การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นไปได้หรือไม่หลังปรินิพพาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tiger Dear's, 9 พฤษภาคม 2011.

  1. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
    มันอิงกับสายปฎิบัติของครูบาอาจารย์ครับ

    แล้วแต่สายปฎิบัติครับ

    สายพุทโธ ตอบว่า ไม่ได้

    สายธรรมกาย ตอบว่า ได้

    สายหนอ ตอบว่า ไม่ได้

    สายมโนมยิทธิ ตอบว่า ได้


    แต่ของจริง เป็นไง ยังไม่ทราบเพราะยังไม่บรรลุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2011
  2. กสิน9

    กสิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +270
    ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมีคนบ้าเยอะ มัวแต่ลอกการบ้านแล้วมันจะทำเองได้ไหม
     
  3. ทาสธรรม

    ทาสธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2007
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +95
    พระพุทธองค์ทรงบัญญัติและสั่งสอนสัตว์ จารึกพระธรรมไว้ในโลก ชี้เหตุชี้ผล อธิบายซึ่งทางที่ถูกต้อง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณต่อเวนัยสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้
    ตถาคตเป็นผู้ชี้ทาง แต่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้เลือกทางเดินของตัวเอง สัตว์ทั้งหลายร้องหาให้พระองค์ลงมาช่วย แต่สัตว์ทั้งหลายเคยทำตนเพื่อเข้าหาพระธรรมของพระองค์หรือไม่
    พิจารณาเอาเองเถิดครับ
    อย่าปรามาส อย่าตัดพ้อ พระองค์เลย มันจะเข้าตัว
    ด้วยความเคารพ
     
  4. unlogi

    unlogi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +41
    ตามที่ฟังหลวงพ่อฤาษีท่านสอนมา
    สายวิชา3,อภิญญา6,ปฏิสัมภิทาญาณ..ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้

    ส่วนสุขวิปัสสิโก..นั่นไปไม่ได้ เมื่อท่านไม่รู้ไม่เห็นท่านจึงไม่รับรอง ใครที่ฝึกสายนี้ก็คงจะไม่เห็นคับ
    (แต่จะเห็นรึปล่าวผมไม่รู้นะครับ)
    จำท่านสอนมาครับ
     
  5. กสิน9

    กสิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +270
    กิเลสยังเต็มตัวจะเข้าเฝ้าได้อย่างไร
     
  6. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พวกปทปรมะโผ่ลมาอีกแล้วหรือ???

    หากไม่เคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จงหุบปากไปซะเถิด ฅนรักควาย อย่าได้มากล่าววาจาไร้สาระ ปรามาสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่งั้นจะลงนรกนะ ขอเตือน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2011
  7. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    อย่าพึ่งไปคิดถึงเรื่องไกลตัวเลยครับ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ศีล5ของผู้ถามปฏิบัตได้ครบรึยัง
    (ผมก็ยังไม่ครบนะครับ ไม่ใช่อวดตัวว่าดี) ถ้าท่านผู้ถามปฏิบัติได้ตามคำสอนของครูอาจารย์ทั้งหลายแล้วไม่เห็น ค่อยมาถามดีกว่านะครับ
    เพราะครูอาจารย์ท่านแนะนำวิธีพิสูจน์มาแล้ว แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติแล้วมานั่งคอยจับผิดคนที่เขาปฏิบัติได้ว่า ทำได้จริงเหรอ? ก็เปรียบเหมือนเรานอนอยู่ในกองอาจม แล้วมีคนมาชี้ทางว่าเฮ้ย ปีนขึ้นมาทางนี้สิจะได้หลุดจากกองอาจม แต่เจ้าตัวก็ยังนอนเกลือกกลิ้งอยู่ในกองอาจมเหมือนเดิมและก็คิดแต่ว่า จะจริงเร้อๆ
     
  8. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +301
    ความคิดเห็นส่วนตัวผมก็คิดตามที่พระพุทธเจ้าสอนหาได้ผิดเพี้ยน บวชก็บวชเรียนหาได้บวชเล่น พระพุทธองค์ทรงค้นหาสัจจะธรรมเพื่อพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด (เกิดนะครับ)
    แล้วเมื่อท่านปรินิพพานแล้วยังจะเกิดอีกกระนั้นหรือ และขอความกรุณาใช่ภาษาที่สุภาพด้วยเพราะห้องนี้ห้องอภิญญา สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรอย่างยิ่งที่จะใช่วาจาไม่สุภาพ ใครมีความคิดเห็นประการใดอีกเชิญชี้แนะได้ครับ แต่จงอย่าเอาความคิดตัวเองเป็นแกนของโลก ผมเพียงต้องการหาข้อสรุปที่น่าพอใจเท่านั้นสำหรับการตั้งกระทู้นี้
     
  9. most26

    most26 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
    ...ผมเชื่อตรงนี้...
    ถ้าปัจจุบันพระพุทธเจ้าไม่ทรงปรินิพพานทุกคนจะเชื่อคำสอนของพระพุทธองค์ไหมว่าทุกสิ่งบนโลกนี้มันไม่เที่ยงแล้วทุกคนจะปฎิบัติตามหรือเปล่า
    ...อย่าไปท้อครับและอย่าไปหวังอะไรปฎิบัติต่อไปเถอะครับ สักวันคุณก็จะเห็นเอง...
     
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    พูดจาดีมากนะ"ลุงหมาน" สาธุ
     
  11. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เคยพบนักบวชนอกศาสนา เหตุที่ต้องมาพบกัน
    ก็เพราะคุณยายเสียอ.จารย์สอนศาสนาคริสต์
    มานิมนต์พระไปสวดพระอภิธรรมตลอดระยะเวลา
    ที่อ.จารย์สอนศาสนาคริสต์ทั้งมารับมาส่ง
    คืนสุดท้ายอ.จารย์สอนศาสนาคริสต์ถามผมว่า
    วัตถุมงคลที่เสกกันอยู่มีวันเสื่อมไหมศาสนามีวันเสื่อมไหม ผมเองก็ตอบไวจริงๆมีสิวันเสื่อมเมื่อถึงวันหมดยุคสิ้นยุค
    อ.จารย์สอนศาสนาคริสต์เพราะอะไรอาจารย์
    เพราะพลังงานเก่าสลายไปเมื่อพลังงานใหม่เข้ามา
    แทนที่ อ.จารย์สอนศาสนาคริสต์กุฎิอาจารย์อยู่ที่ไหน
    ผมจะไปส่งเราผมก็เชิญเค้าเข้ามาในห้องปิดห้องคุยกันโยมพูดมาเลยไม่ต้องเกรงใจใจว่าอาตมาเป็นพระ ประโยคที่ผมเจอ ท่านเป็นคนบาปเราถามว่าเราบาปอย่างไร เค้าก็ว่าเพราะท่านเกิดมาในความบาปมีพ่อแม่เป็นคนบาป ผมเข้าใจนักสอนศาสนาท่านนี้ไม่ถือโทษโกรธเคืองเพราะเค้าเข้าใจแบบนั้นไบเบิลสอนอย่างนั้น อาจารย์ว่าไม่ใช่คนบาปแล้วอาจารย์มีอะไรเป็นหลักฐานว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
    ผมก็แสดงธรรมะเพื่อให้อ.จารย์สอนศาสนาคริสต์เข้าใจ
    คนเราอาศัยตนเองเป็นที่พึ่งของตนเองก็ได้หรือเรียกง่ายๆว่า
    บริสุทธิ์ด้วยตนเองมากกว่าจะไปพึ่งพาในพระเจ้าแต่สิ่งที่อ.จารย์สอนศาสนาคริสต์คิดคือทุกคนต้องพึ่งพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นมนุษย์จึงจะบริสุทธิ์ในสายตาของพระองค์

    แม้แต่ผู้ได้พระนิพพานก่อนตายก็ต้องเข้าร่วมกับพระนิพานอยู่แล้วตายจากขันธ์ไปก็ไม่มีอะไรหลงเหลือแล้ว
     
  12. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    agaaligo: นิพพาน คือ อะไร, นิพพานแล้วไปอยู่ที่ไหน

    นิพพาน คือ อะไร, นิพพานแล้วไปอยู่ที่ไหน



    ถาม นิพพาน คือ อะไร พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วไปอยู่กันที่ไหน ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ผู้เขียนได้เขียนไว้ว่า ผู้ที่นิพพานแล้วจะไปรวมกันอยู่ที่ๆ หนึ่ง ซึ่งเขาก็อ้างถึงคำพูดของพระป่าขึ้นมาที่ได้ไปพบกับพระพุทธเจ้า ซึ่งที่นั่นไม่ใช่ภพภูมิทั้งเจ็ด แต่เป็นอีกที่ๆ หนึ่ง ข้าพเจ้าใคร่เรียนถามอาจารย์ว่า นิพพาน คือ อัตตาหรือครับ และพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว เขาไปอยู่ที่ไหน นั้นหมายความว่า ยังต้องเกิดอีก นั่นก็แสดงว่ายังไม่นิพพาน ใคร่ขอความกระจ่างด้วยขอรับ


    ตอบ นิพพาน คือ ความสิ้นไปของกิเลส ถ้าสิ้นกิเลส หมดเหตุให้ต้องเกิดแล้ว แล้วยังจะไปไหนอีก เมื่อเหตุให้ไฟต้องมีมันหมดไปแล้ว อย่างแก๊สหมดอย่างนี้ เหตุให้ต้องเกิดประกายไฟมันก็หมดไปแล้ว ไฟจะเกิดขึ้นได้หรือ

    เรื่องเหล่านี้ อย่าพยายามค้นหาโดยการวิเคราะห์จากการฟังแล้วมากอดอกคิดโดยการอ้างอิงตํารา มันจะไม่ได้คําตอบที่ชัดแจ้งเอา เราจะรู้ว่าส้มผลนี้หวานหรือไม่โดยการเปิดอ่านตําราที่ว่าด้วยเรื่องของส้มนั้นหรือ

    ขออุปมาอย่างนี้ เหมือนกับเรามีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งน่ะ ต้นไม้ต้นนี้ เรารักมันมาก เราหวงมันมาก เรายึดมั่นในต้นไม้ว่านี่คือต้นไม้ของเรา ยึดเข้าไปจนต้นไม้แทนที่จะเป็นต้นไม้ กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา อันนี้สมมตินะ ลองพิจารณาดู นั้นหมายความว่า เรามีอุปาทาน มีความยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้นกับต้นไม้ อันนี้เข้าใจนะที่สมมติอย่างนี้ สมมติว่าต้นไม้นั้นคือโลกของเธอ เมื่อเธอมีความยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใด เมื่อสิ่งๆ นั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เธอไม่ชอบ เช่น ใบร่วง กิ่งหัก ฯลฯ ซึ่งมันเป็นการแปรเปลี่ยนไปตามเรื่องของมัน แต่เธอไม่รู้เท่าทัน มันก็ทุกข์ใจเข้าสิ ที่ทุกข์ก็เพราะมันยึดไว้ มันมีเหตุให้เกิดกิเลส โลภ โกรธ หลง อยู่พร้อมเต็มที่ เห็นมั้ย แต่เพียงแค่เธอไม่เห็นว่ามันน่าจะทุกข์ตรงไหน ด้วยเหตุนี้ วัฏสงสารจึงยังคงมีนั่นไง

    เอาล่ะ แต่ถ้าวันหนึ่ง เธอเริ่มได้ศึกษา เริ่มได้เรียนรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว การที่เธอทุกข์กับการที่ใบไม้ต้องร่วงโรย ทุกข์ใจกับการที่กิ่งมันหักเหล่านี้นั้นเป็นเพราะเธอไปมีอุปาทานในมัน เมื่อทุกข์บ่อยๆ เข้าก็เริ่มเบื่อ มันก็อาจจะเกิดปัญญาขึ้นมาถามตัวเองว่า “ทำไมกูต้องกลุ้มใจอยู่เรื่อยนะ” เมื่อนั้นมันก็เริ่มที่จะคิดคลายออก เริ่มศึกษาเพื่อคลายกำหนัด เริ่มศึกษาถึงไตรลักษณ์เพื่อให้เกิดปัญญาถอนความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายที่เธอนั้นมีกับต้นไม้ต้นนั้น เมื่อเธอถอนจนหมดความยึดมั่นถือมั่น กิเลส โลภ โกรธ หลง ตัณหาที่มีกับต้นไม้นั้นมันก็หมดไปตามลำดับ ขอถามว่า เมื่อนั้น หากกิ่งไม้หัก ใบไม้ร่วงหมดต้น เธอจะยังทุกข์ใจอยู่อีกหรือ? ถ้าต้นเหตุนั้นก็คือความยึดมั่นถือมั่นได้หมดลงไปแล้ว เมื่อต้นเหตุได้ถูกค้นพบและถูกทำลาย มันก็ไม่เกิดผลซึ่งก็คือไฟ ซึ่งก็คือกิเลสทั้งหลายนั่นเอง มันจะยังเกิดมีได้อีกหรือถ้าเหตุที่จะให้มันมีนั้นได้หมดไปแล้ว และเมื่อนั้นความสงบเย็นจึงบังเกิดขึ้น มันไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเหนี่ยวรั้งไว้กับต้นไม้อีกต่อไป.... นี้อย่างไร คือ ความสงบเย็นหรือนิพพาน อันนี้เป็นการอุปมาเปรียบเทียบ...


    แต่คนเรานั้น มันมีอุปาทานติดอยู่ในขันธ์ มันมีตั้งห้าขันธ์ มันยึดมั่นถือมั่นอยู่ห้าขันธ์นี้ กิเลสมันจึงเกิด มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องเกิด แต่ถ้าเธอทำลายเหตุที่จะพาให้เกิดกิเลส ทำลายต้นเหตุนั้นด้วยการปฏิบัติภาวนาจนปัญญามันประหารความหลง ประหารกิเลส ประหารความยึดมั่นถือมั่น เมื่อมันหมดความยึดมั่นถือมั่น จากที่มันเคยโลภ มันก็เลิกโลภ จากที่มันเคยโกรธเวลาขันธ์กูเป็นอะไร มันก็เลิกโกรธ ฯลฯ เมื่อนั้น เมื่อเหตุมันหมด ผลมันจะมีหรือ ความสงบเย็นจึงบังเกิดได้ทีละนิดๆ ตามลำดับ จนเมื่อความยึดมั่นถือมั่นมันไม่มีเหลือแล้ว หากแม้ขันธ์กายยังคงอยู่ยังไม่แตกดับ ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้นต่อไปตามเรื่องตามราว อยู่อย่างไม่ยึดมั่น อยู่ด้วยสติปัญญา ทำงาน กิน ยืน เดิน ปลงผม นอน หัวเราะ ง่วงหาว ฯลฯ นี้อย่างหนึ่ง และหากขันธ์กายต้องแตกดับไป ถ้าต้นเหตุแห่งการเกิดมันหมดไปแล้ว มันจะยังต้องการไปโผล่ที่ไหนเพื่อไปเสพอะไรๆ อยู่อีกหรือ เข้าใจมั้ย? ฉันใดฉันนั้น

    ขอจงสำรวมกาย วาจา ใจเถิด และจงปฏิบัติให้มากๆ เถิด ไม่ว่าจากการฟังก็ดี การอ่านก็ดี ขอจงพิจารณาไตร่ตรองด้วย อย่าเชื่อทันทีแม้กระทั่งผู้พูดเป็นพระ แม้พระพูดมาเทศน์มา ถึงจะเป็นการเทศน์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็ตาม ก็จงนําไปไตร่ตรองก่อนให้แจ้งแก่ใจ ให้เห็นจริงก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ แต่สมัยนี้มักจะไม่เป็นอย่างนั้น โดยมากที่มาให้เห็นๆ กันบางคนก็เห็นว่าเป็นครูอาจารย์พูดมา หรือไม่ก็ด๊อกเตอร์พูดมา หรือไม่ก็พระพูดมา ก็จะเชื่อทันที โดยตั้งความหวังไว้ว่ามันจะต้องเป็นไปตามที่คนพูดพูดไว้แน่นอน แต่ไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่ได้นําไปปฏิบัติจนเกิดผลแล้วจึงเชื่อ แต่นี่เล่นมั่นใจปักใจเชื่อไปเลย เข้าใจมั้ยที่ว่าอย่างนี้....

    อย่างสมมติว่า พระให้ส้มมา แล้วบอกว่าส้มผมนี้หวานนะ เรารับมา เอาส้มกลับมาบ้าน ใจเราก็เชื่อมั่นอย่างแน่แท้ว่าหวานๆๆๆๆๆ นี่ยังไม่ได้ชิมเลย ก็ยังบอกว่าหวานแล้ว ใครๆ มาถาม นี่ ส้มนี้หวานมั้ย เราก็ตอบไปส่งเดชตามที่เขาว่ามาว่า "มันหวาน" นี่เพราะเชื่ออย่างหลับหูหลับตา ไม่ได้เคยคิดที่จะพิสูจน์อะไรเลย มันไม่บาปหรอกกับการที่เรายังไม่เชื่อ เข้าใจมั้ย บางคนว่าถ้าไม่เชื่อครูอาจารย์ หรือถ้าพระพูดแล้วไม่เชื่อตาม เดี๋ยวจะบาป เอ้า นี่ก็งมดิ่งกันเข้าไปอีก ไม่ได้คิดจะใช้ปัญญากันเลยหรือ เข้าใจมั้ย.... ไม่ใช่ว่าเห็นพระพูด เห็น ดร. พูด เห็นใครๆ ที่เขาว่ากันว่าเก่ง ใครๆ เขาว่ากันว่าใช่พูดมา กูก็เชื่อทันที

    เราต้องพิจารณาให้มากถึงหลักกาลามสูตรทั้งสิบข้อ ในสิบข้อนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ประสงค์จะให้เชื่อครูอาจารย์จนกว่าจะได้ชิมรสหวานของส้มผลนั้นเสียก่อน เข้าใจหรือยัง แม้กระทั่งตัวเราเองนี้ ที่กล่าวมาก็จงอย่าเพิ่งเชื่อทันที ไม่ใช่ว่าเห็นเป็นพระก็เกหน้าตักเชื่อทันที ยิ่งใครบอกว่าพระป่าๆ นี่ก็ยิ่งเชื่อเร็วกว่าเดิมโดยไม่ต้องไตร่ตรองอีก เข้าใจมั้ย ขอจงระวัง ระวังให้มากๆ ขอแค่เก็บไปพิจารณาและปฏิบัติให้แจ้งก่อน มันจะได้หมดวิจิกิจฉานั่นอย่างไร เพราะถ้าเธอไม่สร้างนิสัยในการไตร่ตรองเอาไว้ หากเธอได้ฟังพระสิบรูปพูดมาสิบแบบ โดยที่ขัดแย้งกันทั้งสิบแบบ เธอมิต้องหลับหูหลับตาเชื่อทั้งสิบแบบเลยรึ หรือเลือกเฉพาะพระรูปใดรูปหนึ่งก็ชอบที่สุดแล้วเชื่อรูปนั้น อย่างนั้นหรือ??

    ดังนั้น จงอย่าเพิ่งเชื่อ แม้กระทั่งเมื่อเธอได้อ่านหนังสือ แม้กระทั่งได้อ่านธรรมะที่ตรัสโดยพระพุทธเจ้าก็ดี ขอจงอย่าเพิ่งเชื่อ นี้คือหลักกาลามสูตร จงอย่าเชื่อแม้ผู้นั้นเป็นอาจารย์ เข้าใจมั้ย สิ่งนี้จะช่วยสกัดไม่ให้เกิดการไขว้เขวในทันที และให้เกิดนิสัยของการไตร่ตรอง เพราะถ้าไม่สกัดไว้อย่างนี้ เมื่อไหร่จะได้นำไปปฏิบัติ เมื่อไหร่จะได้เริ่มใช้ปัญญากันเล่า การเชื่อทันทีทันใดเลยอย่างนี้ยังถือว่าไม่ถูกต้องนักในการศึกษา จงหยุดและนำไปพิจารณาเสียก่อนและปฏิบัติให้เกิดผลจริงๆ เสียก่อนแล้วจึงเชื่อ

    ขอจงลิ้มรสส้มให้แจ้งแก่ใจเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ

    เขียนโดย AGAALIGO
     
  13. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +301
    ครับ

    อ่านตั้งนานนึกว่าเขียนเองเสียอีก ผมอยากทราบว่าคุณคิดยังไงขอสั้นๆแบบฟันธงได้ไหมครับ
     
  14. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +301
    ลุงหมานไม่ได้พูดครับ ลุงหมานพิมพ์ต่างหาก
     
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ฅนรักควายจะถึงนิพพานได้ก็เมื่อสิ้งสงสัย
    อย่างสิ้นเชิงไม่จำเป็นต้องเขียนเองถ้าตรวจ
    ดูแล้วเป็นอันเดียวกันไม่สำคัญว่าจะเป็นของผู้ใด
    ใครเขียนใครแต่งธรรมเป็นของกลางมีไว้สำหรับ
    โปรดโลกคือหมู่สัตว์
     
  16. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +301
    ครับ

    ก็อ่านแล้วยังไม่ได้ฟันธงนี่ครับ มันก็เลยงงๆ ในฐานะที่คุณใช้ชื่อขั้นเทพ
     
  17. unlogi

    unlogi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +41
    ในเมื่อนิวรณ์5 มันคลุมใจ
    ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป อิอิอิ
     
  18. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    เป็นปัจจัตตัง ไม่สามารถเทเป็นตัวอักษรได้ทั้งหมด ต้องรู้เอง เห็นเอง
    เหมือนในขณะหนึ่งตอนที่รู้ในคุณขององค์ศีลจนน้ำตาไหล อิ่มใจในความเมตาของพระพุทธเจ้าและไม่ได้รู้สึกว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน มันเหมือนเป็นหนึ่งเดียว เหมือนพระองค์อยู่ใกล้ๆ มันก็จะหมดในเรื่องของการแบกไปแบกมา
     
  19. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,801
    ถ้ามัวแสวงหาพระพุทธะภายนอก

    ก็ยากที่จะมองเห็นพระพุทธะที่อยู่ภายใน

    ถึงแม้เกิดทันพระพุทธเจ้า ได้ใส่บาตรพระองค์ ก็มองไม่เห็นพระองค์
     
  20. ?????

    ????? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +239
    มันอ้างอิงกับสายการปฏิบัติของครูอาจารย์ด้วยเหรอ เอ..ผมว่าใครปฏิบัติถูกทางมันก็ถึงนิพพานอันเดียวกับพระพุทธเจ้านะ ถึงนิพพานอันเดียวกันก็ได้พบพระพุทธเจ้านั่นหล่ะ อย่ากล่าวว่าสายนั้นสายนี้บอกว่าได้หรือไม่ได้เลยนะครับ (พูดยังกับว่าสายนั้นสายนี้ปฏิบัติผิด จะถูกจะผิดยังไงก็ขึ้นกับผู้ปฏิบัติเองว่ามีปัญญามากแค่ไหน สอนผิดแต่มีปัญญาก็ไปถูก สอนถูกไม่มีปัญญาก็ไปผิด)
    ถามความเห็นส่วนตัวของผมว่าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าหลังปรินิพพานได้หรือไม่ ส่วนตัวผมจะบอกว่าได้แต่ที่ไหนผมก็ไม่รู้นะ รู้แต่ว่าใจผมมันถึงพระพุทธเจ้า(เพราะน้อมรับและยอมรับในคำสอน หาที่แย้งไม่ได้)ท่านอยู่ที่ไหนผมก็ไปถึงหมดแหละ เพราะรู้สึกเคารพในพระมหากรุณาของพระองค์ อ่านแล้วก็ผ่านๆไปนะครับ ผมไม่ได้เข้ามานานเลยอยากพิมพ์เล่นๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...