พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ธรรมเพื่อความหลุดพ้น น้อมลงที่ใจ
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ)
อ. คำชะอี จ. มุกดาหาร ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗

เขาก็คล้าย ๆ กับรถ ทีนี้จะชำรุดทรุดโทรมก็เป็นหน้าที่ผู้ขับรถ จะปฏิบัติ จะฟังหรือไม่ฟัง
ก็ขึ้นอยู่กับธรรมชาติที่ปฏิบัติถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ถึงจะปฏิบัติถูกสักเพียงไหนก็ตาม
ถ้าเหลือวิสัย รถคันนั้นมันก็ต้องปล่อยตามเรื่องผู้ท่องเที่ยวในวัฏสงสาร
ก็คือจิตใจที่หลง ๆ ไหล ๆ หลำ ๆ นั่นเอง บางแห่งก็เรียกว่าวิญญาณ บางคำก็เรียกว่าจิต บางคำก็เรียกว่ามโน ภาษาอื่นเขาเรียกว่า เซลล์ หรืออะไรไม่ทราบเขา ก็มีความหมายอันเดียวกัน
ใจดวงเดียวไม่เกี่ยวกับการส่งส่าย ถ้าใจเป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง ไปในทางถูก
ก็เหมือนกัน ไปในทางผิดก็เหมือนกัน ถ้าไปในทางผิด มันก็ลงเป็นหนึ่งเหมือนกัน
^
^
ท่านพระอาจารย์หลวงปู่หล้า ท่านกล่าวไว้ชัดเจนว่า จิตที่หลงๆ ไหล ๆ หลำ ๆ(จิตสังขาร) นั่นเอง
ที่เรียกว่า วิญญาณบ้าง มโนบ้างฯลฯ หมายถึงจิตที่แส่ส่ายเข้าไปในอารมณ์แล้ว
ส่วนจิตดวงเดียวไม่เกี่ยวกับการส่งส่าย ถ้าใจเป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง ไปในทางถูก
.........................

ในไตรโลกธาตุทั้งหยาบ ทั้งละเอียด ทั้งประณีต ทั้งไกล ทั้งใกล้ ทั้งภายนอก ทั้งภายใน
ทั้งที่มีวิญญาณครองสิง และไม่มีวิญญาณครองสิง ก็เกิดขึ้นแล้วแปรปรวนและแตกสลายอย่างผึ่งผายอยู่
ถ้าหากว่า จิตใจจะมาเหนี่ยวรั้งเอาสิ่งเหล่านี้อยู่ในวงแขนของตน ให้เป็นสมบัติพัสถานโดยจริง ๆ จัง ๆ
เพื่อความสุขแล้วประตูของความเบื่อหน่ายก็ไม่เปิด เพราะเป็นของไม่จีรังยั่งยืน
มันเกิดขึ้นเอง มันแปรปรวนเอง มันแตกสลายเอง แต่หากว่า จิตผู้รู้ก็เป็นแต่สักว่าผู้รู้ จิตก็ดี ลมก็ดี ผู้รู้ก็ดี
มิได้เป็นสงครามกัน แต่ความหลงไปเป็นสงครามกันต่างหาก ความหลงว่าเรา ว่ากู ของกู มึง ของมึง นี่เป็นความหลงสำคัญมาก ของท่าน ของเธอ ของกระผม ของดิฉัน ของพระเดชพระคุณ ก็มีความหมายอันเดียวกัน นอนใจในวัฏสงสาร กับนอนอยู่ในหลุมถ่านเพลิง ก็มีความหมายอันเดียวกัน
^
^
ท่านพระอาจารย์ท่านกล่าวชัดเจนว่า จิตใจจะมาเหนี่ยวรั้งเอาสิ่งเหล่านี้มาอยู่ในวงแขนของตน
ให้เป็นสมบัติพัสถานโดยจริง ๆ จัง ๆ
เพื่อความสุขแล้วประตูของความเบื่อหน่ายก็ไม่เปิด เพราะเป็นของไม่จีรังยั่งยืน
ต่อเมื่อปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น จิตหลุดพ้นจากอุปาทานทั้งหลาย

หากว่าจิตผู้รู้ก็เป็นแต่สักว่าผู้รู้(รู้สักแต่ว่ารู้) ไม่ส่งส่ายไปที่เรื่อง มิได้เป็นสงครามกัน
แต่ความหลงไปที่เรื่อง(อารมณ์ต่างๆ)เป็นสงครามกันต่างหาก หลงในในวัฏสงสาร
ความหลงว่าเรา ว่ากู ของกู มึง ของมึง นี่เป็นความหลงสำคัญมาก
..............................
ก็เป็นหน้าที่เจ้าตัวจะพิจารณาตัวเอง ของใครของมัน จะใส่ร้ายป้ายสีกันก็ไม่ได้ กายแก่เป็น ชราเป็น ตายเป็น แต่จิตตายไม่เป็น จิตตายมี ๒ อย่าง ตายจากความดีหนึ่ง เรียกว่าจิตตาย จิตตายชั้นสุดท้าย คือตายจากกิเลส ไม่มีกิเลส เรียกว่าตายสุดท้าย ไม่เกิดอีก ที่เรียกว่าจิตไม่ตายก็มีอยู่ ๒ ประเภท จิตไม่ตายเพราะศีลธรรม เพราะปฏิบัติศีลธรรมอยู่ จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกอันนั้น
^
^
อันนี้ท่านพระอาจารย์หลวงปู่หล้า ท่านกล่าวไว้ชัดเจนว่า จิตไม่ดับตายหายสูญไม่ไหน(ตายไม่เป็น)
จิตไม่ตายเพราะศีลธรรม เพราะปฏิบัติศีลธรรมอยู่ จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกอันนั้น
จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกอันนั้น

;aa24

 

คุณธรรมภูต เพราะความอยากและความรู้มากๆ นี้ล่ะทำให้เวียนว่ายอยู่นี่

 

คุณลูกบัวผัน ถ้าความอยากและความรู้มากๆ
แต่ขาดการลงมือปฏิบัติภาวนาน้อย ก็ค่อยไปอีกนาน(เวียนว่าย)

ถ้าความเพียรและความประกอบภาวนานุโยคมากๆ ความคิดที่ตกผลึกก็น้อยลง คงอีกไม่นาน(เวียนว่าย)....

;aa24

 

ถึงคุณธรรมภูต ในทรรศนะ น่ะนะ ตามคำภีร์ต่างๆก็ดี เขามีไว้ให้เทียบเคียงผลของการปฏิบัติมิใช่เหรอ ไม่ได้ให้เราไปจำไปท่อง
เหมือนเราอยากรู้มากๆ ก็เท่านั้น การเวียนว่ายถึงได้หมุนเวียร ไม่จบไม่สิ้น
เพราะสิ่งที่รู้ไม่ใช่ปัญญาของเรา เพียงแค่อ่านและเข้าใจไปแล้วอุปทานไปเอง
ไม่ใช่เหรอ ตัวเราลูกบัวผัน ได้อาศัยการภาวนาทุกวัน

และการปฏิบัติของคุณธรรมภูตคือขยันท่องตำราหรอกหรือนี้คือการปฏิบัติใช่หรือไม่

 

คุณลูกบัวผัน คุณอาศัยภาวนาทุกวัน ไปถึงไหนแล้ว ยังเห็นจิตเกิดดับอยู่หรือเปล่า?
ถ้าคุณคิดว่าที่ผมพูดนั้นเป็นการพูดจากตำรา ก็ลองบอกการปฏิบัติของคุณหน่อยสิ?
ทุกวันนี้ที่ภาวนาอยู่ คุณแยกเวทนาออกจากจิตได้แล้วใช่มั้ย?
แยกกายแยกจิตออกจากกันจนเป็นวสีแล้วสิ?

ส่วนการปฏิบัติของผมนั้น คุณอย่าเดาสวดไปเลย ทำให้ผมรู้ว่าคุณหนะภาวนายังไม่ถึงไหน?
คนที่ผ่านการภาวนามาอย่างจริงจัง ย่อมอ่านที่ผมเขียนเข้าใจและสัมผัสถึงการปฏิบัติ
ผมถึงสงสัยไงว่า ที่บอกว่าอาศัยภาวนาทุกวัน ภาวนาอะไร? ปรากฏผลอย่างไรบ้าง?

;aa24

 

พวกดื้อจะให้จิตเป็นวิญญาณ นี่แหนะ ตีก้นเลย

 

มองเข้าไปเห็นถึงความปราถนาดีของท่านธรรมภูตที่ต้องการให้คนเข้าถึงความจริง

โมทนา สาธุในความตั้งใจนะครับ
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ

 

ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ไม่ชอบเล่นไพ่ตามเนต

 

ผมก็โมทนาครับ แต่ว่าก็คล้ายๆกันกับเรื่อง ชายคนหนึ่งเดินทางไปไกลรอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลนับเดือนไปเจอเกาะอันสวยงามที่เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆที่ไม่อาจจะพรรณาได้ จากนั้นเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน รู้สึกตื่นเต้นตื้นตันใจอยากจะให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆรู้และเห็นเช่นตนแต่ทำได้เพียงพรรณาลักษณะอาการอย่างนั้นอย่างนี้ให้ฟัง คนฟังทั้งหลายก็ฟังแต่...เขาจะเชื่อหรือไม่นั้นก็เช่นเดียวกันกับปัจจุบัน แต่เรื่องนี้อยากบอกว่า ตำราหรือคำสอนของหลวงปู่หลวงตาไม่กล่าวไว้มากเพราะท่านกล่าวเพียงจิตบริสุทธิ์นั้นเป็นจิตเช่นไร และขณะนั้นพระอริยะสงฆ์ทั้งหลายก็ล้วนเป็นพระขีณาสพแล้วสิ้น ดังนั้นปุถุชนตั้งแต่คนธรรมดาขึ้นไปจนถึงพระอนาคามี ทำไมจะเห็นความเกิดดับของจิตอยู่ไม่ได้ ไม่เห็นแปลกเลย หากเมื่อไหร่เป็นพระอรหันต์แล้วคงจะไม่เห็นความเกิดดับอย่างแน่นอน อย่างนี้ถูกต้องไหมที่อยากจะให้คนอื่นเข้าใจ(หมายถึงเจ้าของกระทู้และอีกหลายๆท่านอยากให้คนอื่นเข้าใจนะครับ)

 

ผู้ที่กำลังมองกิเลส จะไม่กล่าวยกย่องใคร และตำหนิใคร
และไม่เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน

 

คุณพ่อมด Oz อย่าภาวนาแบบใช้คิดนะ เลิกได้แล้ว

นี่คงใช้ตรรกะอีกสิท่า เห็นว่าคุณเค้งเขาเข้ามาเสนอประเด็นที่ต่าง

คุณเลยใช้ตรรกะโยนพี่เค้งเป็นศิษย์สำนักนั้นหละซี.....

โหลยโถ่ยนา.....

 

เหรอๆ งั้นคุณช่วยกลับไปถามพระอาจรย์คึกฤทธิ์ดูอีกทีนะ ฟังบ่อยๆ
ถามบ่อยๆ ท่านเทศน์ได้ทั้งสองแนวทาง ทำไมถึงเทศน์ได้สองทาง
ท่านให้เหตุผลด้วยนะ เพราะพระท่านเน้นเรื่อง เทคนิคการสอน ไม่ได้
มุ่งจะพูดแบบเทศนาธรรม

อ้อ แล้วอย่าไปเล็งเห็นว่า พระอาจารย์ท่านสอนให้ใช้ตรรกะหละ ท่าน
เทศน์เทคนิกการสอนก็จริง แต่ก็มีการหยอดให้เราใช้โยนิโสมนสิการ
ตลอดนะ

 

แล้วถ้าความปรารถนาดีของท่านภูติ ต้องการตัดพระอภิธรรมปิฎก
ออกจาก พระไตรปิฎก จนต่อไปภายหน้าเหลือแค่2ปิฎก
หรือ 84000 พระธรรมขันธ์ เหลือ 42000 พระธรรมขันธ์
จะช่วยให้เขาเจริญยิ่งๆขึ้นไป จนกระทำการได้สำเร็จแล้วร่วมอนุโมทนากับเขาด้วยไหม

ปล.ขอพาดพิงท่านธรรมภูติ ด้วยนะ เพราะข้าพเจ้าเข้าใจเจตนาของท่าน
ธรรมภูติและพวก ว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าเข้าใจท่านผิด ก็แจ้งบอกมา
จะได้พิจารณาการระทำของพวกคุณใหม่ ว่า เป้าหมายการรักษาพระวัจนะ
คืออะไร ทำลายความเชื่อถือพระอภิธรรมปิฎก และคำสอนของพระสงฆ์
สาวกที่มีมาแต่สมัยปฐมสังคายนาหรือไม่

 

สิ่งใดใครทำความดี ก็สมควรโมทนา ด้วยมุทิตาจิต....

สิ่งใดเป็นโทษ ผู้มีปัญญาพิจารณาด้วยดี ว่า ควรวางใจเช่นไร
วาจาอันเป็นเท็จ วาจาอันที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ วาจาอันไม่ถูกกาล วาจาอันเพ่งแต่โทษบุคคลอื่น ก็มิควรกล่าวแต่อย่างใด เมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต อุเบกขาจิต ควรมีประจำใจ....

ดังนั้นวาจาอันก่อโทษเผารนจิตใจตัวเองโดยถ่ายเดียวก็มิควรกล่าว
นำกิเลสที่ครอบงำจิตใจ ออกมาสู่ ความคิด วาจา มาสู่การกระทำ....

สิ่งใดออกมาจาก เมตตจิต บุคคลพึงเห็นและสำผัสได้....
สิ่งใดออกมาจากจิตที่เพ่งโทษบุคคลอื่นด้วยอัคติโดยปราศจากปัญญา บุคคลก็พึงเห็นและสัมผัสได้เช่นกัน....

 

รอฟังคำตอบครับผม....ท่านธรรมภูติ

จริงหรือไม่....ตามคำถาม

 

คุณขวัญ ผมไม่แปลกใจเลยทำไมคุณถึงคุยกับใครไม่รู้เรื่องแม้แต่คนใกล้ตัวคุณเอง
เท่าทีผมระลึกได้ ผมเคยกล่าวไว้ว่า อภิธรรมเอาไว้ว่าเรียนกัน และก็มีส่วนที่น่าจนใจอยู่ในนั้น
ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือนั้น ผมจะไปทำลายได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เป็นยังงั้นจริงๆ

ถ้าไม่จริงตรงไหนที่ผมเคยพูดไว้ก็เชิญเอามาแย้งสิ ไม่ใช่พูดลอยๆแบบนี้ มันไม่งามนะ
การที่ผมจะกล่าวหาอะไรใคร ผมมักจะยกหลักฐานที่เขาเคยพูดไว้มายันเสมอ
และเอาที่ผมจะแย้งมาวางเทียบเคียงให้พิจารณา ไม่เคยคิดกล่าวหาใครลอย เช่นบางคนที่ชอบทำเสมอๆ

คุณเองก็เลิกเดาสวดได้แล้วครับ ในครั้งปฐมสังคยนานั้น เป็นการสังคยนาแบบมุขปาฐะ จำไว้นะ
ส่วนเรื่องที่ผมเคยแสดงความคิดเห็นไว้เกียวกับพระธรรมขันธ์นั้น
เท่าที่ระลึกได้ ผมบอกไว้ว่าได้มีนักปราช์ญนิรนามท่านหนึ่ง ท่านเคยได้ลองนับดู ได้เพียง๔๒,๐๐๐เท่านั้น

ถ้าคิดจะยัดเยียดข้อหาอะไรให้ใครเพราะอคติธรรมแล้วละก้อ ช่วยยกหลักฐานมาด้วย
ผมกล้ายืนยันและรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำขึ้นเสมอ ผิดก็คือผิด ต้องยอมรับผิดแน่นอน
ถ้าไม่ผิด แล้วพวกคุณมาช่วยกันยัดเยียดความผิดให้ด้วยอคติธรรมเพราะขาดเหตุผลที่ชอบธรรม
ผมว่าพวกคุณสมควรกลับไปพิจารณาตนเองกันบ้างนะ ว่ายังเป็นชาวพุทธที่ตรงต่อจอมศาสดาหรือไม่?

;aa24

 

มาดูกบฏธรรมภูติ คิดล้มล้าง พระสังฆราชสกลมหาปรินายก ในเรื่องการสอน จิตคือวิญญาณ

อย่าลืมว่า ผู้ที่กล่าว จิตคือวิญญาณขันธ์นั้น ล้วนแต่ตกเป็นเป้าหมายบุคคลผู้ดื้อด้าน
อันเป็นบุคคลที่ กบฏธรรมภูติมุ่งที่จะล้มล้างตามปฏิญญาตนที่ประกาศไว้ใน Block

ที่มา : http://www.mahayana.in.th/tsavok/tape/037เรื่องจิตนี้.html

 

สำหรับผมแล้ว ไม่ได้บอกว่าจิตไม่มีเกิดดับ หรือฟันธงว่าต้องไม่เกิดดับเท่านั้น หรือไม่ได้บอกว่าจิตเกิดดับ หรือต้องเกิดดับเท่านั้น จึงเรียกว่า จิต เอาแค่นี้สำหรับคุณ คงพอพิจารณาได้ด้วยตนเองนะครับ แล้วจะรู้ว่าพระศาสดาสอนมนุษย์เพื่ออะไรครับ

 

มาดูพวกกบฏบุคคลทั่วไป 3 คนที่คิดล้มล้างพระพุทธพจน์
สมเด็จพระสังฆราชท่านกล่าวไว้ชัดเจน ว่าจิตคือวิญญาณธาตุ
คุณเองถ้าคิดจะมั่ว ก็น่าจะเนียนกว่านี้ เพราะวิญญาณในธาตุ๖นั้นก็คือวิญญาณธาตุ หาใช่วิญญาณขันธ์
วิญาญาณธาตุเป็นหนึ่งในธาตุ๖อันมี ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาสธาตุและวิญญาณธาตุ
ส่วนวิญญาณขันธ์นั้น เป็นหนึ่งในขันธ์๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

คุณคิดจะมั่วเพื่อให้ชนะเท่านั้นหรือ? โดยไม่คำนึงเลยนะว่าสมเด็จท่านจะเสียหาย
แบบนี้ควรเรียกว่าอะไรดี พวกกบฏบูรณการที่ต้องการให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

;aa24

 

คุนธรรมภูติต้องแยกว่าจิตที่พูดถึงนี้หมายถึงสิ่งใหน
เพราะคำว่าจิตที่กล่าวถึงกันนี้มันคลุมไปหมด
ทั้งจิตธรรมดาจิตพระอริยะและจิตที่เป็นเครื่องอยู่ และสภาวะที่พ้นจากการยึดมั่นถือมั่น เราก้ควรจะแยกเรียกว่าเป็น รูป จิต เจตสิก หรือเป็นนิพพาน
เราต้องพูดถึงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นมากกว่าตัวรูปที่จับต้องยึดถือ