ขอเชิญท่านแวะเข้ามากระทู้นี้ตั้งคำถามเองตอบเองครับ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 19 ธันวาคม 2010.

  1. นิพ_พาน

    นิพ_พาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,984
    ค่าพลัง:
    +7,810
    ปุจฉาคุณลุงหมาน
    คือวันที่25 นี่พระอ.บุญเลี้ยงท่านจะมาขึ้นเขาคิชกูฏ
    วันที่ 24 เลยนิมนต์ท่านพักที่บ้าน แล้วเช้าจะถวายอาหาร
    ให้ท่านที่นี้คุณหนึ่งบอกว่า ก็เลี้ยงทำบุญบ้านไปเลย ที่นี้พระ
    มาทั้งหมด 4 องค์ ลุงเขาทำบุญบ้านพระ4องค์ได้หรือเปล่า
    หรือว่าหนูต้องไปนิมนต์พระมาอีกรูปให้ครบ 5 คะ
    ติ๊กตอก ติ๊กตอก ติ๊กตอก รอคำตอบลุงอยู่ค่ะจะได้ไปนิมนต์พระไว้
     
  2. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ถ้าว่าตามประเพณีนิยมต้อง 5.7.9.นำนองนี้หรือ 3 ก็ได้ถ้าตามความเป็นจริงกี่รูปก็ได้ สมมุตว่า 4 รูปบางท่านอาจถือโชครางทำนองนั้นว่าพระ 4 รูปเขาใช้สำหรับสวดงานศพว่าไม่เป็นมงคล ตามหลักจริงๆแล้วพระ 4 รูปนั้นดีมากเรียกว่าครบองค์สงฆ์ทำสังฆกรรมได้แม้จะถวายสังฆทานที่ดีที่สุดก็ต้องมีสงฆ์ 4 รูปขึ้นไป ถ้าจะให้ไม่ขัดสายตาชาวบ้านก็ควรเพิ่มอีกได้ ไปเสียหายยิ่งมากยิ่งดี ถ้ามันจำเป็นมี 4 รูป ก็ไม่เสียหายอะไร พระเข้าบ้านดีทั้งนั้นมันไม่เกี่ยวกับโชครางอะไรเลย ชิมิๆๆ ดีกว่าไม่มีพระเข้าบ้านเลย ชิมิๆๆ
     
  3. นิพ_พาน

    นิพ_พาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,984
    ค่าพลัง:
    +7,810
    ที่จริงคนอื่นก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่สามีหนูซิคะ
    ไม่รู้ไปฟังใครมาแกบอกว่า มา 4องค์เท่ากับมา
    สวดศพอย่างนั้นแกไม่ทำบุญบ้านจะเลี้ยงเพลอย่างเดียวนะ
    ที่จริง สมาชิกในบ้านแกก็อาวุโสกว่าเพื่อน แนวโน้ม
    น่าจะไปก่อนคนอื่น แบบนี้คิดว่ามาสวดศพก็น่าจะเป็น
    การต่ออายุเน้อ ลุงเน้อ ลุงว่าไหมคะ อิ อิ ....
     
  4. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    5555555555555555555555555555555555555

    การมา 4 องค์ เป็นการครบองค์สงฆ์ หมายความว่าการประชุมสงฆ์ต้องมี 4 องค์ขึ้นไปจึงจะประชุมสงฆ์ได้ทำพิธีอะไรก็ได้ต้องให้ครบองค์สงฆ์ การสวดศพเดี๋ยวนี้บางวัดเขาเป็น 10 กว่าองค์ก็มี บางวัดเอาหมดวัดก็มี เขารู้กันหมดแล้วเขาไม่ค่อยถือแล้ว ถือทำไมหนักป่าวๆ ถ้าคุณสามีถือก็ไปนิมนต์มาให้จำนวนเขาต้องการก็เท่านั้นเอง จะทำบุญทั้งที่ก็ทำให้มันสบายใจกุศลจะได้เกิดง่ายๆ
     
  5. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ลุงหมานครับ เมื่อวานนี้ผมมีความทุกข์ ความน้อยใจแสนสาหัสเลยว่าทำไมเรา
    ต้องมารับกรรมมากมายไม่ได้หยุด ไม่ได้หย่อน เกิดมามีแต่ความทุกข์ ทั้งกาย
    ทั้งใจ น้อยใจขนาดอธิษฐานว่าหากกรรมของข้าพเจ้าไม่สิ้นสุดลงก็ขอให้ข้าพเจ้า
    สิ้นชีวิต ณ บัดเดี๋ยวนี้เถิดอย่าได้อยู่ต่อไปอีกเลย แล้วมันก็ไม่อยากอยู่แล้วบอกลา
    ร่างกายในใจว่าต้องไปแล้วนะ และปล่อยวางความอาลัยคนรอบตัว นั่งสมาธิพอนั่ง
    ได้ซักพักมันก็รู้สึกวางหมดเลย ไม่ได้ใช้เทคนิคนั่งสมาธิอะไรเลย มันแค่วางเหมือน
    มันหมดเชื้อไฟแล้ว ไม่มีความอยากยึดอะไรแล้ว พอออกจากสมาธิมามันก็เหมือน
    กับไม่ทุกข์แล้ว พอคิดเรื่องที่ทำให้ทุกข์มันก็ไม่ทุกข์อีก พอคิดว่าจะเจอสภาวะบีบ
    คั้นพวกนั้นมันก็รู้สึกเฉยๆ ไม่รู้จะกลับมาทุกข์เหมือนเดิมอีกไหม
     
  6. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    มันเรื่องธรรมดาของสังขารที่ปรุงแต่งจิต รับอารมณ์ที่ไม่ดีปรุงแต่งจิตให้รู้ทุกข์จึงเป็นทุกข์
    เมื่อเป็นทุกข์เราก็ผลักใสอารมณ์ทุกข์นั้นไม่อยากให้มี คือเบื่อหน่ายทุกข์ บางครั้งอยากตาย บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย
    เพราะอารมณ์ที่เป็นทุกข์ที่เกิดทุกข์นานๆนั้น เพราะจิตเคล้าคลึงอารมณ์นั้นนานจึงทุกข์นาน
    พอจิตไปรับอารมณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นตรงปัจจุบันที่เกิดขึ้น ก็ต้องทิ้งอารมณ์เก่าที่เป็นทุกข์ เมื่ออารมณ์มาดีจิตก็ไปรับอารมณ์ใหม่ที่ดีเป็นอารมณ์

    อารมณ์ที่เป็นทุกข์เก่านั้นก็ถูกพรากไปจากจิต และจิตก็ไม่เข้ามายึดอารมณ์เก่าที่เป็นทุกข์ จิตก็ยึดอารมณ์ดีเราก็ไม่ทุกข์
    เพราะจิตได้รับอารมณ์ที่ดีเป็นอาศัยของจิตเรียกว่าได้อารมณ์ใหม่ก็ทิ้งอารมณ์เก่า ถ้าสังเกตุให้ดีๆเราก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว
    ไม่ใช่เป็นเพราะตรงนี้เท่านั้นไม่ได้วิเศษไปกว่าเก่าเลย คือมันก็เป็นการเปลี่ยนอารมณ์ของจิต
    เช่นว่าก่อนหน้านี้เราเคยร้องไห้แล้วทำไมมันจึงหยุดร้องได้ โดยที่เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลยมันก็หยุดร้องของมันเอง
    หาช่วงตรงที่ๆหยุดร้องไม่ได้เพราะเราไม่ได้สังเกตุว่านี่เป็นสภาพของจิตที่มีการเกิดดับ พอเราไปรับอารมณ์ดีมันก็เบาสบายทุกข์ก็หายไป

    เมื่ออารมณ์ดีดับอีกที่นี้จิตอาจไปรับอารมณ์ที่ไม่ดีอีกก็ทุกข์อีก ที่จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ดีนานๆ ก็เพราะจิตรับอารมณ์ดีๆนานนั่นเอง
    ถ้าเราเข้าใจสภาพของของสุขว่ามีการเกิดดับเราก็จะไม่ทุกข์เพราะรู้ทันนั่นเอง

    ไม่ทราบว่าพูดพอให้เข้าใจได้หรือเปล่ารู้ ถามมาใหม่ก็แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กุมภาพันธ์ 2011
  7. primrose

    primrose เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +527
    bluebaby2 @

    อย่้างที่ลุงหมานตอบมาค่ะ สรุปง่าย ๆ คือ ยังไม่ใช่การปล่อยวางอย่างแท้จริง ใจสัยเกิดอาการนี้บ่อย ๆ ค่ะ

    การปล่อยวางอย่างแท้จริง จะเห็นว่า ทุกข์ สุข ล้วนเสมอกัน
    แล้วจะไม่ผลักไสทุกข์ ไม่แสวงหาสุข เพราะจิตเกิดปัญญาว่า ทุกข์ สุข ล้วนไม่เที่ยง บังคับไม่ได้

    การที่่นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าวางไ้้ด้หมด เพราะจิตมีความสุขกับสมาธิที่เกิดขึ้น เมื่อสมาธิคลายก็จะกลับมาอยู่ในสภาพเดิมคือ ทุกข์ ๆ สุข ๆ วิธีที่จะอยู่กับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ทุกข์คือ รู้สภาวะไปอย่างที่เป็น ด้วยใจที่เป็นกลาง เมื่อใจไม่เป็นกลางก็ให้รู้ทัน

    สมาธิ มีเจริญ ก็มีเสื่อม อย่าไปยึดติดกับสภาวะที่เจริญ ที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขนะคะ มันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ...
     
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ขอบคุณ ลุงหมาน กับคุณ ใจสัย ครับผมเจอสภาวะบีบคั้นจนรู้สึกว่าตายซะยังจะดี
    กว่า มันก็รู้สึกเหมือนกับทุกสิ่งที่เคยแบกมาวางหมดไม่สนใจแล้ว ผลลัพธ์จะเป็น
    อย่างไรก็ไม่อยากจะไปสนใจอีกต่อไป มันถึงที่สุดของที่สุดแล้ว บางทีรู้สึก
    เหมือนอยากหนีไปเลย แต่ความรับผิดชอบต่อตนเองและคนรอบข้างมันค้ำคอไว้
    รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีอิสรภาพอะไรเลย ทางเลือกที่เรามีล้วนเป็นทางเลือกแย่ๆ
    เวลาที่อยู่ว่างๆ ก็ผ่อนคลายไม่ได้
     
  9. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    [​IMG][​IMG]
     
  10. primrose

    primrose เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +527

    ที่รู้สึกอย่างนั้นเพราะเป็นผลของกรรม หรือ "วิบากกรรม" พยายามอยู่กับปัจจุบันนะคะ
    เกิดความรู้สึกอะไรก็รู้ไป รู้แล้ววาง ทำความรู้สึกตัวไปเรื่อย ๆ ค่ะ
    ด้วยวิธีนี้ จะทำให้เราเกิดสติ ที่สำคัญ ระลึกถึงศีล ยึดศีลให้มั่นคงไว้
    อย่าทำให้ผู้อื่น และตัวเองเดือดร้อน เพราะศีลของเราบกพร่องนะคะ

    เอาใจช่วยให้ผ่านพ้นปัญหา และความทุกข์ไปได้ในเร็ววันค่ะ ....
     
  11. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ภาพจักรวาล
    คลิ๊กที่ภาพ 3 ครั้ง จะอ่านได้ชัดเจน

    ถ้าสนใจภาพภาพนี้อธิบายให้ฟังได้นะครับ
    Untitled-5.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Untitled-5.jpg
      Untitled-5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      575 KB
      เปิดดู:
      228
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2011
  12. jockyhappy

    jockyhappy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2010
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +118
    " ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
    ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
    ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง "


    <iframe title="YouTube video player" width="480" height="390" src="http://www.youtube.com/embed/d9D2y-CF1Xo" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  13. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>เรื่องเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

    ในกาลของพระกัสสปพุทธเจ้า บุตรของเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี ชื่อว่า มิตตวินทุกะ เป็นเด็กไม่มีศรัทธา ฝ่ายมารดาบิดาเป็นผู้มีศรัทธา เป็นพระโสดาบัน ต่อมาบดาถึงแก่กรรม มารดาจึงเป็นผู้จัดแจงทรัพย์สมบัติ

    วันหนึ่งแนะนำบุตรว่า เจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์มิใช่ง่าย จงไปรักษาศีลฟังธรรม มิตตวินทุกะตอบว่า ไม่มีประโยชน์อะไรในการรักษาศีลฟังธรรม แม่อย่าพูดอะไรอีกเลย

    ในวันอุโบสถวันหนึ่ง มารดาได้กล่าวแก่บุตรว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถเจ้าจงไปฟังธรรม กลับมาแล้วแม่จะให้ทรัพย์แก่เจ้าพันหนึ่ง มิตตวินทุกะรับคำ จึงสมาทานอุโบสถศีล บริโภคอาหารเช้าแล้วก็ไปวัด แต่ไปหลบนอนเสียในที่แห่งหนึ่งไม่ได้ฟังธรรม กลับมาแล้วก็รับทรัพย์จากมารดา

    ในวันอุโบสถต่อมาก็ได้ปฏิบัติอย่างนี้จนรวบรวมทรัพย์ได้เป็นอันมาก จึงคิดจะโดยสารเรือข้ามทะเลไปทำการค้าขาย ได้บอกลามารดา

    ฝ่ายมารดาก็ห้ามมิให้ไปเพราะมีบุตรอยู่คนเดียวและทรัพย์ก็มีอยู่มาก มิตตวินทุกะก็ไม่ยอมจะออกไป มารดาก็จับมือดึงไว้ มิตตวินทุกะก็ทำร้ายมารดาให้ล้มลงแล้วโดยสารเรือออกทะเลไป เมื่อเรือออกทะเลไป ๗ วันก็หยุดนิ่งอยู่

    ในสมัยนั้นเชื่อกันว่า เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ต้องมีคนกาลกิณีอยู่บนเรือ และต้องจับฉลากกันทุกคน ใครจับถูกฉลากกาลกิณีก็ต้องถูกปล่อยลงแพ ให้ลอยไปตามยถากรรม

    ฉะนั้นจึงมีการจับฉลากกัน ฉลากกาลกิณีได้ตกแก่มิตตวินทุกะถึง ๓ ครั้ง ชนทั้งหลายจึงกล่าวว่า คน ๆ เดียวอย่าทำให้คนเป็นอันมากวินาศเสียเลย จึงให้มิตตวินทุกะลงแพปล่อยไปในทะเล เรือก็แล่นต่อไปได้ในขณะนั้น

    ฝ่ายแพที่มิตตวินทุกะลงไปอยู่ได้ลอยไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง มิตตวินทุกะขึ้นไปอยู่บนเกาะนั้น ปรารถนาจะเที่ยวต่อก็ลงแพต่อไปอีกจนถึงเกาะหนึ่ง ได้ขึ้นไปบนเกาะนั้น พบเมืองเข้าเมืองหนึ่งมี ๔ ทวาร ได้ยินว่าที่นั้นเป็นนรกของสัตว์นรกจำพวกหนึ่ง

    แต่มิตตวินทุกะเห็นเป็นเมืองที่สวยงาม จึงเข้าไปในเมืองนั้น ได้เห็นสัตว์นรกตนหนึ่งสวมกงจักรคมกริบเหมือนมีดโกนหมุนบดอยู่บนศรีษะ มิตตวินทุกะได้เห็นกงจักรบนศรีษะของสัตว์นรกนั้นเหมือนอย่างดอกบัว ได้เห็นโซ่ที่รัดตรึงตัวสัตว์นรกนั้นเหมือนอย่างเครื่องประดับ ได้เห็นโลหิตที่ไหลจากศรีษะของสัตว์นรกนั้นเหมือนอย่างแป้งลูบไล้สีแดง

    ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญเหมือนดังเสียงร้องเพลงที่ไพเราะ จึงเข้าไปหาสัตว์นรกนั้น พูดขอดอกบัวที่สวมอยู่บนศรีษะ สัตว์นรกนั้นจึงบอกว่า นี่ไม่ใช่ดอกบัวแต่เป็นกงจักร มิตตวินทุกะก็ไม่เชื่อ ยังยืนยันขอให้ได้

    สัตว์นรกจึงคิดว่าชะรอยบาปของเราจักสิ้นแล้ว จึงกล่าวว่า อยากได้ดอกบัวนี้ก็จงรับเอาไป แล้วก็สวมกงจักรบนศรีษะของมิตตวินทุกะ

    กงจักรนั้นก็หมุนบดกระหม่อมของมิตตวินทุกะ ในขณะนั้นมิตตวินทุกะก็รู้ว่าเป็นกงจักรไม่ใช่ดอกบัวแต่ก็ไม่สามารถจะถอดออกได้ ต้องได้รับทุกข์ต่อไปบนเกาะนั้นจนสิ้นกรรม

    : บุญเป็นหลักใหญ่ของโลก
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2011
  14. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>

    [​IMG]

    ดอกหญ้าท้าลม

    ลมร้อนรอนพลิ้วโชนร้อน
    ดอกหญ้าว่อนว่อนลมพลิ้ว
    ปุยขาวขาวปุยลู่ปลิว
    ลู่ลิ่วลิ่วลู่วู่วน

    ล่องลอยลอยล่องลิบลิ่ว
    ปลิดปลิวเวหาหมองหม่น
    พลิ้วผ่านคืนวันวกวน
    สับสนสัดส่ายรายทาง

    ท่องเที่ยวทาบทับนับพื้น
    หลับตื่นวาดวางถากถาง
    เม็ดหญ้าเรียงรายสายทาง
    บางบางเม็ดหญ้าท้าทาย

    หมอกหยดฝนหยาดมาดมุ่ง
    ดินปรุงแดดแต้มแย้มสาย
    เม็ดหญ้ากล้าเม็ดเรียงราย
    เพื่อฉายต้นหญ้าท้าลม

    เวียนวนวัฏสงสาร
    ฤดูกาลคืบคลานขู่ข่ม
    ผ่านชอกผ่านช้ำขื่นตรม
    ผ่านชื่นผ่านชมสุขสราญ

    เวียนวงสังสารวัฏ
    คลื่นซัดสาดโหมโลมผ่าน
    สุขบ้างทุกข์บ้างบางกาล
    คือตำนานดอกหญ้าท้าลม

    สิริมงคล ๐๘/๐๖/๔๒
    ลานธรรมจักร


    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD class=postdetails vAlign=bottom height=40>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>
    การอันตรธานแห่งพระธาตุ
    ปรินิพพานมี ๓
    กิเลสปรินิพพาน มีที่โพธิบัลลังก์
    ขันธ์ปรินิพพาน มีที่เมืองกุสินารา
    ธาตุปรินิพพาน จะมีในอนาคตในปีพุทธศักราช ๕๐๐๐
    พระธาตุทั้งหลายที่ไม่ได้รับการสักการะ และการนอบน้อมบูชาในสถานที่ต่างๆ ก็จะเสด็จไปสู่สถานที่ที่ได้รับการสักการะ และการนอบน้อมบูชาด้วย
    กำลังอธิษฐานพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อเวลาล่วงไปอีก การสักการะบูชา และการนอบน้อมบูชาก็มีในที่ทั้งปวง
    ในเวลาที่พระศาสนาเสื่อมลง พระธาตุทั้งหลายในตามปัณณิทวีป เกาะลังกานี้จะประชุมกัน(มารวมกัน)แล้วเสด็จสู่มหาเจดีย์
    จากมหาเจดีย์ ไปสู่ นาคทีย์เจดีย์
    จากนาคทีย์เจดีย์ ไปสู่ โพธิบัลลังก์ (ควงต้นโพธิที่ประทับตรัสรู้)
    พระธาตุทั้งหลายจากนาคภิภพก็ดี จากเทวโลกก็ดี จากพรหมโลกก็ดี จะเสด็จสู่โพธิบัลลังก์แห่งเดียว พระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด จะไม่สูญหายไปในระหว่างทาง
    พระธาตุทั้งหมดประชุมกันที่ควงมหาโพธิ์แล้ว ได้รวมกันเป็นพระรูปแห่งพระพุทธเจ้า แสดงพุทธสรีระประทับนั่งขัดสมาธิที่ควงไม้โพธิ์ มหาปุริสลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ พระรัศมี ๑ วา ทั้งหมดครบบริบูรณ์ที่เดียว จากนั้นจะแสดงปาฏิหาริย์เหมือนในวันแสดงยมกปาฏิหาริย์ในเวลานั้น
    ชื่อว่าสัตว์ผู้เป็นมนุษย์ซึ่งไปในสถานที่นั้น ไม่มีเลย.
    มีแต่เทวดาในหมื่นจักรวาล ประชุมกันทั้งหมดพากันคร่ำครวญรำพันว่า...
    "วันนี้พระทศพลจะปรินิพพานจำเดิมแต่บัดนี้ไปจักมีแต่ความมืด"
    ต่อจากนั้น ไฟลุกโพลงขึ้นจากพระมหาสรีรธาตุ ทำให้พระสรีระนั้นถึงความหาบัญญัติ(การมีอยู่)มิได้.
    เปลวไฟที่โพลงขึ้นจากสรีรธาตุ พลุ่งขึ้นจนถึงพรหมโลก เมื่อพระธาตุแม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดยังมีอยู่ เปลวเพลิงเปลวเพลิงหนึ่งก็จะยังมีอยู่เพียงนั้น
    เมื่อพระธาตุหมดสิ้นไป เปลวเพลิงก็จะขาดหายไป พระธาตุทั้งหลายแสดงอานุภาพใหญ่อย่างนี้แล้ว ก็อันตรธานไปในเวลานั้น หมู่เทวดากระทำสักการะด้วยของหอม ดอกไม้ และดนตรีอันเป็นทิพย์ เป็นต้น
    เหมือนในวันที่พระพุทธเจ้าทั้งปรินิพพาน กระทำประทักษิณ ๓ ครั้ง ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต แล้วกลับไปสู่ที่อยู่ของตนนี้ ชื่อว่า การอันตรธานแห่งพระธาตุ"
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. jockyhappy

    jockyhappy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2010
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +118
    งั้นถ้ายังเป็นมนุษย์ ในอนาคตอีก2446ปี ข้างหน้าก็ไม่มีสิทธิ์พบพระผู้มีพระภาคเจ้าสินะ ถ้าเราเป็นสูงขึ้นไปจากมนุษย์อย่างเทวดาเราก็จะได้ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ใช่ใหม ลุงหมาน
     
  17. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ใช่แล้วครับ ช่วงเวลานั้นถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ก็หมดสิทธิ์ที่จะได้พบพระพุทธเจ้า แม้แต่นะโมคำเดียวก็จะไม่ได้ยินเพราะพระพุทธศาสนาสิ้นแล้วสิ้นจริงๆ ผู้ที่จะบรรลุในวันนั้นในวันธาตุปรินิพพาน ก็มีเทวดากับพรหมเท่านั้น มนุษย์จะต้องรอพบพระศรีอริยะเมตตรัยเท่านั้นจึงจะบรรลุได้ และในช่วงที่มนุษย์มีอายุ 80.000 ปีจึงจะได้พบ คืออย่างนี้นะครับช่วงนี้มนุษย์มีอายุเฉลี่ยเหลือไม่ถึง 75 ปีหมดอายุ ในเวลา 100 ปีอายุมนุษย์จะลดมา 1 ปี ทุกๆ 100 ปีจะลดต่ำไป 1 ปี จนถึงอายุมนุษย์เหลือ 10 ปี ผู้หญิงอายุ 5 ขวบเริ่มแต่งงานกันได้แล้วหลังจากนั้นมนุษย์จะเริ่มรักษาศีลอายุก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยจนถึงอสงไขยปีแล้วหลังจากนั้นมนุษย์เริ่มประมาทคือไม่รักษาศีลอายุก็เริ่มลดลงมาอีก จนมนุษย์อายุเหลือ 80.000 ปี จึงจะพบพระศรีอริยะเมตตรัยอีกครั้ง ถ้าโชคดีเราเกิดเป็นมนุษย์ในช่วงนั้นและได้พบพระศรีอริยะเมตตรัยก็มีโอกาสบรรลุได้ ถ้าหากไปเกิดเสียที่อื่นล่ะ หรือเกิดทันได้พบแต่ไม่สนใจ หรือไปนับถือศาสนาอื่นอีกล่ะน่ากลัวเหมือนกัน ยังไงๆ ก็ขอปรารถนาเกิดเป็นเทวดาในชาติหน้าขอพบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ และขอให้ได้ฟังธรรมช่วงที่พระพุทธเจ้าเทศนาในเวลาที่ธาตุปรินิพพานแล้วกัน อีกในเวลาไม่นานนี้เอง ไม่ต้องรอพบพระศรีอริยะเมตตรัยหรอก ถ้าหากพลาดก็ต้องรอแต่ไม่รู้จะได้พบหรือเปล่าก็ไม่รู้ (เล่าไม่ค่อยละเอียดนัก)

    มีปัญหาอยู่ที่ว่าทำไมชาติหน้าจึงจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ อาจได้พบพระพุทธเจ้าวัน ธาตุปรินิพพานได้ หากแม้นไม่พบพระพุทธเจ้าวันนั้นได้ ก็ยังมีพระอริยะมากมายอยู่ในสวรรค์และพรหมเราอาจได้ไปศึกษาและสำเร็จในชั้นนั้นก็ได้
    แต่หากเราไม่ได้ศึกษาไว้ตั้งแต่เป็นมนุษย์ ขึ้นไปศึกษาที่ชั้นเทวดาหรือพรหมก็ยากอีก เพราะพวกเทวดาและพรหมนี้มองไม่เห็นทุกข์ ก็จะไปหลงติดกับสุขสบายอีกเพลินเพลิดกับสุข ไม่สนใจจะศึกษาหาทางพ้นทุกข์ หมดอายุก็ต้องกลับมาเกิดอีกยังไม่รู้ว่าจะไปเกิดในมนุษย์หรืออบายอีกก็ไม่รู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2011
  18. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    สาธุ ค่ะลุงหมาน เหมือนคำเตือนนะค่ะ หลานกำลังเขว่อยู่ ตูปัดตูเป๋ หลงทาง
    ขอบคุณทุกบทความ เตือนให้เร่งผลักดันตัวเองค่ะ
    ขอบคุณลุงหมาน คอยผลักดัน ถ้าไม่มีลุง หนูก็เหมือนไม่มีใครคอยเตือน
    เพราะคนอย่างหนู กิเลสหนา หลงทางเป็นนิสัยค่ะ
    กราบขอบพระคุณค่ะ
     
  19. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ปุถุชนนั้นส่วนมากจะทำอะไรก็ตามใจกิเลส จึงถูกกิเลสหลอกเอา
    ทั้งๆ ที่คำสอนของพระพุทธองค์เป็นไปเพื่อการสวนทางกับกิเลส
     
  20. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    กระทู้เหงาจัง
    คุณเคยรู้สึกไหม เวลาไม่มีใครแล้ว
    จะมองไปทางไหน ไม่มีใครให้พูดจา
    ไม่มีเลยซักคน จะหันมองมองและเข้าใจ
    คนๆนี้ที่มันไม่มีอะไร

    นี่คือเหงา นี่แหละเหงา นี่คือความจริงที่ได้เจอ
    เจ็บปวดทรมาณลึกลงข้างในใจ
    โอ้ความเหงา มันช่างหนาว มันช่างยาวนานและทุกข์ทน
    รอคอยใครบางคนมาหยุดมัน

    มันจะอีกนานไหม เวลาคงไม่หยุดแล้ว
    เวลาจะพาคนไหน ให้ผ่านให้พ้นเข้ามา
    ไม่มีเลยซักคน จะหันมองมองและเข้าใจ
    คนๆนี้ที่มันไม่มีอะไร


    อ้าวกลายเป็นกระทู้คนเหงาไปซะแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มีนาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...