พยากรณ์กรรม โดยยึดหลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'บริการรับดูดวง' ตั้งกระทู้โดย รัตนชาติ, 7 มีนาคม 2011.

  1. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    สำหรับผู้ที่ถือศีล5 จะเกิดเป็นมนุษย์ ถือศีล8 จะเกิดเป็นเทวดา
    เราทุกคนตั้งใจสมาทานศีล 5 และปฏิบัติถือศีล ตามคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้
     
  2. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    การทำบุญคืออะไร

    ในการศึกษาเรื่องกฎแห่<WBR>งกรรมในพระพุทธศาสนานั้น ผู้ศึกษาจำเป็นต้องศึกษาให้เข้<WBR>าใจในเรื่องการทำบุญประเภทต่าง ๆ ว่า มีอะไรบ้าง และการทำบุญประเภทนั้น ๆ ทำอย่างไรจึงจะถูกต้องและได้<WBR>ผลมาก เพราะการทำบุญเป็นกรรมดีหรือกุ<WBR>ศลกรรม ที่ทุกคนควรบำเพ็ญ

    ฉะนั้น ในตอนนี้ จะพูดถึง บุญกิริยาวัตถุ คือ หลักแห่งการบำเพ็ญบุญ ในพระพุทธศาสนา เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้<WBR>าใจกฎแห่งกรรมชัดเจนยิ่งขึ้น

    ลักษณะของบุญ

    บุญ คือ อะไร? บุญคือสภาพที่ทำจิตใจให้<WBR>สะอาดให้ผ่องใส ฉะนั้น ลักษณะของบุญในความหมายแรกนี้ จึงหมายถึงสภาพของจิตหรือคุ<WBR>ณภาพของจิตที่ผ่องใส

    อีกอย่างหนึ่ง บุญ หมายถึง ความสุข ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย คำว่า บุญนี้ เป็นชื่อของความสุข"

    อีกอย่างหนึ่ง
    ฉะนั้น ลักษณะของบุญในความหมายที่สองนี<WBR>้ จึงหมายถึงความสุขความเจริญบุญ หมายถึง การทำความดี ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    "พึง สั่งสมบุญ ทั้งหลาย อันจะนำความสุขมาให้" ฉะนั้น ลักษณะของบุญในความหมายที่ ๓ นี้ หมายถึงการทำดี เช่น การให้ทาน การรักษาศีล เป็นต้น

    ดังนั้น
    บุญจึงมีลักษณะ ๓ ประการ คือ

    ๑. เมื่อว่าถึงเหตุของบุญ บุญ ได้แก่ การทำความดี
    ๒. เมื่อว่าถึงผลของบุญ บุญ ได้แก่ ความสุขความเจริญ
    ๒. เมื่อว่าถึงสภาพของจิต บุญ ได้แก่ จิตใจที่ผ่องใสสะอาด


    แม้ลักษณะของบาปก็มีนัยตรงกันข้<WBR>ามกับลักษณะของบุญ การเข้าใจเรื่องบุญจะต้องเข้<WBR>าใจลักษณะของบุญทั้ง ๓ ประการนี้ ถ้าเข้าใจเพียงลักษณะใดลั<WBR>กษณะหนึ่ง ชื่อว่ายังเข้าใจบุญไม่ตลอด เช่น บางคนเข้าใจบุญเพียงแต่เหตุ<WBR>ของบุญ เช่นว่า คนนี้ทำบุญด้วยการให้ทาน ส่วนคนโน้นทำบุญด้วยการรักษาศีล เป็นต้น นี้เข้าใจเพียงแต่เหตุของบุญเท่<WBR>านั้น

    บางคนเข้าใจบุญเพียงแต่ผลของบุญ เช่นว่า "คนนั้นมีความสุข เพราะเขามีบุญ" นี้เข้าใจเพียงผลของบุญเท่านั้น

    บางคนเข้าใจบุญเพียงแต่<WBR>สภาพของจิตที่ผ่องใส เช่นว่า "คนนั้นจิตใจของเขาสะอาด มีเมตตากรุณา เพราะเขาเป็นคนใจบุญ" นี้เข้าใจเพียงสภาพจิตที่<WBR>สะอาดผ่องใสเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจเรื่องบุ<WBR>ญในพระพุทธศาสนา เราจะต้องเข้าใจถึงลักษณะของบุ<WBR>ญทั้ง ๓ ประการดังกล่าวแล้ว จึงจะชื่อว่าเข้าใจบุญได้ทั้<WBR>งหมดและถูกต้อง

    บุญกิริยาวัตถุ

    บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า
    หลักแห่งการบำเพ็ญบุญ หรือที่ตั้งแห่งการทำบุญ บุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง คือ

    ๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
    ๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา


    หมายความว่า วิธีหรือหลักแห่งการทำบุ<WBR>ญในพระพุทธศาสนา เมื่อพูดโดยย่อแล้วก็มีเพียง ๓ อย่าง คือ
    ทาน ศีล และภาวนา

    แต่ถ้าขยายความให้กว้างออกไป บุญกิริยาวัตถุมี ๑๐ ประการ คือ

    ๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
    ๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา
    ๔. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตนต่<WBR>อผู้ใหญ่
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่<WBR>ชอบ
    ๖. ปัติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญ
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม
    ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง

    การทำบุญในพระพุทธศาสนา มี ๑๐ อย่างนี้เท่านั้น ไม่ได้มากไปกว่านี้ ถ้านอกไปจากนี้ก็ไม่ใช่บุ<WBR>ญในพระพุทธศาสนา

    บุญกิริยาวัตถุ ๓ ปรากฏในพระไตรปิฎก แต่บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ปรากฏในคัมภีร์รุ่นหลัง ๆ คือ อรรถกถาทีฆนิกาย และอภิธัมมัตถสังคหะ การที่ท่านขยายบุญกิริยาวัตถุ<WBR>ออกเป็น ๑๐ ก็เพื่อให้เข้าใจหลักการทำบุ<WBR>ญในพระพุทธศาสนาชัดเจนยิ่งขึ้น

    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ย่อลงในบุญกิริยาวัตถุ ๓ ดังนี้

    บุญกิริยาวัตถุข้อ ๔ และข้อ ๕ คือ อปจายนมัย และเวยยาวัจจมัย จัดเข้าในศีล เพราะเข้าในลักษณะของความเรี<WBR>ยบร้อย

    บุญกิริยาวัตถุข้อ ๖ และข้อ ๗ คือ ปัตติทานมัย และปัตตานุโมทนามัย จัดเข้าในทาน เพราะเข้าลักษณะการให้

    บุญกิริยาวัตถุข้อที่ ๘ และข้อ ๙ คือ ธัมมัสสวนมัย และธัมมเทสนามัย จัดเข้าในภาวนา เพราะเข้าในลักษณะของการอบรมจิต

    ส่วนทิฏฐุชุกัมม์ จัดเป็นภาวนา เพราะเป็นลักษณะของปัญญา เป็นสัมมาทิฐิ อันตรงกันข้ามกับมิจฉาทิฏฐิ แต่บางอาจารย์จัดให้ทิฏฐุชุกั<WBR>มม์เป็นได้ทั้งทาน ศีล และภาวนา เพราะการที่คนจะให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนาได้ก็ต่อเมื่<WBR>อความเห็นชอบตรง มิฉะนั้นแล้วเขาจะไม่ทำบุญไม่ว่<WBR>าอย่างไหน

    คำว่า "มัย" ที่ต่อท้ายบุญกิริยาวัตถุทุกข้<WBR>อนั้น มาจากคำบาลีว่า "มะยะ" แปลว่า "สำเร็จหรือเกิด" เช่น ทานมัย บุญสำเร็จจากการให้ทาน หรือบุญเกิดจากการให้ทาน

    ขยายความบุญกิริยาวัตถุ ๑๐

    ในการทำบุญตามหลักพระพุ<WBR>ทธศาสนานั้น บางคนก็ทำถูก เพราะเข้าใจในการทำบุญและทำด้<WBR>วยความมั่นใจเพราะเห็นว่าเป็นบุ<WBR>ญ เป็นกุศล เป็นความดี หรือเป็นกรรมดี จึงทำ แม้จะสิ้นเปลือง เหน็ดเหนื่อยลำบาก และใช้เวลานานเพียงไร ก็ยินดีทำ เพราะเห็นชัดว่าการทำบุญนี้ก่<WBR>อให้เกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่<WBR>นเป็นอันมาก

    แต่บางคนไม่เข้าใจเรื่องบุญ หรือหลักการทำบุญ หรือเข้าใจเพียงบางส่วน เพราะไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ เมื่อผู้อื่นบอกให้ทราบหรื<WBR>อบอกให้ทำอย่างใดก็ทำอย่างนั้น หรือเห็นเขาทำก็ทำบ้าง แต่ไม่เข้าใจในเรื่องของบุญ หรือเข้าใจเพียงบางส่วน อาจจะผิดหรือถูกก็ไม่รู้แน่

    บางคนก็ทำด้วยความงมงายและถู<WBR>กหลอกลวง เพราะไม่รู้หลักการทำบุญที่ถู<WBR>กต้อง พุทธศาสนิกชน ส่วนใหญ่จะเข้าใจเรื่องการให้<WBR>ทานมากกว่าการทำบุญอย่างอื่น แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่ถู<WBR>กหลอกลวง หรือให้ทานอย่างผิดหลักและได้<WBR>ผลน้อย

    ฉะนั้น จึงควรศึกษาให้เข้าใจถูกต้อง ในเรื่องการทำบุญในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะหลักการทำบุญ ๑๐ อย่าง ที่เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ เพราะถ้าเข้าใจหลักการทำบุญ ๑๐ อย่างนี้แล้วก็จะได้ทำบุญหรื<WBR>อสร้างความดีอย่างถูกต้อง ไม่งมงาย และได้ผลมาก ไม่เสียทีที่เราเกิดมาเป็นมนุ<WBR>ษย์นับถือพระพุทธศาสนา
     
  3. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ๑. ทานมัย บุญที่เกิดจากการให้ทาน

    การให้ทาน คือ การให้เป็นวัตถุสิ่งของของตนแก่<WBR>ผู้อื่น เป็นบุญชนิดหนึ่ง เรียกว่า บุญ เกิดจากการให้

    จุดมุ่งหมายของการให้<WBR>ทานของคนเรามีหลายอย่าง เช่น

    ๑.
    ให้เพื่อบูชาคุณ เช่นให้แก่พระสงฆ์ พ่อแม่ หรือครูอาจารย์ ผู้มีคุณแก่คนและสังคมโดยส่<WBR>วนรวม

    ๒.
    ให้เพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น มอบเงินทองหรือสิ่งของให้แก่<WBR>พระศาสนา หรือเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่<WBR>ประเทศชาติ

    ๓.
    ให้เพื่ออนุเคราะห์ เช่น ให้ญาติพี่น้อง ลูกหลาน ผู้น้อย เพื่อช่วยเหลือ หรือให้ด้วยความรักความเอ็นดู

    ๔.
    ให้เพื่อสงเคราะห์ เช่น ให้แก่คนตกทุกข์ได้ยาก คนประสบภัยพิบัติ หรือแก่ สัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น

    ๕.
    ให้เพื่อชำระกิเลสเพื่อสร้<WBR>างความดี เช่น ให้ทานเพื่อสำเร็จมรรคผล หรือ การบำเพ็ญทานบารมีของพระพุทธเจ้<WBR>าเพื่อสำเร็จพระโพธิญาณ

    แต่การให้ดังต่อไปนี้ ไม่จัดเป็นทาน คือ ให้ยาพิษ ให้น้ำเมา ให้ของเสพติดให้โทษ ให้สินบน ให้ค่าจ้าง ให้อาวุธเพื่อฆ่าตนเองหรือฆ่าผู<WBR>้อื่น เพราะไม่ใช่ให้ด้วยกุศลจิต

    การให้ทานทุกชนิด ย่อมมีผลทั้งสิ้น แม้แต่บุคคลเทน้ำลงในหลุมหรือบ่<WBR>อเล็ก ๆ ด้วยหวังว่าจะให้สัตว์เล็ก ๆ ได้อาศัยน้ำนั้นเป็นอยู่ พระพุทธองค์ยังตรัสว่า เป็นบุญ ไม่จำเป็นต้องพูด ถึงทานที่ให้แก่มนุษย์ แต่ทานที่จะให้ผลมากได้นั้น ก็ต้องเป็นทานที่มีลักษณะดังต่<WBR>อไปนี้

    ๑. ของที่ให้ทานนั้น เป็นของที่ได้มาด้วยความบริสุ<WBR>ทธิ์ ไม่ใช่ของโกง หรือลักจากผู้อื่นมา

    ๒. ของที่ให้นั้น เป็นของดี ของบริสุทธิ์ หรือของมีค่ามาก

    ๓. ปฏิคาหกผู้รับทาน เป็นผู้มีคุณธรรมสูง หรือกิเลสเบาบาง ปฏิบัติเพื่อทำลายกิเลส หรือปราศจากกิเลส

    ๔. ให้แก่สงฆ์ คือ เป็นสังฆทาน

    ๕. ทายกผู้ให้มีใจเลื่อมใส ในกาลทั้ง ๓ คือ

    ๑. ปุพพเจตนา ก่อนแต่ให้มีใจยินดี
    ๒. มุญจนเจตนา กำลังให้มีใจเลื่อมใส
    ๓. อปรเจตนา ให้เสร็จแล้วมีใจเบิกบาน

    ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    ปุพฺเพว ทานา สุมโน ททํ จิตฺตํ ปสาทเย
    ทตฺวา อตฺตมโน โหติ เอสา ยญฺญสฺส สมฺปทา.

    ทายกผู้ให้ทานนั้น ก่อนให้ก็มีใจยินดี กำลังให้ก็ทำ
    ใจให้เลื่อมใส ให้เสร็จแล้วก็มีใจเบิกบาน ข้อนี้ คือ
    ความสมบูรณ์ของยัญ (ทาน).

    ทาน กับ จาคะ

    การให้ทานในพระพุทธศาสนา บางครั้งเรียกว่า
    การบริจาค แต่บางทีก็พูดรวมกันว่า
    บริจาคทาน

    แท้ที่จริง ทาน ก็คือการบริจาคหรือจาคะนั้นเอง เป็นเพียงแต่ว่า ถ้าพูดแยกกัน ทานก็มีความหมายอย่างหนึ่ง จาคะก็มีความหมายอย่างหนึ่ง คือ

    ทาน หมายถึง การให้ โดยหวังผลตอบแทน เช่น หวังให้ร่ำรวย หวังให้รูปสวย หรือหวังให้เกิดในสวรรค์ เป็นต้น

    ส่วน
    จาคะ หรือการบริจาค หมายถึง การสละ คือสละกิเลส สละความตระหนี่ถี่เหนี่ยวของตน สละความเห็นแก่ตัว สละความสุขส่วนตัว เพื่อส่วนรวม เช่น พระพุทธเจ้าทรงบริจาคทาน เพื่อมุ่งสำเร็จพระโพธิญาณ เพื่อตรัสรู้ มุ่งรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้<WBR>นจากทุกข์

    แต่ถ้าพูดถึงทานอย่างเดียว ไม่พูดถึงการบริจาค จาคะ หรือการบริจาคก็รวมลงในทานอย่<WBR>างเดียว คือ ทาน หมายถึงการบริจาคด้วย แต่ถ้าพูดแยกกัน อย่างในทศพิธราชธรรม พูดถึงเรื่องทานด้วย พูดถึงการบริจาคด้วย ทานก็มีความหมายอย่างหนึ่ง บริจาคก็มีความหมายอย่างหนึ่ง ดังกล่าวข้างต้น

    ผลของทานมีมาก ให้มนุษย์สมบัติก็ได้ ให้สวรรค์สมบัติก็ได้ ให้นิพพานสมบัติก็ได้ แต่โดยเฉพาะทำให้เป็นคนไม่ยากจน มีทรัพย์สมบัติ ทำให้มีบริวารมาก และเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
     
  4. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล

    ศีล หมายถึง การรักษากายและวาจาให้เรียบร้อย ศีล แปลได้ ๓ อย่าง คือ

    ๑. ศีล แปลว่า "ปกติ" คือทำกาย และวาจาให้เป็นปกติให้เรียบร้อย ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด

    ๒. ศีล แปลว่า "เย็น" คือทำให้คนเยือกเย็น ทำให้เย็นกาย เย็นใจ ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะขาดศีล

    ๓. ศีล แปลว่า "เกษม" คือปลอดภัย ทำให้เบากายเบาใจ

    ศีลมีหลายประเภท คือ

    ๑. ศีล ๕ หรือ ศีลกรรมบถ สำหรับคนทั่วไป
    ๒. ศีล ๘ หรือ ศีลอุโบสถ สำหรับอุบาสกอุบาสิกา
    ๓. ศีล ๑๐ <WBR> สำหรับสามเณร
    ๔. ศีล ๒๒๗ หรือ ปาริสุทธิศีล ๔ สำหรับพระภิกษุ

    การรักษาศีลต้องมีเจตนาจึงจะเป็<WBR>นศีลได้ ถ้าไม่มีเจตนาจะงดเว้นหรือจะรั<WBR>กษาศีลแล้ว แม้ผู้นั้นไม่ทำความชั่ว เช่น ไม่ฆ่าสัตว์หรือไม่ลักทรัพย์ เป็นต้น ก็ไม่มีศีล เหมือนเด็กที่นอนแบเบาะ แม้ไม่ทำชั่วก็ไม่ก็ไม่มีศีล เพราะไม่มีเจตนาจะงดเว้น หรือเหมือนอย่างวัวควาย แม้มันไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ก็ไม่มีศีล เพราะไม่มีเจตนาจะงดเวัน

    การที่จะมีศีลได้ก็ต้องมีวิรัติ คือมีเจตนาที่จะงดเว้นจากโทษนั้<WBR>น ๆ

    วิรัติ ๓

    วิรัติ แปลว่า การงดเว้น มี ๓ อย่าง คือ

    ๑. สมาทานวิรัติ งดเว้นด้วยการสมาทาน เป็นวิรัติของปุถุชนทั่วไป เช่น สมทานศีล ๕ สมาทานศีล ๘ เป็นต้น

    ๒. สัมปัตตวิรัติ งดเว้นด้วยเหตุกราณ์ที่เกิดขึ้<WBR>นจำเพาะหน้า เป็นวิรัติของผู้ที่ไม่ตั้<WBR>งใจจะรักษาศีลมาก่อน คือ คนบางคนไม่ตั้งใจว่าจะรักษาศีล แต่มีเหตุการณ์เกิดขึ้<WBR>นจำเพาะหน้าอันอาจจะให้ล่วงศี<WBR>ลได้ แต่ไม่ยอมล่วงศีล เกิดงดเว้นขึ้นมาในขณะนั้น

    เช่น มีโอกาสจะฆ่าสัตว์ หรือฆ่าคนได้ แต่ไม่ฆ่า หรือมีโอกาสจะลักของของคนอื่<WBR>นได้แต่ไม่ลัก หรือมีโอกาสจะประพฤติผิ<WBR>ดในกามได้ แต่ไม่ยอมประพฤติผิดในกาม โดยมาคำนึงว่า การกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะไม่<WBR>ควรแก่ฐานะ และสกุลของตนอย่างตนเอง จึงงดเว้นเสียในขณะนั้น การงดเว้นอย่างนี้ ท่านเรียกว่า สัมปัตตวิรัติ

    ๓. สมุจเฉทวิรัติ งดเว้นได้เด็ดขาด เป็นวิรัติของพระอริยบุคคลตั้<WBR>งแต่พระโสดาบันขึ้นไป คือ พระอริยบุคคลทุกจำพวกมีศีล ๕ บริบูรณ์ที่สุด ท่านงดเว้นจากเวร ๕ ได้เด็ดขาด โดยไม่ต้องสมาทาน หรือคอยพะวงรักษา เพราะท่านเห็นโทษของการประพฤติ<WBR>ล่วงศีลอย่างแท้จริง

    แม้ใครจะมาบังคับให้ท่านประพฤติ<WBR>ล่วงศีล ๕ ท่านยอมตายเสียดีกว่าที่<WBR>จะประพฤติล่วง การละความชั่วในขั้นนี้ของท่<WBR>านจึงเป็นสมุจเฉทปหาน คือ ละได้เด็ดขาด หรือเป็นสมุจเฉทวิรัติ คืองดเว้นได้เด็ดขาด

    อานิสงส์ของศีล

    ศีลมีอานิสงส์เป็นอันมาก เช่น ทำให้เป็นที่รักเป็นที่<WBR>เคารพของคนทั้งหลาย อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข ไม่ก่อเวรก่อภัยต่อผู้ใด ทำให้เป็นคนสง่างาม มีผิวพรรณผ่องใส แต่กล่าวโดยสรุปอานิสงส์ของศีล มี ๓ อย่าง ดังคำพระบาลีบอกอานิสงส์ของศี<WBR>ลว่า

    ๑. สีเลน สุคฺตึ ยนฺติ บุคคลจะไปสู่สุคติได้ก็เพราะศีล
    ๒. สีเลน โภคสมฺปทา บุคคลจะได้โภคทรัพย์สมบัติได้ก็<WBR>เพราะศีล
    ๓. สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ บุคคลจะดับทุกข์ความเดือดร้<WBR>อนจนเข้าถึงพระนิพพานได้ก็<WBR>เพราะศีล

    เพราะฉะนั้น ทุกคนควรรักษาศีลให้บริสุทธิ์<WBR>ไว้เถิด ก็จะรับอานิสงส์ดังกล่าวแล้<WBR>วในที่สุดได้
     
  5. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา

    ภาวนา เป็นหลักธรรมชั้นสูงในพระพุ<WBR>ทธศาสนา หมายถึง การอบรมจิต หรือ การพัฒนาจิต คือ ทำจิตให้มีค่าสูง ได้แก่ ทำจิตให้สะอาด สงบ สว่าง

    ภาวนา มี ๒ อย่าง คือ

    ๑. สมถภาวนา การทำใจให้สงบ เป็นหลักธรรมขั้นสมาธิ
    ๒. วิปัสสนาภาวนา การทำใจให้รู้แจ้งเห็นจริงจนตั<WBR>ดกิเลสได้หมด เป็นหลักธรรมขั้นปัญญา

    ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ได้เจริญหรือบำเพ็<WBR>ญภาวนาจนจิตของตนเกิดความสงบ เยือกเย็น เห็นคุณค่าของพระศาสนาในด้านนี้<WBR>แล้ว ชื่อว่ายังไม่รู้จักพระพุ<WBR>ทธศาสนาอย่างแท้จริง เพราะธรรมขั้นทานและศีลนั้นแม้<WBR>ในศาสนาอื่นก็มี ถึงจะไม่เหมือนกันก็ตาม

    ในสมัยพุทธกาล เรียกการฝึกจิตว่า ภาวนา หรือ จิตตภาวนา แต่ในสมัยต่อมา ศัพท์ทางพระพุทธศาสนาเปลี่ยนไป พุทธศาสนิกชน จึงเรียกการฝึกจิตว่า "กรรมฐาน" แทนที่จะเรียกว่า "ภาวนา" คำว่า "กรรมฐาน" ไม่ปรากฎในพระไตรปิฎก แต่ปรากฎในคัมภีร์อรรถกถา หรือ คัมภีร์รุ่นหลัง

    คำว่า "กรรมฐาน" จึงมักคุ้นหูกว่าคำว่า "ภาวนา" แต่ในปัจจุบันคำว่า "ภาวนา" เริ่มนำมาใช้กันมากขึ้น เช่นมีการชักชวนให้มีการเจริ<WBR>ญภาวนาพุทโธ กันในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั<WBR>วของไทยองค์ปัจจุบัน เป็นต้น

    กรรมฐาน แปลว่า "ที่ตั้งแห่งการงาน" คือ จิตต้องมีงานทำจึงมีคุณค่าสูงขึ<WBR>้นได้ และงานนั้นจะต้องมีฐานที่ตั้ง จึงเรียกงานฝึกจิตว่า "กรรมฐาน" คือ งานประเสริฐของจิต กรรมฐานก็คือภาวนานั่นเอง และมี ๒ อย่างเช่นกัน คือ

    ๑. สมถกรรมฐาน กรรมฐานขั้นทำใจให้สงบ
    ๒. วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานขั้นทำใจให้รู้แจ้งเห็<WBR>นจริง

    การเจริญภาวนาหรื<WBR>อการทำกรรมฐานนี้ได้บุญกุ<WBR>ศลมากกว่าการให้ทาน และการรักษาศีล คือ ทาน มีผลน้อยกว่าศีล ศีลมีผลน้อยกว่าสมาธิ สมาธิมีผลน้อยกว่าปัญญา ปัญญามีผลมากที่สุด เพราะสามารถนำไปสู่การตัดกิ<WBR>เลสได้ เข้าสู่พระนิพพาน เข้าถึงความสิ้นทุกข์ได้โดยสิ้<WBR>นเชิง
     
  6. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ๔. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อมต่อผู้<WBR>ใหญ่

    การอ่อนน้อมถ่อมตน จัดเป็นบุญประการหนึ่ง เพราะจิตไม่แข็งกระด้าง แต่การอ่อนน้อมนั้นต้องอ่อนน้<WBR>อมต่อบุคคลที่ควรอ่อนน้อม ถ้าไปอ่อนน้อมหรือบูชาคนที่ไม่<WBR>ควรบูชา ก็จะเกิดโทษแทนที่จะเกิดคุณ

    คนที่ควรอ่อนน้อม ท่านเรียกว่า วุฑฒบุคคล ซึ่งมีอยู่ ๓ ประเภท คือ

    ๑. วัยวุฑฒะ คือ คนที่แก่กว่าเรา อายุมากกว่าเรา เช่น พี่ ป้า น้า อา ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า

    ๒. ชาติวุฑฒะ คือ คนที่มีชาติกำเนิดสูงกว่าเรา คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา แม้จะมีอายุน้อยกว่าเรา แต่ชาติตระกูลสูงก็<WBR>ควรแสดงความเคารพ เพราะเป็นไปเพื่อความเจริญ

    ๓. คุณวุฑฒะ คือ คนที่มีคุณธรรมสูงกว่า เช่น พระภิกษุสามเณร แม้จะมีอายุน้อยกว่า เราก็ควรนอบน้อมถ่อมตนต่อท่าน เพราะท่านมีคุณธรรม คือ ศีลสูงกว่าเรา หรือคนที่มีบุญคุณต่อเรา เช่น พ่อ แม่ หรือ ครูอาจารย์ เพราะท่านมีคุณต่อเรา หรือต่อสังคม

    การแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนต่<WBR>ออวุฑฒบุคคล ๓ ประเภทดังกล่าวมาแล้ว ด้วยการกราบไหว้ ลุกรับ หรือพูดจาแสดงสัมมาคารวะ หรือให้เกียรติต่อท่านเป็นต้น จัดเป็นการทำบุญประการหนึ่<WBR>งในพระพุทธศาสนา ย่อมได้รับความสุขความเจริญในชี<WBR>วิตได้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    อภิวาทนสีลิสฺส นิจํ วุฑฺฒาปจายิโน
    จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ ฯ

    พร ๔ ประการ คือ อายุยืน ๑ ผิวพรรณผ่องใส ๑
    การมีความสุขกายสุขใจ ๑ การมีกำลังกายกำลังใจ ๑
    ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มี<WBR>การกราบไหว้เป็นปกติ ประพฤตินอบน้อมต่อวุฑฒบุคคล (ผู้ใหญ่) อยู่เป็นนิตย์ฯ
     
  7. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่<WBR>ชอบ

    การช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ คือ การช่วยในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่<WBR>อผู้อื่นต่อส่วนรวมจัดเป็นบุ<WBR>ญประการหนึ่ง เช่น ช่วยเขาสร้างสะพาน สร้างถนน ขุดคลอง ขุดสระ ขุดบ่อน้ำ สร้างศาลา สร้างวัด สร้างโรงพยาบาลปลูกต้นไม้ ทำถนนหนทางให้สะอาด ช่วยกวาดวัด ด้วยกำลัง กาย หรือช่วยงานบวชนาค งานกฐิน หรือช่วยงานทำบุญเลี้ยงพระ ช่วยนิมนต์พระ หรือช่วยขับรถรับส่งพระ หรือคนที่มาช่วยในงานเป็นต้น ทั้งหมดนี้จัดเป็นบุญทั้งสิ้น

    แม้การช่วยเหลือคนเจ็บป่วย คนตกน้ำ คนถูกรถชน หรือคนประสบอุบัติเหตุต่าง ๆ ก็เป็นบุญ แม้แต่ช่วยนำคนแก่ข้ามถนนให้<WBR>ปลอดภัย และชี้ทางให้แก่คนหลงทางก็จั<WBR>ดเป็นเวยยาวัจจมัย อันจัดเป็นบุญทั้งสิ้น

    ผลของบุญข้อนี้มีมาก เช่น ไปที่ใดก็จะได้รับความสะดวกได้<WBR>รับความช่วยเหลือ ไม่ขัดข้องเดือดร้อน ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ มฆมาณพพร้อมด้วยเพื่อน ๓๓ คน ที่สร้างถนน และสร้างศาลา เพื่อสาธารณประโยชน์แก่คนทั้<WBR>งหลายแล้วไปเกิดในสรรค์ชั้<WBR>นดาวดึงส์ ซึ่งกล่าวไว้ในอรรถกถาธรรมบท เป็นตัวอย่างของบุญข้อนี้
     
  8. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    ๖. ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ

    พุทธศาสนิกชน เมื่อทำบุญอันใดแล้วก็มักจะอุทิศส่วนบุญนั้นแก่ท่านผู้มีพระคุณ หรือแก่คนอื่น สัตว์อื่นเป็นอันมาก เพราะทำให้ได้รับผลบุญเพิ่มขึ้น เป็นการแสดงออกถึงการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ขี้เหนียว มีใจกว้างหวังประโยชน์สุขต่อคนอื่นสัตว์อื่น

    เมื่อตนได้รับบุญแล้วก็หวังจะให้คนอื่นสัตว์อื่นได้รับบุญนั้นด้วย เหมือนคนมีความรู้แล้วก็ถ่ายทอดให้แก่คนอื่น ด้วยหวังให้เขาได้มีความรู้ความสามารถด้วย

    บางคนทำบุญ เช่น ให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนาแล้วก็ไม่ยอมอุทิศบุญที่ได้รับนั้นให้แก่ผู้ใดก็ได้บุญแต่ผู้ เดียว และได้บุญเฉพาะในเรื่องของทาน ศีล หรือ ภาวนาที่ตนได้ทำเท่านั้น แต่ไม่ได้บุญข้อปัตติทานมัย แต่ถ้าหากว่าผู้นั้นอุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้อื่นด้วย เขาก็จะได้บุญเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือ ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ

    การให้ส่วนบุญนั้น สามารถให้ได้ทั้งแก่คนเป็นและคนที่ตายไปแล้ว บางคนเข้าใจผิดว่าการให้ส่วนบุญหรืออุทิศส่วนกุศลให้ได้เฉพาะคนตายเท่านั้น ข้อนี้เข้าใจผิด แท้ที่จริง การให้ส่วนบุญนี้สามารถให้ได้ทั้งแก่คนที่ยังมีชีวิตและแก่ท่านที่ล่วงลับไป แล้ว

    การให้ส่วนบุญแก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ จะให้ต่อหน้าก็ได้ ให้ลับหลังก็ได้
    การ ให้ต่อหน้า เช่น เราทำบุญมาสักอย่างหนึ่ง จะเกิดจากทานก็ตามจากศีลก็ตาม หรือจากภาวนาก็ตาม เมื่อเราพบพ่อแม่หรือญาติมิตร ก็บอกว่า "วันนี้กระผม(หรือดิฉัน) ได้บวชลูกหรือบวชหลานมา ขอให้คุณพ่อ... จงได้ได้รับส่วนกุศลนั้นด้วย ขอให้อนุโมทนาในส่วนกุศลครั้งนี้ด้วย" ผู้รับจะ

    อนุโมทนาหรือไม่ก็ตาม แต่ผู้ให้ย่อมได้รับส่วนบุญแล้ว ถ้าเขาอนุโมทนา เขาก็ได้รับบุญข้อปัตตานุโมทนามัย

    การให้ลับหลัง เข่น ในปัจจุบัน ชาวไทยจำนวนมากรวมทั้งพระสงฆ์ เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ก็มักจะบำเพ็ญบุญกุศลโดยเสด็จพระราชกุศล มีการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา แล้วถวายพระราชกุศลแก่พระองค์ท่าน อย่างนี้ก็เรียกว่า ปัตติทานมัยเช่นกัน

    การให้ส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เขาจะตายไปแล้วนานเท่าไรก็ได้ จะอุทิศเป็นภาษาไทยก็ได้ เป็นภาษาบาลี หรือภาษาอื่นใดก็ได้ มีน้ำกรวดก็ได้ ไม่มีน้ำกรวดก็ได้ มีกระดูกและชื่อของผู้นั้นก็ได้ ไม่มีก็ได้ ย่อมสำเร็จทั้งสิ้น

    อย่างในกรณีเปรตผู้เป็นพระญาติของพระเจ้าพิมพิสาร พระองค์ก็ทรงจำชื่อพระญาติเหล่านั้นไม่ได้แม้แต่คนเดียว พระองค์อ้างในคำอุทิศว่า เป็นญาติเท่านั้นก็ถึงได้ เพราะเปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้นกำลังรอรับส่วนบุญอยู่แล้ว ดังคำบาลีที่พระองค์อุทิศส่วนกุศลแก่พระญาติของพระองค์หลังจากที่พระองค์ทรง บริจาคทานแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขว่า

    "อิทํ เม ญาตีนํ โหตุ ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า สุขิตา โหนตุ ญาตโย ขอญาติทั้งหลายจงถึงความสุข"

    เพียงเท่านี้ก็สำเร็จ โดยพระองค์ไม่ได้บ่งชื่อญาติเหล่านั้นเลยแม้แต่พระองค์เดียว และในการกรวดน้ำครั้งนั้นไม่ต้องใช้น้ำเลย

    การอุทิศส่วนบุญโดยมีน้ำกรวดเพิ่งนำมาใช้ในยุคหลังนี้เอง คือหลังจากครั้งพุทธกาล แต่จะเกิดขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่เท่าไร ยังหาหลักฐานไม่พบ

    กล่าวกันว่า พุทธศาสนิกชน ในประเทศอินเดียเห็นพราหมณ์ลงไปในแม่น้ำคงคา เอามือวักน้ำแล้วหยอดลงไปในแม่น้ำตามเดิม พร้อมกับกล่าวอุทิศว่า "ขอให้น้ำนี้จงถึงแก่พ่อแม่ของข้าพเจ้า"

    พุทธศาสนิกชนเห็นพวกพราหมณ์กรวดน้ำเช่นนี้ จึงเห็นว่าเข้าทีดี จึงได้นำน้ำมาประกอบในการอุทิศส่วนกุศล เรียกกันในปัจจุบันว่า "การกรวดน้ำ" พระสงฆ์เห็นว่าไม่ผิดหลักพุทธศาสนาอันใด จึงอนุโลมให้ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

    แท้ที่จริง การอุทิศส่วนกุศลที่เรียกว่าปัตติทานมัยนั้น เดิมทีไม่ต้องใช้น้ำเลย ฉะนั้น การอุทิศส่วนกุศล จะมีน้ำด้วยก็ได้ ไม่มีก็ได้ ย่อมสำเร็จทั้งสิ้น


    แต่การอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ไปเกิดเป็นเปรตนั้น บุญนั้นจะต้องเกิดจากทานเท่านั้น และเปรตที่จะได้รับส่วนบุญนี้ก็เฉพาะ ปรทัตตูปชีวิเปรต คือ เปรตที่อาศัยทานที่คนอื่นให้ ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์อย่างนี้

    การที่พวกเปรตจะได้รับส่วนบุญนั้น ต้องประกอบด้วยปัจจัย ๓ ประการ คือ

    ๑. การอุทิศของผู้ให้
    ๒. การอนุโมทนาของเปรต
    ๓. ปฏิคาหก (ผู้รับทาน) เป็นผู้ทรงศีล

    ต้องพร้อมทั้ง ๓ ประการนี้ จึงจะสำเร็จผล ถ้าขาดแม้ข้อเดียว เช่น ปฏิคาหกไม่มีศล บุญก็ไม่ถึง อันปฏิคาหกผู้รับทานนั้นไม่จำเป็นต้องได้ภิกษุสามเณรผู้ทรงศีลเท่านั้นเสมอ ไป ในคัมภีร์ท่านกล่าวไว้ว่า แม้อุบาสกผู้ทรงศีลก็สามารถทำให้ทานสำเร็จแก่พวกเปรตได้เช่นกัน ดังมีตัวอย่างปรากฏอยู่ในเรื่องนางเวมาณิกาเปรต ในอรรถกถาเปตวัตถุ
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม

    การฟังธรรมจัดเป็นบุญประการหนึ่ง เพราะทำให้เข้าใจหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ เพราะผู้ที่เป็นสาวกนั้นจำเป็นจะต้องฟังธรรม (สาวก แปลว่า ผู้ฟัง) มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีทางเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าและบรรลุมรรคผลได้ เพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เองได้

    ในสมัยพุทธกาล การเข้าใจพระพุทธศาสนาและการบรรลุมรรคผลส่วนใหญ่แล้ว เนื่องมากจากการฟังธรรมทั้งสิ้น เพราะไม่มีสื่อการฟังอย่างอื่นหนังสือก็มีใช้กันน้อยมาก

    แต่ตามความเป็นจริงแล้ว การได้ความรู้จากผู้อื่นมาก็จัดเข้าในการฟังทั้งสิ้นคือ การอ่านหนังสือ การฟังเทป การดูทางโทรทัศน์ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องธรรมะแล้วก็เกิดบุญทั้งสิ้น และบุญประเภทนี้รวมเรียกว่า ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม

    ในปัจจุบันหนังสือทางพระพุทธศาสนาประเภทต่าง ๆ มีมากขึ้น จึงทำให้เกิดความสะดวกในการทำบุญประเภทนี้ คือ บุญเกิดจากการฟังธรรม และบางคนก็ได้รับบุญนี้ทุกวัน เพราะชอบอ่านหนังสือธรรมะหรือชอบฟังรายการธรรมะ หรือรายการสวดมนต์ทางวิทยุ หรือจากเทปธรรมะ

    การฟังธรรม ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ ได้แต่ความเสื่อมใสอย่างเดียว เช่น ผู้ที่ไม่รู้ภาษาบาลี ฟังเสียงสวดมนต์หรือฟังพระสวดอภิธรรมในงานศพ ไม่รู้ไม่เข้าใจ ได้แต่ความเลื่อมใสอย่างเดียว อย่างนี้ท่านกล่าวว่าได้แต่บุญไม่ได้กุศล เพราะกุศล แปลว่า "ความฉลาด"

    ฉะนั้น บางคนฟังธรรมได้แต่บุญอย่างเดียวไม่ได้กุศล แต่บางคนได้ทั้งบุญ ได้ทั้งกุศล แต่โดยทั่วไปแล้ว การฟังธรรมได้ทั้งบุญทั้งกุศล จึงมักพูดรวมกันว่า "ได้บุญ" คือ บุญอันเกิดจากการฟังธรรม

    การฟังธรรม ถ้าให้ได้ประโยชน์มาก ผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟังจริง ๆ มุ่งฟังเอาเนื้อหาสาระ เพื่อนำไปปฏิบัติและสั่งสอนผู้อื่น จึงจะเกิดปัญญาความรู้ความเข้าใจได้มาก ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

    สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ.
    ผู้ตั้งใจฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา

    ฉะนั้น การฟังธรรมจะมีอานิสงส์มากก็ต่อเมื่อผู้ฟังตั้งใจฟัง

    อานิสงส์ของการฟังธรรม

    การฟังธรรมมีประโยชน์มาก เพราะพุทธศาสนาได้ดำรงมาได้จนถึงปัจจุบันก็เนื่องจากการฟังธรรม พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า การฟังธรรมมีประโยชน์หรืออานิสงส์ ๕ อย่าง คือ

    ๑. ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
    ๒. สิ่งใดที่เคยฟังแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจชัดย่อมเข้าใจชัด
    ๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้
    ๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้
    ๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส

    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม

    การแสดงธรรมเป็นบุญประการหนึ่ง และทำให้พระศาสนาดำรงมั่นมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะมีการแนะนำสั่งสอนสืบต่อกันมา แม้เราทุกคนที่เข้าใจพระพุทธศาสนาอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะได้อาศัยครูบาอาจารย์ หรือ พ่อแม่แนะนำสั่งสอน หรือ อ่านหนังสือธรรมที่ท่านผู้รู้ธรรมได้แต่งหรือเขียน หรือรวบรวมไว้

    การแสดงธรรมนี้ จัดเป็นทานอย่างหนึ่ง เรียกว่า "ธรรมทาน" เป็นทานที่มีผลมากกว่าทานทั้งปวง ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้พระธรรมชนะการให้ทั้งปวง

    ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนจะให้ทานก็ดี จะรักษาศีลก็ดี จะเจริญภาวนาก็ดี ก็ต้องอาศัยได้ฟังธรรมมาก่อน เขาจึงได้ทำบุญประเภทอื่น ๆ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมมาก่อนแล้ว คนจะไม่ทำบุญอันใด แม้ใครจะทำบุญบ้างตามอัธยาศัยของตน แต่บุญนั้นก็มีผลน้อย เพราะทำไม่ถูกวิธี เพราะขาดผู้แนะนำสั่งสอน

    การแสดงธรรมที่จัดว่าเป็นบุญนั้น ไม่ได้มีเพียงพระภิกษุสามเณรเท่านั้นที่แสดงได้ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ย่อมแสดงได้ หรือทำบุญข้อนี้ได้ทั้งสิ้น

    การแสดงธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องแสดงบนธรรมาสน์เสมอไป ที่ใดก็แสดงหรือแนะนำสั่งสอนได้ เช่น ในบ้าน ในป่า ตามถนนหนทาง ในรถ ในเรือ แม้ในเครื่องบิน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง หรือทางสถานีโทรทัศน์ และการสอนในชั้นเรียน เป็นต้น

    บุญอันเกิดจากการแสดงธรรมนั้น ไม่ใช่การพูดอย่างเดียว แม้การเขียนหนังสือธรรมะ การพิมพ์หนังสือธรรมะ หรือการให้ทุนในการพิมพ์หนังสือธรรมะออกเผยแพร่ก็จัดเข้าในบุญข้อนี้ทั้ง สิ้น

    แม้การบริจาคทุนทรัพย์ในการพิมพ์หนังสือธรรมะ หรือซื้อหนังสือธรรมะ หรือพระไตรปิฎกถวายพระ ถวายไว้ประจำวัด หรือแจกคนทั่วไป ก็จัดเป็นธรรมทาน คือ บุญอันเกิดจากการให้ธรรมะะป็นทานได้เช่นกัน

    แม้การแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ลูกหลาน หรือญาติมิตร ให้เข้าถึงธรรม ให้ประพฤติธรรม ให้รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ก็จัดเป็นบุญในข้อแสดงธรรม การที่พ่อแม่แนะนำสั่งสอนลูกให้ประพฤติดี หรือพี่แนะนำน้องให้ละชั่วประพฤติดี ก็จัดเป็นบุญข้อนี้ทั้งสิ้น

    หลักการแสดงธรรม

    การแสดงธรรมจะมีประโยชน์มากก็ต่อเมื่อผู้สอนผู้แสดงมีจิตเมตตาหวังให้ ประโยชน์ต่อผู้ฟังจริง ๆ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า นักเทศน์ หรือ ผู้แสดงธรรม จะต้องมีคุณสมบัติ ๕ ประการคือ

    ๑. แสดงธรรมโดยลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ
    ๒. อ้างเหตุผลแนะนำให้ผู้ฟังเข้าใจ
    ๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
    ๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ
    ๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือ ไม่ยกตนเสียดสีผู้อื่น

    หากผู้สอนธรรม แสดงธรรมหรือเขียนหนังสือธรรมะ ท่านใดมีคุณสมบัติ หรือใช้หลักการแสดงธรรม ๕ ประการนี้แล้ว ผลแห่งการแสดงธรรมและบุญอันเกิดจากการแสดงธรรมจะมีมาก

    ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง

    การทำความเห็นให้ตรง คือ มีสัมมาทิฏฐิ-เห็นชอบนั่นเอง คือเห็นตรงตามทำนองคลองธรรม จัดเป็นบุญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา

    ส่วนการเห็นผิด จากทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว บาปบุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ตายแล้วสูญ เป็นต้น เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นอกุศลกรรมบถ จัดเป็นบาป แม้ไม่ได้ทำชั่วด้วยกาย หรือวาจา แต่ถ้ามีความคิดเห็นเช่นนี้ก็จัดเป็นบาป และบาปมากถึงขั้นห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานทีเดียว เพราะจิตตั้งไว้ผิดหลงทางเสียแล้ว จึงไม่ยอมทำความดี มีแต่จะทำความชั่วถ่ายเดียว

    ส่วนการทำความเห็นให้ตรง เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น แม้ผู้นั้นยังไม่ทำดีด้วยกาย หรือว่าไม่ทำดีด้วยกาย หรือวาจา เป็นเพียงแต่เห็นถูก เห็นตรงเท่านั้น ก็จัดเป็นบุญ และเป็นบุญที่ครบคลุมบุญอื่นทั้งหมด เพราะเมื่อคนเราเห็นถูกเห็นตรงเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว ก็ย่อมทำบุญประเภทอื่น ๆ ด้วยความสนิทใจและตั้งใจทำ

    สัมมาทิฏฐิ ๑๐

    ทิฏฐุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หมายถึง สัมมาทิฏฐิ ๑๐ คือ มีความเห็นตรง เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงใน ๑๐ เรื่อง โดยเห็นว่า

    ๑. การให้ทานมีผล
    ๒. การบูชามีผล
    ๓. การต้อนรับแขกด้วยของต้อนรับมีผล
    ๔. ผลของกรรมดีกรรมชั่วมี
    ๕. โลกนี้มี (คือสัตว์จากโลกอื่นมาเกิดในโลกนี้มี)
    ๖. โลกอื่นมี (คือสัตว์จากโลกนี้ไปเกิดในโลกอื่นมี)
    ๗. มารดามีคุณ
    ๘. บิดามีคุณ
    ๙. สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ (เช่น เทวดาและเปรต) มี
    ๑๐. สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติชอบ ทราบชัดถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาได้เอง และสามารถให้ผู้อื่นรู้ได้ด้วย มี (คือ พระอรหันต์มี)

    ผู้ใดมีความเห็นชอบ เห็นตรง ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ ชื่อว่าทำความเห็นให้ตรง เป็นทิฏฐุชุกัมม์ เป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเห็นตรงกันข้ามก็เป็นมิจฉาทิฐิ

    จิตที่ตั้งไว้ถูกทางนั้น ย่อมนำความสุขความเจริญมาให้แก่เจ้าของได้มาก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์ธรรมบทว่า

    น ตํ มาตา ปิตา กยิรา อญฺญเฌ วาปิจ ญาตกา
    สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร.

    จิตที่ตั้งไว้ชอบ (เป็นสัมมาทิฐิ) ย่อมทำบุคคลนั้นให้ประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งที่พ่อแม่หรือญาติพี่น้องอื่นทำให้เสียอีก.

    การทำบุญในพระพุทธศาสนามีเพียง ๑๐ ประการดังกล่าวมา ไม่ได้นอกเหนือไปกว่านี้เลย ใครจะเลือกทำอย่างไหนก็สามารถทำได้ตามกำลังและความสมารถของตน แม้คนไม่มีเงินทองเลย เป็นคนยากจนก็สามารถทำบุญได้ และสามารถทำได้มากด้วย ถ้าหากผู้นั้นประสงค์จะบำเพ็ญบุญจริง ๆ เพราะบุญไม่ใช่เพียงให้ทานอย่างเดียว ยังมีอีกถึง ๙ อย่างที่ไม่ต้องใช้เงินทอง และมีอยู่หลายอย่างที่มีผลมากกว่าทาน

    บุญทุกประเภทเป็นตัวนำสุขมาให้ ทั้งโจรจะลักไปก็ไม่ได้ ทั้งสามารถนำติดตัวไปได้ด้วย แม้เมื่อตายไปแล้ว ไม่เหมือนทรัพย์สมบัติ เมื่อตายแล้วก็ทิ้งไว้หมดสิ้นแม้แต่รูปร่างกาย ดังคำกลอนที่ว่า

    "มีเจ้ามามีอะไรมากับเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
    เมื่อเจ้าไปเจ้าจะเอาอะไรไป เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา"

    เพราะฉะนั้น จึงขอให้ทุกคนสั่งสมแต่ความดี คือ บุญ เพราะการสั่งสมบุญนำความสุขมาให้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    "ปุญฺญานิ กยิราถ สุขาวหานิ.
    บุคคลพึงทำบุญทั้งหลายไว้เถิด ซึ่งจะนำสุขมาให้"
     
  9. deardolly

    deardolly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +178
    ได้สาระดีนะครับ...แต่อ่านไม่หมด..เยอะมากตาลาย...เด๋วจะปริ้นอ่านให้จบครับ

    รบกวนดูดวงให้หน่อยนะครับ...ชื่อกับอื่นๆ ส่งให้แล้วทาง pm
     
  10. มารีจัง

    มารีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2007
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +351
     
  11. wan_winny

    wan_winny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +216
    รบกวนด้วยนะคะ ดวงของสามีคะ

    เกิด ๑๑ ตค. ๒๕๐๑

    ๑ ติดขัดเรื่องเอกสารต่าง ๆ ทำให้การเงินที่คาดว่าจะได้รับล่าช้าออกไป
    ๒ วิธีแก้ไข (มีวิธีไหนบ้างคะเพราะสามีไม่ใช่คนพุทธ)

    ขอบคุณคะ
     
  12. มารีจัง

    มารีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2007
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +351
     
  13. gerard300

    gerard300 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +12
    พรุ่งนี้วันพระใหญ่แล้ว เพื่อนๆ ปฏิบัติตัวกันยังไงบ้างในวันวิสาขบูชา
     
  14. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    คุณนำเอกสารต่าง ๆ ที่มีปัญหา แต่ถ้ามากไม่ได้ใช้เขียนเหมือนเป็นจดหมาย แต่สั้นไม่ยาว อธิษฐานเรื่องเดียว ใส่พานจุดธูปไหว้พระ สมาทานศีล5 สวดมนต์ ทำสมาธิ แผ่เมตตากรวดน้ำ ให้พระแม่ธรณีเป็นพยานนำส่งบุญนี้ให้พยัญชนะทุกตัว ตัวอักษรทุกตัว สกุลเงินตราทุกประเทศ เหรียญ ธนบัตร ทรัพย์ของแผ่นดิน บอกชื่อ-นามสกุล สามี วดป.เกิด ว่ามีัปัญหา ขอบุญในครั้งนี้ส่งผลช่วยให้ปัญหาต่าง ๆ มีทางออกที่ดี (แล้วแต่อธิษฐาน แต่ต้องเป็นทางกุศล) อธิษฐานเป็นเรื่อง ๆ อย่าปนหลายอย่าง ทำทุกวัน และใส่บาตรด้วยทุกเช้า ใส่ชื่อคุณและสามี
    สวดมนต์ธัมจักร มงคลสูตร รัตนสูตร กรณียเมตสูตร อาฏานาฏิยสูตร (ถ้าสวดได้ทุกปริตรก็ดีค่ะ หรือ ก็ตามที่บอกก็ได้)
     
  15. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 พฤษภาคม 2011
  16. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    คุณแผ่เมตตาใ้ห้บริวารทุกวัน สวดมนต์มงคลสูตร รัตนสูตร กรณียเมตสูตร ขันธปริตร มงคลจักรวาลใหญ่-น้อย ขอให้ได้กัลยาณมิตร บริวารคิดดี พูดดี ทำดี อุดหนุนค้ำจุนช่วยเหลือให้ตัุวคุัณและครอบครัวเจริญรุ่งเรือง แล้วตัวคุณก็ต้องมีจิตเมตตากับบริวาร คิดดี พูดดี ทำดี ต่อพวกเค้าด้วยนะค่ะ ถ้ารู้ชื่อบริวารก็บอกให้ชื่อโดยตรง เวลาทำบุญเลี้ยงพระหรือปัจจัยใส่ซองก็ให้บริวารด้วยนะค่ะ
     
  17. juu-dt07

    juu-dt07 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2010
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +934
    เรียนคุณปัตจัตตัง ขอรบกวนถามดังนี้
    1.เกิดเสาร์ 10 ต.ค. 2507 เวลา 20.30 น.ตลอดที่ทำงานมานี้เหนื่อยมาก มีรายได้พอควร แต่รายจ่ายก็พอๆกัน สรุปไม่มีเหลือเก็บ ไม่ทราบเกิดจากอะไรคะ มีสิ่งใดที่ดิฉันควรปฎิบัติไหมคะ ทุกๆคืนสวดมนต์ และสมาทานศีล 5 แผ่เมตตาอยู่ค่ะ
    2.สามีและบุตรเป็นอย่างไรคะ มีสิ่งใดควรระวัง และแก้ไขไหมคะ
    รบกวนถามเท่านี้ก่อนนะคะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
     
  18. รัตนชาติ

    รัตนชาติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +93
    บทสวดมนต์มงคลเก้า

    [FONT=&quot]บทสวดมนต์มงคลเก้า[/FONT]
    [FONT=&quot]ความเป็นมาและอานิสงส์ของการสวดมนต์มงคลเก้าบทสวดมนต์มงคลเก้า หรือยันต์เก้า ของท่านพระอาจารย์จำเนียร สีลเสฏโฐ แห่งวัดถ้ำเสือ อ.เมือง จ.กระบี่ เป็นบทสวดซึ่งได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษ พร้อมทั้งท่วงทำนองการสวดแบบอินเดียโบราณตอนใต้ เป็นการรวบรวมบทสวดที่สำคัญมาไว้เป็นบทเดียวกัน โดยเฉพาะบทนครัฏฐาสูตร ที่ได้กล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระอรหันต์เอตทัคคะ ๘๐ องค์ ฯลฯ อานิสงส์ของการสวดมนต์มงคลเก้านี้ เป็นการเสริมบารมี โชคลาภ วาสนา สะเดาะเคราะห์กรรมต่างๆ ป้องกันคุณไสยหรือไสยศาสตร์ อีกทั้งยังสามารถทำน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล แก่ตนเองและผู้อื่น[/FONT]
    [FONT=&quot]วิธีสวด[/FONT][FONT=&quot] ให้เริ่มสวดตั้งแต่หน้าที่ [/FONT][FONT=&quot](อาราธนาพระปริตร) ถึงหน้าที่ (จบ)[/FONT]
    [FONT=&quot]อาราธนาพระปริตร[/FONT]
    [FONT=&quot]วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา[/FONT]
    [FONT=&quot]สัพพะ ทุกขะ วินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง[/FONT]
    [FONT=&quot]วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา[/FONT]
    [FONT=&quot]สัพพะ ภะยะ วินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง[/FONT]
    [FONT=&quot]วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา[/FONT]
    [FONT=&quot]สัพพะ โรคะ วินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง[/FONT]
    [FONT=&quot]ข้าแต่พระคุณท่านผู้เจริญ ขอพระคุณท่านโปรดสวด (ข้าพเจ้าขอสวด) พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ กำจัดทุกข์ กำจัดภัย กำจัดโรคของข้าพเจ้า ให้หมดไปสิ้นไป การกระทำอันใดด้วยอธรรม มนต์ดำทั้งหลาย ฝังรูปก็ดี ฝังรอยก็ดี ฝังทางสามแพร่งก็ดี ฝังใต้บ้านก็ดี ฝังบริเวณบ้านก็ดี ฝังในบ่อก็ดี ฝังในสระก็ดี ฝังในห้วยก็ดี ฝังในหนองก็ดี ฝังในคลองก็ดี ฝังในบึงก็ดี ฝังในบางก็ดี ฝังในทะเลก็ดี[/FONT]
    [FONT=&quot]นะถอน โมถอน พุทถอน ธาถอน ยะถอน นะคลอน โมคลอน พุทคลอน ธาคลอน ยะคลอน[/FONT]

    [FONT=&quot]ถอนด้วยนะโมพุทธายะ ผูกไว้ก็ดี มัดไว้ก็ดี ตรึงไว้ก็ดี ผูกด้ายสายสิญจน์ก็ดี ผูกด้ายสามสีก็ดี ผูกด้ายผูกมือผีก็ดี ผูกหัวใจก็ดี ผูกลำไส้ก็ดี ผูกมือผูกเท้าก็ดี[/FONT]

    [FONT=&quot]นะโมตัสสะ ตัสสะตัด ใครผูกใครมัด ตัดด้วยนะโมตัสสะ ตัสสะ[/FONT]

    [FONT=&quot]ข้าแต่พระคุณท่านผู้เจริญ ขอพระคุณท่านโปรดสวด (ข้าพเจ้าขอสวด) สะเดาะพระเคราะห์ ในกายในใจของข้าพเจ้า พระเคราะห์วัน พระเคราะห์เดือน พระเคราะห์ปี พระเคราะห์โยก พระเคราะห์ตัวนอก พระเคราะห์ตัวกลาง พระเคราะห์ตัวใน พระเคราะห์เสวยอายุ พระเคราะห์แทรก เป็นเหตุให้ข้าพเจ้า ปวดท้อง ปวดเอว ปวดหลัง ปวดแขน ปวดต้นคอ ปวดหัวเข่า ปวดแข้ง ปวดขา ปวดหัวมัวตา ขี้ด่าขี้หึง ใจร้อนใจร้าย ความดันสูง ความดันต่ำ โรคหอบ โรคหืด โรคเบาหวาน โรคไซนัส โรคริดสีดวง โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคปอด โรคกระเพาะอาหาร โรคอัมพฤกษ์ โรคอัมพาต โรคมะเร็งทั้งหลาย ขอน้อมถวายให้แก่พระพาย หอบพาไปทิ้งที่นอกขอบจักรวาล[/FONT]
    [FONT=&quot]โชคดีทั้งหลาย เคราะห์ดีทั้งหลาย ฝันดีทั้งหลาย นิมิตดีทั้งหลาย มงคลดีทั้งหลาย จงบังเกิดมี แก่ข้าพเจ้า ทำกิจการอันใด ขอให้สำเร็จตามความปรารถนาทุกเมื่อเทอญ[/FONT]

    [FONT=&quot] นครัฏฐาสูตร[/FONT]
    [FONT=&quot]ปะณิธานะโต ปัฏฐายะ ตะถาคะตัสสะ ทะสะ ปาระมิโย ทะสะ อุปะปาระมิโย ทะสะ ปะระมัตถะปาระมิโย ปัญจะ มะหาปะริจจาเค ติสโส จะริยา ปัจฉิ มัพภะเว คัพภาวักกันติง ชาติง อะภินิกขะมะนัง ปะธานะจะริยัง โพธิปัลลังเก มาระวิชะยัง สัพพัญญุตะญาณัปปะฏิเวธัง นะวะ โลกุตตะระธัมเมติ สัพเพปิเม พุทธะคุเณ อาวัชชิต๎วา เวสาลิยาตีสุ ปาการันตะเรสุ ติยามะรัตติง ปะริตตัง กะโรนโต อายัส๎มา อานันทัตเถโร วิยะการุญญะจิตตัง อุปัฏฐะเปต๎วา ฯ[/FONT]
    [FONT=&quot]โกฏิสะตะสะหัสเสสุ จักกะวาเฬสุ เทวะตา ยัสสาณัม ปะฏิคคัณหันติ ยัญจะเวสาลิยัมปุเร โรคามะนุสสะทุพภิกขะ สัมภูตันติวิธัมภะยัง ขิปปะมันตะระธาเปสิ ปะริตตัน ตัมภะณามะ เห ฯ[/FONT]
    [FONT=&quot]เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา เวสาลิยัง วิหะระติ มะหาวะเน กูฏาคาระ สาลายัง เตนะโขปะนะ สะมะเยนะ ภะคะวา ตัสสายะ รัตติยา ปัจจุสะมะยัง ปัจจุฏฐายะ มะหากะรุณา ผะละสะมาปัตติง สะมาปันโน โหติ พะหุชะ นะหิตายะ พะหุชะ นะสุขายะ โลกานุ กัมปายะ อัตถายะ หิตายะ สุขายะ เทวะมะนุสสานัง อะถะโข ภะคะวา อายัส๎มันตัง อานันทัง อามันเตสิ ปัสเสยยานันทะ มะนุสสานัง อะมะนุสสานัง วิเหฐิยานัง โสตถิยานัง ฯ[/FONT]
    [FONT=&quot]อุคคัณหาหิ อานันทะ อิมัง นะคะรัฏฐานัง ธาเรหิ อานันทะ อิมัง นะคะรัฏฐานัง วาเจหิ อานันทะ อิมัง นะคะรัฏฐานัง มะนะสิกะโรหิ อานันทะ อิมัง นะคะรัฏฐานัง ปะริยาปุณาหิ อานันทะ อิมัง นะคะรัฏฐานัง นะมะ ภาสิตัง ยะถา จะ ปะนาหัง สารัชชัง กุมภัณฑานัง นิสสายะ ราชาภะเยนะ ปะริมุญจิสสามิ โจระภะเยนะ ปะริมุญจิสสามิ อัคคิภะเยนะ ปะริมุญจิสสามิ อุทะกะภะเยนะ ปะริมุญจิสสามิ อาวัตตะภะเยนะ ปะริมุญจิสสามิ วิวัตตะภะเยนะ ปะริมุญจิสสามิ อาวัตตะวิวัตตะภะเยนะ ปะริมุญจิสสามิ ภูตะภัสสะมาเรนะ ปะริมุญจิสสามิ ปิสาจะภัสสะมาเรนะ ปะริมุญจิสสามิ ยักขะภัสสะมาเรนะ ปะริมุญจิสสามิ กุมภัณฑะ ภัสสะมาเรนะ ปะริมุญจิสสามิ นาคะภัสสะมาเรนะ ปะริมุญจิสสามิ สุปัณณะภัสสะมาเรนะ ปะริมุญจิสสามิ คันธัพพะภัสสะมาเรนะ ปะริมุญจิสสามิ โตตะภัสสะมาเรนะ ปะริมุญจิสสามิ สัพพะภะเยนะ ปะริมุญจิสสามิ [/FONT]
    [FONT=&quot]กาโสสาโส เสนะกัง โตตะกัง วิโตตะกัง รัชชะกัง ปะรัชชะกัง กาละวะกัง สัพพะโตตะ วิโยเคนะ ปะริมุญจิสสามิ อัคคะหา ปะริมุญจิสสามิ ปะริคคะหา ปะริมุญจิสสามิ อัคคะหา ปะริคคะหา ปะริมุญจิสสามิ เอหิ ตะวังอานันทัง จะตูหิ มะหาราเชหิ ทินนัง ปัจจัคคัง เสละมะณีมะยัง ปัตตังกาละจัมเปยยันทิยา โปกขะระณียา อุทะกัง คะเหตตะวา เวสาลิยัง ปะวิสิตตะวา สัพพะโรคะวินาสะ นัฏฐายะ สิญจามิ อิมัง นะคะรัฏฐานัง พุทธะ คุณะปะริธิปะนัฏฐายะ สิญจามิ อิมัง นะคะรัฏฐานัง ธัมมะ คุณะปะริธิปะนัฏฐายะ สิญจามิ อิมัง นะคะรัฏฐานัง สังฆะ คุณะปะริธิปะนัฏฐายะ สิญจามิ อิมัง นะคะรัฏฐานัง อายัสมันโต อะสีติ สาวะกา ทะโยติ เตสัง สัจเจนะ สีเลนะ ขันติ เมตตาพะเลนะ จะ เตปิมัง อะนุรักขันตุ อะโรคะเยนะ สุเขนะ จะ พุทโธ อะตุลละโย ธัมโม จะ สังโฆ อะตุลละโย มะหานุภาโว เอเต ปะสัง สัตถา อะนุกัม ปะยันตุ สุวัตถิวุฑฒิ มะนะโต โหตุ นิจจัง เอเต ปาเลตุปาณาติ สุขิโน โหนตุ ปาณิ โนติ ฯ[/FONT]
    [FONT=&quot]โกณฑัญโญ สาริปุตโต จะ โมคคัลลาโน จะ กัสสะโป กุมาโร อุรุเวโล จะ คะยานะทิ จะ กัสสะโป ปาลัตโถ รัฏฐะปาโล จะ นาโค อังคุลิมาละโก สุภูโต ภารัททะวาโช จะ ปุณโณ วักกะลิ อัสสะชิ ภัททะชิ จะ อุปาลี จะ ฉิมพะลี จะ คะวัมปะติ อุทายี กาฬุทายี จะ โลฬุทายี จะ ถาวะรี สะมิทธี จะ ภะวังกะโร จาปิ สุภัทโท สุคะโตปิ จะ สาคะโต จะ สุทัตโต จะ โตทัตโต นาคะทัตตะโก อุคคาเรโว จะ เรโว จะ กังขาเรโว จะ ยัตติโก สุนันโท คิริมานันโท นันทัตเถโร อุปะนันโท อานันโท นันทะกัปโป จะ วะยะกัปโป จะ ภัททะคุ มะหานาโม โลหะนาโม สังฆาโม วิชิโตปิ จะ ปุลิโน ธะนิยัตเถโร ทัพโภ จะ อุปะเสนะโก สุปาโกปิ จะ อุตตะโร สุขัตเถโร อะนุรุทโธ ภัททิยัตเถโร นุโชติโย กิมิโล วิมะโล พาหุ สุพาหุ จูฬะปันถะโก มะหาปันถะโก จะ สุมะโน ปะราธะโก โมฆะราชะโก โสณะกัปโป จะ โสณะโก โสณะกัณโณ จะ โสโณ จะ กัจจาโน วังคิโสปิ จะ พากุโล ราหุลัตเถโร จะ อะนาคาโร จะ กัสสะโป วัปปัตเถโร จะ ชะฏิโล อิจเจเต อะสีติสาวะกาทะโยติ เตสัง สัจเจนะสีเลนะ ขันติ เมตตาพะเลนะ จะ เตปิมัง อะนุรักขันตุ อะโรคะเยนะ สุเขนะ จะ ชะลันตา อัคคิขันธาวะ ปะรินิพพันติ อะนาสะวาสะทา รักขันตุ มังสัพเพ อัมเห รักขันตุ สัพพะทา [/FONT]
    [FONT=&quot]เมตเตยโย อุตตะโร ราโม ปัสเสโน โกสะโลภิภู ทีคะชังคี จะ โสโน จะ สุภูโต เทยยะพราหมมะโณ นาฬาคิริ ปาลิเลโย โพธิสัตตา อิเมหิ ทะสะ โพธิสัตตา ทะสุตตะระปัญจะสะตา ปูเรนตา พุทธะ การะเก ปาปุณิสสันติ อานาคะเต อะนันตัง โพธิสัมภารัง กัตตะวา กัปเป อะนันทะเก สัพพานิ ทะนานิ เทนติ ปุตตะ ทานะราชิกานิ จะ อานันทะ จักกะวาเลสุ อินทา เทวา จะ พรัหมมุโน มะนุสสะ ติรัจฉานานัง สัพเพ สานัง หิเตสิโน เอเตนะ สัมภาเรนะ ระเตเชนะ สัพเพสัตตา สุขังคะตา อัญญะมัญญัง มะเหเทนตุ อัญญะมัญญัง ปิยังวะธา สะมันตา จักกะวาเลสุ อะนันเต อัปปะมาณะเก สัพเพเทวา สะปุริสา สุขี ภะวันตุ สัพพะทา ฯ[/FONT]
    [FONT=&quot]พุทธัง เสฏฐัง ติกขุนทริยัง ธัมมัง คัมภีรัง พุทธัสสัง สังฆัญจะ ปุญญักเขตตัง จะ วันเทหัง สักกัจจัง นิจจัง ปัญญา มะหาธัมมะธะรา มะหาอิทธิ มะหายะสา อะสีติ จะ มะหาเถรา สัตตานัง หิตะการะกา ชะลันตา สีละเตเชนะ วิราวิโร จะเรสิยาติ เอเตหิ จะ อัญเญหิ จะ พุทธะสาวะเกหิ ยาวะเทวะวะเน มะหาวะเน รักขันตุ สุรักขันตุ ยาวะเทวะฆะเร มะหาฆะเร รักขันตุ สุรักขันตุ ยาวะเทวะปะเถ มะหาปะเถ รักขันตุ สุรักขันตุ ยาวะเทวะนัคฆะเร มะหานัคฆะเร รักขันตุ สุรักขันตุ ยาวะเทวะสะมันตา สัฏฐิโยชะนะ สะตะ สะหัสสานิ พุทธะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ ยาวะเทวะสะมันตา สัฏฐิโยชะนะ สะตะสะหัสสานิ ธัมมะชาละ ปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ ยาวะเทวะสะมันตา สัฏฐิโยชะนะ สะตะสะหัสสานิ สังฆะชาละปะริกเขตเต รักขันตุ สุรักขันตุ อิทะมะโว จะ ภะคะวา อัตตะมะโน อายัส๎มา อานันโท ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทีติ ฯ[/FONT]
    [FONT=&quot] ปลุกเสกธาตุ[/FONT]
    [FONT=&quot]สิทธี ปะฐะวี พะลา เตชา อิทธา ธาตุดินของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดชมีฤทธิ์[/FONT]
    [FONT=&quot]สิทธี อาโป พะลา เตชา อิทธา ธาตุน้ำของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดชมีฤทธิ์[/FONT]
    [FONT=&quot]สิทธี เตโช พะลา เตชา อิทธา ธาตุไฟของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดชมีฤทธิ์[/FONT]
    [FONT=&quot]สิทธี วาโย พะลา เตชา อิทธา ธาตุลมของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดชมีฤทธิ์[/FONT]
    [FONT=&quot]สิทธี อาโก พะลา เตชา อิทธา อากาศธาตุของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดชมีฤทธิ์[/FONT]
    [FONT=&quot]สิทธี วิญญาโณ พะลา เตชา อิทธา วิญญานธาตุของข้าพเจ้ามีกำลัง มีเดชมีฤทธิ์[/FONT]
    [FONT=&quot]พุทธังกันตัง ธัมมังกันตัง สังฆังกันตัง[/FONT]
    [FONT=&quot]พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา[/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธังอุด พระธัมมังอุด พระสังฆังอุด[/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ อุดอธรรม ด้วยพระพุทธัง[/FONT]
    [FONT=&quot]พระธรรมเจ้าห้ามอาวุธ อุดอธรรม ด้วยพระธัมมัง[/FONT]
    [FONT=&quot]พระสงฆเจ้าห้ามอาวุธ อุดอธรรม ด้วยพระสังฆัง[/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธังปิด พระธรรมมังปิด พระสังฆังปิด[/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าแผลงฤทธิ์ปิดอธรรมด้วยพระพุทธัง[/FONT]
    [FONT=&quot]พระธรรมเจ้าแผลงฤทธิ์ปิดอธรรมด้วยพระธัมมัง[/FONT]
    [FONT=&quot]พระสงฆเจ้าแผลงฤทธิ์ปิดอธรรมด้วยพระสังฆัง[/FONT]
    [FONT=&quot]สัพเพพุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกา นัญจะ ยัง พะลัง อะระหันตา นัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส[/FONT]
    [FONT=&quot] คำแปลอาราธนาพระปริตร[/FONT]
    [FONT=&quot]ขอพระสงฆ์ทั้งหลาย จงสวดพระปริตร อันเป็นมงคล เพื่อป้องกันความวิบัติ เพื่อความสำเร็จในสมบัติทั้งปวง และเพื่อให้ทุกข์ทั้งปวงพินาศไป เพื่อให้ภัยทั้งปวงพินาศไป เพื่อให้โรคทั้งปวงพินาศไป[/FONT]
    [FONT=&quot] คำแปลนครัฏฐาสูตร[/FONT]
    [FONT=&quot]เราทั้งหลายจงตั้งจิตอันประกอบไปด้วยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย ดังพระอานันทเถระผู้มีอายุ นึกถึงพระพุทธคุณทั้งหลาย แม้ทั้งปวงของพระตถาคตเจ้า จำเดิมแต่ปรารถนาพุทธภูมิมา คือ บารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ มหาบริจาค ๕ จริยา ๓ เสด็จลงสู่คัพโภทรในภพมีในที่สุด ประสูติ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ บำเพ็ญทุกข์กิริยา ชนะมาร ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิบัลลังก์ นวโลกุตตรธรรม ๙ ดังนี้แล้ว กระทำปริตร ตลอดราตรีทั้ง ๓ ยาม ในภายในกำแพง ๓ ชั้น ในเมืองเวสาลี เทวดาทั้งหลายในแสนโกฏิจักรวาล ย่อมรับเอาแม้ซึ่งอาชญาแห่งพระปริตรอันใด อนึ่ง พระปริตรอันใด ยังภัย ๓ ประการอันเกิดจากโรค อมนุษย์ และข้าวแพงในเมืองเวสาลีให้อันตรธานไปโดยเร็วพลัน เราทั้งหลายจงสวดปริตรอันนั้น เทอญ[/FONT]
    [FONT=&quot]ในสมัยกาลครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตื่นขึ้นแล้วจากสีหไสยาสน์ ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี แล้วพระองค์ก็เข้าซึ่งผลสมาบัติ อันประกอบไปด้วยพระมหากรุณา เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อจะให้เป็นสุขแก่มหาชน เป็นสุขแก่สัตว์โลก เพื่อให้เจริญและเป็นสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในกาลครั้งนั้น อันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้มีพระพุทธฎีกาตรัสเรียกพระอานนท์ ว่าท่านจงเรียนพระปริตรนี้ ชื่อว่า นะคะรัฏฐานะปริตรนี้ และเหตุพระปริตรนี้ จะให้ตั้งอยู่เป็นสุขแห่งพระนคร ท่านจงฟังจงทรงไว้ ซึ่งนะคะรัฏฐานะปริตรนี้ ท่านจงทรงไว้ในใจ ซึ่งนะคะรัฏฐานะปริตรนี้ อันพระตถาคตตรัสไว้แล้ว เพื่อจะให้บังเกิดซึ่งสิริสวัสดิ์ความเจริญแก่มนุษย์ทั้งหลาย จักบังเกิดมี แก่มนุษย์ทั้งหลายด้วยนะคะรัฏฐานะปริตรนี้ พระตถาคตจักปลดเปลื้อง ซึ่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อจะให้หายเสียซึ่งความกลัว และสะดุ้งตกใจ จากกุมภัณฑ์ยักษ์ทั้งหลาย พระตถาคตจักปลดเปลื้องเสีย ซึ่งมนุษย์ทั้งหลาย จากโจรภัย จากภัยแห่งเพลิง จากภัยแห่งน้ำ จากภัยอันเดินมา จากภัยอันเดินไป จากยักษ์ทั้งหลายที่พึงกลัว จากภูตพรายที่พึงกลัว จากปีศาจ จากกุมภัณฑ์ จากนาคร้ายที่พึงกลัว จากครุฑร้าย จากคนธรรพ์ร้ายที่พึงกลัว จากไข้ห่า จากภัยทั้งปวง โรคหืด ไข้จุกเสียด เมื่อยขบ ไข้หวัด โรคหอบ ไข้ป่วง ไข้เกลียวดำ ให้พ้นพรากออกไป พระตถาคตเจ้าจะให้มนุษย์พ้นจากสิ่งไม่ดีทั้งปวงด้วยประการนี้ พระอานนท์จงมาตักน้ำในจัมเปยยะนที แต่พอด้วยบาตรของพระตถาคต อันท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้ถวายไว้ และเข้าไปในเมืองเวสาลี จะสำแดงเดชแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อให้มนุษย์พ้นจากโรคภัยทั้งปวง อันว่านะคะรัฏฐานะปริตรนี้ คือการออกนามสาวกทั้งหลาย ๘๐ พระองค์ พระปริตรนี้จักเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลายอันเป็นล้านโยชน์[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 พฤษภาคม 2011
  19. อารมณ์ดี

    อารมณ์ดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    280
    ค่าพลัง:
    +550
    สวัสดีค่ะ คุณปัตจะตัง
    ขอถาม 3 ข้อ นะคะ
    1. ผลงานที่กำลังจะเริ่มทำนี้เมื่อส่งแล้ว(มีเวลา 11 เดือนข้างหน้าจะมีโอกาสได้รับผลอนุมัติบ้างไหมคะ
    2.การปฏิบัติธรรมที่ดิฉันทำอยู่นี้ดีพอแล้วหรือยัง
    3. อดีตกาล ที่ผ่านมาเคยเกิดเป็นอะไรบ้าง
     
  20. โบยบิน

    โบยบิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +31
    สวัสดีคะ คุณปัตจะตัง
    20 ธค. 21
    1. การแต่งงาน ความรัก (กำลังมีปัญหาค่ะ)
    2. การเีรียนต้องการเรียนปริญญาโท แต่ว่ามันไ่ม่ตรงกับสาขาที่เรียนมาและการทำงาน
    ไม่ทราบว่าจะเป็นไปได้ป่าว
     

แชร์หน้านี้

Loading...