การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 พฤศจิกายน 2009.

  1. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852


    สองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตมคนสองตาแหลมคมเห็นดวงดาวอยู่พราวพ<WBR>ราย









    คนเราที่มาคาภพคาชาติ ก็ผู้รู้นี่แหละ
    ฆ่าผู้รู้ หมดผู้รู้ ก็หมดเรื่องเท่านั้นเอง
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    กรรมทุกสิ่งเป็นไปตามกรรม กรรมบันดาลสร้างสรรค์เพราะ ต้นเหตุคือตนไม่ใช่ใคร ส่วนเรื่อง สอุปาทิเสสนิพพาน นั้นโดยส่วนตัวแล้วมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่มีลักษณะของจิตแบบนั้น ไม่คิดว่าเสขะบุคคลจะมีจิตลักษณะนั้นได้ครับ ความคิดเห็นส่วนตัวครับ ขออ้างพระสูตรแล้วกันครับ

    พระสูตรที่ว่าด้วย “สอุปาทิเสสนิพพาน”




    สอุปาทิเสสสูตร เล่มที่ ๒๓

    [๒๑๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ฯ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ท่านพระสารีบุตรมีความคิดดังนี้ว่า การเที่ยวไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถียังเช้าเกินไป ผิฉะนั้น เราพึงเข้าไปยังอารามของอัญญเดียรถีย์ปริพาชกก่อนเถิด ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรได้เข้าไปยังอารามของพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ได้ปราศรัยกับพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง



    ก็สมัยนั้น อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น กำลังนั่งประชุมสนทนากันในระหว่างว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งที่ยังเป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ ผู้นั้นล้วนไม่พ้นจากนรก ไม่พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ไม่พ้นจากเปรตวิสัย ไม่พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต ฯ ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรไม่ยินดีไม่คัดค้านถ้อยคำที่อัญญเดียรถีย์ ปริพาชกเหล่านั้นกล่าว ครั้นแล้วลุกจากอาสนะหลีกไปด้วยคิดว่า เราจักรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ข้าพระองค์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า การเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ยังเช้าเกินไป ผิฉะนั้น เราพึงเข้าไปยังอารามของพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกก่อนเถิด ลำดับนั้น ข้าพระองค์เข้าไปยังอารามของพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ได้ปราศรัยกับพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็สมัยนั้นแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น กำลังนั่งประชุมสนทนากันอยู่ในระหว่างว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งที่ยังเป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ ผู้นั้นล้วนไม่พ้นจากนรก ไม่พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ไม่พ้นจากเปรตวิสัย ไม่พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต ข้าพระองค์ไม่ยินดีไม่คัดค้านถ้อยคำที่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นกล่าวแล้ว ครั้นแล้วลุกจากอาสนะหลีกไป ด้วยคิดว่า เราจักรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาค ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชกบางพวกโง่เขลา ไม่ฉลาด
    อย่างไรจักรู้ผู้ที่เป็นสอุปาทิเสสะว่า เป็นสอุปาทิเสสะ หรือจักรู้ผู้ที่เป็นอนุปาทิเสสะว่า เป็นอนุปาทิเสสะ ดูกรสารีบุตร บุคคล ๙ จำพวกนี้ ที่เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ
    พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต ๙ จำพวกเป็นไฉน ฯ

    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป


    ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๑ ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอุปหัจจปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๒ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอสังขารปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๓ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสสังขารปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๔ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๕ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง กลับมายังโลกนี้เพียงคราวเดียว จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
    ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๖ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นเอกพีชี เพราะสังโยชน์สิ้นไป บังเกิดยังภพมนุษย์นี้ครั้งเดียว จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๗ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป ท่องเที่ยวอยู่ ๒-๓ ตระกูล แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๘ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสัตตักขัตตุปรมโสดา เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป ท่องเที่ยวอยู่ยังเทวดาและมนุษย์ ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

    ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๙ ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต




    ดูกรสารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชกบางพวก โง่เขลา ไม่ฉลาด อย่างไรจักรู้บุคคลผู้เป็นสอุปาทิเสสะว่า เป็นสอุปาทิเสสะ หรือจักรู้บุคคลผู้เป็นอนุปาทิเสสะว่า เป็นอนุปาทิเสสะ ดูกรสารีบุตร บุคคล ๙ จำพวกนี้แล เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิด สัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติและวินิบาต ฯ


    ดูกรสารีบุตร ธรรมปริยายนี้ ยังไม่แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาก่อน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้ฟังธรรมปริยายที่เรากล่าวด้วยความอธิบายปัญหานี้แล้ว อย่าถึงความประมาท ฯ
    จบสูตรที่ ๓




    ......................................




    ข้อสังเกตจากพระสูตร

    ๑) บุคคลย่อมสามารถถอนสังโยชน์เสียก่อนได้อรหันต์เป็นขั้นๆ ไป

    ๒) บุคคลผู้ถอนสังโยชน์ได้ ย่อมได้อานิสงค์ พ้นจาก “อบายภูมิสี่”
    ๓) บุคคลผู้ถอนสังโยชน์ได้ อาจบรรลุธรรมตามระดับกำลังปัญญา
    จาก โดย physigmund_foid ok nation


    เพราะถ้าสอุปาทิเสสะ เฉยๆ จิต ลักษณะนี้เป็นของเสขะบุคคล แน่นอน เพราะไม่เติมคำว่า นิพพาน ต่อท้ายครับ

    <CENTER>พระสุตตันตปิฎก เล่ม 17
    ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต ทุติยวรรค
    </CENTER><CENTER>๗. ธาตุสูตร</CENTER><CENTER> </CENTER> [๒๒๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้
    มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน คือ สอุปาทิเสสนิพพาน
    ธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
    เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำ
    กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มี
    สังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวย
    อารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕
    เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่ง
    โมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ
    อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของ
    ตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
    เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมี
    ตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรา
    เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการ
    นี้แล ฯ
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี
    พระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
    นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหา
    และทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว อันนิพพานธาตุ
    อย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหา
    เครื่องนำไปสู่ภพ ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่
    ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้า
    ชื่อว่าอนุปาทิเสส ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งแล้วนี้
    มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ชน
    เหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลสเพราะบรรลุธรรม
    อันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด ฯ
    เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
    ได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ

    <CENTER>จบสูตรที่ ๗</CENTER>อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ส่วนพบผู้รู้ ฆ่าผู้รู้นั้น ผมก็ชอบนะครับ แต่คิดว่าจะต้องมีปัญญาแยบยลแบบ โยนิโสมนสิการ ด้วยมหาสติมหาปัญญาจริงๆ จึงพิจารณาเห็นได้แต่โดยมากหรืออาจไม่มากก็ได้ ไม่รู้ เพราะยากเกินกว่าจะอธิบายได้ ส่วนตัวผมหากผู้รู้คือ ปัญญาแท้ คือ ผู้เห็น และผู้ดับกิเลสแล้ว ก็ไม่อาจฆ่าได้ แต่หากผู้รู้เป็นสมมุติ หรือเป็นตัวกิเลสหรือตัวก่อให้เกิดกิเลสก็ฆ่าเลยแต่ด้วยปัญญาวิธีการไม่สามารถบอกได้ครับ เพราะแล้วแต่จะมอง เลยเข้าใจว่าแล้วแต่จะพิจารณาอีกนั่นแหละ แต่หากเห็นผู้รู้และยึดผู้รู้ไว้ด้วยอุปปาทาน ก็สมควรแล้วที่ต้องฆ่าเสีย เป็นความเห็นผมเช่นกันครับ ผมว่าน่าจะมีบางท่านที่บรรลุธรรมแบบไม่มีผู้รู้ก็มีใช่ไหมครับ ในประวัติศาสตร์นี้
    อนุโมทนาครับ
     
  4. peach-1974

    peach-1974 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    สวัสดีครับ ผมลองอ่านหลายท่านเขียนมานะครับ เพื่อจะทราบข้อมูลและจะได้ความรู้ด้วยนะครับ พอฟังหลายท่านแล้ว ผมเลยเข้าใจว่าปัจจุบัน ที่มีบางท่านบอกว่าท่านองค์นี้ เป็นพระอริยะเจ้า เราก็ยังแน่ใจไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะต้องให้องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ยืนยันหรือพยากรณ์ว่าพระแต่ท่านเป็นพระอริยะเจ้าหรือเปล่า ตอนนี้จึงต้องดูว่าท่านองค์ไหนจริยวัตรท่านดี ก็ควรปฏิบัติตามใช่หรือเปล่าครับผม อืม อ่านจากทุกท่านแล้วเลยสงสัยว่า เราจะปฏิบติตามพระท่านองค์ไหนดี หรือปฏิบัติทางไหนดีละครับนี่ เพราะแต่ละก็บอกของท่านถูกด้วยนะครับผม แต่จะหาท่านใดมาตัดสินได้ละครับผม หรือควรต้องลองปฏิบัติดูก่อนว่า ผลปฏิบัติออกมาจะดีหรือไม่ หรือต้องศึกษาพระไตรปิฎกดูก่อนดีครับ ให้คำแนะนำด้วยครับผม ขอบคุณครับ
     
  5. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    สอุปาทิเสสสูตร เล่มที่ ๒๓

    ..
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชกบางพวกโง่เขลา ไม่ฉลาด
    อย่างไรจักรู้ผู้ที่เป็นสอุปาทิเสสะว่า เป็นสอุปาทิเสสะ หรือจักรู้ผู้ที่เป็นอนุปาทิเสสะว่า เป็นอนุปาทิเสสะ ดูกรสารีบุตร บุคคล ๙ จำพวกนี้ ที่เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ
    พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต ๙ จำพวกเป็นไฉน ฯ

    ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๑ ... ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอุปหัจจปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๒ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอสังขารปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๓ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสสังขารปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๔ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๕ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง กลับมายังโลกนี้เพียงคราวเดียว จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
    ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๖ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นเอกพีชี เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป บังเกิดยังภพมนุษย์นี้ครั้งเดียว จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๗ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป ท่องเที่ยวอยู่ ๒-๓ ตระกูล แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๘ ... ฯ

    อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำพอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสัตตักขัตตุปรมโสดา เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป ท่องเที่ยวอยู่ยังเทวดาและมนุษย์ ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๙ ... ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต

    ดูกรสารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชกบางพวก โง่เขลา ไม่ฉลาด อย่างไรจักรู้บุคคลผู้เป็นสอุปาทิเสสะว่า เป็นสอุปาทิเสสะ หรือจักรู้บุคคลผู้เป็นอนุปาทิเสสะว่า เป็นอนุปาทิเสสะ ดูกรสารีบุตร บุคคล ๙ จำพวกนี้แล เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิด สัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติและวินิบาต ฯ

    ดูกรสารีบุตร ธรรมปริยายนี้ ยังไม่แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาก่อน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้ฟังธรรมปริยายที่เรากล่าวด้วยความอธิบายปัญหานี้แล้ว อย่าถึงความประมาท ฯ
    จบสูตรที่ ๓


    ......................................



    พระสุตตันตปิฎก เล่ม 17
    ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต ทุติยวรรค

    ๗. ธาตุสูตร

    [๒๒๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้​

    มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน
    คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำ
    กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มี
    สังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวย
    อารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕
    เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ
    ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย​
    ก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ
    อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของ
    ตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
    เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมี
    ตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ​

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล ฯ
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี
    พระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
    นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหา
    และทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว อันนิพพานธาตุ
    อย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหา
    เครื่องนำไปสู่ภพ ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่
    ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้า
    ชื่อว่าอนุปาทิเสส ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งแล้วนี้
    มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ชน
    เหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลสเพราะบรรลุธรรม
    อันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด ฯ
    เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
    ได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ​

    จบสูตรที่ ๗​



    .......

    ขอบคุณคุณเก่งที่ยกสอุปาทิเสสสูตรมา
    อ่านแล้วเห็นว่าเป็นนิพพานของพระเสขะ ตั้งแต่พระอนาคามีลงไปถึงพระโสดาบันค่ะ

    อ้างอิงจากพระธรรมปิฏกในหนังสือพุทธธรรม
    สอุปาทิเสสนิพพาน เป็น นิพพานที่ยังมีอุปาทาน
    อนุปาทิเสสนิพพาน เป็น นิพพานที่ไม่อุปาทาน (พระอะเสขะ)


    ({)




    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  6. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    นิพพานที่มีผู้รู้ น่าจะเป็นนิพพานพรหม
    ไม่อยากพูดคำนี้เรยยยย กลัวใครบางคนโผล่มา

    นิวรณ์กับคุณเกิดฯ นี่ เขาฮาดีนะ
    แต่ก็พลอยได้ความรู้ไปด้วย

    ..
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    อะไรที่หลุดพ้นแล้วเพราะ"รู้"โดยชอบ? อะไรที่รู้โดยชอบ?
    จิตของท่านพระอรหันต์ หรือร่างกาย(ขันธ์๕)ของท่านพระอรหันต
    อย่าบอกนะว่าอะไรๆไม่มีทั้งนั้น ถ้าอะไรๆก็ไม่มี รู้ได้อย่างไร?

    ;aa24
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ยังไงสำหรับผม ก็ไม่เห็นว่าเป็นนิพพานของพระเสขะ เพราะนิพพานคือนิพพาน ไม่ขออธิบายครับ คือ รู้ว่าไม่ใช่สภาวะของพระเสขะ ตั้งแต่อนาคามีลงมาจนถึงโสดาบัน แต่คำว่า สอุปาทานเสสะ นั้นเป็นการละอุปาทานได้ของเสขะบุคคล ต่างกันก็แต่ เมื่อกล่าวถึงนิพพานธาตุ หรือ นิพพานแล้ว สอุปาทานเสสนิพพาน จึงหมายถึง ดังนี้ครับ และพอพิจารณาดีๆ คำสองคำ เมื่อแยกกันและรวมกันก็ให้ความหมายแตกต่างกันดังพระสูตรที่ยกมาครับ เพื่อให้กระจ่างกว่านั้น ให้สังเกต สอุปาทานเสสะสูตร ว่าตรงไหนบ้างที่ต่อท้ายด้วยนิพพาน หากมีก็ได้ความหมายว่า เป็นนิพพานของพระเสขะ แต่ควรหรือจะกล่าวเช่นนั้นขอท่านผู้มีปัญญาพิจารณาครับ

    สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลส แต่ยังมีขันธ์๕หรือเบญจขันธ์อยู่ หรือยังคงมีขันธ์ทั้ง๕ทำงานประสานร่วมกัน คือ นิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง, นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ
    อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลส ไม่มีขันธ์๕หรือเบญจขันธ์เหลือ คือ สิ้นทั้งกิเลสและชีวิต หมายถึง พระอรหันต์สิ้นชีวิต, นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับภพ
    อันนี้ยกมาจาก nkgen ครับ
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  9. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    ไม่มีอะไรที่หลุดพ้น ไม่มีอะไรที่ต้องรู้
    จะบอกว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น

    แต่อยากรู้ ก็ลองทำดูดิ . ..
    ไม่ได้เล่นคำ ที่พูดน่ะ เรื่องจริงล้วนๆ

    :boo:
     
  10. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    อ้อไม่มีคำว่านิพพานนี่เอง
    ลองเทียบดูจากธาตุสูตร ก็ได้ค่ะ เพราะที่ยกมาชัดทั้งสองพระสูตร
    โดยเฉพาะเรื่องการละสังโยชน์


    ({)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  11. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    เออๆๆๆ เห็นแล้วค่ะ คุณเก่ง

    ในธาตุสูตร

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำ
    กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มี
    สังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวย
    อารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕
    เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ
    ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ


    อย่างนั้น ก็ดูจะขัดแย้งกันนะ
    เดี๋ยว แบบนี้ ขอเวลาไปคิดก่อนนะ
    อย่างนั้น เรื่องนี้ คงขอไปคิดก่อนนะ ไม่รู้จะนานไหมนะ

    *

    ({)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    รำคาญพวก อวดรู้ คำว่า นิพพานธาตุ นั้นคือ จิตที่เป็นธรรมทั้งดวงแล้ว เรียกว่า นิพพานธาตุ จะมีแต่กับพระอรหันต์เท่านั้น

    แต่ สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานของพระอริยบุคคล คือ เที่ยง ตามภูมิจิต

    ที่ว่า เที่ยงนี้เพราะอะไร

    1 พระโสดาบัน เที่ยง เพราะละสังโยชน์สามได้แล้ว ปิดอบายแล้ว

    2 พระสกิทาคามี เที่ยง เพราะทำลายสังโยชน์ 3 ได้ และ ทำ สังโยชน์ อีก 2 ตัวให้เบาบางแล้ว

    เป็นต้น ดังนั้นจิตของท่าน เป็นนิพพานในส่วนที่เที่ยงแล้ว
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    พูดตามตรงเลยนะ ไม่ต้องให้พระพุทธเจ้าชี้หรอกว่า ใครเป็นพระอริยะ

    ถามผมนี่สิ จะบอกให้ว่าใครเป็นพระอริยะบ้าง

    ทีนี้ ถ้าเราไปดูเอง ไม่มีทางรู้ เพราะคนตาบอด จะไปเห็นคนตาดีได้อย่างไร

    ซึ่ง หากว่าเราจะบอกได้ว่าใครตาบอดใครตาดี เราก็ต้องตาดีก่อน

    แล้วจะถามว่าใครตาดีกว่าเรา เราก็ต้องตาดีอีกเช่นกัน
    ถามว่า ถ้าคนตาดีกว่าเราเขาไม่บอกเรา เราก็ไม่รู้อีก ว่าเขาตาดีกว่าเรา มองเห็นได้ไกลกว่าเราเท่าไร

    นี่ทุกอย่าง มันเป็นแบบนี้

    ทีนี้ ถามว่า คนตาดีเห็นคนตาบอดได้ไหม ตอบว่า สบาย เพราะว่า คนตาบอดมันเดินชนนั่นชนนี่

    นี่แหละ ดังนั้น นับถือธรรม อย่านับถือคน ทำตนให้ดีเห็นธรรม แล้ว จะเห็นพระพุทธองค์ แล้วจะรู้หมดว่า ท่านใดสอนเราเป็นธรรม หรือ ไม่ใช่ธรรม
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ถ้าไม่มีอะไรทั้งนั้น พระพุทธองค์ท่านทรงต้องออกผนวชเพื่อประโยชน์อะไร?
    เมื่อพระองค์ท่านทรง"จิตสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา"
    พระองค์ท่านทรงรู้มั้ย? ถ้าไม่รู้จะทรงตรัสว่า"ท่านตรัสรู้(กล่าวว่ารู้)"ได้อย่างไร?

    มีแต่ความอยากไม่มีทางรู้เพราะติดอยาก เมื่อหยุดอยากจึงรู้นะ
    ใครที่หยุดอยาก? ใครที่หยุดคิด? ใครที่หยุดการปรุงแต่ง?
    เรื่องจริงล้วนๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง....

    ;aa24
     
  15. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    ใครอยาก..ไม่มีอะไร..ก็ปล่อยไปเถอะ..

    หรือจะบอก..ว่าฉันไม่ได้อยากมี..ความไม่มีอะไร?..ซะกะหน่อย

    หลายคน..บอกยากมาก..ครับ..ต้องทำใจ
     
  16. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขยายต่อจากพี่เต้าเจี้ยว

     
  17. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ดั้งเดิมของเรานั้น เป็นสิ่งที่ไม่มี
    โดยปฏิเสธแม้การยึดมั่นในจิต

    โลกทั้งสามเป็นเพียงจิต สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นเพียงการรับรู้ ความฝัน และ สิ่งลวงตา
    ไม่ใช่จิต
    ไม่ใช่พุทธะ ไม่ใช่อะไรสักสิ่งเดียว ปฏิเสธการกระทำที่เพียงดูเคร่งขรึม เมื่อเป็นอิสระจากวัฏฏจักรของสิ่ง
    ทั้งหลายด้วยความพยายามของท่านเอง ท่านจึงหมดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด





    [​IMG]

    กรรมวิบากฤทธิ์ย่อมแพ้ต่อนิพพานฤทธิ์
    พระนิพพานมี ๒ ประเภทเท่านี้ นิพพานโลกีย์ นิพพานพรหม


    เป็นนิพพานหลงไม่นับเข้า ในที่นี้ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุนั้นเป็นของสำคัญ ควรให้รู้ให้เห็น ให้ได้ให้ถึงไว้เสียก่อนตาย ถ้า

    ไม่ได้สอุปาทิเสสนิพพานธาตุนี้แล้ว ตายไปก็จะได้อนุปาทิเสสนิพพานธาตุนั้นไม่มีเลย ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ยิ่งไม่มีทางได้ แต่รู้

    แล้วเห็นแล้วพยายามจะให้ได้ให้ถึง ก็แสนยากแสนลำบากยิ่งนักหนา ผู้ใดเห็นว่าพระนิพพาน มีอย่างเดียว ตายแล้วจึงจะได้

    ผู้นั้นชื่อว่าเป็นคนหลง ส่วนสอุปาทิเสสนิพพานธาตุนั้นจะจัดเอาความสุขอย่างละเอียด เหมือนอย่างอนุปาทิเสสนิพพาน

    ธาตุนั้นไม่ได้ แต่ก็เป็นความสุข อย่างละเอียดสุขุมหาสิ่งเปรียบมิได้อยู่แล้ว แต่หากยังมี กลิ่นรสแห่งทุกข์กระทบถูกต้องอยู่ จึง

    ไม่ละเอียดเหมือน อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะอนุปาทิเสสนิพพานธาตุไม่มีกลิ่นรสแห่งทุกข์ จะมากล้ำกรายปราศจาก

    สรรพสิ่งทั้งปวง แต่สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นั้นต้องให้ได้ไว้ก่อนตาย

    นิพพานธาตุ ๒ อย่าง
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณจีโอ14ครับ ปัจจุบันศีกษาธรรมจากการอ่านและความคิดที่ตกผลึกเท่านั้น
    เพราะติดรูปแบบสบายๆ ง่ายๆ และลัดสั้น เกียจคร้านปล่อยวางการภาวนาอย่างจริงจัง
    เมื่อปฏิบัติแบบติดสบาย ง่ายๆ และลัดสั้นไปแล้ว อะไรๆก็ไม่มีทั้งนั้น อะไรๆก็ไม่ใช่ทั้งนั้น
    จนกลายพันธุ์เป็นพวก นัตถิกทิฏฐิไปแล้ว ไม่เชื่อว่าอมตะธรรมมีจริง ผู้เข้าถึงมีจริง
    พวกนัตถิกทิฏฐิเหล่านี้ มักเชื่อว่าอะไรๆก็ไม่มีทั้งนั้น อะไรๆก็ไม่ใช่ทั้งนั้น

    อะไรๆก็เป็นสภาวะทั้งนั้น แต่กลับไม่รู้ว่าสภาวะเหล่านั้นเกิดขึ้นที่ไหน? ใครเป็นผู้ได้รับสภาวะเหล่านั้น?.....

    ;aa24
     
  19. ลูกบัวผัน

    ลูกบัวผัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +295
    แม้ไปพูดถึง นิพพง นิพพนาน
    แค่มรรค ยังทำกันไม่ได้เลย
    สัมมาอาชีโวนะ ทำกันได้หรือยัง
    เอาเวลาของบริษัทมาโพสนี้นะ
    อทินา ก็ผิด ด้วยนะ
    ไปล่ะเบียดเบียนเวลาของบริษัท
    ทำงานดีกว่าเงินเดือนจะได้ขึ้น ขยันๆ และบ่นๆๆ
     
  20. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    Never Ending Story...
     

แชร์หน้านี้

Loading...