พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    โมทนา สาธุ สาธุ
     
  2. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  4. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    สงสัยสมาชิกเราโดนริดรอนสิทธิ์หรือเปล่าครับท่านรองฯ ?

    ต้องยอมรับว่าตาลุงข้างบ้านนี่มีได้ทุกแขนงเลย เจ๋งจริง...พิมพ์เจ้าสัว ด้านหลังคมขนาดนี้ ข้างหน้าจะงามขนาดไหนหนอ? องค์หลังนี่กลักไม้ขีดเปล่าครับ ขอบคุณครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอบคุณครับ

    และเมื่อวันอาทิตย์ ผมได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม จำนวน 1 โถ เพื่อบรรจุไว้ที่วัดป่าภูเขาทอง อ.สุคีริน จ.นราธิวาส ซึ่งเขาด้านหลังของวัด จะเป็นดินแดนของประเทศมาเลเซีย มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาแจ้งข่าวเรื่องของการสร้างล็อกเก็ต "คณะพิทักษ์พระพุทธศาสนา" เพิ่มเติม..

    เมื่อวานนี้ ผมได้ไปกราบเรียนและขออนุญาตเรื่องของพิธีพุทธาภิเษกกับท่านอาจารย์ประถม เรียบร้อยแล้ว และท่านได้อนุญาตเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น งานแรก 3 เรื่อง ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

    1.การขออนุญาตจากองค์หลวงปู่ทั้ง 9 พระองค์ (หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า , หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า , หลวงปู่แจ้งฌาณ , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)

    2.การขออนุญาตและกราบนมัสการพระอาจารย์รูปหนึ่ง

    3.การขออนุญาตท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

    หลังจากนี้ไป ยังมีงานอีกพอสมควรก็คือ
    1.การดำเนินการสร้างล็อกเก็ต
    2.การนำล็อกเก็ต ไปติดมวลสารและพระพิมพ์ด้านหลัง
    3.การดำเนินการเกี่ยวกับพิธีพุทธาภิเษก
    4.เรื่องของอาหาร , เครื่องดื่ม และอื่นๆในวันงาน

    ผมคงต้องรบกวนท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ทั้ง 4 เรื่องนี้ หากท่านใดมีความถนัด หรือ ประสงค์ที่จะร่วมกันทำงาน แจ้งผมด้วยนะครับ

    ส่วนวันงาน ผมจะ Email ไปแจ้งในรายละเอียดอีกครั้งครับ

    ขอบคุณครับ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในเรื่องการขออนุญาตจากองค์หลวงปู่ทั้ง 9 พระองค์ (หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า , หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า , หลวงปู่แจ้งฌาณ , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)

    ผมขอขอบคุณพี่สิทธิพร ที่ช่วยเป็นธุระในเรื่องนี้และเรื่องของการสร้างล็อกเก็ต

    ในเรื่องอื่นๆ คงต้องรบกวนเพิ่มเติมอีก ผมจะโทร.ไปหานะครับ

    ขอบคุณครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานสอนใจ : ฟรานซิสผู้ไม่เคยแก่งแย่ง
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>24 มกราคม 2553 11:54 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> นานมาแล้ว มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่า หมูบ้านลอแลง หมู่บ้านนี้มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่มีอาชีพทำการเกษตร

    อยู่มาปีหนึ่ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านจึงไม่อาจปลูกพืชผักได้ ภัยแล้งดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในหมู่บ้าน ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดเห็นจะเป็นคนยากจนและเด็ก ๆ ซึ่งพากันร้องไห้กระจองอแงจนดังระงมไปทั้งหมู่บ้าน

    ในขณะที่หมู่บ้านแห่งนี้กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต ก็มีเศรษฐีใจบุญคนหนึ่งเดินทางผ่านมาพอดี เสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ ทำให้เศรษฐีเกิดความเวทนาสงสารเป็นอย่างมาก เมื่อสอบถามชาวบ้านจนได้ใจความแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เศรษฐีใจบุญจึงตัดสินใจแวะพักที่หมู่บ้านแห่งนี้ก่อน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เด็ก ๆ และชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เศรษฐีใจบุญได้เข้าพบหัวหน้าหมู่บ้าน และถามว่าตัวเขาเองนั้นพอจะช่วยอะไรคนในหมู่บ้านนี้ได้บ้าง หัวหน้าหมู่บ้านจึงขอร้องให้เศรษฐีช่วยบรรเทาความหิวโหยของเด็ก ๆ ก่อน ส่วนความช่วยเหลืออื่น ๆ คาดว่าทางการจะส่งมาถึงหมู่บ้านในไม่ช้า

    เมื่อได้ยินเช่นนั้น เศรษฐีจึงขอให้หัวหน้าหมู่บ้านประกาศแก่เด็ก ๆ ว่า ทุกเช้าขอให้เด็กไปรอที่หน้าประตูโบสถ์ เขาจะนำขนมปังมาแจกจ่ายให้ทุกวัน จนกว่าความช่วยเหลือจากทางการจะมาถึง

    เช้าวันรุ่งขึ้นจึงมีเด็กมารอการแจกขนมปังจากเศรษฐีจำนวนมาก และทันทีที่เด็ก ๆ เห็นถุงขนมปังก็กรูเข้ามาแย่งชิงโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใด ๆ แม้เศรษฐีใจบุญจะบอกให้ใจเย็น ๆ แต่เด็ก ๆ เหล่านี้อดอยากมานาน และอยากได้ขนมปังมาประทังความหิวของตน จึงไม่มีใครฟังคำขอร้องของเศรษฐีใจบุญ เด็กบางคนแอบหยิบขนมปังไปมากกว่า 1 ชิ้น บางคนผลักเพื่อนให้พ้นทางตน บางคนดึงทึ้งผมคนข้างหน้า บางคนถึงกับชิงเอาขนมปังจากคนที่ได้ก่อนไปหน้าตาเฉย

    การแจกขนมปังเป็นไปด้วยความวุ่นวายไร้ระเบียบที่สุด แต่เศรษฐีใจบุญก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเด็ก ๆ เขาเข้าใจดีว่าความหิวทำให้เด็กทุกคนต้องเอาตัวรอด

    ในตอนนั้นเอง เศรษฐีใจบุญเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนมองเพื่อน ๆ แย่งขนมปังอยู่นอกกลุ่ม และไม่มีทีท่ากระวนกระวายอยากได้ขนมปังเหมือนคนอื่น ๆ เศรษฐีรู้สึกแปลกใจจึงเดินไปหาเด็กหญิงแล้วถามว่า

    "หนูไม่อยากกินขนมปังบ้างหรือ"

    เด็กหญิงเงยหน้าอันซีดเซียวของเธอขึ้นมองเศรษฐี แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบว่า

    "หนูอยากรับประทานขนมปังค่ะ เพราะหนูหิวมากเหลือเกิน แต่หนูไม่อยากเข้าไปแย่งชิงขนมปังกับเด็กคนอื่น ๆ มันไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำร้ายกันเพียงเพราะขนมปังแค่ชิ้นเดียว แล้วเด็กเหล่านั้นก็เป็นเพื่อนเล่นของหนูทั้งนั้นเลยค่ะ"

    เมื่อเด็กคนอื่น ๆ ได้ขนมปังและถอยห่างออกไปจนหมดแล้ว เด็กหญิงจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปและหยิบขนมปังชิ้นเล็กเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ออกมาจากก้นถุง

    "หนูชื่ออะไรจ๊ะ เป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน" เศรษฐีใจบุญถามด้วยความรู้สึกสนใจในตัวเด็กหญิง

    "หนูชื่อฟรานซิสค่ะ หนูอยู่กับแม่สองคนในบ้านเช่าใกล้ ๆ กับโบสถ์นี่เอง แม่ของหนูเป็นคนรับจ้างทำความสะอาดบ้านค่ะ" เด็กหญิงตอบ พร้อมกันนั้นก็ได้กล่าวคำขอบคุณแก่เศรษฐีใจบุญที่ให้ความเมตตาช่วยบรรเทาความหิวแก่ตนและเพื่อน ๆ ก่อนจะกลับบ้านไป

    วันรุ่งขึ้น เด็ก ๆ ก็มารอการแจกขนมปังหน้าโบสถ์จากเศรษฐีใจบุญอีก บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวายเช่นเคย เศรษฐีใจบุญมองหาฟรานซิส และพบว่าเธอยังยืนรอให้เพื่อน ๆ หยิบขนมปังชิ้นโต ๆ ไปก่อนเหมือนเดิม เศรษฐีใจบุญมองดูเธอเดินเข้าไปหยิบขนมปังชิ้นเล็กที่สุดออกมาเป็นคนสุดท้าย จากนั้นจึงเดินเข้าไปคุยกับฟรานซิส

    "วันนี้หนูก็ได้ขนมปังชิ้นเล็กที่สุดเหมือนเคยนะ ดูดี ๆ แล้วฉันว่ามันเล็กกว่าชิ้นเมื่อวานด้วยซ้ำไป แล้วหนูจะกินพอหรือ" เศรษฐีใจบุญถาม

    "เท่านี้ก็พอค่ะ ท่านเศรษฐี ขอบพระคุณท่านอีกครั้งที่กรุณาเมตตาพวกหนู วันนี้หนูมีความสุขมากที่ได้รับความเมตตาจากท่าน" ฟรานซิสกล่าวขอบคุณแล้วเอาขนมปังกลับบ้าน โดยมีเศรษฐีมองตามด้วยความเอ็นดู


    เหตุผลที่ฟรานซิสไม่เคยกินขนมปังทันทีที่ได้ และเอากลับมาที่บ้านก่อนทุกครั้งนั้น เป็นเพราะเธอมีใจนึกถึงแม่ซึ่งต้องทำงานหนักและมีความหิวเช่นเดียวกับเธอ ดังนั้นฟรานซิสจึงไม่กินขนมปังที่ได้คนเดียว แต่เธอจะนำกลับมาให้แม่กินก่อน และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน..

    เมื่อมาถึงบ้าน ฟรานซิสเข้าไปกราบแม่ และส่งขนมปังที่ได้รับมาให้แก่แม่ของเธอ

    "มากินขนมปังด้วยกันสิลูก" แม่ของฟรานซิสบอกกับลูกสาว เมื่อเห็นเธอเข้าไปนั่งอ่านหนังสือตรงมุมห้อง

    "แม่กินเถอะจ้ะ ลูกเบื่อขนมปังแล้ว และวันนี้ลูกก็ไม่หิวเลย" ฟรานซิสตั้งใจปดแม่ เพราะเธอเห็นว่าขนมปังที่ได้รับในวันนี้มีขนาดเล็กมากเหลือเกิน หากแบ่งกันกิน เกรงว่าแม่ของเธอจะไม่อิ่ม

    "อย่าโกหกแม่เลยฟรานซิส ลูกไม่มีวันเบื่อขนมปังหรอก เพราะนี่คือสิ่งที่ลูกชอบมากที่สุด มาเถอะลูก มานั่งกินขนมปังนี้ด้วยกัน" แม่ของฟรานซิสกล่าวกับลูกสาวอย่างรู้ทัน พร้อมกับบิขนมปังออกเป็นสองชิ้น แต่แล้วฟรานซิสกับแม่ก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อมีเหรียญทองคำเหรียญหนึ่งตกลงมาจากขนมปังชิ้นนั้น

    "มีเหรียญทองคำอยู่ในขนมปังนี้ได้อย่างไรจ๊ะแม่" ฟรานซิสถามแม่ด้วยความตกใจ

    "ท่านเศรษฐีคงเผลอทำตกลงไประหว่างที่กำลังดูเขาทำขนมปัง ลูกจงเอาเหรียญนี้ไปคืนท่านเถิด" แม่ของฟรานซิสบอก

    ฟรานซิสจึงไปตามหาเศรษฐีใจบุญ และคืนเหรียญทองคำให้เขา

    "แม่ของหนูบอกว่า มันอาจจะตกลงไประหว่างการทำขนมปังน่ะค่ะ" เธอกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาใสซื่อบริสุทธิ์

    "การกระทำของหนูทำให้ฉันประทับใจมาก เหรียญทองคำนี้ฉันตั้งใจใส่ลงไปเอง เพื่อเป็นของขวัญที่หนูเป็นเด็กดี มีมารยาท และไม่แย่งขนมกับเพื่อน" เศรษฐีกล่าวพร้อมกับยื่นเหรียญทองคำอีกมากมายให้แก่ฟรานซิส และกล่าวต่อว่า

    "จงนำเหรียญทองคำนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของหนูและแม่ด้วยเถิด และจงรักษาความดีเหล่านี้ให้อยู่กับตัวหนูตลอดไป ฉันเชื่อว่าด้วยความดีทั้งหมดของหนู จะทำให้หนูเติบโตเป็นคนที่มีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> บทสรุปของผู้แต่ง

    มีตัวอย่างให้เห็นกันมามากว่า การไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตนเองด้วยการแก่งแย่งทำร้ายนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีใด ๆ เธออยากได้สิ่งเหล่านั้น ถึงขนาดยอมทำร้ายหัวใจตนเอง และเข่นฆ่าความสุขของผู้อื่นเลยหรือ ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่เธอได้มาจะมีความหมายอะไร

    คนที่ได้อะไรมาด้วยการแย่งชิงนั้น แม้จะได้รับชัยชนะจากการเป็นผู้ครอบครอง แต่เขาจะไม่มีความสุขกับสิ่งนั้นได้นานนักหรอก ในไม่ช้าเขาก็จะเริ่มไขว่คว้าหาสิ่งอื่นที่คิดว่ามีค่ายิ่งกว่าต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยสำคัญผิดว่าจะสามารถถมความต้องการที่ไม่มีวันเต็มของตนเองได้


    ผิดกับคนที่รู้จักการรอคอย และทำใจให้พอกับสิ่งที่ได้รับมา แม้จะไม่เคยแก่งแย่งแข่งขันกับใคร แต่การรอคอยอย่างมีสติจักนำพาสิ่งที่ต้องการมาอยู่ในครอบครองของเขาในที่สุด แม้สิ่งที่ได้มาอาจดูน้อยค่าเหลือเกินในความคิดของผู้อื่น แต่การรอคอยจะสอนให้เขารู้จักคุณค่าของสิ่งที่ได้รับ และความรู้จักพอจะสอนให้เขาตระหนักในสิ่งที่ได้รับมาว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับเขาเสมอ เขาจึงเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนมี และไม่ปรารถนาที่จะไขว่คว้าหาสิ่งเกินจำเป็นอื่นใดเพื่อมาเติมเต็มความต้องการของตนเองอีกต่อไป

    **************************

    ขอบคุณนิทานดี ๆ จากหนังสือ "นิทานสีขาว" เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ค่ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"นั่ง" นานเสี่ยงเสียชีวิต
    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000010451
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>24 มกราคม 2553 23:34 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเผย การนั่งเป็นเวลานาน ๆ ไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงาน นั่งเรียน นั่งขับรถ หรือแม้กระทั่งนั่งหน้าจอทีวี - คอมพิวเตอร์ เพราะนอกจากจะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพเพิ่มสูง ทั้งโรคอ้วน โรคหัวใจ ฯลฯ ยังอาจสูญเสียได้แม้กระทั่งชีวิตเลยทีเดียว

    Elin Ekblom-Bak นักวิจัยชาวสวีเดนจาก School of Sport and Health Sciences ผู้ทำการวิจัยในเรื่องดังกล่าวเปิดเผยว่า หน่วยงานด้านสุขภาพที่รับผิดชอบควรทบทวนถึงรูปแบบการทำงานที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ อีกทั้งการการแนะนำให้คนทำงานหมั่นออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอเสียแล้ว

    "หลังจากนั่งเป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง ยีนที่ควบคุมปริมาณของน้ำตาลและไขมันในร่างกายจะเริ่มหยุดการทำงาน ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อร่างกายแล้ว"

    ด้านทิม อาร์มสตรอง ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแห่ง WHO กล่าวว่า ผู้ที่ออกกำลังกายทุกวันแต่ก็ยังใช้เวลานั่งทำงานนาน ๆ ก็มีความเสี่ยงในด้านสุขภาพมากกว่าผู้ที่มีการขยับตัว ไม่นั่งนิ่ง ๆ ตลอดทั้งวันเช่นกัน

    นอกจากนี้ จากการเก็บข้อมูลชาวแคนาดาจำนวน 17,000 คนเป็นเวลา 12 ปี นักวิจัยยังพบว่า ผู้ที่นั่งทำงานมากชั่วโมงมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต ไม่ว่าพวกเขาจะออกกำลังกายหรือไม่ก็ตาม

    "ณ ตอนนี้ เรายังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า การนั่งเป็นเวลานานเท่าใดจึงจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่มีการค้นพบว่า ยิ่งคุณเปลี่ยนอิริยาบถมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพมากเท่านั้น" ทิมกล่าวปิดท้าย

    สำหรับผู้ที่อยากเปลี่ยนใจหันมารักสุขภาพ อาจลองเปลี่ยนจากการส่งอีเมลหากัน เป็นการเดินเข้าไปคุยงานแทนเป็นอันดับแรกก็ได้ค่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปิบเมนูลาบหมูดิบ หมดสติ เจอฤทธิ์พยาธิ

    http://hilight.kapook.com/view/45738


    [​IMG]

    เปิบเมนูลาบหมูดิบ หมดสติ เจอฤทธิ์พยาธิ (ไทยรัฐ)

    เมื่อวันที่ 24 ม.ค. แพทย์โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ รับตัวนายสอน คุ้มวงศ์ อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 75 ม.6 ต.บึงกระจับ อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ เข้ารักษาในห้องไอซียูหลังจากถูกส่งตัวมาจากโรงพยาบาลวิเชียรบุรีด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ม.ค. โดยไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นเจาะไขสันหลังพบพยาธิที่มาจากการบริโภคเนื้อหมูดิบกำลังจะลุกลามขึ้นสมอง หากพบแพทย์ช้า 1 วันอาจเสียชีวิตได้ ล่าสุด ผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัวและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

    ด้าน นางระเบียบ อุตสหะพันธ์ อายุ 51 ปี น้องสาวผู้ป่วย กล่าวว่า พี่ชายมีนิสัยชอบกินลาบเลือดดิบ ทั้งเนื้อวัวและเนื้อหมู ก่อนหน้านี้ พี่ชายซื้อเนื้อหมูดิบจากตลาดสดมาทำลาบดิบกินกับญาติอีก 2 คน จากนั้นมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงญาติจึงนำตัวส่งโรงพยาบาลวิเชียรบุรีและส่งมารักษาต่อที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ แพทย์ระบุว่า ผู้ป่วยได้รับเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอีส ซึ่งมีอยู่ในเนื้อหมูดิบ




    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ไทยรัฐ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2010
  11. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583

    อนุโมทนาด้วยครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับเรื่อง "ล็อกเก็ต คณะพิทักษ์พระศาสนา"

    ผมได้ข้อสรุปเรื่องของพระที่จะนำไปติดด้านหลังล็อกเก็ตเรียบร้อยแล้ว

    ผมจะนำ "ลูกอมปิดตา" ซึ่งรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ดีมากๆ (หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า และ หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า อธิษฐานจิต) มาติดด้านหลังล็อกเก็ต

    ส่วนท่านใดที่มีความประสงค์ที่จะทำเป็นพิเศษ ขอให้แจ้งผมมาด้วย

    ที่ว่าจะทำเป็นพิเศษนั้น ผมจะนำพระสมเด็จ พิมพ์แป้งกระแจะ บุเงิน หรือ บุทอง ,หรือ พิมพ์จิตลดา (จิ๋ว) บุทอง ติดด้านหลังของล็อกเก็ต แต่ต้องเพิ่มในเรื่องของค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หรือท่านใดที่มีอยู่ สามารถนำมาติดได้เช่นกันโดยแจ้งให้ผมทราบด้วย หากท่านใดที่มีความประสงค์ทำเป็นพิเศษ ขอให้แจ้งผมภายในวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553 นี้ ถ้าไม่มีท่านใดที่แจ้งความประสงค์กับผม ผมจะนำลูกอมปิดตาติดด้านหลังล็อกเก็ตครับ

    โดยส่วนตัวผม ผมจะนำพระจิตลดา บุทอง , พระสมเด็จ พิมพ์แป้งกระแจะ บุเงิน และบุทอง และลูกอมปิดตา ติดด้านหลังล็อกเก็ต จำนวน 1 องค์

    ขอบคุณครับ

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขออาราธนาพระบารมีองค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ขอให้คุณพ่อคุณแด๋น และคุณแม่พี่แอ๊ว รวมทั้งคุณแด๋นและพี่แอ๊ว หายจากอาการเจ็บป่วยโดยพลันด้วยเทอญ

    .

    หายเร็วๆนะครับคุณแด๋น และพี่แอ๊ว
    ด้วยรัก
    sithiphong

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ออฟฟิศ ซินโดรม" ระวังเซ็กซ์เสื่อม!
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 มกราคม 2553 16:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> นับเป็นเรื่องเตือนใจของใครหลายคน โดยเฉพาะสามี-ภรรยาที่บ้างาน ทำงานเกินเวลา จนชีวิตประจำวันคือการนั่งทำงานในออฟฟิศทั้งวัน และห่างไกลการออกกำลังกายเป็นประจำ

    ทั้งนี้ จากการทำงานจนไม่มีเวลาพักนั้น อาจก่อให้เกิดอาการปวดร้าวตามแขน ขา บ่า ไหล่ ที่ไม่หายขาด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาเหตุของโรค “ออฟฟิศ ซินโดรม” (Office Syndrome) โดยเจ้าโรคมนุษย์ทำงานนี้มักจะเกิดกับคนทำงานออฟฟิศที่สภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เหมาะสม จำพวกนั่งอยู่หน้าคอมเป็นเวลานานๆ ไม่ได้ขยับออกไปไหนเป็นชั่วโมงๆ ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดเมื่อยตามแขน ขา หลัง ไหล่ และอาการยอดฮิตคือปวดหลัง รองลงมาคือ ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหัว ซึ่งเชื่อว่าเป็นอาการที่เกี่ยวเนื่องกับเจ้าโรคออฟฟิศซินโดรม

    อย่างไรก็ก็ดี มนุษย์ทำงานวัย 16-24 ปี ตกเป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคนี้มากถึง 55% โดยเฉพาะสาวออฟฟิศทั้งหลาย เสี่ยงกว่าผู้ชายแถมไม่น่าเชื่อว่าเจ้าโรคนี้จะทำให้เกิดอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศตามมาอีกด้วย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ยิ่งไปกว่านั้น อาการปวดร้าวไปตามแขน ขา หลายครั้งพบว่าเกิดจากปัญหาของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะปัญหา การหดเกร็งของกล้ามเนื้อแบบ Office Syndrome ซึ่งเป็นโรคของคนเมือง ที่ทำงานออฟฟิศขะมักเขม้น ไม่ได้ออกกำลังกาย คุณภาพชีวิตไม่ดี พักผ่อนน้อย อาการปวดที่เกิดจากกล้ามเนื้อนี้ อาจจะรุนแรงน้อยหรือทรมานมาก และยาแก้ปวดก็ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ เนื่องจากการปวดจากกล้ามเนื้อหดเกร็งตัวนี้ มีอาการคล้ายกับกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท หรืออาจพบทั้งสองโรคพร้อมกัน เนื่องจากปัญหาของกล้ามเนื้อ และกระดูกสันหลังนั้นมีความสัมพันธ์กัน

    โรคกระดูกสันหลังที่สามารถกดทับเส้นประสาทที่พบบ่อยในคนทำงาน และมักจะถูกวินิจฉัยบ่อยๆได้แก่ โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้น (HNP) ช่องกระดูกเสื่อมตีบทับเส้นประสาท (Spinal Stenosis) กระดูกเสื่อมทับไขสันหลังส่วนคอ (CSM) หมอนรองกระดูกเอวเสื่อม (DDD) กระดูกสันหลังส่วนเอวเคลื่อนทับเส้น เป็นต้น

    และที่สำคัญ ความผิดปกติอย่างหนึ่งของผู้มีกระดูกสันหลังเบียดทับเส้นประสาท ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทย นอกจากปัญหาปวดคอ ปวดหลังแล้ว สิ่งที่คนมักมองข้ามไป คือ ปัญหาเรื่องการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ทั้งหญิงและชาย โดยอาจเกิดขึ้นจาก ความเจ็บปวดของเส้นประสาท ทำให้ลดความรู้สึกลง หรือ ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ เนื่องจากการกดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยมักจะมีอาการหย่อนสมรรถนะทางเพศแบบแฝงอยู่ได้ ทั้ง ไม่มีอารมณ์ นกเขาไม่ขัน หลั่งเร็วหรือช้าผิดปกติ และอื่นๆอีก สาเหตุเพราะกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทต่างๆมากมาย เลี้ยงการทำงานของแขน ขา และ อวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมทั้งควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ความรู้สึกต่างๆในร่างกายด้วย ดังนั้น ในกรณีที่มีการทำลายของการทำงานระบบไขสันหลัง หรือ การรบกวนการทำงานของ ไขสันหลัง จึงส่งผลทำให้เกิดการอ่อนแรงของแขนขา หรือแม้แต่การหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>'ต้อกระจก' โรคฮิตในผู้สูงอายุ รู้เท่าทัน ช่วยได้ทัน!
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 มกราคม 2553 10:45 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อาการตามัวในผู้สูงอายุ ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนหลายๆ คนไม่ได้ให้ความใส่ใจเท่าที่ควร เพราะคิดว่า “ท่านแก่แล้ว หูตาก็ฝ้าฟางเป็นธรรมดา” แต่นั่นคุณกำลังมองข้ามความสำคัญบางอย่างไป ซึ่งไม่ควรนิ่งนอนใจ ถ้าคุณ หรือญาติผู้ใหญ่ของคุณบอกกับเป็นนัยๆ ว่า ทำไมช่วงนี้มองอะไรไม่ค่อยชัดเลย หรือเวลาให้มองอะไรมักจะมองไม่ค่อยเห็นเหมือนแต่ก่อน

    อาการดังกล่าวข้างต้น เป็นสาเหตุอันดับหนึ่ง ที่จะเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า ต้อกระจกอาจจะเริ่มปิดบังความสว่างในการมองเห็นของญาติผู้ใหญ่แล้วก็ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจ และรู้เท่าทันกับโรคต้อกระจกก่อนจะคุกคามดวงตาไปมากกว่านี้ เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ ทีมงาน Life and Family มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากโรงพยาบาลกรุงเทพ นำมาส่งต่อความรู้ให้ลูกหลาน รวมถึงตัวผู้สูงอายุได้รับทราบเกี่ยวกับโรคนี้กันครับ

    หากอธิบายให้เข้าใจถึงโรคต้อกระจก เป็นภาวะที่เลนส์แก้วตาขุ่น แสงจึงผ่านเลนส์เข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง หรือบางครั้งการขุ่นนั้น จะก่อให้เกิดการหักเหแสงที่ผิดปกติไปโฟกัสผิดที่ ทำให้จอประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจึงมีสายตาพร่ามัว โดยไม่มีอาการอักเสบ หรือเจ็บปวดใดๆ และยิ่งเลนส์แก้วตาขุ่นยิ่งขึ้น การมองเห็นก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ

    สำหรับข้อเท็จจริงเบื้องต้นของโรคต้อกระจกนั้น หากเข้าใจให้ดี โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อแต่อย่างใด และจะไม่ลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งด้วย แต่ส่วนใหญ่ต้อกระจกจะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองตา โดยมีอาการอาจรุนแรงที่ไม่เท่ากัน ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ดังนั้น กว่าสายตาของผู้ป่วยส่วนมากจะขุ่นมัวจนรู้สึกได้ อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือน หรือหลายปี

    นอกจากนี้ การใช้สายตา และสภาวะของอาหารการกิน ไม่เป็นสาเหตุของต้อกระจก และไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น ที่สำคัญ ต้อกระจก ไม่ใช่โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ส่วนใหญ่ที่พบว่าญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวหลายคนเป็นต้อกระจกนั้น เพราะว่าการขุ่นของเลนส์แก้วตาในโรคต้อกระจก ที่เกิดจากการเสื่อมของเลนส์แก้วตาตามวัย คล้าย ๆ กับที่ผู้สูงอายุทุกคนจะมีผมหงอกขาวนั่นเอง

    *** หนทางการรักษาต้อกระจก

    ด้านแนวคิดเกี่ยวกับการรักษาต้อกระจกนั้น ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่ว่า ต้องรอให้ต้อกระจกสุกก่อนถึงจะทำการรักษาได้ผลดี โดยปัจจุบันมีวิทยาการในการรักษาโรคต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ที่เรียกว่าวิธี “สลายต้อกระจก” หรือย่อ ๆ ว่า “เฟโค” (Phacoemulsification) ซึ่งสามารถใช้รักษาต้อกระจกได้โดยไม่ต้องรอให้ต้อสุกก่อน และให้ผลการรักษาดีมาก ทำให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องทนทรมานกับสายตาที่มัวลงเพื่อรอให้ต้อสุก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัยและได้ผลดี โดยใช้คลื่นอัลตราซาวด์ไปสลายเลนส์แก้วตาที่ขุ่นแล้วดูดออกจนหมด เหลือแต่เยื่อหุ้มเลนส์ด้านหลังไว้เป็นถุงสำหรับให้จักษุแพทย์สอดเลนส์แก้วตาเทียมเข้าแทนที่

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=397 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=397>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพประกอบจาก www.kkict.org</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> การสลายต้อกระจกนี้ สามารถทำได้โดยการให้ยาชาเฉพาะที่เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ยาสลบ นอกจากนี้ แผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาวิธีนี้จะมีขนาดเล็กมากเพียง 3 ม.ม. จึงสมานตัวได้เป็นปกติอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเย็บแผล ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาล สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างรวดเร็ว และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

    แต่ทั้งนี้ ยังต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลความสะอาด และระวังไม่ให้มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกต่อดวงตา ขณะที่การรักษาด้วยการใช้ยาใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นยาหยอดตา หรือยารับประทาน ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถรักษา หรือยับยั้งการเกิดต้อกระจกได้

    *** ทำไมต้องใส่แก้วตาเทียม?

    ภายหลังจากการนำเลนส์แก้วตาที่ขุ่นเป็นต้อกระจกออกแล้ว ดวงตาจะไม่มีเลนส์แก้วตาทำหน้าที่รวมแสงอีกต่อไป การมองเห็นจึงยังไม่ชัดเจนเปรียบเหมือนกล้องถ่ายรูปที่ไม่มีเลนส์ ภาพจึงยังไม่โฟกัส จักษุแพทย์จะต้องใส่เลนส์แก้วตาเทียม เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน โดยเลนส์แก้วตาเทียมมีคุณสมบัติใส ทำมาจากสารพิเศษที่ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือปฏิกิริยาใด ๆ กับดวงตา มีอายุการใช้งานได้นานตลอดชีพ และจะอยู่ภายในถุงเยื่อหุ้มเลนส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของดวงตาคุณ โดยไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ

    อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยน้อยรายมากที่ไม่เหมาะสมในการใส่เลนส์แก้วตาเทียม ภายหลังนำต้อกระจกออกแล้ว เนื่องจากคนเหล่านั้นมีโรคของดวงตาบางชนิด ในกรณีนี้ผู้ป่วยอาจต้องใช้แว่นสายตาพิเศษหรือคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษทดแทนการใส่เลนส์แก้วตาเทียม

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>การมองเห็นเริ่มผิดปกติ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ทั้งนี้ การเลือกใช้เลนส์แก้วตาเทียมชนิดใดในผู้ป่วยแต่ละรายนั้น จักษุแพทย์สามารถให้ข้อมูลและคำแนะนำแก่คุณ เพื่อประกอบการตัดสินใจร่วมกันระหว่างคุณและจักษุแพทย์ผู้รักษาต่อไป แม้ว่าทุกคนจะหลีกเลี่ยงการเป็นต้อกระจกไปไม่พ้น แต่ด้วยวิทยาการอันทันสมัยของยุคปัจจุบัน ทำให้ต้อกระจกไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป ภายในเวลาไม่กี่นาทีของการสลายต้อกระจก คุณก็สามารถกลับมามองโลกได้สดใสอีกครั้งหนึ่ง

    *** ต้อหิน ต่างกับต้อกระจกอย่างไร?

    ในประเด็นนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเคยสงสัยกันว่า ต้อกระจก กับต้อหิน ต่างกันหรือไม่ เพื่อให้คลายสงสัย ทีมงานได้ทำการบ้านหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า ต้อหินเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคต้อ ตามที่คนเรียกกันโดยทั่วๆ ไป ที่พบได้บ่อย จะมีต้อกระจก ต้อเนื้อ ต้อลม และต้อหิน แต่ต้อหินเป็นต้อเพียงชนิดที่ไม่มีตัวต้อให้เห็น เพราะต้อหินเป็นกลุ่มโรคที่มีการทำลายขั้วประสาทตา ซึ่งเป็นตัวนำกระแสการมองเห็นไปสู่สมอง ซึ่งเมื่อขั้วประสาทตาถูกทำลายจะมีผลทำให้สูญเสียลานสายตา เมื่อเป็นมากๆ ก็สูญเสียการมองเห็นในที่สุด ซึ่งเป็นการสูญเสียชนิดถาวร ไม่สามารถรักษาให้กลับคืนมามองเห็นได้

    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญที่จะต้องดูแล และควรให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอวัยวะส่วนอื่นๆ ดังนั้นเมื่อมีอาการตามัว หรืออาการอื่นที่สงสัยว่าจะเป็นต้อกระจก ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยดวงตาโดยละเอียด เพื่อแยกชนิด และความรุนแรงของต้อกระจก โดยจักษุแพทย์จะต้องตรวจวัดความดันลูกตา และหยอดยา ขยายรูม่านตา เพื่อตรวจประสาทตาให้ทราบแน่ชัดว่าต้อกระจกเป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้ผู้ป่วยตามัวลง หรือมีโรคอื่นร่วมด้วยหรือไม่

    แต่เหนือสิ่งอื่นใด การรับประทานอาหารบำรุงสายตาที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นผัก หรือผลไม้ รวมทั้งการพักผ่อนสายตาให้เหมาะสม เมื่อต้องจ้องหน้าจอโทรทัศน์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จะช่วยถนอมดวงตาได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ เมื่อเกิดการอักเสบของดวงตา ไม่ควรใช้ยาหยอดตาใดๆ ทั้งสิ้น โดยไม่ได้คำปรึกษาจากแพทย์ เพราะอาจเกิดการแพ้ ไปจนถึงขั้นตาบอดได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในหลวง รับสั่งศาล อย่าทรยศต่อหน้าที่


    㹋Ň? Ñ?ʑ览҅ ͂蒷Âȵ荋?钷ը


    [​IMG]



    ในหลวงรับสั่งศาลอย่าทรยศต่อหน้าที่ (คมชัดลึก)

    "ในหลวง" มีรับสั่งแก่ตุลาการศาลปกครอง อย่าทรยศต่อความยุติธรรม แม้อาจมีบางฝ่ายไม่พอใจในคำตัดสิน แต่ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญและหนักแน่น

    เมื่อวันที่ 25 มกราคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองสูงสุด และตุลาการศาลปกครองชั้นต้น ตำแหน่งตุลาการศาลปกครอง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในโอกาสนี้ นายสุชาติ เวโรจน์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ด้วย

    ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ตอนหนึ่งว่า "ท่านทั้งหลายได้ปฏิญาณ ควรรักษาคือ คนที่ต้องตัดสินอะไรที่ควร ที่ไม่ควร ที่ดี ที่ไม่ดี ท่านที่ได้ปฏิญาณนี้มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย คือ ท่านต้องจัดการให้ปัญหาในการปกครองของประเทศเป็นไปโดยเรียบร้อย และท่านมีอำนาจที่จะตัดสินที่จะพิพากษา นั่นหมายความว่าท่านจะต้องรู้ อะไรควรไม่ควร นี่เป็นงานที่ท่านต้องทำ และมีความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อให้ประเทศชาติมีความเป็นธรรม

    การทำความดีหมายความว่า ทำอะไรที่เป็นจริง ที่เรียบร้อย ที่จะทำให้รู้ได้ มีความอยู่เย็นเป็นสุข ฉะนั้นงานของท่านก็มีความสำคัญไม่น้อย เพราะการพิพากษาเป็นหน้าที่ท่าน ของศาล ต้องพิพากษาเพื่อความเป็นธรรม ความเป็นธรรมนี้หมายความอะไรที่เรียบร้อย ที่ถูกต้อง ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปโดยดี เพราะฉะนั้นท่านมีหน้าที่สำคัญและต้องทำตามคำพิพากษา คำปฏิญาณที่ท่านได้กล่าวในหน้าที่ของท่าน ต้องจำว่าท่านได้ปฏิญาณตนว่า จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม

    ความเป็นธรรมนี้ก็หมายความว่าอะไรที่เรียบร้อย ซึ่งเป็นการปฏิบัติในสิ่งที่ดี เพราะว่าคนมีความคิดแตกต่างกัน จะต้องมาพิจารณาอะไรที่แตกต่างกัน และให้เห็นว่าอะไรที่ควรจะทำ ที่เป็นกลาง ที่เป็นความจริง เป็นความยุติธรรม ความยุติธรรมนี้หมายความว่า ยุติด้วยธรรม คือตัดสินว่าอะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม ซึ่งดูก็น่าจะง่าย แต่ความจริงไม่ง่าย เพราะแต่ละคนมีความคิดของตัว ถ้าใครที่ยึดติดในทางของตัว เรื่องของตัวเป็นยุติธรรม

    ความยุติธรรมมีอย่างหนึ่งคือเป็นยุติธรรมแก่ตัวแท้จริง ซึ่งน่าจะง่าย แต่ไม่ง่าย รวมทั้งความดีหรือเป็นความยุติธรรมแก่ตัว แต่ความยุติธรรมนี้ที่มีอันหนึ่งอันเดียว มีหลายแล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน ความต้องการของแต่ละคนต่างกัน แต่ถ้าเราอยู่ตรงกลาง บางทีท่านถูกว่า ถูกกล่าวว่าท่านเป็นคนที่ไม่ดี เพราะว่าไปตัดสินในสิ่งที่ไม่เป็นที่พอใจของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ถ้าท่านมี ท่านยึดติดกับคนที่ทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรม ก็เป็นกลาง ความเป็นกลางนี้ยากมาก เพราะต้องมีความคิดที่เป็นกลาง ท่านต้องมีความเป็นกลาง มีไว้ซึ่งความยุติธรรม ถ้าท่านทั้งหลายได้ทำหน้าที่ของท่าน และถ้าท่านทำไม่ได้ เท่ากับท่านทรยศต่อความยุติธรรม

    การทรยศไม่มีใครอยากจะทำ เพราะเป็นความไม่ดี เป็นความน่าเกลียด ท่านต้องพิจารณา ท่านปฏิญาณที่จะทำที่จะรักษาความยุติธรรม ก็ต้องสร้างความยุติธรรม คดีต้องมีความยุติธรรมของคดีนั้น ๆ ซึ่งถ้าท่านพิจารณาแล้วคิดว่าอะไรเป็นยุติธรรม ซึ่งมีอะไรที่เป็นกลาง ที่ถูกต้อง ท่านก็ชนะในความจริง ฉะนั้น ท่านต้องรักษาความยุติธรรมนี้และรักษาความยุติธรรมและปฏิบัติด้วยความกล้าหาญ หนักแน่น"


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก
    [​IMG]
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยรัฐ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมได้คุยกับพี่เอื้อย ในช่วงที่ผมได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ไปมอบให้เพื่อบรรจุตามวัดต่างๆทั่วประเทศ

    ผมเองมีความคิดอยู่ว่า จะนำพระวังหน้า ไปบรรจุตามวัดต่างๆทั่วประเทศให้ได้ ผมจะไปสั่งทำกล่องสแตนเลส และ ผมจะไปซื้อแผ่นทองเหลือง (ไว้ใช้ในเรื่องของการเขียนรายละเอียดของพระวังหน้า)

    กล่องสแตนเลส ที่ผมว่าจะไปสั่งทำ ผมเองจะสั่งประมาณ 10 ใบ เพื่อที่จะไว้ใช้ในการบรรจุพระวังหน้า แล้วนำไปบรรจุไว้ตามเจดีย์ต่างๆหรือตามวัดต่างๆ ผมจะทยอยทำไปเรื่อยๆ หากท่านใดที่มีพระวังหน้า ที่จะร่วมบรรจุ แจ้งผมได้เช่นกันครับ

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หนังสือที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร หากท่านใดสนใจไปซื้ออ่านกันได้

    หนังสือ "พุทธศาสนสุวัณณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย พระราชกวี(อ่ำ) วัดโสมนัสราชวรวิหาร กทม."

    [​IMG]
    7.3 KB, ดาวน์โหลด 647 ครั้ง

    [​IMG]
    9.8 KB, ดาวน์โหลด 521 ครั้ง
    21-01-2009 04:04 PM
    วัดโสมนัสวิหาร ราชวรวิหาร
    ๖๔๖ ถนนกรุงเกษม แขวงโสมนัส
    เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๐๐
    เบอร์โทร ๐๒-๒๗๑-๗๙๔๔
     
  19. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ขออาราธนาพระบารมีแห่งหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร หลวงปู่สมเด็จฯโต หลวงปู่กรมพระยาปวเรศฯ กับหลวงปู่อภิญญาใหญ่ ... ขอให้พี่แด๋น พี่แอ้ว หายป่วยโดยเร็วนะครับ

    สำหรับล็อกเกต ผมมีพระพิมพ์จิตลดาจิ๋ว ติดเพิ่มเติมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ :)
     
  20. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ผมขอมีส่วนร่วมฯ ในการนี้ด้วยนะครับ โมทนาสาธุครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...