พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 มกราคม 2010.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    และ ผมก็เตือนเพื่อนๆ เอาไว้อย่างหนึ่ง ว่าอย่าประมาท เพราะว่า เวลากรรมมามันปิดบังหมด
    แม้รู้อยู่ตรงหน้า มันก็ไม่รู้ เพราะมันจะค่อยๆกลืนตัวเราไป กลายเป็นมืดทั้งดวง
    เมื่อมืดทั้งดวงนี่ หน้าไม่รู้หลังไม่รู้ แล้วมันก็คิดว่าฉลาด เพราะมันคิดได้ แต่คิดได้นั้นเป็น นรกภูมิทั้งสิ้น

    ดังนั้น เรื่องของกรรม เรื่องของจิต อย่าไปประมาท เรายังไม่รู้จริงอย่าไปประมาืท

    ส่วนเรื่อง ใครจะเป็นพระอริยะ มันก้เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่เช่นนั้นมันจะบ้าๆ บอๆ เพราะไปเพ่งเล็งบุคคล ไม่เกิดประโยชน์
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ในทางปฎิบัติ โดยสภาวะ จิต ก็เป็นนาม มันตรงตัว อย่างเลี่ยงมิได้อยู่แล้ว

    การปฎิบัติ การเกิดดับของขณะจิต(วนในส่วนนามสี่ขันธ์) เพราะกายมันเป็นชาติภพแล้ว

    ปฎิจจสมุปบาทวงใน จึงวิ่งวน ประชุม เคลื่อนย้าย ส่งต่อกัน ในขณะที่สติเกิด เราสามารถเห็นใจเป็นวงจร ดีมรรคประชุม เราสามารถเห็นในจุดที่เป็นจุดปรุงแต่งของสังขาร โดยที่จะเห็นว่ามันเป็นเพราะกิเลส จนสามารถละกิเลสได้ วัฎจักรนั้นก็ดับ ทุกข์นั้นจึงดับ นิพพาน ความเย็นจึงปรากฎ

    แต่หากละกิเลสที่เป็นเชื้อมิได้ ก็ว่ายเวียนตายเกิดไป ตรงนี้แหล่ะที่ควรเอาให้เป็นว่า จิตดวงเดียว เที่ยวไป

    การดูจิตมันไม่ได้ละเอียดไปกว่าการดูขันธ์ มันไม่ชอบหรอกที่จะเอาของหยาบมาโชว์ ให้ยึดมั่นถือมั่น

    ภูมิอเสขะที่มิใช่ของตัว ฟังมา อ่านมา แล้วมาปรุงแต่งตามใจ ว่ามันเป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนี้ ถ้ามันไม่ละเอียด ก็ควรให้ผู้ปฎิบัติลงมือทำให้ได้ด้วยตัวเอง เห็นด้วยตัวเองจะประเสริฐกว่า

    ฉะนั้น การปฎิบัติ คือ การดูทุกข์ ดูสมุทัย จะตรงทาง ไม่เนิ่นช้า ดีกว่าไปตามหาข้าเจอฐิติจิต ข้าเห็นจิตแล้ว

    ธรรมผมคัดสรรมา ของอาจารย์อื่น หากสำนึกได้ว่ายังต้องเป็นผู้ศึกษา ก็หาอ่านซะบ้างนะ มิฉะนั้น จะล้าช้า

    อีกอย่างท่านจะกล่าวธรรม จะชี้ทางให้หมู่สัตว์ เป็นสิ่งดี และเป็นสิ่งประเสริฐ หากอยากชี้ ก็อย่าไปชี้ทางกลับหัวกับหาง เอาเป็นขั้น ๆ ไป
    ปล. ใครที่สิ้นสงสัย ก็รู้ดีว่านี่มิใช่ประเด็น นี่มิใช่ความสำคัญ เรื่องจิต เรื่องขันธ์ สมมุติ บัญญัติพวกนี้เป็นของหนัก พาล้าช้า แต่สำหรับท่านที่ยังไม่กระจ่าง ยังสงสัย ก็ขอกล่าวด้วยความหวังดีว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่า การลงมือทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2010
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ไม่กระจ่างเรื่องขันธ์และเรื่องอุปทานขันธ์นี่ ค่อย ๆ ปรับทิฐิ แล้วลงมือปฎิบัตินะครับ
    ปล. ผมจะไ้ม่กล่าวต่อปากต่อคำนะ เพราะทิฐิ เพราะความไม่แจ้งของท่าน ไม่ใช้เรื่องของผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2010
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ตัวเอง ไม่มีเหตุผลอะไรมาแย้ง ไปเอานั่นเอานี่มา เรื่อยเปื่อย

    ทิฎฐิ มันก็แบ่งเป็นสองอย่างแล้ว ขาวกับดำ ตัวเองไม่แย้ง กลับเลี่ยงไปนั่่นนี่

    ให้เอาเหตุผล ที่ดีกว่านี้ มาแย้งหน่อย
     
  5. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ประเด็นที่กำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ คือ จิต เป็น วิญญาณขันธ์ หรือไม่อย่างไร?

    ขอแสดงทัสนะเสียหน่อย ระยะหลังไม่ค่อยได้ตอบอะไรมากนัก เพราะเห็นว่า ตามอ่านก็พอ ปฏิบัติตัวเองให้ดี พูดมากก็เท่านั้น ส่วนมากก็รู้ๆกันดีอยู่แล้ว

    หนังสืออภิธรรมตรงหน้าผมนี้ ก็กล่าวไว้ชัดว่า
    รูป คือ รูปขันธ์
    เจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร
    จิต คือ วิญญาณขันธ์
    สำหรับผู้ที่ศึกษามาก เรียนปริยัติมาก ก็ย่อมต้องมีทิฏฐิเช่นนี้
    ผมเองก็เคยเชื่อเช่นนั้น

    ต่อมาได้พบว่า มันดูจะขัดแย้งอย่างไรมิทราบ อาจเป็นวาสนาส่วนตัว
    พิจารณาแล้วพิจารณาอีก กลับพบว่า มันดูจะขัดแย้งกับธรรมที่เคยได้สดับมาว่า ขันธ์ห้าคือ กองทุกข์ และอุปาทานขันธ์ห้าคือสมุทัย
    การละวางสมุทัยต้องปฏิบัติมรรค เพื่อทำให้แจ้งนิโรธ
    ข้อมูลในส่วนนี้ ตอกย้ำความเข้าใจที่เป็นวาสนาเดิมว่า จิต ไม่น่าจะใช่วิญญาณขันธ์ เพราะวิญญาณขันธ์ ก็ยังเป็นส่วนของขันธ์ห้า

    วันก่อนฟังพระอาจารย์สงบ ท่านว่าจิตไม่เกิดไม่ดับ จิตนี้แหล่ะที่เดินทางไปเรื่อยๆในสังสารวัฏ จิตสามารถสั่งสมกรรมวิบากต่างๆมาโดยตลอด เพราะหากไม่เช่นนั้นแล้ว จะมีการสั่งสมบารมีของพระโพธิสัตว์ได้อย่างไร จะมีพระเตมีใบ้ พระสุวรรณสาม พระเวสสันดร และนำไปสู่พระสิทธัตถะผู้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้อย่างไร
    ในแต่ละพบชาตินั้น สิ่งที่เกิดดับตลอดเวลาคือ ขันธ์ห้า เชื่อมต่อกันเป็นห่วงโซ่ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะตัดห่วงโซ่นั้นออกจากกันด้วยอริยมรรคอริยผล

    บทความปริยัติที่ยัดเยียดว่าเป็นบทความของหลวงปู่ใหญ่มั่น ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรืออาจเขียนไว้ในบางกาล อย่าลืมว่า ท่านเกิดมาก็มิได้บรรลุทันที ยังมีช่วงเวลาแห่งความพากเพียรยาวนานพอสมควร

    อย่างไรก็ตาม การจะรู้ได้โดยหมดสงสัยนั้น คือ การพัฒนาตนจนสามารถแยกจิตแยกขันธ์ ผ่าชำแหละออกดู พลิกหน้าพลิกหลังจนเข้าใจ จนแจ้งแก่ใจ ด้วยตนเองเท่านั้น

    เจริญในธรรมครับ...
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไม่มาตอบนั่นแหละ ดีอยู่แล้ว
     
  7. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ({)

    ก็ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ
    เราล้วนศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน (แม้นอาจแยกย่อยไปตามสายได้อีก)
    ก็ให้เห็นว่านี่เป็นการเสวนาธรรมเพื่อค้นหาความเข้าใจ
    บทความที่จินนี่ ยกมา น่าศึกษามากที่เดียว สาธุค่ะ
    ..


    อ้างอิง คุณธรรมภูติ...
    จิตคือธาตุรู้ หรือวิญญาณธาตุ ไม่ใช่วิญญาณขันธ์นะครับ
    ถ้านิพพานไม่มีจิต(ธาตุรู้) เมื่อบรรลุนิพพานแล้วรู้ได้ยังไง???
    มีพุทธพจน์ซึ่งเป็นปฐมพุทธอุทานในวันตรัสรู้กล่าวรองรับไว้ว่า
    วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชชะคา
    จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สำหรับคุณธรรมภูติ จิตเป็นวิญญาณธาตุ แต่ไม่ใช่วิญญาณขันธ์<O:p</O:p
    ก็คงไม่แปลก เพราะเขาเชื่อว่าจิต ไม่ใช่นามขันธ์สี่<O:p</O:p
    วิญญาณธาตุ ก็พลอยไม่ใช่นามขันธ์สี่ไปด้วย <O:p</O:p
    คือไม่ใช่ วิญญาณขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าจิตไม่ใช่นามขันธ์สี่ <O:p</O:p
    นี่ถือว่าเป็นจิตบริสุทธิ์ หรือในอภิธรรมเรียกนิพพานธาตุแล้ว<O:p</O:p
    ถ้าคุณเรียกจิตแบบนี้ว่า วิญญาณบริสุทธิ์ ยังพอจะน่าเข้าใจได้<O:p</O:p
    ที่แปลก จิตที่ไม่ใช่นามขันธ์สี่แล้ว <O:p</O:p
    จะยังกลับมาหยิบฉวยนามขันธ์สี่ไปปรุงให้เปื้อนโลกอีกทำไม<O:p</O:p
    ขาดกันไปแล้ว ก็ควรจะไชโยได้แล้ว <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ที่เราบอก ละจิตได้เป็นโลกกุตตรฌาน<O:p</O:p
    เพราะจิตที่พูดตรงนี้เป็นนามขันธ์สี่ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่คุณคิดว่าจะต้องมีจิต(ธาตุรู้) ไม่อย่างนั้น จะรู้นิพพานได้อย่างไร<O:p</O:p
    คือจิตของคุณต้องเป็นวิญญาณธาตุและรู้นิพพาน<O:p</O:p
    เคยได้ยินไหม ดับผู้รู้(จิต)จึงจะถึงนิพพาน<O:p</O:p
    จิตหรือวิญญาณธาตุ เป็นธาตุรู้ คือรู้อารมณ์ <O:p</O:p
    ในนิพพานเป็นสภาพไม่มีผู้รู้ ไม่มีเราไม่มีเขา ไม่มีอารมณ์ใดๆ ที่ต้องรู้<O:p</O:p
    เป็นอนัตตา (หรือสุญญตา ตามพุทธะนิกายเซน)<O:p</O:p
    จิตที่สิ้นการปรุงแต่งแล้ว จะเป็นจิตชนิดไหน<O:p</O:p
    ส่วนจิตที่ยังเป็นเราเป็นเขา ยังมีผู้รู้ จะรู้นิพพานแบบไหน?<O:p</O:p
    นิพพานของตัวเราตัวเขา เป็นแบบไหน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เคยได้ยินถ้อยคำเหล่านี้บ้างไหม เขามีนัยยะอะไรกัน <O:p</O:p
    อาทิ.. สรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน <O:p</O:p
    เราคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือเรา<O:p</O:p
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ..ฯลฯ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    โลกกุตรธรรมเป็นธรรมเกินภาษา เกินความนึกคิดใดๆ <O:p</O:p
    ขนาดบางคนเกิดถิรสัญญาตรงนั้นแล้ว ก็ยังไม่กระจ่างแจ้ง ยังต้องเป็นผู้ศึกษาต่อ<O:p</O:p
    การจะรู้อะไรมากขึ้น ต้องอย่ายึดความรู้ที่มีอยู่ ซึ่งไม่รู้ถูกผิดขนาดไหน <O:p</O:p
    ยิ่งปล่อยวางความรู้ จะยิ่งเข้าไปรู้.. .. สัพเพ ธํมมา อนัตตา<O:p</O:p
    เราก็ว่าไปตามที่ได้ศึกษามา ไม่ได้รู้อะไรมาก<O:p</O:p
    ยิ่งศึกษา ก็เห็นแต่ว่า ตัวเองยิ่งไม่รู้อะไร<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)


    ({)<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2010
  8. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ตราบใดที่ยังเหนียวแน่วในสิ่งใดนั่นย่อมทำให้เกิดทิฐิ ความยึดมั่นในความคิด
    เมื่อใดที่วางทิฐิลง เมื่อนั้นเข้าสู่การปฏิบัติธรรม เข้าสู่การมีสติ...

    สิ่งใดที่เป็นแนวทางที่ถูกเหลือเกินแน่นอนเหลือเกินชั้นมั่นใจเหลือเกิน เมื่อยึดมั่นหมายเมื่อใด ก็เข้าสู่ความผิดพลาดทันที...

    ทุกๆบุคคลย่อมมีทิฐิของตัวเองที่ยึดไว้อย่างเหนียวแน่น เป็นเรื่องปรกติธรรมดา ถ้าจะถามหาความผิดความถูกแล้วก็ เรียกว่าเคยถูกบัดนี้ยึดไว้ก็ผิดซะแล้ว...

    ยึดหลวมๆ กำหลวมๆ อย่าให้มั่น ยึดไว้เป็นแนวทางพิจารณา คิดไว้ในใจเตือนตนเองเสมอว่า แม้แต่ความคิดและสิ่งที่ยึดมั่นจนเป็นทิฐินั้นมันก็ไม่แน่ๆ ไม่แน่แปรเปลี่ยน...

    ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทิฐิ อัตตา มันก็ไม่แน่แปรเปลี่ยนสลายตัว มันก็แน่นอนของมันอยู่อย่างนั้นจริงๆ...

    ยึดไว้ก็เพื่อวางมันลง วางมันลงได้ก็เบาลง เบาลง อุปมาเหมือนคนแบกของ ถ้ามันเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรที่มันหนักๆอยู่ก็วางมันลงบ้าง แล้วพอมันเริ่มสบายแล้วก็หยิบขึ้นมาแบกใหม่ให้สนุก ก็หยิบๆวางๆจนมันเบื่อไปเอง เห็นโทษเมื่อไหร่ว่ามันลำบากเหลือเกิน...

    หยิบกับวางก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรม รู้ว่าหยิบรู้ว่าวาง รู้ว่ายึดรู้ว่าปล่อย ปัญญาเกิดได้...
    ไม่รู้ว่าหยิบไม่รู้ว่าวาง ไม่รู้ว่ายึดสิ่งใดปล่อยสิ่งใดอยู่ ไม่รู้ว่าปัจจุบันยึดสิ่งใดอยู่ ปัญญาไม่เกิด...

    ไม่ยึดไม่ปล่อย เพราะไม่รู้ก็มี...
    ไม่ยึดไม่ปล่อยอย่างแท้จริง ไม่ยึดสิ่งใดๆเลยอย่างแท้จริงก็หลุดพ้น...

    หยิบแล้วก็วาง วางอันนี้แล้วก็หยิบอันนนู้น ยังวางไม่ได้อย่างแท้จริงก็อย่าไปกำมันแน่นหนัก...

    ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ได้สอนใคร แค่เอากิเลสเอาทิฐิของตัวเองมาให้ดูเล่น...
    อ้าวลืมไม่เข้าเรื่องกระทู้เลยคุยเอามัน 555
    เอาเป็นว่าวิญญาณขันธ์หรือไม่ขัน มันก็เหนียวๆหนืดๆละกันเนอะ...

    :)
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ต้อง ไปสังเกตุ เรื่องวิญญาณ กันให้ดีในใจก่อน แล้วจะรู้ว่า อะไรเป็นอะไร

    นี่ยัง ไม่เข้าใจวิญญาณ ไม่เคยเห็นวิญญาณ กันเลย จะไปเถียงคนตาดีได้อย่างไร

    การไปหยิบตรงนั้นตรงนี้มา อนุมาน ก็เทียบเคียงกันแค่ สัญญา

    ผมเคยอธิบายเรื่องวิญญาณ มาแล้ว สรุปว่า เมื่อเข้าไปรู้จึงจะรู้ เช่นเข้ามาอ่าน จึงจะรู้

    ถ้าไม่เข้ามาอ่าน ก็ไม่รู้ การเอาใจไปจับกับอะไรก็รู้สิ่งนั้น

    เมื่อที่สุด ไม่ไปจับกับอะไรเลย แต่มันก็มี ใจนี้แหละ แต่ไม่ไปจับกับอะไรเลย เรียกว่า ใจแท้ จิตแท้ ทีนี้ พอจิตแท้สว่างสไว แล้วเราไปเผลอมอง นิดเดียวมันก็เรียกว่า อวิชชา

    ทีหลวงตาท่านบอกว่า ยังมีต่อมผู้รู้ อยู่ที่ใด แสดงว่ายังมีอวิชชา นั้นหมายถึงตรงนี้ คือ เผลอ เข้ามาดู แม้กระทั่ง จิตตนเอง ว่ามันสว่างสไว

    แต่คนยังไม่เข้าใจ นี่ขี้เกียจจะอธิบายให้ฟัง


    <o></o>
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อุปมาแบบนี้ เรามีตัวเรา เดินไปไหนมาไหน แต่เราไม่เคยหันมามอง เราก้ไม่ได้เห็นตัวเรา

    แต่นั่นไม่ใช่ เพราะว่า เราไม่มีอวิชชา แต่เราเอาใจเราไปสนใจกับสิ่งอื่น ก็เรียกว่า เผลอหนักเข้าไปอีก

    พอย่นเข้ามาเอาใจเข้ามาดู กาย ดูใจเรา มันก้เริ่มเห็น พอเริ่มเห็น นั่นแหละ รู้ที่เรา รู้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึง จิตดวงสุดท้าย แต่ถ้าเราลองสังเกตุดูว่า ถ้าเราไม่ดู เราก็ไม่เห็นสิ่งเหล่านี้

    นี่แหละ พอมันว่างมันก้ว่างไปหมด แล้วว่างนั้น เรายังจะให้มันรู้ ก็เท่ากับเรายังไปรู้มันอีก

    แต่ทั้งนี้ ไม่ได้จำกัดสิืทธิว่า เราจะต้องไม่รู้อะไรอีก เพียงแต่ เท่าทัน รู้แล้วทิ้งลง ก็กลายเป็นว่างดังเดิม

    นี่ ขอพูดอย่างหนึ่ง ที่อธิบายให้ฟังนี่ มีหลายคน ชอบไปคิดว่า นายขันธ์ มาอวดรู้ ก็จะบอกเลยว่า ถ้าคนรู้ไม่พูด แล้วมันจะเอาความรู้ที่ไหนมากัน

    แล้วอย่ามาตำหนิธรรม มันบาปกรรม ให้แย้งด้วยเหตุด้วยผล แต่ว่า ถ้ามาบอกว่า ท่านต้องทำแบบนั้น ท่านต้องทำแบบนี้ นี่มันกิเลส เพราะใครๆ ก็บอกได้ว่า ไอ้ตรงนั้นไม่ดี ตรงนี้ไม่ดี นี่จิตมันมีเวทนา มาก เห็นใบไม้ปลิวมันก็เอะใจ นั่นแบบนั้น

    แต่ถ้าธรรมแล้วจะมีแต่เหตุแต่ผล เอามาฟาดฟันกัน ไม่ใช่เอากิเลสมาตำหนิ
     
  11. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    คนแบกของสองคน เดินแบกของมาด้วยกัน เพื่อจะไปถึงที่เดียวกันคุยกัน

    คนหนึ่ง : เป็นไงวะของเอ็งมีอะไรมั่ง
    คนสอง : โหเยอะชิปหายเลยหวะ มีไอ้นู่น ไอ้นี่ แล้วก็ไอ้นั่น

    คนหนึ่ง : เออของข้าก็เยอะเเหมือนเอ็งเลยเผลอๆจะหนักกว่าเอ็งอีกแหน่ะ แต่ของก็คล้ายๆกันเนอะ
    คนสอง : เหรอ..อืมงั้นเอาอย่างงี้กันดีไม๊ อันไหนข้าไม่มีข้าขอยืมเอ็ง อันไหนเอ็งไม่มีเอ็งยืมข้า ไหนๆต่างคนก็แบกมาหนักแล้ว ถึงมันจะคนละยี่ห้อหรือคนละรุ่นของก็ไม่ค่อยเหมือนกันดูสิเพื่อแบ่งกันใช้ให้เกิดประโยชน์ระหวางทางได้บ้าง..

    คนหนึ่ง : เออดีหวะ รู้งี้ข้ากับเอ็งเดินคุยกันช่วยเหลือกัน แบ่งกันยืมกันใช้ของก็ดี ไม่เหงา เผื่อจะเร็วขึ้นเพราะยังไงข้าก็ต้องเดิน เอ็งก็ต้องเดิน ไหนๆก็ไปเพื่อทางเดียวกัน
    คนสอง : แต่ถ้าให้ข้าถือของเอ็ง หรือเอ็งถือของข้า เอ็งกะข้าก็คงไม่เอาทั้งคู่หละน้า...

    คนหนึ่ง : ข้าเห็นของเอ็งก็เยอะและหนักชิปหายเลย ใครจะไปถือของเอ็งหละวะ 555
    คนสอง : ของเอ็งเบามากเลยซิวะไอ้หำ...

    คนหนึ่ง,คนสอง : 555555 ไปงั้นเราไปกันต่อ 555...


    นิทานคั่นเวลา ขำๆ :)
     
  12. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    โมทนากับท่านขันธ์ และก็กับท่านอื่นๆทุกท่านด้วย
    ผมเองก็เข้ามาอ่านธรรมประจำจากท่านๆทั้งหลาย ก็ได้ความรู้มากมาย

    ก็เห็นด้วยกับท่านขันธ์และคนอื่นๆ
    ที่ว่าอย่าประมาทในธรรม อย่าเพ่งโทษบุคคลอื่น คุยกันเรื่องธรรมถกธรรมเป็นสิ่งดี แต่ถ้าว่ากล่าวเพ่งโทษหรือกระแทกกิเลสกันก็อาจจะมีมั่ง บางทีกิเลสผมมันก็ล้นจากใจเลยออกไป ทางคียร์บอร์ดมั่ง

    เอาธรรมมาฟัดกันดีได้อะไรกลับไป เอากิเลสมาฟัดกันบาดเจ็บใจกลับไป..
    ยังไงก็โมทนาสาธุ ธรรมกับทุกๆท่านที่จุดประกายปัญญาให้

    รออ่านกระทู้จิตกับวิญญาณขันธ์ต่อเพื่อความกระจ่างแจ้ง :)
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2010
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นี่ยกตัวอย่างมาให้ดู ว่า คนที่พูดมาก คนที่ไร้สาระ นี่พระพุทธองค์ประณาม

    คนที่โดนนายขันธ์ ตำหนิ ไป นั้นให้ไปดูได้ว่า มันเป็นอย่างไร มันทำอะไรกันไว้

    ขอนอกเรื่อง
     
  15. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    “จิต ดั้งเดิม” หมายถึงจิตดั้งเดิมแห่ง “วัฏฏะ” ของจิตที่เป็นอยู่นี่ ซึ่งหมุนไปเวียนมา

    ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในหลักธรรมว่า
    “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จิตเดิมแท้ผ่องใส แต่อาศัยความคละเคล้าของกิเลสหรือกิเลสจรมา
    จึงทำให้จิตเศร้าหมอง”



    “จิตเดิมแท้”
    นั้นหมายถึงเดิมแท้ของสมมุติต่างหาก
    ไม่ได้หมายถึงความเดิมแท้ของความบริสุทธิ์


    “ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ ภิกฺขเว” “ปภสฺสร” หมายถึง ประภัสสร คือความผ่องใส ไม่ได้หมายถึงความบริสุทธิ์

    ความผ่องใสนั้น คือตัว “อวิชชา” จนกว่าจิตนี้จะได้ผ่านจากความผ่องใสนี้ไปแล้วเข้าถึง “วิมุตติจิต”
    ความผ่องใสนี้จะไม่ปรากฏตัวเอีก
    เป็นขณะจิตที่ขาดจาก “สมมุติ” วิมุตติกับสมมุติขาดจากกัน “อรหัตมรรคพลิกตัวเข้าถึงอรหัตผล”
    หมายความถึงขณะจิตนั้นอวิชชาได้ดับสิ้น ท่านเรียกว่ามรรคสมบูรณ์เต็มที่แล้ว ก้าวเข้าถึงอรหัตผล
    “อันเป็นธรรมและจิตที่สมบูรณ์แบบ”



    คำว่า “นิพพานหนึ่ง” ก็สมบูรณ์อยู่ภายในจิตดวงนี้
    คือเป็นอิสระอย่างเต็มที่แล้ว ไม่มีกิริยาใดที่แสดงอีกต่อไปในการถอดถอนกิเลส
    นั่นท่านเรียกว่า “นิพพานหนึ่ง”



    ผู้ชำระจิตบริสุทธิ์แล้วท่านไม่ได้มาเกิดอีก เป็นจิตของพระอรหันต์ท่านเท่านั้น
    เรียกว่า “วิมุตติจิต” เป็นจิตแท้ นี้ต้องเป็น “ความบริสุทธิ์” หรือ “สอุปาทิเสสนิพพาน”
    นอกจากนี้ไม่อาจเรียก “จิตแท้”



    ปล.ได้ยินได้ฟังจากพ่อแม่ครุจารย์ ท่านฯได้เมตตาอบรม
    ตนเองยังห่างไกลจากธรรมเรื่องที่ยกมาแสดงมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มกราคม 2010
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846


     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ครับ พี่ไมยราพ ลองไปฟังเองไหม ตามลิ้งครับ เรื่อง ไฟลลที่ 004 พุทธสติ 3 สนทนาธรรมกับหลวงปู่หล้า .mp3
    หรือ จะมาฟังที่ห้องประเทืองปัญญา

    ลองดูก่อน ว่าจะล้านเปอร์เซ็น อย่างที่พี่ไมยราพว่าหรือเปล่า ลองดูครับ
     
  18. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ผมก็บอก ตรงๆ ว่าเสียงหลวงปู่ บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต

    ส่วนชื่อไฟลล์ที่ผมเขียน ว่า มิจฉาทิฐิ ผมอัดไว้ในเครื่องผมและตัดไฟลล์มาตั้งชื่อไฟลล์ ไว้ในเครื่องผม เพราะ ว่าตัดมา บางส่วน ...




    พี่ไมยราพ ก็ มาบอกว่า ล้านเปอร์เซ็นแล้วนี่ครับ ... ก็เลย หาลิ้งมาให้ เผื่อ จะได้ อะไรบ้าง
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คนที่โดนนายเก่งตำหนิล้วนแต่เป็นผู้หลงทั้งสิ้น หลงในความรู้อันเป็นตัวก่อภพชาติ ทั้งที่สิ่งที่เอามาพูดนั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่หาได้ไม่ยากเย็นเลยเพียงรู้จักประติดประต่อเนื้อความ แถมเป็นพวกชอบถือทิฐิว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น เหลือเต็มประดา หลงว่าตนเองเป็นอริยะบุคคลทั้งที่กิเลสตัณหาก็ไม่ได้ละคลายเลยสักนิดเดียว ยังคิดว่าผู้อื่นเพ่งโทษตนทั้งที่เขาเตือนตนเพราะ ด้วยตนเองนั่นแหละกระทำแต่สิ่งที่ไร้สติ แล้วยังจะบอกว่าตนเองเป็นในสิ่งนั้นอีก ใครจะคิดอย่างไรก็ช่างนายเก่งมองแล้วว่า นี่ไม่ใช่ลักษณะของของผู้มีจิตในระดับอริยะบุคคล ถ้าผมจะเอาคำพระศาสดามาสอนคงมีมากมายเหลือเกินสำหรับตัวท่าน ผู้กำลังหลง หลงคิดว่าเขาเพ่งโทษตน ทั้งที่เริ่มต้นก็มาจากความไร้สติและปัญญาที่แท้จริงว่า ความเกี่ยวข้องของพระธรรมกับปัญญานั้นมาจากอะไร มันเริ่มจากตรงนั้นและมันเริ่มจากทิฐิที่คิดว่าตนนั้นบรรลุธรรมจึงคิดว่า ผู้อื่นที่ไม่เหมือนตนนั้นไม่ใช่ทาง นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่วิสัยของพระอริยะเลยสักนิดเดียว สำหรับผมแค่ตัวหนังสือหรือตำราจะหาอ่านเอาได้คงไม่ยาก แต่ความจริงถ้าคิดดีและเป็นกุศลไม่ใช่ไปว่าคนอื่น ด่าคนอื่น เพ่งโทษผู้อื่น ทั้งที่จิตตนนั้นสกปรกและต่ำเหลือเกินผมก็ไม่นำมาชี้บอกหรอก ผมไม่สาปแช่งใครเพราะกรรมนั้นเป็นของเขา หากคิดว่าเป็นอริยะบุคคลจริงก็ลองดู ว่านรกจริงๆนั้นมันจะเกิดเมื่อไหร่ หากถือทิฐิอยู่อย่างนี้ ผมเห็นว่า มรรค ในตัวท่านก็ไม่มี ผล ในตัวท่านก็ไม่มี แค่นกแก้วนกขุนทองธรรมดา นิพพาน ของท่านนั้นแค่ตัวหนังสือ หาใช่อริยะบุคคลแต่อย่างใดเป็นเพียงอุปทานไปด้วยกิเลสที่หลอกลวงตนมานานนับไม่รู้กี่ปี แค่คนอย่างท่านนี้ถ้ามีสักร้อยคนโลกมีแต่วุ่นวาย ท่านก็ยังไม่รู้ตัวในสิ่งที่ผมชี้ไป แล้วยังจะดึงดันคิดว่าตนเป็นอริยะบุคคลอีก ก็บอกให้ย้อนไปพิจารณาให้ดีๆ ก็ยังไม่ฟัง มีแต่ทิฐิ มานะ ยังกล้าบอกว่าคนอื่นเพ่งโทษตนอีก อริยะบุคคลปัญญานิ่มแบบนี้มีแต่จะพาผู้อื่นหลงทางออกนอกทางที่พระศาสดาสอน แต่ผมไม่กังวลแล้วเพราะตอนนี้คนหลายคนเริ่มมีปัญญาพิจารณาถ้อยคำทั้งหลายได้ ด้วยตัวของเขาเองแล้ว
    จึงไม่กลัวว่าอะไรจะเป็นอะไรและหวังว่าคงเข้าใจ ให้ถูกต้องเรื่องการเพ่งโทษ และพิจารณาให้ดีๆว่า มันเริ่มจากอะไร มันเป็นเรื่องการเพ่งโทษหรือการชี้จุดที่ยังไม่ถึงความเป็นอริยะบุคคล มองอะไรแคบๆอยู่ในกรอบกระดาษตัวหนังสืออย่างนี้จะให้บอกว่ามีปัญญามานั้นก็คงบอกว่า ก็มีคนบางคนเท่านั้นที่กล่าวยกย่อง และก็มีคนบางคนไม่อยากกล่าวอะไร แต่ก็มีคนบางคนเท่านั้นที่กล้าตำหนิเพราะไม่ได้มีเหตุผลต้องกลัวเพราะจิตเจตนาที่แตกต่างกัน เพราะกิเลสที่เกาะอยู่ในสันดานเรามันต่างกัน จึงทำได้และมีสองชนิดด้วยคือ หวังดีและหวังร้าย เวลาท่านทั้งหลายอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ท่านคิดว่า ปัจจุบันท่านเป็นเช่นไร และผมก็ยืนยันว่าหากทำแบบนี้อยู่อีกสำหรับท่านที่ใช้ยูสเซอร์แนมว่าขันธ์ เอาธรรมบังหน้าคอยว่าผู้อื่นอยู่อย่างนี้ แม้อยากเป็นพุทธภูมิก็ตกนรกได้ด้วยตัณหาอันสกปรกนั้น แม้อยากบรรลุธรรมเบื่องต่ำในชาตินี้ก็ไม่อาจเป็นได้เพราะด้วยเหตุผลเดียวกัน นั่นแหละ

    เพราะจิตตนสร้างสรรค์ปรุงแต่งขึ้นมาเองแท้ๆว่าเขาเพ่งโทษตน เพราะหลงคิดว่าตนนั้นสูงส่งเทียมฟ้า จนหลงลืมธรรมที่นำมา หาได้ใช้กับตนแต่อย่างใด
    ผมก็ทำได้เพียงส่งความสงสารไปให้คุณที่ใช้ยูสเซอร์เนมว่า ขันธ์ เช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2010
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เสียงหลวงปู่หล้าครับ ที่มากับลิ้งค์ของท่านวิมุตตินะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...