เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897

    [​IMG]




    [​IMG]

    [​IMG]

    The star Aldebaran - Alpha Tauri -
    is the brightest star in the constellation Taurus.
    Its name is derived from the Arabic word ​

    AlDabaran"follower"
    , a reference to the way the star follows
    the Pleiades star cluster in its nightly journey across the sky.
    Aldebaran itself is apparently the brightest member of
    the more scattered Hyades cluster,
    which is the closest star cluster to Earth.

    However, it is merely located in the line of sight between the Earth
    and the Hyades, and is actually an independent star. ​

    Aldebaran is a K5 III star, which means it is orangish, large,
    and has moved off of the main sequence by using all its hydrogen fuel.
    It has a minor companion (a dim M2 dwarf orbiting at several hundred AU).
    Now primarily fusing helium, the main star
    has expanded to a diameter of approximately 5.3 ?
    107 km, or about 38 times the diameter of the Sun.​

    The Hipparcos satellite has measured it as 65.1 light years away,
    and it shines with 150 times the Sun's luminosity.
    Taken together this distance and brightness makes it the 13th brightest star in the sky.
    It is slightly variable, of the pulsating variable type, by about 0.2 magnitude. ​

    In 1997, a possible large planet (or small brown dwarf)
    companion was reported, with a minimum mass of 11
    Jupiters and orbiting at a distance of 1.35 AU. ​

    Aldebaran is one of the easier stars to find in the night sky,
    partly due to its brightness and partly due to its spatialrelation
    to one of the more noticeable asterisms in the sky.
    If one follows the three stars of Orion's belt from left to right
    (in the Northern Hemisphere) or right to left (in the Southern),
    the first bright star found by continuing that line is Aldebaran. ​

    Astrologically, Aldebaran was a fortunate star, portending riches and honor.
    This star is one of the four "royal stars" of the Persians from around 3000 BC. ​

    As the star of illumination,
    Aldebaran irradiates the Way using the applied power of transformation.
    In seeking illumination,
    we can cultivate the ability to use the mind as a reflector of soul light.
    The other three Royal Stars are Antares in the constellation Scorpio the Scorpion,
    the Western Royal Star, Regulus in the constellation Leo the Lion,
    the Northern Royal Star, and Fomalhaut in the constellation Pisces Austrinus,
    the Southern Fish - close to the constellation Aquarius - the Southern Royal Star. ​


    This brilliant star, has been used for centuries in navigation,
    and is known by many civilizations to be connected
    with the spirits of rain and the fertility of the Earth. ​

    Approximately 5,000 years ago, the rising of Aldebaran marked
    the vernal equinox and was the beginning of the Babylonian New Year. ​

    Hebrews called Aldebaran God's Eye and Aleph, Akkadian Gis-da,
    Furrow of Heaven, Greek Omma Boos, Latin Oculus Tauri,
    early English the Bull's Eye; and Hindus Rohini the Red Deer
    - the name of the river in Nepal where the Buddha was born at the time of the May full moon,
    around 563 BCE. ​





    [​IMG]


    The Taurus constellation from Uranographia by Johannes Hevelius (1690). ​




    Aldebaran is the star near the left eye of the bull.
    Aldebaran is called the Eye of Revelation.
    Life is filled with Metaphors and Revelations.

    The evolutionary process is essentially a journey into
    consciousness awareness through Revelation.
    As we evolve,
    we perceive more than we ever knew was existent or perceptible,
    yet we are only perceiving what has always been there.

    Aldebaran is also known as Buddha's Star,the Star of Illumination,
    God's Eye, and the Eye of the Bull.
    Taurus is often associated with royalty and divine power.

    Throughout the ages Aldebaran has been spiritually recognized
    for its alignment with divinity.

    There is a symbolic relation between Aldebaran, the Eye
    in the head of the Bull, the third eye, or the light in the head, and the diamond.

    The consciousness of the Buddha has been called the "Diamond-Eye"
    which is the eclipse and the star tetrahedron of Sacred Geometry
    which creates the grid patterns of our reality.
     
  2. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
  3. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    <TABLE class=tborder id=post734982 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->nova_analai<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_734982", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2007
    สถานที่: Lawrence, Kansas, USA
    ข้อความ: 809
    Groans: 0
    Groaned at 1 Time in 1 Post
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,883
    ได้รับอนุโมทนา 11,224 ครั้ง ใน 788 โพส
    พลังการให้คะแนน: 794 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_734982 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->องค์ความรู้ กับ ความเป็นหนึ่งเดียว<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ผู้ที่ตระหนักถึงธรรมชาติความเป็นจริงที่ฉันได้ถ่ายทอดให้
    มักรับข้อมูลความรู้เหล่านี้และนำไปปฏิบัติโดยปราศจากข้อข้องใจ
    แต่ผู้ที่ยังไม่เข้าใจมักจะยังข้องใจอยู่และไม่นำไปปฏิบัติ

    หากเธอปฏิบัติตามด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เธอจะไม่หยิบยกเพียงสาระอันเป็นประโยชน์เพียงบางสาระ แล้วทิ้งสาระอื่นๆไปเสมือนเศษขยะไว้เบื้องหลัง ในทางตรงกันข้ามเธอจะพบว่าทุกสาระมีความหมายและมีความสำคัญเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด เธอจะใช้มันอย่างหมดจดไม่เหลือเศษ ไม่ว่าเธอจะได้รับมาจากทิศทางใด หรือเรียกว่ารับมาจากศาสนาใด เธอก็จะมองเห็นคุณค่าและความกลมกลืนที่จะนำมันไปใช้ประโยชน์ได้ทุกทิศทางอย่างเป็นอนันต์ และผู้ที่เข้าใจได้ถ่องแท้จะมองไม่เห็นความแบ่งแยกของข้อมูลความรู้ว่า มันมาจากต่างสาย ต่างทิศทาง ต่างศาสนา หากแต่จะพบความเป็นหนึ่งเดียวของความหมายที่แท้จริง และตระหนักได้ว่าต้นกำเนิดของข้อมูลความรู้ทัั้งหมด มาจากต้นกำเนิดอันเป็นหนึ่งเดียว

    ความขัดแย้งมักเกิดจากความไม่เข้าใจในความหมายที่แท้จริงของข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงที่ได้รับ จากต่างทิศทาง ต่างศาสนา
    หาใช่ความขัดแย้งที่มีอยู่ในตัวข้อมูลความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในทิศทางต่างๆ หรือศาสนาต่างๆไม่

    เธอจะตระหนักได้ไม่ยากว่า สิ่งที่เธอคิดว่าคือความรู้นั้น-ใช่ความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง หรือเป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลของเธอ ที่ตีความหมายข้อมูลความรู้ และความเป็นจริงทั้งหลายบิดเบือนไป เพราะเมื่อเธอปราศจากความเข้าใจ เธอมักจะมองเห็นแต่ความแตกต่าง ความแตกแยก ความขัดแย้ง ความคิดในแง่ลบเป็นผลมาจากความเชื่อที่ผิดมักทำให้เธอรู้สึกถึงกระแสที่แตกต่างกัน ซึ่งเกิดขึ้นในอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ซึ่งก่อให้เกิดความสะทกสะท้านและความสั่นคลอน เพราะสิ่งที่เธอเข้าใจว่าคือความรู้ที่แท้จริงของเธอ ที่เธอรับมาจากทิศทางต่างๆ ดูเสมือนจะหาความมั่นคงไม่ได้แม้แต่ทิศทางเดียว แทนที่มันจะเป็นพลังอันเป็นหนึ่งเดียวที่ทำให้เธอเกิดความรู้สึกมั่นคง มันกลับกลายเป็นพลังต่างขั้่วที่เสมือนพุ่งไปในทิศตรงกันข้าม บางครั้งพลังขั้วหนึ่งก็รุนแรงกว่าอีกขั้วหนึ่ง สลับกันไป สุดแท้แต่ว่าความเชื่อของเธอจะคล้อยตามทิศทางใดมากกว่ากัน ทำให้เธอรู้สึกถึงการขาดความสมดุลย์ ซึ่งเป็นไปในอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเธอ

    ข้อมูลความรู้อันเป็นธรรมชาติความเป็นจริงล้วนมาจากต้นกำเนิดเดียวกันทั้งสิ้น และเป็นพลังที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หรือเรียกอีกนัยหนึ่งได้ว่า-ครอบคลุมทุกทิศทาง พลังของมันแผ่ขยายออกไปเสมอเหมือนกันหมดทุกทิศทาง มันจึงเป็นความสมดุลย์ ความมั่นคง ที่ไม่อาจถูกลบล้างหรือทำให้สั่นคลอนได้ มันเป็นพลังที่เต็มไปด้วยความรัก ความสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างเป็นระบบ

    ความเชื่อในทางที่ผิดมักเป็นอุปสรรคที่มาขวางกั้นการเรียนรู้เสมอ

    ก้าวต่อไปสำหรับการพัฒนาจิตวิญญาณด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้
    คือการเตือนใจตนเองเสมอว่า สิ่งทั้งหลายที่เธอเชื่อ อาจจะไม่ใช่ความเป็นจริงเสมอไป
    แม้เธอจะเชื่ออย่างหมดใจก็ตาม มันจะทำให้เธอเรียนรู้ที่จะปลดความเชื่อทั้งหลายที่สรัางขีดจำกัดใหักับชีวิตของเธอทิ้งไป

    ชื่อเป็นเพียงสัญญลักษณ์และเป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญสำหรับฉันเลย แต่เมื่อพวกเธอใช้ชื่อเพื่อบ่งบอกถึงบุคิลกภาพจำเพาะ ฉันก็จะใช้ชื่อว่า โนวา อนาลัย ซึ่งหมายถึง เส้นทางใหม่สู่การเป็นอิสระจากความปรารถนา โนวา อนาลัย บ่งบอกถึงบุคลลิกภาพของฉัน บ่งบอกถึงหมวดความรู้ซึ่งเป็นหนทางสู่การเป็นอิสระจากความปรารถนา

    ---------------------------------------------------------------------
    เมื่อพี่นักเขียนรับเอาบุคลิกภาพของท่านอาจารย์อนาลัยมาแปลงเป็นคำนาม หากแปลงตามความฝันที่จดบันทึกไว้ ท่านก็อาจจะมีชื่อว่า Freedom From Desire หรือ Free Will หรือ Free Spirit หรือ นวอนาลัย ฯลฯ สุดแท้แต่จะเรียกตามความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการที่สัมผัสได้กับองค์ความรู้นั้นๆ และคำนามทั้งหลายก็เป็นไปเพื่อการสื่อความหมายเท่านั้น

    ชื่อของพวกเราที่ใช้เป็น username ก็ล้วนแต่ไม่ใช่ชื่อจริงของเราเลย แต่ถึงกระนั้นเมื่อเรารู้จักกัน การสื่อสารก็เกิดเพียงเพื่อใช้เป็นจุดอ้างอิงว่าข้อมูลความรู้ที่นำมา post นั้นมาจากทิศทางใด ไม่ใช่มาจากของใคร
    แม้
    ข้อมูลความรู้ที่มาจาก username ว่า Mead ก็เป็นข้อมูลความรู้ที่มาจากทิศทางที่คุณ Mead รวบรวมมาจากหลายแหล่งข้อมูลด้วยกัน
    ข้อมูลความรู้ที่มาจาก username ว่า ชมภูเขา ก็เป็นข้อมูลความรู้ที่มาจากทิศทางที่คุณ ชมภูเขา รวบรวมมาจากหลายแหล่งข้อมูลด้วยกัน
    ข้อมูลความรู้ที่มาจาก username ว่า ขจรวรรณ ก็เป็นข้อมูลความรู้ที่มาจากทิศทางที่คุณ ขจรวรรณ รวบรวมมาจากหลายแหล่งข้อมูลด้วยกัน
    ข้อมูลความรู้ที่มาจาก username ว่า zipper ก็เป็นข้อมูลความรู้ที่มาจากทิศทางที่คุณ zip รวบรวมมาจากหลายแหล่งข้อมูลด้วยกัน
    เบื้องหลังของข้อมูลความรู้ทั้งหมดภายใต้ username เหล่านี้ หากจะเอ่ยถึงชื่อจริงของแต่ละคน ก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นจริงที่ว่า ข้อมูลความรู้ทั้งหมดปราศจากเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย ชื่อจริง หรือ username ล้วนปราศจากความหมายต่อข้อมูลความรู้ ไม่ต่างไปจากกัน

    แต่อย่างไรก็ตามการสื่อสารทั้งหมด หรือการถ่ายทอดข้อมูลความรู้ทั้งหมดก็เกิดขึ้นจากใจถึงใจ หรือจากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณ ไม่ใช่จากชื่อถึงชื่อ ชื่อจึงปราศจากความหมาย ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงยามตื่น ยามฝัน ในโลกทางกายภาพและโลกแห่งจิตวิญญาณ

    หากเราพิจารณาธรรมชาติความเป็นจริงของข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในหนังสือทุกเล่มในโลก ความเป็นเจ้าของ ของนักเขียน ก็ไม่ใช่การเป็นเจ้าของข้อมูลความรู้ เพราะข้อมูลความรู้ทั้งหมดมาจากหลายสาย หลายแขนง เห็นได้จาก Bibliography หรืออ้างอิงท้ายเล่ม ซึ่งอาจอ้างอิงหนังสืออื่นๆอีกหลายสิบหรือหลายร้อยเล่ม และความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริงก็น่าจะอยู่เพียงแค่การจัดหมวดหมู่ข้อมูลความรู้ การใช้สำนวนเพื่อถ่ายทอดข้อมูลความรู้ และการรวบรวมข้อมูลความรู้เหล่านั้นมากกว่า แต่เราก็มักจะมองข้ามความเป็นจริงเหล่านี้ไปบ่อยๆ

    เมื่อพี่นักเขียนกล่าวว่าตนเองไม่ใช่เจ้าของข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในหนังสือชุดนี้
    คนจำนวนไม่น้อยก็มองข้ามธรรมชาติความเป็นจริงข้อเดียวกันกับที่มองข้ามหนังสือเล่มอื่นๆไป
    และเมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้หนังสือชุดนี้ไม่มี Bibliography หรืออ้างอิงท้ายเล่มเป็นรายชื่อหนังสืออื่นๆอีก แต่กลับเป็น abstract หรือข้อความย่อจากหนังสือ 10 เล่ม ก็ทำให้ผู้ที่มองข้ามความเป็นจริงของการถ่ายทอดข้อมูลความรู้ เข้าใจไปในทิศทางต่างๆนานาไปอีก เช่นว่า เมื่อไม่ใช่หนังสือแปล เมื่อไม่ใช่หนังสือที่พี่นักเขียนเป็นเจ้าของข้อมูลความรู้ เมื่อไม่มีอ้างอิงหนังสืออื่นๆ นอกจากมีที่มาคือชื่อ โนวา อนาลัย พี่นักเขียนก็คงเป็นเสมือนหุ่นยนต์ที่รับข้อมูลความรู้มาโดยไม่รู้ว่า ข้อมูลความรู้เหล่านี้มาจากไหน

    ผู้ที่ยังไม่เข้าใจในคำว่าองค์ความรู้ มักยึดติดกับการเป็นบุคคลตัวตน ยึดติดกับคำว่าผู้รู้ซึ่งเป็นบุคคล
    หากตระหนักได้ว่าองค์ความรู้คืออะไร ชื่อทัั้งหมดจากปราศจากความหมาย

    องค์ความรู้ไม่ได้มาจากใคร แต่มาจากต้นกำเนิดที่เต็มไปด้วยความรัก อารมณ์รักอันปราศจากเงื่อนไข-จินตนาการอันสร้างสรรค์เป็นอนันต์ และความรู้สึกนึกคิดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างหาที่เปรียบมิได้ (rose)
    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    ยกข้อความมาได้เยี่ยมยอดทีเดียวเชียวฮะ คุณหงบ *0*

    เข้าใจเปรียบนะ คุณมีด กระดานโกะ อืม เข้าท่าฮะ

    แหม ตอนนี้ผมอนุมานเอาเลยว่า เราอวตารมาจากดาวที่แต่ละคนชอบนะเนี่ยะ อิอิ


     
  5. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
  6. ingshie

    ingshie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +531
    แถวบ้านอิงชี่ ฟ้าไม่เปิดเลย

    แต่ก็พอเห็นดาว

    มีครั้งหนึ่งเคยเห็นทางช้างเผือก ใครเคยเห็นมั่งคะ?

    สวยน้าา
     
  7. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ทางช้างเผือก ไม่เคยเห็น..อ่า เคยแต่จินตนาการเอา..อ่า
    แล้ว ทำไมเค้าไม่เรียกกันว่า ทางน้ำนม หว่า...น่ารักดีออก

    แต่ คงสวยน่าดูเลยนิ อิงชี่ นิ...
    ดีจริงๆ เป็นคนที่จินตนาการเก่งๆ ก็ดีเงี้ย...:VO

    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #cccccc 1px solid; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: #cccccc 1px solid; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 11px; PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-LEFT: #cccccc 1px solid; COLOR: #000; PADDING-TOP: 0px; BORDER-BOTTOM: #cccccc 1px solid; FONT-FAMILY: Arial, Helvetica, sans-serif; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle><EMBED pluginspage=http://www.macromedia.com/go/getflashplayer src=http://www.esnips.com//escentral/images/widgets/flash/drums.swf width=172 height=168 type=application/x-shockwave-flash flashvars="autoPlay=no&theFile=http://www.esnips.com//nsdoc/6b0561e5-d980-4572-9e28-fac942aefcbf&theName=เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ - Scrubb&thePlayerURL=http://www.esnips.com//escentral/images/widgets/flash/mp3WidgetPlayer.swf" bgcolor="#FFFFFF" quality="high"></EMBED></TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 11px" vAlign=bottom align=middle>เธอหมุนรอบฉัน ฉันห...</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดาวแต่ละดวงต่างก็ทอประกายและแวววับระยิบระยับ
    ดาวแต่ละดวงต่างก็ดึงดูดและโคจรวนเวียนกันไปมา
    ดาวแต่ละดวงต่างก็มีเอกลักษณ์ที่ชักนำดาวแบบเดียวกันเข้ามา
    ไม่ว่าระยะห่างจะไกลแสนไกล หรือใกล้แค่ไหน
    ดาวแต่ละดวงก็อยู่ในจักรวาลเดียวกัน
    และ..อยู่บ้านเดียวกัน
     
  8. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    เกมโกะ ไม่รู้จัก รู้จักแต่หมากฮ๊อต กะ หมากหนีบ
    แต่เล่นที่ไร แพ้ยับเยิน วางเกมส์ม่ะเป็น
    แข่งเกมส์อะไรกับใคร แพ้ราบเรียบ อิอิ

    ยิ่งเกมส์คอมพิวเตอร์ ไม่เคยอยู่ในสายตาเลย
    ยิ่งพวกแข่งความเร็ว
    อิชั้นจะเงอะงะ เฟอะฟะมากๆ เคยสมัครเล่น ปังย่า
    ไม่เน้น Hold in one ค่ะ เน้นแต่งตัว
    แต่บางStep ถ้าไม่ได้ระดับขั้น มันก็เลือกซื้อของมาแต่งไม่ได้
    ก็ให้น้องเล่นให้ ....อิอิอิ

    ตอนนี้ไม่ได้เล่นนานแระ สงสัยตัวดำเป็นเมี่ยงไปแระ

    แบบว่า ไม่เน้น แพ้ชนะ และระดับชั้น เน้นฉวย 5555

    หวยก็ไม่เคยถูก เฮ้อ!!! unlucky in game ของแท้และแน่นอน
     
  9. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    555 ตามมาซ้ำเติมแบบหมั่นใส้

    ถ้าเราพูดว่า unlucky in game เรามักต่อท้ายว่า but lucky in love ชิมิ
    เคยเล่นเกม กระดานแข่งหนูของ robert kiyosaki ไหมคะ อันนั้นมันได้ข้อคิดทุกตาที่เดินเลย

    พยายามดูท้องฟ้าอย่างที่คุณเดรคบอก ไม่เห็นเลย ฟ้าไม่เปิด อย่างว่าแต่เมฆเลย สีฟ้าของฟ้ายังไม่เห็นเลย มันถูกคลุมราวใครเอาผ้าขาวอมเทามาครอบโลกทั้งใบของข้าเจ้า
     
  10. ingshie

    ingshie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +531
    เกมโกะ หมากรุก ฯลฯ

    มั่วๆ ไป เดี๋ยวก็ ชนะเอง ๕๕๕

    Ps. ไม่รับประกัน :p เหอๆ~~~ :)
     
  11. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    โอ้ววว มีคนเหมือนเราแล้ว มั่วๆไปเดี๋ยวก็ชนะเอง

    เหมือนกันเลยค่ะ 5555 ไม่รับประกันเหมือนกัน

    แพ้มั่ง ชนะมั่ง มีรสมีชาติดีค่ะ ว่ามิ *0*
     
  12. imjoice

    imjoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +125
    สวัสดีค่ะ จอยขอถามคำถามผู้รู้ หรือ พี่นักเขียน หน่อยนะคะว่า ทำไมจอยอ่านหนังสือที่พี่นักเขียนๆ แล้วทำไมถึงไม่ค่อยเข้าใจในครั้งเดียว ต้องอ่านประโยคนั้นๆซ้ำๆ กัน เลยทำให้กว่าจะอ่านเสร็จ ก้อต้องใช้เวลานาน (มากเลย) กว่าจะอ่านจบ จอยรบกวนขอเทคนิคทำงัยให้อ่านแล้วเข้าใจได้เลย โดยไม่ต้องอ่านซ้ำๆ แต่ยังงัย จอยขอสู้ตายค่ะ เหมือนจิตวิญญาณเรา เค้าต้องการคำตอบในหลายๆเรื่อง พอดีวันนี้มีโอกาสได้เข้ากระทู้ ก้อเลยรบกวนถามหน่อยนะคะ
     
  13. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    สวัสดีค่ะ คุณจอย

    สิ่งสำคัญ คุณจอยก็มีแล้วคือ "จอยขอสู้ตายค่ะ"

    ขอให้ ใจเย็นๆ อ่านหลายรอบได้ ยิ่งดีค่ะ

    แล้วจะพบว่า ในแต่ละรอบที่อ่านนั้น ระดับความเข้าใจของเราเปลี่ยนแปลงไป

    ภาพความเข้าใจของเรา จะค่อยๆขยายขึ้นๆ

    อย่ารีบร้อนนะคะ และเป็นความอิสระของเราทั้งหมดที่จะโต้แย้งหรือเห็นด้วย

    เพราะนั่นจะทำให้เรามองได้ รอบ กว้าง ใหญ่ ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความผิดใดๆที่จะโต้แย้งเลยค่ะ

    แนะนำให้อ่านหลายๆรอบค่ะ จริงๆนะ และใช้การพิจารณาจากภายในของเราเอง ดีที่สุดค่ะ *0*

    สู้ๆ เราจะเดินไปด้วยกานนนนน
     
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เป็นเหมือนกันครับคุณจอย ใหม่ๆต้องอ่านทวนอยู่หลายรอบเหมือนกัน
    บางท่านกว่าจะอ่านจบถึง 10 เดือนก็มีครับ อิอิ

    ถ้าคุณจอยใจสู้แบบนี้ก็ตะลุยอ่านไปเรื่อยๆนะครับ ข้อมูลจะซึมซับเข้าไปโดยอัตโนมัติ
    ขณะที่ข้อมูลชุดใหม่ถูกเติมเต็มเข้าไปในช่องว่างของความเชื่อเดิม อาจรู้สึกตึงๆหน้าผากเล็กน้อย เพราะมีประจุไฟฟ้าบวกเข้าไปปรับเซลล์สมองให้เราทีละน้อยจนกว่าการสั่นสะเทือนนั้นจะเข้าคู่กัน ในที่สุดแล้วจะเปิดรับข้อมูลได้ดีขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอนครับ

    อ่านแต่ละครั้งระดับความเข้าใจจะเปลื่ยนไปเหมือนที่คุณหมวยพูดไว้จริงๆ
    เอาใจช่วยด้วยนะครับ
     
  15. imjoice

    imjoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +125
    โอย....ดีใจจิงๆ ที่ไม่ได้เป็นคนเดียว ฮิฮิ....จอยขอขอบคุณ คุณ lady of light และ คุณ mead มากๆเลยค่ะ ที่ใ้ห้คำแนะนำ แถมทำให้ใจชื้นอีกต่างหาก ว่า บางคนกว่าจะอ่านจบใช้เวลาตั้ง 10 เดือนแหนะ แต่มันก้อจิงนะ มันยากกส์ส์ส์.....เท่าที่สังเกตุบางที พอข้อมูลเข้าสมอง สมองก้อเข้าใจได้ไหลลื่น (บางทีเท่านั้นนะคะ) ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก้อจะอ่านได้เร็วขึ้น สู้ๆ
     
  16. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    มีเพื่อนแล้วล่ะ อ่านเล่ม 1 เป็นรอบที่ 4 แล้ว
    อ่านแล้วต้องหยุดคิดตามไปด้วย อ่านให้เข้าใจมันใช่เวลา
    ไม่ใช่อ่านให้จบหนะ
    :)
     
  17. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    แวะมาทำความเคารพ อาจารย์ และขออนุญาติเพื่อไปทำงานต่อที่ได้รับมอบหมายมา

    JINWADEE
     
  18. imjoice

    imjoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +125
    ขอถามคำถามเกี่ยวกับความฝันหน่อยนะคะ เมื่อคืนฝันว่า ตัวเองสวดมนต์อยู่ แล้วในฝันเราก้อสวดได้ไปเรื่อยๆ แต่พอมีสติรู้ตัวว่าตัวเองกะลังสวดอยู่ กลับสวดต่อไม่ได้แล้วซะงั้น คือบทสวดนี้ ในความเป็นจริงแล้ว เราจำบทสวดมนต์นี้ไม่ได้เลย แต่ในฝันนั้น เราดันท่องไ้ด้ งงค่ะ ช่วยเฉลยให้หน่อยนะคะ
     
  19. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ขอแสดงความเห็น ในแบบฉบับตนเองนะคะ

    ยามตื่น...เรารับรู้ได้เพียงภายใต้การควบคุมของประสาทสัมผัส ทั้ง5
    การรับรู้ข้อมูลความรู้ จึงจำกัด อยู่ ณ ตัวตนเดียว โลกเดียว

    แต่ยามฝัน...เป็นภาวะของโลกหลากมิติ จิตวิญญาณออกท่องเที่ยว
    โดยปราศจาก ช่องว่าง(ระยะทางจากที่นี่ ไปที่นู่น)
    เวลา(ไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่เป็นเวลาที่อยู่ในทรงกลม...พื้นที่ทั้งหมดในทรงกลม คือจุดเวลา)
    จิตวิญญาณ จึงมีความสามารถรับรู้ได้ นอกเหนือจากประสาทสัมผัสทั้ง5
    และสามารถรับข้อมูลความรู้ ได้ในทุกมิติ

    การสวดมนต์ที่คุณจอย ว่ามา ว่า ปกติสวดไม่ได้ แต่ตอนนั้นกลับสวดได้
    เพราะเหตุผลนี้

    ที่นี้ พอคุณจอย ระลึกได้ตรงนี้ รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่
    ความคิดของคุณจอยกลับกลายเป็นความคิดยามตื่น ที่รับรู้ได้จำกัด
    เนื่องจากตัวตนยามตื่น ท่องบทสวดนี้ไม่ได้
    จึงทำให้คุณจอยคิดว่า..ไม่สามารถสวดต่อได้
    จากข้อมูลความคิดที่มีอยู่เดิม ความทรงจำเดิมของยามตื่น

    พี่นักเขียนจึงพยายามสอน ให้เราพกพาสติสัมปชัญญะ เข้าไปในฝัน
    ก็เพราะเหตุนี้ เพื่อให้เรารู้ตัวว่ากำลังฝัน แล้วปล่อยจินตนาการไป
    โดยไม่ไปจำกัด ความสามารถของจิตวิญญาณไว้
    คือทำตัวเป็นแค่ผู้สังเกตุการณ์เท่านั้นเป้นภาวะที่เรียกว่า กายหลับ-จิตตื่น

    เดรดอธิบาย อาจทำให้งง หนักขึ้น ลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ
    แล้วลองดูว่า มีความคิดเห็นอย่างไร มาแชร์กันนะคะ

    ปล.มีแถม เรื่องการอัดจิตวิญญาณลงในวัตถุธาตุด้วย...ยังจำกันได้ไหมเอ่ย?







    <TABLE class=tborder id=post655953 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->nova_analai<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_655953", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2007
    สถานที่: Lawrence, Kansas, USA
    ข้อความ: 809
    Groans: 0
    Groaned at 1 Time in 1 Post
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,883
    ได้รับอนุโมทนา 11,234 ครั้ง ใน 788 โพส
    พลังการให้คะแนน: 796 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]






    </TD><TD class=alt1 id=td_post_655953 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->ขั้นตอนการทำสมาธิ
    การกระทำทางจิตจะเป็นไปได้ดังปรารถนาก็ต่อเมื่อมีสติสัมปชัญญะที่คมชัด เราจะใช้การฝึีกสมาธิเป็นพื้นฐานที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ในบทฝึกฝนบทนี้และบทต่อๆไป ดังนั้นขอแนะนำให้พวกเรานั่งสมาธิเป็นนิสัย อย่างน้อย-ก่อนนอนทุกคืน ผู้ที่ยังไม่เคยนั่งมาก่อนให้เริ่มจากนั่งวันละ 10-15 นาทีก่อนอย่าฝืนหากนั่งแล้วง่วงหรือเมื่อยหรืออึดอัด ให้สำรวจท่านั่งว่าสบาย-แต่อย่าสบายเกินเช่นพิงศีรษะกับผนัง จะทำให้หลับง่าย แลัวค่อยๆเพิ่มเวลาจนนั่งได้ 30 นาที ไม่หลับ เป้าหมายที่เราต้องการจากการทำสมาธิคือ การฝึกให้กายหลับ-แต่จิตตื่น เพราะเมื่อร่างกายเราหลับ-ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะปิดสวิทช์โดยธรรมชาติ และประสาทสัมผัสที่หกจะเข้ามาทำหน้าที่แทน

    ควรนั่งสมาธิอย่างน้อย 30 นาที โดยน้อมประสาทสัมผัสทั้งห้าเข้าสู่ภายใน ตามวิธีการดังนี้ คือ:
    1. ตา - น้อมประสาทตาเข้าสู่ภายใน-กำหนดจุดวางจิตไว้ ณ ตาที่สาม คือหว่างคิ้้ว
    2. หู - น้อมประสาทหูเข้าสู่ภายในด้วยการฟังเสียงบริกรรมของตนเองในใจ หายใจเข้า-บริกรรมว่า พุท หายใจออก-บริกรรมว่า โธ หรือ หายใจเข้า-บริกรรมว่า หนึ่ง หายใจออก-บริกรรมว่า สอง ก็ได้
    3. จมูก - จับลมหายใจ เข้า-ออก
    4. ล้ิน - ให้กระดกปลายลิ้นเล็กน้อย แตะไว้ด้านในระหว่างแนวเหงือกกับฟันแถบบน ลักษณะการกระดกลิ้นเช่นนี้จะทำให้ต่อมน้ำลายสองข้างลิ้นปิด ทำให้นั่งได้นานโดยไม่ต้องกลืนน้ำลาย แต่ก็ต้องฝึกฝนจนคุ้นเคยก่อน ซึ่งทำได้ไม่ยาก พอทำจนเป็นนิสัยแล้วจะพบว่าได้ผล
    5. กาย - นั่งในท่าที่สบาย ผ่อนคลาย จะนั่งขัดสมาธิหรือนั่งเก้าอี้ตามปกติก็ได้ หลังพิงได้ ศีรษะอย่าพิง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย คนที่มีปัญหาปวดหลัง ให้จินตนาการว่า กระดูกสันหลังของเราเปรียบเสมือนเหรียญบาทจำนวนมากวางซ้อนกัน มันอาจจะวางเยื้องออกไปนอกแถวบ้าง ตรงบ้าง ทำให้ปวดหลัง ดังนั้นให้จินตนาการว่าเราปรับสภาพเหรียญตั้งนี้จนตรงกันหมด ซ้อนกันเรียบร้อยที่สุดด้วยการสั่นสะเทือนจนมันเข้าที่

    6. จิต - เมื่อน้อมประสาทสัมผัสทั้งห้าเข้าภายในแล้ว ให้กลับไปจดจ่อที่จุดวางจิต บริกรรมต่อไปเสมือนว่า เราหายใจผ่านจุดวางจิต ไม่ว่าจิตจะเตลิดไปไหน เสมือนลิงกระโดดไปเกาะต้นไม้กิ่งอื่น ให้นำมันกลับมาที่ิกิ่งเดิม หรือจุดวางจิตจุดเดิมคือตาที่สาม เมื่อนั่งได้ประมาณ 30 นาทีแล้ว ... อย่าคิดวิตก วิจารณ์ว่า นั่งไม่ได้ดี คงทำไม่ได้ ให้พอใจกับความพยายามที่ได้ทำไปแล้ว

    เมื่อกล่าวว่า กายหลับ หมายถึงว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วเราจะพบว่าร่างกายเราอยู่ในสภาวะเหมือนการหลับ คือไม่รู้ว่าแขนขาอยู่ตรงไหน ทั้งที่มีสติสัมปชัญญะอยู่พร้อมก็ไม่รู้สึกว่าแขนขาอยู่ในท่านั้นๆ เสมือนหาแขนขาไม่พบ

    เมื่อกล่าวว่า จิตตื่น หมายถึงภาวะที่สติสัมปชัญญะเรายังคงอยู่ไม่ต่างไปจากภาวะยามตื่นจริงๆ บางคนตกเข้าภวังค์นี้ ได้ยินเสียงตัวเองกรน แต่ไม่รู้ว่าใครกรน หรือได้ยินเสียงตัวเองหายใจ ไม่รู้ว่าใครหายใจ บางคนรู้ตัวว่ากำลังคิด แต่เสมือนไปคิดอยู่นอกร่างกาย

    ให้ประคองจิตและสติสัมปชัญญะให้คมชัด จนรู้ได้ว่า เรากรน เราหายใจ เราคิด ร่างกายเราหลับแล้ว เรารู้ตัวอยู่เพราะจิตเราตื่นอยู่ หยุดกรนได้ แต่ปล่อยลมหายใจไปตามธรรมชาติ บางคนที่ไม่คุ้นกับภาวะนี้อาจตกใจ ทำให้หายใจไม่เป็นส่ำขึ้นมาเพราะเกรงว่าจะหยุดหายใจ หรือรู้สึกเสมือนว่าหายใจไม่ออก เพราะหาตัวตนที่เคยหายใจไม่พบ หากรู้ล่วงหน้าว่าจะพบกับภาวะนี้ เตรียมใจว่าจะพบ พอพบแล้วประคองสติสัมปชัญญะให้ตระหนักว่า เรากำลังทำในสิ่งที่เป็นเพียงธรรมชาติ ให้เชื่อถือในธรรมชาติ จะรู้สึกเสมือนว่าลมหายใจหาย ตัวจะเบาเหมือนเมฆ ใหญ่เหมือนภูเขา นุ่มเหมือนฟองน้ำ หรือ โปร่งใส ฯลฯ และรู้สึกเสมือนว่าหายใจได้ทุกทิศทาง หรือหายใจได้ด้วยผิวหนัง ให้จดจ่อกับภาวะนี้จนรู้สึกคุ้นเคย (บางคนบอกว่ารู้สึกเสมือนว่า หายใจด้วยสะดือ บางคนก็บอกว่าหายใจได้ด้วยตาที่สาม)

    แต่เราจะหยุดคิดไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติของจิต พี่นักเขียนได้ยินมาบ่อยๆว่า "นั่งให้จิตว่าง" แต่บอกตามตรงว่าไม่เคยตกในภาวะที่ว่าว่างเปล่า-ไม่มีความคิด เพราะอย่างไรก็มีความรู้สึกนึกคิดผุดขึ้นมาเสมอ แต่การจะเผชิญกับความว่างเปล่านั้น เป็นความว่างเปล่าของสภาวะแวดล้อมภายใน ที่กว้างใหญ่ไพศาล แม้อยู่ในสภาวะดังกล่าว ก็ยังคงมีอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลา แต่มันแตกต่างไปจากปกติคือ เป็นความคิดหรืออารมณ์พอใจในความว่างเปล่าอันสงบสุข ไม่ได้คิดเกี่ยวกับภาวะอื่นๆ เช่น ธุระหน้าที่การงาน หากติดใจกับภาวะและความรู้สึกนี้ อาจนั่งอยู่ในภาวะนี้ได้ 8-9 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะว่าดีก็ดีตรงที่สบาย เพราะหากเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วตกอยู่ในภาวะนี้ ถอนออกมา อาการบางอย่างอาจหายไปได้หมด เช่น ปวดหลัง ปวดไซนัส ไมเกรน

    วันหลังเมื่อพี่นักเขียนนำเสนอเรื่องประสาทสัมผัสที่หก หรือประสาทสัมผัสภายใน
    จะแนะนำต่อเรื่องการก้าวไปสู่ "เวลาแห่งจิต" ซึ่งท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึง เป็นภาวะที่ีคล้ายกับภาวะที่ว่าเวลาหายไป 8-9 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว

    แต่ถ้าหากจะนำจิตวิญญาณไปทำงาน จะปล่อยให้อยู่ในภาวะนี้ไม่ได้ ต้องติดตามด้วยสติสัมปชัญญะให้รู้ว่า ร่างกาย อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นไปอย่างไร จะหยุดพิจารณาก็หยุดได้ ไม่ล่องลอยไปไหน และไม่พอใจอยู่ ณ จุดนั้นๆโดยไม่รับรู้หรือเรียนรู้อะไร เพราะถ้าปล่อยให้ติดกับความพอใจนี้จนเป็นนิสัย จะเบื่อทุกสิ่งทุกอย่างนอกเบาะสมาธิ

    ในทางตรงกันข้าม หากเราฝึกประสาทสัมผัสภายในที่เรียกว่า การใช้เวลาแห่งจิต เราใช้เวลาในทางกลับกันคือ ใช้เวลา 5-10 นาทีหลับอิ่มเหมือนได้นอน 2 ชั่วโมง เป็นต้น

    เมื่อสติสัมปชัญญะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะดังกล่าวนี้ เป็นภาวะที่เราสามารถตั้งคำถาม ตั้ง Key word ได้และกำหนดขอบเขตของข้อมูลที่ต้องการได้ ข้อมูลความรู้จะวิ่งมาหาเรา เราไม่ต้อง search หากเราหยุดนิ่ง เมื่อข้อมูลวิ่งมาหาเรา เราจึงจะเห็นมัน ในบางกรณีหากเรากำหนดว่าจะค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่จำเพาะเจาะจง เราก็อาจปล่อยให้สติสัมปชัญญะพุ่งไปหาสิ่งนั้นได้ตรงๆ และรู้เห็นได้ แต่ถ้าเป็นการขอรู้ ขอ download ในสิ่งที่เราเจาะจงไม่ได้แน่นอน เช่นขอรู้เกี่ยวกับสภาวะความเป็นจริงของจิตวิญญาณของเรา เราไม่มีความรู้พอที่จะเจาะจงได้ เราจำเป็นต้องหยุดนิ่งเพื่อให้เห็นว่าอะไรวิ่งเข้ามาหาเรา

    การฝึกสมาธิเป็นพื้นฐานของการเปลี่่่่่่่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ หากทำได้ทุกวันจนเป็นนิสัย ก็รู้ได้ เห็นได้ ไม่มากก็น้อย และพิสูจน์ได้ด้วยการทดลองต่างๆที่พี่นักเขีียนจะนำมาเสนอแนะให้พวกเราได้ลองกัน ต้องใจเย็นๆนะคะ เพราะมันเป็นได้ด้วยการฝึกฝน - แต่ทุกคนทำได้

    - - - - - - - - - - -

    การอัดจิตวิญญาณลงในวัตถุธาตุ
    การทดลองฝึกฝนนี้ต้องมีอย่างน้อย 2 คน และทำการ-ด้วยวิธีการเดียวกันหมดทุกคน
    ให้แต่ละคนนำเอาวัตถุที่มีขนาดเล็กพอวางในฝ่ามือได้มาหนึ่งชิ้น เช่น แหวน หินก้อนเล็ก เหรียญ ฯลฯ สัมผัสวัตถุนั้นให้คุ้นเคยจนสามารถนึกคิดให้เห็นได้เมื่อหลับตา

    1. วางวัตถุชิ้นนั้นลงบนฝ่ามือซ้าย คุ้มมือเล็กน้อยเหมือนเวลาวักน้ำด้วยฝ่ามือแล้วประคองไว้ในอุ้งมือ

    2. นำมือขวามาป้องข้างบน ห่างจากวัตถุและมือซ้ายประมาณ? 4 นิ้ว

    3. ให้เอาจิตจดจ่อก้บวัตถุชิ้นนั้น หลับตาลงแล้วคิดถึงสาระสั้นๆหนึ่งสาระ อย่ายาวมาก เช่น คิดถึงพระอาทิตย์ ดาวดาว ต้นไม้ รถยนต์ หรือคิดถึงสถานการณ์สั้นๆ เช่น ภาพตนเองเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า คิดถึงนักดนตรีคนโปรดกำลังร้องเพลง คิดถึงการกลับมาจากการท่องเที่ยว-เข้าบ้าน-ทำอะไรเป็นสิ่งแรก ฯลฯ จดจ่อสักครู่จะรู้สึกถึงอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แม้จะน้อยนิด ก็ใช้ได้

    4. จากนั้นให้นำเอาวัตถุไปแลกกัน

    5. นำเอาวัตถุของเพื่อนที่เราจะอ่านมาวางลงในฝ่ามือลักษณะเดียวกันกับเมื่อตอนที่อัดจิตวิญญาณลงไปในข้อ 1 ไม่ต้องมองดูหรือพิจารณามัน เพียงแต่ให้สัมผัสมันโดยไม่ต้องนึกคิด ไม่ต้องวินิจฉัย เพราะจะทำให้วิตกวิจารณ์ แต่เอาจุดวางจิตไปวางไว้ที่วัตถุนั้นเสมือนกับว่าเวลาทำสมาธิ

    6. เอามือขวาป้องไว้ข้างบน แล้วหลับตาลงด้วยความผ่อนคลาย
    ภาพ เสียง หรือเหตุการณ์ใดที่แว้บขึ้นมาเป้่นสิ่งแรก ให้จับภาพหรือเสียงนั้นเพียงชั่วเสี้ยววินาที เห็นอะไรก็ีรับทันที โดยไม่ต้องคิดต่อ แล้วลืมตาช้าๆ

    จากนั้นให้บอกกับเจ้าของวัตถุว่าเราเห็นหรือได้ยินอะไรอย่าพยายามคิดต่อ ว่ากันซื่อๆตรงๆที่สุดเท่าที่รู้เห็น

    ตามปกติแล้ว พี่นักเขียนจะทำการทดลองนี้กับนักเรียนที่มาเรียนสมาธิได้เพียง 1 สัปดาห์ บางคนไม่ยอมฝึกสมาธิก็ทำได้ เพราะมีสมาธิตามธรรมชาติดี แต่คนที่ไม่ยอมฝึกแล้วทำไม่ได้ มักเสียกำลังใจ ทำให้คิดว่าจะทำไม่ได้เหมือนคนอื่นๆอยู่ร่ำไป แล้วก็ทำไม่ได้จริงๆ แต่คนที่ฝึกสมาธิ-ทำได้ทุกคน

    หากยังทำไม่ได้ให้ฝึกสมาธิต่อไป อยากทดลองเมื่อไรก็ทดลองได้ ไม่ต้องกลัวว่าประสาทสัมผัสที่หกของเราใช้การไม่ได้ เพราะเราทุกคนมีประสาทสัมผัสที่หก และมันทำงานอยู่เสมอ เราเพียงแต่กำลังฝึกฝนที่จะรู้เห็นว่ามันทำงาน ไม่ใช่ว่าหัดให้มันทำงาน

    ไม่ว่าจะทำได้ หรือ ทำไม่ได้ในคราวแรก หากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะทำได้แล้วจะทำให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ประสาทสัมผัสภายในอื่นๆได้อีก อย่าท้อนะคะ เรามีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ใช้งาน ขยันเอามาใช้กัน ช่วยกันเอาใจกัน

    เวลาพี่นักเขียนสนับสนุนว่าคุณทำได้ อย่าคิดว่าฟลุ๊ค เพราะจะทำให้ขาดความมั่นใจว่าจะทำซ้ำอีกไม่ได้

    เวลาพี่นักเขียนถามอะไรใครขึ้นมาคุณๆยังสัมผัสกับ "ความหมาย"ของมัน และบอกกับพี่ว่ามันมีความหมาย มันทำให้พี่รู้ว่าเราจะก้าวหน้าได้ เพราะสิ่งที่เรารู้เห็นไม่ได้ไร้สาระ ดังนั้นต้องศรัทธาในความหมายของสิ่งที่เราทำได้ จิตวิญญาณของเราจึงจะพัฒนาได้อย่างก้าวหน้า

    ขยันฝึกสมาธิกันนะคะ ยังมีอีกมากที่อยากจะแชร์ (rose)<!-- google_ad_section_end -->





    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]





    </FIELDSET>
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->เชิญอ่านeBooks www.novaanalai.com
    เชิญ Download eBooks1. โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ 2. ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ
    3. จิตวิญญาณประสานกาย 4.ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ5. อิสระแห่งความปรารถนา
    6. ชีวิตนอกเหนือชาติภพ7. อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคต้น 8. อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคปลาย
    9. โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-ภาคต้น 10. โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-ภาคปลาย
    Download Free Audiobook <!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย nova_analai : 17-08-2007 เมื่อ 09:14 AM





    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ทุกวันนี้ อาจจบหมดแล้ว ก็ยังเข้าใจไม่หมด
    อ่านแล้วอ่านอีก รอบที่เท่าไหร่แล้ว ไม่เคยจำแล้วจ้า

    พี่นักเขียนเคยแนะนำว่า
    ให้อ่านไปก่อน อ่านให้จบ อ่านให้หมด เข้าใจหรือไม่ ไม่ต้องเครียด
    เพราะหากอ่านไปคิดไป การตีความจะยิ่งทำให้เราสับสน
    เพราะ ภาษาและความรู้ในหนังสือชุดนี้ เหนือประสบการณ์ที่เรามี
    หากเราพยายามตีความ มันก็มาจากความรู้เดิมๆที่มีอยู่แล้ว
    มันย่อมตีกันแน่นอน เพราะความเชื่อ ดีไม่ดี พาลอ่านไม่จบ เพราะไม่อยากเชื่อ

    อ.อนาลัย ได้บอกไว้ในหนังสือว่า ถ้อยและภาษาในโลกมนุษย์ นั้นจำกัดมาก
    การถ่ายทอดความรู้ของท่าน เป็นการถ่ายทอดจากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณ
    ภาษาและตัวหนังสือ ที่ใช้นั้นไม่สามารถจำกัดคำอธิบายได้ครอบคลุมทั้งหมด
    และเป็นเพียงแค่ช่องทาง และวิธีการเท่านั้น
    หากเมื่อใดที่เกิดความเข้าใจขึ้นมา ก็จะเข้าใจได้เอง โดยไม่ต้องพยายาม
    เพราะข้อมูลความรู้เหล่านี้ เรารู้แล้วทั้งหมด แต่เราลืม

    พี่นักเขียน จึงมีเทคนิค การอ่านหนังสือชุดนี้ ให้ง่ายขึ้น
    โดยการตั้งจิตก่อนอ่าน ขอครูบาอาจารย์และตัวตนที่สูงส่ง
    ขอรับมอบความรู้ทั้งหมดนี้ให้กับเรา(ซึ่งมีอยู่ในจิตวิญญาณอยู่แล้ว)

    อาจทำก่อนอ่านหนังสือ หรือ ก่อนนอนเพื่อให้ข้อมูลผ่านความฝันมา ก็ได้
    บางคน เอาวางไว้หัวเตียง หรือใต้หมอนก็มีนะ

    การตั้งจิตอธิษฐานเป็นการแสดงถึงพลังศรัทธา และสร้างความเชื่อมั่น
    เมื่อเรามีศรัทธา ความเชื่อเราก็จะเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสิ่งที่เราศรัทธา
    การถ่ายทอดสื่อสารก็จะง่ายขึ้น...
    พูดง่ายๆ เมื่อทางสะดวก ทุกอย่างมันก็จะ Flow อย่างเป็นธรรมชาติ เอง อะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...