก ข ก กา หลอกตั้งแต่ขั้นที่เขียนไม่เป็นตัวหนังสือ กระทั่งเขียนได้สวยงาม กระทั่งแต่งเป็นประโยค เป็นร้อยแก้ว ร้อยกรองขึ้นมาได้ ทั้งหมดนี้ ก็อาศัยการหลอก (คือการปรุงแต่งสอนใจเจ้าของ) ทั้งสิ้น
พูด อีกนัยหนึ่งก็คือ ยอมใช้สัญญาและการปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรุงแต่งไปในทางให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรุงแต่งให้จิตเกิดธรรมสังเวช ซึ่งวิธีนี้ก็เหมือนเราเอาขวานมาฟันโคนต้นไม้ ฟันไปเรื่อย ๆ ถึงคราวต้นไม้จะโค่น มันก็โค่นไปในทิศที่เราอุตส่าห์ฟันซ้ำ ๆ ไปตรงที่เดิมนั้นเอง
ดังนั้น ท่านจึงมิได้พูดเฉพาะ “ดูจิต” หากแต่มีคำว่า “รักษาจิต” ด้วย นั่นคือให้มีการแทรกแซง หรือหาอุบายแยบคายเพื่อสอนใจ อบรมใจ ให้ฉลาดต่อสิ่งที่ประสบหรือสิ่งถูกดู/ถูกรู้ที่เรียกว่าอารมณ์ เพื่อจะได้ไม่หลงกับมัน จนเกิดทุกข์เกิดโทษ การดัดจิตที่หลวงปู่สอนนี้จึงสอดคล้องกับพุทธพจน์ที่ว่า “นักปราชญ์ย่อมทำจิตที่ดิ้นรนกลับกลอก รักษาได้โดยยาก ห้ามได้โดยยากให้ตรง ดังช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะนั้น” และ “พวกคนไขน้ำก็ไขน้ำไป ช่างศรก็ดัดลูกศร พวกช่างถากก็ถากไม้ พวกบัณฑิตผู้มีวัตรอันงาม ก็ฝึกฝนตน”
ใน ภาคการปฏิบัติ หลวงปู่ท่านจึงให้ตะลุมบอน มีทั้งการปรุงแต่งปลุกปลอบใจ ให้กำลังใจตัวเอง (มิใช่ดูเฉย ๆ แบบไร้การปรุงแต่ง) และก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่จะตั้งสมมุติขึ้นก่อน (หลวงปู่สอนบ่อยครั้งว่าต้องอาศัยสมมติขึ้นก่อน แล้ววิมุติจึงจะตามมา หรืออาศัยสัญญาในเบื้องต้นก่อน แล้วปัญญาแท้จึงจะตามมา) เช่น ตั้งนิมิตขึ้นมาก่อนบ้าง หยิบยกหัวข้อธรรมขึ้นมาพิจารณาบ้าง บางครั้งก็ถึงขั้น (ปรุงแต่ง) ด่าตัวเอง ให้คลายความโง่ความหลงบ้าง
การ ปฏิบัติในภาคสนามแบบหลวงปู่จึงเป็นแบบมวยวัด เต็มไปด้วยการปรุงแต่งสอนใจ ข่มใจ ปลุกปลอบใจเจ้าของให้อาจหาญร่าเริงในธรรม โดยต้องช่วยประคับประคงจิตเจ้าของที่เบื้องต้นก็เหมือนเด็กเล็กซึ่งยังไม่ ต้องพูดถึงการวิ่ง เอาแค่ยืนให้มั่นคงก็ยังยาก จึงต้องอาศัยการประคับประคองจิตให้จิตนั้นทรงตัวอยู่ได้ ก่อนที่จะทรงตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ (ของผู้ที่โตแล้ว หรือผ่านการฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว)
การ บังคับหรืออบรมจิตในระหว่างแห่งการปฏิบัตินี้อุปมาเหมือนออกแรงป่ายปีนภูเขา ด้วยวิริยะอุตสาหะ ต่อสู้กับความเหนื่อยยากทั้งภายนอกภายใน ก่อนที่จะไปหยุดนั่งอยู่บนยอดเขาอย่างผู้เจนจบในชีวิต หรือผู้ที่พิชิตอุปสรรคต่าง ๆ มาหมดสิ้นแล้ว จึงนั่งมองมาเบื้องล่าง ดูความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ ด้วยความวางเฉย และสงบเย็น ชนิดที่เรียกว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ฯลฯ อันเป็นผลจากการป่ายปีนขึ้นมาถึงจุดนี้
๒. การอาศัยฐานการเจริญกรรมฐานที่เพียงพอ
ประเด็น นี้ก็แตกต่างกันมากเช่นเดียวกัน เพราะแนวทางการดูจิตในปัจจุบัน ไม่เน้นการเจริญกรรมกรรมฐาน ในขณะที่แนวทางที่หลวงปู่สอน จะเน้นคล้ายครูบาอาจารย์ทางอีสานที่ส่งเสริมให้นั่งสมาธิ และอาศัยการบริกรรมภาวนา กล่าวโดยรวมคือหลวงปู่ท่านให้ยึดหลักว่าต้องเจริญทั้งส่วนของศีล สมาธิ และปัญญา อย่างเพียงพอและกลมกลืน (มรรคสมังคี) ซึ่งแม้ปัญญาและวิมุติ จะเป็นที่ปรารถนา แต่ก็ไม่มองข้ามอุปกรณ์หรือเครื่องมือคือสมาธิ เป็นเหมือนบันไดในการขึ้นไปยังชั้นบน หากไม่อาศัยบันได แล้วกระโดดขึ้นชั้นบนเลย นอกจากขึ้นไมได้แล้ว ยังเจ็บตัวเปล่าอีกด้วย ดังคำสอนเตือนของหลวงปู่ที่ว่า “เบื้องต้นก็จะขึ้นยอดตาล มีหวังตกลงมาตาย หรือแข้งขาหักเท่านั้น”
นอก จากหลวงปู่จะเน้นการเจริญสมาธิเพื่อให้จิตทรงตัวเพียงพอจะใช้เป็นฐานในการ มองดูและพิจารณาอะไร ๆ ให้ชัดเจนแล้ว หลวงปู่ยังมุ่งให้เกิดสมาธิและปีติ เป็นความอิ่ม ความพอ ในจิตใจ มิเช่นนั้น จิตจะโหยหาอารมณ์ ตกเป็นทาสของนิวรณ์ ยากจะเอาจิตที่มีสภาวะเช่นนี้ไปใช้การใช้งานได้
๓. การตรวจสอบสภาวะจิตเจ้าของ
ดู เหมือนว่าวิธีดูจิตที่เป็นอยู่ บรรดาศิษย์จะนิยมอาศัยการพยากรณ์ (ตรวจสอบ) วาระจิตจากครูอาจารย์ เพื่อให้รู้ว่าจิตของผู้ปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง มีความก้าวหน้าหรือต้องปรับปรุงอย่างไร ในขณะที่แนวทางที่หลวงปู่สอน จะเน้นให้ตรวจสอบใจเจ้าของเอง ดังที่ท่านเน้นบ่อย ๆ ว่าให้หมั่นสำรวจโลภ โกรธ หลง ในใจตัวเราเอง เพื่อให้สามารถเป็นครูเป็นอาจารย์สอนตนเอง เตือนตนด้วยตนเองให้ได้
โดย สรุปก็คือ แนวทางการดูจิตของหลวงปู่ ต้องอาศัยการปรุงแต่งหรือการฝึกจิต ดัดจิต เพื่อรักษาใจด้วยการชำละล้างโลภ โกรธ หลงออกจากใจ โดยอยู่บนหลักการที่ว่าทุกอย่างต้องมีขั้นมีตอน จะลัดเอาไม่ได้ และเน้นการตวจสอบตัวเอง เตือนตัวเอง ที่สำคัญ การดูจิต รักษาจิต ต้องอยู่บนฐานของจิตที่ควรแก่การงาน นั่นก็คือจิตที่เป็นสมาธิ มีการทรงตัว (ไม่ซัดส่ายง่าย ๆ) มีปีติและกำลังแห่งจิตที่พอตัว

ที่มา : Luangpudu.com / Luangpordu.com

chongkasem · 1 กรกฎาคม 2011

Aimee2500 said: ↑

การดูจิต ที่หลวงปู่ดู่สอน

Q: ไม่ทราบว่าการดูจิตที่หลวงปู่ท่านสอน ท่านสอนเอาไว้แบบไหนอย่างไร

A: ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติธรรมในแนวทางที่เรียกกันว่า “การดูจิต” นั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากในปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีเพื่อน ๆ หลายคนสงสัยถามกันมาไม่น้อยในเรื่องนี้ จึงทำให้ระลึกทบทวนว่าหลวงปู่ดู่ท่านสอนเรื่องการดูจิตไว้เหมือนหรือแตกต่าง กันอย่างไร เพราะหลวงปู่มักสอนลูกศิษย์เสมอ ๆ ว่า “ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต ของดีก็อยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา” ก่อน อื่นต้องขอเน้นย้ำว่าไม่ได้มาฟันธงว่าแบบใดผิด แบบใดถูก หากแต่กล่าวถึงเพียงอุบายวิธีที่หลวงปู่ท่านสอนเพื่อแก้ข้อสงสัยของผู้ที่ สงสัยถามมาเท่านั้น ซึ่งสรุปความแตกต่างไว้ใน ๓ ประเด็น ดังนี้ครับ
๑. การแทรกแซงหรือบังคับจิต
ประเด็น นี้แตกต่างกันอย่างมาก เพราะแนวทางการดูจิตที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบัน เน้นการไม่เข้าไปแทรกแซง บังคับ หรือปรุงแต่งจิต ในขณะที่แนวทางอุบายที่หลวงปู่ดู่ท่านสอนนั้น ท่านให้บังคับจิต ฝึกฝืน อบรมจิต สอนจิตเจ้าของ เป็นต้นว่าพิจารณาสิ่งที่ดูที่เห็นว่ามีคุณมีโทษอย่างไร
ท่าน ว่าเราต้องหลอกล่อมันเสียก่อนจนกว่ามันจะฉลาดหรือแข็งแรงพอจะช่วยตัวเองได้ ดังที่ท่านสอนว่าเราต้องอาศัยการหลอกให้เขียน ก ข ก กา หลอกตั้งแต่ขั้นที่เขียนไม่เป็นตัวหนังสือ กระทั่งเขียนได้สวยงาม กระทั่งแต่งเป็นประโยค เป็นร้อยแก้ว ร้อยกรองขึ้นมาได้ ทั้งหมดนี้ ก็อาศัยการหลอก (คือการปรุงแต่งสอนใจเจ้าของ) ทั้งสิ้น
พูด อีกนัยหนึ่งก็คือ ยอมใช้สัญญาและการปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรุงแต่งไปในทางให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรุงแต่งให้จิตเกิดธรรมสังเวช ซึ่งวิธีนี้ก็เหมือนเราเอาขวานมาฟันโคนต้นไม้ ฟันไปเรื่อย ๆ ถึงคราวต้นไม้จะโค่น มันก็โค่นไปในทิศที่เราอุตส่าห์ฟันซ้ำ ๆ ไปตรงที่เดิมนั้นเอง
ดังนั้น ท่านจึงมิได้พูดเฉพาะ “ดูจิต” หากแต่มีคำว่า “รักษาจิต” ด้วย นั่นคือให้มีการแทรกแซง หรือหาอุบายแยบคายเพื่อสอนใจ อบรมใจ ให้ฉลาดต่อสิ่งที่ประสบหรือสิ่งถูกดู/ถูกรู้ที่เรียกว่าอารมณ์ เพื่อจะได้ไม่หลงกับมัน จนเกิดทุกข์เกิดโทษ การดัดจิตที่หลวงปู่สอนนี้จึงสอดคล้องกับพุทธพจน์ที่ว่า “นักปราชญ์ย่อมทำจิตที่ดิ้นรนกลับกลอก รักษาได้โดยยาก ห้ามได้โดยยากให้ตรง ดังช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะนั้น” และ “พวกคนไขน้ำก็ไขน้ำไป ช่างศรก็ดัดลูกศร พวกช่างถากก็ถากไม้ พวกบัณฑิตผู้มีวัตรอันงาม ก็ฝึกฝนตน”
ใน ภาคการปฏิบัติ หลวงปู่ท่านจึงให้ตะลุมบอน มีทั้งการปรุงแต่งปลุกปลอบใจ ให้กำลังใจตัวเอง (มิใช่ดูเฉย ๆ แบบไร้การปรุงแต่ง) และก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่จะตั้งสมมุติขึ้นก่อน (หลวงปู่สอนบ่อยครั้งว่าต้องอาศัยสมมติขึ้นก่อน แล้ววิมุติจึงจะตามมา หรืออาศัยสัญญาในเบื้องต้นก่อน แล้วปัญญาแท้จึงจะตามมา) เช่น ตั้งนิมิตขึ้นมาก่อนบ้าง หยิบยกหัวข้อธรรมขึ้นมาพิจารณาบ้าง บางครั้งก็ถึงขั้น (ปรุงแต่ง) ด่าตัวเอง ให้คลายความโง่ความหลงบ้าง
การ ปฏิบัติในภาคสนามแบบหลวงปู่จึงเป็นแบบมวยวัด เต็มไปด้วยการปรุงแต่งสอนใจ ข่มใจ ปลุกปลอบใจเจ้าของให้อาจหาญร่าเริงในธรรม โดยต้องช่วยประคับประคงจิตเจ้าของที่เบื้องต้นก็เหมือนเด็กเล็กซึ่งยังไม่ ต้องพูดถึงการวิ่ง เอาแค่ยืนให้มั่นคงก็ยังยาก จึงต้องอาศัยการประคับประคองจิตให้จิตนั้นทรงตัวอยู่ได้ ก่อนที่จะทรงตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ (ของผู้ที่โตแล้ว หรือผ่านการฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว)
การ บังคับหรืออบรมจิตในระหว่างแห่งการปฏิบัตินี้อุปมาเหมือนออกแรงป่ายปีนภูเขา ด้วยวิริยะอุตสาหะ ต่อสู้กับความเหนื่อยยากทั้งภายนอกภายใน ก่อนที่จะไปหยุดนั่งอยู่บนยอดเขาอย่างผู้เจนจบในชีวิต หรือผู้ที่พิชิตอุปสรรคต่าง ๆ มาหมดสิ้นแล้ว จึงนั่งมองมาเบื้องล่าง ดูความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ ด้วยความวางเฉย และสงบเย็น ชนิดที่เรียกว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ฯลฯ อันเป็นผลจากการป่ายปีนขึ้นมาถึงจุดนี้
๒. การอาศัยฐานการเจริญกรรมฐานที่เพียงพอ
ประเด็น นี้ก็แตกต่างกันมากเช่นเดียวกัน เพราะแนวทางการดูจิตในปัจจุบัน ไม่เน้นการเจริญกรรมกรรมฐาน ในขณะที่แนวทางที่หลวงปู่สอน จะเน้นคล้ายครูบาอาจารย์ทางอีสานที่ส่งเสริมให้นั่งสมาธิ และอาศัยการบริกรรมภาวนา กล่าวโดยรวมคือหลวงปู่ท่านให้ยึดหลักว่าต้องเจริญทั้งส่วนของศีล สมาธิ และปัญญา อย่างเพียงพอและกลมกลืน (มรรคสมังคี) ซึ่งแม้ปัญญาและวิมุติ จะเป็นที่ปรารถนา แต่ก็ไม่มองข้ามอุปกรณ์หรือเครื่องมือคือสมาธิ เป็นเหมือนบันไดในการขึ้นไปยังชั้นบน หากไม่อาศัยบันได แล้วกระโดดขึ้นชั้นบนเลย นอกจากขึ้นไมได้แล้ว ยังเจ็บตัวเปล่าอีกด้วย ดังคำสอนเตือนของหลวงปู่ที่ว่า “เบื้องต้นก็จะขึ้นยอดตาล มีหวังตกลงมาตาย หรือแข้งขาหักเท่านั้น”
นอก จากหลวงปู่จะเน้นการเจริญสมาธิเพื่อให้จิตทรงตัวเพียงพอจะใช้เป็นฐานในการ มองดูและพิจารณาอะไร ๆ ให้ชัดเจนแล้ว หลวงปู่ยังมุ่งให้เกิดสมาธิและปีติ เป็นความอิ่ม ความพอ ในจิตใจ มิเช่นนั้น จิตจะโหยหาอารมณ์ ตกเป็นทาสของนิวรณ์ ยากจะเอาจิตที่มีสภาวะเช่นนี้ไปใช้การใช้งานได้
๓. การตรวจสอบสภาวะจิตเจ้าของ
ดู เหมือนว่าวิธีดูจิตที่เป็นอยู่ บรรดาศิษย์จะนิยมอาศัยการพยากรณ์ (ตรวจสอบ) วาระจิตจากครูอาจารย์ เพื่อให้รู้ว่าจิตของผู้ปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง มีความก้าวหน้าหรือต้องปรับปรุงอย่างไร ในขณะที่แนวทางที่หลวงปู่สอน จะเน้นให้ตรวจสอบใจเจ้าของเอง ดังที่ท่านเน้นบ่อย ๆ ว่าให้หมั่นสำรวจโลภ โกรธ หลง ในใจตัวเราเอง เพื่อให้สามารถเป็นครูเป็นอาจารย์สอนตนเอง เตือนตนด้วยตนเองให้ได้
โดย สรุปก็คือ แนวทางการดูจิตของหลวงปู่ ต้องอาศัยการปรุงแต่งหรือการฝึกจิต ดัดจิต เพื่อรักษาใจด้วยการชำละล้างโลภ โกรธ หลงออกจากใจ โดยอยู่บนหลักการที่ว่าทุกอย่างต้องมีขั้นมีตอน จะลัดเอาไม่ได้ และเน้นการตวจสอบตัวเอง เตือนตัวเอง ที่สำคัญ การดูจิต รักษาจิต ต้องอยู่บนฐานของจิตที่ควรแก่การงาน นั่นก็คือจิตที่เป็นสมาธิ มีการทรงตัว (ไม่ซัดส่ายง่าย ๆ) มีปีติและกำลังแห่งจิตที่พอตัว

ที่มา : Luangpudu.com / Luangpordu.com
Click to expand...

อนุโมทนา.....สาธุ

surachai2519 · 2 กรกฎาคม 2011

ตื่นมารอพี่ตุ้ยครับ...:boo::boo:

surachai2519 · 2 กรกฎาคม 2011

รอรูปทางpmครับ..หลวงปู่ทวดปี10หลวงพ่อโตวัดบางกระทิงปี07สงสัยพี่ตุ้ย..จะหลับแล้ว...:'(

surachai2519 · 2 กรกฎาคม 2011

surachai2519 said: ↑

ขอเลือกดูพระหลวงปู่ทวดปี10
พระผงพิมพ์หลวงพ่อโตวัดบางกระทิงปี07
จะรอดูนะครับ..พรุ่งนี้.ดึกเท่ารัยก็รอได้..อยากได้บูชามากๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุณครับ..ผม
Click to expand...

ขออนุญาตนอนต่อครับ..

ตุ้ย ฉันทะ · 2 กรกฎาคม 2011

แจ้งส่งพัสดุ EMS ครับ 01/07/2011 เวลา 09:57:24
คุณอัครพล RF 2701 1577 9 TH ขอบคุณมากครับ
คุณสุรศักดิ์ RF 2701 1578 2 TH ขอบคุณมากครับ
คุณเฉลิมรัฐ EH 4690 2200 1 TH ขอบคุณมากครับ
คุณธนวุฒิ EH 4690 2201 5 TH ขอบคุณมากครับ

ตุ้ย ฉันทะ · 2 กรกฎาคม 2011

ต้องขอบคุณ คุณเอมี่ด้วยครับ ที่ช่วยเอนเลขกลับ เพราะนำเลข(วินาที) จะมีแค่60หมายเลข บางตัวเลขจะไม่มีเลขกลับครับ(เช่น เลือกเลข 58 โอกาสที่จะถูกเลขกลับเป็นไปไม่ได้เพราะเลขวินาที่ไม่มีเลข 85 ครับ)

วันนี้ไม่ได้ลงรายการ กลัวเพื่อนสมาชิกเหงา เอาเป็นว่ามาร่วมสนุกกันดีกว่าครับ
วันนี้ผมส่งไปรษณีย์มาอยากทราบว่า(เลขวินาทีที่จัดส่งเป็นเลขอะไร) ระหว่าง00-59
ทายได้1ท่าน/1เลขนะครับ

เลขตรง = 53 ผู้ที่ได้รับรางวัล คุณวต ครับ จะได้รับ พระประทานพร เนื้อดินเผา หลวงปู่ดู่ ปี2520 และเหรียญหลวงปู่เกษม สุสานไตรลักษณ์ หลังกองทัพภาคที่ 3(ทราบมาว่าเหรียญนี้ของพี่โจราคาบูชาหลักพันครับ สภาพเหรียญสวยมาก ไม่ได้ใช้เลยครับ)
เลขกลับ = 35 ผู้ที่ได้รับรางวัล คุณjitdee4 ครับ จะได้รับ รูป+ชานหมาก หลวงปู่ทิม วัดพระขาว และเหรียญหลวงปู่เกษม สุสานไตรลักษณ์ หลังกองทัพภาคที่ 3(ทราบมาว่าเหรียญนี้ของพี่โจราคาบูชาหลักพันครับ สภาพเหรียญสวยมาก ไม่ได้ใช้เลยครับ)

จัดส่งวันเสาร์ครับ ขอบคุณมากครับ

omega111 · 2 กรกฎาคม 2011

....

ขอร่วมสนุก29 ครับ

kora20 · 2 กรกฎาคม 2011

มีการร่วมสนุกอีกแล้วเหรอครับ ขอเป็นหมายเลข 46 ละกันครับ

KonnoK · 2 กรกฎาคม 2011

Aimee2500 said: ↑

การดูจิต ที่หลวงปู่ดู่สอน

Q: ไม่ทราบว่าการดูจิตที่หลวงปู่ท่านสอน ท่านสอนเอาไว้แบบไหนอย่างไร

A: ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติธรรมในแนวทางที่เรียกกันว่า “การดูจิต” นั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากในปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีเพื่อน ๆ หลายคนสงสัยถามกันมาไม่น้อยในเรื่องนี้ จึงทำให้ระลึกทบทวนว่าหลวงปู่ดู่ท่านสอนเรื่องการดูจิตไว้เหมือนหรือแตกต่าง กันอย่างไร เพราะหลวงปู่มักสอนลูกศิษย์เสมอ ๆ ว่า “ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต ของดีก็อยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา” ก่อน อื่นต้องขอเน้นย้ำว่าไม่ได้มาฟันธงว่าแบบใดผิด แบบใดถูก หากแต่กล่าวถึงเพียงอุบายวิธีที่หลวงปู่ท่านสอนเพื่อแก้ข้อสงสัยของผู้ที่ สงสัยถามมาเท่านั้น ซึ่งสรุปความแตกต่างไว้ใน ๓ ประเด็น ดังนี้ครับ
๑. การแทรกแซงหรือบังคับจิต
ประเด็น นี้แตกต่างกันอย่างมาก เพราะแนวทางการดูจิตที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบัน เน้นการไม่เข้าไปแทรกแซง บังคับ หรือปรุงแต่งจิต ในขณะที่แนวทางอุบายที่หลวงปู่ดู่ท่านสอนนั้น ท่านให้บังคับจิต ฝึกฝืน อบรมจิต สอนจิตเจ้าของ เป็นต้นว่าพิจารณาสิ่งที่ดูที่เห็นว่ามีคุณมีโทษอย่างไร
ท่าน ว่าเราต้องหลอกล่อมันเสียก่อนจนกว่ามันจะฉลาดหรือแข็งแรงพอจะช่วยตัวเองได้ ดังที่ท่านสอนว่าเราต้องอาศัยการหลอกให้เขียน ก ข ก กา หลอกตั้งแต่ขั้นที่เขียนไม่เป็นตัวหนังสือ กระทั่งเขียนได้สวยงาม กระทั่งแต่งเป็นประโยค เป็นร้อยแก้ว ร้อยกรองขึ้นมาได้ ทั้งหมดนี้ ก็อาศัยการหลอก (คือการปรุงแต่งสอนใจเจ้าของ) ทั้งสิ้น
พูด อีกนัยหนึ่งก็คือ ยอมใช้สัญญาและการปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรุงแต่งไปในทางให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรุงแต่งให้จิตเกิดธรรมสังเวช ซึ่งวิธีนี้ก็เหมือนเราเอาขวานมาฟันโคนต้นไม้ ฟันไปเรื่อย ๆ ถึงคราวต้นไม้จะโค่น มันก็โค่นไปในทิศที่เราอุตส่าห์ฟันซ้ำ ๆ ไปตรงที่เดิมนั้นเอง
ดังนั้น ท่านจึงมิได้พูดเฉพาะ “ดูจิต” หากแต่มีคำว่า “รักษาจิต” ด้วย นั่นคือให้มีการแทรกแซง หรือหาอุบายแยบคายเพื่อสอนใจ อบรมใจ ให้ฉลาดต่อสิ่งที่ประสบหรือสิ่งถูกดู/ถูกรู้ที่เรียกว่าอารมณ์ เพื่อจะได้ไม่หลงกับมัน จนเกิดทุกข์เกิดโทษ การดัดจิตที่หลวงปู่สอนนี้จึงสอดคล้องกับพุทธพจน์ที่ว่า “นักปราชญ์ย่อมทำจิตที่ดิ้นรนกลับกลอก รักษาได้โดยยาก ห้ามได้โดยยากให้ตรง ดังช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะนั้น” และ “พวกคนไขน้ำก็ไขน้ำไป ช่างศรก็ดัดลูกศร พวกช่างถากก็ถากไม้ พวกบัณฑิตผู้มีวัตรอันงาม ก็ฝึกฝนตน”
ใน ภาคการปฏิบัติ หลวงปู่ท่านจึงให้ตะลุมบอน มีทั้งการปรุงแต่งปลุกปลอบใจ ให้กำลังใจตัวเอง (มิใช่ดูเฉย ๆ แบบไร้การปรุงแต่ง) และก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่จะตั้งสมมุติขึ้นก่อน (หลวงปู่สอนบ่อยครั้งว่าต้องอาศัยสมมติขึ้นก่อน แล้ววิมุติจึงจะตามมา หรืออาศัยสัญญาในเบื้องต้นก่อน แล้วปัญญาแท้จึงจะตามมา) เช่น ตั้งนิมิตขึ้นมาก่อนบ้าง หยิบยกหัวข้อธรรมขึ้นมาพิจารณาบ้าง บางครั้งก็ถึงขั้น (ปรุงแต่ง) ด่าตัวเอง ให้คลายความโง่ความหลงบ้าง
การ ปฏิบัติในภาคสนามแบบหลวงปู่จึงเป็นแบบมวยวัด เต็มไปด้วยการปรุงแต่งสอนใจ ข่มใจ ปลุกปลอบใจเจ้าของให้อาจหาญร่าเริงในธรรม โดยต้องช่วยประคับประคงจิตเจ้าของที่เบื้องต้นก็เหมือนเด็กเล็กซึ่งยังไม่ ต้องพูดถึงการวิ่ง เอาแค่ยืนให้มั่นคงก็ยังยาก จึงต้องอาศัยการประคับประคองจิตให้จิตนั้นทรงตัวอยู่ได้ ก่อนที่จะทรงตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ (ของผู้ที่โตแล้ว หรือผ่านการฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว)
การ บังคับหรืออบรมจิตในระหว่างแห่งการปฏิบัตินี้อุปมาเหมือนออกแรงป่ายปีนภูเขา ด้วยวิริยะอุตสาหะ ต่อสู้กับความเหนื่อยยากทั้งภายนอกภายใน ก่อนที่จะไปหยุดนั่งอยู่บนยอดเขาอย่างผู้เจนจบในชีวิต หรือผู้ที่พิชิตอุปสรรคต่าง ๆ มาหมดสิ้นแล้ว จึงนั่งมองมาเบื้องล่าง ดูความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ ด้วยความวางเฉย และสงบเย็น ชนิดที่เรียกว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ฯลฯ อันเป็นผลจากการป่ายปีนขึ้นมาถึงจุดนี้
๒. การอาศัยฐานการเจริญกรรมฐานที่เพียงพอ
ประเด็น นี้ก็แตกต่างกันมากเช่นเดียวกัน เพราะแนวทางการดูจิตในปัจจุบัน ไม่เน้นการเจริญกรรมกรรมฐาน ในขณะที่แนวทางที่หลวงปู่สอน จะเน้นคล้ายครูบาอาจารย์ทางอีสานที่ส่งเสริมให้นั่งสมาธิ และอาศัยการบริกรรมภาวนา กล่าวโดยรวมคือหลวงปู่ท่านให้ยึดหลักว่าต้องเจริญทั้งส่วนของศีล สมาธิ และปัญญา อย่างเพียงพอและกลมกลืน (มรรคสมังคี) ซึ่งแม้ปัญญาและวิมุติ จะเป็นที่ปรารถนา แต่ก็ไม่มองข้ามอุปกรณ์หรือเครื่องมือคือสมาธิ เป็นเหมือนบันไดในการขึ้นไปยังชั้นบน หากไม่อาศัยบันได แล้วกระโดดขึ้นชั้นบนเลย นอกจากขึ้นไมได้แล้ว ยังเจ็บตัวเปล่าอีกด้วย ดังคำสอนเตือนของหลวงปู่ที่ว่า “เบื้องต้นก็จะขึ้นยอดตาล มีหวังตกลงมาตาย หรือแข้งขาหักเท่านั้น”
นอก จากหลวงปู่จะเน้นการเจริญสมาธิเพื่อให้จิตทรงตัวเพียงพอจะใช้เป็นฐานในการ มองดูและพิจารณาอะไร ๆ ให้ชัดเจนแล้ว หลวงปู่ยังมุ่งให้เกิดสมาธิและปีติ เป็นความอิ่ม ความพอ ในจิตใจ มิเช่นนั้น จิตจะโหยหาอารมณ์ ตกเป็นทาสของนิวรณ์ ยากจะเอาจิตที่มีสภาวะเช่นนี้ไปใช้การใช้งานได้
๓. การตรวจสอบสภาวะจิตเจ้าของ
ดู เหมือนว่าวิธีดูจิตที่เป็นอยู่ บรรดาศิษย์จะนิยมอาศัยการพยากรณ์ (ตรวจสอบ) วาระจิตจากครูอาจารย์ เพื่อให้รู้ว่าจิตของผู้ปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง มีความก้าวหน้าหรือต้องปรับปรุงอย่างไร ในขณะที่แนวทางที่หลวงปู่สอน จะเน้นให้ตรวจสอบใจเจ้าของเอง ดังที่ท่านเน้นบ่อย ๆ ว่าให้หมั่นสำรวจโลภ โกรธ หลง ในใจตัวเราเอง เพื่อให้สามารถเป็นครูเป็นอาจารย์สอนตนเอง เตือนตนด้วยตนเองให้ได้
โดย สรุปก็คือ แนวทางการดูจิตของหลวงปู่ ต้องอาศัยการปรุงแต่งหรือการฝึกจิต ดัดจิต เพื่อรักษาใจด้วยการชำละล้างโลภ โกรธ หลงออกจากใจ โดยอยู่บนหลักการที่ว่าทุกอย่างต้องมีขั้นมีตอน จะลัดเอาไม่ได้ และเน้นการตวจสอบตัวเอง เตือนตัวเอง ที่สำคัญ การดูจิต รักษาจิต ต้องอยู่บนฐานของจิตที่ควรแก่การงาน นั่นก็คือจิตที่เป็นสมาธิ มีการทรงตัว (ไม่ซัดส่ายง่าย ๆ) มีปีติและกำลังแห่งจิตที่พอตัว

ที่มา : Luangpudu.com / Luangpordu.com
Click to expand...

ขอบคุณคุณพี่เอมี่ มากที่นำหลักธรรมคำสอนการปฏิบัติมาเผยแพร่ครับ ปัจจุบันการดูจิตแพร่หลายกันมาก หากพิจารณาให้ถึงแก่นธรรมคำสอนแล้ว ผมเห็นว่ามักจะลงเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นเรื่องเดียวกันเสมอ น่าอัศจรรย์จริงๆ

ขออนุโมทนาบุญที่เกิดกับผู้ที่นำหลักธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ไปปฏิบัติ ดังคำกล่าวของหลวงพ่อกลั่น พระปัชฌาย์หลวงปู่ดู่ที่ว่า "ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่าช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ"

KonnoK · 2 กรกฎาคม 2011

omega111 said: ↑

ขอร่วมสนุก29 ครับ
Click to expand...

kora20 said: ↑

มีการร่วมสนุกอีกแล้วเหรอครับ ขอเป็นหมายเลข 46 ละกันครับ
Click to expand...

คุณพี่ตระกูลเอาภาพพระที่ผู้โชคดีทายเลขวินาทีในใบส่งพัสดุมาลงยืนยันให้ดูครับ

ไม่ได้มีรายการร่วมสนุกวัดใจอะไรตอนนี้ :'(

omega111 · 2 กรกฎาคม 2011

KonnoK said: ↑

คุณพี่ตระกูลเอาภาพพระที่ผู้โชคดีทายเลขวินาทีในใบส่งพัสดุมาลงยืนยันให้ดูครับ

ไม่ได้มีรายการร่วมสนุกวัดใจอะไรตอนนี้ :'(
Click to expand...

55555 โทดทีครับ เพิ่งตื่นนอน:boo::boo::boo:

chongkasem · 2 กรกฎาคม 2011

ลองอีกที "35"ครับ........

chongkasem · 2 กรกฎาคม 2011

chongkasem said: ↑

ลองอีกที "35"ครับ........
Click to expand...

ขอโทษคร้าบ+++เข้าใจผิดอิอิอิ
รอดูของดีวันจันทร์ครับ..........

aui2008 · 2 กรกฎาคม 2011

ฉันทะ said: ↑

Click to expand...

สวยงามมากครับพี่ ทั้ง 2 รางวัล อนุโมทนากับผู้โชคดีด้วยครับ

kora20 · 2 กรกฎาคม 2011

KonnoK said: ↑

คุณพี่ตระกูลเอาภาพพระที่ผู้โชคดีทายเลขวินาทีในใบส่งพัสดุมาลงยืนยันให้ดูครับ

ไม่ได้มีรายการร่วมสนุกวัดใจอะไรตอนนี้ :'(
Click to expand...

ขอบคุณครับคุณ Konnok ผมว่าแล้วทำมายข้อความคุ้นๆ

kora20 · 2 กรกฎาคม 2011

วันนี้วันเสาร์ทำมั้ยเงียบจัง พี่โจหายไปไหน

วันนี้ไม่มีบทความหรือประสบการณ์เล่าให้เพื่อนฟังบ้างหรือครับ

Jopaa · 2 กรกฎาคม 2011

เพิ่งกลับมาจากวัดสะแก ไปกะคุณตุ้ย..ไม่ไหว..เหนื่อย..ง่วง..ขอตัวนอนก่อนน่ะคร๊าบ...คร๊อก....ฟี่..sleeping_rb

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ฉันทะ วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **

benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

omega111 สมาชิก

Aimee2500 เป็นที่รู้จักกันดี

chongkasem เป็นที่รู้จักกันดี

surachai2519 Active Member

surachai2519 Active Member

surachai2519 Active Member

ตุ้ย ฉันทะ ID LINE : 0818477768 ID WeChat : T8477768

ไฟล์ที่แนบมา:

Copy (2) of r-1.gif

Copy (3) of r-1.gif

Copy (4) of r-1.gif

Copy (5) of r-1.gif

Copy of r-1.gif

ตุ้ย ฉันทะ ID LINE : 0818477768 ID WeChat : T8477768

omega111 สมาชิก

kora20 เป็นที่รู้จักกันดี

KonnoK เป็นที่รู้จักกันดี

KonnoK เป็นที่รู้จักกันดี

omega111 สมาชิก

chongkasem เป็นที่รู้จักกันดี

chongkasem เป็นที่รู้จักกันดี

aui2008 เป็นที่รู้จักกันดี

kora20 เป็นที่รู้จักกันดี

kora20 เป็นที่รู้จักกันดี

Jopaa เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

** ฉันทะ ** วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **

ไฟล์ที่แนบมา:

Copy (2) of r-1.gif

Copy (3) of r-1.gif

Copy (4) of r-1.gif

Copy (5) of r-1.gif

Copy of r-1.gif

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา

ฉันทะ วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **