ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สมุนไพร

    สมุนไพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +213
    บางครั้ง ทำถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ ทำถูกใจ แต่ไม่ถูกต้อง แล้วจะหาสาระของชีวิตได้อย่างไร
     
  2. สมุนไพร

    สมุนไพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +213
    คนสองคนเห็นกองอุจาระ คนหนึ่งว่าเป็นอุจจาระควาย อีกคนบอกเป็นกองอุจจาระวัว สุดท้ายบาดเจ็บทั้งคู่ แต่กองอุจจาระ ก็ยังเป็นกองอุจจาระอยู่วันยังค่ำ จะรู้ไปทำไมว่าเป็นอุจจาระใคร ไร้ประโยชน์สิ้นดี
     
  3. สมุนไพร

    สมุนไพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +213
    ขัดแย้งกันไปไย ก็ต้องตายเหมือนกันหมด มีชีวิตอยู่ เพื่อสร้างสาระประโยชน์จะดีกว่า
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ระวัง....การล่วงเกิน " ผู้มีธรรม "

    "ผู้มีธรรม" และ "ผู้ทรงธรรม" นั้น คล้ายกันในความหมาย ก็คือเป็นผู้ที่ยึดถือการกระทำความดี เป็นชีวิตจิตใจ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง และเป็น "คนดี" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คำว่าเป็นคนดีนั้น หมายความว่า....

    1. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อตนเอง
    2. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อคนอื่น
    3. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อตนเอง
    4. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อคนอื่น
    ต้องทำให้ได้ครบ 4 ข้อ เราจึงเรียกว่า "ความดี"

    "ผู้มีธรรม"....ต้องทำ "ความดี" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง "ผู้มีธรรม" นั้นมีทั้งภิกษุ สงฆ์ ผู้ทรงศีล นักบวช และฆราวาสที่มี "จิต" ดี เราไม่มีโอกาสจะทราบได้อย่างแน่ชัด 100 เปอรเซ็นต์เลยว่า...ใครบ้างเป็น "ผู้มีธรรม"

    นอกจากการสังเกต และการสันนิษฐานของเราเองและผู้อื่น "ผู้มีธรรม" นั้น ตัวท่านเองก็ไม่สามารถจะพูดให้ใครฟังได้ว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะบางทีตัวของ "ผู้มีธรรม" นั้นเอง ก็ยังไม่ทราบตัวท่านเองเลยว่า ท่านเป็นอย่างไร ?

    เพราะความเป็น "ธรรม" นั้น มันเป็นเรื่องของ "จิตใจ" ที่เกิดขึ้นมาจากความเป็น "ธรรมชาติ" ไม่สามารถหา ซื้อจากที่ใดได้ อาจจะติดมาจากอดีต แล้วมา "ปรุงแต่ง" เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในภาวะปัจจุบัน เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่รู้ว่าใครบ้างเป็น "ผู้มีธรรม" จงอย่าได้มีความประมาท เผลอไผลไปตำหนิติเตียน หรือทำร้ายท่านทั้งทางกายและใจ ด้วยใจที่เป็นอกุศล หรือต้องการประชดประชัน ตีวัวกระทบคราด ใช้คำไม่สุภาพ หรือล่วงเกินในสิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้จริง

    ความปลอดภัย เมื่อเราไม่รู้ว่าจะไป "ล่วงเกิน" ใครบ้างที่เป็น "ผู้มีธรรม" ควรทำอย่างนี้ เวลาจะออกความเห็นใด หรือกล่าวถึง ที่เป็นการกล่าวตรงข้ามกับความคิดเห็นหรือการกระทำของผู้อื่น ไม่ว่า ผู้นั้นจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือหลับหลังใครก็ตาม ควรกล่าวถึงหรือเขียนด้วยความเป็นสุภาพชน ไม่ใช้ถ้อยคำ กระแทกแดกดัน ประชดประชัน กล่าวส่อเสียด ดูหมิ่น เหยียดหยามหรือแสดงในสิ่งที่ไม่สมควรแสดง

    เพราะ "ผู้มีธรรม" ก็เป็นคนธรรมดา ย่อมมีความผิดพลาดได้เป็นของธรรมดา เมื่อทำผิดพลาด ก็ย่อมได้รับคำติเพื่อก่อ เพื่อสร้างสรรค์ เช่นคนอื่นได้เช่นกัน

    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านเองเคยมีคนหมั่นไส้ท่านอย่างไม่รู้สาเหตุ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?

    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านเคยถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากคนอื่น บางครั้งก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?

    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านมักจะมึนงงกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่รู้ทางแก้ไข บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ

    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านถูกกล่าวร้ายป้ายสีจากคนอื่น ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ

    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านพูดอะไรไปแล้ว ไม่มีคนเชื่อถือ หรือพูดอะไรไปแล้วคนไม่เชื่อ

    เหล่านี้คือ "กรรม" ที่ได้กล่าวล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"

    ตรงกันข้าม...ถ้าใครให้เกียรติ ให้ความเคารพ แม้ว่าจะติเพื่อก่อ หรือให้เหตุผลที่ตั้งบนความบริสุทธิ์ใจ "กรรม" ที่ได้รับก็คือ........ ไปไหน ทำอะไร พูดกับใคร ไหว้วานใคร ร่วมงานบุญกับใคร เจอะเจอใคร ? ก็มีแต่คนรักใคร่ เป็นที่ชื่น ชอบ เป็นที่รัก เป็นที่เคารพของหมู่ชนทั่วไป

    ลองสังเกตคนใกล้ตัว ไกลตัว หรือคนที่คุณรู้จัก ...ที่เป็นที่รักที่เคารพของคนทั่วไป ที่ไม่ใช่เพื่อนยกยอปอปั้น ชื่นชมกันเอง (ประเภทเขียนเอง..ชมเอง หรือไหว้วานให้คนอื่นมาชมแทน) ว่าเป็นเช่นนี้หรือเปล่า ? ถ้าใช่ ก็แสดงว่า คนๆ นั้นให้ความเคารพ "ผู้มีธรรม" อย่างดี

    อาจารย์ผมคนหนึ่งชื่อ อาจารย์ วิสุทธิ์ ปัญจะ เวลาท่านจะแสดงความคิดเห็นใด ต่อผู้ที่คิดว่าน่าจะเป็น "ผู้มีธรรม" ท่านมักจะขึ้นต้นว่า

    "ขออนุญาต ขอสอบถามเพื่อศึกษา เพื่อเรียนรู้ ว่า......" นั่นคือผู้ที่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร

    แต่พวกเรา..ไม่ต้องขนาดนั้น ไม่ต้องนอบน้อมขนาดนั้นก็ได้ เพียงแต่ว่า พูดคุย แสดงความคิดเห็น หรือแลกเปลี่ยนความรู้ กล่าวถึง ด้วยความสุภาพอ่อนน้อมให้เกียรติ คนอื่น ใช้กริยาวาจา (ข้อเขียน) ด้วยใจที่คิดว่ากำลังคุยกับเพื่อน ไม่ใช่คุยกับคนที่เกลียดขี้หน้ากัน

    การใช้วาจาตรงๆ ก็สามารถทำได้ เพราะการใช้วาจาพูดคุยกันตรงๆ ก็สามารถใช้คำพูดหรือข้อเขียนที่อ่อน น้อม สุภาพ ได้ คนปากกับใจตรงกัน หรือคนที่พูดตรงๆ ต่างจาก "คนปากพล่อย" มากมายนัก ในที่นี้ผมเพียงจะพูดถึงเรื่องการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" เพียงการพูด ทั้งการพูดต่อหน้าและลับหลัง การกล่าวถึง การตำหนิติเตียนด้วยความไม่ชอบ

    ยังไม่ได้พูดถึงการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วยการกระทำ เพราะแค่ล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วยวาจา ด้วยการกล่าวถึง ยังต้องได้รับ "กรรม" ที่หนักหนาสาหัสแล้ว ถ้าล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วยการกระทำด้วยแล้ว จะยิ่งสาหัสสากรรจ์มาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

    ผมได้รับการสั่งสอนจากครูบาอาจารย์หลายท่าน ให้เป็นอย่างนี้ และได้ถูกสอนให้เห็นถึงการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" อย่างชนิดที่ไม่ได้ถูกแค่สอนด้วยวาจา แต่ผมโดนสอนด้วยการถูกลงโทษจริงๆ จึงรู้..จึงเข้าใจว่า...การได้รับ "กรรม" จากการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" นั้น มันเจ็บปวดและทรมาน

    จึงไม่อยากให้ท่านที่พลั้งเผลอไปกล่าวล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ได้รับกรรมเช่นนั้น เมื่อเราไม่รู้ว่า ใครบ้างที่เป็น"ผู้มีธรรม" ก็จงอ่อนน้อมถ่อมตน ติเตียนด้วยความสุภาพ หรือแสดงความ คิดเห็นด้วยใจที่ไม่มีอคติ...ทำอย่างนี้เอาไว้ก่อน...ปลอดภัยกว่ากันเยอะ

    ผม (อโณทัย) ไม่ใช่ "ผู้มีธรรม" เพราะยังมีอารมณ์ มีความโกรธ ไม่ได้เป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตลอด 24 ชั่วโมง หรือตลอดเวลา และไม่ได้ทำความดีครบองค์ประกอบ 4 ประการ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ...ก็ตามใจท่าน ผมมีหน้าที่แค่ "บอก"

    "กรรม" ใดใครทำ คนนั้นเป็นคนรับครับ

    อโณทัย เขตต์บรรพต

    ที่มา http://www.extrasoul.com/old7.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2009
  5. สมุนไพร

    สมุนไพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +213
    เมื่อเข้าใจในสภาวะตนได้ดี ก็ย่อมเข้าใจสภาวะผู้อื่นเช่นกัน แตกต่างกันตรงไหน
     
  6. เซี่ยมหล่อนั๊ง

    เซี่ยมหล่อนั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +665
    คุณน้อง ครับ เราโตกันแล้ว ไม่ต้องคาดคั้นก็ได้ เดี๋ยวหายใจไม่ออก นะครับ ที่ผมแสดงก็ยังมีอีกหลายท่านก็ต้องการหลักฐาน ไม่ได้ติดใจอะไร แต่หากมีก็แสดง เรื่องก็จบ บอกแล้ว ว่าหากเห็นคนสงสัยเป็นคนจุดไฟ มันก็น่าคิดว่าใจกำลังร้อนตัวอยู่หรือเปล่า น้องเขาอาจไฟแรง ก็ไม่ต้องแสดงให้เสียกริยาละนะครับน้อง พี่เข้าใจ แต่ผมก็ไม่รู้จักด้วย เดี๋ยวจะถูกตู่ว่ารู้จักกันอีก บอกแล้ว ว่าอะไรที่ไม่สุภาพ เตือนได้ก็จะบอก คนไหนเลยเถิดไปก็ไม่คุยด้วย น้องว่าไง ใจเย็นหรือยัง เล่นซะชื่อเก๋เชียว คุณยายเบอร์หนึ่ง (เพราะเป็นผู้หญิงเบอร์หนึ่งนะถึงแปลให้ อย่าโกรธหละ)
     
  7. firstman

    firstman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +116
    กลับไปที่เดิม จับภาพพระ มีวิมาน แล้วยัง
     
  8. เซี่ยมหล่อนั๊ง

    เซี่ยมหล่อนั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +665
    ({)ด้วยความเคารพนะครับ ผมขอฝาก หน่อยนะครับ ว่า "ที่ว่าล่วงเกินผู้มีธรรม นะ กลุ่มเขากะลาหรือใครครับ :cool:
    ถ้าเตือนกันรวมๆ ก็รับไว้แก้ไขนะครับ แต่ถ้าไม่ใช่ ผมว่าข้อมูลนี้ก็น่าช่วยพิจารณาด้วยสองทางนะครับ จะได้ แฟร์ ๆ กัน และที่เอามาส่งให้อ่าน หากพาดพิงใคร :mad: ที่ว่าเป็นคนสามารถตัดสินได้ว่าใครเป็น level เท่าไหร่ ก็แย้งได้เช่นกัน นะครับ ยินดีรับฟัง เพราะมันเริ่มเสี่ยงนรกนะครับท่าน เพราะไม่ใครก็ใครต้องยกเมฆละครับ
    ..."""" :':)'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2009
  9. มองตน

    มองตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +116
    ความพยาบาทอาฆาตแค้น ... ล้วนเป็นทุกข์
    อันเป็นผลมาจากการส่งจิตออกนอก

    มารศาสนาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ใด
    หากแต่อยู่ในจิตใจของพวกเราทุกคน


    หยุด และให้อภัยซึ่งกันและกัน เป็นทางออกที่ดีที่สุด

    หากไม่หยุด เรานั่นแหละจะตกเป็นทาสของมาร และกระทำตัวเป็นมารศาสนาอย่างแท้จริง
     
  10. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    ว่าจะเข้ามาอ่านเรื่องของเขากะลา เพิ่มเติม แต่มาเจอ... ยังไงก็ไม่อยากให้ทะเลาะกันเลยค่ะ พูดกันดีๆก็ได้ เท่าๆที่ดูมา ยังไม่เห็นที่ยกตนว่าเป็นระดับ อะไรๆ ไม่ทราบนะคะเพราะพึ่งเข้ามาดูไม่กี่หน้าเอง (เฉพาะเรื่องกลุ่มเขากะลานะคะ) แต่นี่ เว๊บพุทธศาสนานะคะ ขอความสงบให้ผู้เข้ามาดีกว่า
    ก็จะขอดูไปเรื่อยๆค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านที่ตั้งใจทำความดีค่ะ
     
  11. เซี่ยมหล่อนั๊ง

    เซี่ยมหล่อนั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +665
    ({)น้องครับ อย่าใช้คำว่า มัน เลย นะครับ ฟังแล้วน้องไม่น่ารัก ไม่สุภาพด้วย เอาเป็นอย่างอื่นดีกว่า สรรพนาม เขา หรือกลุ่ม อะไรก็ดีกว่ามันนะครับ เพราะความเห็นต่าง ก็ต้องคุยได้เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องชวนทะเลาะ แรงไป น้อง แรงไป นะครับ โหยยย สงสัยอึดอัดมาจากไหนเนี่ยละครับ เด็กดี :cool::cool:
     
  12. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    <TABLE class=WorkCenterContentFont border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE class=WorkCenterContentFont border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=25></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 30px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-TOP: 20px" class=WorkCenterContentFont>
    [​IMG]



    ลัทธิมนุษย์ต่างดาว ?


    [​IMG]

    [​IMG]
    Beaking News


    ครับวันนี้พวกผมไปเยี่ยมพระอาจารย์ใหญ่ที่วัดแจ้งเมืองเก่า ประจันตคาม เพิ่งกลับมาครับ และมีเรื่องสนุกๆที่ได้คุยกับพระอาจารย์มาฝาก งานนี้มีทั้งการบันทึกวีดีโอ และบันทึกเสียงกว่า 2 ชั่วโมงครับ เดี๋ยวจะค่อยๆนำมาลงครับ

    และมีข่าวจากพระอาจารย์ใหญ่มาว่าต้องการให้พวกเราไปทำพิธีร่วมกับพระอาจารย์ ที่ตึกใบหยก กทม เนื่องจากท่านได้รับการแนะนำจากมนุษย์ต่างดาวให้ไปทำการปรับคลื่นพลังงานของ กทม เพื่อใก้ไขภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับกรุงเทพฯ โดยทางมนุษย์ต่างดาวต้องการให้รีบทำพิธีบนพื้นที่ที่สูงที่สุดใน กทม .และภายในวันที่ 8 นี้ เวลา 10-11 น.หากท่านใดสนใจเข้าร่วม ให้แต่งชุดขาวหรือเสื้อขาว เข้าร่วมส่งพลังจิตกับพระอาจารย์ได้นะครับ

    มนุษย์ต่างดาว ลัทธิใหม่ ?

    เช้าวันใหม่ อากาศกำลังดีทีเดียว คุณหมูอิง และคุณกุ้งสามี พร้อมๆกับลูกชายที่น่ารักทั้งสอง ก่อนที่จากพวกเราไป กลับไปทำงานตามภาระหน้าที่ ก็ได้มีโอกาสมารับการขยายระบบกับผมในตอนเช้า คำถามที่น่าสนใจอย่างมากคำถามหนึ่ง มาจากคุณกุ้ง ผู้ที่คร่ำหวอดและศึกษากับวงการธรรมะและวิปัสนากรรมฐาน จากพระอาจารย์วัดป่าสายหลวงปู่มั่นและหลวงปู่ท่านอื่นๆมาอย่างโชกโชน ถามผมตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อมว่า นี่เป็นสายปฎิบัติแบบไหน เป็นลัทธิใหม่หรือเปล่า ที่ฟังมาก็น่าสนใจแต่ยังสงสัยแต่เพียงข้อนี้ข้อเดียวเท่านั้น รู้สึกว่าพี่แกถามแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนกัน

    คำตอบง่ายๆจากปากผม ก็คือ ผมก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกันครับ แต่อยากจะให้แบ่งแยกให้ชัดเจน มองให้ทะลุ ทั้งทางด้าน ภาษา และบัญญัติ จึงจะเข้าใจได้

    หากเรายึดติดแต่เพียงรูปภายนอก ภาษา และอักขระ เราจะเข้าใจธรรมะได้อย่างไร สมมุติง่ายๆว่าหากพระพุทธองค์หรือพระโพธิสัตว์พระองค์ใดก็ตามแปลงพระองค์มาในรูปของคนธรรมดา เป็นคนบ้าใบ้ ไม่สมประกอบ หรือลักษณะอันไม่น่าศรัทธาอื่นๆ ฯลฯ มาสาธยายธรรมให้เราฟังต่อหน้า เราจะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน และไม่อาจจะเข้าใจในธรรมะของพุทธองค์ หากเรายึดติดแต่สมมุติบัญญัติ และรูปภายนอก และหากพญามารจำแลงแปลงกายมาในรูปของพระสงฆ์ งดงามทั้งรูป วาจา กิริยา หรือแม้แต่แปลงมาเป็นพระพุทธองค์ แล้วมาแสดงธรรมให้เราฟัง เราจะเชื่อหรือไม่ และเราจะมีปัญญาใดใดที่จะมาพิสูจน์ความจริงในข้อนี้ (เรื่องนี้มีปรากฏในพระไตรปิฎก ในตอนที่พญามารแปลงกายเป็นพระพุทธองค์มาหลอก สอนธรรมให้อุบาสกผู้หนึ่ง)

    เรื่องนี้มีพระพุทธวจนะกล่าวถึงหลักง่ายๆในการตัดสินพระธรรมวินัยดังนี้

    ข้อความ : ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ
    ๑. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ
    ๒. เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์
    ๓. เป็นไปเพื่อความสะสมกองกิเลส
    ๔. เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่.
    ๕. เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษยินดีด้วยของมีอยู่ คือ มีนี่แล้วอยากได้นั่น.
    ๖. เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ .
    ๗. เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน .
    ๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก .
    ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา.

    ๑. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
    ๒. เป็นไปเพื่อความปราศจากทุกข์.
    ๓. เป็นไปเพื่อความไม่สะสมกองกิเลส.
    ๔. เป็นไปเพื่อความอยากอันน้อย.
    ๕. เป็นไปเพื่อความสันโดษยินดีด้วยของมีอยู่ .
    ๖. เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่.
    ๗. เป็นไปเพื่อความเพียร.
    ๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย.
    ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่าเป็นธรรมเป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา.

    ดังจะเห็นได้ว่าเป็นข้อความที่ทรงกล่าวไว้แล้วโดยชัดเจน และเป็นพระสัพพัญูญุตาญาณโดยแท้ เพราะหากเราอ่านก็จะทราวว่าท่นได้วางหลักเอาไว้เหมือนจะกว้างมาก ไม่ได้กล่าวละเอียดจะต้องมีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วหลักการนี้แคบมาก มีเพียง การละวาง ความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น

    จะเห็นได้ว่าหลักการขอระบบไม่ได้ขัดกับหลักการทั้ง 8 ข้อนี้แม้แต่น้อย แต่นี่เป็นเพียงหลักการเริ่มต้นที่จะให้คนมาพิสูจน์ จะได้วางใจได้ว่าไม่ได้มาผิดทาง เมื่อได้เข้าใจในระบบอย่างถ่องแท้แล้ว ก็จะมีปัญญาเห็นได้ชัดมากขึ้น และมากขึ้น และผลของการปฎิบัติจากตามมาเลยทีเดียว

    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>


    <!-- edit note -->ในการแยกแยะธรรมในขั้นละเอียดจะต้องรู้ถึง "ปรมัตถ์ "กับ "บัญญัติ" โดยใช้ปัญญาโดยแยบคาย

    ปัญญาของมนุษย์นั้นมีอยู่ 3 แบบ

    1.เรียกว่า จินตามยปัญญา หรือแบบลอจิก ที่คิดเห็นแบบเหตุผล และตรรกะ ซึ่งแต่ละคนคิดได้ไม่เท่ากัน ตามแต่กำลังแห่งปัญญาของตัวเอง ตัวอย่างเช่น" รูป "สิ่งที่เราเห็นทางจักขุทวารหรือทางตา ก็เพียงแต่เป็นสีสรรต่างๆกันก็เท่านั้น แต่สมองก็แปลความหมายตามสัญญา(ความจำ)ที่เราเคยรู้มาก่อน ฉะนั้นรูปที่เราเห็นก็เป็นเพียงรูปปรมัตถ์ และอารมณ์ที่เห็นก็เรียกว่า รูปารมณ์ หรือ รูปายตนะ เท่านั้นไม่มีสิ่งอื่น แต่ปัญญาแบบที่ 1นี้ยากที่จะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจนพอ ส่วนมากก็คือไม่เห็น และสำคัญแบบผิดๆ

    2.คือสุตตามยปัญญา ก็คือปัญญาที่ได้มาจากเรียนรู้ ได้ยินได้ฟังจากผู้รู้ พระสงฆ์ ผู้ปฎิบัติธรรม หรือพระคัมภีร์ พระไตรปิฎก หรือในขั้น อรรถกถา ฎีฎา อนุฎีฎา ต่างๆแล้วนำมาเทียบเคียงพิจารณาตามปัญญาในข้อที่ 1 อันนี้พอจะเข้าใจธรรมะได้ชัดเจนมากขึ้น ว่ารูปที่เห็น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา แต่แค่รู้ตามและเข้าใจเท่านั้นนะครับ แต่ก็ถือว่าได้มาตามขั้นตอนแล้ว (ตามหลักการนะครับ สมมุติว่าปัญญาข้อที่ 1 เรามีเพียงพอ และสมมุติว่าปัญญาข้อที่ 2 เราได้รับมาถูกต้องจริงๆ)

    3.อันนี้เป็นข้อสรุปก็คือ ภาวนามยปัญญา สำคัญมาก เป็นการสรุปปัญญา 2 ข้อแรกเข้าด้วยกันและเห็นจริงตามนั้น อันนี้ต้องเรียกว่า "เห็น" สภาวะธรรมตามนั้นจริงๆ คือเห็น การเกิดดับ ของรูปที่เห็นในทุกๆขณะจิต เรียกว่าเห็นการเกิดดับของรูปปรมัตถ์ ความรู้นี้เรียกว่า นามรูปปริเฉทญาณ เป็นความรู้ในระดับวิปัสสนาญาณที่แท้จริง ก็คือมีปัญญาที่สามารถมองเห็นและแยกรูปปรมัตถ์ออกจากสมมุติบัญญัติแล้ว และยังสามารถแยกนามปรมัตถ์และรูปปรมัตถ์ออกจากกัน ได้ชัดเจนเป็นขั้นๆ ซึ่งขั้นนี้แหละเป็นขั้นที่สามารถมองเห็นกฏไตรลักษณ์ได้ชัดเจนจริงๆ สัมผัสและเห็นได้จริงๆ ไม่ใช่เข้าใจหรือเชื่อเอาตามตำรา และเป็นบาทแห่งการเจริญวิปัสนาญาณขั้นสูงต่อไป
    (ซึ่งระบบได้เน้นทำการสอนแบบนี้ครับ)

    และนี่คือข้อความจากระบบที่ให้อธิบายตามศัพท์บาลี ที่ท่านทั้งหลายยังยึดติดอยู่
    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <RTE_TEXT></RTE_TEXT>

    เขียนโดย Neemo ที่ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://astroneemo.blogspot.com/2009/01/blog-post_7923.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2009-01-13T17:31:00+07:00></ABBR>5:31 หลังเที่ยง [​IMG][​IMG]





    จาก
     
  13. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    <TABLE class=WorkCenterContentFont border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE class=WorkCenterContentFont border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=25>อ่านแล้ว : 238 </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 30px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-TOP: 20px" class=WorkCenterContentFont>
    [​IMG]



    การถ่ายทอด “ข้อความจากจักรวาล” ครั้งที่ 1


    การถ่ายทอด "ข้อความจากจักรวาล" ครั้งที่ 1
    ผู้ถ่ายทอด... คุณ Astro Neemo
    วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฏาคม 2551 เวลา 23.11 นาฬิกา
    ณ อาคารฝักข้าวโพด 1 ชั้น 11 ห้อง 72/153 รามคำแหง 40 กรุงเทพฯ



    [​IMG]
    ภาพแสดงแสงสว่างคล้ายกระแสไฟฟ้าบริเวณเหนืออกด้านซ้ายของผู้ถ่ายทอดข้อความจากจักรวาล

    "ข้อความจากจักรวาล"


    เรามาจากดวงดาวอันไกลโพ้น จากจักรวาลที่ท่านไม่เคยรู้จัก เราคือตัวตนที่สมมุติขึ้นเพื่อสื่อสารกับท่านทั้งหลาย แท้จริงแล้วเราเป็นทั้งภาวะ และอภาวะ เราไม่มีจุดเริ่มต้น ท่ามกลาง และสิ้นสุด เราไม่มีสภาวะที่เป็นชีวิตเหมือนที่ท่านเคยรู้จัก ตัวของเราแทรกซึมอยู่ในทุกอนูของในสรรพสิ่ง ในตัวท่านทั้งหลายก็มีเราอยู่ เราเป็นผู้ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการดำรงอยู่ เราเป็นทั้งสภาวะคล้ายดั่งเวลา ที่ท่านไม่สามารถจับต้องได้ แต่ท่านรับรู้เราได้ เราอยู่ในมิติที่ท่านไม่เคยได้รู้จัก ที่ท่านไม่เคยสัมผัส ได้ยินได้ฟังมาก่อน เรียกว่า ธาตุรู้ ตามภาษาของท่าน แต่คำจำกัดความของเราอยู่นอกเหนือการรับรู้ของท่าน ฉะนั้นเราจึงสมมุติตัวเอง สมมุติจิตวิญญาณเราขึ้น เพื่อสื่อสารกับท่าน ท่านทั้งหลายเป็นนักรบแห่งเรา เป็นผู้มากอบกู้มนุษยชาติ เป็นผู้มีหน้าที่ ที่จะช่วยกันปลดปล่อยโลก ให้พ้นจากความวิบัติที่จะเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายถูกหล่อหลอมมาหลายภพหลายชาติเกิดตายไม่มีสิ้นสุด

    บัดนี้ ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะปลุกจิตวิญญาณของท่าน เปิดจิตของท่าน ให้รับรู้สภาวะที่แท้จริงแห่งชีวิต เพื่องานของเราที่วางโครงข่ายไว้นับพันปีบรรลุผล และเป็นหน้าที่ของเราทั้งหลาย ที่ต้องทำโครงข่ายของเรา ที่วางโครงข่ายไว้นับพันปีบรรลุผล และเป็นหน้าที่ของเราทั้งหลายที่ต้องทำ

    ท่านทั้งหลาย การที่เราติดต่อมาครั้งนี้ มิใช่ครั้งแรก มิใช่ครั้งเดียว เรามีหน้าที่นี้มานับร้อยนับพันครั้ง ตั้งแต่โลกใบนี้ก่อเกิด เราติดต่อกับคนจำนวนมากหลายที่สัมผัสคลื่นของเราได้ นับอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนครั้งไม่ถ้วน ในรูปแบบต่าง ๆ กัน

    ท่านทั้งหลาย ที่มาประชุม ณ ที่นี้ ที่ได้ยินข้อความนี้ ที่ได้รับรู้ข้อความนี้ ท่านจะบรรลุถึงภาวะดั้งเดิมของท่านก่อนที่จะมาจุติบนโลกนี้ รับรู้ถึงภาวะหน้าที่ของท่านที่มีภาระต่อพันธะสัญญาทั้งหลาย ท่านเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ หลายหมื่นหลายแสนชาติ นับกัป นับกัลป์ไม่ถ้วน บัดนี้ ท่านถึงเวลาแล้ว

    ท่านทั้งหลายที่อยู่ในระบบของเรา ได้ถูกโปรแกรมในการทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว ในสมองของเรา ในสมองของท่าน ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันมิมีแตกต่าง ท่านทั้งหลายต่อไปจะได้ทำงานเป็นกลุ่ม ทำงานประสานกัน ต่อไปภายภาคหน้าท่านทั้งหลายจะเป็นเสมือนขุนพลแห่งเรา แม่ทัพแห่งเรา จะเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ออกไปยังคนที่เราวางตัวไว้ทั่วโลก สิ่งที่ท่านได้รับตอบแทนจากเรา ก็คือภพชาติของท่านจะสั้นลง หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาณทั้งหลาย หลุดพ้นจากอวิชชาทั้งหลาย หลุดพ้นจากการครอบงำจากมารทั้งปวง วิบากกรรมของท่านทั้งหลาย ถึงแม้จะมีมากมายมหาศาล หากท่านสัมผัสเราได้วิบากกรรมนั้นย่อมหลุดล่วงลงไป การเวียนว่ายตายเกิดก็จะลดน้อยถอยลง ซึ่งเราได้วางตัวคนเหล่านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ที่ท่านจะได้รับฟังข้อความจากเราผ่านสภาวะต่าง ๆ หลาย ๆ สภาวะ เรามาได้ในทุกรูปแบบ ทั้งเป็นวัตถุธาตุ วัตถุธรรม สิ่งมีชีวิต และปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่ท่านไม่คาดคิดมาก่อน นั่นคือการจัดวางของเราทั้งสิ้น โดยเฉพาะคนที่ต้องทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลของเรา ท่านจะต้องรับบทเรียนและการฝึกฝนอันหนักหน่วง เพื่อทดสอบสภาวะจิต และยกระดับจิตให้สูงขึ้น ผ่านข้อความจากเราหรือจากคนอื่น หรือแม้แต่คนที่ท่านไม่เคยรู้จัก ซึ่งเราอยู่ใกล้เคียงท่านตลอด ดูแลท่านอยู่ตลอด คอยชี้นำแนวทางท่านอยู่ตลอดมา แต่ท่านหาเคยรับรู้ไม่ เราผสมผสานเป็นหนึ่งในทุกสรรพสิ่ง เราเป็นผู้ไม่มีการมา ไม่มีการไป เราคือผู้เป็นเช่นนั้นเอง

    จากวันนี้ไป ท่านจะได้รับการถ่ายทอด วิถีธรรมแห่งปัญญาสู่ดวงจิตของท่านทั้งหลายแล้ว ซึ่งจะรับรู้และสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อท่านได้พิจารณาเห็นถึงความว่าง ละวางจากตัวตน ละวางจากความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางในทุกสิ่ง เพราะแท้ที่จริงแล้วท่านถูกหล่อหลอมมาเพื่อทำงาน ไม่มีสิ่งใดคือตัวท่าน ไม่มีสิ่งใดเป็นของท่าน ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าเป็นจิตของท่าน ไม่มีสิ่งใด ๆ ที่ท่านควรจะยึดถือไว้ ตัวท่านที่ประสบทุกข์มานับไม่ถ้วน ประสบความผิดหวังมานับไม่ถ้วน ประสบความทุกข์ทรมาณ เศร้าโศกเสียใจ ความโทรมนัสทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นจิตของท่านสร้างขึ้น ด้วยความไม่รู้ของท่านเอง ทั้งในเมื่ออดีต คือผู้ที่ฟุ้งเฟ้อในกามคุณทั้งหลายในเทวโลก ในมนุษยโลก ในพรหมโลก ในจักรวาลอื่น

    แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ผูกพัน เป็นกรรมสัมพันธ์ ทำให้ต้องเกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ รับหน้าที่บางอย่าง ซึ่งท่านจะรู้ต่อไปในวันข้างหน้า ชีวิตของท่านไม่มีสิ่งใดควรเรียกว่าชีวิต ไม่มีสิ่งใดควรเรียกว่าจิต ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าขันธ์ ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าการรับรู้ หากท่านเข้าใจดั่งนี้แล้ว ท่านจะเข้าถึงภาวะถึงหน้าที่ ถึงปัญญาที่แท้จริง หามิเช่นนั้นแล้ว การเกิดชาตินี้ของท่านก็ย่อมสูญเปล่า ต้องกลับไปวนเวียนว่ายตายเกิดนับไม่ถ้วน ฉะนั้น ขอจงอย่าประมาทในชีวิต ขอจงฟังคำของผู้ที่มาขยายระบบให้ท่าน ผู้ที่มาถ่ายทอดให้ท่าน ผู้ได้รับการรับรองจากเราแล้ว ภาระหน้าที่ของท่าน ยังไม่ได้สำเร็จลุล่วงไป จนกว่าท่านจะได้เห็น จะได้เข้าถึงความว่าง การละวาง การปลดปล่อย

    เราโดยสมมุติ โดยหน้าที่ และเราเป็นผู้ถ่ายทอด ให้กับท่านโดยตรง ผ่านทางทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวท่าน ทางด้านภาวะ อารมณ์ ผ่านด้านสภาพแวดล้อม ทางด้านวัตถุ หากท่านมีปัญญา ท่านย่อมรับรู้และเห็นได้เอง และเมื่อถึงวันนั้นท่านพบเรา ท่านเห็นเราแล้ว ภาระหน้าที่ของเราก็หมดสิ้น ภาระหน้าที่ของท่านก็ย่อมหมดสิ้น .....


    ภาพพลังงาน
    <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]



    </FIELDSET>

    <!-- / attachments --><!-- edit note -->ภาพบรรยากาศในการถ่ายทอดข้อความครั้งแรก หลังจากเราสวดมนต์ทำวัตรเย็นเรียบร้อยแล้ว ก็เสร็จพอดี 23.11 น. ข้อความเริ่มเข้ามาที่ตัวผม เป็นข้อความซ้ำๆหลายครั้ง เป็นภาษาหรือเสียงแปลกๆ มีความถี่ทั้งสูงและต่ำอย่างน่าประหลาด และที่แปลกเรากลับเข้าใจและแปลได้เอง เพื่อที่จะถ่ายทอด และพยามถอดความให้ได้ใกล้เคียงกับข้อความมากที่สุด และคลื่นที่สื่อเข้ามา บางเบามากๆ ต้องใช้สติเข้าไปจับและพิจารณา และบางครั้งข้อความก็ขาดหายเป็นช่วงๆเหมือนกัน ก่อนจะเริ่มถ่ายทอด ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มีคนนำเทวรูป ต่างๆจำนวนมากมาให้โดยไม่ได้นัดหมาย เช่น พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ พระศิวะ พระอินทร์ ฯลฯ มาให้บูชา ซึ่งความจริงห้องที่ผมอยู่เป็นคอนโดเล็กๆ เมื่อต้นปีมีเพียงพระบูชากับพระแม่กวนอิม อยู่เพียงอย่างละองค์ แต่ต่อมาก็มีคนนำมาพระบูชามาให้เรื่อยๆ ก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน จนเมื่อคืนมีมาเยอะเป็นพิเศษ เป็นสิบๆองค์ นี่อาจจะเป็นสัญญาณและสัญลักษณ์ของระบบ บอกว่า มีเทพมาชุมนุมจากทั่วทั้งจักรวาลเพื่อมารับฟังข้อความนี้ จนทำให้ห้องผมดูคล้ายเป็นตำหนักทรงไปเสียแล้ว แต่ก็โชคดีที่ไม่มีเทพองค์ไหนท่านอยากมาประทับผม เป็นพิเศษ
    <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]



    </FIELDSET>

    การถ่ายทอด"ข้อความจากจักรวาล" เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยที่มาร่วมสวดมนต์ และรับฟังข้อความนี้

    และขออนุโมทนากับ สมาชิกพลังจิตทุก ๆ ท่าน ที่ได้ติดตามการถ่ายทอดทางอินเตอร์เน็ต และได้อ่าน "ข้อความจากจักรวาล" ที่ได้มีการถอดข้อความ และนำลงเวปไซด์แล้วนั้น

    ทุกข้อความ มีความหมายอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าแต่ละท่านที่ได้อ่านแล้ว จะเข้าใจได้ลึกซึ้งแค่ไหนเท่านั้น บางท่านอาจเข้าใจได้ในขณะนี้ หรือบางท่านอาจเข้าใจในวันหน้า ในเดือนหน้า หรือจะในปีหน้าก็เป็นได้

    เพราะประสบการณ์จากการฝึกกับระบบ ฯ ที่พี่สุดใจและกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้ฝึกผ่านมานั้น ระบบจะบอกข้อความล่วงหน้าเช่นนี้เสมอ ซึ่งในขณะนั้นเราไม่อาจเข้าใจได้เลยกับข้อความเหล่านั้น แต่ระบบฯ จะบอกเสมอว่า ไม่เป็นไร เข้าใจ ไม่เข้าใจ ให้รับฟังไว้ก่อน อีก 1 วัน 1 เดือน หรือ 1 ปี ค่อยเข้าใจก็ยังไม่สาย

    ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง เพราะความที่เป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่เคยได้พบ ได้ยินมาก่อน ก็เลยไม่เข้าใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีการรู้ มีการเห็น มีการปฏิบัติ ก็จะพบเจอสภาวะของความว่าง การปล่อยวางได้จริง ได้พบเจอสภาวะธรรมที่เบาบางจากการยึดมั่นถือมั่นในทุกสรรพสิ่งได้จริง พบเจอสภาวะที่ระบบได้เคยกล่าวไว้ได้จริง แม้จะใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างนานกว่าจะเข้าใจก็ตาม เมื่อทุกอย่างที่พบประจักษ์จริงแล้ว จึงจะรู้ว่า สิ่งที่ระบบได้บอกไว้ล่วงหน้านั้น .. เป็นเรื่องจริง .
    <!-- / message -->






    </TD></TR><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-TOP: 5px" align=right>วันที่ 13/01/2009</TD></TR></TBODY></TABLE>


    จาก
     
  14. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    <TABLE class=WorkCenterContentFont border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE class=WorkCenterContentFont border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=25>871 </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 30px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-TOP: 20px" class=WorkCenterContentFont>
    [​IMG]



    มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา 1


    ข้อความส่วนใหญ่ที่จะนำมาให้ศึกษาเกี่ยวกับแนวทางของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) นี้ จะเป็นข้อความที่เขียนโดยอาจารย์สุดใจ ชื่นสำนวน เกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่มีภูมิจิต ภูมิธรรมสูงส่ง ต้องการช่วยเหลือมนุษย์โลก ให้รอดพ้นจากหายนะที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในอนาคตอันใกล้นี้ ทางมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้มีภูมิจิตที่สูงละเอียดมาก สามารถนำวิทยาการเทคโนโลยี่ที่มนุษย์ไม่เคยรู้ มาถ่ายทอดให้มนุษย์ได้ปฏิบัติ ในด้านการปล่อยวาง ละอัตตาตัวตน เพื่อรับอุปกรณ์ที่สามารถใช้ปฏิบัติการได้เลย เมื่อยามภัยพิบัติเกิดขึ้น และจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้เป็นจำนวนมาก เรามาลองติดตามกันดู ท่านอาจจะเป็นผู้หนึ่งที่ระลึกรู้ได้ว่า เป็นผู้อาสามาเกิดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติยามเมื่อเกิดภัยพิบัติก็ได้
    ขอขอบคุณท่านที่สนใจติดตามข้อมูลข่าวสารของกลุ่มเขากะลา(เดิม) อย่างต่อเนื่องตลอดมาซึ่งกลุ่มเขากะลา ได้เสร็จสิ้นการฝึกจิต และฝึกสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวแล้วและได้เข้าสู่ระบบประสานงานเพื่อการเตือนภัย ตั้งแต่วันที่ 1เมษายน 2547โดยเปลี่ยนชื่อกลุ่มเขากะลาเป็นชื่อ......กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    -เรื่องราวการประสานงานข้อมูลใหม่ ๆ และภาพ UFO ที่บันทึกได้ในประเทศไทย จำนวนมากที่ยังไม่ได้เผยแพร่กำลังรวบรวมจัดทำเพื่อนำเสนอให้ท่านที่สนใจรับทราบต่อไป

    -จะนำข้อมูลเกี่ยวกับ "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" ที่ได้รับการสื่อสารข้อความผ่านมาและนำมาให้เห็นในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเรื่องของมิติเรื่องของอุปกรณ์ต่อเชื่อมกับสมองซึ่งเป็นเทคโนโลยีคล้ายกับโทรศัพท์มือถือของเราแต่ไม่เป็นวัตถุเป็นกลุ่มพลังงานติดตั้งไว้แทน เป็นเทคโนโลยี่ มีหน้าที่รับการสื่อสารเหมือนกันรับรู้เรื่องราวข้อความต่าง ๆ แม่นยำเหมือนเราคุยกันทางโทรศัพท์ซึ่งผู้ผ่านการฝึกได้รับการติดตั้งแต่ละบุคคลจึงรับข้อมูลแตกต่างกันตามลักษณะการประสานงานของแต่ละบุคคลซึ่งในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ จะมีการใช้อุปกรณ์เช่นนี้ติดตั้งให้กับบุคคลอื่น ๆที่ไม่ใช่ผู้ฝึกแต่มีพื้นฐานต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในคราววิกฤตเพื่อใช้สื่อสารกันเพราะโทรศัพท์ไม่สามารถใช้การได้ <!-- / message --><!-- sig -->ภาพ UFO ที่ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติที่บันทึกไว้ได้ที่เขากะลาส่วนมากจะเป็นการบันทึกด้วยกล้องวีดีโอ ซึ่งไม่สามารถตัดแต่งภาพได้มีจำนวนมากข้อมูลการฝึกฯ กับมนุษย์ต่างดาว เขาสอนอะไร? ฝึกอะไร? และผู้รับการฝึกได้อะไร? ทำไมต้องประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆและประสบการณ์เกี่ยวกับการรับข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวโดยใช้เครื่องมือสื่อสารของมนุษย์ต่างดาวแทนการใช้การสื่อสารด้วยจิตนั้นเป็นอย่างไรซึ่งข้อมูลเหล่านี้หลายท่านเคยประสบด้วยตนเองมาแล้วแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรเท่านั้นเอง

    -สิ่งที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)จะแจ้งข้อมูลต่อจากนี้ จะเป็นการ.....แจ้งเพื่อทราบ....เท่านั้น
    เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องใหม่ เป็นวิทยาศาสตร์ ที่สามารถพิสูจน์ ทดสอบทดลองได้ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ใด ๆ แต่เป็นกลไกทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ต่างดาว นำมาให้เห็น และจำเป็นต้องใช้ในช่วงวิกฤตของโลกใบนี้ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไปอยู่นั่นเอง

    -ข้อความสำคัญ....แจ้งเพื่อทราบ.....เท่านั้น (มนุษย์ต่างดาวให้แจ้งไปก่อนเชื่อไม่เชื่อให้แจ้งไป...นี่คือหลักการการแจ้งข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวผ่านไปยังสื่อต่างๆ)

    - การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว เริ่มจาก จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ...แจ้งเพื่อทราบ....ไปแล้วตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาซึ่งในระยะแรกไม่สามารถเชื่อถือได้เป็นธรรมดาเป็นกลุ่มคนบ้ากลุ่มหนึ่งที่มาทำเรื่องไร้สาระ เมื่อเวลาผ่านไปจึงจะมีหลักฐานต่าง ๆทั้งพยานบุคคล และภาพถ่ายต่าง ๆ มายืนยันจึงพอที่จะเชื่อถือได้

    - การฝึกฯสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ...... แจ้งเพื่อทราบ....ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 รวมระยะเวลาการฝึกฯ 1 ปีซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่บุคคลต่างๆ ก็เห็นว่ากลุ่มนี้ทำอะไรไม่เข้าเรื่องซึ่งจากวันที่ 1 เมษายน2547 เป็นต้นมาก็เข้าสู่ระบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวเต็มรูปแบบซึ่งได้มีการ...แจ้งเพื่อทราบ...ไปแล้ว ผ่านทางสื่อทีวี..รายการ V.I.P. ช่อง 9 (ไปบันทึกรายการวันที่ 16 ธันวาคม 2547ก่อนเกิดสึนามิ 10 วัน), รายการสารคดีUFO ในประเทศไทย , รายการย้อนรอย ITV, รายการชั่วโมงพิศวง ช่อง7, แจ้งเพื่อทราบ...ผ่านทางหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 8, 10, 12, พฤศจิกายน 2548 และ แจ้งเพื่อทราบ...ผ่านทางบูธนิทรรศการ UFO ในประเทศไทย ซึ่งจัดร่วมกับศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาติครั้งที่ 11 วันที่8-11ธันวาคม 2549 .....เรามีหน้าที่แค่แจ้งเพื่อทราบ การมาปรากฏให้บุคคลต่าง ๆได้เห็นเป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่หน้าที่ของเราแต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราจึงทราบว่าเมื่อรายการทีวีทุกรายการก่อนการนำเสนออะไรสักอย่างหนึ่งจะมีการส่งทีมงานเดินทางไปบนเขากะลาก่อนเพื่อสังเกตการณ์ว่ามีมูลความจริงหรือไม่และต้องได้เห็นวัตถุบิน หรือลูกไฟวิ่งได้ หรือสิ่งอื่น ๆที่มาปรากฏแล้วเชื่อได้ว่าไม่ได้มีการหลอกลวงประชาชนหัวหน้าทีมงานจะต้องได้เห็นเองจนแน่ใจ จึงจะข้อมูลเสนอต่อทางรายการขออนุมัติถ่ายทำแล้วจึงจะนำทีมงานมาถ่ายทำได้ และนำออกอากาศต่อไปจึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ต่างดาวต้องนำวัตถุบินมาปรากฏให้ทีมงานเห็นเอง ...ซึ่งเป็นการยืนยันได้ว่าสิ่งที่แจ้งเพื่อทราบ....ก่อนหน้านี้เริ่มมีการปรากฏชัดเจนมากขึ้นและเริ่มออกสู่สาธารณชนเพื่อให้รับทราบทางช่องทางอื่น ๆได้มากขึ้น

    - และครั้งนี้ การถ่ายทอดข้อมูลเรื่องของ "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้และเป็นรูปแบบเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังค้นคว้าไปไม่ถึงแต่ก็จะเป็นการ..แจ้งเพื่อทราบ...เช่นกัน เป็นเรื่องบอกไว้ก่อนเพื่อทราบเช่นเดิมแต่ขณะนี้ได้มีพยานบุคคลต่าง ๆได้มีโอกาสเห็นเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวมากขึ้นทุกขณะไม่ว่าจะเป็นเข้า-ออกมิติโดยไม่รู้ตัว การเห็นสถานที่ต่างมิติเห็นการย้ายสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หรือ แม้แต่การcopy รูปร่างเดียวกันไปอยู่อีกสถานที่หนึ่งในเวลาเดียวกัน และพูดคุยสนทนาเหมือนกับเป็นบุคคลเดียวกันมีผู้ถูก copy เช่นนี้แล้วหลายบุคคลซึ่งได้มาเล่าให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้ฟังซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใด ๆ เป็นวิทยาศาสตร์เป็นเทคโนโลยีของต่างดาว เขาบอกว่าก็เหมือนเครื่องถ่ายเอกสารของเราเมื่อ copy จากเครื่องถ่ายเอกสารอย่างดี ต้นฉบับกับสำเนาแทบไม่ต่างกันเลยจะ copy อีกสักกี่แผ่นก็เหมือนต้นฉบับ (เปรียบเทียบกับเทคโนโลยีของเราเพื่อเทียบเคียง)แต่เขามีความเจริญกว่าเรามากนัก การ copy จึงยกไปได้ทั้งมวลสาร ซึ่งต่อไปข้างหน้าจะต้องใช้เทคโนโลยีแบบนี้เพื่อที่บุคคลที่
    ทำงานเรื่องของภัยพิบัติ จะไปปรากฏตัวในหลาย ๆที่ในเวลาเดียวกันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น (อย่าลืมว่าในการเกิดวิกฤตครั้งใหญ่การสื่อสารจะไม่สามารถติดต่อกันได้ คุณจะไปอยู่กี่สถานที่จะไม่มีใครทราบได้เลยแต่ทุกอย่างทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นทั้งสิ้น)
    - วันนี้ขอบอกเล่าเพียงเท่านี้ก่อนด้วยข้อความสำคัญคือคำว่า....แจ้งเพื่อทราบ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
    เริ่มจากมีสมาชิกเว็บพลังจิตท่านหนึ่งได้เชื้อเชิญให้ อ.สุดใจ นำเรื่องราวของเขากะลา อันเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว ที่อยู่ในมิติที่ทับซ้อนกับโลกของเรา มาลงให้สมาชิกและบุคคลทั่วไปได้รับทราบ ข้อความเริ่มต้นของ อ.สุดใจ มีดังนี้ครับ <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->__________________
    รวบรวมบทความ ที่เป็นประโยชน์กับชีวิต ของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
    http://palungjit.org/showthread.php?t=162475
    <!-- / sig --><!-- edit note --><HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>ข้อความส่วนใหญ่ที่จะนำมาให้ศึกษาเกี่ยวกับแนวทางของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) นี้ จะเป็นข้อความที่เขียนโดยอาจารย์สุดใจ ชื่นสำนวน เกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่มีภูมิจิต ภูมิธรรมสูงส่ง ต้องการช่วยเหลือมนุษย์โลก ให้รอดพ้นจากหายนะที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในอนาคตอันใกล้นี้ ทางมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้มีภูมิจิตที่สูงละเอียดมาก สามารถนำวิทยาการเทคโนโลยี่ที่มนุษย์ไม่เคยรู้ มาถ่ายทอดให้มนุษย์ได้ปฏิบัติ ในด้านการปล่อยวาง ละอัตตาตัวตน เพื่อรับอุปกรณ์ที่สามารถใช้ปฏิบัติการได้เลย เมื่อยามภัยพิบัติเกิดขึ้น และจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้เป็นจำนวนมาก เรามาลองติดตามกันดู ท่านอาจจะเป็นผู้หนึ่งที่ระลึกรู้ได้ว่า เป็นผู้อาสามาเกิดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติยามเมื่อเกิดภัยพิบัติก็ได้

    เริ่มจากมีสมาชิกเว็บพลังจิตท่านหนึ่งได้เชื้อเชิญให้ อ.สุดใจ นำเรื่องราวของเขากะลา อันเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว ที่อยู่ในมิติที่ทับซ้อนกับโลกของเรา มาลงให้สมาชิกและบุคคลทั่วไปได้รับทราบ ข้อความเริ่มต้นของ อ.สุดใจ มีดังนี้ครับ
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->__________________
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>

    <RTE_TEXT></RTE_TEXT>เรื่องของมิติ

    สำหรับเรื่องที่สงสัยว่าเรามองเห็นแต่ทำไมคนอื่นจึงมองไม่เห็นนั้นเป็นเพราะมีเรื่องของมิติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยซึ่งมีผู้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้จำนวนมากแล้วมาเล่าให้เราฟังจนได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วกับเรื่องมิติ

    สำหรับตัวอย่างหนึ่งที่น่าจะใกล้เคียงกับเหตุการณ์ของคุณก็คือเหตุการณ์ที่คุณลดาวัลย์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาประสบกับตนเองได้เล่าให้ฟังว่าประมาณปี 2549 ที่ผ่านมา ได้ไปเดินซื้อของที่ตลาดนัดตอนเย็นกับสามีเมื่อไปถึงก็แยกกันเดินซื้อของตอนนั้นใกล้ค่ำแล้วขณะที่เดินซื้อของได้เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าเห็นวัตถุบินลำหนึ่งลอยอยู่กลางตลาดนัดสูงประมาณตึกชั้นที่ 3 มีขนาดใหญ่มากเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเห็นชัดมีไฟใต้ฐานเปิดหมุนไปมาและเงียบสนิทคุณลดาวัลย์ก็หันมองซ้ายมองขวาว่าจะมีใครเห็นบ้างแต่ไม่เห็นมีใครสนใจซึ่งลำใหญ่และลอยต่ำขนาดนั้นน่าจะมีคนเห็นบ้างจึงมองหาสามีที่เดินไปคนละทางในขณะนั้นแต่ก็ไม่เจอวัตถุบินก็ลอยผ่านไปช้าๆจนหายไปซึ่งคุณลดาวัลย์ก็ได้มาบอกกับสามีให้ทราบด้วย (คุณลดาวัลย์ทำงานอยู่ที่บริษัทจากต่างประเทศบริษัทหนึ่งที่อยุธยา)

    อาจเป็นสิ่งที่พอเทียบเคียงได้กับของคุณ Aspn และตอบข้อสงสัยได้บางประการนะคะไหนๆก็คุยกันเรื่องมิติแล้วก็จะมีภาพการเปิดปิดมิติมาให้ชมกันเพื่อพอเทียบเคียงและมีมุมมองเรื่องของมิติได้เปิดกว้างมากขึ้น

    ภาพที่บันทึกได้ตามที่แนบมานี้บันทึกด้วยกล้องวีดีโอเป็นภาพเคลื่อนไหวจะเห็นการมาปรากฏอยู่และค่อยๆจางหายไปอย่างชัดเจนเป็นภาพมองจากเขากะลาไปยังยอดเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งไกลมากปรากฏเป็นภาพวัตถุสีเงินสะท้อนแสงขึ้นบนยอดเขาปรากฏครั้งแรก วันที่ 5 กันยายน 2541 ปกติเราจะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนเขากะลาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมาตลอด 6 เดือนไม่เคยมีภาพวัตถุบนเขาให้เห็นแต่วันที่ 5 กันยายน 2541 คุณภัทรพลจากกลุ่มอภิจิต 2000 เดินทางไปเยือนเขากะลาวัตถุรูปร่างเป็นแท่งสีเงินนี้ก็ปรากฏขึ้นมาคุณภัทรพลและกลุ่มเขากะลา(ขณะนั้น) ได้บันทึกภาพไว้ทั้ง 2 กล้องแต่พอวันรุ่งขึ้นภาพดังกล่าวกลับหายไป ซึ่งบนยอดเขานั้นมีวัดอยู่แต่ปกติจะมองไม่เห็นเพราะต้นไม้จะขึ้นปกคลุมเต็มไปหมดแต่ภาพที่ปรากฏจะเป็นภาพแท่งวัตถุที่ใหญ่มาก ออกมาอยู่นอกต้นไม้และเมื่อหายไปเราก็จะเห็นแต่เพียงต้นไม้เท่านั้น หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวก็สื่อสารข้อความผ่าน จ.ส.อ. เชิด ชื่นสำนวน มาว่า ได้เปิดมิติให้เห็น "กองบัญชาการของมนุษย์ต่างดาว" ที่ตั้งอยู่บนยอดเขานั้นตั้งทับซ้อนอยู่สถานที่เดียวกันกับวัดนั้น แต่เป็นคนละมิติกันคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณวัดบนยอดเขาก็จะมองไม่เห็นเขามีมนุษย์ต่างดาวประจำการอยู่ที่นั่น 3,000 คนและที่เปิดมิติให้เห็นในวันนั้นเพราะมีผู้นำกลุ่มอภิจิต 2000 จากกรุงเทพฯทำงาน เกี่ยวกับเรื่องของภัยพิบัติเดินทางมาเยือนจึงอนุญาตให้บันทึกภาพ


    - การเปิดให้เห็นกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2541 ซึ่งเป็นวันลอยกระทง มีคนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ กันเป็นจำนวนมาก มิสเตอร์จอห์นฮอร์เน็ต วิศวกรชาวอังกฤษ และครอบครัว ได้เดินทางมาถึงเขากะลาตั้งแต่ช่วงบ่ายพร้อมกับผู้สนใจหลายท่าน มีภาพปรากฏขึ้นอีกครั้งประมาณสี่โมงเย็นกลุ่มบุคคลที่อยู่บนเขาประมาณ 20 คนจึงไปยืนดูภาพนั้น มิสเตอร์จอห์นได้บันทึกภาพด้วยกล้องวีดีโอไว้ และขณะที่บันทึกภาพอยู่นั้น วัตถุดังกล่าวค่อย ๆเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาผู้ที่กำลังยืนดูกันอยู่ทำให้ทุกคนตื่นเต้นมากรวมทั้งมิสเตอร์จอห์นด้วย แต่กล้องก็สามารถบันทึกภาพไว้ได้เช่นกันรวมระยะเวลาที่ปรากฏและเลือนหายไป รวม 3 นาที (ดูจากเวลาที่รันในกล้องวีดีโอ)


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    <!-- / message -->เรื่องเล่าจากประสบการณ์จริง ของผู้ไปชมงานฯมนุษย์ต่างดาวมาติดต่อสื่อสารด้วย



    <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>


    -ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 11 นั้นกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้มีโอกาสรู้จักกับหลายๆท่านที่มีประสบการณ์แปลกๆและต้องการที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังประสบอยู่นั้นคืออะไร? และทำไม?
    - คงต้องเล่าเรื่องที่คุณ Aspn ให้ความสนใจก่อนนะคะ

    -ท่านที่มาพบพี่สุดใจนั้นได้เล่าเรื่องราวของลูกชายของท่านให้ฟังว่า ปกติท่านและครอบครัวได้มีการปฏิบัติธรรมสวดมนต์ทำสมาธิกันอย่างต่อเนื่องเป็นปกติ

    -แต่เมื่อประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมา (นับย้อนไปจากวันที่พบที่งาน) ลูกชายคนเล็กของท่าน ได้รับการสื่อสารมาจาก "มนุษย์ต่างดาว" ครั้งแรกเป็นการสื่อสารข้อความลงมาและสามารถเข้าใจข้อความนั้นได้ซึ่งในระยะแรกครอบครัวก็ยังไม่มีใครเชื่อ แต่ลูกชายได้บอกว่าเขาจะนำยานอวกาศมาให้ดูและพาครอบครัวออกไปดูนอกบ้านคุณแม่และครอบครัวก็ได้ออกไปดูและก็เห็นวัตถุบินลอยอยู่บนหลังคาบ้านจริงๆจากนั้นมาก็จะมีวัตถุบินมาลอยอยู่บริเวณบ้านหลังนี้บ่อยครั้งรวมทั้งมีการสื่อข้อมูลลงมาที่ลูกชายของท่านผู้นี้อย่างต่อเนื่อง

    - ข้อมูลต่างๆที่สื่อลงมาก็จะเกี่ยวกับการบอกเรื่องของภัยพิบัติ เรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่ต้องมาสื่อสารกับมนุษย์โลกเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้

    - พี่สุดใจจึงได้เชิญท่านผู้นี้ มาเล่าประสบการณ์ให้ ดร.เทพนม เมืองแมน ท่านได้รับฟังด้วยซึ่งท่านก็ได้กล่าวว่ามนุษย์ต่างดาวเริ่มที่จะสื่อสารผ่านมนุษย์โลกมากขึ้นเพราะท่านเองก็ได้รับทราบจากหลายคนที่มาบอกกับท่านว่า สื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้

    - และภายในงานนี้มีผู้ที่บันทึกภาพ UFO ได้ที่ต่างจังหวัด จึงเดินทางมาที่บูธและนำภาพมาให้ ดร.เทพนม ด้วยเป็นภาพขณะยืนถ่ายรูปภาพของตนเอง แต่มีภาพวัตถุบินลอยอยู่ด้านหลังชัดเจนเป็นวัตถุสีเงินค่อนข้างกลมซึ่งคาดว่าในงานวิทยาศาสตร์ทางจิตในปีนี้ ดร.เทพนมจะนำภาพนี้มาให้ชมในบูธของท่านหรือไม่คงต้องไปดูกัน
    - ท่านผู้นี้ที่ลูกชายติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวยังกล่าวอีกว่า มีการเปิดมิติภายในบ้านของท่านมีภาพหลากหลายรูปแบบทับซ้อนอยู่ในบ้านท่าน แล้วมีครั้งหนึ่งที่กำแพงบ้านของท่านมีสุนัขโผล่ออกมาจากมิติครึ่งตัว ที่กำแพงบ้าน จนเด็กเห็นแล้วร้องไห้เพราะกลัว

    - แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่าท่านเคยถามลูกชายว่าถ้าเกิดภัยพิบัติแล้วแม่จะไปอยู่ที่ไหนซึ่งลูกชายก็กล่าวว่าก็ไปอยู่ที่เขากะลาสิแม่ (ซึ่งลูกชายของท่านกับกลุ่มเขากะลา(เดิม)ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน)ซึ่งท่านผู้นี้จึงได้มาสอบถามเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากับพี่สุดใจ

    - ซึ่งพี่สุดใจก็ได้เล่าให้ท่านผู้นี้ได้ฟังว่ามนุษย์ต่างดาวเขามาเตรียมการไว้ที่เขากะลาโดยมีการสร้างใยแก้วครอบโดยรอบเขาออกไป 100 ตารางกิโลเมตร
    เพื่อป้องกันภัยพิบัติจากภัยธรรมชาติ และรังสีจากนิวเคลียร์ซึ่งมีการสร้างมาตั้งแต่ปี 2541 ขณะนั้นจะมีคณะบุคคลต่างๆที่มาจากกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ มาพักอยู่บนเขากะลาตอนกลางคืนหลังเที่ยงคืนไปแล้วจะมีดวงไฟสีขาวสว่างมากลักษณะเป็นท่อฉายฉาบไปตามเขาโดยรอบเขากะลาเกือบทุกคืน ซึ่งผู้ที่อยู่บนเขาก็จะออกมายืนดูกัน หลังจากนั้นไม่นานดวงไฟเหล่านั้นก็ไม่มาปรากฏอีก

    -มนุษย์ต่างดาวสื่อสารผ่านจ.ส.อ.เชิด บอกว่าสร้างเสร็จแล้ว และมนุษย์ต่างดาวบอกว่า ที่เรียกว่าใยแก้วนั้นเป็นการเปรียบเทียบเพราะมันมองไม่เห็นแต่จริงๆไม่ได้เป็นแก้วเป็นการสร้างเครื่องมือครอบไว้และมนุษย์ต่างดาวยังบอกอีกว่าได้ทำไว้ในหลายสถานที่ไม่ใช่แต่ที่นี่เท่านั้นสถานที่หลบภัยอื่นๆเขาก็ได้สร้างใยแก้วป้องกันเช่นกันแม้ว่าสถานที่นั้นจะไม่เคยรับรู้เรื่องของมนุษย์ต่างดาวเลยก็ตามก็ยังคงได้รับการสร้างเพื่อป้องกันเช่นกัน

    - เมื่อพี่สุดใจเล่าจบ ท่านผู้นั้นก็กล่าวว่าเหมือนที่ลูกชายบอกไว้ว่าเขากะลามีใยแก้วและลูกชายยังบอกอีกว่า "จ่าเชิดเขาหมดหน้าที่แล้ว" ท่านจึงถามเราว่า "จ่าเชิด" เป็นใครซึ่งพี่ก็บอกว่าเป็นพ่อของเราและท่านเสียไปแล้วซึ่งมนุษย์ต่างดาวที่สื่อสารกับลูกชายท่านนั้นได้บอกเรื่องราวของเขากะลาถูกต้องทุกอย่างทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

    - ก็เป็นเรื่องราวจากประสบการณ์จริงของครอบครัวหนึ่งที่มีการพบเจอกับสิ่งเหล่านี้และไม่รู้จะไปบอกกับใคร เพราะคนอื่นทั่วไปก็คิดว่าบ้าแต่ท่านยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงและยังเห็นจานบินมาปรากฏที่บ้านอยู่เสมอ

    - คงขออนุญาตไม่กล่าวถึงชื่อของท่านและครอบครัวแต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้

    - ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ในวันนั้น ซึ่งคุณ Aspn ก็อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย และพี่สุดใจก็ต้องขอบคุณ คุณ Aspn ที่ได้ตั้งกระทู้ถามมาจึงมีโอกาสได้เล่าเพื่อให้คนอื่นๆได้ทราบด้วย

    - เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เห็นว่า เรื่องของมิติเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ไม่ได้จำกัดอยู่ในวงแคบๆอีกต่อไปแล้วเมื่อมีคนเริ่มพบวัตถุบินมากขึ้น เริ่มติดต่อได้มากขึ้นฟนั่นหมายถึงสถานะการณ์เรื่องภัยพิบัติย่อมรุนแรงขึ้นเช่นกันเพราะเมื่อถึงเวลาต้องเตือน หรือต้องช่วยเหลือก็ต้องผ่านช่องทางที่เขาได้มาเตรียมการไว้นั่นเอง


    - และนี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า "อุปกรณ์หรือเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" สำหรับรับข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวเป็นเทคโนโลยีในรูปแบบพลังงาน ซึ่งมนุษย์ต่างดาวได้เคยอธิบายคำว่าอุปกรณ์ไว้ว่า

    - เป็นเทคโนโลยีเปรียบเทียบได้คล้ายกับทีวีของมนุษย์โลก ถ้าเปิดพร้อมกัน ช่องเดียวกันก็จะได้รับข้อมูลเหมือนกัน เช่นถ้ามีทีวี 100 เครื่องแล้วเปิดช่อง 9 พร้อมกันในวันจันทร์ เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง ก็จะได้ดูรายการ V.I.P.พร้อมกันเพราะทุกเครื่องรับคลื่นจากสถานีเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน

    - ดังนั้นอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวก็เป็นเทคโนโลยี่ที่ติดตั้งแล้วสามารถใช้งานได้เลย ไม่ต้องใช้เวลาในการฝึกเพื่อสื่อสารกับเขาและสามารถรับรู้เรื่องราวได้พร้อมกันในบุคคลจำนวนมากและมีความแม่นยำถูกต้องในข้อมูลที่ถูกส่งมาซึ่งกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ก็ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์นี้แล้วเช่นกัน

    - เรื่องราวต่างๆ ยังมีอีกมากมาย ทั้งพยานวัตถุ และพยานบุคคลซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่น้อยคนนักที่จะกล้าเปิดเผย กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)จึงขอเป็นสื่อกลางที่จะตอบคำถามให้กับทุกท่าน



    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]
    .ส.อ. เชิด ชื่นสำนวน จากต่างมิติ


    - จ.ส.อ.เชิดชื่นสำนวน เสียชีวิตลง ได้แจ้งข่าวไปยังผู้ที่เคยเดินทางมาเขากะลา และรู้จักจ.ส.อ.เชิด ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็มีคุณแม้ว ซึ่งอยู่กรุงเทพฯ แจ้งว่าจะเดินทางมาในวันฌาปนกิจศพ วันที่ 30 กันยายน 2543

    - ในวันที่ 30คุณแม้ว ได้เดินทางมากับคุณศุภชัยจากฉะเชิงเทราเมื่อมาถึงได้ยื่นซองเงิน จำนวน 2ซองให้กับเรา ซึ่งซองหนึ่งเป็นของคุณแม้วและอีกซองหนึ่งเป็นของ คุณวรวิทย์ ซึ่งเขาไม่เคยรู้จักเขากะลามาก่อนและไม่เคยรู้จัก จ.ส.อ.เชิดมาก่อนเลย

    - คุณวรวิทย์ เล่าว่า ในคืนก่อนหน้าที่คุณแม้วจะเดินทางมานั้น คุณวรวิทย์นั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน และมีผู้ชายคนหนึ่งมีอายุแล้ว ผอม สูง ได้เข้ามาหาในสมาธิแล้วบอกว่า ท่านอยู่ที่เขากะลา ให้ฝากบอกไปยังลูกสาวของท่านด้วยว่า "พ่อรออยู่ที่ประตูมิติ" ซึ่งคุณวรวิทย์ก็เห็นหน้าท่านผู้นั้นอย่างชัดเจน

    -หลังออกจากสมาธิ คุณวรวิทย์เป็นเพื่อนกับคุณแม้วและรู้ว่าคุณแม้วจะไปนครสวรรค์ไปงานศพ จึงถามรายละเอียดจากคุณแม้วเมื่อคุณแม้วบอกว่าไปงานศพ คุณลุงเชิด กลุ่มเขากะลาคุณวรวิทย์จึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟังและฝากข้อความดังกล่าวไปบอกกับลูกสาวลุงเชิดด้วยว่า พ่อเขารออยู่ที่ประตูมิติพร้อมทั้งฝากเงินร่วมทำบุญด้วย 1,000.- บาท

    - หลังจากนั้น คุณวรวิทย์สนใจที่จะดูภาพถ่ายของ จ.ส.อ.เชิดว่าจะใช่บุคคลที่ท่านเห็นในสมาธิหรือไม่ ดังนั้นเมื่อคุณวาสนาเดินทางมาจากนครสวรรค์ จึงนำภาพถ่ายคุณพ่อเชิดมาด้วยและนัดหมายกับคุณวรวิทย์ให้มาดูภาพนั้น ซึ่งคุณวรวิทย์ดูภาพแล้ว บอกว่าใช่คนนี้แหละที่มาหาผม
    - เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งคุณแม้วขณะนี้ปฏิบัติธรรมอยู่บนเขาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดเพชรบูรณ์ สมาชิกบางท่านในเว็ปไซด์นี้ คุณ kananunคุณ mead คงรู้จักคุณแม้วดี ถ้ายังไงได้พบก็ลองสอบถามดูนะคะเพื่อนำมาเล่าให้เพื่อน ๆ สมาชิกได้รับฟังด้วย

    - กับอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเพิ่งรับทราบมาได้เมื่อต้นปี 2550นี้เอง มีสมาชิกกลุ่มฯ ท่านหนึ่ง ชื่อคุณสุขสมบูรณ์(เอ)ได้เดินทางไปยังสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งที่ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรีซึ่งเป็นสถานปฏิบัติธรรม โดยมีอาจารย์บุญหนา ท่านนำปฏิบัติ ไปกัน 4บุคคลและได้ไปค้างคืนที่นั่น พอรุ่งเช้า ก่อนเดินทางกลับคุณสุขสมบูรณ์ได้เล่าให้อาจารย์บุญหนาฟังว่า เคยไปปฏิบัติธรรมมาแล้วที่เขากะลามีจานบิน และมนุษย์ต่างดาวที่นั่น เพราะลุงเชิดติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้เขามาช่วยเรื่องภัยพิบัติ

    - อาจารย์บุญหนาท่านได้กล่าวว่า เมื่อประมาณ 2ปีก่อน (ประมาณปี 2548)มีคน ๆหนึ่งมาหาท่านตอนกลางวัน นั่งสนทนากับท่านเหมือนญาติธรรมแบบคนปกตินี้แหละบอกว่าชื่อจ่าเชิด อยู่ที่เขากะลา ที่นั่นเป็นที่เปิดมิติ มีจานบินเต็มไปหมดมนุษย์ต่างดาวเขาจะมาช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ และให้มาติดต่ออาจารย์จะใช้สถานที่นี้เป็นที่หลบภัยอีกจุดหนึ่งและจะนำจานบินลงมาจอดบริเวณพื้นที่ว่างด้านหลัง

    - อาจารย์กล่าวว่า ท่านไม่เชื่อสักเท่าไร แต่ก็บอกไปว่าอย่าเอาจานบินมาลงเลยเดี๋ยวต้นไม้ตายหมด และคุยเรื่องการปฏิบัติธรรม และเรื่องอื่นๆ ต่อ

    - แต่ก่อนที่จ่าเชิดจะลากลับท่านมองเห็นความผิดปกติโดยที่บริเวณบ่าของจ่าเชิด เริ่มเลือนจางลงกว่าปกติท่านจึงได้เพ่งมองจากสมาธิ จึงรู้ว่า จ่าเชิดไม่ใช่มนุษย์อย่างเราแต่อยู่อีกมิติหนึ่ง เป็นคนละมิติกับเรา (นับจากที่ท่านพบจ่าเชิดเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 5ปี) ซึ่งท่านก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังถ้าคุณสุขสมบูรณ์ไม่กล่าวขึ้นมาก่อน เราก็คงไม่ทราบกัน

    - เรื่องของภัยพิบัติเป็นเรื่องใหญ่ จะเห็นได้ว่า จิตวิญญาณชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นพระปฏิบัติที่ท่านละสังขารไปแล้ว เทวดา เทพ พรหม จิตจักรวาล หรือมนุษย์ต่างดาว ก็สื่อสารผ่านร่างมนุษย์ทั้งสิ้น ในหลายท่าน หลายกลุ่ม หลายสำนักปฏิบัติ จุดประสงค์ก็เพื่อช่วยเหลือ เรื่องของภัยพิบัติเหมือนกัน จะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม รูปแบบการเตือน รูปแบบการเตรียมการ รูปแบบการเร่งปฏิบัติจิต ล้วนเป็นรูปแบบเพื่อเตรียมรับกับภัยพิบัติ ในกาลข้างหน้าทั้งสิ้น
    " เหมือนเราไปเที่ยวงานวัด ภายในงานวัดนั้นมีมหรสพมากมาย ไม่ว่าคนที่เล่นลิเก คนที่ฉายหนัง คนที่ขายลูกชิ้น คนขายลูกโป่งคนขายของเล่น หรือคนที่ไปเดินเที่ยวในงานนั้น ต่างก็อยู่ในงานเดียวกันแต่ทำหน้าที่ต่างกัน"

    -ดังนั้นเรื่องของ "ภัยพิบัติ" จึงมีหลายหลายหน้าที่ หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะรวมกลุ่มปฏิบัติธรรมเพื่อยกระดับจิตใจ เตรียมการเรื่องสถานที่หลบภัยเตรียมอุปกรณ์ในกรณีฉุกเฉิน เผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆหรือผ่านข้อมูลรับข่าวสารเรื่องการเตือนภัย ทั้งหมดล้วนเป็นงานเดียวกันแต่คนละภารกิจเท่านั้นเอง

    - มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า จึงไม่มีคำว่าผิด หรือถูก ในการปฏิบัติการเตรียมการของแต่ละกลุ่ม ให้มองว่าสิ่งที่กลุ่มต่าง ๆ ปฏิบัตินั้นถูกต้องตามหน้าที่ของเขา เราก็ทำไปตามหน้าที่ของเรา งานนี้จึงจะลุล่วงไปได้ด้วยดี ...... "อย่าได้นำไปเปรียบเทียบกันเด็ดขาด เพราะเป็นคนละหน้าที่กัน" (คำที่มนุษย์ต่างดาวกำชับไว้)

    - จ.ส.อ.เชิดชื่นสำนวน ทำงานเรื่องของภัยพิบัติมาตั้งแต่ต้น แม้ในขณะนี้ท่านก็ยังทำอยู่แต่อาจเป็นรูปแบบที่เรานึกไม่ถึงก็เป็นได้

    - มี 3 ข้อ ที่มนุษย์ต่างดาวบอกไว้หลายปีก่อนก็คือ

    - เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
    - อะไรก็เกิดขึ้นได้
    - อย่าตีกรอบ

    - ในโอกาสข้างหน้าจะนำคำเหล่านี้มาอธิบายให้ฟังค่ะ

    <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>




    มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ....
    <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>


    - ในห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลมีดวงดาวนับล้านๆดวง จะมีเพียงดาวดวงนี้เท่านั้นหรือที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ยิ่งวิทยาศาสตร์มีความเจริญมากขึ้นเท่าใดความพยายามที่จะค้นหาในสิ่งที่กำลังสงสัยก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

    - แต่สิ่งหนึ่งที่สวนทางกันกับความเจริญทางโลก ก็คือความเจริญทางจิตวิญญาณการเรียนรู้เพื่อให้เข้าถึงกฎของธรรมชาติ การเป็นผู้ให้ความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ซึ่งเริ่มลดน้อยถอยลงแต่อำนาจความโลภ ความโกรธความหลง ความมัวเมาในวัตถุ ความแก่งแย่งชิงดีที่ดูเหมือนจะเจริญงอกงามมากขึ้นทุกวันเป็นเงาตามตัว

    - ถ้ามองจากด้านนอกเราจะเห็นโลกแคบแต่ถ้ามองจากด้านในเราจะเห็นโลกกว้าง

    - คำๆนี้มีนัยสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติอย่างยิ่งเมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับวัตถุสิ่งของภายนอก ความเจริญในด้านเทคโนโลยี่ต่างๆต่อให้พัฒนาไปสักแค่ไหนจะไม่มีคำว่าพอ จะต้องเสาะหาต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความทะยานอยากเป็นตัวผลักดันนั่นเอง

    - แต่เมื่อเรามองจากข้างในตัวเองมองเห็นความเกิดขึ้นของอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความสุข ความทุกข์เรียนรู้ขันธ์ห้าให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับกฎของธรรมชาติแล้วเราจะเห็นโลกกว้างไกลเห็นทั่วทั้งอนันตจักรวาลเพราะทุกอย่างมีเพียงหนึ่งเดียวคือธรรมชาติและทุกสรรพสิ่งก็ดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติเท่านั้น

    - กฎของธรรมชาติ หรือกฎแห่งกรรมเป็นกฎอันเดียวกัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติดังนั้นกฎของธรรมชาตินี้จึงมีอยู่ทั่วไปในสากลจักรวาล


    -แล้วโลกที่มีความเจริญทางจิตใจและทางวัตถุควบคู่กันไปเขาอยู่กันอย่างไร?


    ......มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ.....


    -มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ติดต่อสื่อสารด้วยนั้นมี 2 ดวงดาว เป็นหลัก คือดาวโลกุกะตะปากะดิกอง และดาวพลูโต

    -ดาวโลกุกะตาปากะดิกองเป็นดาวดวงหนึ่งที่อยู่คนละจักรวาลกับเรามีความเจริญทางจิตและวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไป มีเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าล้ำยุคเป็นมนุษย์ที่อยู่อีกจักรวาลหนึ่งเป็นโลกที่มีขนาดใหญ่เกือบ 3 เท่าของโลกเราโลกของเขาหมุนรอบตัวเองวันหนึ่ง 60 ชั่วโมง

    - ภูมิประเทศ เป็นดาวที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์อากาศหนาวเย็น มนุษย์จากดาวโลกุกะตาฯจึงต้องสวมใส่ชุดรัดรูปที่สามารถปรับอุณหภูมิได้อุณหภูมิภายในชุดที่สวมใส่จะปรับเองตามความสูงขึ้น หรือลดลงของอุณหภูมิภายนอกเพื่อคงสภาพอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่

    - บนดาวของเขา ก็มีภูมิประเทศคล้ายโลกเรามีภูเขา มีแม่น้ำ มีทะเลแต่เขา ไม่มีเรือ(ยานฯแล่นบนน้ำได้) ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถไฟดังนั้นโลกของเขาจึงไม่มีมลพิษ ไม่ต้องมีถนนตัดผ่านให้วุ่นวายแต่มีจุดจอดยานเป็นแห่งๆสำหรับขนส่งสิ่งของ



    - ไม่มีทางเดินที่เป็นถนนสร้างยาวอย่างโลกของเราแต่เขามีทางกระโดดซึ่งอยู่ห่างเป็นจุดๆ เพราะโลกของเขามีแรงดึงดูดน้อยจะเดินไม่ได้เพราะตัวเบา จึงต้องกระโดด เขากระโดดได้ไกลประมาณ 5 – 6 เมตรจึงสร้างจุดรองรับเป็นช่วงๆระยะห่างประมาณ 5 เมตร

    - ในโลกของเขา ก็มีการเกิดภัยพิบัติเหมือนกันในช่วงของการเกิดมรสุม มีการเกิดพายุอย่างหนัก แต่จะไม่เกิดความเสียหายกับทรัพย์สิน และชีวิตแต่เพราะเขาอยู่ในยานฯเมื่อเกิดพายุเขาก็จะนำยานฯไปลอยอยู่ข้างบนก่อน เมื่อสงบจึงกลับลงมาส่วนที่พักที่อยู่บนพื้นโลกจะสร้างเป็นเพียงฐานสี่เหลี่ยมเตี้ยๆโผล่ไว้เหนือพื้นดิน จึงไม่เกิดความเสียหาย และเป็นที่สำหรับนำยานลงจอดจะมีทางลงไปใต้ดินด้านล่างซึ่งเป็นที่สำหรับพักอาศัยภายในครอบครัวซึ่งแต่ละครอบครัวจะมีสมาชิกไม่เกิน 4 คน คือ พ่อ แม่ และมีลูกได้ไม่เกิน 2 คนถ้ามีเกินกว่านั้นก็จะผิดกฏต้องโดนไล่ออกจากจักรวาลนั้น

    - มนุษย์ต่างดาวโลกุกะตาฯมีความเจริญทางจิตสูงมากรักษาศีลกันเป็นปกติ (เป็นแนวทางดำรงชีวิตประจำวัน)แต่ศีลของเขาจะไม่เหมือนกับของเราเพราะความแตกต่างในเรื่องความเข้าถึงกฏธรรมชาติไม่เหมือนกันเช่น

    ศีลข้อ 1 การฆ่าสัตว์ เขาไม่มีเนื่องจากเขากินอาหารที่เป็นแคปซูล ทำจากต้นเคริปซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นหลักวันละ 1 เม็ด เขาไม่มีระบบขับถ่ายเพราะจะย่อยสลายไปเอง เขาจึงไม่มีการเบียดเบียนกัน แต่สัตว์บนโลกเขาก็มีเขาบอกว่าปลาในน้ำก็มี สัตว์อื่นก็มีแต่ไม่มากมายเหมือนโลกเราและสัตว์ต่าง ๆก็อยู่ไปตามธรรมชาติ จนหมดอายุไปเอง

    ศีลข้อ 2 การลักทรัพย์ ศีลข้อนี้ก็ไม่มีเพราะทุกอย่างที่มีเหมือนกันหมด และเป็นของรัฐบาลทั้งหมด ไม่มีการใช้เงินตราไม่มีการทำธุรกิจเพื่อแก่งแย่งกัน เพราะรัฐบาลจัดทำเอง จัดหาให้เองทั้งหมดทุกคนจึงไปทำงานตามหน้าที่ของตนเท่านั้น ดังนั้นความโลภในทรัพย์สินจึงไม่มีและไม่ต้องลักขโมยกัน

    ศีลข้อมุสา ไม่ต้องมี เพราะเขาคุยกันทางจิต คิดสิ่งใดออกมาก็รู้กันหมดซี่งมนุษย์ต่างดาวที่มาสื่อสารตอนแรก ๆ ยังเคยกล่าวว่ามนุษย์โลกนี้ทำไมคิดอย่างหนึ่ง แล้วบอกอีกอย่างหนึ่ง ทำไมไม่บอกอย่างที่กำลังคิด (ตอนนั้นมนุษย์ต่างดาวคงยังไม่รู้ถึงความซับซ้อนในการกล่าวคำเท็จของมนุษย์โลก)มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ทำไมเขาจึงรู้ว่ามนุษย์คนนั้นกำลังคิดอะไ รเพราะสิ่งที่มนุษย์คิดออกมานั้น มันเป็นระบบคลื่นที่ส่งออกมาจากสมองเมื่อมีเครื่องมือแปลสัญญาณคลื่นนั้น ก็มองเห็นว่ากำลังคิดอะไรซึ่งเขาก็ประดิษฐ์เครื่องแปลสัญญาณนั้นมาใช้บนโลก เขาบอกไม่ใช่เรื่องแปลกมันเป็นเทคโนโลยี เหมือนเรามีเครื่องรับแฟกซ์ ตอนเขาส่งมาจากต่างประเทศก็มาเป็นสัญญาณคลื่น เมื่อเรามีเครื่องรับแฟกซ์ก็สามารถรับสัญญาณคลื่นมาแปลเป็นข้อความ หรือภาพ ลงในแผ่นกระดาษได้และสามารถรับรู้ข้อความ หรือภาพต่าง ๆ ได้เหมือนกับที่เขาส่งมาเช่นกันเพียงแต่ตอนนี้มนุษย์ยังไม่สามารถสร้างเครื่องแปลคลื่นความคิดให้ออกมาเป็นข้อความได้ เราจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องลึกลับว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเราคิดอะไรอยู่?

    -เป็นตัวอย่างบางข้อ ที่เขาเคยกล่าวไว้ซึ่งกฎศีลธรรมบนโลกเขา ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง โลกของเขาจึงไม่มีการปกครองด้วยกฏหมายแต่มีกฎศีลธรรม หรือกฎของธรรมชาติ เป็นตัวกำกับหากผู้ใดละเมิดกฎศีลธรรมก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน

    - เรื่องราวยังมีอีกมากมายและทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนที่นำมาเล่าให้ฟังและเป็นข้อความที่พี่สุดใจเก็บรวบรวมไว้ ทุกครั้งที่มีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวและเมื่อมีข้อมูลผ่านมา จ.ส.อ.เชิด จะเป็นผู้แปลข้อมูลต่าง ๆและพี่จะเป็นคนบันทึกไว้แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกในโอกาสต่อไปนะคะ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    <!-- / message -->

    จาก
     
  15. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    จุดเริ่มต้นที่เขากะลา


    -วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2541


    - เป็นครั้งแรกที่เลือกสถานที่เขากะลา เป็นสถานที่ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในวันนั้นจะมีคนที่สนใจขึ้นไปรวมกันอยู่บนเขากะลา ประมาณ 50 คนซึ่งบางส่วนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง


    - วันนั้นมีการนัดหมายเลือกสถานที่ ก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อยมีลูกไฟสีส้มจำนวนมากลอยขึ้นจากพื้นดิน สูงขึ้นผ่านยอดไม้และหายไปทางหลังเขา คนบนเขาต่างวิ่งตามไปดูและตื่นเต้นไปตาม ๆ กัน ที่ได้เห็นลูกไฟลึกลับจำนวนมากลอยผ่านไปในระยะใกล้

    - หลังจากนั้นไม่นาน พื้นราบด้านล่างที่เป็นพื้นที่มืดสนิทมาตั้งแต่หัวค่ำเริ่มมีไฟเปิดตามจุดต่าง ๆ หลายแห่งเคลื่อนที่ไปมา ไฟหลายสีขึ้นเต็มไปหมดตามพื้นดินและมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ก็คือจุดที่มีไฟเกิดขึ้นด้านหลังวัดซึ่งถ้าเป็นรถยนต์ เราจะต้องเห็นการเคลื่อนที่เข้ามายังจุดนั้นแต่ไม่มีการเคลื่อนที่ของวัตถุใดเข้ามายังจุดนั้นเลย จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นเปิดไฟหลายดวง มองเห็นเป็นลักษณะคล้ายสามเหลี่ยม แต่ลำเล็กมากปรากฏอยู่สักไม่กี่นาทีก็ดับไฟหายไป ไม่มีการเคลื่อนที่ออกไปจากจุดนั้นเช่นเคยเราอยู่จนถึงเช้าก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏอยู่ตรงบริเวณนั้นเลย

    - ซึ่งมีการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว ของดาวพลูโตว่า สิ่งที่เห็นเป็นยานฯ ของดาวพลูโตที่นำมาปรากฏให้เห็น ซึ่งจะลำเล็กมาก และมนุษย์ต่างดาว ของดาวพลูโตก็จะตัวเล็กมากเช่นกัน

    - ซึ่งในวันนี้ คณะของคุณ mead และเพื่อนได้เดินทางมาที่เขากะลาด้วยและยังสามารถบันทึกภาพนี้ไว้ได้(ซึ่งหลายท่านคงเห็นภาพเคลื่อนไหวแล้ว)

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    ภารกิจของดาวพลูโต คืออะไร?





    <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>


    "ดาวพลูโต" เป็นดาวที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา เป็นดาวที่อยู่ห่างไกลมากและมีอากาศที่หนาวเย็นติดลบหลายร้อยองศา


    -มนุษย์ที่อยู่ดาวพลูโต มีอายุยืนหลายหมื่นปีมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสมาธิมาก ซึ่งเขากล่าวว่า เพราะอายุยืนมากและอยู่กับสมาธิตลอดเวลา ก็ย่อมต้องเชี่ยวชาญเป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

    - มนุษย์ที่อยู่บนดาวพลูโตนั้นจะอยู่ในกันรูปแบบของพลังงานเป็นส่วนใหญ่ และทำสมาธิเป็นหลักจึงไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่หนาวเย็น กายหยาบก็มี เป็นร่างสังเคราะห์เทียมสำหรับใช้ในการปฏิบัติภารกิจในแต่ละคราว เช่นเมื่อมาปฏิบัติภารกิจในโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติก็จะใช้ร่างสังเคราะห์เทียมนี้มาร่วมปฏิบัติงาน

    - " ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต" เป็นผู้นำในการฝึกฯมุ่งเน้นเกี่ยวกับการยกระดับจิตใจของมนุษย์เป็นหลักทำการฝึกฯกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ให้รู้ระบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาว ให้เรียนรู้เรื่องเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวอุปกรณ์ที่จะนำมาช่วยเหลือมนุษย์ และมนุษย์จาก ดาวพลูโตเชี่ยวชาญในเรื่องของมิติมาก จะมีการเข้าออกมิติ เปิด ปิดมิติให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่เสมอและยังนำมนุษย์เข้าออกมิติโดยเราไม่รู้ตัวเลยมาแล้วหลายครั้ง (จะนำมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป)


    -มีการนำตัวอย่างเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว และอุปกรณ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี มาให้เรียนรู้แต่จุดมุ่งหมายหลัก มุ่งเน้นการฝึกจิตเป็นสำคัญ ฝึกการปล่อยวางขันธ์ห้าเพื่อเข้าถึงกฏของธรรมชาติ สอนเรื่องทุกข์ การดับทุกข์ซึ่งเป็นการสอนในกฏของธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแต่มีการนำอุปกรณ์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีมาประกอบการสอนจึงเป็นการสอนการปล่อยวางที่เข้าใจง่าย และเบื่อหน่ายขันธ์ห้าได้จริง กลุ่มผู้ฝึกฯได้มีโอกาสเรียนรู้ พบเห็นเทคโนโลยีของเขามามากมาย จนแน่ใจว่าเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะต้องได้รับการช่วยเหลือด้วยเทคโนโลยีจากเขาแน่นอน

    การเดินทางจากดาวพลูโตมายังโลก จึงมาได้ 2 ช่องทาง


    - เดินทางด้วยยานอวกาศฯโดยผ่านมิติมา และนำร่างสังเคราะห์เทียม มาปฏิบัติภารกิจ ร่วมกับดวงดาวอื่น ๆบนโลกมนุษย์สามารถมองเห็นร่างสังเคราะห์เทียมได้ด้วยตาเปล่า

    - เดินทางมาในรูปแบบพลังงานเป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเป็นพลังงานลงมา มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามาปฏิบัติภารกิจ ที่ไม่ต้องอาศัยร่างสังเคราะห์เทียมดังนั้นแม้จะอยู่สถานที่เดียวกันก็มองไม่เห็นเขา


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
    วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2541 เปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา





    <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>


    จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวนได้รับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว ว่าจะเปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว บนโลกมนุษย์อย่างเป็นทางการเป็นเวลา 1 ปีและให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว โดยเลือกเขากะลาแห่งนี้เป็นสถานที่เปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว โดยให้จัดทำป้ายอย่างเป็นทางการขึ้นซึ่งแม้ว่าในตอนนั้น กลุ่มของเราจะมีกันเพียงไม่กี่คน แต่ก็ได้จัดทำป้าย "กองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว" ขึ้นและตั้งตรงบริเวณลานปูนเล็กด้านซ้ายขององค์พระพุทธรูปปางนาคปรกซึ่งประดิษฐานอยู่บนลานปูนขนาดใหญ่ ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

    - มีการทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2541

    - มนุษย์ต่างดาวแจ้งว่า ให้เปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาว เป็นเวลา 1 ปี จากวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2541- 7 กุมภาพันธ์ 2542 และในระยะเวลาที่เปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวให้แจ้งไปยังผู้สนใจเรื่องของ UFO เดินทางมาบันทึกภาพได้ ซึ่งจะนำยานฯมาปรากฏที่นี่ และมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

    [​IMG] [​IMG]




    และในคืนวันเปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวก็ได้มีคณะฯผู้สนใจเดินทางมาจากกรุงเทพฯ อยุธยา และจังหวัดใกล้เคียงส่วนหนึ่งมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย ซึ่งในจำนวนดังกล่าว ก็มีคณะของคุณ mead มาร่วมสังเกตการณ์อยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งปรากฏมียานอวกาศรูปสามเหลี่ยมจำนวน 2 ลำได้ลงจอดในพื้นที่บริเวณไร่ด้านล่าง และคณะของคุณ mead บันทึกภาพไว้ได้

    - ยานฯดังกล่าว เป็นยานฯของดาวโลกุกะตาปากะดิกองซึ่งมาร่วมในวันเปิดกองบัญชาการมนุษย์ต่างดาวและเป็นยานที่นำมาปรากฏในการนัดหมายที่สิงห์บุรี ลักษณะเป็นยานฯรูปสามเหลี่ยมซึ่งมี 2 ลำ

    - จุดสังเกต ยานฯทั้งสองลำแล่นสวนกันไปมาในไร่ที่เป็นพื้นที่ขรุขระแต่ไม่มีการสะเทือนขึ้นลงแม้แต่น้อย คล้ายลอยเหนือพื้นดิน


    - ไฟทุกดวงที่เปิดเป็นรูปสามเหลี่ยม จะเป็นอิสระ เปิดปิดกระพริบอยู่ตลอดเวลาในดวงไฟดวงนั้น ไม่ขึ้นต่อกัน

    - ไม่มีลำแสงสาดออกมาเหมือนไฟรถ ซึ่งไม่ว่าจะเคลื่อนที่ไปด้านไหนก็ต้องเปิดไฟส่องทางเป็นลำสาดออกไป

    - ลักษณะของยานดังกล่าวมอง ไม่เห็นส่วนประกอบแม้แต่น้อยซึ่งเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่บันทึกไว้เพื่อนำมาประกอบถ่ายด้วยกล้องวีดีโอจากบนเขาจุดเดียวกัน และขับรถยนต์ไปยังสถานที่บริเวณยานลงจอดภาพที่บันทึกได้จะเห็นตัวรถชัดเจน ลำแสงของรถยนต์ก็สว่างเป็นลำชัดเจนด้วยซึ่งเมื่อมาดูภาพของวัตถุบินที่ลงจอด จะไม่สว่างเลย ไม่เห็นลักษณะของยานเห็นแต่ดวงไฟที่ไม่มีลำแสง

    - ดร.เทพนม เมืองแมนกล่าวถึงภาพนี้ว่า อาจจะอยู่คนละมิติกับเราจึงดูเหมือนการเคลื่อนไปมาไม่ติดกับพื้นดิน

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]






    - อีกภาพหนึ่งที่น่าสนใจในคืนเดียวกัน คือภาพการคอนโทรลลำแสงของไฟได้โดยสามารถกำหนดระยะทางของแสงตามต้องการได้ และดึงกลับเข้าสู่หลอดไฟดังเดิม

    - หลังจากยานฯ สองลำเคลื่อนที่สวนกันไปมาแล้วอีกลำหนึ่งจะทยอยดับไฟทีละดวงจนหมด จึงยังคงเหลือเพียงลำเดียวที่เปิดไฟอยู่สักพักจะมีลำแสงสาดออกมาจากยานฯลำนั้น ซึ่งครั้งแรกคิดว่าเป็นการเปิดไฟธรรมดาแต่สักพักไฟที่สาดออกมาเป็นลำยาว ก็ค่อย ๆ หดสั้นลงโดยลำแสงนั้นถูกดึงกลับเข้าไปเก็บในหลอดไฟจนหมด ซึ่งไฟรถยนต์โดยปกติทั่วไปจะทำได้เพียงปิด เปิดเท่านั้น จะไม่สามารถคอนโทรลลำแสงให้ใกล้ ไกลและดึงกลับเข้าหลอดดังเดิมได้

    - ดังนั้นเมื่อเวลามีคณะฯผู้สนใจ UFO ไปอยู่บนเขาบ่อยครั้งเราจะเห็นลำแสงที่ส่องมาจากหลังเขาซึ่งไกลมากสาดแสงมาถึงคนที่ยืนอยู่บนเขาได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเทคโนโลยีของเขาสามารถคอนโทรลลำแสงให้ใกล้ไกล เพียงใดก็ได้ตามต้องการและกำหนดได้ว่าจะส่องไปยังจุดไหน

    - บางครั้งเมื่อเราไม่ค่อยรู้เรื่องเทคโนโลยี เราจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แค่แปลก ๆแต่ผู้ที่รู้เรื่องของวิทยาศาสตร์อย่างมาก เช่น ดร.เทพนม เมืองแมนท่านบอกว่าไม่ธรรมดา เป็นเทคโนโลยีของต่างดาวแน่นอนเพราะโลกเรายังทำไฟเช่นนี้ไม่ได้

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]






    - ยานฯลำเดียวกันนี้ ช่วงหนึ่งได้มีร่างเรืองแสงสีขาวออกมาจากยานที่จอดอยู่ และเดินไปมา แล้วกลับเข้าไปในยานฯ

    - มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และขนาดของร่างนั้นเล็กกว่าดวงไฟซึ่งเทียบขนาดแล้วยานลำดังกล่าวจะมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับร่างเรืองแสงนั้น

    - ภาพทั้งหมดบันทึกจากกล้องวีดีโอโดยคณะของคุณ mead ซึ่งทางกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มอบให้ทางกลุ่มฯไว้เพื่อเผยแพร่ให้กับผู้สนใจได้รับชมด้วย

    [​IMG]

    มนุษย์ต่างดาวรู้เรื่องภัยพิบัติได้อย่างไร?


    การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ของกลุ่มเขากะลา(เดิม) นั้น ก็เริ่มต้นจากจ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน เป็นบุคคลแรก เพราะท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมและทำสมาธิมาตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร จนบวชเป็นพระภิกษุ และเมื่อท่านเป็นทหารท่านก็ยังคงทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องตลอดมา

    - ดังนั้นการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวทางด้านจิต จึงทำได้ง่าย เพราะความนิ่งของสมาธิจิต ท่านสามารถแยกข้อมูลได้สามารถแปลข้อความออกมาถูกต้องตรงตามการสื่อสาร ที่เราบอกว่าถูกต้องตรงเพราะอะไรเพราะมีหลายครั้งที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารผ่านร่างบุคคลอื่นไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร ต้องตาม จ.ส.อ.เชิด มาช่วยแปลจึงจะรู้เรื่องราวที่เขาสื่อสารมาว่า มาเพื่ออะไรและเมื่อคลื่นจากต่างดาวผ่านออกไปแล้ว บุคคลที่รับคลื่นนั้นมาแม้ขณะคลื่นต่างดาวผ่าน เขาจะพูดเป็นภาษาอื่นออกมา แต่ภายในสมองของบุคคลนั้นจะมีความเข้าใจในความหมายของข้อความที่สื่อผ่านมาแม้คำที่พูดออกมาจะเป็นภาษาอื่นก็ตามซึ่งสิ่งที่ติดตั้งในตัวบุคคลท่านนั้นเป็นอุปกรณ์สำหรับแปลภาษาที่ติดตั้งไว้สำหรับแปลภาษาที่รับมานั้นเอง เราเรียกว่าอุปกรณ์เทคโนโลยีของต่างดาว และผู้รับข้อความยังบอกว่า จ.ส.อ.เชิดแปลถูกต้องทุกประโยค ในสิ่งที่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาอื่น

    - สิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องแปลกเพราะเราจะเห็นว่าในสมัยก่อน ผู้ที่นับถือพุทธศาสนา จึงมุ่งศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน จะกระทำกันอย่างจริงจังมุ่งหาทางหลุดพ้นตามแนวทางที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้แม้จะมีการทำมาหากินกันตามปกติ แต่ก็จะไม่มีความโลภ โกรธ หลง มากนักเพราะเหตุปัจจัย หรือสิ่งเย้ายวนต่าง ๆ มันยังน้อยและก็ยังไม่ละทิ้งการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

    - แต่เมื่อมามองในยุคนี้ จะเห็นว่าบุคคลที่จะตั้งใจศึกษา และปฏิบัติธรรม ลดน้อยลงเพราะมีความเจริญทางด้านวัตถุเข้ามามากขึ้น ผู้คนเริ่มมากขึ้นความแก่งแย่งในการทำมาหากินจึงมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจุดมุ่งหมายจึงเปลี่ยนจากมุ่งเน้นพัฒนาจิตใจ ไปเป็นพัฒนาวัตถุแทนและคนที่เกิดมาในรุ่นยุควัตถุนิยม ก็จะหันไปให้ความสนใจกับวัตถุกันเป็นหลักแก่งแย่งกันเรียน แก่งแย่งกันหางานทำ จนไม่มีเวลาที่จะหันไปให้ความสนใจที่จะพัฒนาจิตของตนเอง

    - ที่กล่าวมานี้ มุ่งหมายที่จะให้เห็นว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา ของความเจริญและความเสื่อมไปตามยุคตามสมัย เมื่อมีความเจริญทางจิตมากธรรมชาติก็ให้ความร่มเย็นเป็นสุข เมื่อมีความเจริญทางวัตถุแต่เสื่อมทางจิตมากธรรมชาติก็ให้โทษเป็นเรื่องธรรมดา นี่เป็นกลไกธรรมชาติซึ่งมีการวนเวียนเช่นนี้หลายยุคหลายสมัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น

    - ดังนั้น เรื่องของภัยพิบัติ ก็ย่อมมีเหตุปัจจัยที่สะสมมามันจึงต้องเกิดไปตามกลไกของธรรมชาติ

    - แต่สิ่งที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นทำไมผู้ปฏิบัติทางจิตจำนวนมากจึงสามารถรู้
    - ล่วงหน้าก่อนเหตุการณ์จะเกิดได้ ทำไมมนุษย์ต่างดาวจากโลกอื่น ๆจึงรู้ได้ จนต้องมาเตรียมการช่วยเหลือมนุษย์โลกนี้สิ่งเหล่านี้มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมันเป็นหลักการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ ที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติผู้ใดที่ต่อเชื่อมกับธรรมชาติได้ ก็รับรู้ได้เช่นกันแต่อธิบายไปมนุษย์อาจไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ยกตัวอย่างว่าบางครั้งมนุษย์ก็ยังมีการคำนวณได้ล่วงหน้าหลายปี ว่าวันที่นี้ เดือนนี้ ปีนี้เวลานี้ จะเกิดสุริยุปราคา จะเกิดฝนดาวตก จะเกิดพายุ หรือแม้กระทั่งวิชาโหราศาสตร์ที่แม่นยำ ยังสามารถรู้ล่วงหน้าได้ ว่าปีไหนจะเกิดอะไรกับประเทศนี้ กับคนนี้ และเมื่อเวลาผ่านไปมันเกิดขึ้นจริงตามนั้นเคยสงสัยไหมว่า เขารู้ล่วงหน้าก่อนเกิดได้อย่างไร ซึ่งก็มาจากหลักการคำนวณนั่นเองซึ่งมันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เพียงแต่ว่าการคำนวณเรื่องภัยพิบัติ อาจมีเหตุปัจจัยหรือกลไกซับซ้อนกว่าเท่านั้น

    - หลักการคำนวณ มันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เมื่อมีเหตุปัจจัยเช่นนี้ ก็จะเกิดสิ่งนี้เวลานี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้น มนุษย์ต่างดาวที่มีความเจริญเขาจึงสามารถคำนวณได้ว่า ในช่วงเวลานี้ จะเกิดอะไรกับดาวดวงไหนในช่วงเวลานี้จะเกิดกับดาวดวงไหนและในช่วงเวลานี้จะเกิดกับดาวอะไร?


    เพราะมนุษย์ต่างดาวกล่าวว่าไม่ใช่ดาวดวงนี้เท่านั้น ที่เขาต้องมาให้ความช่วยเหลือเมื่อจะเกิดภัยพิบัติมีดวงดาวอีกมากมายที่ต้องให้ความช่วยเหลือเหมือนกันเพราะดาวแต่ละดวงจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน


    - มนุษย์ต่างดาว มีการรวมกันจากหลายดวงดาวขึ้นเป็น สมาชิกกลุ่มสากล ทำหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือดวงดาวต่าง ๆที่ประสบความวิกฤตในแต่ละด้าน ซึ่งเขายกตัวอย่างว่า เปรียบเสมือนสหประชาชาติบนโลกนี้ ที่แต่ละประเทศจะเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ในประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ ประเทศสมาชิก ก็จะส่งทหารเข้าร่วมปฏิบัติการซึ่งปัญหาของแต่ละประเทศบนโลกมนุษย์ก็ยังไม่เหมือนกัน บางประเทศขาดแคลนอาหารบางประเทศ เกิดสงคราม บางประเทศเกิดอุทกภัย บางประเทศเกิดโรคระบาด ซึ่งสหประชาชาติก็จะส่งความช่วยเหลือไปตามความจำเป็นของประเทศนั้น ๆ ขาดแคลนอาหาร ก็ส่งอาหารส่งหมอ เกิดอุทกภัย ก็จัดส่งอุปกรณ์ยังชีพ หน่วยกู้ภัย และยารักษาโรคซึ่งสมาชิกของสหประชาชาติแต่ละประเทศก็จะส่งทหารที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละงานไปทำหน้าที่นั้น ๆ เช่นประเทศไทยอาจจะส่งแพทย์ไปช่วย สหรัฐอาจจะส่งอุปกรณ์เทคโนโลยี หรือประเทศญี่ปุ่นอาจจะส่งเงินส่งอาหาร แล้วแต่ประเทศไหนมีความพร้อม หรือมีความชำนาญในแต่ละด้านไม่เท่ากัน


    - ซึ่งมนุษย์ต่างดาวในแต่ละดวงดาว ก็มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อดาวดวงใด ประสบกับวิกฤตการณ์ด้านไหนก็จะระดมแต่ละดวงดาวที่มีความเชี่ยวชาญไปช่วยแต่ละดาวดวงนั้น เช่นบางดาวเชี่ยวชาญด้านสร้างพลังงานคุ้มกันรังสีบางดาวเชี่ยวชาญด้านผลิตอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือมนุษย์บางดาวเชี่ยวชาญด้านสร้างเครื่องมือในการรักษาชีวิตบางดาวเชี่ยวชาญสร้างอุปกรณ์เพื่อสื่อสารกับมนุษย์ และบางดาวเชี่ยวชาญด้านชีวภาพจึงมิใช่เราเป็นดาวดวงแรกที่มีมนุษย์ต่างดาวมาให้ความ
    - ช่วยเหลือ จริง ๆแล้วโลกของเรา เขาก็ให้การช่วยเหลือ มาหลายครั้ง หลายหนในอดีตในการเกิดวิกฤตการณ์ในแต่ละยุค แต่ละสมัย


    - ในการที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนดาวดวงนี้ อาจเป็นครั้งที่หนักหนาสาหัสพอสมควรเพราะการที่มนุษย์ต่างดาวระดมกำลังจากหลายดวงดาว มาเตรียมการทั่วโลกเพื่อรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ มีการกระจายการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ไปทั่วโลกมีการนำ จานบิน มาปรากฏให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อทำความคุ้นเคยและจะไม่เกิดการช็อค เมื่อต้องเห็นเขาบินกันให้ว่อนในเวลาที่เกิดภัยพิบัติสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ต่างดาว ได้มีการเตรียมการวางระบบการช่วยเหลือไว้ เป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

    - ก่อนเกิดภัยพิบัติ มาสำรวจ มาวางโครงการ นำจานบินมาปรากฏทั่วโลก เพื่อทำความคุ้นเคยมาสื่อสารกับมนุษย์เพื่อเตรียมช่องทางในการเตือนภัยและการช่วยเหลือในอนาคต

    - ขณะเกิดภัยพิบัติ ให้การช่วยเหลือด้านต่างๆ ด้วยเทคโนโลยี ด้านอุปกรณ์ และด้านการรักษา และด้านอื่น ๆโดยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหล่านั้นจะส่งจากเขาให้กับมนุษย์โลกได้ใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองผ่านช่องทางที่เตรียมไว้ เช่นกลุ่มผู้เตรียมการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติกลุ่มผู้รับการสื่อสาร หรือกลุ่มผู้ปฏิบัติทางจิตที่มีกระจายอยู่ถึง 5000 คนทั่วโลก

    - หลังเกิดภัยพิบัติ จะให้การช่วยเหลือเพื่อพื้นฟูด้วยเทคโนโลยีของเขาทั้งด้านที่อยู่อาศัย ด้านอาหาร และด้านการรักษาเพราะตอนนั้นโลกของเราไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ หลงเหลือให้มนุษย์ช่วยเหลือตัวเองได้และก่อนกลับ จะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไว้ให้ และเขายังบอกอีกว่าเขาไม่สามารถอยู่ได้บนโลกของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ก็ต้องเดินทางกลับเพื่อช่วยเหลือดาวดวงอื่นต่อไป

    - ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติการช่วยเหลือกันตามกฎของธรรมชาติ ไม่ได้เป็นบุญคุณ หรือต้องการสิ่งตอบแทนใด

    ดังนั้นตอนนี้อยู่ในขั้นตอนก่อนเกิดภัยพิบัติ ก็ยังอยู่ในขั้นตอนต้องสำรวจผลิตอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือ สื่อสารกับมนุษย์ และยังคงบินมาปรากฏให้เห็นทั่วโลกเพื่อทำความคุ้นเคยกับมนุษย์ และจะได้ไม่กลัวเขาในกาลข้างหน้า

    - เป็นการสื่อสารข้อมูลผ่านกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เพื่อบอกถึงจุดประสงค์ที่มาโลกมนุษย์บอกถึงภารกิจที่มนุษย์ต่างดาว สมาชิกกลุ่มสากลของแต่ละดวงดาวกำลังดำเนินการอยู่บนโลกในขณะนี้

    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->สถานที่เขากะลาในปัจจุบัน
    <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>


    - สถานที่เขากะลาขณะนี้ยังสามารถเดินทางไปได้อยู่ แต่สถานที่นั้นไม่ได้มีการขึ้นไปทำกิจกรรมมานานแล้วจะมีเพียงบางครั้งที่คณะผู้สนใจรวมกลุ่มกันเพื่อเดินทางไปเขากะลาก็จะแจ้งมาทางพี่สุดใจ ซึ่งเราก็จะนำทางไป และต้องไปโดยรถส่วนตัวเพราะจะไม่มีรถประจำทางเข้าไปถึงเขา มีแต่รถที่ผ่านถนนสายท่าตะโกผ่านปากทางเข้าซึ่งห่างจากเขากะลา 6 กิโลเมตร ผู้เดินทางไปก็จะต้องนำเต็นท์ไปกลางกันบนลานพระซึ่งจะมีอยู่บริเวณเดียวที่ยังพอจะพักอาศัยได้ นอกนั้น จะถูกปกคลุมด้วยหญ้าที่รกมากเพราะไม่มีผู้ดูแล และขณะนี้ ทางขึ้นเขา ก็ถูกต้นไม้ล้มขวางทางขึ้นต้องจอดรถอยู่ด้านล่างเขาและเดินขึ้นไปซึ่งค่อนข้างจะลำบากเมื่อเทียบกับช่วงที่เปิดให้กับผู้สนใจขึ้นไปปฏิบัติธรรม และบันทึกภาพแต่หลายคณะที่รวมกลุ่มและเดินทางขึ้นไป ก็ยังคงพบเห็นลูกไฟ วัตถุบิน และสิ่งแปลก ๆปรากฏอยู่เสมอ

    - และขณะนี้ ผู้ฝึกกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ซึ่งคอยต้อนรับคณะผู้สนใจเดินทางไปเขากะลา จำนวน 3 ท่าน รวมทั้งพี่สุดใจด้วยได้เดินทางมาประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ และพักอยู่ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ เมษายน 2550 เป็นต้นมา

    - ที่เขากะลา มนุษย์ต่างดาวยังเตรียมการในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกอยู่ ณสถานที่นั้น เพียงแต่ว่า ขั้นตอนในระยะนี้ เป็นขั้นตอนที่ผู้ได้รับการฝึกฯต้องเดินทางไปประสานงาน และเผยแพร่ข่าวสารกับกลุ่มต่าง ๆที่มีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาวอื่น ๆซึ่งเราได้เดินทางไปพบมาแล้วหลายกลุ่มจากหลายสถานที่เพื่อรวบรวมข้อมูลเรื่องของมนุษย์ต่างดาวจากดวงดาวต่าง ๆมาให้ผู้สนใจได้รับทราบต่อไป

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]






    อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว



    <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>



    - การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ของกลุ่มเขากะลา(เดิม) นั้น ก็เริ่มต้นจากจ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน เป็นบุคคลแรก เพราะท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมมาและทำสมาธิมาตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร จนบวชเป็นพระภิกษุ และเมื่อท่านเป็นทหารท่านก็ยังคงทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องตลอดมา

    - ดังนั้นการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวทางด้านจิตจึงทำได้ง่ายเพราะความนิ่งของสมาธิจิต ท่านสามารถแยกข้อมูลได้สามารถแปลข้อความออกมาถูกต้องตรงตามการสื่อสาร ที่เราบอกว่าถูกต้องตรงเพราะอะไรเพราะมีหลายครั้งที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารผ่านร่างบุคคลอื่นไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร ต้องตาม จ.ส.อ.เชิด มาช่วยแปลจึงจะรู้เรื่องราวที่เขาสื่อสารมาว่า มาเพื่ออะไรและเมื่อคลื่นจากต่างดาวผ่านออกไปแล้ว บุคคลที่รับคลื่นนั้นมาแม้ขณะคลื่นต่างดาวผ่านเขาจะพูดเป็นภาษาอื่นออกมาแต่ภายในสมองจะมีความเข้าใจในความหมายของคำที่พูดออกมา และยังบอกว่า จ.ส.อ.เชิดแปลถูกต้องทุกประโยค ในสิ่งที่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาอื่น

    - จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวนได้มีการติดต่อสื่อสารทางโทรจิตกับมนุษย์ต่างดาวเพียง 1 บุคคลในระยะแรกเพราะท่านได้มีการฝึกจิตมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายสิบปี

    - แต่เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นจำเป็นต้องใช้คนจำนวนมากในการรับข้อมูลการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวเพราะใกล้ระยะเวลาของภัยพิบัติเข้ามาทุกที ไม่อาจที่จะรอให้ผู้ที่เริ่มฝึกฯมีสมาธิแก่กล้าพอที่จะใช้การโทรจิตติดต่อสื่อสารได้ทัน

    - ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว จากดวงดาวที่มีเทคโนโลยีสูงจึงได้จัดสร้างอุปกรณ์ขึ้นมา เป็นเครื่องรับข้อมูล มาติดตั้งให้กับผู้ฝึกแทนเพื่อลัดขั้นตอนที่ต้องใช้ระยะเวลานาน และเป็นการรับข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ

    - อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวนั้นเป็นอุปกรณ์ที่เป็นรูปแบบของพลังงาน ไม่ใช่วัตถุแต่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าวัตถุมาก

    - อุปกรณ์ชิ้นนี้ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเกินจินตนาการ เป็นอุปกรณ์พื้น ๆที่สามารถเทียบเคียงได้กับของมนุษย์ซึ่งมนุษย์ต่างดาวยกตัวอย่างว่า

    - ก็คล้ายกับเครื่องโทรศัพท์ของมนุษย์นี่แหละ ถ้าพ่ออยู่สวีเดน ลูกอยู่ประเทศไทยรับรู้ข่าวสารกันได้ตลอดเวลาเพราะอะไร? เพราะมีโทรศัพท์คนละเครื่องคุยกันข้ามประเทศและมนุษย์ก็ไม่แปลกใจเพราะเห็นเขายืนถือโทรศัพท์คุยกันข้ามประเทศและรู้ข่าวสารของพ่อที่ต่างประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับมนุษย์
    - มนุษย์ต่างดาวก็เช่นกันเปรียบเสมือนเขาเอาเครื่องโทรศัพท์ในรูปแบบพลังงาน ไปไว้ในสมองมนุษย์จึงไม่จำเป็นต้องถือเครื่องโทรศัพท์ให้เห็น แต่รับข้อมูลรู้เรื่องเขาสร้างอุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการส่งข้อมูลข่าวสารมายังเป้าหมายที่ต้องการและกันการผิดพลาดในข้อมูลนั้น

    - แล้วทำไมเราเข้าใจเป็นภาษาไทย? มนุษย์ต่างดาวพูดภาษาไทยได้หรือ? เป็นคำถามที่เราเจอเกือบทุกครั้ง

    - ก่อนที่มนุษย์ต่างดาวจะมาสื่อสารกับมนุษย์โลก ในประเทศใดก็ตามจะมีการมาสำรวจในแต่ละประเทศนั้นก่อน เพื่อบันทึกภาษาพูดต่าง ๆนั้นไปก่อนจัดทำเครื่องแปลภาษาไว้ในอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องรับชิ้นเดียวกันมนุษย์ต่างดาวบอกว่า ทำไมต้องแปลกใจเพราะแม้กระทั่งมนุษย์ก็ยังสามารถประดิษฐ์เครื่องแปลภาษาได้ ซึ่งก็จริงเวลาที่ประเทศต่าง ๆ ที่มาประชุมรวมกัน ถ้าใส่หูฟังเครื่องแปลภาษาก็รับฟังเป็นภาษาของชาติตนเองได้ มนุษย์เราไม่แปลกใจ เพราะโลกเราประดิษฐ์ขึ้นมาเองจึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามนุษย์ต่างดาวสื่อสารลงมา ก็จะสงสัยว่ามนุษย์รู้ภาษาเขาได้อย่างไร? ซึ่งที่จริงแล้วเราไม่รู้ภาษาของเขาแต่สิ่งที่เราได้รับข้อมูลผ่านมาก็เป็นภาษาไทยแล้ว และเราสามารถเข้าใจได้จริง

    - นี่เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของมนุษย์ต่างดาวที่ติดตั้งให้กับผู้ฝึกฯ แต่มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า อุปกรณ์ชนิดนี้มีการสร้างไว้เป็นจำนวนมาก และติดตั้งให้กับบุคคลจำนวนมากไม่ใช่เฉพาะผู้ฝึกเท่านั้น แม้บุคคลนั้นจะไม่รู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวเลยก็ตามแต่ถ้าเขาเป็นเป้าหมายให้เป็นผู้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขาก็จะติดตั้งไว้ให้แม้บุคคลนั้นจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม

    - ในอนาคตข้างหน้า มนุษย์จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหนเพราะการสื่อสารจะถูกตัดขาดหมด อุปกรณ์ชิ้นนี้จะเป็นการรับข้อมูลมาจากผู้ที่รู้สถานการณ์ และส่งเป็นคลื่นความคิดมาที่บุคคลนั้นเพื่อให้บุคคลนั้น สามารถให้การช่วยเหลือได้ทันเวลา

    - เหมือนหน่วยกู้ภัยของโลกเรา เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ไหนก็จะมีการพูดข้อความแล้วส่ง
    เป็นคลื่นวิทยุไปยังกลุ่มเป้าหมาย คือหน่วยกู้ภัยทั้งหมดแต่หน่วยใดอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ก็จะไปถึงทันเวลาแล้วใครเป็นผู้ส่งเสียงไปทางคลื่นวิทยุ คนที่ส่งข้อความก็คือศูนย์ที่รับรู้ก่อนแล้วแจ้งไป นี่ก็คือคลื่น แต่มีเครื่องรับเป็นวิทยุ หรือ ว.นั่นเอง

    - มนุษย์ต่างดาวก็ส่งข้อความเป็นคลื่นมายังสมองมนุษย์ เป็นคลื่นความคิด เพราะสมองเราเมื่อคิดอะไรจะออกมาเป็นคลื่นความคิด ดังนั้นเมื่อคลื่นเหล่านี้ถูกส่งมาบุคคลนั้นก็จะคิดว่านี่เป็นความคิดเราก็จะทำไปตามที่ตนเองคิดเท่านั้นเอง

    - ทุกอย่างมันเป็นกลไก เป็นวิทยาศาสตร์ ผู้ที่มีความเจริญทั้งทางจิตและเทคโนโลยีก็จะทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่น มิใช่เป็นการแทรกแซงแต่เพื่อที่มนุษย์จะได้ช่วยมนุษย์ด้วยกันเองยามเกิดวิกฤตในกาลข้างหน้า

    - ลองสังเกตุตัวเองดูก็ได้ถ้าคุณเป็นบุคคลหนึ่งที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องของภัยพิบัติซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย บางครั้งเราคิดอยากไปที่นี่ และอีกหลาย ๆคนก็อยากไปที่ที่เดียวกันแล้วก็มาเจอกันในเวลาเดียวกันเหมือนการบังเอิญโดยไม่ได้นัดหมายกันจึงมีการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวมร่วมกัน นั่นอาจไม่ใช่บังเอิญอาจเป็นการส่งคลื่นความคิดให้ไปยังจุดใดจุดหนึ่ง พร้อม ๆ กันหลายคน จึงมาเจอมารวมกลุ่มกันได้ ซึ่งสิ่งที่ทำก็เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทั้งสิ้น

    - ขอกล่าวถึงอุปกรณ์ชิ้นแรกของมนุษย์ต่างดาวเพียงเท่านี้ ที่กล่าวว่าเป็นชิ้นแรกเพราะผู้ที่ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นคนแรกคือ คุณวาสนา ชื่นสำนวนซึ่งติดตั้งเพียงคนเดียวในขั้นต้น เพราะ จ.ส.อ.เชิด ขณะนั้นอายุมาก และป่วยไม่อาจรับข้อมูลเพื่อนำฝึกนอกสถานที่ได้มนุษย์ต่างดาวจึงได้ติดตั้งอุปกรณ์นี้ให้กับคุณวาสนาเพื่อสามารถรับข้อมูลรูปแบบการฝึกจิต และประมวลพลัง ในระบบการฝึกจากมนุษย์ต่างดาวจึงสามารถนำกลุ่มเขากะลา(เดิม) ไปฝึกตามข้อมูลที่ได้รับมาในระยะต้นจนจบหลักสูตรการฝึกฯ

    -จึงเป็นการแจ้งเพื่อทราบ ถึงอุปกรณ์ชิ้นนี้ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ทุกครั้งที่มีการฝึกจะมีจานบินมาลอยอยู่เหนือกลุ่มผู้ฝึกเกือบทุกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันว่าได้ผ่านข้อมูลการฝึกมาจริง

    - คุณวาสนาชื่นสำนวน จึงเป็นผู้รับผิดชอบแผนก "ขับเคลื่อนระบบ และ maintenance ระบบ" ในขณะนี้



    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]


    จาก <!-- google_ad_section_end -->

    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  16. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    ประสบการณ์การฝึกรับข้อมูลครั้งแรกผ่านอุปกรณ์สื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>

    ประมาณกลางเดือนตุลาคม 2542
    เวลาประมาณ 09.00 น.

    ขณะนั้น ผู้ฝึกรวม 11 เตรียมตัวจะรับประทานอาหารเช้ากันได้มีระบบส่งข้อความมาที่ผู้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบบ คุณวาสนา ให้เข้าฝึกด่วนจึงวางจานช้อน แล้วเข้าไปในห้องพระใหญ่ด้านหน้า โดยให้นั่งเป็นวงกลมหันหน้าเข้าหากัน และข้อมูลผ่านมาข้อความว่า ให้นั่งทำสมาธิกำหนดสติเพื่อรับข้อมูลที่จะส่งผ่านมา โดยตอบคำถามที่ว่าอาหารเช้ามื้อนี้ที่ทำเสร็จแล้วนั้น จะได้ทานกี่โมง ?

    - เสร็จแล้วคุณวาสนาก็เดินออกจากกลุ่มไปยังหน้าโต๊ะหมู่บูชา แล้วเขียนใส่กระดาษเป็นคำตอบที่ไม่มีใครรู้เสร็จแล้วก็ใส่ไว้กลางหนังสือเล่มใหญ่ บอกว่าคำตอบอยู่ภายในนี้ให้
    นั่งทำจิตให้สงบรับข้อมูลที่จะผ่านมาทางคลื่นความคิดของแต่ละคนแล้วเขียนใส่กระดาษเมื่อครบเวลา

    - หลังจากนั้น ทุกคนก็นั่งหลับตาทำจิตสงบเพื่อสังเกตุข้อความที่เข้ามา
    - ซึ่งในวันนั้นพี่สุดใจก็นั่งหลับตาเช่นเดียวกับคนอื่น ๆแล้วคอยสังเกตุความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สักประมาณ 5 นาทีได้มีคลื่นความคิดส่งเข้ามาว่า "สองทุ่ม" ตอนนั้นพี่สุดใจก็ยิ้ม ๆ เพราะว่าคิดเองแล้วยังคิดต่อไปอีกว่า โอ้โห... จะได้กินข้าวเช้าตั้งสองทุ่มเชียวหรือแค่คิดเท่านั้น กลับมีภาพปรากฏขึ้นในหัว เห็นชัดเจนมาก เป็นภาษาเขียนด้วยลายมือหวัดๆ เป็นตัวเลข 20.00 ตอนนั้นรู้สึกตกใจเหมือนกันเพราะเริ่มรู้ว่า คลื่นความคิดที่ว่าสองทุ่มนั้น ไม่ใช่ความคิดของเรา และเพราะเป็นครั้งแรกที่เริ่มรับข้อความจึงยังงง ๆอยู่
    - หลังจากนั้น ระบบก็บอกให้ลืมตา และเขียนลงในกระดาษทุกคน ซึ่งพี่สุดใจก็เขียนเวลา 20.00 ลงไป
    - เมื่อเขียนครบทุกคนแล้วก็มีการนำมาเปิดออกดูพร้อมกัน ปรากฏว่ามีพี่สุดใจคนเดียวที่เขียน 20.00 ซึ่งคนอื่นๆ บอกว่า ยังรับไม่ค่อยชัดเจน เลยไม่แน่ใจว่าคิดกันไปเองหรือเปล่า จึงเขียนต่าง ๆกัน

    - คุณวาสนา จึงเดินไปนำหนังสือบนโต๊ะหมู่บูชามาเปิดออกมีกระดาษที่เขียนและพับไว้อยู่ภายใน ซึ่งข้อความตัวเลขนี้ถูกส่งมาก่อนแล้วคุณวาสนาจึงเขียนไว้ให้ทุกคนเป็นพยาน ก่อนหน้าที่จะให้ไปนั่งสมาธิซึ่งเมื่อเปิดออกปรากฏตัวเลขที่เขียนไว้คือเลข 20.00 ซึ่งเหมือนกับที่พี่สุดใจเขียนลงไป

    - ดังนั้น ในวันนั้น อาหารเช้าที่ทำเสร็จแล้ว จึงได้ทานกันตอนสองทุ่มแต่หลังจากเสร็จการทดสอบครั้งแรกแล้ว ระบบจึงให้ทานก๋วยเตี๋ยวแทนที่ร้านค้าข้างบ้าน และให้พี่สุดใจ เป็นผู้สั่ง ซึ่งก่อนสั่งก๋วยเตี๋ยวให้สังเกตุว่าข้อมูลที่รับมา เป็นความคิดเราหรือไม่?>>

    - ปรากฏว่า กลับไม่มีความคิดใด ๆ อยู่ในหัวเลย คิดไม่ออกว่าจะสั่งก๋วยเตี๋ยวอะไรสักพักก็มีคลื่นความคิดลงมาว่า " เส้นใหญ่เนื้อเปื่อย" ก็ตกใจอีกเป็นครั้งที่สองเพราะถ้าเป็นความคิดเรา จะไม่สั่งเด็ดขาด เพราะเราไม่ได้ทานเนื้อมาเกือบสองปีแล้วและเมื่อสั่งไป สมาชิกอีก 2 ท่านในนั้นก็ไม่ทานเนื้อเหมือนกัน แต่สรุปแล้วในวันนั้นทุกคนก็ทานเส้นใหญ่เนื้อเปื่อยทั้งหมด ซึ่งหลังจากนั้นมาเรื่องอาหารการกินจึงเป็นเรื่องเล็กสำหรับผู้ฝึกเพราะเป็นแค่อาหารเพื่อการยังชีพเท่านั้น

    - ดังนั้นในการส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์ครั้งแรก ๆจะเป็นข้อมูลผ่านคลื่นความคิดที่ตรงข้ามกับความคิดของเรา จึงเริ่มรู้ว่านี่เป็นข้อมูลจากที่อื่น และนี่เป็นความคิดของเราเอง ซึ่งในระยะหลัง ๆบุคคลอื่นที่ร่วมฝึกก็จะเริ่มรับข้อมูลได้เหมือนกัน และสิ่งหนึ่งที่เป็นกติกาก็คือทุกคนให้ทำตามข้อมูลที่ถูกส่งมา เพื่อจะได้แยกว่านี่ไม่ใช่ความคิดเรา

    - เช่นเวลากำลังทานข้าวอยู่ ก็วางจานลุกไปอาบน้ำ ดูทีวีกำลังสนุก ก็ลุกไปรดน้ำต้นไม้ซึ่งมีความขัดแย้งกับความคิดของเราอย่างยิ่ง เพื่อเป็นที่สังเกตว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่เราปรุงขึ้นมาเอง

    - มีอีกครั้งหนึ่งพี่สุดใจขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปตลาด จะไปของ ขณะเดินอยู่นั้น ก็มีความคิดส่งเข้ามาว่า "ซื้อดอกไม้จันทน์" พี่ก็หยุดเดินแล้วมองเข้าไปในความคิดว่าเราคิดเองหรือเปล่าก็เห็นว่า เราไม่ได้คิดอย่างนี้แต่เมื่อเดินไปอีกหน่อย ก็มีเข้ามาอีกแต่คิดแรงกว่าเดิม ซื้อดอกไม้จันทน์งานศพคราวนี้จึงรู้ว่า อ้อ ไม่ใช่เราคิด แต่ก็เดินวนหลายรอบไม่กล้าซื้อจนสุดท้ายข้อความชัดเจน ก้องอยู่ในหัวว่า ซื้อดอกไม้จันทน์ก็เลยเดินไปร้านขายอุปกรณ์งานศพ ซื้อดอกไม้จันทน์ที่เขาทำเป็นคล้ายดอกไม้ ห่อละ 50 ดอก ราคา 60 บาท เอากลับมาที่บ้านที่เป็นสถานที่ฝึก

    - คราวนี้จะไปไว้ที่ไหนล่ะ พี่สุดใจก็พยายามคิดว่าจะไปไว้ไหนดีแต่ความคิดของเราเองกลับมีน้ำหนักเบามาก เหมือนตัดสินใจไม่ได้ อยู่ ๆก็มีความคิดที่หนักแน่นชัดเจนเข้ามา "เอาไปไว้ในเต็นท์ที่เรานอน"

    - ตอนนั้นพี่สุดใจจะกางเต็นท์นอนอยู่คนเดียวอยู่ชายป่านอกบ้านที่ใช้ฝึกที่สิงห์บุรีมันทั้งมืด และเงียบสงัดเวลากลางคืน และพี่สุดใจก็เป็นคนไม่ชอบไปงานศพไม่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องคนตาย เรื่องศพเลย แต่ต้องเอาดอกไม้จันทน์ไปนอนด้วยแต่ที่แย่กว่านั้นคือ เมื่อเข้าไปอยู่ในเต็นท์ที่แคบกลิ่นดอกไม้จันทน์ตลบอบอวลอยู่ภายในเต็นท์รุนแรงมาก เหมือนนอนอยู่ในงานศพเลยก็เลยต้องฝึกการข้ามความกลัวควบคู่กันไป ซึ่งอยู่ในนั้น 2 คืน พอรุ่งขึ้นวันที่ 3 ก็มีคลื่นความคิดเข้ามาว่า "เอาไปทิ้ง" พี่ก็เลยเอาออกไปทิ้งนอกบ้าน

    - ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นประสบการณ์จริงและหลังจากนั้น ก็จะเริ่มเห็นชัดเจนว่า ความคิดของเราแบ่งเป็นสองส่วนส่วนหนึ่งเราปรุงความคิดเองในชีวิตประจำวันแต่ส่วนหนึ่งถูกส่งเป็นข้อมูลผ่านคลื่นความคิดของเรา จากนั้นเราก็เริ่มที่จะแยกคลื่นความคิดที่ถูกส่งผ่านอุปกรณ์มาที่ผู้ฝึก และเมื่อบ่อย ๆเข้าก็เกิดทักษะ เมื่อมีความคิดใดเข้ามาผู้ฝึกก็จะต้องมีสติไปจับอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งแน่วแน่เพื่อแยกความคิดตัวเองออกมาว่าเราอยู่กับสติตรงนี้ แต่คลื่นความคิดที่ส่งมานั้นก็ยังคงคิดหนักแน่นอยู่อย่างเดิม จึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดเราเป็นข้อมูลผ่านมาเพื่อฝึกแยกความคิดออกจากอุปกรณ์สื่อสาร

    - ดังนั้นรูปแบบการฝึกของกลุ่มฯจึงเน้นหนักไปในการฝึกสติ เพื่อรู้ให้ทันความคิดและหลังจากนั้นก็เริ่มปล่อยวางความคิด จะเริ่มไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าในความคิดของเราเท่าไรนัก เพราะมันไม่ใช่ตัวเราของเราจึงมีการฝึกปล่อยวางขันธ์ห้าไปพร้อม ๆ กันด้วย

    - นี่เป็นการฝึกเริ่มแรกของอุปกรณ์ชิ้นแรกของมนุษย์ต่างดาว คืออุปกรณ์รับข้อมูลแต่จากนั้นมา บางครั้งข้อมูลนั้นส่งมา แล้วก็มีภาพมาประกอบด้วยก็เริ่มเห็นชัดขึ้นกว่าเดิม อุปกรณ์ชิ้นแรกอาจจะต้องใช้เวลาในการแยก ในการสังเกตแต่หลังจากนั้น ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ก็เริ่มง่ายขึ้นเริ่มที่จะเห็นอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวในหลายลักษณะและติดตั้งตามอายตนะของร่างกายเราและสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ต่างดาวเน้นย้ำอยู่เสมอก็คือ นี่เป็นเทคโนโลยีเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ใด ๆและผู้ฝึกได้รับการติดตั้งเป็นเพียงเครื่องรับทางเดียว เพื่อรับข้อมูลเท่านั้นไม่ได้ติดตั้งระบบสองทาง จึงไม่สามารถจะส่งข้อมูลไปถึงเขาได้ เพราะเวลาข้างหน้าเขาจะมาช่วยด้วยการผ่านข้อมูลลงมาเพื่อเตือนภัยพิบัติหรือเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน ก็เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทั้งสิ้น (มีเพียงคุณวาสนาเท่านั้น ที่ได้รับการติดตั้งในระบบสองทาง คือรับข้อมูลและส่งข้อมูลกลับไปได้ ซึ่งทำหน้าที่เช่นเดียวกับ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวนเพราะเป็นแผนกเดียวกัน แต่เป็นการใช้อุปกรณ์แทนการโทรจิต)

    - พี่สุดใจอาจจะเล่าค่อนข้างยาวไปสักนิดแต่เพื่อจะอธิบายให้ฟังว่า อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวนั้นได้มีการสร้างเพื่อเตรียมการไว้สำหรับมนุษย์โลก ให้ช่วยเหลือกันเองได้โดยใช้ข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวที่รู้มากกว่าเราส่งมาให้

    - ลองสังเกตดู เพราะอุปกรณ์ชิ้นนี้ได้ถูกติดตั้งไปยังผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก อย่างเช่นผู้ที่เห็น UFO บ่อยครั้งจะรู้ว่าบางครั้งเดินอยู่ก็เหมือนกับว่าให้เงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นจานบิน อยู่ในบ้านก็มีความคิดว่าออกมาหน้าบ้านแล้วก็เห็น UFO แม้กระทั่งช่างภาพที่บันทึกได้ก็จะรู้สึกว่า เหมือนมีอะไรมาบอกให้แหงนหน้ามอง พอเห็นก็บันทึกภาพได้บางครั้งขับรถอยู่ รู้สึกว่ามีอะไรมาลอยอยู่เหนือหลังคารถ ก็ชะโงกออกไปดูเห็นวัตถุลอยอยู่ ก็จอด
    รถลงมาถ่ายภาพไว้ได้ สิ่งเหล่านี้ก็คือการผ่านข้อมูลลงมาตามอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามก็เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ข้อมูลต่อผู้อื่นทั้งสิ้น

    - และเมื่อเราคิดอะไรคลื่นความคิดของเราเขาจะรู้หมด หลายครั้งที่ผู้ที่มาสนทนากับเราเมื่อไปเขากะลาจะเล่าให้ฟังว่า บางทีอยู่บ้านก็คิดไปถึงเขา แล้ววัตถุบินก็บินมาแล้วจอดลอยอยู่ให้เห็นเป็น 10 นาทีแล้วก็ไป ถ้าเราติดขัด หรือสงสัยอะไรบางครั้งเขาจะส่งข้อมูลลงมาเพื่ออธิบายสิ่งที่เรากำลังสงสัยให้ทราบส่วนมากจะเป็นการอธิบาย เรื่องของกฎ การปล่อยวางการละความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า โดยมุ่งเน้นให้เห็นทุกข์จากขันธ์ห้าและแนวทางดับทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับที่พุทธศาสนาได้สอนไว้เช่นกัน

    - อุปกรณ์ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ พี่สุดใจและผู้ฝึกหลายท่าน ได้พบเจอด้วยตนเองแล้วทั้งสิ้นและมีตัวอย่างจากผู้ฝึกอีกหลายท่านที่ประสบด้วยตนเองเช่นกัน

    - ซึ่งได้มีการเปิดเผยเกี่ยวกับ "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" เป็นครั้งแรกในการบรรยายภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา

    - อุปกรณ์ชิ้นต่อไปในครั้งหน้า ก็จะเป็นอุปกรณ์ "การส่งภาพแต่ไม่มีเสียง" เข้ามาในสมองของเรา เหมือนมีจอทีวีอยู่ในหัว อันนี้ก็จะเริ่มง่ายขึ้นกว่าเดิมว่านี่ไม่ใช่ของเรา หากยังสนใจที่จะรับฟังพี่สุดใจจะนำอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวในรูปแบบต่าง ๆ มาเล่าให้ฟังนะคะ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->ภาพลวงตา จากอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว

    คำ 3 คำที่มนุษย์ต่างดาวกล่าวไว้

    ----- เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
    ----- อะไรก็เกิดขึ้นได้
    ----- อย่าตีกรอบ

    - สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวต้องบอกสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าผู้ฝึกในระยะเริ่มแรกก็เป็นเหมือนบุคคลทั่ว ๆ ไป มีการตื่นเต้นทุกครั้งที่พบเจอกับสิ่งแปลก ๆมีความงุนงงสงสัย กับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ แม้บางสิ่งบางอย่างมีการทำซ้ำให้เห็นสัมผัสได้ด้วยกายเนื้อ ก็ยังคิดว่าเหลือเชื่ออยู่ดีจึงมีความวุ่นวายในการฝึกอยู่เสมอเพราะจินตนาการของมนุษย์อยู่ในมุมมองเท่าที่เคยเห็น เคยสัมผัสหรือเคยได้ยินมาเท่านั้นมนุษย์ต่างดาวจึงต้องมาอธิบายในเรื่องของวิทยาศาสตร์ที่ก้าวล้ำไปเกินกว่าที่เราจะเข้าใจซึ่งขอยกตัวอย่างบางเรื่องมาประกอบคำอธิบายด้วย

    - อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวที่ติดตั้งตามอายตนะทั้ง 6 ของผู้ฝึก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจหรืออารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ

    - ก่อนการฝึก จะมีการผ่านข้อมูลมาให้ผู้ฝึกรับทราบทุกครั้ง ว่ากำลังเรียนเรื่องอะไรเพื่อที่แต่ละคนจะได้ทำความเข้าใจในแบบฝึกหัดได้ถูกต้องว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

    - ทางตา อายตนะสำหรับการมองเห็น ........ มองเห็นวัตถุชิ้นเดียวกัน ในลักษณะต่างกัน

    - ประมาณปี 2546 ที่เริ่มแบบฝึกนี้ซึ่งจะเป็นการฝึกเกี่ยวกับการรู้จักอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งในขั้นตอนนี้ผู้ที่ฝึกในระดับจบตามกำหนดเวลา ปี 2543 ส่วนหนึ่งได้เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาของแต่ละบุคคลแล้วคงเหลือแต่ผู้จะต้องฝึกเรียนรู้เรื่องของอุปกรณ์ในขั้นเข้มข้น จำนวน 4 คนบางครั้งจะพบกับเหตุการณ์เพียงลำพัง บางครั้งจะมีการพบพร้อมกันเป็นคู่ ๆเพื่อที่จะได้มีการยืนยันกันในทุกครั้งที่เห็น

    - ซึ่งในส่วนของพี่สุดใจ ก็มักจะได้คู่กับคุณโสภาเป็นประจำเพราะคุณวาสนา กับคุณสมจิตร จะต้องไปทำงานประจำด้วยกัน ณ ที่เดียวกัน ดังนั้นทั้งคู่จึงอยู่ด้วยกันโดยปริยาย

    - ประสบการณ์แรก พี่สุดใจกับคุณโสภาพบพร้อมกันคือทั้งสองคนจะต้องเดินทางไปซื้อของเป็นประจำยังร้านขายอุปกรณ์สำหรับทำขนมร้านหนึ่งในตลาดปากน้ำโพนครสวรรค์ และต้องไปซื้อเกือบทุกวันเพราะช่วงนั้น ที่บ้านแม่ทำขนมขายเด็กนักเรียนและเราก็จะเป็นคนไปซื้ออุปกรณ์ ด้วยการขี่มอเตอร์ไซด์ไปซื้อกับโสภาเกือบทุกวันและเมื่อไปถึงร้านจะจอดรถไว้ที่ประตูทางเข้าร้าน และโสภาจะรออยู่ด้านนอกเราจะเป็นคนเข้าไปซื้อทุกครั้ง

    - - วันนั้น เนื่องจากซื้อของน้อยเพียงอย่างเดียว เมื่อจอดรถข้างประตูทางเข้าก็บอกให้คุณโสภาเข้าไปซื้อของอย่างเดียว ซึ่งเมื่อโสภาเดินเข้าไปซื้อของเราก็ยังคงนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซด์เพื่อรอโสภากลับออกมา

    - ขณะที่รอก็มองเห็นเก้าอี้ทรงสูงตัวหนึ่งวางไว้ตรงประตูทางเข้าเป็นเก้าอี้ทรงสูงขาเดียวเหมือนเก้าอี้หน้าเคาเตอร์บาร์ตามผับต่าง ๆ มีลักษณะแปลกตาเพราะมีพนักพิงโค้งมนขึ้นมานิดเดียว เป็นสีดำ และมีลวดลายนูน ๆ ในลายหนังสีดำนั้นและเป็นเก้าอี้เปล่า ที่พิจารณาได้ละเอียดเพราะมีวางอยู่ตัวเดียวข้างกับที่เราจอดรถและโสภาก็ยังไม่กลับออกมา จึงมีเวลาพิจารณาค่อนข้างนาน

    - เมื่อโสภากลับออกมาแล้ว ก็ขี่รถกลับบ้านแต่ขณะที่ออกมาได้ไม่ไกลเท่าไรนัก โสภาบอกว่าลืมมะพร้าวอ่อนไว้ที่ร้านนั้นเอาวางไว้บนเก้าอี้สีแดง เราก็บอกว่าไม่เห็นมีเลยเห็นมีแต่เก้าอี้สีดำตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้าโสภาก็บอกว่าตัวนั้นแหละสีแดง เราก็เถียงว่าสีดำคือต่างคนก็ต่างคิดว่าตัวเองเห็นถูกต้อง แต่ก็ขับรถกลับไปที่ร้านนั้นเพื่อจะได้ไปเอามะพร้าวอ่อนที่ลืมไว้ ซึ่งระยะเวลาไม่น่าเกิน 10 นาที

    - เมื่อไปถึงหน้าร้านไม่มีเก้าอี้วางไว้ตรงจุดนั้นแม้สักตัวเดียวแต่กลับเห็นมะพร้าวอ่อนใส่ถุงกองไว้ที่พื้นตรงทางเข้าก็พูดกับโสภาว่าเขาเอาเก้าอี้สีดำไปไว้ไหน เก้าอี้สีแดงคุณโสภาเถียงและยังบอกลักษณะเก้าอี้เหมือนกับที่เราเห็นทุกอย่าง เพียงแต่เป็นคนละสีแล้วยังบอกอีกว่า เมื่อมาซื้อของที่ร้านนี้ทุกครั้ง พี่สุดใจเดินเข้าไปซื้อของเขาจะไปนั่งรอบนเก้าอี้สีแดงตัวนั้นทุกครั้ง ทำไมเขาจะจำไม่ได้ซึ่งเราเริ่มเอะใจว่าสงสัยระบบการฝึก กำลังให้เราเรียนเรื่องภาพลวงตาละมั้งจึงเลิกเถียงกันและกลับบ้าน

    - ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีข้อมูลผ่านแผนกขับเคลื่อนระบบฯคือคุณวาสนา ให้เราทั้งสองคนขี่รถกลับไปที่ร้านนั้นอีกครั้ง ไปสอบถามว่า เก้าอี้นั้นสีอะไร? และมีเก้าอี้จริงหรือไม่ ?

    - - เมื่อเรากลับมาที่ร้านนั้น ไม่มีเก้าอี้วางอยู่ตรงจุดนั้นเช่นเคยเราจึงเดินเข้าไปในร้านและสอบถามเจ้าของร้านว่าเก้าอี้ทรงสูงที่ตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้านั้นอยู่ไหนจะขอดูเป็นตัวอย่างเพื่อเอาไปซื้อบ้าง เจ้าของร้านบอกว่า เก้าอี้อะไร? ไม่เคยมีเก้าอี้ลักษณะที่บอก และไม่เคยเอาเก้าอี้ไปวางไว้นอกร้านเลยมีแต่เก้าอี้อย่างนี้ ซึ่งชี้ไปที่เก้าอี้นั่งแบบปกติ
    ที่ตั้งไว้ในร้านซึ่งเมื่อกลับออกมาโสภากล่าวว่าแล้วที่เราไปนั่งบนเก้าอี้ทุกครั้งที่มาร้านนี้เกือบตลอดเดือนเราไปนั่งอยู่บนอะไร?

    - จึงเดินทางกลับมาบ้าน และระบบก็เฉลยว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้มีจริงในมิติของเรา แต่อยู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งเอามาทับซ้อนไว้สามารถมองเห็น จับต้องและสัมผัสได้ ดังนั้นอุปกรณ์ที่ติดตั้งที่ตามนุษย์นี้จึงเป็นอุปกรณ์ให้มองเห็นสิ่งที่อยู่อีกมิติหนึ่งและผู้ที่สัมผัสก็คือผู้ที่เข้าไปอยู่ในมิตินั้น นั่นเอง

    - ซึ่งหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเราก็ยังไปซื้อของร้านนั้นเหมือนเดิมแต่ไม่เคยเห็นเก้าอี้ตัวนั้นอีกเลย

    - อีกครั้ง พี่สุดใจซื้อเนื้อหมูมา 1 กิโลแล้วเอาไปไว้ในตู้เย็นโดยใส่ชามใหญ่แช่ไว้กลางตู้เย็นชั้นกลางซึ่งไม่มีอะไรแช่อยู่เลยในชั้นนั้น แต่พอรุ่งเช้า คุณสมจิตร ทำหน้าที่ทำอาหารเปิดตู้เย็นจะเอาเนื้อหมูไปทำกับข้าว ก็หาไม่เจอแต่รู้ว่ากำลังเรียนเรื่องการมองเห็น ภาพลวงตา จึงเอามือกวาดไปตามชั้นต่าง ๆทุกชั้น ก็ว่างเปล่าไม่สัมผัสอะไร จึงให้ลูกไปซื้อหมูที่ร้านค้ามาทำกับข้าวแทนเมื่อพี่สุดใจตื่นแล้วลงมาจากห้องนอนชั้นบน เพื่อมาทานข้าวเช้า คุณสมจิตรก็ถามว่าเมื่อคืนให้ซื้อหมูมาด้วย ซื้อมาหรือเปล่า? พี่ก็บอกว่าซื้อมาแล้วอยู่ในตู้เย็น คุณสมจิตรบอกว่า ไม่เห็นมีเลยพี่สุดใจจึงเดินไปเปิดตู้เย็นพร้อมกับคุณสมจิตรเมื่อเปิดออกก็เห็นชามที่ใส่หมูวางอยู่กลางตู้เย็นชั้นกลางอย่างชัดเจนไม่มีอะไรบังเลยวางไว้ที่เดิมเมื่อคืนนั่นเอง คุณสมจิตรก็ยืนยันว่ามันไม่มีจริง ๆแม้จะเอามือควานหาก็ไม่เจอ จึงต้องให้เด็กไปซื้อมาใหม่ ซึ่งข้อมูลระบบผ่านมาบอกว่ามันอยู่ที่เดิมน่ะแหละ แต่คนละมิติกัน ดังนั้น มีหลายคนเมื่อมาคุยกันที่เขากะลาก็มีประสบการณ์แบบนี้จำนวนมาก ของหาย หาเท่าไรไม่พบ รื้อจนเหลือแต่โต๊ะเปล่า ๆก็ไม่เจอ พอเลิกหา หันไปอีกทีก็อยู่บนโต๊ะที่เดิม และอีกมากมายหลายตัวอย่างซึ่งผู้ที่ไม่ได้ฝึกก็พบเจอ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไรเท่านั้น

    - ครั้งหนึ่งพี่สุดใจไปขายของ คนมาซื้อของ 10 บาทพี่สุดใจเห็นเขาส่งแบ็งค์สีแดง 100 มาให้ ก็รับมาจากมือเขามาถือไว้พอเปิดลิ้นชักเพื่อจะทอนเงิน แบงค์ 100 สีแดง ที่รับมาและยังถืออยู่กลายเป็นแบ็งค์สีเขียวคามือเลย ตอนนั้นงงมากเพราะสีแดงกับสีเขียวมันต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ก็เริ่มเรียนรู้เรื่องภาพลวงตาในลักษณะต่าง ๆ มากขึ้น จึงหยิบเงินทอนเขาไปเพียง 10 บาท

    - มีตัวอย่างอีกมากมายที่พบเจอเมื่อเริ่มรู้จักอุปกรณ์ ได้เห็นเกี่ยวกับอุปกรณ์มากขึ้น ก็เริ่มไม่ยึดมั่นถือมั่นในดวงตาของตนเองเท่าไรนัก ไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับภาพที่เห็นเพราะไม่รู้ว่าของจริงหรือปลอมจึงปล่อยวางอายตนะส่วนนี้ไปในตัว

    - ดังนั้น ผู้ที่ไปเขากะลา หลายต่อหลายท่าน มองเห็นภาพต่างกันยืนอยู่ด้วยกันอีกคนเห็นวัตถุบินมา อีกคนไม่เห็น คนกลุ่มเดียวกันเห็นสิ่งเดียวกันแต่ลักษณะต่างกัน ซึ่งมีการถกเถียงกันเป็นประจำ ตามแต่ที่ใครจะเห็นอะไร ดังนั้นผู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์นี้ จึงสามารถมองเห็นวัตถุบินในรูปแบบต่าง ๆ มากมายหรือมองเห็นภาพจากคนละมิติได้ แต่เราไม่รู้เท่านั้น

    - เหมือนเช่นที่คุณ mead ได้เล่าตัวอย่างให้ฟังในกระทู้ที่ผ่านมาเห็นวัตถุบินลำใหญ่ดิ่งลงมาผ่านหน้ารถในระยะกระชั้นชิดพร้อมเพื่อน 3 คนทั้งสามคนเห็นเหมือนกัน แต่วัตถุนั้นอาจจะไม่ได้ปรากฏจริงในมิติของเราแต่อยู่อีกมิติหนึ่ง ที่คนทั่วไปอาจไม่เห็นถ้าไม่อย่างนั้นคงเป็นข่าวใหญ่โตไปทั่วโลกแล้วซึ่งมิใช่วัตถุประสงค์ของมนุษย์ต่างดาวที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยอย่างเป็นทางการแต่ทำเพื่อให้ผู้ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวได้มีการพบเห็น และเชื่อว่าเขามาจริงเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ชาติในกาลข้างหน้า

    >- หรือกลุ่มคุณคณานันท์ที่เดินทางไปเขากะลาพร้อมเพื่อนอีก 4 คน เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2549 ที่ผ่านมาโดยไม่ได้บอกทางเรา แต่ก็ได้ขึ้นไปบนเขากันเอง ซึ่งตอนนั้นมีหญ้ารกมากดังภาพที่เราได้นำมาให้ชมในภาพล่าสุดของเขากะลา ซึ่งเราขึ้นไปตั้งแต่มิถุนายน พฤศจิกายน 2549 เป็นระยะ ๆ เพื่อพารายการ ย้อนรอย และชั่วโมงพิศวงไปถ่ายทำในเวลาใกล้เคียงกัน ก็ยังคงรกเช่นเดิม

    - แต่เมื่อเดือน มกราคม 2550 กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ 4 ท่านได้เดินทางไปเยือนเขากะลา ซึ่งทางเราก็ได้พาขึ้นไปบนเขาและเดินกันขึ้นไปเพราะหญ้ารกมากเช่นเคย เมื่อขึ้นไปถึง คุณคณานันท์งงมากกว่าใครเพราะบอกว่า ตอนที่มานั้น เขากะลาสะอาดมาก ไม่มีหญ้าแม้แต่ต้นเดียวห้องน้ำสะอาดน้ำใสแจ๋ว เหมือนมีคนมาทำความสะอาดไว้ก่อนหน้านี้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงเพราะฝุ่นบนกระเบื้องศาลาไม่มีเลยสักนิด จึงได้นั่งเล่นกันในศาลาและสังกะสีใหม่เอี่ยม จนทั้ง 4 ท่านคิดว่า สงสัยจะมีคนมาอยู่ เพราะทำความสะอาดไว้จึงอยู่พักใหญ่แล้วเดินทางกลับ

    - แต่เมื่อขึ้นไปครั้งนี้ กลับมีหญ้ารกมาก (ดังภาพ)โดยเฉพาะกระเบื้องในศาลาที่หนาด้วยฝุ่น และหลังคาก็ผุพังซึ่งในวันที่เห็นหลังคาจะใหม่เอี่ยมเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จจึงเป็นคนละเรื่องกับที่เห็นวันนี้คุณคณานันท์จึงได้โทรไปหาเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่อยู่กรุงเทพฯว่าสิ่งที่เห็นในขณะนี้เป็นแบบนี้ และถ่ายภาพไว้เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับของเดิมเมื่อถามเรา เราก็บอกว่า มันเป็นอย่างนี้มาตลอดทั้งปี 2549 น่ะแหละไม่มีใครขึ้นมาทำอะไร และเราก็ยังคงลุยป่านำรายการต่าง ๆ มาถ่ายทำไม่เคยมีสักครั้งที่จะสะอาดอย่างที่คุณคณานันท์เห็น

    - ดังนั้น สิ่งที่เห็นมันจึงเป็นภาพลวงตาในมิติปัจจุบัน แต่ทุกคนเห็นได้ในอีกมิติหนึ่ง ที่ทับซ้อน และประสงค์จะให้เห็นซึ่งอาจจะเป็นช่วงสร้างเสร็จใหม่ ๆ ก็ได้ ซึ่งนั่นก็หลายปีมาแล้วซึ่งถ้าคุณคณานันท์จะกรุณามาเล่าประสบการณ์เสริมตรงนี้ด้วยตัวเองก็จะได้ความละเอียดมากกว่านี้ แต่พี่สุดใจเล่าเพียงคร่าว ๆเท่าที่ได้รับฟังมาจากคุณคณานันท์อีกทีหนึ่ง ซึ่งในคืนนั้นที่พักกันบนเขากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ ก็พบเหตุการณ์เรื่องของมิติซ้อนทับดวงจันทร์อีกและคุณคณานันท์เองก็ยังมีประสบการณ์ขึ้นไปเห็นภายในยานอวกาศของเขาที่จอดทับซ้อนมิติอยู่อีกด้วย

    - จริง ๆ ตัวอย่างมีอีกมากมาย โดยเฉพาะผู้ฝึกเองพบเจอมามากเหลือเกิน และรวมทั้งบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่พบเจอเรื่องของภาพลวงตา มิติการมองเห็นที่ไม่เหมือนกัน

    - และแม้กระทั่งเห็นพระจันทร์ สองดวงบนท้องฟ้าเดียวกัน ในเวลาเดียวกันซึ่งเป็นประสบการณ์ของคุณ mead และเพื่อนแต่ไม่สามารถถ่ายภาพให้อยู่ภายในกล้องเดียวกันได้ เพราะอยู่กันคนละมุมท้องฟ้าถ้าอยากทราบรายละเอียด ก็คงต้องขอให้คุณ mead เล่าให้ฟังค่ะ

    - พี่สุดใจคงขอยกตัวอย่างเรื่องอุปกรณ์ที่ติดตั้งที่ตาของมนุษย์เพื่อรับภาพในหลายมิติมาให้ฟังเพียงนี้ก่อนนะคะมีหลายสิบตัวอย่างที่ไม่อาจนำมาเล่าได้หมด แต่สิ่งที่ผู้ฝึกได้เรียนรู้ทำให้ผู้ฝึกเริ่มไม่ยึดมั่นถือมั่นในอายตนะที่ใช้ในการมองเห็นนี้ว่า เป็น ตัวเราของเราทั้งหมด เริ่มปล่อยวางในสิ่งที่เห็น เมื่อรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นเองไม่น่ายึดมั่นอะไร เพราะไม่ว่าภาพนั้นจะเป็นภาพลวงตา หรือภาพจริงมันก็มีอยู่ในธรรมชาติทั้งสิ้น แม้จะอยู่ในมิติไหนก็ตาม


    - เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
    - อะไรก็เกิดขึ้นได้
    - อย่าตีกรอบ

    - จึงเป็นคำที่มนุษย์ต่างดาวต้องการสื่อให้มนุษย์ได้รับรู้ และเปิดมุมมองออกไปให้กว้างขึ้น

    [​IMG]

    เรื่องมนุษย์ต่างดาว เป็นความลับจริงหรือ ?

    - มนุษย์ต่างดาวเป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะได้รับรู้ ความเป็นอยู่ของเขา สภาวะจิตของเขาหรือเทคโนโลยีของเขา

    - น้อยคนนัก ที่จะรับรู้ว่า จริง ๆ แล้ว ทำไมเขาต้องมาปรากฏให้มนุษย์เห็น ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมต้องเปิดเผยวัตถุบิน ให้ทั่วโลกได้เห็น โดยเฉพาะแถบตะวันตก แถบยุโรปให้ได้มีการบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน ได้มีการทำกระบวนการให้เกิดความสนใจ อยากรู้อยากติดตามค้นหาวัตถุลึกลับ ที่มาปรากฏนั้น คืออะไร? มาจากไหน? มาทำไม? และทำไมต้องกระทำการเช่นนี้ในต่างประเทศมาไม่น้อยกว่า 50 ปี

    - คำถามทุกข้อที่กล่าวมา เป็นข้อสงสัยที่คนทั่วโลกต้องการรู้ต้องการคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งหลายประเทศที่เจริญในด้านเทคโนโลยีต้องลงทุนทำโครงการต่าง ๆ มากมาย เพื่อติดตาม ค้นหามนุษย์ต่างดาวสร้างเครื่องรับสัญญาณต่างดาวด้วยเงินลงทุนมหาศาล จัดทำโครงการต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นก็เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน คืออยากรู้เรื่องของมนุษย์ต่างดาวอยากรู้จุดประสงค์ อยากรู้เทคโนโลยีของเขา ถ้าเป็นเรื่องเลื่อนลอยคงไม่มีใครกล้าทุ่มเทเงินทองขนาดนี้

    - ทำไม? ต้องไปทำการให้เห็นในโลกตะวันตกในโลกที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีได้พบเห็นก่อน


    - สำหรับคำถามนี้ มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่าถ้ามาทำในประเทศไทยก่อน จะมีใครเชื่อไหมล่ะ?

    - คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้จะให้ความสำคัญกับประเทศที่มีความก้าวหน้าเรื่องเทคโนโลยีมากกว่าประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย เมื่อเขาพูดอะไร ก็เชื่อตามนั้นเพราะเขาจะมีความก้าวหน้าด้านการผลิตเครื่องมือไฮเทค ด้านอุปกรณ์ ด้านอีเลคทรอนิกและด้านอื่น ๆ ที่ทั่วโลกต้องพึ่งพาในเทคโนโลยีนั้น ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่จะต้องมีความเชื่อถือ เชื่อมั่นในสิ่งที่เขาได้กระทำได้บอก เพราะคิดว่าเขาต้องรู้จริง รู้มากกว่าเรา บางโครงการประเทศเราทำได้เองไม่ค่อยมีใครเชื่อถือ ไม่ค่อยมีใครสนับสนุน แต่ถ้าต่างประเทศมาวิจัยและเห็นด้วยเข้ามาลงทุนร่วม เราก็เชื่อถือ เพราะเราเชื่อมั่นเขานั่นเอง

    - ดังนั้น การที่มนุษย์ต่างดาว ต้องไปสร้างความตื่นตระหนกไปสร้างความวิตกกังวลให้กับประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ จนต้องมีการค้นคว้าติดตามว่าเขาจะมาทำอันตรายโลกหรือเปล่านั้น ก็เป็นการกระทำที่จำเป็นต้องกระทำเพราะประเทศเหล่านั้น มีความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากเมื่อมีปรากฏการใดเกิดขึ้น จึงต้องมีการทดสอบ ทดลอง ค้นหาและสรุปข้อมูลออกมาเผยแพร่ทั่วโลก

    - ดังนั้นเมื่อเขาพบวัตถุลึกลับ และมีเทคโนโลยีสูงกว่า โดยไม่สามารถรู้ว่ามาจากที่ไหนเขาก็ต้องติดตามค้นหา เก็บข้อมูล และมีการเขียนเป็นหนังสือเผยแพร่ไปทั่วโลกและประชาชนของประเทศของเขา ก็ให้ความสนใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นมาไม่ว่าการพบเห็นวัตถุลึกลับ การพบมนุษย์ต่างดาว การถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาไปหรือแม้แต่การถูกมนุษย์ต่างดาวฝังชิพไว้ที่ตนเอง ก็จะมีการแจ้งให้ตำรวจรับทราบเพื่อเก็บเป็นข้อมูล จึงมีการศึกษาหลักสูตร จานบินวิทยา เกิดขึ้นในต่างประเทศและผู้ที่ศึกษา วิเคราะห์เหล่านี้ ก็จะเก็บรวมรวมสถิติการพบเห็นวัตถุบินภาพวัตถุบินลึกลับที่บันทึกได้ นับหมื่น นับแสนภาพจากทั่วโลกที่ส่งไปรวมกันซึ่งบางส่วนอาจมีการทำปลอมขึ้นมา แต่อีกจำนวนมากที่พิสูจน์แล้วเป็นภาพจริงหรือพบเห็นปรากฏการณ์แปลก ๆ และการลักพาตัว การผ่านมิติหรือแม้กระทั่งมีวัตถุโลหะบางอย่างฝังอยู่ในร่างกายเมื่อผ่าวัตถุชิ้นนั้นมาพิสูจน์แล้วเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีโลหะประเภทนี้อยู่บนโลกมนุษย์เขาจึงจะเชื่อว่ามาจากนอกโลกจริง

    - ดังนั้น ประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ได้ทดสอบ ทดลองและหาบทสรุปมาค่อนข้างนาน จึงเชื่อแน่ว่า น่าจะมีมนุษย์มาจากดาวอื่นโดยมากับวัตถุบิน ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน จึงต้องเรียกว่า มนุษย์ต่างดาว และ UFO ( วัตถุบินที่ไม่ปรากฏสัญชาติ) จึงได้มีการเผยแพร่ข้อมูลออกไปทั่วโลก ซึ่งประเทศต่างๆ ที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีน้อยกว่า ก็ได้รับรู้ รับทราบและก็เริ่มได้รู้จักคำว่า "มนุษย์ต่างดาว""จานบิน""วัตถุลึกลับ" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    - มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดในประเทศไทยก่อน ฝรั่งจะเชื่อไหมล่ะ? เพราะประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยี ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าเขาติดต่อทางจิตกับผู้ที่อยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ผู้ที่ฝึกสมาธิแต่ปรากฏเป็นอีกรูปลักษณ์หนึ่ง ในรูปแบบเทพ เทวดา หรือรูปแบบอื่น ๆเพื่อมนุษย์ยอมรับได้ และไว้วางใจ

    - ซึ่งหลักฐานมากมายจากทั่วโลกในสมัยโบราณ เทวดามากับลูกไฟ เทวดาใส่ชุดอวกาศเทพเจ้ากับจานบิน จารึกไว้ทั่วไปหลายยุคหลายสมัยแล้ว ซึ่งเป็นการยอมรับได้ในยุคนั้น

    - นี่เป็นกลไกของการวางโครงการของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมีหลายขั้นตอนและต้องมีการกระจายไปทั่วโลก ผู้ที่สนใจเทคโนโลยี ก็ต้องเห็นในรูปแบบเทคโนโลยีผู้มีความสนใจเรื่องจิตเรื่องสมาธิ ก็ต้องรับรู้ทางด้านจิตและสมาธิเป็นหลัก

    - แต่กลุ่มที่ต้องมาทำงานเฉพาะกิจในครั้งนี้จำเป็นต้องรับรู้ทั้งสองอย่างควบคู่กันไป

    - สิ่งที่แตกต่างกันกับความเจริญทั้งสองด้านก็คือ

    - เทคโนโลยี เมื่อมีการพบเห็นวัตถุบิน วัตถุลึกลับเหตุการณ์แปลก ๆ หรือเรื่องราวของการเข้าออกมิติ เขาจะมีการแจ้งหรือเก็บบันทึกไว้เป็นหลักฐาน มีการไปสัมภาษณ์พยานบุคคลเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแม้บางครั้ง ก็ต้องมีการสะกดจิต เพื่อให้บอกในสิ่งที่ประสบมาทำให้เขามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มีภาพถ่ายมากมายที่ประชาชนของเขาให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลแต่คนในประเทศแถบตะวันตกส่วนใหญ่จะเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงและมาโลกมนุษย์ของเราแล้ว จะเห็นได้จากหนังสือจำนวนมากมายของจากต่างประเทศมีการเขียน เรียบเรียง มีหลักฐานพยานมากมาย จนมีการนำมาแปลเป็นภาษาต่าง ๆให้ได้อ่านไปทั่วโลก

    แต่ในโลกตะวันออกซึ่งมีความเจริญทางจิตเป็นหลัก จะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาวมากนักเพราะเป็นเรื่องไม่จำเป็น เป็นเรื่องไกลตัว เพราะการปฏิบัติจิตจะไม่เกี่ยวกับวัตถุภายนอก ยิ่งเทคโนโลยีล้ำยุคแค่ไหน ก็ย่อมจะไม่ค่อยสนใจเพราะเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง ไม่น่ายึดมั่น ถือมั่นอะไรจึงเพียรปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา ซึ่งเป็นการกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดมา

    - ดังนั้นจึงจะมีบุคคลบางกลุ่มเท่านั้นที่ให้ความสนใจ และอยากรู้ว่าเขามาเพื่ออะไรและทำไมต้องเลือกประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการในครั้งนี้

    - ขอบอกตามตรงว่า เราก็เป็นกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีการปฏิบัติธรรม อย่างต่อเนื่อง และไม่เคยมีความสนใจเรื่องของมนุษย์ต่างดาวเลยโดยเฉพาะ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ท่านยิ่งไม่สนใจใหญ่ และไม่รู้จักด้วยซ้ำท่านปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน มาตั้งแต่เป็นสามเณรท่านก็ไม่อยากที่จะยุ่งเรื่องเช่นนี้ด้วยซ้ำ ท่านชอบเก็บตัวเงียบ ๆไม่ชอบที่จะออกสู่สาธารณะชนเลย ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน

    - แล้วทำไมท่านจึงต้องเข้ามาทำเรื่องนี้

    - เพราะสิ่งที่ท่านสัมผัสได้ รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ก็เพราะการที่ท่านทำสมาธิในระดับหนึ่งที่สามารถรับการสื่อสารจากคลื่นจิตระดับสูงได้ไม่ใช่แค่มนุษย์ต่างดาว ก่อนหน้าที่จะเจอเรื่องมนุษย์ต่างดาวท่านได้มีการสัมผัสกับคลื่นละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเทพ หรือเทวดามาแล้วก่อนหน้านี้เพียงแต่ท่านก็ยังปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนาของท่านอย่างเงียบ ๆเรื่อยมา

    - แต่เพราะสิ่งที่ทำให้ท่านจำต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาวเพราะเหตุผลที่ว่า ....... เขามาเพื่ออะไร ..........เขามาเพื่อช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติของโลกใบนี้ที่จะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่นานนักเขามาเพื่อที่จะช่วยโลกใบนี้ แล้วเราอยู่โลกใบนี้จะไม่ให้ความช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันเองหรือ?

    - ไม่ได้มีการเชื่อแบบเลื่อนลอยมีการใช้วิจารณญาณในการตรวจสอบเพราะครอบครัวของเรามีการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นส่วนมากมีหน้าที่การงานทั้งรัฐวิสาหกิจ พยาบาล 2 ท่าน และเป็นครูของรัฐมาก่อน มีการพิสูจน์ทดสอบ ทดลอง หลายครั้งหลายหน ไม่ใช่เป็นการเชื่อแบบงมงายมีการพิสูจน์ด้วยหลักฐานคือการเห็นพร้อมกันด้วยตาตนเองไม่ว่าจะเป็นการนำวัตถุมาปรากฏให้เห็น การผ่านคลื่นจากต่างดาวมาบอกเรื่องราวของเขาเคยมีบางครั้งขณะผ่านคลื่นให้ข้อมูลอยู่ในบ้าน แล้วบอกจะพาออกไปดูยานอวกาศครอบครัวเราเดินตามออกมาสนามหญ้าหน้าบ้านที่สิงห์บุรีคลื่นนั้นก็ยกมือชี้ไปทางทิศตะวันตกไม่ถึงหนึ่งนาทีวัตถุบินลำใหญ่ก็มาปรากฏตรงจุดนั้นในระดับต่ำแล้วลอยผ่านหัวพวกเราไป ซึ่งเราได้แต่แหงนมอง เงียบสนิท ไม่มีเสียงมีไฟดิสโก้หลากสี หมุนไปมาตลอด ซึ่งทุกคนก็เห็นพร้อมกัน เราเจอสิ่งเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันแล้ว วันเล่า หลากหลายรูปแบบ และเริ่มมีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมารับทราบ มาเห็น มาเป็นพยานอีกเป็นจำนวนมาก จึงเป็นการยืนยันถึงการมีเจตนามาเพื่อช่วยเหลือโลกยามวิกฤตจริง ๆนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราต้องเข้ามาทำตรงนี้

    - ซึ่งก่อนที่จะทำเรื่องนี้มนุษย์ต่างดาวก็บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการบุคคลจำนวนมากที่จะให้มาเชื่อถือเรื่องตรงนี้แต่ต้องการเพียงบุคคลที่เขาได้เตรียมการไว้เพื่อเป็นทีมงานที่ถูกส่งลงมาและอยู่ในขั้นเป็นผู้ร่วมปฏิบัติการ

    - และข้อความหนึ่งที่สื่อผ่านมา เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2541 ก็กล่าวถึง นอสตาดามุสซึ่งเป็นทีมงานของโครงการภัยพิบัติที่ถูกส่งมาทำหน้าที่ของการเตือนภัยพิบัติก่อนหน้านี้ในโลกใบนี้

    - เป็นโครงการเดียวกันแต่เป็นอีกทีมหนึ่งที่มีการเตรียมการไว้ก่อน แล้วเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ต้องไปเกิดในแถบยุโรป เพราะจะมีกระจายข้อมูลได้ง่าย และเป็นที่เชื่อถือในข้อมูลได้เมื่อถึงเวลา ทีมที่อยู่ด้านบนก็จะทำการผ่านข้อมูลลงมาที่มนุษย์ท่านนี้ในรูปแบบของการรู้ เห็น และเตือนเรื่องการจะเกิดเหตุการณ์ข้างหน้าโดยทีมงานอยู่ข้างบน เป็นผู้ส่งข้อมูลเป็นภาพให้เห็น เป็นเสียงเป็นข้อความให้เข้าใจ และมีการทำนายถูกต้องแม่นยำมาเป็นลำดับนี่เป็นรูปแบบหนึ่งของโครงการของมนุษย์ต่างดาว ที่มาเตรียมการไว้หลายร้อยปีแล้วไม่ใช่เดี๋ยวนี้

    - มีโครงการแบบนี้ทั่วโลกในขณะนี้ เพราะเขามาเรื่องภัยพิบัติ เรื่องภาวะโลกร้อนและเรื่องวิกฤตการณ์ที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมา โลกก็จำเป็นต้องปรับสมดุลของธรรมชาติจึงต้องเกิดหายนะขึ้น เป็นเรื่องธรรมดาแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จำเป็นต้องอยู่รอดในส่วนหนึ่งด้วย

    - ถ้าผู้สนใจติดตามอ่านหนังสือเกี่ยวกับ UFO ของต่างประเทศจะรู้ว่า ทั่วโลกมีกลุ่มบุคคลต่าง ๆติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มากมายหลายกลุ่ม บางประเทศตั้งเป็นเมืองของต่างดาวเลยก็มีและแม้กระทั่งนักพลังจิตคนสำคัญ ที่เป็นที่ยอมรับของทั่วโลกคือ ยูริ กิลเลอร์ซึ่งถ้าอ่านประวัติก็จะรู้ว่าครั้งหนึ่งออกไปเล่นนอกบ้านเขาถูกแสงสว่างจ้าจากบนฟ้าส่องมาคลุมร่างของเขาตั้งแต่เป็นเด็กจากนั้นก็เริ่มมีพลังจิต ทำเหล็กให้งอได้โดยไม่ต้องสัมผัส ย้ายวัตถุออกจากกล่องได้โดยไม่ต้องเปิดกุญแจ และอีกมากมายที่ทำได้ด้วยพลังจิต (ซึ่งการย้ายวัตถุ สลายมวลสารเราก็เคยพบมาแล้วจากกันทำให้เห็นของมนุษย์ต่างดาว)ก็เป็นการทำตัวอย่างให้มนุษย์ค่อย ๆ ยอมรับ ค่อย ๆเปิดความคิดให้กว้างขึ้นไปอีก

    - สิ่งเหล่านี้ เป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำได้จริงแต่เพราะเรายังไปไม่ถึงเลยรู้สึกว่า แปลก แม้จะเห็นด้วยตา สัมผัสได้ด้วยมือก็ยังเป็นเรื่องแปลกอยู่ดี เพราะความคิดเรายังตีกรอบไว้มีแค่ทฤษฏีของความเป็นไปได้ไว้เทียบเคียงเท่านั้น

    - ถ้ามีโอกาส ขอให้กลับไปอ่านบทความจากหนังสือ "จานบินวิเคราะห์" ในบทที่ 13 เรื่อง " การเตรียมการลงสู่พิภพโลก" ที่มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ติดต่อสื่อสารอยู่กล่าวว่าเป็นโครงการเดียวกัน และที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ ตอนนี้มาถึงขั้นตอนที่ 2 แล้ว

    - ในบทความดังกล่าวมนุษย์ต่างดาวผ่านคลื่นมายังร่างมนุษย์บอกข้อมูลต่าง ๆ มีการอัดเทปไว้มากกว่า 200 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักจานบินวิทยาและผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ มากมายมาทดสอบ วิเคราะห์กันอย่างจริงจังแล้วก็สรุปได้ว่าเป็นเรื่องจริง จึงเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ (หากสนใจหาอ่านได้จากกระทู้นี้ ลำดับที่ 44 โดยคุณ zz ได้กรุณานำเว็ปไซด์จิตวิญญาณมาโพสไว้ที่นั่น ในหัวข้อ "มนุษยชาติกับจานบิน")

    - แต่ถ้าจะบอกว่า การผ่านคลื่นจากมนุษย์ต่างดาวมาที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มีมากกว่า 300 ชั่วโมงก็ไม่อาจเชื่อถือได้สำหรับความคิดของคนไทย เพราะไม่มีใครที่จะสนใจมาพิสูจน์ ทดสอบทดลองเช่นต่างประเทศ

    - นี่เป็นการ "แจ้งเพื่อทราบ" ในข้อมูลส่วนหนึ่งที่ได้รับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาวไม่จำเป็นต้องเชื่อ หรือไม่เชื่อเพราะเราไม่ได้มีจุดประสงค์ต้องการรับสมัครสมาชิกเพิ่ม เพราะการฝึกมีรุ่นเดียวและเสร็จสิ้นไปแล้ว หรือหวังผลประโยชน์อันใดจากผู้ที่เข้ามาอ่าน หรือมาสัมผัสกับเราแต่เรายังคงดำเนินโครงการประสานงานเพื่อการเตือนภัย เพื่อเชื่อมระหว่างมนุษย์ต่างดาว กับมนุษย์โลกอยู่นั่นเอง

    - ดังนั้น ในการฝึกของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จึงถูกฝึกเป็น 2 รูปแบบ คือฝึกจิตด้านธรรมะ และฝึกการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว

    - การฝึกธรรมะ ... มนุษย์ต่างดาวเรียกว่า "ประโยชน์ตน" คือการฝึกให้ผู้ทำงานกับมนุษย์
    ต่างดาว ฝึกจิต ให้รู้จริงในกฎของธรรมชาติเพราะทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ฝึกการเห็นทุกข์ ฝึกการดับทุกข์ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ในขั้นปล่อยวางตัวตนเพราะต้องเจอแน่นอนเมื่อต้องออกมาเผยแพร่เรื่องเหล่านี้ซึ่งมนุษย์ต่างดาวเรียกการฝึกนี้ว่า ... ประโยชน์ตน

    - ฝึกการสื่อสารและรับข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาวเรียกว่า ... "ประโยชน์ท่าน" สิ่งนี้เราไม่จำเป็นต้องไปจัดทำอะไร เพราะเป็นเรื่องที่มนุษย์ต่างดาวต้องจัดทำเองจะนำจานบินไปปรากฏให้ใครเห็น จะต้องไปประสานงานกับใคร จะต้องดำเนินการอะไรต่อไปเขาก็จะจัดส่งคลื่นความคิดไปยังบุคคลเหล่านั้นก็จะมีการประสานงานกันตามรูปแบบที่เขาต้องการ จึงมีบุคคลหลากหลายอาชีพหลากหลายประสบการณ์ ที่พบเจอเรื่องของจานบิน เรื่องของมนุษย์ต่างดาวและเหตุการณ์แปลก ๆ ติดต่อมาเพื่อรับทราบข้อมูลและเทียบเคียงกับที่ตนเองพบเจอซึ่งมีไม่น้อย ที่เหมือนกับที่ตนเองพบเจอ หรือกำลังเป็นอยู่ขณะนี้เราจึงทำหน้าที่เพียงแต่นำร่างกาย ที่เป็นมนุษย์นี้ ไปประสานยังจุดต่าง ๆเท่านั้นเอง ส่วนข้อมูลที่จะสนทนากับบุคคลนั้น ๆเป็นการผ่านมาจากมนุษย์ต่างดาวเอง

    - ทุกวันนี้ ผู้ฝึกจึงอยู่กับความสงบ ความว่าง ความไม่ใช่ตัวตน ของตนเพราะเมื่อเรารู้ว่าขันธ์นี้ มนุษย์ต่างดาวนำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นมันก็ไม่ใช่ของเราจึงเบื่อหน่ายที่จะไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์นี้

    - การปฏิบัติธรรม ก็เพื่อพิจารณาว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา ของเราพิจารณาเพื่อเบื่อหน่ายในขันธ์ห้า เพื่อที่จะเห็นความว่าง ไม่มีอุปทานว่าขันธ์ห้าเป็นตัวเรา ของเรา ละการยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน ของตน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่เราปฏิบัติอยู่ แต่คนละรูปแบบกัน

    - ข้อความหนึ่ง ที่มนุษย์ต่างดาวกล่าวไว้เมื่อปี 2541 ว่า

    "มนุษย์ต่างดาวไม่ได้เป็นความลับเพียงแต่บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ มันจึงยังเป็นความลับต่อไป"

    ความเป็น "อย่างนั้นเอง"ในมุมมองของมนุษย์ต่างดาว

    กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ต้องขอขอบคุณคุณชานนคนไทย เป็นอย่างสูง ที่ให้ความสนใจ และมีความปรารถนาดีอย่างยิ่งต่อเราซึ่งสิ่งที่คุณคิดออกมาด้วยเจตนาอย่างแท้จริงนี้ คุณก็ได้ผลตอบแทนแล้วในทันทีโดยไม่ต้องเสียเงินทองเลยแม้แต่บาทเดียว

    - ทำไมพี่สุดใจจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะสิ่งที่คุณคิดออกมานี้มันเป็นกลไกสำคัญยิ่งที่จะทำให้คุณได้รับผลนั้นในปัจจุบัน เพราะถ้าทางธรรมะก็บอกอยู่แล้ว เมื่อเราคิดดี เราก็มีความสุข เมื่อเราคิดร้ายเราก็มีความร้อนรนเป็นความทุกข์ และในทางวิทยาศาสตร์วงการแพทย์ก็บอกว่าเมื่อคิดแต่สิ่งดีสารเอ็นโดรฟีนก็จะหลั่งออกมา เกิดปฏิกิริยากับร่างกาย ให้เรารู้สึกอารมณ์ดีมีความสุข ส่วนมนุษย์ต่างดาวบอกว่า มันเป็น "อย่างนั้นเอง" ตามกลไกของธรรมชาติ
    - แม้ปัจจุบัน มนุษย์โลกจะมีความเจริญทั้งสองด้าน แต่ส่วนใหญ่ จะต่างคนต่างมุมมองคิดในส่วนที่ตนเองรู้ และทำพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามนั้นซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

    - คนปฏิบัติธรรมะก็ปล่อยวางด้วยวิธีการศึกษาด้านธรรมะ พิจารณาการเกิดดับของอารมณ์ ความรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นเอง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นอะไร

    - ส่วนในมุมมองของวิทยาศาสตร์อารมณ์ของคนเราก็ขึ้นอยู่กับสารเคมีในร่างกายมนุษย์ แพทย์ท่านนั้น จะสนใจธรรมะหรือไม่? ก็ตาม แต่เขาก็รู้ว่ากลไกของร่างกายมนุษย์มันขึ้นอยู่กับสารเคมีในสมองต้องควบคุมความคิด ให้คิดแต่สิ่งที่รื่นรมย์ อย่าเครียดเพราะจะทำให้สารเคมีประเภทที่เกิดโทษต่อร่างกายหลั่งออกมา ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกิดความเครียดขึ้นได้ และหากคิดเรื่องวิตกกังวลอยู่อย่างเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่าสารเคมีหลั่งมากเกินไป ทำให้มีอาการเครียดรุนแรง ซึมเศร้ารุนแรงก็ต้องจ่ายยาควบคุมสารเคมีในสมองให้อยู่ในสภาพที่สมดุลย์ เพื่อลดอาการเครียดวิตกกังวล หรือความหดหู่เศร้าหมอง ที่บุคคลผู้นั้นกำลังเป็นอยู่ ดังนั้นแพทย์ก็จะเห็นว่าเป็น " เช่นนั้นเอง" ในมุมมองทางวิทยาศาสตร์และก็ให้ยารักษาไปตามอาการนั้น ๆ

    - ส่วนมนุษย์ต่างดาว บอกว่ามันเป็นธรรมชาติเป็นกลไกของขันธ์ห้าของมนุษย์ ที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้วซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกันทั้งสองด้าน คือทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ และด้านจิตเพียงแต่อาจจะรู้กันคนละมุม คนละด้านเท่านั้นดังนั้นจึงได้มีการอธิบายกลไกของร่างกายมนุษย์ให้กับผู้ฝึกฯได้ทำความเข้าใจเพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักอีกมุมมองหนึ่ง มุมมองของธรรมชาติที่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และทางจิต ผสมกัน และเพื่อที่จะเห็นว่าขันธ์ห้ามันมีกลไกของมันเองตามธรรมชาติ เมื่อรู้จักขันธ์ห้าตามตามเป็นจริงแล้วก็ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นอะไร เพราะเป็นกลไกอย่างนั้นเอง

    - ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยธาตุ และพลังงานธาตุทางเคมีที่ประกอบกันอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเราก็รู้ว่ามี ดิน น้ำ ลม ไฟอากาศธาตุ ประกอบกันอยู่ และมีตัวธาตุรู้ (หรือที่เรียกว่าจิต) เป็นตัวขับเคลื่อนและธาตุหยาบทุกอย่างในร่างกายจะมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ หรือทางวงการแพทย์ทั้งหมดซึ่งเป็นชื่อของธาตุทางเคมี การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนเกิด เป็นทารกแรกเกิด เป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่หรือวัยชรา เซลล์ทั้งหลายก็ไม่ใช่เซลล์เดียวกันเซลล์เดิมถูกเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปหมดแล้ว มีแต่เซลล์ใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลานี่คือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทางธรรมะก็รู้ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปมันแปรปรวนตลอดเวลา เมื่อมีเกิด ก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดาซึ่งก็ถูกต้องทั้งสองด้าน

    - ทางวิทยาศาสตร์ ภายในสมองก็มีไฟฟ้า มีสารเคมี มีกลไกการทำงานที่สลับซับซ้อนความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ สบายกาย สบายใจ หรือไม่สบายกาย ไม่สบายใจส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับสารเคมีที่หลั่งออกมาตามความคิดที่เป็นตัวชักนำนั่นเอง

    - ทางธรรมะ มีการปฏิบัติธรรมเพื่อควบคุมความคิด อารมณ์ให้เป็นไปในแนวทางที่เป็นกุศล เพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้ไม่มีความทุกข์ ซึ่งการคิดดีพูดดี ทำดี ก็จะทำให้ผู้นั้นมีความสุข เพราะมีความสงบเย็น อิ่มเอิบในจิตใจแต่ถ้าพยาบาท มุ่งร้าย ผู้นั้นจะมีแต่ความทุกข์ ร้อนรน และหาวิธีแก้แค้นต่าง ๆซึ่งมันอยู่ในข่ายของ ความทุกข์

    - แต่มนุษย์ต่างดาวบอกว่า มันต้องเป็น ...... อย่างนั้นเอง.......อยู่แล้วมันเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ

    - เพราะกลไกของร่างกายมนุษย์ มันจะอิงกันกับความคิด ความรู้สึกของมนุษย์ผู้นั้น เมื่อมีความคิดดี มีความปรารถนาดี มีความเมตตาสงสารเกิดขึ้นความคิดนี้ก็ไปกระตุ้นสารเอ็นโดฟินล์ในสมองให้มันหลั่งออกมาเมื่อร่างกายได้รับสารเอ็นโดรฟีน ก็จะทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองด้านบวกสดชื่นแจ่มใส อิ่มเอิบ อารมณ์ดี ที่เราเรียกว่ามีความสุข นั่นถูกต้องแต่หากความคิดที่ออกมาเป็นไปในทางความโกรธ พยาบาท หรือวิตกกังวลความคิดนั้นก็จะไปกระตุ้นสารเคมีประเภทที่เป็นด้านลบในสมอง ให้หลั่งออกมาเมื่อสารเคมีชนิดนี้หลั่งออกมาแล้ว ก็จะมีปฏิกิริยาด้านลบส่งไปถึงอารมณ์ให้มีความทุรนทุราย ร้อนรน หรือวิตกกังวลตลอดเวลาซึ่งอารมณ์จะรุนแรงมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคมีที่หลั่งออกมาถ้าหลั่งมากเกินไป ก็จะอาละวาด ทำร้ายผู้อื่นได้หรือเศร้าโศกเสียใจจนคิดฆ่าตัวตายได้ ดังนั้นเมื่อมีการคิดแต่พยาบาทครั้งแล้วครั้งเล่า สารเคมีตัวนี้หลั่งออกมามากเกินไปก็จะคลุ้มคลั่ง ต้องส่งโรงพยาบาลประสาท ซึ่งแพทย์ก็จะทำการรักษา ด้วยการฉีดสารเคมีที่จะไประงับการหลั่งของสารเคมีชนิดนั้น ให้อยู่ในภาวะสมดุล อาการจึงจะสงบลงได้

    - ดังนั้นสารเคมีจึงเป็นตัวแสดงผลพฤติกรรมของมนุษย์ในแง่ต่าง ๆ นี่คือ "ผล" ที่เกิดขึ้นจาก "เหตุ"นั้น ๆ

    - ดังนั้น เราจึงต้องย้อนกลับมาที่ "เหตุ" ก่อน

    - โดยก่อนที่จะหลั่งสารเคมีใด ๆ ออกมาก็จะมีตัว "ความคิด" เป็นตัวชี้นำ อย่างที่บอกแต่ต้น เมื่อมีความคิดดีสารเคมีประเภทที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายก็หลั่งออกมา เราสดชื่น เราสบายกาย สบายใจที่เราเรียกกันว่า "ความสุข" เมื่อคิดร้าย วิตกกังวล สารเคมีที่หลั่งออกมาก็ทำให้เราโศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจ เป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจที่เราเรียกกันว่า "ความทุกข์" เราจึงต้องมา สกัดกันที่ต้นเหตุ ก่อนที่จะส่งไปที่ "ผล"

    - คนที่ปฏิบัติธรรมะ ย่อมจะรู้ว่า ทำไมพุทธศาสนา จึงสอนให้เรามีเมตตา กรุณาต่อผู้อื่นให้มีความรัก ความหวังดี ให้ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่ด้อยกว่าให้อภัยกับความคิดร้ายของผู้อื่น
    - นี่เป็นกุศโลบาย ในทางพุทธศาสนา คือการให้เปลี่ยนความคิด เมื่อคิดพยาบาท อย่าเลยให้คิดเมตตาเขาดีกว่า เมื่อใดที่คิดริษยา อย่าเลย มีมุทิตาจิตหรือพลอยยินดีกับเขาดีกว่า นี่เป็นอุบาย ให้เปลี่ยนความคิดจากด้านลบ เป็นด้านบวกเมื่อใดที่คิดในด้านบวก สารเอ็นโดรฟีนก็จะหลั่งออกมาตามกลไกของความคิดนั้นซึ่งเป็นธรรมดาตามกลไกของร่างกายสารเคมีนั้นก็จะไปทำปฏิกิริยาให้เกิดอารมณ์ด้านดีขึ้น ผู้ที่คิดก็จะมีแต่ความสุขความอิ่มเอิบในจิต ความสงบเย็นในอารมณ์ และเมื่อกระทำเช่นนี้บ่อยครั้งเข้าจิตก็จะบันทึกเป็นอัตโนมัติ คือเมื่อมีอะไรมากระทบไม่ว่าด้านใดแนวความคิดก็จะไปในทางเห็นอกเห็นใจ ให้อภัย สงสาร และจัดการไปในสิ่งที่สมควรโดยมิได้มีความโกรธเคืองเป็นตัวชี้นำ บุคคลคนนี้ก็จะกลายเป็นผู้มีอารมณ์ดีมีเมตตาอยู่เป็นนิจ ดังเราจะเห็นได้ในผู้ที่ปฏิบัติจิตในขั้นสูงจะมีอารมณ์เยือกเย็น สงบ มีเมตตา และพร้อมที่จะเป็นผู้ให้บุคคลนั้นก็เป็นผู้ที่มีแต่ความสุข เพราะสารเคมีก็จะหลั่งออกมาในด้านบวกอย่างเดียว

    - ส่วนคนที่มีแต่ความฉุนเฉียว โกรธง่ายวิตกกังวล หดหู่เศร้าหมอง ไม่มี
    - ความเมตตา คิดแต่จะเอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่นตลอดเวลาความคิดเหล่านี้ก็ไปกระตุ้นสารเคมีด้านลบให้มันหลั่งออกมาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าเขาก็จะมีแต่ความทุกข์ ทุกข์ และทุกข์ ตลอดเวลาซึ่งมีอยู่จำนวนมากในโลกมนุษย์ยุคนี้

    - ดังคำว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ ที่ธรรมะกล่าวไว้มันก็เกิดขึ้นในปัจจุบันนั่นเอง

    ดังนั้นหลักของพุทธศาสนาเป็นเช่นนี้ สอนให้เราทำ "เหตุ" ที่ดี เพื่อ "ผล" ที่ออกมาก็ย่อมดีตามไปด้วย เพราะมันเป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ

    - มนุษย์ต่างดาวได้มาบอกให้เราได้รู้กลไกของร่างกาย ในหลักของกลไกตามธรรมชาติมันต้องเป็น "เช่นนั้นเอง" อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ความสุข ความทุกข์มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันก็เป็นเรื่องที่เราเลือกได้เพียงแต่เราจะมีความจริงใจที่จะเลือกมันหรือไม่ เท่านั้น

    นี่เป็นเพียงการมาบอกขั้นพื้นฐานของผู้ปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่ความเป็นอย่างนั้นเองของธรรมชาติ และเป็นแนวทางที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน

    - หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "กินข้าวในถาดธรรมดา กับกินข้าวในถาดทองคำถ้ามีความพอใจเท่ากัน ก็มีความสุขเท่ากัน"

    - ซึ่งในสมัยก่อน เราก็ยังเถียงอยู่ในใจว่าจะสุขเท่ากันได้อย่างไร คนรวยล้นฟ้า กับคนที่ทำมาหากินไปวัน ๆมันน่าที่จะมีความสุขต่างกัน

    - แต่เมื่อมนุษย์ต่างดาวนำเรื่องนี้มาเทียบเคียงให้เราฟัง โดยบอกว่าถ้าสารเคมีประเภทเอ็นโดรฟีนหลั่งออกมาคนละ 2 CC เท่ากันทั้งสองคนก็มีความสุขเท่ากัน เพราะความสุขมันขึ้นอยู่กับสารเคมีเท่านั้นเอง

    เราจึงเริ่มเข้าใจ และมีมุมมองที่กว้างขึ้นและไม่สงสัยว่าถ้าคนมีเงินกินอาหารอย่างหรูในภัตตาคารมื้อละหมื่นแต่ถ้าสารเคมีแห่งความพอใจหลั่งแค่ 1 CC เขาจะมีความสุขน้อยกว่าชาวบ้านธรรมดาที่ได้กินไก่ย่างห้าดาวกับข้าว แล้วพอใจกับอาหารมื้อนั้นอย่างมากสารเคมีพุ่งถึง 2 CC เขาก็ย่อมมีความสุขกว่าอีกคนแน่นอน

    ดังนั้นเราจะเห็นว่า ความแตกต่างระหว่าง ความรวย ความจน ไม่ได้เป็นตัวชี้นำให้เกิดความสุขความทุกข์ เราจึงเห็นคนรวยมากมายก็ยังมีความทุกข์อยู่ คนที่พอมีพอกินหรือคนจนที่รู้จักพอ เขาก็มีความสุขได้ซึ่งบางคนอาจจะสุขมากกว่าคนรวยบางคนด้วยซ้ำไป

    ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนมากที่แสวงหาความหลุดพ้นทางจิต บางท่านที่ไม่ต้องการอะไร ไม่มีทรัพย์สินอะไรให้ยึดติดหรือพระภิกษุที่ท่านออกบวชในเพศของบรรพชิต ท่านย่อมต้องมีแต่ความสุข ความสงบเป็นเรื่องปกติ เพราะท่านเหล่านั้นมีแต่การคิดดี มีเมตตา กรุณาต่อผู้อื่นเป็นนิจมีแต่สารเคมีด้านบวกด้านเดียวเท่านั้น ท่านก็มีแต่ความสุขมากกว่ามนุษย์ทางโลกที่มากด้วยทรัพย์สินเสียอีก

    - มันจึงไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ต่างดาวต้องแปลกใจอะไร ที่เห็นมนุษย์มีอารมณ์
    - หลากหลายเพราะเขาเข้าใจกลไกของมนุษย์ ที่เราเคยคิดว่า มนุษย์ต่างดาวต้องมีความอดทนต้องพยายามทำให้มนุษย์เข้าใจ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์นั้น เขาบอกว่า เขาไม่ได้อดทนอะไรเพราะเขาเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ที่ไม่เชื่อ ที่กล่าวหาและที่คิดว่าจะมายึดโลกนั้น มนุษย์ต่างดาวบอกว่า "จะเอาไปทำไมโลกใบนี้ถ้าจะยึดก็ยึดไปนานแล้ว เทคโนโลยีเขาก้าวหน้ากว่ามากมาย ยึดแป็ปเดียวก็ได้แล้วไม่ต้องเตรียมการให้มากมายอย่างนี้ด้วย" ซึ่งก็เป็นกระบวนการความคิดของมนุษย์ที่ยังไม่รู้เท่านั้นแต่ไม่ว่ามนุษย์จะคิดอย่างไร เขาก็ยังคงดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือต่อไปไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ อย่างที่มนุษย์มี

    - และนี่คือสิ่งที่ คุณชานนคนไทยได้รับไปแล้วในปัจจุบัน เมื่อคุณคิดดี มีเมตตา คุณก็ได้รับความสุขไปแล้วโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย ดังนั้นคำว่า"เมตตาราคาแพง" จึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคนี้ เป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน

    - กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ขอน้อมรับความปราถนาดีของคุณชานนคนไทยไว้ด้วยความขอบคุณยิ่ง หากมีสิ่งใดที่เราต้องการความช่วยเหลือเราจะแจ้งให้คุณทราบเป็นคนแรกค่ะ ขอขอบคุณอีกครั้ง


    <!-- / message -->


    จาก <!-- google_ad_section_end -->

    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- google_ad_section_end --><!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->


     
  17. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา



    - กล่าวถึง ประโยชน์ตนมามากในกระทู้ที่ผ่านมา เพราะการฝึกกับมนุษย์ต่างดาว จะมุ่งเน้น "ให้ประโยชน์ตน" กับผู้ฝึกถึง 70% ส่วนอีก 30 % เป็นประโยชน์ท่าน คือการรับรู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวและ UFO (ซึ่งมนุษย์ต่างดาวบอกว่า UFO ซึ่งเราเรียกตามต่างประเทศ แปลว่า "วัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติ" ตามที่ฝรั่งตั้งเอาไว้นั้นเพราะต่างชาติไม่รู้ว่าจานบินนั้นมาจากไหน แต่ที่ประเทศไทย ตอนนี้ไม่ใช่ UFO แล้วเพราะเรารู้แล้วว่าเขามาจากดาวไหนบ้าง) รับรู้เรื่องโครงการเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติโครงการยกระดับจิตใจมนุษย์ รับรู้เรื่องเทคโนโลยีรับรู้เรื่องเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวและอุปกรณ์ที่มาทำให้เห็นเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขาได้มีการเตรียมการไว้จริง

    - ตอนนี้ เลยขอนำภาพมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาฝากผู้ที่สนใจเรื่องของมนุษย์จากดวงดาวต่าง ๆ ที่มาร่วมในโครงการนี้

    - ร่างเรืองแสงของมนุษย์ต่างดาวจาก ดาวโลกุกะตาปากะดิกองลงมาสำรวจบริเวณพื้นราบด้านล่างเขากะลา บันทึกภาพนี้ได้โดย Mr. John ชาวอังกฤษที่เขากะลา

    - ครั้งแรกที่มีการลงมาเดินในบริเวณไร่ด้านล่างเขากะลานั้น มีบุคคลอยู่บนเขาประมาณ 50 คน เพราะเป็นวันที่นัดหมายกันไว้ครั้งแรกก็คิดว่าเป็นคนลงไปเดินเพื่อหาอะไรสักอย่างกลางไร่ที่มืดสนิท แต่ Mr.John บอกว่าไม่ใช่เพราะแสงที่สาดออกมาสว่างมากกว่าปกติจึงได้ไปหยิบกล้องมาบันทึกไว้ตลอดเวลา การเดินพร้อมสาดแสงไปมาจนกระทั่งลำแสงนั้นย้อนกลับเข้ามาที่ร่างนั้น จึงเห็นว่าเป็นร่างที่เรืองแสงสีขาวสว่างจ้า ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์

    ซึ่งหลังจากอาจารย์จากศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กรุงเทพฯได้ดูภาพนี้แล้ว ได้มีอาจารย์ 2 ท่าน เดินทางมาทดสอบที่เขากะลาอีกครั้งโดยนำอุปกรณ์ คือไฟฉายที่มีกำลังไฟแรงมากและกล้องถ่ายวีดีโอเพื่อบันทึกภาพเปรียบเทียบ

    มีทีมทดสอบ 4 คน เดินทางลงไปทดสอบ ยังสถานที่เดียวกันและอาจารย์อีกท่านอยู่บนเขาพร้อมพวกเราหลายคน เพื่อบันทึกภาพภาพที่เห็นความแตกต่างคือ

    - เมื่อคณะนั้นเดินทางไปถึงจุดเดียวกัน ไฟที่สว่างมากที่ติดไว้ที่บนศีรษะจะเหลือแสงน้อยมาก เพราะเป็นระยะไกลไม่สว่างเหมือนที่เราเห็นจากร่างเรืองแสง

    - ลำแสงของไฟ เมื่อส่องแล้วจะหายไปในพื้นดิน ไม่สะท้อนกลับเพราะแสงสว่างน้อยจึงไม่สะท้อนกลับมายังร่างกลุ่มผู้ทดสอบ

    - เมื่อทีมทดสอบ ส่องไฟเข้าหาตัวเองก็จะเห็นรูปร่างหน้าตา ใส่เสื้อผ้าอะไร ใส่กางเกงอะไรหรือแม้แต่สวมรองเท้าอะไรจะเห็นหมด จากลำแสงของไฟที่ส่องไปกระทบ แต่ร่างดังกล่าวไม่เห็นอะไรเลย นอกจากทั้งร่างเป็นสีขาวสว่างจ้าทั้งหมด และเมื่อไปก็ดับไฟหายไปเลย

    Mr.John ได้มอบภาพนี้ไว้ให้เพื่อเผยแพร่ต่อไป ลองไปชมนะคะ <!-- / message --><!-- attachments -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>ประตูเวลา



    <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>

    พี่สุดใจ ได้อ่านกระทู้เรื่อง "ประตูเวลา" ของพ่อมดโลจิที่ได้โพสต์กระทู้ดังกล่าวให้สมาชิกที่สนใจเรื่องของมิติ เรื่องของประตูเวลาได้มีโอกาสอ่านเพื่อศึกษาในสิ่งที่คณะของอาจารย์บูรพา (อาจารย์แอ๊ด) ผดุงไทยได้ค้นพบมา ซึ่งหนังสือเล่มดังกล่าว พี่สุดใจก็มีโอกาสได้อ่านเช่นกัน

    ก่อนที่อาจารย์บูรพา จะเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา อาจารย์บูรพาได้เล่าให้กลุ่มเขากะลา ในขณะนั้นฟังว่า ได้หาสถานที่ไว้ประมาณ 4 – 5 แห่งเพื่อเลือกเป็นสถานที่สำหรับเปิดมิติไปสู่จักรวาลก่อนที่จะเดินทางมาพบกับกลุ่มเขากะลาในขณะนั้น แต่มีลูกศิษย์ของท่านที่อยู่ท่าตะโกจ.นครสวรรค์ บอกว่า ที่เขากะลาเขาก็มีกลุ่มที่ติดต่อมนุษย์ต่างดาวได้ซึ่งท่านก็ให้ความสนใจ เพราะเรื่องของมนุษย์ต่างดาว กับเรื่องประตูมิติเรื่องประตูเวลาน่าจะเกี่ยวเนื่องกัน

    ดังนั้น ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2542 ท่านจึงได้นำคณะฯ และลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง เดินทางมาที่เขากะลาเพื่อสำรวจดูว่าจะใช่สถานที่นี้หรือไม่ ?

    ขอนำ ข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือ "ประตูเวลา" หน้า 166 - 169 มาประกอบด้วย

    - แม้ว่าหลาย ๆคนในคณะต่างก็เห็นด้วยที่จะใช้สถานที่ดังกล่าว(..ที่ท่านเคยหาไว้ก่อนหน้านี้...*ข้อความเสริม*)แต่ก็มีอีกหลายเสียงที่เสนอความเห็นว่า ควรพิจารณาสถานที่อื่น ๆ ด้วยซึ่งต่างคนก็ต่างช่วยกันเสาะหาสถานที่ที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดและในเวลาต่อมาเราจึงค้นพบสถานที่อันน่าพิศวงแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ที่เรียกว่า ... "เขาพนมฉัตร"

    - เขาพนมฉัตรเป็นภูเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งนับว่ามีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นชัยภูมิที่อยู่บนยอดเขาสูง และที่สำคัญคือเป็นพื้นที่ที่มีรูปทรง "ปิรามิด" ที่ถือว่าเป็นประตูเวลาตามธรรมชาติ ซึ่งทุกคนในคณะเชื่อว่านี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอนหากแต่เชื่อว่านี่คืออำนาจแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่แท้ที่ได้ดลบันดาลให้คณะของเราค้นพบสถานที่อันเหมาะสมแห่งนี้ได้

    การค้นพบเขาพนมฉัตร

    - เมื่อแรกที่ได้พบเขาพนมฉัตรนั้นทางคณะผู้ปฏิบัติธรรมได้พาผู้เขียนเดินทางไปจังหวัดนครสวรรค์ที่นั่นผู้เขียนได้พบกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ที่เขากะลาคนกลุ่มนี้มีความเชื่อกันว่า ได้เคยมีสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นเดินทางมายังโลกนี้โดยกลุ่มคนกลุ่มนี้ได้เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าและได้พบเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้หลายต่อหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจานบิน มนุษย์ต่างดาวรวมทั้งการเปิดของประตูเวลา


    - กลุ่มคนที่อยู่บนเขากะลา ได้นำวีดีโอเทป ที่เก็บบันทึกภาพต่าง ๆเอาไว้ได้รวมทั้งภาพถ่ายเป็นจำนวนมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปของจานบินที่ปรากฏขึ้นในบริเวณดังกล่าวนี้มาให้คณะของเราดูเพื่อยืนยันในความเชื่อของเขาและด้วยความที่ยานลึกลับนั้นมักจะปรากฏขึ้นในบริเวณนี้บ่อยครั้งนั่นเองจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าน่าจะมีประตูเวลาเกิดขึ้นที่บริเวณเขากะลาแห่งนี้แน่นอน โดยเป็นไปได้ว่าเขากะลาอาจเป็นฐานของจานบินหรือเป็นตำแหน่งที่จานบินมาปรากฏขึ้นด้วยอำนาจของประตูเวลาก็เป็นได้
    คุณวาสนาเป็นผู้หนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่บนเขากะลา ได้มอบวีดีโอเทปม้วนหนึ่ง ให้กับผู้เขียนพร้อมทั้งอธิบายให้ฟังว่า เป็นวีดีโอเทปที่ถ่ายโดยนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันคนหนึ่งซึ่งได้เคยเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ ภาพจากวีดีโอซึ่งได้บันทึกถึงวันเวลาที่ถ่ายเอาไว้อย่างชัดเจนนั้นแสดงให้เห็นว่ามีการเปิดประตูเวลาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และชัดเจน

    ภาพในวีดีโอแสดงให้เห็นสถานที่ ที่เรียกว่า "เขาพนมฉัตร" ซึ่งเป็นเขาที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเขากะลาต่อมาเป็นภาพที่ประตูเวลากำลังเคลื่อนเปิดออกมีลำแสงบางอย่างพุ่งตรงลงมาสู่เขาพนมฉัตร จากนั้นเขาพนมฉัตรก็ค่อย ๆเปลี่ยนแปลงรูปทรงไปเป็นรูปปิรามิดดูราวกับปิรามิดสีทองได้ครอบคลุมเขาลูกนี้เอาไว้กระนั้น

    จากภาพที่ปรากฏในวีดีโอนี้เองทำให้ทางคณะตกลงใจเลือกใช้สถานที่บน "เขาพนมฉัตร" สำหรับการนั่งสมาธิเพื่อยับยั้งภัยพิบัติในครั้งนี้อย่างไม่ลังเลด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้วคือ เป็นชัยภูมิที่สูง ซึ่งเหมาะสมตามความต้องการและยังเป็นสถานที่ที่มีการเปิดมิติตามธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งจะสามารถทุ่นแรงและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งเจตนาไปยังมหาจักรวาลได้เป็นอย่างดี

    ไม่ว่าการค้นพบเขาพนมฉัตรในครั้งนี้ของคณะเราจะเป็นไปด้วยความบังเอิญ หรือด้วยอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ตามแต่สรุปแล้วก็นับเป็นโชคดีของคณะเรา และของโลกอย่างยิ่งที่ทำให้เราได้พบสถานที่แห่งนี้อันจะทำให้การติดต่อสื่อสารกับมหาจักรวาลเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น

    นอกจากนี้ ภาพจากกล้องวีดีโอ ที่คุณวาสนาส่งมาให้นั้น ได้แสดงถึงวันเวลาที่เปิดประตูเวลาไว้ด้วยซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ทางคณะเราได้ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านดาราศาสตร์คำนวณตรวจสอบเพื่อให้ทราบผลจากฐานข้อมูลที่มีอยู่นี้ว่าจะมีการเปิดประตูเวลาอีกครั้งเมื่อไหร่?

    และผลการคำนวณก็ออกมาเป็น.....วันจันทร์ที่ 12 กรกฏาคม พ.ศ. 2542 เวลา 19.45 นาที โดยประตูเวลาจะเปิดเป็นเวลาประมาณ 10 กว่านาทีเท่านั้น!

    - จากหนังสือเล่มนี้ ทำให้รู้ว่าในประเทศไทยมีบุคคลจากหลายคณะ หลายกลุ่ม ที่ศึกษา ค้นคว้าและมีเจตนาที่ระงับยับยั้งภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

    กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้ให้การต้อนรับอาจารย์บูรพา ผดุงไทย (ผู้เขียน) และคณะฯที่ได้เดินทางมาเยือนเขากะลาเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบ "ประตูเวลา" ของหนังสือเล่มนี้

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    ๒.
    อาจารย์สุดใจ ได้ให้แนวทางในการออกจากทุกข์ ดังนี้.-


    - สิ่งที่ควรทำในปัจจุบัน....... คือการดูเข้าไปในจิตของตนเองในขณะนี้เพื่อรู้ให้เท่าทันขันธ์ห้า รู้ให้เท่าทันความคิด ความรู้สึกของเราเองในปัจจุบันเพื่อเป็นเกราะป้องกันความทุกข์ที่จะเข้ามาเยี่ยมเยียน วิปัสสนาในขณะยืน เดิน นั่งนอน ให้เห็น "ความเป็นเช่นนั้นเอง" ของธรรมชาติเป็นอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นประโยชน์ตน

    - ส่วนสิ่งอื่นภายนอกมันเป็นกลไกของธรรมชาติ ที่จะจัดสรรไปตามหน้าที่แม้การออกไปเพื่อช่วยเหลือบุคคลอื่น นั่นก็ถูกต้องตามกลไกของธรรมชาติที่ต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่แล้วแต่ขณะที่เตรียมการเพื่อช่วยเหลือนั้น ต้องได้ประโยชน์ตนควบคู่กันไปคือพิจารณาว่าไม่ได้มี "ตัวเรา" เป็นผู้ช่วยเหลือ หรือความช่วยเหลือนั้นเป็น "ของเรา" เพราะเราคือธรรมชาติ ก็ให้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติกันไป ตามความเหมาะสมเมื่อเราปล่อยวางตัวตน ไปพร้อม ๆ กับการทำงาน ความทุกข์ก็จะไม่เกิด

    - เพราะไม่ว่าผลของงานนั้นจะสำเร็จหรือไม่เราก็ไม่อาจที่จะกำหนดให้ได้ตามความปรารถนาของเรา ความอยากในสิ่งที่ต้องการเป็นตัวตัณหาตัวหนึ่ง เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เมื่ออยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้แล้วไม่ได้อย่างที่เราอยาก เราก็จะเกิดทุกข์

    - เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเรื่อง อริยสัจ 4 ก็คือสอนเรื่อง ความทุกข์ และการดับทุกข์ดังนั้นสิ่งใดที่จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เราควรพิจารณา

    - เพียงแต่เมื่อทำเต็มกำลังแล้ว อาจจะยังไม่บรรลุผลตามที่ต้องการในขณะนี้ก็แก้ปัญหาไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น ไม่ใช่ไปทุกข์กับสิ่งที่มันยังไม่เป็นอย่างที่เราต้องการ


    "การทำตัวเองให้เป็นทุกข์ ไม่ใช่การแก้ปัญหา"
    ประสบการณ์จริงจากเชียงราย กับ UFO
    <HR align=center color=#ffffff SIZE=1 width="100%" noShade>


    ความจริงวันนี้พี่สุดใจคิดว่าจะตอบกระทู้ ที่หลายท่านมีความสงสัยได้สอบถามมาในกระทู้นี้แต่ตอนนี้ขออนุญาตแทรกเรื่องประสบการณ์จริงจากท่านนี้เข้ามาก่อนเพราะอาจจะเป็นเรื่องที่หลายคนเคยเจอะเจอกับประสบการณ์เช่นนี้มาแล้วซึ่งคงพอนำไปพิจารณาเทียบเคียง

    - กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้รับข้อความจาก webmaster www.UFOThailand.orgว่ามีผู้สนใจเรื่องของกลุ่มเขากะลา มาโพสต์ในเว็ปไซด์นี้ และอยากจะให้ทางกลุ่มฯเข้าไปใช้พื้นที่ในเว็ปไซด์นี้ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้กับผู้สนใจ UFO ในประเทศไทย

    - โดยเว็ปมาสเตอร์ UFOThailand.org ได้มีการประสานงานกับหลายกลุ่มในประเทศไทยไว้แล้วจึงได้จัดทำพื้นที่ไว้ให้แต่ละกลุ่ม นำข้อมูลที่ต้องการเผยแพร่รวมทั้งขั้นตอนการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว มาลงในเว็ปไซด์ได้เลยตามพื้นที่ภายในเว็ปไซด์ที่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว

    - ซึ่งกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ก็ได้กล่าวขอบคุณ webmaster.UFOThailand.org และยินดีอย่างยิ่งที่จะนำข้อมูลรวมทั้งประวัติการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว รวมทั้งข้อมูลทั้งหมดไปรวบรวมไว้ ณเว็ปไซด์ของท่าน ในโอกาสต่อไป

    - Webmaster.UFOThai.org ได้กรุณาส่งข้อความของท่านผู้หนึ่งที่โพสต์ไว้ในเว็ปไซด์ของท่านมาให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้รับทราบ จึงขอนำข้อความดังกล่าวมาให้ผู้สนใจได้รับทราบด้วย

    คือผมเป็นคนนึงที่สนใจมนุษย์ต่างดาวมากๆๆๆมาตลอดอยู่แล้วและเชื่อเสมอว่าเคยเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาว
    ครั้งหนึ่งผมเห็นลูกไฟสีสว่างนวลๆกระพริบถี่ สามครั้ง บินตรงผ่านหัวไปแล้วเลี้ยวทำมุม เก้าสิบ องศาหายไปหลังตึกตั้งแต่นั้นมาผมก็สนใจมากขึ้นเรื่อยๆแล้วจึงพยายามติดต่อ
    ไม่แน่ใจว่าเป็นอุปทานหรือเปล่าวันนั้นนั่งสมาธิอยู่มีเสียงเรียกผม ผมก็ถามว่าใครก็บอกว่าชื่อ ซิราซิทัล มาจากดาวอังคาร (ภายหลังมาอ่านเรื่องของคุณเทพนมคิดว่าคนที่ดาวอังคารต้องมีคำว่าซิทัลตามหลังทุกคนหรือเปล่าไม่รุ้)
    ผมเลยคุยต่อไป ถามว่าทำไมมาติดต่อผมเขาบอกว่าเพราะจิตใจผมมันอยากให้เขาติดต่อมาแล้วก็บอกว่าเก้าแสนปีที่แล้วผมเคยเกิดที่ดาวพลูโตเป็นฑูตระหว่างดวงดาวทำงานสมานฉันดวงดาวต่างๆได้ดีเลยถูกส่งมาช่วยโลกมนุษย์เพื่อช่วยให้คนนั้นเปิดใจรับมากขึ้นและพัฒนาระดับจิตใจมนุษย์เพื่อมนุษย์จะได้เข้าร่วมสหภาพทางช้างเผือกในเร็ววันขึ้น

    แถมบอกอีกว่าผมเป็นคนที่654ที่ซิราซิทัลติดต่อด้วยในโลกนี้แล้วเขาก็นัดเวลาผมมาคุยอีกทีวันนี้(วันที่27)ตอนเที่ยงตรงผมก็ออกมานั่งกลางแจ้งก็ได้รับติดต่อมาผมก็ขอให้เอายานผ่านมาเยี่ยมเยียนได้มั้ยเขาก็บอกว่าเที่ยงครึ่งละกันแล้วผมเลยไปเรียกน้องที่ฝึกสมาธิด้วยกันออกมานั่งรอเที่ยงครึ่งก็ยังไม่มา พอเที่ยงสี่สิบสองเห็นแสงวับๆเหมือนสะท้อนมาจากอะไรสักอย่างอยู่บนท้องฟ้าแล้ววับหายเข้าไปในเมฆรูปทรงเหมือนเม็ดข้าวลอยได้ แล้วผมก็ไม่เห็นอีกแต่น้องที่มานั่งด้วยกันเห็นอีกประมาณสองสามรอบบริเวณเดิมวนไปวนมาสักพักแล้วก็หายไป
    ผมเลยพยายามติดต่ออีกครั้งตอนเย็น แต่ติดต่อไม่ได้ไม่รู้ว่าเพราะไม่มีสมาธิรึเปล่า

    หลังจากพี่สุดใจได้รับข้อความนี้แล้วได้ติดต่อไปยังท่านที่ส่งข้อความนี้มา จึงได้รับ e –mail ตอบกลับมาฉบับแรกดังนี้

    ผมเคยได้ยินเรื่องของกลุ่มเขากะลามานานแล้วอ่ะคับสนใจมาก
    จนถึงตอนที่ผมเห็นด้วยตัวเองผมก็ยิ่งสนใจมากขึ้นอีก
    ดีใจครับที่มีกลุ่มเขากะลาอยู่ผมสนใจเรื่องของพลังจิตมานานแล้วด้วยครับ

    - ขอบคุณครับแล้วผมจะพยายามติดต่อไปนะครับ

    หลังจากนั้น ก็ได้สนทนากัน ซึ่งท่านผู้นี้ได้ให้ความสนใจข้อมูลและอยากรับชมวีดีโอในส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแจ้งที่อยู่ไว้ให้เมื่อเราได้รับทราบที่อยู่ของท่านนั้น พี่สุดใจได้จัดส่งแผ่น vcd จำนวน 5 แผ่นในส่วนที่เกี่ยวข้อง และหลังจากนั้น ก็ได้รับ e-mail ตอบกลับมาดังนี้

    สวัสดีครับ ผม bestaboy จากเชียงรายครับขาดการติดต่อไประยะนึงพอดีงานเยอะน่ะครับ

    ผมมีอะไรอยากปรึกษาน่ะครับคือว่าตั้งแต่ที่น้าสุดใจ(ขอเรียกน้านะครับ) ส่งซีดีให้ผมมาผมกับแฟนผมและพ่อกับน้องสาวผม ได้เอามาเปิดดูกัน ดูหมดทุกแผ่นนะครับแล้วหลังจากนั้นเราก็คุยกันถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวบ่อยๆและที่แปลกก็คือเมื่อไหร่ที่เราคุยกันเรื่องนี้ ภายในไม่ถึง3วันก็จะเห็นแสงประหลาดกลมๆบินผ่านไปบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่วันที่เริ่มดูซีดีจนวันนี้นับได้ประมาณ 4-5ครั้งแล้วครับภายในระยะเวลาติดๆ กันไม่เกิน 1 อาทิตย์ครับ

    ผมเลยคุยกับแฟนว่าเวลาเราคุยกันเขาจะรู้มั้ยครับ ว่าเรากำลังพูดถึงเขาอยู่ผมก็ไม่แน่ใจแต่ผมก็คิดว่าเขาน่าจะรู้เขาถึงมาให้เห็นบ่อยๆขนาดนี้
    มีครั้งนึงเห็นเหมือนจะใกล้มากครับหลังห้างบิ๊กซีลูกใหญ่พอๆ กับไฟบนเสาไฟฟ้าตามถนนเลย บินมาแล้วเขาจะกะพริบไฟ 3 ครั้งแล้วหยุด 3 ครั้งแล้วหยุดแบบนี้อยู่สักระยะนึงแล้วก็บินหายไปหลังตึกครับ


    มีครั้งนึงผมกับแฟนกำลังคุยกันว่าไม่รู้ว่ามนุษย์ต่างดาวเขาจะเข้ามาโลกต้องทำเรื่องผ่านอะไรรึป่าวหรือขอใครรึป่าวพูดยังไม่ทันจบ ก็บินผ่านหัวไปเลยครับ

    อ้อ แล้วก็เวลาเห็นแต่ละทีมันรู้สึกยังกับว่ามีอะไรมาเรียกให้มองขึ้นไปบนฟ้าน่ะครับแปลกมากว่าทำไมเวลาเขาผ่านมาเราจะมองขึ้นไปเองโดยอัตโนมัติเลยครับ

    ผมอยากจะติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมากเลยครับแต่ผมไม่รู้จะทำยังไงน่ะครับขอคำแนะนำด้วยนะครับขอบคุณครับ

    พี่สุดใจก็ได้แจ้งให้ทราบว่าขณะนี้พี่สุดใจได้นำข้อมูลต่าง มาโพสต์ลงในเว็ปไซด์www.palungjit.orgในหมวดวิทยาศาสตร์ทางจิต,เรื่องลึกลับ ในกระทู้ ...ข้อความจากกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ให้ติดตามอ่านได้จากกระทู้นี้หลังจากนั้นก็ห่างการติดต่อกันไประยะหนึ่ง
    - จนเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา คุณ bestaboy ได้โทรศัพท์มาหาอีกครั้ง บอกว่า น้าครับ มนุษย์ต่างดาวเขามาติดต่อทางฝันได้ไหมครับ? เพราะผมฝันเห็นเขาชัดมาก และจำรายละเอียดได้ทั้งหมด ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะความฝันปกติ จะไม่ชัดเจนขนาดนี้ และที่แปลกก็คือ ผมฝันพร้อมกันกับแฟนในวันเดียวกัน เวลาเดียวกันด้วย

    - แล้วได้เล่าเรื่องให้ฟังคร่าว ๆ ซึ่งพี่สุดใจก็บอกว่า ได้เพราะมีตัวอย่างมาแล้ว จากสามี ภรรยาคู่หนึ่ง ที่ฝันเรื่องเดียวกัน ในเวลาเดียวกันพร้อมกัน และให้ช่วย
    - เล่ารายละเอียดส่งมา ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้รับทราบรายละเอียดดังนี้

    หวัดดีครับ bestaboy จากเชียงรายเองครับ


    ความฝันของผมนะครับชัดเจนมากครับคือว่าในฝันผมนั่งอยู่ในห้องนอนแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างตอนกลางคืนครับแล้วก็เห็นแสงวับๆอยู่บนท้องฟ้าสักสองสามดวงสักพักก็มีมากขึ้นจนเป็นเจ็ดแปดดวง

    แล้วบินใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนมาจอดอยู่ตรงสนามหน้าบ้านแล้วก็มีคนตัวเล็กๆสีฟ้าๆออกมาจำนวนมากเดินวนไปวนมาอยู่สักพักผมเลยวิ่งไปบอกพ่อกับแม่พ่อกับแม่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามาดีหรือมาร้ายผมเลยบอกว่าพวกเขามาดีแน่ๆผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงบอกไปแบบนั้น

    สักพักหนึ่ง ก็มีคนตัวสีฟ้าสูงประมาณเอวผมไม่มีเส้นผม ใส่ชุดรัดรูปสีฟ้า หน้ากลมๆ เดินเข้ามาในบ้าน 2 คน คนหนึ่งบอกผมว่าชื่อของเขาถ้าแปลเป็นภาษาเราจะแปลว่าแก้วน้ำ เลยให้ผมเรียกเขาว่าพี่แก้วน้ำ
    แล้วเขามาจากดาว พียาร์ (ออกเสียงคล้ายๆกับเพียร์) ผมก็เลยถามว่ามาทำอะไร เขาบอกว่ามาเพื่อช่วยมนุษย์ทั้งในเรื่องจิตใจและเทคโนโลยีแล้วเขาก็เดินไปเดินมาในบ้านผมพักใหญ่แล้วก็บอกกับผมว่าต่อไปนี้เขาจะมาอยู่ที่นี่กับผมและภรรยาเขา(คนที่เดินตามเขาเข้ามา)

    ผมก็ยินดีต้อนรับเขาครับแล้วผมก็ถามว่าทำไมมากันเยอะจังเขาบอกว่ามาส่งเฉยๆตอนนี้กลับไปหมดแล้วเหลือแต่เขากับภรรยาครับ

    จานบินของเขาเป็นสีเหลืองๆเขียวๆสว่างจ้ามากมีไฟอยู่ข้างใต้หลายดวง เปลี่ยนสีไปมาตลอดเวลาแล้วผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาครับ

    แฟนผมโทรมาแฟนผมก็เพิ่งฝันถึงมนุษย์ต่างดาวเหมือนกันครับ ผมเลยตกใจ ที่ฝันพร้อมกันเลยคืนเดียวกันเวลาเดียวกันผมเลยเล่าฝันของผมให้ฟังแฟนผมก็เล่าความฝันของเขาให้ฟังครับมีอะไรคล้ายๆกันนิดหน่อย

    เขาฝันว่าเขาเดินอยู่ตอนกลางคืนแล้วไปเจอผู้ชายคนหนึ่งรู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานแล้วทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่ารู้จักไหมแล้วแฟนผมก็เดินเข้าไปทักผู้ชายคนนั้นแล้วก็คุยกัน สักพักหนึ่งก็ถามว่าแล้วตอนนี้เรียนอยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่าอยู่ดาวศุกร์ แฟนผมก็ตกใจแล้วก็พูดขึ้นมาในฝันว่า จริงเหรอฉันก็มาจากดาวศุกร์เหมือนกันเลยแล้วผู้ชายคนนั้นก็พาแฟนผมไปดูจานบินของเขาครับกำลังบินมารอรับอยู่บนท้องฟ้าเปิดไฟสีขาวนวลสว่างจ้า กำลังจะลงมารับไปด้วยแล้วแฟนผมก็ตื่นครับ
    ผมเลยตกใจว่าทำไมฝันว่ามีมนุษย์ต่างดาวลงมาหาพร้อมกันเลยแล้วยังเป็นตอนกลางคืนเหมือนกันด้วยแล้วที่แน่ครับๆ แฟนผมย้ำมากๆว่าฝันนั้นชัดมาก จำได้ทุกอย่างเลยแล้วทุกทีจะไม่ฝันชัดขนาดนี้ผมเลยคิดว่ามันต้องไม่ใช่ฝันธรรมดาแน่ๆเพราะของผมก็ชัดมากเหมือนกันครับ


    - และล่าสุด เมื่อคืนนี้ เวลาประมาณเที่ยงคืนพี่สุดใจได้รับข้อความว่าคุณbestaboyนั่งสมาธิอยู่เหมือนบางอย่างกำลังติดต่อเข้ามาทางสมาธิเหมือนตัวเริ่มหมุนกลับไปกลับมาก็รีบลืมตาขึ้น และโทรศัพท์คุยกันกับพี่สุดใจจนประมาณ 01.19 นาฬิกา ซึ่งก็ได้มีความเข้าใจทั้งในเรื่องมนุษย์ต่างดาวและเรื่องที่เป็น
    - ประโยชน์ตน พร้อมกันไป

    ( ซึ่งคุณ bestaboy ได้แจ้งชื่อ-สกุล ที่อยู่และประวัติส่วนตัว และหมายเลขโทรศัพท์ไว้ให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ทราบ เพื่อแสดงความจริงใจว่ามิได้เป็นการกล่าวอ้างแต่อย่างใด สามารถตรวจสอบได้)

    ดังนั้นจะเห็นได้ว่า นี่อาจจะเป็นเรื่องแปลก เรื่องเหลือเชื่อสำหรับบุคคลทั่วไป เพราะคุณ bestaboy ก็ไม่ได้รู้จักกลุ่มเขากะลา (เดิม) มาก่อนเพียงแต่ตนเองมีประสบการณ์รับข้อมูลว่า เคยอยู่ดาวพลูโตมาก่อนและเมื่อนัดหมายจะนำจานบินมาให้ดู ก็ได้เห็นด้วยตาตนเอง จึงเริ่มเปิดใจเรื่องของ UFO มากขึ้น
    - และจากสิ่งที่ประสบด้วยตนเองมาก่อนแล้ว จึงได้ให้ความสนใจอยากคุย อยากถาม ซึ่งก็ได้คำตอบในสิ่งที่ท่านนี้ต้องการอยากทราบ จึงเริ่มเข้าใจและรับรู้เรื่องของอุปกรณ์มากขึ้น

    - ที่พี่สุดใจเคยกล่าวไว้ในกระทู้ที่ผ่านมา เรื่อง " ประโยชน์ท่าน" ก็คือสิ่งเหล่านี้นั่นเอง มนุษย์ต่างดาวต้องทำเองไม่ใช่หน้าที่ของเรา เพราะเราไม่สามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเราเป็นมนุษย์ไม่มีจานบิน ไม่มีความสามารถที่จะส่งคลื่นไปยังบุคคลใดได้

    - ดังนั้น มนุษย์จึงต้องทำหน้าที่ของมนุษย์ แจ้งข่าวออกไปเชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เป็นไร และเราก็ได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ ในการ "แจ้งเพื่อทราบ" แล้ว

    - มนุษย์ต่างดาว ก็ทำหน้าที่ของมนุษย์ต่างดาว จะไปปรากฏที่ไหน ให้ใครเห็นติดต่อกับใคร นั่นเป็นหน้าที่ของเขา ซึ่งต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ถูกต้องตรงตามโครงการที่วางไว้ งานจึงจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ซึ่งการทำงานร่วมกันนี้ไม่ใช่ในรูปแบบต้องลงมาจับมือกันก่อนอย่างที่มนุษย์ต้องการให้เป็น


    - และถ้าท่านนี้ เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องมาร่วมโครงการเดียวกัน มนุษย์ต่างดาวก็ต้องเป็นผู้ดำเนินการเรื่องต่าง ๆ เอง ต้องสื่อผ่านอุปกรณ์เป็นคลื่นความคิดเองนำจานบินไปให้เห็นเอง และขั้นตอนต่อไป ท่านนี้ก็สามารถติดต่อรับข้อมูลได้เองเช่นเดียวกับกลุ่มฯ ของเรา

    - ซึ่งพี่สุดใจอยู่ตรงนี้ ได้รับทราบข้อมูลจากคนมากมายที่มีประสบการณ์รับการสื่อสารจากมนุษย์ต่างดาว และได้มาเล่าให้ฟังเพียงแต่ท่านเหล่านั้น ยังไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวเองออกมาเนื่องด้วยบางท่านมีตำแหน่งหน้าที่การงานทางโลก ซึ่งอาจมีผลกระทบกับชื่อเสียงด้วยเราจึงเป็นผู้รับฟัง และกระจายข้อมูลเรื่องนี้ให้ทราบ เรื่องมนุษย์ต่างดาวเรื่องอุปกรณ์ เรื่องมิติ ซึ่งบางท่านเจอเรื่องแปลก ๆ มามาก แล้วไม่มีคำตอบจึงนึกว่าตนเองเพี้ยนหรือเปล่า เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน และบางท่านเห็นจานบินบ่อยมาก แต่คนอื่นกลับไม่เห็นเมื่อมาสนทนากัน มารับรู้เรื่องราวต่าง ๆ บางท่านถึงกับกล่าวว่า "รู้สึกอบอุ่นจังนึกว่าบ้าอยู่คนเดียวมานานแล้ว"


    จากข้อความที่ผ่านมา คุณ bestaboy ได้เล่าว่ามีครั้งแรกได้รับการสื่อสารจากดาวอังคารซึ่งได้สื่อผ่านมาและนัดหมายให้ออกไปดูยานอวกาศตอนเที่ยงครึ่ง
    และ แฟนของคุณ bestaboy ก็ได้ฝันว่าตนเองได้พบกับมนุษย์จากดาวศุกร์ดังรายละเอียดที่เล่าผ่านมาแล้วนั้น

    จากการที่ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวนติดต่อนัดหมาย กับมนุษย์ต่างดาวที่สิงห์บุรีนั้นหลายท่านอาจจะไม่ทันสังเกตในบริเวณการทำพิธีดังกล่าวที่มีโต๊ะหมู่บูชาอยู่กลางบริเวณงาน และมีพระพุทธรูป 4 องค์ บนโต๊ะหมู่บูชานั้น และจ.ส.อ.เชิด ได้ทำพิธีสักการบูชาพระรัตนตรัย ก่อนที่จะมีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวและได้มีการนำยานอวกาศมาปรากฏให้เห็นตามที่นัดหมายนั้น
    บางท่านอาจสงสัย ทำไมต้องมีพระพุทธรูปถึง 4 องค์

    จริง ๆ แล้วเราก็ได้จัดเตรียมพระพุทธรูปซึ่งมีอยู่แล้วในห้องพระ 1 องค์เพื่อเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์ เป็นองค์ประธานและได้เดินทางไปบูชาพระพุทธรูปเพิ่มอีก 1 องค์ และได้อัญเชิญคลื่นจิตของพระเจ้าผู้วิเศษฯ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดทางจิต ของดาวโลกุกะตาปากะดิกองมาประทับในพระพุทธรูปองค์นั้น ซึ่งท่านตรัสรู้ในกฏของธรรมชาติแล้วแต่ยังมิได้ปรินิพาน ยังมีกายเนื้อที่จะสั่งสอนมนุษย์บนดาวดวงนั้นอยู่และเป็นผู้มีความเจริญทางจิตสูงสุดในดาวดวงนั้น ซึ่งนำคลื่นจิตมาร่วมอนุโมทนาด้วย

    ซึ่งทางพุทธศาสนาเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่ามีพระพุทธเจ้าตรัสรู้มากมาย มากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทร ดังนั้น ดวงดาราต่าง ๆที่มีความเจริญทางจิต ก็ย่อมมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้เช่นกัน

    ดังนั้น เราจึงได้จัดเตรียมพระพุทธรูปไว้ 2 องค์เพื่อร่วมในพิธี

    - แต่ในวันที่ 29 ธันวาคม 2540 ( ถ้าจำวันคลาดเคลื่อนก็ต้องขออภัยด้วย เพราะผ่านมา 10 ปีแล้ว) ช่วงกลางคืน จ.ส.อ.เชิด นั่งสมาธิอยู่ในห้องพระ บอกว่ามีญาณของมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร จะมาร่วมอนุโมทนาด้วยในวันที่นัดหมายจานบินวันที่ 3 มกราคม 2541 ที่สิงห์บุรีและท่านเป็นผู้นำทางจิตสูงสุดจากดาวอังคาร ซึ่งท่านบอกว่าเป็นผู้ประเสริฐแห่งดาวอังคาร

    - ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น จึงได้ไปบูชาพระพุทธรูปมาอีก 1 องค์และอัญเชิญคลื่นจิตของผู้ประเสริฐแห่งดาวอังคารเข้าร่วมในพิธีด้วย

    และในคืนวันที่ 2 มกราคม 2541 คืนก่อนวันนัดหมาย จ.ส.อ.เชิดได้รับการสื่อสารมาจากมนุษย์ต่างดาวจากดาวศุกร์ ว่าจะมาร่วมอนุโมทนาด้วยพ่อจึงบอกกับเราว่า ผู้นำสูงสุดทางจิตจากดาวศุกร์ จะมาร่วมอนุโมทนาด้วยให้เราไปบูชาพระพุทธรูปมาเพิ่มอีก 1 องค์ซึ่งรุ่งขึ้นเราก็ได้ไปบูชาพระพุทธรูปมาเพิ่มอีก 1 องค์ รวมเป็น 4 องค์

    ดังนั้น ในวันที่ 3 มกราคม 2541 ที่สิงห์บุรี จึงมีพระพุทธรูปรวม 4 องค์ คือองค์แทนของโลกมนุษย์จากดาวโลกุกะตาปากะดิกอง จากดาวอังคาร และจากดาวศุกร์ ร่วมในพิธีในวันนั้น

    - ซึ่งในขณะนั้น เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ดาวอังคาร และดาวศุกร์ ที่มาร่วมในพิธีนั้นมียานอวกาศหรือไม่ ? เพราะเรารู้จักแต่ดาวโลกุกะตาปากะดิกองที่นำยานอวกาศมาให้เห็นเพียงดาวเดียวเท่านั้น

    - ซึ่งในเวลาต่อมาภายหลัง เราจึงได้รู้ว่าดาวอังคารได้ติดต่อกับ ดร.เทพนม เมืองแมน มานานแล้ว และปี 2542 จึงได้รู้ว่าดาวอังคารและดาวศุกร์ได้มีการติดต่อกับกลุ่มบุคคลที่จังหวัดเพชรบุรีมานานแล้วเช่นกัน จนตั้งเป็น "แดนมิตรต่างดาว" อยู่ภายในอุทยานพระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งสองปีหลังจากนั้นเราจึงได้มีโอกาสไปประสานงานกับกลุ่มดังกล่าว และยังได้มีการติดต่อประสานงานแลกเปลี่ยนข้อมูลกันจนทุกวันนี้


    (ภาพล่าง) เดินทางไปประสานงานที่ แดนมิตรต่างดาว จ.เพชรบุรี <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]</FIELDSET>



    อ่านต่อโดยคลิ๊กที่ลิ้งข้างล่างนี้

    <!-- / message --><!-- sig -->

    มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา 2
    มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา 3
    มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา 4
    มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา 5
    มนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา 6




    จาก <!-- google_ad_section_end -->

    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  18. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    <TABLE id=post2667463 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>28-11-2009, 08:09 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#11673 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->MOUNTAIN<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2667463", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 13,869
    พลังการให้คะแนน: 12570 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2667463 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>เจ้าภาพร่วมในการพิมพ์หนังสือธรรมะเพื่อการละวางอัตตา ครั้งที่ 2
    1. หจก. มาใหญ่ พร็อพเพอร์ตี้ จำนวน 100 เล่ม
    2. บ. ชัวร์ อิเลคทริเคิล แอนด์ อิเลคโทรนิคส์ จำกัด
    (คุณศุภกฤต วิภวพาณิชย์) จำนวน 10 เล่ม
    3. คุณสรรค์ รัตนการัณย์ (pyramid) จำนวน 6 เล่ม
    4. คุณ pkanlaya จำนวน 20 เล่ม
    5. คุณก้อนธาตุ (ธน ทรงพลบัณฑร) และคุณทวี โสภณ จำนวน 11 เล่ม
    6. คุณมีลั้ง แซ่ลิ้ม จำนวน 10 เล่ม
    7. คุณธิติวัฒน์ เสรียหทัยรัตน์ จำนวน 4 เล่ม
    8. คุณณฐพลสรรค์ เผือกผาสุข จำนวน 4 เล่ม
    9. คุณ huten จำนวน 10 เล่ม
    10. อ. vijit_j จำนวน 8 เล่ม
    11. คุณอารัณย์ เอเมอรี่ จำนวน 2 เล่ม
    12. ดร. ซิลวิโอ เอเมอรี่ จำนวน 4 เล่ม
    13. ดร. กรกาญจน์ ภมรประวัติธนะ จำนวน 4 เล่ม
    14. คุณอรอุมา ประจัด จำนวน 4 เล่ม
    15. คุณแมรี่ ประจัด จำนวน 4 เล่ม
    16. คุณพรธิตา คำศรี จำนวน 4 เล่ม
    17. ด.ญ. ศศิพิชา การีชุม จำนวน 4 เล่ม
    18. ด.ช. ชวัลวิทย์ การีชุม จำนวน 4 เล่ม
    19. คุณ sam.tansiri จำนวน 50 เล่ม
    20. กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัยเขากะลา (อ.สุดใจ) จำนวน 40 เล่ม
    21. อาจารย์แพท จำนวน 20 เล่ม
    22. ผศ. ศุภสิทธิ์ จำนวน 10 เล่ม
    23. Mr. & Mrs. Kim จำนวน 10 เล่ม

    ยอดรวมทั้งหมดเป็น 341 เล่ม


    เพิ่มเติม จำนวน (72 เล่ม)

    24. โครงการพ่อแม่บุญธรรม ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะเพื่อการละวางอัตตา ซึ่งจะโอนเงินในวันพรุ่งนี้ จำนวน 1,000 บาท (20 เล่ม)โอนเงินวันที่ 7 ตุลาคม 2552

    25. คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sam.tansiriค่า จัดพิมพ์หนังสือธรรมะ "การละวางอัตตา" ของอาจารย์สุดใจ เข้าบัญชี น.ส. กรรจนา มะโนวงศ์ จำนวนเงิน 2,500.25 บาท (หนังสือ 50 เล่ม) ผ่านธนาคาร TMB วันที่ 6 ต.ค.52 เวลา 12:44 น.
    <!-- google_ad_section_end -->

    26. คุณจัมโบ้ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ 100 บาท (2 เล่ม)



    รวมทั้งสิ้น 341 + 72 = 413 เล่ม (50 บาท /เล่ม)
    รวมเป็นเงิน 20,650 บาท



    เงินทั้งหมดได้โอนเข้าบัญชีของ
    คุณกรรจนา มะโนวงศ์ ไปเรียบร้อยแล้ว

    โทร. 086-3254371
    แฟกซ์ 02-7338892, 02-8158705
    หรือ Email: kajana@taitouch.co.th
    ราคาต้นทุนหนังสือ : 50 บาท / เล่ม
    สามารถโอนเงินเข้า บัญชี น.ส. กรรจนา มะโนวงศ์
    ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาประชาอุทิศ 90
    เลขที่บัญชี 401-530309-9

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เนื่องจากขณะนี้ การดำเนินการจัดการพิมพ์หนังสือธรรมะเพื่อการละวางอัตตา
    ครั้งที่ 2 ได้มีการหยุดชะงักไป เนื่องจากผู้ดำเนินการมีกิจกรรมการกุศลอื่นๆ
    ที่ต้องทำ จึงไม่มีเวลาที่จะมาดำเนินการให้แล้วเสร็จได้

    มีหลายท่านสอบถามมาว่า การจัดพิมพ์หนังสือครั้งที่ 2 นี้ ไปถึงไหนแล้ว
    ไม่เห็นมีข้อมูลหลงเหลืออยู่เลย ไม่รู้หายไปไหน จึงเป็นที่คลางแคลงสงสัย
    ของเพื่อนสมาชิก และผู้มีจิตศรัทธา ที่จะร่วมพิมพ์หนังสือชุดดังกล่าว

    ดังนั้นจึงต้องขอหยิบยก ขึ้นมาแจ้งเพื่อทราบ
    เพื่อให้ท่านผู้บริจาค มีความเข้าใจ สบายใจ โดยไม่มีข้อกังขาใดๆเกิดขึ้นภายในใจ

    ในความเห็นของผม หากผู้ดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าว
    ไม่สามารถดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือธรรมะเพื่อการละวางอัตตา ครั้งที่ 2 ได้ หรืออาจจะไปจัดพิมพ์เป็นหนังสือธรรมะ อื่นๆ แทน ผมเข้าใจว่า ท่านผู้บริจาค คงไม่ขัดข้อง และยินดีรับหนังสือธรรมะ อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขากะลา ไปแจกจ่ายเหมือนเช่นที่เคยแจกจ่ายมาแล้วแทน

    หากท่านใดต้องการทราบรายละเอียดการจัดพิมพ์หนังสือ ก็สามารถโทร สอบถามกับผู้ดำเนินการ ตามหมายเลขโทรศัพท์ ที่ระบุไว้ข้างต้นได้ครับ<!-- google_ad_section_end -->


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=post2686428 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>วันนี้, 02:23 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#518 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ไอย<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2686428", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2007
    ข้อความ: 877
    พลังการให้คะแนน: 268 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2686428 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->สำหรับรายละเอียดที่มีผู้สอบถามเรื่องหนังสือธรรมะ ที่ได้มี
    การเปิดรับบริจาคเพื่อจัดพิมพ์หนังสือ เนื่องจากหนังสือธรรมะ
    ฉบับนั้น ๆ แรกเริ่มเดิมทีเป็นการทำงานของอาจารย์นีโม่
    ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียง และขัดเกลา โดยเชื่อมโยงทฤษฎีระบบ
    ให้ตรงกับหลักธรรมของพระพุทธองค์ โดยมีอาจารย์จอหน์นี่
    ซึ่งไม่รู้ภาษาไทยเลย เป็นผู้จัดพิมพ์ในครั้งแรกจำนวน
    1,000 เล่มแต่เพียงผู้เดียว

    ปรากฏว่าเมื่อได้ยุติการที่จะเปิดรับบริจาคในการจัดพิมพ์
    แต่มีผู้บริจาคมาแล้วบางส่วนก่อนหน้านั้น ซึ่งบางท่านก็มี
    แต่รายชื่อ ยังไม่ได้โอนเงินให้ก็มีโดยเฉพาะของ
    หจก. มาใหญ่ พร็อพเพอร์ตี้ ที่ลงชื่อบริจาคไป 100 เล่มนั้น
    ก็ของดบริจาคในส่วนนี้ไป แต่จะขอร่วมบริจาคทุนการศึกษา
    ให้แก่เด็ก ๆ ให้เบี้ยเลี้ยงยังชีพผู้สูงอายุ หรืออาจจะร่วมทำบุญ
    ให้แก่ผู้ทุพพลภาพ หูหนวกตาบอด หรือมีความบกพร่อง
    ทางสมองก็แล้วแต่งานบุญเป็นงาน ๆ ไป

    ดังนั้นเงินส่วนที่เป็นค่าจัดพิมพ์หนังสือธรรมะ ซึ่งมียอดโอนมา
    จำนวน 154 เล่ม ๆ ละ 50 บาท เป็นเงิน 7,700 บาท
    จึงขอเปลี่ยนแปลงเป็นการจัดทำ cd ธรรมะ แจกฟรี
    ให้กับบรรดาญาติธรรมทั้งหลาย เนื่องจากการจัดทำหนังสือ
    จะต้องพิมพ์ไม่ต่ำกว่า 1,000 เล่ม จึงจะจัดพิมพ์ขึ้นมาได้
    สำหรับผู้ที่บริจาค และญาติธรรมที่สนใจสามารถมารับ
    cd ธรรมะได้ที่พุทธธรรมสถาน ธนบุรีรมย์ ทุกวันอาทิตย์
    ที่ 1 และ 3 ของเดือน ซึ่งรายละเอียดของกิจกรรมจะ
    up date ในกระทู้นี้สม่ำเสมอ ด้วยความขอบคุณ<!-- google_ad_section_end -->




    จาก http://palungjit.org/threads/รวมพลคนสัมผัสญาณ-เจ้าแม่กวนอิม.94002/page-26#post2668999

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    กระทู้หัวข้อ ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

    ตอนนี้กลับกลายเป็นวิวาทะ ความเชื่อและผลประโยชน์ไป
    อยากให้กลับมาอยู่ในแนวตามกระทู้ เรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว
    และการเตือนภัยต่างๆ ที่ได้รับสื่อจากมนุษย์ต่างดาว

    ส่วนเรื่องการสอนธรรมะ ขอให้ละไว้เถอะครับ
    เราเป็นชาวพุทธ เมืองพุทธ
    ที่มีพระรัตนตรัยเป็นสารณะสูงสุด
    มีพระธรรม พระไตรปิฎก และครูบาอาจารย์มากมาย
    ที่เป็นที่เลื่อมใส เคารพศรัทธาของชาวไทย
    หลักคำสอนที่มีอยู่มากมายให้เรียนรู้และศึกษา

    กลับมาที่เรื่องมนุษย์ต่างดาว หลายๆคนเชื่อว่ามีจริง
    ข้อมูลด้านนี้น่าสนใจ และน่าติดตาม มีหลายประเทศที่มีคำเตือน
    เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวและภัยพิบัติเช่นกัน

    ขอให้กลับมาที่เรื่องเดิม ตามหัวข้อกระทู้เถิดครับ
     
  20. มองตน

    มองตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +116
    ถ้าเทียบกันแล้ว ผมเป็นผู้ใหญ่กว่าคุณมาก ทั้งทางโลกและทางธรรม รวมถึงทางวิชาการด้วย เพราะดูจากการตั้งชื่อก็รู้แล้วว่าคุณด้อยปัญามากๆทีเดียว

    ผมพยายามที่จะให้ทุกคน ทุกฝ่าย หยุดและให้อภัยซึ่งกันและกัน เพื่อความสงบสุขของกระทู้นี้ จะได้ไม่มีเวรต่อกันและกัน เพราะไม่อยากเห็นเด็กๆ มาทะเลาะกัน ด้วยเรื่องของความไม่เข้าใจกัน ความหวาดระแวง การจ้องทำร้ายกัน และการอาฆาตแค้น เพื่อที่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน

    มีผู้อาวุโสหลายท่าน พยายามที่จะหาวิธีการดับไฟที่กำลังไหม้บ้านหลังนี้ เพื่อให้เกิดความสันติและสงบสุข ท่านก็ไปจาบจ้วงเขาและใช้คำพูดที่ไม่สุภาพ......นั่นแหละ การกระทำของเด็กๆ

    ท่านทั้งหลาย พิจารณาใคร่ครวญให้ดี แล้วจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...