... แล้วเราจะเล่าให้ฟัง ...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สายฝนฉ่ำเย็น, 1 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. winten

    winten Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +47
    เป็นการอ่านที่แสบ (ตา) มากๆ เลยจ้า
    #14-Infinity ขอเปลี่ยนสีตัวหนังสือเป็นสีที่อ่านสบายๆ ตาได้ป่ะตัวเอง
    อยากมาอ่านเรื่อยๆ อ่ะ นะ นะ please!!!!

    ว่าแต่ ..อย่ามีนิวรณ์ อย่าดื้อ อย่าปฏิเสธ..
    นี่มันทำง่ายนักหรือ (มีปัญหาอยู่เหมือนกัน 555) ทำยากเน๊อะ!!
     
  2. ศิวกา

    ศิวกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +779
    สาธุๆ เป็นกำลังใจให้คุณฝนด้วยคนนะคะ แล้วก็ตามอ่านอยู่นะ
     
  3. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #14 ...ทำเอง รู้เอง เห็นเอง....

    ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้ดั่งใจขนาดนี้...ฉันเลยคิดในมุมกลับกันว่า..ดีเหมือนกัน..อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด...ฉันจะพยายามไม่คาดหวังอะไรแล้ว...ฉันจึงนึกถึงการสวดมนต์ภาวนาขึ้นมา...เออเน๊าะ..เคยอยากทำ...ตอนนี้มีเวลาแล้วนี่...ทำสิ...อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ...ฉันเหนื่อยและล้ามากแล้ว...ฉันไม่อยากคิดอะไรแล้ว...ฉันจึงเริ่มหันกลับมาสวดมนต์ภาวนา..ฉันพยายามประครองศีล 5 ให้กับตนเอง...สมาทานศีล เช้า เย็น...เพราะเคยรู้แล้วว่า..สมาธิมี สติมา ปัญญาเกิด...ฉันจึงหันมาดูใจตนเอง...และทิ้งขยะในใจ..ออกไปทีละเปาะ ๆ..แล้วงานก็เข้ามา...อยู่ๆ ก็มีคนโยนงานชิ้นใหญ่มาให้ชิ้นหนึ่ง...แว๊บแรก ฉันดีใจ...แต่แว๊บต่อมา...เอาแล้วไง...แต่ตรูจะทำยังไงต่อไป ติดต่อกับลูกค้า ก็ไม่เคยคุย ไม่เคยคิดงานเองขนาดนี้ แล้วงานใหญ่ขนาดนี้ ฉันจะทำได้เหรอ...ตกลงมีงานดี หรือ ไม่มีงานดีนี่...แต่พอคิดไปคิดมาสักพัก...ฉันเป็นประเภท ถึก ไง..เอาวะ..มีสองมือ สองขา สองตา เหมือนคนอื่นเขา..เขาทำกัน...ตรูก็ต้องทำได้เหมือนกัน...ให้มันรู้ไป ถ้ามันไม่ได้ ก็อดไป...ฉันไปตามนัด...และคุยกับลูกค้า...และเริ่มทำอะไรต่ออะไรเอง อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย...ต่อมความมั่นใจ มันกลับมาแล้ว...มันมาทวงตำแหน่งคืนแล้ว...ฉันทำงานจนเสร็จ...รอเวลารับเงิน...เงินก้อนแรก...ของชีวิตใหม่...ได้มาทั้งน้ำตา...ไม่เคยคิดเลยว่า...ความภูมิใจมันจะมากมายขนาดนี้...ฉันสวดมนต์ภาวนาต่อไปตามสติกำลังที่มีอยู่...ว่างก็ฟังธรรมเทศนาของพระอริยะเจ้า...จากอะไรๆ ที่มีแต่ความอยากของฉัน อยู่ๆ มันก็ค่อยๆ มีเหตุและผลเข้ามาแทนที่ ... เป็นเหมือนความคิดแว้บหนึ่งที่เข้ามาให้เหตุผล ในคำจำกัดความสั้นๆ ... ฉันมองตัวเองก่อน ...มองใจตนเองก่อน...ว่าในชีวิตนี้ ฉันอยากได้อะไร...ฉันอยากมีรถ อยากมีบ้าน อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น...อยากให้ทุกคนสบาย...อยากรวย...แต่แล้วความคิดก็แว้บมาทันที...ก่อนหน้านี้ไม่รถ ตายไหม...เออจริงแฮะ....ก่อนหน้านี้อาศัยคนอื่นอยู่ ไม่มีบ้าน...ตายไหม...ก่อนหน้านี้ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้า ...ยืนหยัดมาได้ยังไง...ก่อนหน้าที่จะมาเจอกัน...เค้าอยู่กันแบบไหน...แล้วก่อนหน้าที่จะมีงานทำ...ต้องหาเงินเรียนเอง...มีความสุขบ้างไหม....คำเหล่านี้ไหลลื่นมาทีละข้อ ทีละข้อ...เหมือนเป็นการสอนของครูบาอาจารย์ที่ส่งผ่านใจมาให้ได้รู้...ใช่...ฉันพูดในใจ...ก่อนหน้านี้ ฉันไม่มีอะไรเลย...แล้วทำไมฉันยังอยู่ได้...ฉันยังสามารถเดินมาได้จนถึงจุดนี้...ฉันเริ่มนั่งสมาธิบ่อยขึ้น เมื่อมีโอกาส..คำสอนในหลายๆ คำ จะมาในสมาธิ..ท่านสอนให้ใช้ทุกอย่างแต่พอเพียง..กินอยู่ให้พอดี...อย่ามากเกินไป อย่าน้อยเกินไป...ฉันเคยชอบกินอาหารดีๆ ร้านอาหารหรูๆ ท่านถามว่า ตอนนี้ไม่มีเงินแล้วยังอยากอยู่อีกไหม...ถ้าความอยากทำให้ต้องเดือดร้อน...กินเหมือนกัน แล้วก็ถ่ายออกมาเป็นของเน่าเหม็นเหมือนกัน...ของทุกอย่างรอบๆ กายเป็นของสมมุติ...ไปยึดเอาไว้ทำไม...ฯลฯ

    ตั้งแต่นั้น ฉันเริ่มปล่อย เริ่มแกะ ปม ของตัวฉันเองที่ละปม ทีละข้อ ... และเริ่มมองคนรอบข้าง ... ที่ยังมีความอยากอยู่ ... มีอยู่วันหนึ่ง ฉันอยากอาเจียนมาก ... เมื่อรู้สึกอะไรๆ กับคนรอบๆ ตัว ที่ได้สนทนากัน ... ทำไมถึงคิดแบบนี้ ทำไมถึงทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำแบบนี้ ก็อยู่ได้นี่ ... ฉันคิดในใจ .... (เป็นเพราะฉันยังเข้าใจไม่จริงไง เลยเกิดอาการแบบนี้) ....

    ฉันชอบสวดมนต์แบบแปลเป็นภาษาไทย คือ สวดทั้งภาษาบาลีด้วย และแปลด้วย .... เพราะเมื่อสวดไป ใจฉันก็เข้าใจในบทสวดมนต์นั้น ... ความรู้สึกดี ไม่ได้รู้สึกว่า ดีใจมาก ชอบใจ แค่รู้สึกดีเฉยๆ เท่านั้นเอง .... จากคนที่พูดมากก่อนหน้านี้ ... กลายเป็นคนเฉยๆ ไม่ค่อยอยากจะพูดอะไร ไม่อยากเป็นอะไร ไม่อยากอะไรๆ ... ใช้ชีวิตแบบ ยังไงก็ได้ ที่ไม่ทำให้ใจของฉันเป็นทุกข์... เพราะฉันไม่อยากกลับไปทุกข์อีกแล้ว... คนที่บ้านเริ่มสังเกตุว่า ฉันเป็นอะไร...ทำไมปฏิบัติธรรมแล้วถึงเป็นแบบนี้...ตึงเกินไปหรือเปล่า...ฉันไม่รู้ ฉันไม่สนใจ ฉันไม่ฟังใคร...เพราะรู้สึกว่า ตัวเองใจชา ชา จนเหมือนจะไม่อยากแม้กระทั่งมีความรู้สึก หรือ คิดอย่างเดียวว่า ... ถ้าวันนี้ฉันหมดลมหายใจไป...ก็คงดี...จะได้ไม่มาเกิดอีกแล้ว...555555++++ เป็นไงล่ะ...ตรงแด่วเลย...ตัวหลงไงคะ..ยกโขยงกันมาเลย...
     
  4. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #15 ...พากันมาอีกแล้ว....

    ฉันเหมือนคนสองคนที่กำลังถกเถียงกันในเรื่องการดำเนินชีวิต...อีกคนก็บอกว่า..เบื่อความเป็นมนุษย์..อีกคนก็บอกว่า..จงผ่านไปให้ได้แล้วจะเข้าใจความหมายของคำว่า “ปล่อยวาง” ใช้ชีวิต ในทางสายกลาง “มัชฌิมา” ให้จงได้....ฉันเริ่มฟังธรรมเทศนามากขึ้น และเหมือนจะมีอะไรส่งข่าวสารจากคนที่รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง ... ว่าต้องผ่อนปรน ... ความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ... ในขณะเดียวกัน..ฉันก็เริ่มเห็นอะไรที่ฉันไม่อยากเห็น...

    * ชายรูปร่างใหญ่สีดำ

    งานที่ฉันทำต้องใช้คอมฯ เป็นเครื่องมือในการทำงาน ทุกวัน ฉันทำวัตรเช้าเสร็จ ก็จะลงมานั่งทำงานไป หรือ ไม่ก็ ทำงานแล้ว ช่วงสายๆ หน่อยก็จะขึ้นไปสวดมนต์นั่งสมาธิ .. ความกลัวผีของฉันยังมีอยู่...ไม่ได้หายไปไหนเลย...ฉันจะอยู่บ้านคนเดียวในเวลากลางวัน แม่จะอยู่ส่วนของแม่...จู่จู่ ก็มีเงาดำลักษณะเหมือนผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ เดินผ่านข้างหลังฉัน สะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์...คุณเอ๋ย..ฉันหนาวหลัง ขนลุกตั้งแต่แขนยันหัวเลย...นึกในใจว่า..อะไรกันกลางวันแสกๆ ฉันว่า ฉันกลัวกลางคืนแล้วนะ...ยังจะมากลางวันอีก...จะให้วิ่งออกจากบ้านไปแล้วแหกปากก็ไม่ใช่ที่...ฉันก็ใจดีสู้เสือ...เหงื่อแตกซิกๆ เลย...ยกมือขึ้นพนม...“จะเอาอะไรก็มาบอกในฝันเถอะ...เดี๋ยวหนูทำไปให้...หรือจะให้กรวดน้ำหลังจากนั่งสมาธิ หนูก็จะทำให้...แต่อย่าให้หนูเห็นแบบนี้เลย...หนูหัวใจจะวาย”...คุณคิดว่าสำเร็จไหมที่ฉันยกมือพูดแบบนี้....อิอิ...จะมีเหลือเหรอ...ฉันเห็นแบบนี้ทุกๆๆๆๆๆๆๆๆ วัน บางทีก็มายืนข้างๆ เหมือนยืนให้กำลังใจ บางทีก็มานั่งข้างหลัง ....จนเหมือนเป็นเพื่อนกันไปเลย....จากที่กลัว...โค-ตระกลัว...มันก็ค่อยหายไป...ฉันก็เลยเอ่ยปากบอกเขาว่า...เออ! ดีเหมือนกัน...มาช่วยหนูทำมาหากินก็แล้วกัน...ถ้าหนูทำงานผิดก็สะกิดบอกหนูด้วยแล้วกัน....55555++ เพราะไม่รู้จะกลัวไปทำไมแล้ว...กลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว....


    *เจ้าที่...ใจดีเหลือเกิน

    คงจำได้นะคะ ว่าตอนก่อนหน้านี้ ฉันบอกว่า แม่ของฉันเป็น คนมีองค์ แม่จะเห็นอะไรที่คนอื่นไม่เห็น แต่ต้องหลับตา ... แม่เคยพูดเรื่องเจ้าที่ ที่บ้านของแม่ให้ฟัง (ฉันซื้อบ้านเป็นทาวน์เฮ้าส์ติดกันสองหลัง ฉันซื้อให้แม่ 1 หลัง เพราะแม่มีครอบครัว และฉันอยู่กับครอบครัวฉัน 1 หลัง ในรั้วเดียวกัน บ้านฉันกับแม่ไม่ได้เจาะทะลุกัน ทะลุกันเพียงรั้วหน้าบ้านเท่านั้น) ว่าแกเป็นคนยังไง...ฉันรู้แต่ว่าแกชอบกินเหล้าขาว..แกจะใจดีมาก โดยเฉพาะกับสัตว์ทั้งหลาย...ฉันเลยไม่ค่อยจะแปลกใจที่จะมีหมา แมว นก งู ตัวเงินตัวทอง กบ ฯลฯ จะแวะเวียนมาเยี่ยมบ้านแม่ฉันกันอย่างหน้าชื่นตาบาน...แต่ฉันได้แต่นึกภาพไง..ว่าหน้าตาของเจ้าที่บ้านแม่น่ะ หน้าตาเป็นยังไง และเจ้าที่บ้านของฉันหน้าตาเป็นยังไง...ฉันก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...ก็คนมันไม่เห็นเน๊าะ..จะให้เชื่อทั้งหมดก็ไม่ใช่ที่...แล้วสันดานฉันก็ดื้อซะขนาดนี้...จะให้เชื่อเต็มร้อยก็ต้องขอเห็นกันหน่อยล่ะ...ค่ะ...ความคิดของฉันคงดังไปเข้าหูแกเข้า...มีอยู่วันหนึ่ง..แม่ไม่อยู่บ้าน มีฉันอยู่บ้านคนเดียว...กำลังนั่งซดบะหมี่เกี๊ยว หน้าทีวี ด้วยความเอร็ดอร่อย...พลัน...หางตาข้างขวาของฉัน ก็แว้บๆ ไปเห็นเหมือนมีคนยืนอยู่ตรงแท้งก์น้ำ...ฉันหันไปทันที...ไม่มี...นึกในใจ...สงสัยตาฝาด...พอหันกลับมาซดบะหมี่...หางตาเจ้ากรรมก็ดันไปเห็นอีก...ฉันก็หันไปอีก...ฉันนึกในใจว่า...ฉันว่าฉันไม่ตาฝาดนะ...ต้องมีคนยืนอยู่ตรงนั้นแน่ๆ...แท้งก์น้ำนี้อยู่ภายในรั้วบ้าน..และประตูรั้วก็ปิดอยู่ตลอดเวลา..เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเข้ามา...เอาวะคราวนี้ต้องให้รู้ให้ได้ว่าอะไรกันแน่....ฉันไม่รู้จะอธิบายให้คุณเห็นภาพหรือเปล่า...คุณเคยมองคนด้วยหางตาไหม...ประมาณว่า...หน้าตรงอยู่ตรงนี้แหละ...แต่ตาดำไปไปรวมกันอยู่หางตาด้านขวาน่ะ....นั่นแหละฉันทำอย่างนั้น...พอมานึกตอนหลัง...ก็ขำตัวเองเหมือนกันกับความอยากรู้ของฉัน...ปรากฏว่า...หางตาที่เห็นนั้น...เป็นผู้ชายรูปร่างผอมสูงไม่ใส่เสื้อผิวดำออกคล้ำใส่กางเกงสีดำ ยืนอยู่ข้างแท้งก์...ฉันนึกในใจ...ใครมาขอส่วนบุญตอนฉันกำลังกินล่ะเนี่ย...แล้วจะรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร...อยู่ๆ ก็เกิดคำพูดในใจว่า “ตาเหลือ” ตาเหลือคือชื่อของเจ้าที่บ้านแม่ ที่แม่บอกไว้...อ่อ..ตาเหลือ...แล้วมาให้หนูเห็นทำไม...พอแม่กลับมา...ฉันถามแม่ว่า...“แม่ ตาเหลือลักษณะหน้าตาผมเผ้าการแต่งตัวเป็นยังไง”.... แม่ก็เล่าๆๆๆๆๆๆๆ....คุณพระช่วย!!! 555++ ขอดัดจริตหน่อย...ทุกอย่างเป็นไปตามที่แม่บอกมาเลย...ฉันก็เลยถามแม่ว่า แล้วตาเหลือแกมายืนทำอะไรตรงแท้งก์น้ำ...แม่บอกว่า แกเห็นว่าแก(หมายถึงฉัน)อยู่คนเดียว มาดูแลความเรียบร้อยของบ้านและฉัน....อ่อ...แหม...ใจดีนะจ๊ะ...ยังมีมาห่วงใยกันด้วย......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2011
  5. ศิวกา

    ศิวกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +779
    อ่านไปยิ้มไปเลย ตาเหลือน่ารักจริงๆ เลยนะเนี่ย
     
  6. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #16 ...บททดสอบ....1

    ฉันทำงานควบคู่ไปกับการปฏิบัติภาวนา..แบบ ตามสติกำลังของตนเอง...ฉันปล่อยอะไรๆ หลายอย่างออกจากใจฉันได้บ้างแล้ว..โดยเฉพาะเรื่องของทุกข์ทางใจ...ฉันถูกสอนในสมาธิว่า...ถ้าใจตนเองไม่เห็น..ก็จงอย่าไปหวังว่าใครจะเห็น...คำพูดเหล่านี้มาเป็นปริศนา..ให้ตีความหมายด้วยความเข้าใจของตนเอง...จึงตีความหมายได้ว่า...ถ้าฉันไม่รู้จักใจของตนเอง วางใจของตนเอง...ให้นิ่ง...ให้มีสติ...และรู้ตัวเราจริงๆ...แล้วฉันจะหลุดออกจากทุกข์ได้ยังไง...ฉันเริ่มปล่อยวางในทุกเรื่อง...ยกเว้นเรื่องเดียว...เรื่องเงิน...เพราะสงสารสามีที่ทำงานมา..ก็ต้องเอาจ่ายค่าโน่นนี่ในบ้าน...จนตัวเองแทบจะไม่ได้ใช้เงินที่ทำมาเหนื่อยเลย...ทุกสิ้นเดือนฉันจะเครียด เครียด เครียด...อย่างนี้ทุกเดือน...ฉันจะไปหาที่ไหน ไปเอาที่ไหนมา งานที่มีเข้ามา ก็ไม่ได้มีมาประจำ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ ของคนทำ freelance อยู่แล้ว...แล้วฉันความคิดฉันก็ผุดขึ้นมา...นี่คือบททดสอบ..เอาให้ผ่านให้ได้..ฉัน...จุดธูปบอกครูบาอาจารย์ ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย จะสิ้นเดือนแล้ว ฉันยังไม่มีเงินค่าบ้านค่ารถเลย...พอนั่งสมาธิ..เสียงท่านบอกกับฉันว่า....“จงวางไว้ ทำใจให้สบาย ปล่อยวางให้ได้ เจ้าจะไม่อดตายหรอก ครูบาอาจารย์ท่านช่วยกันอยู่ แต่เจ้าอย่าลืมว่า...การช่วยของท่าน ช่วยเจ้าได้ก็จริง แต่ก็ช่วยไม่เกินกรรมเจ้าเท่านั้น...กรรมของเจ้าก็ต้องใช้เขาไป...ใครก็ยื่นมือไปช่วยไม่ได้...จงเร่งรีบปฏิบัติเถอะ...แล้วเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าได้ยิน” ค่ะ...แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ...ก็จะมีเงินเข้ามาช่วยแบบเส้นยาแดงผ่าแปดทุกครั้ง...ไม่ว่าจะเป็นเงินลูกค้าโอนมาก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงดิวจะต้องจ่าย...ไม่ว่าจะมีคนนำมาเงินให้ยืมโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาคืน ไม่เอาดอกเบี้ย...อยู่ๆ bank ก็มีโครงการให้กู้ยืมเงินระยะยาว...อะไรประมาณนี้ค่ะ...ก็แปลกนะคะ...แต่...ฉันก็เป็นมนุษย์อยู่เน๊าะ...พยายามจะไม่คิด...เรื่องเงิน...มันตัดไม่ได้สักที...จนกระทั่ง..บททดสอบที่ฉันคิดว่า ฉันไม่น่าจะเจอเร็วแบบนี้..ก็เข้ามา...งานฉันไม่เข้ามาเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว เงินที่รอเก็บลูกค้า ก็เก็บและใช้ไปหมดแล้ว ลูกฉันก็ป่วยบ่อย แต่โชคดีที่สามีทำประกันกลุ่มให้เขาร่วมกับบริษัทที่เขาทำอยู่ จึงเบาเรื่องเงินค่ารักษาพยายาลไป..แต่ปัญหาอยู่ตรงที่..ช่วงนั้น ป่วยถี่มาก...ประกันสุขภาพเบิกได้ก็จริง..แต่ต้อง advance ไปก่อน...ก้อนทีแล้วยังเบิกไม่ได้เงินเลย...ต้นเดือนป่วย..ปลายเดือนป่วยอีกแล้ว..ฉันก็พยายามรักษาด้วยตนเอง...ตอนนั้นเงินในตัวมีแค่ เก้าพันกว่าบาท...ฉันก็ต้องเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นจริงๆ...ฉันจึงรักษาตามอาการของลูก ลูกป่วย ตัวร้อน ฉันเช็ดตัว ให้ยาลดไข้ ... ปล้ำกันอยู่อย่างนั้น 3 วัน ไข้ลดแล้ว...อาการดีขึ้นแล้ว...ฉันดีใจที่ฉันแก้ปัญหาได้...แต่ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียว...ลูกกลับมาจากโรงเรียน...นอนซม ไข้ขึ้น 39 ตลอดเวลา ฉันเช็ดตัวลูก เช็ดจนแทบจะไม่ได้วางมือ เช็ดจนผ้าร้อน...มือฉันซีด ไข้ก็อยู่ที่ 38-39 ตลอด...และอาเจียน..ไม่กินอาหารเลย...ฉันคิดว่า ฉันไม่น่าจะเอาไหวแน่เลย..ตัดสินใจพาลูกไปโรงพยาบาลใกล้บ้านที่คุ้นเคยกัน...อาการแบบนี้ ปกติลูกจะแอดมิท...ปรากฏว่า..หมอประจำ..อยากรับไว้...มีทางเดียวที่จะทำให้อาการดีขึ้นคือ ให้น้ำเกลือ...แต่โรงพยาบาลเต็ม เพราะเป็นโรงพยาล 30 เตียง...หมอบอกว่า อาการคล้ายไข้เลือดออก ให้เฝ้าดูอาการอีก 3 วันกลับมาให้หมอตรวจใหม่ ถึงตอนนั้น ห้องน่าจะว่างแล้ว....ฉันกลับมาพร้อมความหวังว่า...ขอให้เป็นเพียงแค่หมอบอก...ฉันยอมเช็ดตัว ยอมไม่หลับไม่นอน...อาการของฉันตอนนั้นมันนิ่ง ค่อยๆ ทำ เหมือนรับสภาพความเป็นจริงในเรื่องของสังขารที่ต้องมีเวลาป่วยตามวาระกรรม...ถ้าเป็นเมื่อก่อน..ลูกตัวร้อนไม่สบาย...ฉันเหมือนคนบ้าเลย..ตื่นตระหนกตลอดเวลา...แต่คราวนี้ไม่ใช่..มันเหมือน...เริ่มเข้าใจ...แม่ฉันทนเห็นไม่ได้..จึงให้ฉันพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลอื่นที่เคยไปกัน...อยากให้อยู่ใกล้หมอ..ให้หมอรับตัวไว้...ฉันขับรถเข้าเมือง...ไปถึง...หมอเวรดูไข้ให้เพราะฉันไปถึงก็เกือบ ห้าทุ่มแล้ว หมอพูดเหมือนกับโรงพยาบาลแรก ว่าต้องดูอาการ 3 วันแล้วค่อยว่ากัน...ให้ยามา...ฉันพาลูกกลับบ้าน...แม่ก็บ่นฉัน..ด้วยความเป็นห่วงหลาน...ฉันไม่ตอบอะไร...ฉันกำหนดรู้เพียงลมหายใจของฉันเท่านั้น...เหมือนหูดับ...ฉันไม่ได้ยินเสียงที่แม่บ่นอีก...วันรุ่งขึ้น แม่บอกว่า ลองไปโรงพยาบาลเด็กดูไหม...เขาก็มีประวัติอยู่ที่นั่น...ฉันไม่อยากขัด เลยพากันไปแต่เช้ามืด...พอไปถึง..ต้องรอจนกว่าหมอจะเข้ามาตรวจ...ฉันพาลูกนอนที่เก้าอี้ยาว...ตัวลูกเต็มไปด้วยผ้า...และข้างๆ ตัวลูกฉันวางถังน้ำเล็กๆ ใส่น้ำและผ้าไว้..เช็ดตัวลูกไปเรื่อยๆ....สายตาฉันก็กวาดไปทั่ว...ว่าอะไรพอจะมีประโยชน์กับฉันได้บ้าง...ฉันไปเจอ poster ฉบับหนึ่ง อธิบายเรื่องไวรัส 2009 ...ฉันตกใจเล็กน้อย...เพราะอาการของลูกเป็นอาการเดียวกับ poster อธิบายไว้เลย...ฉันไม่กล้าบอกแม่...เดี๋ยวโรงพยาบาลแตก...จนกระทั่งพบหมอประจำที่เคยพาเขามาตอนเด็กกว่านี้..หมอบอกว่า..ขอเจาะเลือดแล้วกลับไปดูอาการอีกสองวันให้พามาพบหมอ...แล้วจะได้สรุปกัน...หมอให้กำลังใจ..บอกว่า..คุณแม่อดทนนะ...จะไม่มีอะไรมาก...อดทนนะ...ฉันได้กำลังใจจากหมอ...เหมือนเป็นคำพูดจากครูบาอาจารย์เลย...อดทนนะ...ผ่านมันไปให้ได้...ฉันพยักหน้าและยกมือขอบคุณคุณหมอ...กลับมาบ้านเช็ดตัวอยู่แบบนั้นอีกสองวัน...ฉันพาลูกกลับไปใหม่...คราวนี้หมอเจาะเลือด..ฟังผล...และรับลูกไว้ทันที...ฉันขอห้องพิเศษ...แต่ตอนนั้นห้องพิเศษเต็ม..ขนาดห้องธรรมดา ยังต้องเสริมเตียงกัน...ฉันเลยคิดว่า อะไรก็ได้ ลูกทรมาณมาหลายวันแล้ว...ฉันอดนอนไม่ได้พักผ่อนไม่เป็นไร..ขอให้ลูกถึงมือหมอ..ก็สบายใจแล้ว... (เดี๋ยวมาต่อนะคะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2011
  7. OneLostSoul

    OneLostSoul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +355
    ถ้าใจตนเองไม่เห็น..ก็จงอย่าไปหวังว่าใครจะเห็น...

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    T_T
     
  8. อธิศีล

    อธิศีล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +111
    อ้าว...มีคนมาเป่าปี่แล้วหรือนี่...อิอิ
     
  9. ยอดผธู

    ยอดผธู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +272
    เพิ่งเข้ามาอ่านได้รับรู้ได้เข้าใจกรรมมากขึ้นแต่อ่านยังไม่หมดเหลือหน้า 3 4 วันว่างจะเข้ามาอ่านต่อ ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของเรื่องนะค่ะแบบว่าไม่เคยใช้ชีวิตแบบเจ้าของเรื่องเลยตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงค่ะ แต่ตอนนี้ก็มีทุกข์นะค่ะจากความรักค่ะ
     
  10. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #16 ..... บททดสอบ.....2

    วันนั้นฉันวิ่งจ่ายเงินค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ ค่าเจาะเลือดหมดเงินไปประมาณ พันกว่าบาท ... ฉันนึกเสียดายเงิน .. และพูดออกมาเหมือนท้อว่า...จะอะไรกันนักกันหนา ตรงลงจะไม่ให้หนูมีเงินเก็บไว้กินเดือนหน้าเลยเหรอ...จะทดสอบอะไรกันหนักหนา...แล้วก็ตัดใจ นึกใหม่ว่า...ช่างมันเงินไม่ได้สำคัญเท่าชีวิตลูกหรอก...ฉันตัดความคิดเรื่องเงินออกไปทันที...ลูกอยู่เตียงสุดท้ายติดประตูด้านใน...ตรงกันข้ามเป็นห้องกระจก ลักษณะเหมือนห้องติดเชื้อ...ตอนนี้ฉันไม่สนใจใครเลย...เห็นอะไรก็ปล่อยไป...เพราะตอนนี้ฉันห่วงคนที่ฉันดูแลมากกว่า..ฉันเช็ดตัวลูกต่อ...หมอนำน้ำเกลือกระปุกมาให้และพร้อมกับบอกให้ลูกดื่มแทนน้ำ...ให้ยา..ไข้ไม่ลดเลย..ฉันเช็ดตัวลูกอีก...อยู่อย่างนั้น...แล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า...เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ลูกไปนอนโรงพยาบาลประจำ...ฉันเห็นเด็กเดินอยู่ในห้อง เป็นเด็กผู้ชาย อายุประมาณ 10 ขวบได้มั๊ง..ผิวขาว รูปร่างอวบๆ หน่อย เขาเดินมาดูลูกฉันที่เตียง มองไปที่ของเล่น ที่ลูกฉันกำไว้ในมือ ...ฉันพูดเบาๆ ว่า...ขออนุญาตให้น้องได้นอนพักรักษาตัวจนกว่าจะหายนะ...แล้วฉันจะสวดมนต์แผ่เมตตาให้... คืนนั้น...ฉันหยิบหนังสือสวดมนต์ไปด้วย...พอดึกหน่อย...ฉันเปิดหนังสือสวดพระไตรปิฏก สวดธรรมจักรฯ สวดบทเมตตาใหญ่....ในขณะที่สวดมนต์ ก็มีผู้หญิงบ้าง คนแก่บ้างเดินเข้ามาในห้องฉัน มานั่งฟังฉันสวดมนต์ บ้างก็ยืนเกาะหน้าประตู ไม่เข้ามา...แล้วก็มีเสียงพูดว่า...ดีนะ..ไม่เคยมีใครทำอย่างนี้เลย...ฉันนึกในใจ...ถ้าอย่างนั้นขอให้อนุโมทนาบุญร่วมกับฉันนะ...กุศลใดที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้...ขอให้พวกคุณได้รับเช่นเดียวกันกับฉันนะ...และฉันก็แผ่เมตตา..ให้เขา...ส่งบุญให้เขา....วันรุ่งขึ้น...ช่วงสายๆ หน่อย หมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้...

    ครั้งนี้ฉันก็จะทำแบบนั้น...แต่คราวนี้...ฉันพูดออกมาเบาๆ ว่า..เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าบ้านเจ้าเรือน สัมภเวสีและดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ เจ้าของเตียงนี้...ฉัน (เอ่ยชื่อนามสกุล) เป็นแม่ของ เด็ก (เอ่ยชื่อนามสกุล) คืนนี้ฉันจะสวดมนต์แผ่เมตตาขอให้ได้มาร่วมอนุโมทนาบุญกับฉันด้วยเทอญ....พอสัก 2 ทุ่มกว่า ฉันก็เอ่ยปากบอกอีกรอบ แล้วก็เริ่มสวดมนต์ สวดด้วยเสียงเบาๆ เพื่อไม่ให้ไปรบกวนเตียงข้างๆ เขา...ฉันสวดไปมือหนึ่งก็คอยคลำตัวลูกไป...ฉันสวดจนจบ น้อมบุญ และแผ่เมตตาเสร็จ...ก็จับตัวลูก..ไข้ขึ้นอีกแล้ว...หมอมาทุกชั่วโมง...หมอมาคราวนี้...เขียนใบสั่งยาให้ฉันลงไปเอาอีกตึกหนึ่ง..ตอนนั้นก็เป็นเวลา 5 ทุ่มกว่าๆ แล้ว...ฉันตัดสินใจลงไป ฝากลูกไว้กับเตียงข้างๆ...ขนาดว่าเจอมาบ้างแล้วนะ...คุณนึกภาพออกไหม...โรงพยาบาลรัฐบาล เค้าจะปิดไฟเป็นบางจุด ที่ไม่มีใครใช้สัญจรไปมา ... มันก็จะมืด จนทำให้จิตคิดภาพได้เลย...ยิ่งตอนต้องลงลิฟท์คนเดียว...แล้วลงข้างล่าง...ฉันก็พยายามสะกดใจไม่ให้กลัว...แต่แหม...พี่แม๊คโดนัลที่นั่งอยู่ตรงหน้าลิฟท์ตอนที่ขึ้นไป...พอลงมาลิฟท์เปิดปุ๊บ ไฟด้านซ้ายมืดเสียจน ไม่กล้าออกจากลิฟท์...แค่เดินออกมาเท่านั้น...ขนหัวลุกเลย...จะอะไรซะอีกล่ะ..ก็พี่แม็คโดนัลนั่งไขว่ห้าง มือเกยคาง ตัวดำปี๋ ขนาดนั้น...พอนึกออก...ก็อดที่จะหัวเราะตัวเองไม่ได้....ฉันเดินมาที่เคาน์เตอร์จ่ายยา ปกติต้องจ่ายเงินก่อน เขาถึงจะจ่ายยาให้...ตอนนั้นฉันมีเงินในกระเป๋า 400 กว่าบาท...ฉันเห็นเขาจัดยาให้ลูก...ฉันจำได้...ยาแก้อักเสบยี่ห้อนี้..หมอเคยสั่งให้ลูก..ขวดหนึ่งเกือบ 500 ร้อยบาท แล้วนี่หมอสั่ง 2 ขวด เงินในกระเป๋ามีแค่ 400 บาท ฉันจะเดินไปกดเงินหน้าโรงพยาบาลดีไหม..เขาจะรับบัตรเครดิตไหม...ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี เพราะถ้าลงไป แล้วเขาเรียกรับยาพอดี...ก็จะไม่ทัน...ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น..เขาก็เรียกฉันไปรับยาเลย...และอธิบายว่าต้องนำยาไปให้ใคร...ฉันสงสัยว่า..ทำไมเขาไม่เก็บเงินฉัน...ฉันถามเขา...เขาบอกว่าเอาไปก่อนเถอะ...เขาจ่ายยาตามใบสั่งของหมอ...ฉันก็ขึ้นมาด้วยความ งง ...

    รุ่งเช้า...ฉันก็ดูแลลูกเหมือนเดิม...แต่อาการลูกไม่ดีขึ้นเลย..หมอพากันมารุมที่ลูกฉัน...ฉันไม่มีอาการตื่นเต้นอะไร...พยายามบอกลูกให้กินน้ำเกลือ...หมอนำน้ำกระปุกน้ำเกลือสำหรับให้ทางเส้นเลือดมาเจาะเข้าที่แขนของลูก...ฉันแทบจะไม่หิวเลย...ไม่ใช่กินไม่ลง...แต่ความหิวหายไปไหนก็ไม่รู้...ของที่สามีและแม่นำมาวางไว้ให้ฉันกับลูกกิน...ก็ยังอยู่แบบนั้น...กระทั่งน้ำฉันยังไม่แม้แต่จะหิวเลย...แล้วจู่จู่...ก็มีเจ้าหน้าที่มาตามฉัน..บอกฉันว่าให้ไปที่แผนกสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาล...ฉันนึกในใจ..ฉันยังไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้น...ให้เขาให้ความสำคัญกับคนที่ไม่มีมากกว่าฉันจะดีกว่าไหม...แต่ฉันไม่ถามอะไรเขา...แค่ งง ว่าเกิดอะไรขึ้น...ฉันฝากลูกไว้กับเตียงข้างๆ...และไปด้วยใจที่ห่วง เพราะอาการลูกวันนี้ไม่ดีเลย...ลูกซึมมาก จนผิดปกติ...ฉันรีบลงไป...ไปนั่งรออยู่เกือบ 45 นาที ... ใจฉันตอนนี้ อยู่ข้างบน ไม่ได้ลงมาข้างล่างเลย...ฉันกลัวลูกตื่นมาแล้วไม่เห็นฉัน...เขาจะกลัวไหม...พอถึงคิวฉันที่จะต้องเข้าไปข้างในห้องสังคมสงเคราะห์...เขาซักประวัติลูกฉัน...เขาบอกว่า ลูกฉันยังไม่เคยทำบัตรทอง...เขาจะจัดการให้...ให้ฉันเลือกโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านหรือโรงพยาบาลที่อยู่ในรายชื่อที่เขานำเสนอให้...ฉัน งง ... แต่ก็ยังพอมีสติที่จะโทรหาสามี ถามเขาถึงโรงพยาบาลว่าที่ไหนที่จะ ok บ้าง...พอคุยเสร็จ...รับเอกสารเสร็จ...ฉันรีบขึ้นมาดูลูก...มีคนมาอยู่เตียงลูกฉันหลายคนเลย...ฉันตกใจเล็กน้อยว่ามาทำไมกัน...เจ้าหน้าที่บอกว่า...ลูกต้องย้ายตึกไปอยู่ตึกเฉพาะโรคไข้เลือดออก...ฉันถามว่า...ขอเป็นห้องพิเศษได้ไหม...ฉันจองห้องไว้แล้ว...เขาบอกว่า ห้องน่ะได้แล้ว แต่อาการของลูก ถ้าอยู่ห้องพิเศษ จะไม่มีหมอขึ้นไปดูได้ทุกระยะ..แต่ตึกที่จะไปอยู่นี่ หมอดูแลใกล้ชิด และอยู่รวมกันเป็นโรคเดียวกัน...ฉันขอเวลาเก็บของสักพัก..ถ้าพร้อมแล้วจะบอกเขาให้เขามาย้ายลูกไป...
     
  11. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #16 .... บททดสอบ.....3

    ...แล้วสายตาฉันก็ไม่วายที่จะมองเข้าไปในห้องติดเชื้อ...ห้องกระจกที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงลูกฉัน...ก่อนจะไป..ฉันตัดสินใจถามคนดูแลว่า...คนไข้เป็นอะไร...เขาบอกว่า...เขามาจากต่างจังหวัด...อยู่ๆ ลูกเขาชักและตัวร้อนเป็นไฟเลย ทำยังไงก็ไข้ไม่ลด...หัวใจเต้นแรงมาก..มีอาการชัก...เขาไปหาหมอมาหลายที่แล้ว...นี่ก็หลายเดือนแล้ว...จนสุดท้ายเขาตัดสินใจพาลูกเข้ากรุงเทพฯ เผื่อจะมีทางรักษา...เพราะหมอหาโรคไม่เจอ...ภาพขึ้นมาทันที...เกี่ยวกับการฆ่าเอาชีวิต...ฉันบอกเขาก่อนว่า...อยู่ที่พี่จะเชื่อหรือไม่นะคะ...ก่อนหน้าที่ลูกจะป่วย พี่มีได้ล้มวัว หรือ สัตว์ใหญ่ 4 เท้าหรือเปล่าคะ...เขาบอกว่า ล้มวัวไม่มี...แต่ถ้าหมูมี..ฉันถามว่า ลูกสาวเป็นคนที่อยู่ในนั้นด้วยใช่ไหม...คือช่วยกันจับหมูใช่ไหม...เขาบอกว่าใช่...เมื่อ 8 เดือนก่อน บ้านเขาจัดงานแต่งงานของลูกสาวคนโต ... เขาฆ่าหมูกัน ... ทีนี้ หมูดิ้นมาก..เขากับลูกสาวคนเล็กจึงไปช่วยเขาจับ...แต่ลูกจับที่ขาล่าง..แต่ทำไมหรือครับ...ฉันบอกว่า...หนูขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันด้วยนะคะพี่...ถ้าหนูบอกอะไรพี่ไป ขอให้พี่รับปากว่าจะทำบุญใส่บาตรให้หนูให้ครูบาอาจารย์หนูให้เจ้ากรรมนายเวรของพี่นะคะ เพราะหนูไปก้าวล่วงเขา...หมูที่พี่ฆ่า เขาอาฆาต เขาจะทำให้พี่รู้ว่า ใครก็รักชีวิต...เขามาทางพี่ไม่ได้ เพราะพี่มีบุญ พี่ชอบสร้างพระ สร้างโบสถ์ ... เขาบอกว่าใช่ ... แต่ที่เขาต้องจับ เพราะเป็นงานบ้านเขา ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะทำร้ายใครง่ายๆ ...ฉันบอกว่า หนูเข้าใจ แต่สัตว์เดรัจฉานเขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้หรอกค่ะ...สายตาสุดท้ายก่อนที่ลมหายใจจะหมด เขามองเห็นลูกสาวพี่...ซึ่งยังไม่ค่อยได้สร้างบุญเท่าไหร่...จึงมาที่ลูกสาวพี่ก่อนค่ะ...ขอให้พี่ถวายสังฆทาน ถวายผ้าไตรครบชุดบวช ถวายพระปางสะดุ้งมาร หน้าตักกว้าง 3 นิ้ว อาหารหวานคาว ถวายก่อนเพล...นำส่งให้เขา นึกถึงหมูตัวนั้นไว้ และ ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันกับเขา...ทำแบบนี้ไปสัก 2-3 ครั้ง นะคะ...แล้วสังเกตุอาการลูกจะดีขึ้น ระบบหายใจจะดีขึ้น...ถ้าเขาหาย ขอให้พี่ยังคงส่งบุญให้เขานะคะไม่ว่าพี่จะทำบุญอะไร...เขายกมือขึ้นไหว้ฉัน...ขอบคุณฉัน...เขาบอกว่า เขาไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน...เขาถามฉันว่ากำลังจะไปไหน...ฉันเล่าให้เขาฟัง...เขาให้พรลูกฉัน...ขอให้หายเร็วๆ ขอให้บุญกุศลที่แม่ทำ...ให้หนูหายเร็วๆ นะ...ฉันขอบคุณเขาและขอตัว...

    ฉันย้ายมาที่ตึกใหม่ คราวนี้เขาแบ่งเป็นห้อง ห้องหนึ่งจะมีเตียงอยู่ 4-5 เตียง แล้วแต่ว่าคนไข้จะมากน้อยแค่ไหน..ก่อนฉันเข้าไป มีเด็กที่เป็นคนไข้อยู่ 3 เตียง...ลูกฉันเป็นเตียงที่ 4 ฉันได้มุมติดกำแพงห้อง..เมื่อจัดแจงลูกเสร็จ..ฉันก็เช็ดตัวลูกต่อ...พยายามให้ลูกกินอะไรบ้าง...ลูกกินอะไรไม่ได้เลย...และเหมือนเดิม...ฉันบอกกับผู้ที่อยู่ในและรอบๆ ห้องให้มาร่วมอนุโมทนากับฉัน ฉันจะสวดมนต์ให้...เช้าวันรุ่งขึ้น ดูเหมือนลูกจะดีขึ้นบ้างแล้ว...หมอมาถอดสายน้ำเกลือออก และให้ดื่มเพียงแค่น้ำเกลืออย่างเดียว...แต่พอช่วงบ่าย...อาการกลับแย่ลง...ฉันแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นอะไรมากขนาดนี้...ฉันน้ำตาซึม...นึกในใจว่า...จะเอายังไงกับฉันอีก...พอคิดเพียงเท่านั้น...มันเหมือนกับฉันยกเอาก้อนหินก้อนใหญ่ที่หนักอยู่ในอกออก...ฉันเอ่ยปากบอกว่า...“ลูกยอมแล้ว ถ้าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกและบุตร ลูกถือว่า ลูกและบุตรได้สร้างบุญกุศลด้วยกันมาเพียงเท่านี้ ลูกจะไม่เสียใจ และยอมรับ และคิดว่า มาถึงทางแยกที่ลูกและบุตรต้องแยกทางกันเพื่อไปสร้างบุญของตนเองต่อไป”....แล้วใจฉันก็เย็น..ไม่รู้สึกทุกข์แล้ว...เหมือนปล่อยมือ...ปล่อยแล้ว...กฏไตรลักษณ์เกิดขึ้นทันที...ฉันรู้แล้วว่า...สิ่งสมมุติทั้งหลาย...เมื่อถึงเวลามา ก็อยู่กับเราตามระยะเวลา แล้วก็ถึงเวลาไป....คืนนั้น ฉันสวดมนต์เหมือนเดิม...แต่คราวนี้ฉันนั่งสมาธิด้วย...แต่นั่งไม่นานเท่าไหร่...ใจฉันพร้อมจะให้กับดวงจิตวิญญาณที่เขามาขอแล้ว...วันรุ่งขึ้น..ลูกฉันอาการดีขึ้น ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว คุยจ้อเลย...ทักทายเตียงข้างๆ ที่เขาเป็นเด็กรุ่นพี่...ชวนเขามาเล่นของเล่นที่เตียง...ฉันรู้สึกดี...แค่รู้สึกดีเท่านั้น...ไม่ได้ดีใจเลย...และอีกอย่างเตียงอื่นเขาเตรียมเก็บของกลับบ้าน...เพราะมียานำมาส่งที่เตียงก็เป็นสัญลักษณ์ว่าได้กลับบ้านแล้วนะ...ฉันได้แต่มองและยินดีกับเขา...ยังนึกในใจด้วยซ้ำไปว่า...ลูกฉันจะอยู่นี่กี่วันหนอ...แล้วจู่จู่...ก็มียามาวางที่เตียงของลูกฉัน...หมอเข้ามา..ฉันถามว่า...ให้กลับแล้วเหรอคะ...หมอบอกว่าใช่...ฉันถามว่า...ตกลงลูกฉันเป็นอะไร...หมอบอกว่าชี้ชัดไม่ได้ว่าเป็นไข้เลือดออกหรือ 2009 เพราะอาการเดียวกัน แต่อาการแปลกกว่าเด็กคนอื่น ... หมอเลยไม่แน่ใจค่ะ...ฉันไม่ถามต่อแล้ว...ขอให้ลูกกลับบ้านก็พอแล้ว...
     
  12. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    โฮฮฮฮฮ ก้อพวกเจ้อยากมีของ..แร๊งงงงงงง..ทำมายอ่า หุหุ
     
  13. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #16 ....บททดสอบ...4

    ยังไม่แค่นั้น...แม่มาแต่เช้า เหมือนรู้ว่าหลานจะออกจากโรงพยาบาล...มาช่วยเก็บของกลับบ้าน...ฉันพาลูกไปกราบหลวงพระนาคปรกที่อยู่กลางโรงพยาบาล เพราะเมื่อคืนนี้ ฉันเห็นองค์นาคราช แต่ฉันไม่รู้ว่าจะบอกอะไรฉัน...แต่ฉันพอจะเดาอะไรได้บ้าง...จึงบอกไปว่า ถ้าลูกหนูได้ออกจากโรงพยาบาล หนูจะพาลูกไปกราบท่าน....ฉันกำลังเอารถออกจากโรงพยาบาลมาถึงป้อมยามเพื่อจะนำบัตรจอดรถให้กับพนักงาน...โทรศัพท์ฉันก็ดังขึ้น...จากลูกค้ารายใหม่ที่เพื่อนแนะนำมา...ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ฉันคงลิงโลด ดีใจ...ฝันเห็นเงินก้อนโต..ลอยอยู่ตรงหน้าแล้ว...แต่ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์แบบนั้นเลย...ฉันถามเขาว่า ใครเป็นคนแนะนำมา..เขาบอกถึงที่มา และแจงรายละเอียดให้ฟัง พร้อมทั้งให้เสนอราคาไปให้...ฉันขอรายละเอียดทาง mail และ จะส่งใบเสนอราคากลับไปให้เขา...แต่ฉันไม่ได้รับปากว่าจะเป็นวันไหน...ฉันกลับมาถึงบ้าน...เตรียมที่นอนให้ลูก เคลียร์ของทั้งหมดแล้ว...ฉันทิ้งตัวลงนอน โดยไม่มีอะไรในสมองเลย...ฉันเหนื่อย ฉันแทบจะไม่ได้นอนเลยตอนที่ลูกอยู่โรงพยาบาล...ตอนนี้ แม่บอกว่าพักเถอะ...เดี๋ยวแม่ดูแลต่อเอง ฉันนอนข้างๆ ลูก....หลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้....ไม่หิว..ไม่อยากอะไรเลย...รู้แต่หลับลึกและยาวนานเหลือเกิน...ฉันตื่นมาก็ง่วนอยู่กับลูก...ไม่ได้สนใจ mail อะไรนั่นเลย...จนกระทั่งหัวค่ำ ฉันจึงเปิด mail เพื่อดูรายละเอียด และโทรถามเพื่อนของฉันถึงที่มา...เพื่อนบอกว่า...ลูกค้ารายนี้...ให้บอกราคาสูงไว้ก่อน เค๊าจะต่อยับเลย...ฉันก็พอจะเข้าใจ...ฉันส่งใบเสนอราคากลับไป แล้วปิดเครื่อง...นอนต่อทันที...ไม่ได้สนใจเลยว่า...ลูกค้าเห็นราคาแล้วจะพอใจไหม...เขาจะจ้างฉันทำงานให้เขาไหม..เขาจะต่อราคาลงเหลือเท่าไหร่...ถ้าเป็นเมื่อก่อน...ฉันจะใจจดใจจ่อ...อยู่กับสิ่งที่ส่งไป...และความคิดเหล่านั้นจะขึ้นมาทันที...“ความคาดหวังจะเกิดขึ้นทันที”..และพร้อมจะโทรถามเขาว่า ok ไหม และรอคอยการตอบรับจากเขา...แต่ครั้งนี้...ทุกอย่างเปลี่ยนไป...ฉันไม่คาดหวังว่าจะเป็นอะไร...ฉันรู้แต่เพียงว่า ...ฉันเหนื่อย...ฉันอยากนอน..ใกล้ๆ ลูก...แล้วฉันก็หลับไปจนเช้า...ฉันคลุกอยู่กับลูกทั้งวัน...จนบ่ายลูกค้าโทรมาถามถึงราคาที่เสนอไปว่ามีอะไรบ้าง...ฉันตอบเขาไป..เขาบอกว่าจะเสนอผู้ใหญ่อีกทีแล้วจะตอบกลับมา...วางหูเสร็จ..ฉันก็กลับมาขลุกอยู่กับลูกเหมือนเดิม..ไม่ได้สนใจอะไรเลย...จนเย็นวันนั้น..เขาโทรกลับมา บอกว่า ตกลงให้ฉันทำงาน และ...ไม่ต่อราคาเลยสักบาทเดียว......นี่ไง บททดสอบ ...

    เสียงในใจบอกฉันว่า “เรื่องบังเอิญไม่เคยเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ความฟลุ๊ค ความซวย ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ทุกอย่างล้วนแต่อยู่ที่แรงบุญและแรงกรรมที่กระทำเอาไว้...เข้าใจแล้วใช่ไหม เรื่องการปล่อยวาง....แล้วใจเจ้าจะสุข”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2011
  14. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    ขอตัวก่อนนะคะ...แล้วพรุ่งนี้ จะมาเล่าต่อเน๊าะ..^__^
     
  15. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ่านจบหน้าแรกแล้ว ....ขอทายว่า คุณอ้อ คือ ศิษย์แม่ชีทศพร ฯ


    เดี๋ยวมาอ่านต่อครับ ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  16. OneLostSoul

    OneLostSoul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +355
    pity_pig ขอบคุณค่ะ.................
     
  17. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    ^__^ แม่ชีใหญ่ท่านไม่ได้สอนกรรมฐานค่ะ...แม่ชีใหญ่..ตอนนี้อยู่ในฐานะ..แม่ทางธรรมของอ้อค่ะ...บุญสัมพันธ์กันค่ะ..อ้อเคยพยายามจะให้แม่เปิดกรรมให้..พาสามีไปนั่งอยู่เป็นวัน ยกมือแล้วยกมืออีก...5555++ แม่แค่สบตาค่ะ.....แล้วไม่เคยพูดอะไรกับอ้อเลยค่ะ...ท่านคงรู้แล้วว่า...วันหนึ่งอ้อคงรู้ด้วยตัวเอง...แต่สิ่งที่ท่านส่งมาให้..ทางใจเพียวเลยค่ะพี่ชาย...วันที่อ้อสัมผัสความรู้สึกนั้นได้...คือครั้งที่ 4 ที่ตั้งใจไปบวชยาวนั่นแหละค่ะ...วันที่ไปอ้อมีเงินไปประมาณ พันกว่าบาท ไปด้วยใจที่ตั้งมั่น...พอวันที่ 30 ธันวาคม เหมือนมีอะไรมาสะกิดให้อ้อ...อยากถวายโตกพระพุทธเจ้า...อ้อไปขอจองโตก เจ้าหน้าที่บอกว่า มีคนจองล่วงหน้าไว้แล้ว เต็มหมดแล้ว ทั้งวันที่ 31 และวันที่ 1 ... แต่แปลกนะคะ... แทนที่จะตัดใจ เปล่าเลยค่ะ ... อ้อบอกว่า ช่วยจดชื่ออ้อไว้หน่อย ... เค้าบอกว่า จะจดยังไงล่ะคุณ ก็เขาจองกันไปหมดแล้ว ... อ้อก็บอกเจ้าหน้าที่ด้วยคำเดิม ... เขาคงเห็นใจมั๊งค่ะ ^ ^ ... เขาก็จดไว้ให้แล้วแปะไว้ตรงตู้บริจาคด้านหน้าเขา ... เท่านั้นยังไม่พอ ... เข้าไปกรรมฐานเสร็จรอบไหน ... อ้อก็เวียนมาถามเขา ว่ามีคน cancel บ้างไหม ทุกครั้งที่พักกรรมฐาน ... จนเกือบ บ่ายของวันที่ 31 ก็ไปอีก เขายิ้มแล้วบอกว่า ... เออ! หนูนี่มีความพยายามจริงๆ เลย เหมือนจะรู้นะ ว่าจะมีคนยกเลิก....ประมาณ 3 โมงกว่าๆ ให้มาอยู่แถวๆ นี้นะ...พี่จะได้เรียกหาได้...คนเยอะมาก เดี๋ยวจะไม่เจอกัน...อ้อดีใจมากเลยค่ะ..ทีนี้ ไม่ทำอะไรแล้ว กรรมฐานเสร็จได้เวลาปุ๊บ ก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น...เขากำลังจัดโตกอยู่ค่ะ...ตอนแรกก็สงสัย ทำไมมีโตก 5 โตก ทั้งๆ ที่ปกติ จะมีแค่ 4 ยังอุตส่าห์คิดบวกนะคะ...สงสัยเขาคงจะเห็นใจอ้อแน่ๆ เลยเพิ่มโตกพิเศษให้...55555++...คนเยอะมากๆๆๆๆๆ..ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงแม่ชีใหญ่เลยค่ะ เพราะรู้ว่าท่านไม่อยู่ ท่านไปพิจิตร...คนเยอะเสียจนไม่รู้จะยืนตรงไหน เลยไปรอที่โบสถ์...เห็นว่าเวลาพอสมควรแล้ว..ก็เบียดคนเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ ที่โต๊ะ...บริจาค...พี่เขาเห็นอ้อเท่านั้น...เขาก็ตกใจ ดุเล็กน้อย...“ไปไหนมา พี่รอตั้งนานแล้ว เอ้ารับโตกไป แล้วรีบไปที่หัวแถวเลยนะ” ... อ้อรับโตกเสร็จ ก็มุดๆๆๆๆๆๆๆ เบียดๆๆ มุดๆๆ กว่าจะถึงแถว...หน้ามืดเหมือนกัน...แต่พอถึงหัวแถว...อ้อขนลุก ตัวสั่น น้ำตาไหลเลย...ได้ยินเสียงพี่ๆ ที่เป็นคนจัดขบวนบอกว่า...โตกสองพี่น้องอยู่ด้านขวา...โตกอ้ออยู่ด้านซ้าย...แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้า คือ ... แม่ชีใหญ่อยู่โตกตรงกลาง...อ้อผงกศีรษะ บอกเป็นนัยๆ ว่า สวัสดีค่ะแม่ ..แต่น้ำตาไหล..ปีติ..จนเดินทักษิณาแทบจะไม่ได้สวดอิติปิโสเลย...จนทุกอย่างเสร็จสิ้น...เราสวดมนต์ข้ามปีจนเกือบตี 1 ได้..พระพรหมโมลี และ แม่ชีใหญ่..แจกของมงคลให้...ของพระพรหมโมลีท่านแจกเป็น cd บทสวดมหาสันติงหลวง..ของแม่ชีใหญ่ท่านแจก ลูกแก้วสารพัดนึก...เห็นคนอื่นได้สีขาวกัน ใจก็อยากได้เหมือนเขา..นึกในใจ ขอให้ได้สีขาวเถอะ เพราะมีหลากหลายสีเหลือเกิน...แต่พอถึงตัวเอง...แม่หยิบขึ้นมาแล้ว...มองเห็นสีของลูกแก้วแล้ว เป็นสีขาวอย่างที่อยากได้ ...แม่มองหน้าอ้อ...แต่ส่งให้คนอื่น...แล้วหยิบให้ใหม่...เป็นสีเขียวมรกต..เมื่อแจกเสร็จ จนหมดแล้ว..เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมคะ..ตรงนี้เป็นเหมือนความประทับใจของอ้อ เหมือนกับเป็นของขวัญปีใหม่ที่มีความหมายมากที่สุดของปีนั้น...แม่ชีใหญ่แจกของจนหมด จนต้องเอาของที่ยังไม่ได้แต่งมาแจกให้กับผู้ที่ร้องขอ...อ้อเดินตามท่านเข้าศาลา...แล้วท่านก็รีบเดินมาหยิบรองเท้า...ได้ยินเสียงกัลยาณธรรมบอกว่า...แม่ชีจะต้องรีบกลับไปพิจิตรเพราะจะมีพิธีเปิดสะพานที่นั่น...อ้อบอกแม่ว่า...แม่จ๋าหนูขอกอดแม่ได้ไหม...แม่ชีใหญ่ยิ้มแล้วอ้าแขนให้อ้อกอด...แล้วแม่ก็ไปเลย...เท่ากับว่า...อ้อได้กอดเพียงคนเดียว ณ ตอนนั้น ... ผู้ที่รอถวายโตก ของวันที่ 1 ไม่ได้ถวายพร้อมแม่ ... เหมือนทุกอย่างถูกจัดสรร ตามวาระ...นั่นคือ กำลังใจ เป็นของขวัญปีใหม่ที่มีความหมาย...และเป็นเหมือน แรงส่งให้สู้ในปีต่อๆ มาค่ะ ...พี่ชาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  18. lemon112233

    lemon112233 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +287
    น่าติดตามค่ะ

    เดี๋ยวรอมีเวลาเยอะกว่านี้จะมาตามอ่านทุกหน้านะค่ะ :cool:
     
  19. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #17 .. บอกเขาให้ฉันที!! ..1

    ปีแรก..ที่ยังไม่เข้าใจกับคำว่า “ต้องช่วยคน” จะไปทางไหน เพราะยัดตัวเองลงในกล่องไปซะขนาดนั้น...ยังสงสัยอยู่...คำว่า “หน้าที่” คืออะไร...ทีนี้ก็เริ่มเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็นมากขึ้น ..จะว่าเห็นแบบ จะ จะ ก็ไม่ใช่..เหมือนสภาพสแกนในหนัง Hi-Fi มาแว้บเดียว ไปและ แต่รายละเอียด ค่อนข้างชัดเจน...แล้วตอนนั้นความรู้สึกเหมือนกับว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอ ฉันออกจะเลวจนหาความดีไม่เจอซะขนาดนี้ ”...

    โดยปกติ ที่บ้าน จะชอบทำบุญกันมาก เมื่อก่อนเงินสะพัดนี่เน๊าะ...มีมากก็ทำมาก ตามกำลังทรัพย์..ได้ยินบุญอะไรก็จะพากันทำ โดยเฉพาะ บุญเกี่ยวกับการสร้างพระ สร้างโบสถ์ แม่ของฉันทำแบบนี้มาเป็นเวลาหลายสิบปี..มีอยู่ครั้งหนึ่ง แม่ไปจังหวัดพิจิตร ไปเยี่ยมพ่อแม่ของคนที่นับถือกัน และได้แวะเข้าไปกราบพระที่วัดใกล้ๆ บ้าน...ปรากฏว่า ที่วัดแห่งนี้ มีศาลาที่เป็นไม้กระดานจริงๆ เป็นศาลาเดียวที่ทำทุกอย่างในนั้น...พอแม่เห็นเท่านั้นแหละ...แม่ขอให้เขาพาเข้าเมือง...ไปทำอะไรรู้ไหมคะ....ไปขายสร้อยคอ แหวน สร้อยข้อมือ...แล้วกลับไปนำเงินถวายเจ้าอาวาส..กลับมาบ้าน ตั้งกองผ้าป่า กองกฐิน ... แล้วไปถวายที่วัดนั้น ... เพื่อจะให้เขาสร้างศาลา และ สิ่งที่จำเป็นของวัด ... หอระฆัง ธรรมาส ฯลฯ ... นี่แหละแม่ฉัน ... และเมื่อมีบุญอะไร แม่จะพาฉันทำ จนกลายเป็นนิสัยของบ้านนี้ไป...ทีนี้ มีอยู่ปีหนึ่ง...ญาติฉัน เขาบอกบุญ สร้างพระนาคปรก หน้าตักกว้าง 39 นิ้ว และตั้งใจนำไปถวายที่วัดบ้านเกิดของแม่ ... พอถึงเวลาก็พากันไป ... หนทางที่จะไปนั้น ฉันต้องผ่านบ้านญาติคนหนึ่ง ... ตอนแรกตั้งใจว่าจะแวะเข้าไปให้เขาร่วมอนุโมทนาบุญ หรือ จะร่วมทำบุญก็แล้วแต่...แต่ความที่ไม่เคยได้ยินเขาพูดเรื่องการทำบุญเลย...ก็เลยตัดสินใจไม่เข้าไปดีกว่า เพราะมองได้สองมุม ... คือ บางคนเขาจะคิดว่า ไร้สาระ มาพาเขาเสียเงิน ... เพราะสิ่งที่เขามองไม่เห็น ... อีกมุมหนึ่ง ก็เหมือนเป็นการสร้างบุญด้วยตัวเขาเอง ... ฉันไม่เข้าไป ... จนกระทั่ง เราถวายพระเสร็จ ... ขากลับ ก็ต้องผ่านบ้านเขาอยู่ดี ... แล้วใจก็แว้บ ถึง พ่อของญาติคนนี้ ฉันได้ยินมาว่า เขาไม่สบาย เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เลยบอกกับสามีว่า แวะเข้าไปเยี่ยมเขาหน่อยดีกว่า ... เผอิญวันนั้นฉันใส่ชุดขาวทั้งครอบครัว ... ก็แวะเข้าไป ... พ่อของเขาเห็นเข้า ก็ถามว่า ไปไหนมา ... ฉันเล่าให้ฟัง ... แกทำหน้าเศร้า แล้วบอกว่า ... เธอน่าจะแวะมาหาฉันก่อนนะ ... ฉันอยากสร้างพระ ... ฉันเกิดวันเสาร์นะ ... ฉันอยากสร้างพระนาคปรก ... (ความรู้สึกของฉันตอนนั้น เสียใจขึ้นมาทันที ทำไมฉันไม่ทำตามความรู้สึกแรกที่จะเข้ามานะ ไม่อย่างนั้นพ่อของเขาก็ได้สร้างพระไปแล้ว)...ฉันบอกว่า...ขอโทษด้วยนะตา (เรียกตามลูก) .. หนูก็ไม่ทันได้เอ๊ะใจเน๊าะ..เอาอย่างนี้...ให้ลูกๆ ร่วมกันนะ ซื้อพระ หน้าตักกว้างเท่าไหร่ก็ได้ เป็นพระนาคปรก...จะ 3 นิ้ว 9 นิ้ว หรือ แล้วแต่จำนวนทรัพย์นะ..ไปถวายพระ...ให้ตานะ...แกพยักหน้ารับ ... แล้วจะเหมือนกันเหรอ ...ฉันบอกว่า...เหมือนกัน...สร้างพระเหมือนกัน แล้วส่งให้เจ้ากรรมนายเวรนะตา ... ฉันนั่งคุยสักพักแล้วขอตัวกลับบ้าน ... ในขณะที่นั่งกลับบ้าน ฉันไม่รู้ว่าลูกเขาจะทำให้หรือเปล่า ... แม่ฉันก็บอกว่า ให้เราสองคน หมายถึงฉันกับแม่ ร่วมกันสร้างพระให้เขาดีไหม สงสารเขา อยากให้เขาสบายใจ ... ฉันบอกว่า อย่าเพิ่งเลย เราคนนอก ให้เขาจัดการกันเองก่อนเถอะ แล้วค่อยว่ากัน ... ผ่านมาอีกไม่เท่าไหร่ ฉันก็ไปเยี่ยมแกที่บ้านอีก...ไปคราวนี้ แกนั่งเหม่อ ทักอะไรไป แกก็ยิ้มอย่างเดียว แต่เหมือนจะไม่ได้ยินที่เราพูดกัน ... จนกระทั่งผ่านมาอีกไม่กี่วัน...ลูกแกโทรมาบอกว่า แกช็อคและหมดลมหายใจไปชั่วขณะหนึ่งก่อนส่งโรงพยาบาล หมอปั๊มขึ้นมาได้...แต่ไม่รู้สึกตัว ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล...วันรุ่งขึ้นฉันไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล...ไปถึงก็เห็นสายระโยงระยางเต็มไปหมด แกหายใจด้วย อ๊อกซิเจ้นท์ ....ฉันเห็นแกยืนอยู่ข้างเตียง ... ดวงจิตแกออกแล้ว ... แต่สังขารยังไม่ดับ ... ฉันจับที่ปลายเท้า แกชักเท้าหนี ... แกมีความรู้สึก แต่แกไม่ลืมตา ... แกบอกกับฉันว่า แกไม่อยากได้สายระโยงระยางนี้เลย แกทรมาณ ... ฉันเลยคุยกับยายที่เป็นภรรยาเฝ้าแกอยู่...ฉันถามยายว่า...ยายตาแกได้สั่งไว้ไหมว่าถ้าแกเป็นอะไรแกจะไม่ให้ใส่สายพวกนี้...ใช่แกสั่งเอาไว้...เอ้า! แล้วหนูรู้ได้ยังไง...ยายตอบพร้อมเสียงสะอื้น...ฉันไม่ตอบ...ฉันนั่งลงและบอกกับแกว่า .... ข้าพเจ้า (ชื่อ นามสกุล) ขอน้อมบุญที่ได้สะสมมามากบ้างน้อยบ้างขอนำส่งให้กับดวงจิตดวงวิญญา ของตา(ชื่อนามสกุล) ขอให้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีตามแรงบุญของตาด้วยเทอญ..(อันนี้คุณต้นพรหมพันกรเป็นผู้บอกมาค่ะ)...เพียงเท่านั้น ภาพสไลด์ของวิถีแห่งกรรมก็ขึ้นมาทันที..ฉันรู้แล้ว ตาไม่สามารถกลับมาได้แล้ว รอวันที่สังขารใช้กรรมจนสุดทางนั่นแหละ ถึงจะหมดลมหายใจ.....

    ขากลับ เหมือนมีอะไรดลใจให้แวะไปที่บ้านของแก .... ฉันเข้าไปเยี่ยมญาติ ลูกของแก เล่ารายละเอียดก่อนที่จะส่งโรงพยาบาลให้ฟัง...เรานั่งคุยกันบนโต๊ะกินข้าว..ฉันเห็นเงาดำๆ ของคน เดินรอบโต๊ะที่เรานั่งอยู่...คำแรกที่ผุดขึ้นมาคือ “เจ้าที่” ฉันถามว่า ...พี่เคยเอ่ยปากจะตั้งศาลเจ้าที่ หรือเปล่า ... เขาบอกว่าเปล่า เพียงแต่พูดว่า .. ถ้าจะตั้งศาลจะตั้งตรงไหน ถ้าพูดแบบนี้ พูดบ่อยมาก ... นั่นแหละ ... ท่านบอกว่า เอ่ยปากแล้ว ท่านและดวงจิตในบ้านนี้ รอกันอยู่ ... ถ้ามีให้รีบทำ แต่ถ้าไม่สะดวกก็บอกท่านไป อย่าไปพูดบ่อย..เหมือนให้ความหวัง...(บ้านนี้เขาไม่ค่อยเชื่ออะไรเรื่องพวกนี้ ฉันก็ทำตามหน้าที่ของผู้นำสาส์นเท่านั้น)...จนกระทั่งจะลากลับบ้าน...ฉันเดินออกมาใส่รองเท้า...ภาพผู้ชายใส่เสื้อลายสก๊อตเล็กสีแดงพับแขนขึ้นมาจนเกือบถึงศอก รูปร่างไม่เล็กไม่ใหญ่ ... แต่ฉันไม่เห็นหน้า...เสียงของตาบอกกับฉันว่า...ช่วยฉันหน่อยเถอะ บอกกับผู้ชายคนนี้ว่า ให้ขออโหสิกรรมกับฉันก่อนที่จะหมดลมหายใจ....เอาแล้วสิ...ฉันจะบอกยังไงล่ะ...ขนาดบอกเรื่องเจ้าที่...เขายังว่าไม่เชื่อฉันเลย...ตัวร้อนขึ้นมาทันที...ฉันก็เลยถามลูกเขาว่า...ที่บ้านมีใครชอบใส่เสื้อผ้าลักษณะแบบนี้หรือเปล่า...ให้ไปขออโหสิกรรมกับตานะ ให้รีบไป (ฉันบอกทั้งหมดไม่ได้)..แค่นี้ยังไม่รู้เขาจะเชื่อหรือเปล่าเลย...พอบอกไป เขาก็พูดตอบมาทันควัน...ไม่มีหรอก ไม่มีนี่ มีก็แต่สามีของเขา...แต่ไม่น่าจะใช่..เพราะเขาก็ดูแลกันดีอยู่ จะต้องไปขออโหสิกรรมกันทำไม...เอาแล้วฉัน...เค้าต้องหาว่าฉันบ้า เพี้ยนแล้วแน่เลย...แต่คิดอีกที...ช่างมัน..อิอิ...ฉันไม่แคร์...เพราะตัวฉันร้อนอยู่...

    ผ่านมาไม่นาน...ฉันก็ได้ข่าวว่าแกเสียแล้ว..เขาโทรมาแต่เช้า..ฉันกับสามีเตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่ตอนเย็นใส่รถ..ไปกันแต่เช้าหลังจากที่ได้ทราบข่าว..เราไปที่วัดกัน ไปช่วยทำความสะอาด เคลียร์ของเพื่อเตรียมงานตอนเย็น...จนกระทั่งเกือบบ่าย 3 โมง...รถตู้ก็มาจอดหน้าศาลา...แกเดินมาทักฉัน...ฉันมาแล้วนะ..ฉันยืนอาเจียนใหญ่อยู่ 3ครั้ง อาเจียนที่มีแต่ลมออกมา...ฉันจับแขนสามีและบีบไว้..เขาเข้าใจอาการนี้...ฉันพูดเบาๆ “ตาเขามาแล้ว มาพร้อมกับศพนะ เขารู้แล้ว”...ฉันก็กลับไปช่วยในครัวต่อ...เท่ากับว่า ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย...จนกระทั่งอาบน้ำศพ...ลูกเขามาเรียกฉันและสามี...ฉันไปตามที่เขาเรียก..เพราะเห็นคนเริ่มซาแล้ว...ลูกเขานั่งขวามือของฉัน คอยตักน้ำอบส่งให้แขก ฉันนั่งด้านซ้ายมือของเขา...เขาส่งขันน้ำอบเล็กๆ ให้ฉัน...ฉันรับมา แล้วรดที่มือของตา พร้อมอธิษฐานในใจเหมือนเดิม เกี่ยวกับการน้อมบุญส่งให้แก....หุ หุ หุ....ภาพที่ฉันไม่เคยแม้แต่จะอยากคิดก็เกิดขึ้น....หุ หุ หุ...เมื่อฉันอธิษฐานน้อมบุญส่งให้แกเสร็จ...นิ้วโป้งแกกระดกขึ้นมา..เหมือนเป็นสัญญาณว่า “ฉันได้ยินแล้ว ขอบใจนะ”....หุ หุ หุ ...หนาวไหมคุณ...ฉันตกใจเล็กน้อย มือไปคว้าที่ตักของลูกแกด้านขวา...ประมาณว่า...พี่เห็นกับหนูไหม (แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา)...ลูกแกพยักหน้า...เออ!! ดีวุ้ย...อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้เห็นคนเดียว..สบายใจแระ..พอช่วงฟังพระสวด ลูกแกก็มาตามให้ไปฟังพระสวดด้วยกัน...เพราะฉันกับสามี ง่วนอยู่แต่ในครัวเพื่อเป็นลูกมือให้แม่ครัวทั้งหลาย....ฉันก้าวเท้าขึ้นไปบนศาลา ... เก้าอี้ไม้ที่เป็นเสมือนฟอร์นิเจอร์รับแขกผู้ใหญ่วางเรียงแถวอยู่ด้านบน ไม่มีใครนั่งเลย ทุกคนที่เป็นญาติลงไปนั่งพับเพียบกับพื้นกันหมด ... ฉันไปนั่งที่ท้ายแถวเก้าอี้นั้น....หุ หุ หุ...ตาแกนั่งตัวสุดท้ายที่ฉันนั่งพิงเก้าอี้ตัวนั้นพอดี...ฉันเลยยกมือไหว้ไปที่เก้าอี้...แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น...แกยิ้มให้ฉัน...หุ หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  20. พิชญ์

    พิชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +3,392
    แวะมาทักทาย...เจ้าของกระทู้ค่ะ....


    [​IMG]

    ไม่ได้เสวนากันนานร่วมปี...กลับมาอีกที.. กลายเปนหมอดู.. ไปซะแล้ว

    คงต้องหาเวลามาใช้บริการแม่หมอ คนนี้เสียบ้าง เด๋วตกเทรน.. ขึ้นขบวนไม่ทันที่นั่งเต็มหมด อิ อิ..

    รฤก..
     

แชร์หน้านี้

Loading...