พญานาคราช 4 ตระกูล นครคำชะโนด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. ศรีค่ะ

    ศรีค่ะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +55
    ดีจ๊ะ น้องยา

    วันหนึ่งข้างหน้า ต้อง นำมา พาเจอ ห่างแค่ไหน ...........ไม่เกินเอื้อม.....สัญญาใด ไม่เท่า

    สัญญาใจ.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1866.JPG
      IMG_1866.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5.9 MB
      เปิดดู:
      61
    • IMG_9269.JPG
      IMG_9269.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      55
    • IMG_9428.JPG
      IMG_9428.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.6 MB
      เปิดดู:
      56
    • IMG_9505.JPG
      IMG_9505.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      65
    • IMG_9884.JPG
      IMG_9884.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.9 MB
      เปิดดู:
      65
    • IMG_9901.JPG
      IMG_9901.JPG
      ขนาดไฟล์:
      4.2 MB
      เปิดดู:
      67
    • IMG_9935.JPG
      IMG_9935.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.5 MB
      เปิดดู:
      55
    • IMG_9970.JPG
      IMG_9970.JPG
      ขนาดไฟล์:
      4.8 MB
      เปิดดู:
      59
    • พระเมตตา.JPG
      พระเมตตา.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      73
    • IMG_9983.JPG
      IMG_9983.JPG
      ขนาดไฟล์:
      4.8 MB
      เปิดดู:
      63
  2. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]
     
  3. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    น้องยาๆๆๆๆพี่อยากได้เพลงที่ไปลงไว้บ้านนู้นอะ
     
  4. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    พระพุทธองค์ ทรงเปรียบคน บนโลกนี้
    เหมือนบัวสี่ เหล่าแจ้ง แถลงไข
    หนึ่งพวกบาน เหนือน้ำ เลิศล้ำใจ
    ท่านเปรียบใด้ ดังคนที่ มีปัญญา

    จะสอนชี้ สิ่งใด เข้าใจแจ้ง
    ไม่ต้องแจง เหตุผล ค้นปัญหา
    สามารถเข้า ใจซึ้ง ถึงปัญญา
    ไม่ต้องมา สอนลาก ให้มากกล

    เหล่าที่สอง มองเปรียบ ให้เทียบย้อน
    เป็นบัวซ้อน พร้อมจะบาน ไม่นานผล
    อยู่ปริ่มน้ำ คอยคำสอน สะท้อนตน
    เปรียบดั่งคน พร้อมเข้าใจ ในถ้อยธรรม

    ไม่ต้องย้ำ สอนมากมาย พอหมายรู้
    ต้องมีครู คอยชุบ อุปถัมภ์
    แนะแนวเหตุ แนวผล และกลกรรม
    ก็รู้จำ รู้จด เป็นบทเรียน

    เหล่าที่สาม ต่ำมาหน่อย ด้อยสติ
    ท่านดำริ เปรียบคน ที่ค้นเขียน
    ต้องอาศัย แรงลาก ให้พากเพียร
    ต้องหมั่นเรียน หมั่นสอน สะทอ้นใจ

    ต้องสอนย้ำ นำพา ปัญญาสู่
    ถึงจะรู้ ความแจ้ง แถลงไข
    ต้องกระหนาบ เกลาขัด ฝึกหัดไป
    จึงจะใด้ ปัญญา เข้ามาทอน

    ส่วนเหล่าสี่ ที่สุด มนุษย์แล้ว
    ไม่เอาแนว ใดย้ำ ในคำสอน
    ไม่สามารถ เรียนจด ในบทตอน
    คือพวกนอน เกลือกตม เกินชมใจ

    รั้งแต่เน่า ทับถม สุดชมหา
    ให้เต่าปลา เคี้ยวสิ้น กินอาศัย
    ยากจะมี ช่องแยก แตกกอไป
    ทิ้งเน่าใน ธารา ไม่น่าชม

    แถมอีกเหล่า เน่าสุด มนุษย์แล้ว
    คือบัวแนว เต่าถุย ใช่คุยสม
    แม้เต่าปลา ยังไม่หา มาชื่นชม
    เสียอารมณ์ ต้องคายทิ้ง ในสิ่งเลว


    ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ขอบคุณครับ น้องบอมพี่กำลังหาอยู่แล้วครับ
     
  6. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พี่อุ้ม น้องเบนซ์ น้องบอม และพี่ๆที่ยังไม่ได้เอ่ยนาม ก็ดี จะเ่่่อ่ยนามก็ดี ผมอยากให้เรารัก สามัคคีกันไว้ และัศรัทธาในสายของเรา ที่ได้ภาวนาไว้ว่าจะขอดูแล รักษา ศาสนาแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านเมตตานำองค์พระธรรมมาสั่งสอนเรา เทวา มนุสสานัง บางคนเขาไม่เข้าใจเรา ว่าทำไมเราต้องยึดติดอดีต ก็ตัวอดีตนี้แหละที่ทำให้ ต้องมาร่วมสร้างบุญ สร้างกุศล ให้เิกิดสติปัญญา ให้เกิด 10 บารมี หรือ กำลังใจเต็ม

    1. ทานบารมีี จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    2. ศีลบารมี จิตของเราพร้อมในการทรงศีล
    3. เนกขัมมบารมี จิตพร้อมในการทรง เนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวไม่จำเป็น
    4. ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญา เป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป
    5. วิริยบารมี วิิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    6. ขันติบารมี ขันติ มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
    7. สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
    8. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดย เฉพาะ
    9. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    10. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ เมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ
    บารมี ที่องค์สมเด็จทรงให้เราสร้างให้เต็ม ก็คือ สร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์
    บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้น
    พระ บารมี เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระ อุปบารมี และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่า พระปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ หรือมีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้่า พระโพธิสัตว์ที่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญธรรมหมวดนี้ หรือมีชื่อหนึ่งเรียกว่า โพธิ ปริปาจนธรรม คือธรรมสำหรับพระพุทธภูมิ หรือชาวพุทธเราทั่วไปเรียกว่า พระบารมี หมายถึง ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งโน้น คือ พระนิพพาน


    • ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
    • ศีล เรามีก็ตัดความโกรธ
    • เนกขัมมะ เป็นการตัดอารมณ์ของกามคุณ
    • ปัญญา ตัดความโง่
    • วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
    • ขันติ ตัดความไม่รู้จักอดทน
    • สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
    • อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์
    • เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
    • อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของ กายเรา
    <marquee><cmarquee25></cmarquee25></marquee>
     
  7. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ผมอยากให้พี่ๆ น้องๆ ที่ยังรักในสาย ตรงนี้หันมาพูดคุยกันเหมื่อนเดิมนะครับในกระทู้แห่งนี้ อย่าแ่บ่งพรรด แบ่งพวกเลยครับ อย่าให้ ทิฐิในใจเรามาเป็นมาร เราทุกคนย่อมรู้ตัวเองกันทุกคนว่าเราต้องการอะไร ค้นหาอะไร ในใจตัวเอง ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไร ผมเองก็ต้องนำคำสั่งสอนของครู - บาอาจารย์มาปฏิบัติ นั้นคือคำสั่งสอน แห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มาปฏิบัติ รักกันไว้เถอะครับ สายแห่งเทพเบื้องล่าง ที่ขอดูแลพระพุทธศาสนา จากองค์พระโคตรมะ องค์พระพุทธเจ้า
     
  8. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    เห็นภาพดอกบัวสวยๆแล้วอดนึกถึงเพลงเปิดกระทู้ของน้องยาไม่ได้จึงขออนุญาตนำมาลงไว้ในหน้านี้อีกครั้งนะคะ

    เพลงนี้มีชื่อเพลงว่าดอกบัวงามเมื่อบำเพ็ญค่ะ

    ปัญญาญาณปางก่อนเลือนรางหายไป
    เมื่อมีกายต้องกรำทุกข์ เวียนวนอย่างนั้น
    อวิชชามากมาย มามัดใจยากเปลี่ยนผัน
    เหล่าเวไนยเกี่ยวกรรมกันมาแสนนาน

    มือจูงมือเร่งช่วยพี่น้องรับธรรม
    ขอแจ้งธรรมในการณ์นี้ ถึงกาลสุดท้าย
    อย่าเพียงพบ แล้วลา ใจพุทธะต้องห่างหาย
    จากนาวาต้องตรมทุกข์ ยากพ้นวัฏฏะ

    *จิตแห่งฟ้าจงรักษาให้ประคองไว้
    ดำเนินธรรมที่ตั้งใจ เพื่อไปสู่แดนนิพพาน
    ศรัทธาพร้อมร่วมกัน เซียนน้องพี่รอเบื้องบน
    สิ้นปุถุชน ดอกบัวงดงาม

    สายน้ำเอย คือกาลที่มันไหลไป แม้ร่างกายต้องสลาย
    แล้วพลันดับไป แต่จิตธรรมของเรา
    จะไม่มีวันเสื่อมคลาย ยังมีกาย
    จิตสวยงามบำเพ็ญให้ดี
    (จากกายไป จิตสวยงามยังคงเช่นเดิม)

    ขอบคุณบทเพลงและเนื้อเพลงจากอินเตอร์เน็ตค่ะ
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1023786/[/MUSIC]
     
  9. เนตรนที

    เนตรนที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    457
    ค่าพลัง:
    +4,122
    ขออนุญาตโหลดเพลงไปนะคะ
    เพราะมากเลยค่ะ ฟังแล้วอยากร้องไห้
     
  10. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    [​IMG][​IMG]กรรมที่ได้กระทำลงไปแล้ว แต่ไม่มีโอกาสให้ผล เรียกว่า "อโหสิกรรม"

    คนเรา เกิดมามักกระทำทั้งกรรมดี และกรรมชั่วสลับกันไป

    กรรมหลายอย่าง ที่เป็นกรรมชนิดที่ให้ผลในชาตินี้ เป็นกรรมทันตาเห็น ซึ่งเป็นผลหนักเบาต่างกัน เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว กรรมทันตาเห็น ประเภทหนักสุด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่ว ย่อมให้ผลก่อน แต่ให้ผลไปจนกระทั่งเราตายจากชาตินี้ไป กรรมทันตาเห็นประเภทรองๆ ลงไป ซึ่งเป็นกรรมที่ต้องให้ผลในชาตินี้เหมือนกัน เมื่อชาตินี้หมดไปแล้ว กรรมเหล่านี้ก็กลายเป็น อโหสิกรรม

    อย่างเช่น พระเทวทัต ได้ทำกรรมหนักไว้หลายอย่าง ที่ต้องให้ผลในชาติปัจจุบัน แต่เมื่อถูกธรณีสูบไปอย่างปัจจุบันทันด่วนเสียก่อน กรรมประเภทต้องให้ผลในชาติอย่างอื่น ก็เป็นอันไม่ได้ส่งผล เลยกลายเป็น อโหสิกรรม

    หรือ บางคนอาจจะสร้างความดีหลายๆ อย่าง ซึ่งจะค่อยๆ ให้ผล แต่ได้รับโชคดี เลื่อนฐานะยากจนกลายเป็นเศรษฐีอย่างทันตาเห็นในชั่วร ะยะเวลาข้ามคืน เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว กรรมอื่นๆ ประเภทต้องให้ผลชาตินี้ ก็กลายเป็น อโหสิกรรม

    กรรม หลายอย่าง ที่กระทำไว้ในชาตินี้ แต่เป็นกรรม ชนิดที่ให้ผลในชาติหน้า และได้กระทำไว้หลายอย่างด้วยกัน เมื่อกรรมชนิดหนักที่สุดให้ผลก่อนแล้ว จนกระทั่งหมดสิ้นชาติหน้าไปแล้ว กรรมที่ให้ผลชาติหน้า ชนิดที่รองลงไปก็ไม่มีโอกาสให้ผล กรรมเหล่านี้ก็กลายเป็นอโหสิกรรม

    อย่าง เช่น อนันตริยกรรม ซึ่งมีกรรมสังฆเภท มีโทษหนักสุดเมื่อชักนำให้ไปเกิดเป็นสัตวนรก ในนิรยภูมิ (ซึ่งมีอายุยืนยาวมาก) แล้วอนันตริยกรรม ประเภทมีโทษรองลงไป หรือกรรมประเภทให้ผลชาติหน้าอื่นๆ ก็ไม่มีโอกาสให้ผล จนตลอดอายุชาติหน้า กรรมเหล่านี้จัดเป็น อโหสิกรรม คือ ไม่มีโอกาสให้ผล

    หรือผู้ที่ได้ ฌานต่างๆ ตั้งแต่ ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ฌาน 5 ฌาน 6 ฌาน 7 และฌาน 8 เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า คือตายแล้วไปเกิดเป็น พระพรหมผู้วิเศษ ซึ่งเป็นชั้นที่มีอานิสงส์มากที่สุด ส่วนอานิสงส์ของชั้นอื่นๆ ตั้งแต่ชั้นฌาน 1 ถึง 7 ไม่มีโอกาสให้ผล เพราะเสวยชั้นสูงสุดอยู่แล้ว อานิสงส์หรือกรรมของ ฌาน 1-7 นี้ก็กลายเป็น อโหสิกรรม

    สำหรับกรรมชนิดที่ให้ผลตั้งแต่ชาติที่ 3 เป็นต้นไป จนกว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ถึงซึ่งพระนิพพานนั้น มีผลยืนยาวมากกว่ากรรมชนิดให้ผลในชาติปัจจุบัน และชนิดที่ให้ผลในชาติหน้า จึงไม่กลายเป็นอโหสิกรรม ได้ง่ายๆ ย่อมติดตามไปอย่างเหนียวแน่น และยาวนาน
    ใน สมัยพุทธกาล ณ กรุงราชคฤห์ มีสาวโสภา บุตรเศรษฐีคนหนึ่งพอได้เห็นหน้าโจรที่ถูกจับประหารผ่านหน้าบ้าน ก็ให้เกิดอาการหลงรัก แล้วเจ็บป่วยอย่างกระทันหัน เศรษฐีผู้เป็นพ่อจึงไปซื้อโจรประหารมาให้เป็นสามี

    เมื่ออยู่กินเป็น สามีภริยา กันได้ระยะหนึ่ง สันดานโจรก็กำเริบจึงได้ลวงธิดาเศรษฐีขึ้นไปบนภูเขา เพื่อจะฆ่าให้ตายแล้วชิงทรัพย์ แต่ด้วยปัญญาไม่ทันเท่า จึงถูกธิดาเศรษฐีผลักตกลงหน้าผาถึงแก่ความตาย
    ธิดาเศรษฐีรู้สึกเบื่อ หน่ายและกลัวบาปที่ตนได้ฆ่าสามีจึงไปบวชอยู่นอกศาสนาพุทธ แล้วก็เจนจบมีวิชา มีปัญญา ที่ใครๆ ก็ไม่อาจตอบปัญหา 1,000 ข้อ ของนางได้

    แต่เมื่อมา พระสารีบุตรได้แถลงไขในปัญหาเหล่านี้ได้ นางจึงได้ขอบวชเป็นพระภิกษุณี แล้วก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
    เมื่อนิพพานไปแล้ว กรรมที่ได้ฆ่าสามีไว้ จึงตามไม่ทันกลายเป็นอโหสิกรรม

    เพราะฉะนั้น การตัดกรรม การหนีกรรม จะกระทำได้ ก็ด้วยวิธีเหล่านี้ทั้งนั้น

    การ ตัดกรรมของหลวงพ่อคง จัตตมโล แห่งวัดเขาสมโภชน์ ก็ดี การตัดกรรมของหลวงพ่อธรรมรส (หลวงพ่อคล้าย ฐิตธัมโม) แห่งสำนักสงฆ์น้ำตกธรรมรส อ. วังจันทร์ จ.ระยอง ก็ดี หรือการสวดมนต์เจริญภาวนาตามแบบของหลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ. สิงห์บุรี ก็ดี หรือวิธีการตัดกรรมของอาจารย์ฤาษีสมพิศ ก็คือการสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อตัดกรรม หนีกรรม นั่นเอง
     
  11. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    การกราบไหว้พระพุทธรูป

    พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ)
    วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ



    • ปุ จ ฉ า

    พุทธ ศาสนิกชน โง่ หรือ ฉลาด ที่ไปกราบไหว้ อิฐปูน ต้นไม้ และการกราบไหว้พระพุทธรูปจะจัดเข้าไปในประเภทบูชารูปเคารพหรือไม่ ?

    ถ้า ไม่...ต่างกันอย่างไร ?


    • วิ สั ช น า

    ความโง่หรือฉลาดของคนนั้น ไม่วัดกันด้วยด้วยการกระทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ต้องมองกันในหลายๆ ด้านด้วย คนเรานั้นอาจฉลาดในเรื่องหนึ่ง แต่กลับโง่อย่างหนักในอีกเรื่องหนึ่งก็ได้

    ปัญหาไม่ได้บอกว่า อิฐ ปูน ต้นไม้นั้นเป็นอะไร เป็นทรากของสถานที่สำคัญเช่น สังเวชนียสถาน ก็แสดงว่า เขาไม่ได้ไหว้อิฐ ปูน แต่ไหว้เพราะอาศัยอิฐ ปูน นั้นเป็นสื่อให้น้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์เช่นเดียวกับการไหว้พระ พุทธรูป เจดีย์อื่นๆ

    หากเป็นการไหว้ อิฐ ปูน ธรรมดา นึกไม่ออกว่าใครจะไปไหว้ทำไม ?!?!

    ถ้าว่าเป็นกรณีของพุทธปฏิมา ที่สร้างด้วยอิฐ ปูน ในขณะไหว้ใครคิดว่าตนเองไหว้อิฐ ปูน ก็ต้องจัดว่าบรมโง่ทีเดียว !!!

    พระพุทธรูป ไม่ว่าจะสร้างขึ้นด้วยอะไรก็ตาม รวมถึงพระเจดีย์ ไม่ว่าจะเป็นธาตุเจดีย์ ธรรมเจดีย์ บริโภคเจดีย์ หรืออุเทสิกเจดีย์ก็ตาม ล้วนแต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาไหว้ ใจคนจะน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องกระตุ้นให้ระลึกถึง

    o ทำไมจึงต้องสร้างเป็นรูปวัตถุเช่นนั้น ?

    เพราะพระพุทธคุณ เป็นนามธรรม โดยหลักทั่วไปแล้ว การระลึกถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมล้วนๆ สำหรับคนทั่วไปแล้ว ทำได้ยาก

    เหมือนระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่ หากจะมีรูปท่านอยู่ด้วยจะให้ความรู้สึกแปลก คือให้ความซาบซึ้งมากกว่าที่คิดถึงในเชิงนามธรรมล้วนๆ

    แต่เมื่อว่า ตามความจริงแล้ว คนหาได้คิดอยู่เพียงรูปถ่ายของท่านไม่ รูปถ่ายท่านเป็นเพียงสื่อให้คิดได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง

    เรื่องการกราบ ไหว้ พระพุทธรูป เจดีย์ ที่สร้างด้วยอะไรก็ตาม ผู้ไหว้หาได้ติดอยู่เพียงรูปเหล่านั้นไม่ รูปเหล่านั้น จึงทำหน้าที่เป็นสื่อทางจิตใจเพื่อได้อาศัยรำลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระพุทธคุณ

    ด้วยเหตุนี้ การกราบไหว้พระพุทธรูป จึงไม่เหมือนการกราบไหว้รูปเคารพอย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน

    o ทำไมจึงไม่เหมือนกัน?

    เพราะพวกสร้างรูปเคารพนั้น ผู้ที่ตนนำมาสร้างเป็นรูป ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นแต่คิดฝันขึ้น บอกเล่าสืบต่อกันมา ส่วนมากจะเกิดขึ้นจากพวกที่ต้องการประโยชน์ จากความนับถือรูปเคารพเหล่านั้นของคนทั้งหลาย คนนับถือรูปเคารพจึงนับถือ เพราะ

    "ความไม่รู้ จึงเกิดความกลัว"

    การไหว้รูปเคารพ จึงเป็นการกระทำเพื่อ

    ๑. ประจบเอาใจรูปเคารพเหล่านั้น ไม่ให้ท่านโกรธ
    ๒. ต้องการอ้อนวอน บวงสรวง ให้ท่านประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ตนต้องการ และพิทักษ์รักษาตน พร้อมบุคคลที่ตนต้องการให้รักษา

    แม้ว่า บุคคลบางคนจะไหว้พระพุทธรูป เพื่อต้องการของสิ่งที่ตนต้องการบ้าง แต่ไม่มีลักษณะของการประจบเอาใจต่อพระพุทธรูป เพื่อไม่ให้ท่านโกรธ อย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน พระพุทธรูปจึงไม่เหมือนกับรูปเคารพอย่างที่คนบางคนเข้าใจ


    (ที่มา : ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา - ๒ โดย พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ) วัดบวรนิเวศวิหาร,
    พิมพ์เผยแพร่เพื่อ เป็นพุทธบูชาและธรรมบรรณาการ, พ.ศ. ๒๕๒๒, หน้า ๒๓๐-๒๓๑)



    หมายเหตุ :
    บทความเรื่อง นี้เขียนไว้เมื่อครั้งที่พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) ยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระโสภณคณาภรณ์
     
  12. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    <table class="text11px" border="0" cellpadding="5" height="666" width="780"><tbody><tr><td>
    คติธรรมหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล

    <o></o>
    <v:shapetype id="_x0000_t75" stroked="f" filled="f" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" o=""><v></v></v:shapetype>
    <v:shapetype id="_x0000_t75" stroked="f" filled="f" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" o=""><v></v></v:shapetype><o>[​IMG]</o>


    วิปัสสนา นี้ มีผลอานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล พรหมวิหารภาวนา ย่อมทำให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลงเมื่อทำกาลกิริยา มีสุคติภพ คือ มนุษย์และโลกสวรรค์เป็นไปในเบื้องหน้า หากยังไม่บรรลุผลทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั่นเทียว

    อนึ่ง ยากนักที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์ คือ ศีล ๕ และกุศลกรรมบท ๑๐ จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตที่เป็นมานี้ ก็ได้ด้วยยากยิ่งนักเพราะอันตรายชีวิตทั้งภายใน ภายนอกมีมากต่างๆ การที่ได้ฟังธรรมของสัตตบุรุษคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ก็ได้ยากยิ่งนัก เพราะกาลที่ว่างเปล่าอยู่ ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบ บางสมัย จึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ ง เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาน ี้เลย

    </td> </tr> <tr> <td class="text">ที่มา: </td></tr></tbody></table>
     
  13. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126

    [​IMG]


    "วิสา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมแม่น้ำโขง


    คิดว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงจะเคยได้ยินเรื่อง "บั้งไฟพญานาค" มาแล้วนะคะ ดูเหมือนว่าจะมีที่จังหวัดหนองคายแห่งเดียวเท่านั้น ถ้ามีที่จังหวัดอื่นๆ ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ

    ลูกไฟที่โผล่จากแม่น้ำโขงตอนค่ำๆ เหมือนมีใครจุดพลุพุ่งวาบขึ้นไปบนท้องฟ้า ทีละลูกสองลูก รวมแล้วก็หลายสิบลูกนั่นแหละค่ะ ที่เรียกกันว่าบั้งไฟพญานาค

    ที่น่าแปลกประหลาดสุดๆ ก็คือ บั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นในวันออกพรรษาเท่านั้น...เชื่อกันว่าพญานาคสำแดง อิทธิฤทธิ์เพื่อเป็นการร่วมทำบุญร่วมกับชาวพุทธนั่นเอง

    เคยมีผู้กังขาทั้งไทยและเทศว่าคงจะไม่ใช่เรื่องลี้ลับหรือมหัศจรรย์นอกเหนือ ธรรมชาติ แต่คงจะมีใครอุตริไปจุดพลุอยู่ใต้น้ำแน่ๆ จนมีการส่งนักประดาน้ำลงไปสำรวจทั้งฝั่งไทยและลาวหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบว่ามีใครแอบซุกซ่อนกระทำการที่ว่าแม้แต่คนเดียว

    ในที่สุดก็โมเมว่าคงเป็นก๊าซบางชนิดที่ก่อตัวเป็นแสงเรืองๆ ตามป่าดงที่มีใบไม้ทับถมกันเป็นหญ้าเน่า รวมทั้งตามห้วยบึงต่างๆ ที่เราเชื่อว่าเป็นผีกระสือนั่นไงคะ!

    แต่ก็หาคำอธิบายไม่ได้อยู่ดีว่า เหตุใดบั้งไฟพญานาคจึงปรากฏในวันออกพรรษาตรงเผงทุกปี?

    ดิฉันคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องนี้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาหยกๆ นี่ล่ะค่ะ

    ครอบครัวเราตัดสินใจหนีความวุ่นวายน่าปวดหัวในกรุงเทพฯ โดยซื้อทัวร์ไปเที่ยวรายการ "อีสานเลาะโขง" กับชัยทัวร์ ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 15 เมษายน มีกำหนดการไปสู่เพชรบูรณ์, ด่านซ้ายและเชียงคาน จังหวัดเลย เลียบเลาะลำน้ำโขงเรื่อยไปถึงอำเภอปากชม อำเภอสังคม เข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ หนองคาย แล้ววกไปนครพนม, มุกดาหาร และอุบลราชธานี ก่อนเดินทางกลับผ่านสุรินทร์และนครราชสีมา

    วันที่ 11 เมษายน นั่นเองที่เราเข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ แวะชมวัดพัฒนาตัวอย่างอยู่ติดกับริมแม่น้ำโขง มีทัศนีย ภาพสวยงามมาก

    นั่นคือวัดหินหมากเป้งอันมีชื่อเสียงเพราะเป็นวัดของท่านอาจารย์เทสก์ เทสรังสี หรือ "หลวงปู่เทศก์" ที่เราๆท่านๆ ย่อมจะรู้จักและเคยได้ยินชื่อเสียงท่านเป็นอย่างดี

    เมื่อลงจากบันไดหินลงไปสู่ลานวัดก็คลายร้อน เพราะร่มรื่นด้วยกิ่งใบของต้นไม้น้อยใหญ่ มีพระกำลังกวาดใบไม้แห้งบ้าง รดน้ำต้นไม้บ้าง เข้าไปนมัสการท่านก็ได้รับความรู้น่าประหลาดใจ...วัดใหญ่โตแต่มีภิกษุอยู่ เพียง 7 รูปเท่านั้นเอง

    ลูกสาวดิฉันจูงมือพ่อแม่วิ่งเข้าไปในศาลาริมแม่น้ำ ลูกทัวร์คนอื่นๆ ก็กระจายกันไปถ่ายรูปบ้าง ไหว้พระบ้าง และมี 4-5 คนมาเกาะระเบียงมองดูลำน้ำโขงที่มีน้ำเปี่ยมฝั่งผิดกับที่อื่นๆ นับว่าน่าแปลกประหลาดเอาการ

    เสียงใครพูดแจ้วๆ ว่ามีผึ้งหลวงมาทำรังใหญ่โตที่ต้นไม้ข้างหน้า ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นภาพนั้นจริงๆ พอดีอาจารย์ไสวผู้เป็นนักธรณีวิทยา อายุราว 70 เศษ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดี ชี้ให้ดูฝั่งตรงข้าม เล่าว่าทางลาวเห็นวัดฝั่งเราใหญ่โตน่าเลื่อมใสก็เลยสร้างวัดขึ้นมาประชัน ถึงหน้าเทศกาลงานบุญก็ลงเรือข้ามฟากไปมาหาสู่กันเพื่อทำบุญแบบบ้านพี่เมือง น้อง

    ขณะนั้นฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก ลมพัดมาเย็นสบายจนทำให้ดิฉันนึกถึงงานสงกรานต์ที่จะเริ่มต้นพรุ่งนี้แล้ว... พอดีอาจารย์ไสวพูดถึงบั้งไฟพญานาคในแง่วิทยาศาสตร์โดยอธิบายว่า ริมน้ำด้านนี้มีซอกซอยมากมาย เมื่อถึงหน้าน้ำหลากฝูงปลาน้อยใหญ่จึงเข้ามาหาอาหารกินเพลิดเพลินจนลืม ตัว...

    เมื่อน้ำลดจึงออกไม่ทัน ตกคลั่กจนแห้งตาย สะสมกันมากเข้ากลายเป็นก๊าซบิวเทนที่ติดไฟง่าย เมื่อถึงหน้าน้ำก็ทะลักทลายออกไป...และนี่คำตอบว่าทำไมจึงเกิดบั้งไฟพญานาค ขึ้นมา!

    ทันใดนั้นเอง ลูกสาวดิฉันก็ตะโกนเรียกพ่อแม่จนหันไปมองก็เห็นแกชี้ไม้ชี้มือไปที่กลางแม่ น้ำโขง ร้องเสียงลั่นๆ ว่า...งูยักษ์! ดูงูยักษ์ซีแม่ มีตั้งสองตัวแน่ะ! ดิฉันหันไปมองตามมือแกก็รู้สึกม่านตาพร่าพรายเต็มที ใจสั่นหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

    ท่ามกลางฟ้ามืดครึ้มก็ยังมองเห็นภาพงูยักษ์สองตัวพ่นน้ำคึกคะนองอย่างเลือน ราง ได้แต่ครางว่า...พญานาคมีจริงหรือนี่? ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะงานนี้!




    ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
     
  14. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    อืมเป็นประสพการณ์ที่ทำให้คนบางคนลืมไม่ลงเลยเนอะ อยากเจอมั่งอะ
    บ้านนี้เงียบ......ลงไปปาตาลกันหมด
     
  15. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Hedychium coronarium J.G. Koenig อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE

    ชื่อสามัญ Butterfly Lily, Garland Flower, White Ginger

    ภาษาถิ่นสำหรับภาษาไทย แต่ละท้องถิ่นมีชื่อเรียกแตกต่าง ภาคกลางเรียก มหาหงส์ หางหงส์ กระทายเหิน ว่านมหาหงส์ ก็เรียก ภาคเหนือเรียกตาห่าน เหินแก้ว เหินคำ ระยองกับจันทบุรีเรียกเลเป ลันเต ส่วนอีสานเรียกสะเลเต...แม่นแล้ว

    [​IMG]

    ไม้หัวล้มลุก มีเหง้าคล้ายขิง ข่า ลำต้นอยู่ใต้ดิน ส่วนที่โผล่พ้นดินขึ้นมาแท้จริงเป็นก้านใบที่มีความยาวมาก เช่น เดียวกับกล้วยซึ่งมีลำต้น (เหง้า) อยู่ใต้ดิน และชูกาบใบพ้นดินเป็นเหมือนลำต้น กาบในหรือลำต้นเทียมของมหาหงส์อาจสูงได้ถึง 2 เมตร เมื่อสมบูรณ์เต็มที่ แต่ปกติสูง 1-1.5 เมตร มีใบแยกออกสลับตรงข้ามกันเป็นระเบียบในแนวเดียวกัน เป็นใบเดี่ยว เส้นใบขนานกัน ขนาดกว้าง 4-9 เซนติเมตร ยาว 35-60 เซนติเมตร สีเขียวสด

    ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด ช่อละ 3-6 ดอก แต่ละดอกมี 3 กลีบ ด้านบน 1 กลีบ เป็นกลีบใหญ่ ปลายกลีบเว้าลงเป็นรูปตัววี (V) คล้ายนำ 2 กลีบมาประกบกัน ด้านล่างเป็นกลีบเล็ก 2 กลีบ ดอกยาวประมาณ 5 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางดอกประมาณ 10 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้เป็นหมัน 3 ก้าน อยู่ใต้กลีบดอก และเกสรตัวผู้สมบูรณ์ 1 ก้าน อยู่กลางดอก กลีบดอกสีขาวหรือขาวแกมเหลือง ดอกจะทยอยบานจากด้านล่างขึ้นด้านบน แดดแรงจะโรยภายในวันเดียว แต่หากตัดมาแช่น้ำในร่มจะอยู่ได้ 3-4 วัน ดอกออกที่ยอดเป็นช่อขาวบริสุทธิ์ ตัวดอกก็โตพอใช้ แต่เวลาบานไม่บานทั้งช่อ และมักทะยอยกันบาน เริ่มเวลาเย็น มีกลิ่นหอมจัดทีเดียว และชวนดมเสียด้วย จึงมีผู้คนนิยมหามาปลูกกันมาก ปลูกก็ง่าย ตามชายๆน้ำเป็นดีที่สุด แต่จะปลูกไว้ในกระถางหรือในที่แห้งๆ สักหน่อยก็ได้

    [​IMG]

    การขยายพันธุ์นิยมแยกหน่อเช่นเดียวกับข่า หรือพุทธรักษา มหาหงส์ชอบพื้นดินชื้นแฉะหรือน้ำขัง แต่ก็อาจปลูกในที่แห้งหรือในกระถางได้เช่นกัน โดยต้องให้น้ำมากเป็นพิเศษ จึงจะออกดอกได้ดี

    สรรพคุณยา ของมหาหงส์ในตำราแพทย์แผนไทยมีว่า หัวใต้ดิน (เหง้า) ใช้ต้มเป็นยากลั้วคอแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ น้ำคั้นจากหัวใต้ดินใช้ทาแผลฟกช้ำบวม แต่ประโยชน์หลักคือปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ เพราะเป็นพืชพื้นบ้านในเขตร้อนชื้นของเอเชีย ปลูกง่าย โตเร็ว แข็งแรง ทนทานต่อดินฟ้าอากาศ โรคแมลง อายุยืนนาน สามารถแผ่ขยายหน่อเป็นลำต้น (กาบใบ) ใหม่ไปได้เรื่อยๆ เพียงที่ดินที่สมบูรณ์ด้วยปุ๋ยธรรมชาติ และมีน้ำให้ความชุ่มชื้นเพียงพอ

    ดอกหอม มีตลอดปี รูปทรงเหมือนหงส์เหิน โดยเฉพาะยามบานเต็มที่มองคล้ายล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างงามสง่าเพราะถูกชูช่อขึ้นตรงปลายยอด คือที่มาของชื่อ "มหาหงส์" อันเป็นนกในวรรณคดี ตระกูลสูง เสียงไพเราะ เป็นพาหะของพระพรหม โบราณท่านว่ายังเปรียบได้กับลีลางดงามอ่อนช้อยด้วย


    พันธุ์ไม้จำพวกมหาหงส์มีหลายชนิดเหมือนกัน สีนวลก็มี แดงก็มี เหลืองอมแดงก็มี และมีกลิ่นหอมทั้งนั้น เป็นแต่ว่ามากหรือน้อยต่างกัน แต่อย่างไรก็ดี ไม่มีชนิดใดหอมแรงเท่ามหาหงส์ ถิ่นกำเนิดของมหาหงส์ อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กรกฎาคม 2010
  16. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    ดอกมหาหงษ์นี่เอง ขอบคุณน้องปราญมากเลยที่มาให้ความรู้ เพราะชอบกลิ่นมากเลย เวลาได้กลิ่นทีไรรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ชอบมากเมื่อก่อนแถวบ้านเคยมี แต่ไม่รู้จักว่าชื่ออะไร ตอนกลางคืนจะได้กลิ่นหอมมาก จะออกมายืนสูดกลิ่นไม่อยากไปไหนเลยอ่ะ รู้จักชื่อแล้ว เดี๋ยวไปหามาปลูกมั่งดีกว่า :cool::cool::cool:
     
  17. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ที่ไหนมีขายพี่มาส่งข่าวปราญฯบ้างนะ ปราญฯอยากได้มาปลูกมาก ไปหามากี่ที่ๆก็ไม่มี ปราญฯไม่เคยได้กลิ่นเขาเลยนะ ปราญฯเลยอยากพิสูจน์ว่ากลิ่นดอกไม้ที่หอมอวลๆที่ปราญฯได้กลิ่นบ่อยๆ ใช่ดอกไม้ชนิดนี้ไหม
     
  18. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    ได้เลยจ๊ะ ถ้าเจอจะเอามาเผื่อด้วย จริง ๆ เวลาได้กลิ่นพี่ไม่เห็นต้นหรอก เคยเข้าใจว่าเป็นกลิ่นของต้นวาสนาอ่ะ เพราะตอนเช้ามาเดินดูต้นไม้ข้างบ้าน เห็นมีต้นนี้อยู่ด้วยแต่ไม่คิดว่าจะใช่ แต่พอมาเห็นรูปที่น้องปราญลงเลยนึกขึ้นได้อ่ะ เพราะปกติเคยได้กลิ่นแต่ดอกวาสนา ซึ่งจริงต้นวาสนาแถวบ้านก็ไม่ได้ออกดอกหรอกแต่เหมาไปเองอ่ะ
    น้องปราญเคยได้กลิ่นดอกวาสนา หรือดอกราตรีหรือเปล่า กลิ่นจะประมาณนั้นอ่ะ หอมเย็น ๆ บอกไม่ถูกอ่ะ
     
  19. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ดวงจำปา
    โอดวงจำปา เวลาชมน้อง (เสียงร้องเป็น เวลาชมดอก)
    นึกเห็นพันช่อง มองเห็นหัวใจ
    เฮานึกขึ้นได้ ในกลิ่นเจ้าหอม
    เห็นสานดอกไม้ บิดาปลูกไว้ ตั้งแต่นานมา
    เวลาหง่วมเหงา เจ้าช่วยบรรเทา เฮาหายโสกา
    เจ้าดวงจำปา คู่เคียงเฮามา แต่ยามน้อยเอย


    กลิ่นเจ้าสำคัญ ติดพันหัวใจ
    เป็นน่าฮักใคร่ แพงไว้เชยชม
    ยามเหงาเฮาดม โอจำปาหอม
    เมื่อดมกลิ่นเจ้า ปานพบเพื่อนเก่า ที่พรากจากไป
    เจ้าเป็นดอกไม้ ที่งามวิไล ตั้งแต่ใดมา
    เจ้าดวงจำปา มาลาขวัญฮัก ของเฮียมนี้เอย


    โอดวงจำปา บุปผาเมืองลาว
    งามดั่งดวงดาว ชาวลาวเพิงใจ
    เกิดอยู่ภายใน แดนดินล้านช้าง
    ถ้าได้พลัดพราก หนีไปไกลจาก บ้านเกิดเมืองนอน
    เฮาจะเอาเจ้า เป็นเพื่อน ฮ่วมเหงา เท่าสิ้นชีวิต
    เจ้าดวงจำปา มาลางามยิ่ง มิ่งเมืองลาวเอย.
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1028074/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. innovex

    innovex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2005
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +2,679

แชร์หน้านี้

Loading...