ร่วมแจมประวัติและพระเครื่อง สุดยอดพุทธคุณสายใต้ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย cornell, 7 พฤศจิกายน 2009.

  1. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    ก่อนอื่นผมต้องขอสวัสดีพี่ๆน้องๆทุกท่านในพลังจิตนะครับ......
    เชิญพี่น้องชาวพลังจิตร่วมแจมประวัติ และแนะนำพระเครื่องสายใต้กันครับผม....
    พ่อท่านองค์แรกที่ผมแนะนำครับ พ่อท่านหมุนวัดเขาแดงตะวันออก พร้อมประวัติโดยสังเขปครับ
    พ่อท่านหมุน ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ.2439 ณ บ้านม่วง อ.เมือง จ.พัทลุง บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดควนกรวด อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระอธิการรอด วัดควนกรวด เป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้งอายุครบอุปสมบท จึงเข้ารับการอุปสมบท ที่วัดปรางหมู่ อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมี พระอธิการรอด วัดควนกรวด อ.เมือง จ.พัทลุง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า "ยสโร" อุปสมบทแล้วที่จำพรรษาที่ วัดเขาแดงตะวันออก อ.เมือง จ.พัทลุง มาโดยตลอด
    พ่อท่านหมุน เป็นพระสงฆ์ที่ฝักใฝ่ในเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้เลือกจำพรรษาที่วัดเขาแดงตะวันออก เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่ห่างจากชุมชน มีธรรมชาติอันร่มรื่นและสงบเหมาะต่อการบำเพ็ญภาวนา นอกจากนี้ท่านยังมีความสนใจในเรื่องของวิทยาคมและไสยศาสตร์ จึงได้ไปเรียนวิชากับ พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักเขาอ้อ และมีกิตติคุณเลื่องลือตั้งแต่ภาคใต้ไปตลอดแหลมมลายู จนได้รับขนานนามว่า "ปรมาอาจารย์แห่งไสยศาสตร์ของภาคใต้" ซึ่งการไปเรียนวิชากับอาจารย์ทองเฒ่าทำให้พ่อท่านหมุนมีความสนิทสนมกับพระอาจารย์นำ ซึ่งเป็นศิษย์สำนักเขาอ้อรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่พระอาจารย์นำมีอาวุโสกว่าพ่อท่านหมุนเล็กน้อย แต่มาเมื่อพระอาจารย์นำสึกออกไปเป็นฆราวาส พ่อท่านหมุนก็ยังคงอยู่ในเพศบรรพชิตมาโดยตลอดจนกระทั่งมรณะภาพ
    พ่อท่านหมุน มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประจักษ์มาตั้งแต่ยังหนุ่มๆ เป็นพระเกจิอาจารย์หนึ่งเดียวของภาคใต้ก็ว่าได้ที่ได้รับนิมนต์ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลมากที่สุด ท่านร่วมพิธีปลุกเสกมาตั้งแต่ครั้งสมัยสงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยร่วมพิธีปลุกเสกพระปิดตามหายันต์และพระกลีบบัวมหาว่าน ที่วัดเขาอ้อ เมื่อ พ.ศ.2483 ไปร่วมพิธีปลุกเสกพระปิดตาโสฬสมงคลรุ่นแรก พ.ศ.2482 และพระซุ้มกอ พ.ศ.2485 ของวัดแหลมทราย จ.สงขลา ช่วงระหว่าง พ.ศ.2505-06 ที่วัดต่างๆ ทางภาคใต้พากันสร้างพระเครื่องหลวงพ่อทวดกัน พ่อท่านหมุนก็ไปร่วมพิธีเสกด้วยทั้งนั้น แม้แต่พิธีปลุกเสกวัตถุมงคลของวัดต่างๆ ก็ล้วนแต่อาราธนาพ่อท่านหมุนไปปลุกเสกด้วยเสมอ จังหวัดต่างๆ ทางภาคใต้ทั้งพัทลุง สงขลา สตูล ตรัง และปัตตานี ท่านไปร่วมปลุกเสกมาหมด
    พ่อท่านหมุน ท่านมีตละมหาอำนาจเหมือนพระอาจารย์ทองเฒ่า เคยตวาดคนจนตลึงงุนงงขวัญเสีย ต้องทำน้ำมนต์รดเรียกขวัญจึงหายเป็นปกติมาแล้ว ครั้งหนึ่ง วัดเขาแดงตะวันออกจัดงานประจำปี มีมหรสพมาเล่นและคนมาเที่ยวในงานมากมาย ได้มีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง 5-6 คน มาเที่ยวงานแล้วดื่มสุราเมามายเที่ยวเอ็ดตะโรส่งเสียงดังในวัด แม้ว่าชายหนุ่มกลุ่มนั้นจะไม่หาเรื่องทะเลาะหรือทำรายร่างกายผู้อื่น แต่ก็ได้สร้างความรำคาญ พ่อท่านหมุน ท่านนั่งอยู่บนกุฏิมีลูกศิษย์และชาวบ้านนั่งอยู่ด้วยหลายคน ท่านบอกว่า "เดี๋ยวให้พวกมันมาทางนี้ก่อน" สักครู่เมื่อคนกลุ่มนั้นเดินส่งเสียงเอะอะผ่านมาทางหน้ากุฏิ พ่อท่านหมุนก็เยี่ยมหน้าออกไปแล้วพูดขึ้นว่า "พวก*********มาเที่ยวแล้วเมาทำให้คนอื่นเขารำคาญอยู่กันตรงแหละพอหายเมาแล้วค่อยไป" แม้ว่าระยะจากกุฏิไปยังที่คนเมากลุ่มนั้นยืนอยู่จะมีระยะห่างกันมากพอสมควร แต่เสียงพ่อท่านหมุนก็ดังกึกก้องมีมหาอำนาจได้ยินไปทั่ว คนเมากลุ่มนั้นได้ยินต่างพากันตกตลึง ต่างพากันล้มลงกลิ้งเกลือกบนพื้นดินอยู่ตรงนั้น แม้จะพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วเดินออกจากที่นั่น แต่ก็เดินออกไปไม่ได้ ภายในรัศมีที่พ่อท่านหมุนกำหนด เลยเดินวนเวียนอยู่ในที่นั้นเหมือนเสือติดจั่น ทั้งเมาและทั้งเหนื่อยเลยพากันนอนหลักอยู่ที่นั้นด้วยกันหมดทุกคน ครั้งพอใกล้จะรุ่งหนังตะลุงเลิกและคนมาเที่ยวงานพากันกลับบ้านหมดแล้ว แต่ขี้เมากลุ่มนี้ก็ยังคงนอนหลับไม่ได้สติอยู่ที่เดิม พอสว่างแดดเริ่มส่องและร้อนขึ้นเรื่อยๆ คนกลุ่มนี้ก็เริ่มฟื้นแต่ก็ยังงัวเงียและยังออกจากที่ตรงนั้นไม่ได้อีก จนพ่อท่านหมุนท่านร้องตะโกนมาจากบนกุฏิว่า "ถ้าหายเมาแล้วก็กลับๆ ไปเสีย ทีหลังก็อย่าทำความรำคาญในวัดอีก" นั่นแหละคนกลุ่มนั้นจึงพากันเดินออกจากบริเวณนั้นได้ แล้วก็พากันเข็ดขี้แตกขี้แตนกับพ่อท่านหมุนไปอีกนาน ถึงขนาดว่าไม่กล้าเข้ามาภายในวัดอีกเลย
    พ่อท่านหมุน มีคุณวิเศษอย่างหนึ่งคล้ายๆ หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง จ.ภูเก็ต คือ จะมีคนเอาแผ่นทองมาปิดตามร่างกายท่านทั้งๆ ที่ยังมีชิวิตอยู่ เนื่องจากชาวบ้านบนบานขอให้ท่านช่วย พอสำเร็จสมปรารถนาจึงพากันมาปิดทองเป็นการแก้บน ตอนพ่อท่านหมุนทานมีชีวิตอยู่ หากใครไปกราบนมัสการก็จะเห็นว่าบางครั้งตามร่างกายของท่านมีแผ่นทองปิดอยู่เหลืองอร่ามเต็มไปหมด
    พ่อท่านหมุนสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแรกๆ ท่านสร้างเครื่องรางจำพวก ตะกรุด ผ้ายันต์ แหวนพิรอด ฯลฯ หลังจากนั้นก็มาสร้างพระปิดตา พระลีลา เป็นต้น ส่วนเหรียญและรูปเหมือนมาสร้างเอาเมื่อขึ้น พ.ศ.2500 มาแล้ว............(ท่านเป็นร่างทรงหลวงปู่ทวดด้วยครับ นอกจาก อ.ทิม ก็มีพ่อท่านนี่แหละครับ)
    องค์แรกเลยผมประเดิมเองครับ(พระของพ่อท่านที่ผมพอมีอยู่ครับ)
    1.เหรียญพ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก รุ่นแรกปี16ครับ พิเศษมากๆเหรียญนี้เป็นเหรียญจารครับ เขาเล่ากันว่าเคยเห็นไม่เกิน5เหรียญ(อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ)แต่ที่แน่ๆผมได้มา1เหรียญครับ
    2.ว่านพิมพ์ห่มคลุมหรือพิมพ์ซุ้มกอ พ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก ปี16ครับ พระราคาไม่สูงแต่อุดมไปด้วยพุทธคุณ พิมพ์นี้ประสบการณ์มากที่สุดครับ ปัจจุบันของแท้หายากมากครับ
    3.เหรียญพ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก รุ่นแรกปี16 เหรียญนี้คือบล๊อกนิยมสุดครับ คือบล๊อกรัศมี(หรือสายฝนนั่นเอง)
    4.รูปหล่อปั๊มลอยองค์พ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก รุ่นแรกปี16 ดูง่ายครับองค์นี้ยาขัดแดงๆทั่วองค์ แต่ระวังกันนิดนะครับ ของปลอมดีพอควรเลยล่ะ
    5.รูปถ่ายกีดาษหนังไก่ฉลองพัดยศ พ่อท่านหมุนวัดเขาแดงตะวันออก ด้านหลังมีตราปั๊มจากวัด
    6.รูปถ่ายต้นแบบเหรียญและรูปหล่อรุ่นแรก ออกประมาณปี1ต้นๆครับ
    7.เหรียญรุ่นแรกพิมพ์เล็กปี16 ออกพร้อมเหรียญรูปไข่ครับ มีกะไหล่ทอง,นาก,รมดำ แต่ที่พบเห็นน้อยสุดเป็นรมดำครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    เชิญพี่ๆเพื่อนๆร่วมแจมนะครับ แล้วผมจะอัพโหลดข้อมูลและตำหนิต่างๆที่พอรู้เรื่อยๆนะครับ
     
  3. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    วันนี้ขอแนะนำอีก1เกจิสายเขาอ้อ ที่แรงพุทธคุณ เด่นทางเมตตาครับ
    ท่านอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา
    ประวัติ พระครูสิริวัฒนการ (ศรีเงิน อาภาธโร)
    พระครูสิริวัฒนการ มีนามเดิมว่า ศรีเงิน นามสกุล ชูศรี เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๒ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ณ บ้านไผ่รอบ หมู่ที่ ๗ ตำบลปันแต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง โยมบิดาชื่อ นายสุด ชูศรี โยมมารดาชื่อ นางเฟือง ชูศรี มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกันรวม ๕ คน คือ
    ๑.นางแก้ว สมรสกับ นายปลอด แก้วสง
    ๒.นางสาวแหม้ว ชูศรี
    ๓.นายชู สมรมกับ นางเฮ้ง ชูศรี
    ๔.นางผึ้ง สมรสกับ นายบรรลือ หมุนหวาน
    ๕.พระครูสิริวัฒนการ
    การศึกษา
    จบชั้น ป.๔ จากโรงเรียนวัดดอนศาลา เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๔
    การบรรพชาอุปสมบท
    บรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ณ วัดดอนศาลา โดยมีพระพุทธิธรรมธาดา เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "อาภาธโร"
    การศึกษาพระธรรมวินัย
    พ.ศ.๒๕๐๑ สอบไล่ได้นักธรรมเอก สำนักเรียนวัดดอนศาลา
    ตำแหน่งทางสงฆ์
    เป็นรองเจ้าอาวาสวัดดอนศาลา
    ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูสิริวัฒนการ (จรร.)

    ในวัยเด็กท่านใช้ชีวิตเหมือนกับเด็กชายในชนบททั่วไป อาศัยอยู่กับพ่อแม่และพี่ ๆ แต่เมื่อท่านอายุได้ ๗ ขวบ มาดาก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงอยู่ภายใต้การอุปการะของบิดาและพี่ ๆ บิดาของท่านได้จัดการให้ท่าน ได้ศึกษาเล่าเรียนขั้นเบื้องต้นที่โรงเรียนใกล้บ้าน คือ โรงเรียนวัดดอนศาลา
    เด็กชายศรีเงินเรียนอยู่ที่นั้นจนกระทั่งจบชั้นสูงสุดของโรงเรียน คือ ชั้นประถมปีที่สี่ และถือเป็นการจบขั้นบังคับ
    ภายหลังจากจบการศึกษาชั้นประถมต้นแล้ว พระอาจารย์ศรีเงินไม่ได้ศึกษาต่อที่ใหน ออกไปช่วยการงานที่บ้าน ภายหลังจากที่ท่านจบชั้นประถมได้เพียงไม่กี่ปีบิดาก็ถีงแก่กรรมไปอีกคน คราวนี้ท่านและพี่ ๆ ต้องกำพร้าพ่อและแม่ แต่โชคดีหน่อยที่ตอนนั้นท่านมีอายุพอที่จะช่วยตัวเองได้แล้ว คือมีอายุได้ ๑๗ ปี ส่วนพี่ ๆ นั้นก็ต่างโตกันหมดแล้ว ท่านจึงอาศัยอยู่กับยายและพี่ ๆ
    นายศรีเงินหรือพระครูสิริวัฒนการในปัจจุบันอาศัยอยู่กับยายและพี่ ๆ จนครบบวชพระ ญาติ ๆ
    เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว และเพื่อจะได้ใกล้ชิดพระศาสนาในฐานะพุทธบุตร นายศรีเงินไม่ขัดข้อง ท่านจึงได้เริ่มเข้าสู่ร่มพระศาสนาตั้งแต่บัดนั้น พระครูศิริวัฒนการได้เริ่มเข้าสู่พระศาสนาในฐานะพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๔ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ตรงกับวันอังคาร แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีขาล สำเร็จเป็นพระภิกขุ ภาวะภายในพัทธสีมาของวัดดอนศาลานั่นเอง
    โดยมีพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพุทธิธรรมธาดา อดีตรองเจ้าคณะจังหวัดพัทลุง และเจ้าอาวาสวัดสุวรรณวิชัย อ. ควนขนุน เป็นพระอุปัชฌาย์ให้
    มีพระกรุณานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอควนขนุน และเจ้าอาวาสวัดสุวรรณวิชัย เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    และมีพระครูกาชาด (บุญทอง) เจ้าอาวาสวัดดอนศาลารูปปัจจุบันเป็นพระอนุสาสนาจารย์
    พระอุปัชฌาย์ให้มคธนามหรือตั้งฉายาทางพระให้ว่า "อาภาธโร" อยู่ที่วัดดอนศาลานั้นเอง
    และภายหลังจากอุปสมบทท่านได้พิจารณาทบทวนถึงชีวิตของตัวเองพบความไม่เที่ยงแท้ในชีวิต
    ระลึกถึงความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากและการสูญเสียของรักของหวง โดยเริ่มแต่สูญเสียมารดาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ และมาสูญเสียบิดาเมื่ออายุได้ ๑๗ ปี ท่านได้เห็นความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต และได้พบว่าชีวิตบรรพชิตสุขสงบกว่า น่าอยู่มากกว่าชีวิตฆราวาส ท่านก็เลยเกิดความคิดที่จะใช้ชีวิตในเพศบรรพชิตต่อไป
    เมื่อตัดสินใจได้แล้ว พระภิกษุศรีเงินก็คิดต่อไปแล้วว่าหากจะอยู่ในเพศบรรพชิตก็ควรจะอยู่อย่างมีค่า
    อย่างน้อยควรจะมีความรู้ทางศาสนาบ้างท่านจึงได้เข้าศึกษาทางด้านปริยัติที่วัดดอนศาลา
    ศึกษาตั้งแต่นักธรรมชั้นตรีโท จนกระทั่งสอบได้ชั้นสูงสุดคือนักธรรมชั้นเอก
    พร้อมกันนั้นก็ได้ศึกษาทางด้านวิปัสสนาจากครูบาอาจารย์ภายในวัดดอนศาลา
    ซึ่งวัดดอนศาลานั้น อย่างที่ทราบกันคือ เป็นสถานที่วิทยาการด้านไสยเวทเจริญรุ่งเรืองมานาน
    วิชาวิปัสสนานั้นเป็นหลักสูตรขั้นพื้นฐานของไสยเวท ฉะนั้นในวัดจึงมีครูบาอาจารย์ที่เก่งในเรื่องนี้อยู่ไม่ขาด
    เมื่อได้ศึกษาวิปัสสนา พระอาจารย์ศรีเงินก็เกิดสนใจในวิชาไสยเวทขึ้นมา
    จะว่าไปแล้วสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนช่วยในการผลักดันท่านให้มาสนใจในเรื่องนี้อยู่มาก หล่าวคือ
    ตั้งแต่ท่านเด็ก ๆ มาแล้ว ในบริเวณควนขนุน พระอาจารย์ที่เก่งในทางไสยเวทมีมากรูป
    และแต่ละรูปล้วนได้รับความเคารพนับถือและได้สร้างประโยชน์เกื้อกูลพระศาสนามากมาย
    พระอาจารย์สรีเงินท่านเล็งเห็นว่าควรจะเจริญรอยตามอย่างครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยทำไว้
    ศึกษาให้ถ่องแท้ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่พระศาสนาได้มากมาย
    ขณะที่พระอาจารย์ศรีเงินเกิดความสนใจจะศึกษาไสยเวทนั้น ศิษย์เอกของสำนักเขาอ้อที่เชี่ยวชาญในวิชาของเขาอ้อยังมีชีวิตอยู่หลายคน ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส ฝ่ายบรรพชิตนั้น เจ้าสำนักรูปสุดท้ายของสำนักเขาอ้อ คือ พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม ยังมีชีวิตแต่ก็เริ่มชราภาพแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีศิษย์เอกของพระอาจารย์เอียด อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนศาลาอีกรูปหนึ่งคือพระครูพิพัฒน์สิริธร หรือ พระอาจารย์คง สิริมโต เจ้าอาวาสวัดบ้านสวน ทางฝ่ายฆราวาสก็มี อาจารย์นำ แก้วจันทร์ อาจารย์เปรม นาคสิทธิ์ เป็นต้น
    เมื่อท่านอาจารย์ศรีเงินคิดจะศึกษาค้นคว้าวิชาไสยเวทของสำนักเขาอ้ออย่างจริงจัง
    ท่านก็คิดถึงเจ้าสำนักเขาอ้อเป็นอันดับแรก คือ พระอาจารย์ปาล ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในพัทลุงขณะนั้น ท่านก็เลยไปฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์ปาลที่วัดเขาอ้อ พร้อมกันนั้นก็ได้เริ่มทำคุณประโยชน์แก่พระศาสนา โดยการสอนพระปริยัติแก่พระภิกษุและสามเณรที่วัดเขาอ้อ ระหว่างนั้นพระอาจารย์ศรีเงินจึงต้องเทียวมาเทียวไป ระหว่างวัดดอนศาลาที่อยู่ประจำกับวัดเขาอ้อที่ไปเรียน และสอนหนังสือ
    การเดินทางไปวัดเขาอ้อแต่ละครั้ง พระอาจารย์ศรีเงินทำให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวท่าน และแก่พระศาสนา คือ ไปเรียนวิชากับพระอาจารย์ปาลอันเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง และสอนหนังสือแก่พระภิกษุสามเณรอันเป็นประโยชน์แก่พระศาสนา
    พระอาจารย์ศรีเงินได้รับถ่ายทอดวิชาต่างๆ มาจากพระอาจารย์ปาลมาก จนมีผู้กล่าวว่าท่านอาจารย์ปาลได้มอบวิชาต่างๆ ให้กับพระอาจารย์ศรีเงินมากที่สุด ขนาดเท่ากับผู้ที่จะขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักเขาอ้อรุ่นต่อไปได้ มีผู้วิเคราะห์ต่อไปว่า พระอาจารย์ศรีเงินอาจจะเป็นผู้ที่พระอาจารย์ปาล ได้คัดเลือกให้ทำหน้าที่เจ้าสำนักเขาอ้อรูปต่อไปสืบต่อจากท่าน แต่การคณะสงฆ์เปลี่ยนแปลง พระอาจารย์ปาลก็ทราบความเป็นไปในอนาคตดี จึงไม่ได้หวังอะไรในเรื่องการสืบทอดตำแหน่ง หวังเพียงให้สืบทอดวิชาเพื่อไม่ให้วิชาสายเขาอ้อสูยหาย และจะได้นำไปสร้างคุณประโยชน์แก่พระศาสนาและประเทศชาติต่อไป เหมือนกับที่บุรพาจารย์เคยทำมา จึงพูดได้ว่าพระอาจารย์ศรีเงินเป็นศิษย์เอกของพระอาจารย์ปาล
    นอกจากจะได้ไปศึกษากับพระอาจารย์ปาลอย่างเป็นทางการแล้ว พระอาจารย์ศรีเงินท่านก็ได้ศึกษากับพระอาจารย์คง วัดบ้านสวน เพิ่มเติมด้วยเสริมในส่วนที่พระอาจารย์คงเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะเรื่องการแพทย์แผนโบราณ และคาถาอาคมเกี่ยวกับการแพทย์ นอกจากนั้นแล้วในส่วนของฆราวาส พระอาจารย์ศรีเงินท่านได้รับถวายความรู้ จากศิษย์ฆราวาสคนสำคัญของวัดเขาอ้อท่านหนึ่ง คือ อาจารย์เปรม นาคสิทธิ์
    พระอาจารย์ศรีเงินเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติต่างๆ ตามที่ทางวัดเขาอ้อกำหนดไว้ คุณสมบัติเด่นๆ
    ที่เห็นชัดก็คือการยึดพรหมวิหาร ๔ และสังคหวัตถุธรรม ซึ่งท่านได้นำมายึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
    ด้วยเหตุนี้ พระอาจารย์ปาลจึงได้คัดเลือกท่าน จะเห็นได้ว่าพระอาจารย์ปาลเลือกไม่ผิดคน
    ท่านรูปนี้มีคุณสมบัติต่างๆ เหมาะสมที่จะทำหน้าที่สืบทอดวิชาของสำนักเขาอ้อจริง ต่อมาเมื่อท่านได้มีโอกาสนำวิชาต่างๆ มาใช้ ก็ใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ท่านจึงได้สร้างคุณประโยชน์แก่พระศาสนาและสังคมมากมาย ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม
    ในส่วนของความผูกพันฉันศิษย์อาจารย์กับพระอาจารย์ปาลท่านก็ได้ปฏิบัติตัวในฐานะศิษย์อย่างสมบูรณ์
    เมื่อพระอาจารย์ปาลชราภาพมากเข้า ช่วยตัวเองไม่สะดวก จะอยู่ที่วัดเขาอ้อก็ไม่มีคนดูแลอย่างเป็นกิจจะลักษณะ พระอาจารย์ศรีเงินเองก็อยู่ไกล เกรงว่าจะดูแลปรนนิบัติรับใช้อาจารย์ไม่เต็มที่ ท่านจึงได้รับพระอาจารย์ปาล มาอยู่เสียที่วัดดอนศาลา ท่านทำหน้าที่ดูแลปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดอยู่เป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งพระอาจารย์ปาลต้องการจะกลับไปมรณภาพที่วัดเดิม คือ วัดเขาอ้อ ซึ่งท่านกลับไปได้เพียงประมาณ ๓ เดือนก็มรณภาพ
    เมื่อพระอาจารย์ปาลมรณภาพ พระอาจารย์ศรีเงินก็เป็น************านใหญ่ในการจัดการศพของท่าน
    เรียกว่าพระอาจารย์ศรีเงินทำหน้าที่ของศิษย์ได้สมบูรณ์ทุกประการ
    เรื่องความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์นั้น พระอาจารย์ศรีเงิน ท่านยังได้แสดงออกอย่างน่าชื่นชมกับอาจารย์ทุกรูป เป็นต้นว่าพระอาจารย์นำ แก้วจันทร์
    เมื่อพระอาจารย์นำมาอุปสมบทอยู่ที่วัดดอนศาลาในวัยชรา ก็ได้พระอาจารย์ศรีเงินคอยดูแลปรนนิบัติ และกล่าวกันว่าระหว่างนั้นพระอาจารย์ศรีเงินได้รับถ่ายทอดวิชาสำคัญ ๆ อีกหลายอย่างจากพระอาจารย์นำ
    เรียกว่า พระอาจารย์นำมีวิชาเท่าไหร่ ท่านก็ถ่ายทอดให้หมดในวัยใกล้วาระสุดท้าย พระอาจารย์ศรีเงินเองก็ดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่านอย่างดี แม้ว่าจะโดยพรรษา พระอาจารย์ศรีเงินอาวุโสมากกว่าพระอาจารย์นำมาก แต่ท่านก็เคารพในฐานะอาจารย์ ปฏิบัติต่อท่านอย่างศิษย์พึงปฏิบัติต่ออาจารย์
    พูดได้ว่าพระศรีเงินเป็นศิษย์สายเขาอ้อรูปหนึ่งที่ได้รวบรวมวิชาดีทั้งหลายไว้มากมาย
    พระอาจารย์ศรีเงิน มรณะภาพ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๓ รวมสิริอายุได้ ๗๒ ปี ๕๑ พรรษา
    เชิญชมพระเครื่องท่านที่ผมพอมีดังนี้ครับ( พระเครื่องท่านยังมีอีกหลายพิมพ์ครับที่ลงนี่คือที่ผมสะสมและมีอยู่จริงที่ตัวผม มิกล้าเอาพระของคนอื่นมาลงครับ ขอบคุณครับ)
    1.เหรียญรุ่นแรกท่านศรีเงิน เนื้อทองแดง ปี41มีรุ่นเดียวครับเนื่องจากลูกศิษย์ท่านรบเร้าให้ท่านสร้างอยู่นานท่านก็มิอยากสร้างครับ แต่เมื่อประเทศเราประสบภาวะเรื่องเศรษฐกิจ ท่านจึงสร้างออกมาครับ เป็นเหรียญที่เจตนาการสร้างดี ราคาไม่แพง(ยกเว้นเนื้อเงินนะครับ) พุทธคุณหายห่วงครับ สายเขาอ้อรับประกันแน่นอนครับ ผมว่าน่าเก็บน่าใช้อีกหนึ่งเหรียญเลยครับ
    2.ผ้ายันต์โสฬสมงคล ผืนนี้ผมได้มาจากหลานสาวท่านเลยครับ พุทธคุณทางเมตตาและยับยั้งสิ่งอัปมงคลที่กล่ำกลายเข้ามาครับ ผ้ายันต์ท่านจะเป็นเขียนมือทั้งสิ้นครับ ท่านจะบรรจงเขียนทีละผืนครับ(ลายจารท่านจะสวยครับ) ผืนนี้สภาพดีมากจึงเข้ากรอบและติดอยู่ที่ผนังบ้านครับ
    3.ปิดตานะมหามงคล พิมพ์เล็ก รุ่นแรกปี24 พุทธคุณทางด้านเมตตาแรงสุดๆครับ โลหะศักดิ์สิทมากมายครับ ท่านสร้าง2พิมพ์ครับ มีใหญ่กับเล็ก ปัจจุบันเป็นที่แสวงหากันมาก ตัวจริงเสียงจริงมีอยู่น้อยครับ ด้วยจำนวนการสร้างเพียง2000องค์ในพิมพ์เล็ก และ1000องค์ในพิมพ์ใหญ่ องค์นี้ดูง่ายสุดๆแป้งรองพิมพ์ยังอยู่มากครับ
    4.ผ้ายันต์โสฬสมงคลเขียนมือ(บางท่านว่าของท่านอ.นำ) ผืนนี้หลายท่านสายตรงว่ากันว่า เป็นอ.ศรีเงินเขียนและอ.นำปลุกเสก เนื่องจากอ.ศรีท่านเป็นพระร่วมวัดกับท่านอ.นำ เมื่อท่านอ.นำ อาพาธท่านมิสามารถเขียนเองได้จึง ให้ท่านอ.ศรีเงิน เขียนยันต์ตามที่ท่านบอก เป็นยันต์นอโมของสายเขาอ้อ ซึ่งก็อยู่ที่หลังเหรียญอ.นำนั่นเองครับ ผืนนี้เป็นยุคต้นครับ น่าจะปี1กว่าๆต่างกับผืนเเรก สภาพเก่าได้ยุคครับ
    วัตถุมงคลท่านอ.ศรีเงินยังมีอีกมากไว้ผมหาได้จะนำมาลงอีกนะครับ เพราะไม่อยากเอาพระของคนอื่นมาลงจริงๆครับ
    ขอบคุณครับ
    พระดีเจตนาการสร้างดีน่าเก็บครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 14116-2.jpg
      14116-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.1 KB
      เปิดดู:
      367
    • 14116-3.jpg
      14116-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.4 KB
      เปิดดู:
      385
    • DSCN2293.jpg
      DSCN2293.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60 KB
      เปิดดู:
      582
    • DSCN2295.jpg
      DSCN2295.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.3 KB
      เปิดดู:
      317
    • DSCN2381.jpg
      DSCN2381.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.6 KB
      เปิดดู:
      473
    • nn.jpg
      nn.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.4 KB
      เปิดดู:
      476
    • hh.jpg
      hh.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.7 KB
      เปิดดู:
      573
    • hhh.jpg
      hhh.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.9 KB
      เปิดดู:
      323
  4. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    แจมด้วยนะครับ

    หลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ
    องค์นี้เก่งมากๆนะครับ

    ประวัติหลวงพ่อจันทร์ สุเมโธ
    เกิดวันพฤหัสบดี ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2453 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน6ปีชวด ณ บ้านหลาแก้ว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช บิดาชื่อนายเขียว มารดาชื่อนางพุดแก้ว นามสกุล ทองแก้ว หลวงพ่อจันทร์ ท่านเป็นบุตรชายคนโต มีพี่น้อง4คน มีอาชีพทำสวนทำไร่ ตอนเยาว์วัยได้ศึกษาในสำนักของ พระครูสังฆรักษ์ วัดหลาแก้ว ได้ศึกษาอักขระสมัยและวิชาอาคมต่างๆ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็ศึกษาพุทธาเวทจากตำราต่างๆ มีวิชาอาคมพอตัวเลยทีเดียว นักเลงหัวไม้ต่างกลัวท่าน เนื่องจากท่านหนังเหนียวยิ่งนัก เมื่ออายุครบ 20ปี ก็ได้อุปสมบทที่วัดศาลาแก้ว มีพระครูพนังศรีวิสุทธิพุทธิภักดี เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์เห้ง วัดศาลามีแก้ว เป็นพระกรรมาวาจารย์ หลวงพ่อจันทร์ ได้ฉายาว่า "สุเมโธ"
    อักขระปรากฏแก่ พ่อท่านจันทร์
    คราวหนึ่ง พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ ท่านเดินทางธุดงค์อยู่ในป่าช้าจังหวัดพัทลุงขณะที่ท่านเข้าพักแขวนกลดไว้กับกิ่งไม้ในป่าช้าวัดแห่งหนึ่งบริเวณใกล้ริมคลองป่าเรียบร้อยแล้ว “หลวงพ่อจันทร์”ท่านก็เดินจงกลมคลายความเหน็ดเหนื่อยพอสมควรแล้ว ท่านก็นั่งสมาธิภาวนาในกลด เพราะเป็นช่วงพลบค่ำพอดี

    ความอัศจรรย์เกิดขึ้นแก่จิต
    ขณะที่นั่งสมาธิจนจิตค่อยสงบลงแล้วสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แจ่มใสมาก “หลวงพ่อจันทร์”ท่านได้เล่าให้บรรดาศิษย์ฟังภายหลังว่าจิตสงบดีแล้วเหตุการณ์การอันอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น ทำให้เห็นอักขระแบบภาษาขอมลอยขึ้นเด่นชัด จากริมแม่น้ำลำป่า ไปอยู่ในท่ามกลางอากาศก็ได้กำหนดอักขระเหล่านั้นมาพิจารณา แล้วทำอุบายเพ่งเป็นกสิณ โดยอาศัยอักขระโบราณที่ปรากฏมาเป็นนิมิตรหมายแห่งการบำเพ็ญเพ่งเป็นองค์กสิณยิ่งนานวัน ความสงบยิ่งแนบแน่นตามลำดับ

    พยัคฆามาเยี่ยม
    เมื่อความมืดมาปกคลุมไปทั่วลุ่มน้ำลำป่า จังหวัดพัทลุง บริเวณภายนอกกลดอากาศเย็นเป็นพิเศษ ขณะ"พ่อท่านจันทร์"และหมู่คณะของท่านนั่งกำหนดจิตอยู่ ทันใดนั้นความเงียบก็ถูกทำลายด้วยอำนาจเสือโคร่งตัวโต เสียงร้องของมันขู่ข่มขวัญ ทุกคนที่ได้ยิน มันเดินไปวนมาข้างๆกลดเพราะได้กลิ่นมนุษย์ พระธุดงค์ดังกล่าวได้ปฏิบัติตามคำเตือนให้อยู่ในความสงบ นั่งปฏิบัติกันโดยปกติ เสือเหมือนมาทดสอบจิตใจเมื่อพระธุดงค์ทุดท่านมีมานะอดทนที่แน่วแน่ พร้อมทั้งแผ่เมตตาไปยังเสือตัวนั้นในที่สุดเสือโคร่งก็สิ้นความพยายามผละหายกลับไปในป่าลึก

    หลวงพ่อจันทร์ พบดินแดนสงบ
    จากการเดินธุดงค์ไปทั่วทั้ง 14จังหวัดภาคใต้ ต่อมาในปี พ.ศ.2491 พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ ท่านได้จำพรรษาที่ วัดทุ่งเฟื้อ เพราะเล็งเห็นว่าเหมาะแก่การเจริญวิปัสสนาสมาธิเป็นอย่างยิ่ง จากอดีต วัดทุ่งเฟื้อ ที่เคยมีสภาพทรุดโทรม ก็ได้รับการพัฒนาเปิดป่า เปลี่ยนเป็นศาลาโรงธรรม หอระฆัง พระอุโบสถและกุฏิสงฆ์ขึ้นมาตามลำดับ ต่อมา พ่อท่านจันทร์ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดทุ่งเฟื้อ อย่างสมบูรณ์ พระสงฆ์ต่างจังหวัดและชาวบ้านต่างมาฝากตัวเป็นศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก เพื่อศึกษาตำราพิชัยสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด แต่งคนเลิศดีนักแลฯ ถือเป็นวิชาสุดยอดทั้งนั้นและ หลวงพ่อจันทร์ ก็เคยเดินทางไปศึกษาวิชากับ อาจารย์เอียดดำ วัดในเขียว อีกด้วย

    [​IMG]
    [​IMG]
    ข้อมูลจากคุณศิวเวทย์ (๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛)
    พุทธคุณพระเครื่อง “พ่อท่านจันทร์”
    ในเรื่องอิทธิมงคลวัตถุของพ่อท่านจันทร์ นั้นมีอานุภาพดีเด่นในทางพุทธคุณสูง อานุภาพสูงส่งจากประสบการณ์ผู้นำติดตัวไปใช้ก็มีมากมาย จึงเป็นที่หวงแหนของผู้ที่ครอบครองไว้ สำหรับความรู้สึกของศิษยานุศิษย์ที่ได้เรียนวิชาคงกระพัน วิชาชาตรี วิชาแคล้วคลาด วิชามหาอุด วิชาแต่งคน และรับมอบอิทธิวัตถุมงคลของหลวงพ่อจันทร์ พูดได้ว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว

    หลวงพ่อจันทร์ มรณภาพตามกำหนด
    กฎแห่งไตรลักษณ์มีอย่างไรความจริงก็ย่อมปรากฏเช่นนั้น หลวงพ่อจันทร์ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติจนเกิดฌานจนแก่กล้า สามารถรู้เหตุการณ์ต่างๆแม้แต่วันตาย ดังบันทึกของคณะศิษย์วัดทุ่งเฟื้อ ทุกๆสาย คืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2532 ท่านเข้าสมาธิภาวนาตั้งแต่หัวค่ำด้วยอิริยาบถอันสงบ แม้อาการป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอดท่านก็ไม่ ทอดธุระเรื่องภาวนา ตลอดคืนจนได้เวลา 05.00น. อันเป็น เวลาใกล้สว่าง หลวงพ่อจันทร์ ท่านได้ให้บรรดาศิษย์ช่วยกันพยุงกายท่านให้ลุกขึ้น เพราะท่านนั่งสมาธิมาตั้งแต่หัวค่ำ เรี่ยวแรงก็น้อยลง เมื่อพระสมุห์พิงค์ ขึ้นแล้ว ท่านได้เปลี่ยน สบง จีวร สังฆาฏิ ใหม่หมดเสร็จแล้วท่านได้บอกให้ลูกศิษย์ประคองให้นั่งลงทำสมาธิต่อไปหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว หลวงพ่อจันทร์ท่านก็หลับตาลง และได้สั่งให้พระสมุห์พิงค์ ผู้เป็นศิษย์จุดเทียนไว้เบื้องหน้าหนึ่งเล่ม พร้อมทั้งไม่ให้ใครมาส่งเสียงบริเวณนั้นจะทำสมาธิครั้งสุดท้ายหลังจากกล่าวแก่ศิษย์ทุกคนแล้ว หลวงพ่อจันทร์ ท่านก็หลับตาลงเป็นครั้งสุดท้ายกำหนดจิตเข้าสู่สมาธิ เป็นลำดับเวลา 08.30น.บรรดาลูกศิษย์ ที่เฝ้าดูอาการของ พ่อท่านจันทร์ เห็นผิดสังเกต เพราะศีรษะของท่านโน้นเอียงลงมาเล็กน้อย ซึ่งปกติท่านจะนั่งตัวตรงไม่ไหวติง ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดท่านย่อมรู้ดี จึงทราบว่า พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ ท่านได้มรณภาพแล้ว วันที่ 10 พฤศจิกายน 2532

    [​IMG]
    ชาวบ้านที่ศรัทธา หลวงพ่อจันทร์
    ร่างกายไม่เน่าเปื่อย
    การนั่งมรณภาพของ หลวงพ่อจันทร์ เมื่อวันที่10 พฤศจิกายน 2532 ได้ลือกระฉ่อนไปทั่วสารทิศเมืองนครศรีธรรมราช สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย สังขารของท่านแข็งดุจหินแม้เวลาล่วงเลยมาหลายปี
    ข้อมูลจาก...นิตยสารศูนย์พระเครื่อง ปี 2535

    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1590357468802909";/* 180x150, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 1/18/09 */google_ad_slot = "6286807148";google_ad_width = 180;google_ad_height = 150;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
  5. เด็กบางแค

    เด็กบางแค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +1,989
    ผมมีแต่เหรียญท้าวเวสสุวรรณที่ พ่อท่าจันทร์กับ พ่อท่านแก่นเสก จริงๆอยากได้พระเครื่องเกจิสายใต้ พศ.ลึกๆเหมือนกันครับ แต่ทุนทรัพย์น้อยครับ
     
  6. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    ขอบคุณและยินดีที่ได้รู้จักทั้งสองท่านนะครับ ท่านประสบการณ์เยอะมากครับท่านจันทร์ ร่วมแจมเหรียญท่านจันทร์รุ่น2ครับ+ควายธนู ครับ ผ้ายันต์รอยมือเท้า รอถ่ายภาพจะนำมาลงนะครับ
    คุณวิเศษควายพ่อท่านครับ
    พ่อท่านจันทร์ได้สร้างวัวและควายธนู มาหลายรุ่นแล้ว แต่ละรุ่นล้วนมีประสบการณ์ หายาก ราคาบูชาก็ ขยับสูงขึ้น ใครมีต่างก็หวงแหน

    ในการสร้างวัวและควายธนู แต่ละครั้งนั้น พ่อท่านจะปลุกเสกเดียวได้ทำการปลุกเสกอย่างเข้มขลังมาก มันจะขวิดผู้บุกรุกถึงตายทีเดียว

    ถ้าผู้บุกรุกเป็นภูติผี มันก็จะไล่ขวิดเสียกระเจิดกระเจิง หรือจนกระทั่งภูติผีปีศาจเหล่านั้นหมดสภาพไม่สามารถไปใช้ทำอะไรได้อีก

    จัดเป็นเครื่องรางที่มีคุณวิเศษ และยอดเยี่ยม ในเนื้อหาและมวลสาร ซึ่งควายธนูนี้ พ่อท่านจันทร์ ท่านได้ทำขึ้นมาเองที่วัด

    โดยมีมวลสารหลักๆ..นั้นก็คือ ตะไคร้น้ำที่เกาะตามจมูกจระเข้ เนื้อผงว่านดินกากยายักษ์ ดินเจ็ดป่าช้า และมวลสารวิเศษของสำนักเขาอ้อ... ซึ่งถือได้ว่าครบสูตร ซึ่งจะหาเครื่องราง แบบฉบับเดิมๆ ที่สร้างขึ้นมาแบบนี้นั้นยากแล้วครับ..เพราะว่าในปัจจุบันส่วนใหญ่สั่งทำที่โรงงานแล้วนำมาทำพิธีที่วัดเสียส่วนใหญ่...

    เชิญทุกท่านร่วมแจมพระเครื่องและประวัตินะครับ


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • uuuuuuuuuu.jpg
      uuuuuuuuuu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      309.1 KB
      เปิดดู:
      517
    • hhhh.jpg
      hhhh.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.7 KB
      เปิดดู:
      639
  7. เด็กบางแค

    เด็กบางแค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +1,989
    พระสายใต้ผมรู้จักท่านไม่มีองค์เองครับประวัติท่าน ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะทราบด้วย แต่เพื่อนผมที่มหาลัย มีเพื่อนในกลุ่มเป็นคนใต้เยอะครับ คนใต้ส่วนใหญ่จริงใจ รักใครรักจริง ส่วนใหญ่เพื่อนผมจะมาจากนครครับ พูดแล้วยังเสียดายไม่หายเลยครับ ที่ประมาณ ปี47 ผมยังไม่รู้จักจตุคามรามเทพ เพื่อนผมผู้หญิงในกลุ่ม เค้าบอกว่าเห็นชอบพระเครื่อง เค้ากลับบ้านจะเอาเหรียญแสตมองค์พ่อแบบที่เค้าห้อยมาเอาป่าว ให้ฟรีด้วยนะครับแต่ผมไม่เอา เพราะยังไม่ค่อยสนิทกันมาตอนหลังจะขอก็ยิ่งเกรงใจใหญ่ เพราะของมีราคาไปแล้ว ทำให้เป็นบทเรียนที่ต้องจำไว้ว่า ใครให้อะไรแล้วต้องรับครับ ไมงั้นจะอดของดี
     
  8. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    อีก1เกจิสายนครศรีธรรมราช ท่านเก่งมากเช่นกันครับ
    พ่อท่านเจิม วัดหอยราก ครับ เชิญชมประวัติโดยสังเขปของพ่อท่าน ครับ
    ประวัติหลวงพ่อเจิม วัดหอยราก


    พ่อท่านเจิม อชิโต หรือ พระครูพิศาลวรเวทย์ อดีตพระเกจิอาจารย์ขลังแห่งลุ่มน้ำปากพนัง ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2451 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 8 ค่ำ เดือน 7 ปี วอก เป็นบุตรของนายภู่ นางคล้าย แก้วช่วย ท่านได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดคงคาสวัสดิ์ (วัดใต้) โดยมี หลวงพ่อนุ่ม เกสโร พระครูประภาสภูมิสถิตย์ เป็นพระอุปัชฌาย์บวชแล้วก็ประจำพรรษาที่วัดคงคาสวัสดิ์ศึกษาเล่าเรียนพระ ธรรมวินัย และพระเทวอาคมกับหลวงพ่อนุ่มผู้เป็นอุปัชฌาย์ จารย์จนมีความเชี่ยวชาญในสรรพเวทวิทยาคมอย่างลึกซึ้ง พ่อท่านเจิม อชิโต ได้มารั้งตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ.2479 และได้ละสังขารลงเมื่อ ปี พ.ศ.2527 รวมสิริอายุ 76 ปี 57 พรรษา


    ครั้งเมื่อพ่อท่านเจิม อชิโต สมัยท่านยังไม่ละสังขารอยู่นั้น ท่านได้สร้างพระเนื้อผงดินเผา พระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปรกโพธิ์ และพระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปิดตา ปี พ.ศ. 2499 เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา พ่อท่านเจิมได้เสาะแสวงหาและรวบรวมมวลสารที่เป็นมหามงคล โดยใช้ระยะเวลาอยู่นานร่วม 7-8 ปี เมื่อได้มวลสารที่ต้องการแล้ว พ่อท่านเจิมได้ทำพิธีกดพิมพ์พระพระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปรกโพธิ์ และพิมพ์ปิดตา เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2499 ซึ่งมวลสารที่พ่อท่านเจิมได้ใช้ในการสร้างล้วนมีพุทธคุณ และคุณวิเศษมากมายในตัวซึ่งเป็นมวลสารที่หายากยิ่ง พ่อท่านเจิมอยากให้วัตถุมงคลที่สร้างออกมาให้มีพุทธคุณ จึงต้องทำให้ตรงตามตำราโบราณทุกอย่าง ทุกขั้นตอนอย่างประณีต


    โดยเฉพาะมวลสารที่เป็นดินพรายสมุทร (ท้องทะเล) ต้องใช้ถึง 108 ปั้น โดยต้องดำน้ำลงไป และเถ้าคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารให้ได้ 7 ป่าช้า เอามาบดเป็นผงให้ได้ 108 จอกชา และยังมีมวลสารที่สำคัญอีกร่วม 700 ชนิด พ่อท่านเจิมได้นำพระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปรกโพธิ์ และ พิมพ์ปิดตา เข้าปลุกเสกเดี่ยวในพระอุโบสถ วัดศรีสมบูรณ์อีก เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ด้วยพระคาถาพระมหาหมื่น 10,000 จบ พ่อท่านเจิมใช้ระยะเวลาการปลุกเสกนานถึง 3 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2499-2501 พระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปรกโพธิ์ และพระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปิดตา ของพ่อท่านเจิม จึงเป็นวัตถุมงคลที่มีความเข้มขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ในพุทธคุณสูง

    บทความต่อไปนี้เป็นบทความจาก พระสมุห์เจิม แก้วช่วย เจ้าอาวาสวัดศรีสมบูรณ์ (หอยราก) อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช

    “สวัสดีท่านที่เคารพและนับถือทั้งหลาย การที่ข้าพเจ้าจัดทำรูปหลวงพ่อ อะชิโตขึ้นครั้งนี้ ทำตามแบบโบราณ ที่ท่านเขียนไว้ในคำภีร์ใบลาน พัสดุที่เอามาประสมเกินกว่า 700 สิ่ง แต่ละสิ่งล้วนเป็นของศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น ข้าพเจ้าเที่ยวหาของต่าง ๆ นั้น 2 ปีซ้อน ทำแต่ผงนั้นราว 4 เดือน และทำแต่รูปหลวงพ่อ อะชิโต ก็ราว 3 ปี และโดยเฉพาะปลุกเสกอยู่นั้นย่างเข้า 5 ปี คือเริ่มปลุกเสกในฤกษ์ของวันเสาร์ เดือน 5 ปี มะเส็ง กระทั่งถึงวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา พ.ศ.2512 เป็นอันสัมฤทธิ์ผลโดยสมบูรณ์ รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ ขึ้น 8 ค่ำเดือนเดียวกัน เป็นปฐมฤกษ์ของการแจกจ่ายให้เช่า อันเป็นมหามงคลฤกษ์ของอมฤคฆโชค แปลว่า เป็นโชคอันไม่ตาย


    ข้าพเจ้าขอเตือนว่า ทุก ๆ ท่านที่มีรูปหลวงพ่อ อะชิโต ไว้นั้น อย่าสักแต่ว่าเอาไว้เฉย ๆ เท่านั้น มันไม่เกิดเป็นมงคลและผลประโยชน์อะไรเลย เหมือนอย่างไก่ไปพบพลอย พลอยก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับไก่เลย

    ฉะนั้น ขอท่านอย่าได้ประมาท อุตส่าห์กราบไหว้บูชาอยู่เสมอ เป็นรูปที่ทำขึ้นแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น พอถึงวันอังคาร หรือวันเสาร์ ควรจัดของถวายข้าวพระ มีน้ำสิ่งหนึ่ง ข้าวสิ่งหนึ่ง คาวสิ่งหนึ่ง หวานสิ่งหนึ่ง อย่างน้อยให้ได้เดือนละหนึ่งครั้ง

    เวลาจะหลับนอนหรือไปไหน ให้ยกเอารูปหลวงพ่อ อะชิโต ขึ้นตั้งเหนือหัวขอท่านช่วยคุ้มครองป้องกันรักษาเถิด
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสภาษิตไว้ว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ แปลว่า ท่านทั้งหลายจงยังไม่ประมาทให้ถึงพร้อม พระพุทธภาษิตขึ้นนี้ท่างจะยึดถือไว้ให้มั่น นี้เป็นหลักของหลวงพ่อ อะชิโต ที่จะต้องปฏิบัติคือ อย่าได้ประมาทเลย และขอให้ท่านทุกท่านที่มีหลวงพ่อ อะชิโต ไว้กับตัวและครอบครัวของท่าน จงสัมฤทธิ์ผลดลบันดาลให้สำเร็จทุกประการเทอญ”
    ปัจจุบันพระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปรกโพธิ์ และพระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปิดตา เป็นที่เสาะแสวงหาในวงการพระเครื่องพระ ศิษยานุศิษย์สายพ่อท่านเจิม และบุคคลทั่วไป

    วิธีการบูชาพระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปรกโพธิ์ และพระผงพรายสมุทร อชิโต พิมพ์ปิดตา ปี 2499 ของพ่อท่านเจิม อชิโตนั้น มีดังนี้

    นะโม 3 จบ
    กล่าวต่อ ติวาคะภะ โธพุทนังสา นุสมะวะเท ถาสัตถิระ สามะทัมสะ ริปุโรตะ นุตอะทูวิ กะโลโตคะ สุโนปันสัม ณะระจะชา วิชโธพุทสัมมาสัมหังระ อะวาคะภะ โสปิติอิ
    พระท่านเจตนาการสร้างดี ราคาไม่สูง น่าเก็บครับ
    องค์นี้เป็นพระผงอชิโต พิมพ์ปรกโพธิ์ใหญ่ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hhhhhv.jpg
      hhhhhv.jpg
      ขนาดไฟล์:
      258.5 KB
      เปิดดู:
      296
  9. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    ตอบคุณเด็กบางแค ครับ แสตมป์องค์พ่อส่วนตัวผมก็ชอบและอยากเก็บอยู่เหมือนกันครับ น่าเสียดายแทนคุณเด็กบางแคจริงๆ ครับ พระเครื่องสายใต้เป็นอีกหนึ่งสายที่น่าเก็บครับ ส่วนตัวผมชอบความคลาสสิกของพิมพ์ทรงที่บ่งบอกได้ถึงสายใต้ อักขระยันต์ และเจตนาการสร้าง ครับ ซึ่งประสบการณ์ของวัตถุมงคลสายใต้นี้ก็ไม่เป็นสองรองสายอื่นแน่นอนครับ
    แวะเวียนมาพูดคุยหรือร่วมแจมกันนะครับ
     
  10. เด็กบางแค

    เด็กบางแค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +1,989
    ครับพี่ ผมแวะมาทุกวันครับผมชอบคำนึงที่ เพือนผมมันพูดว่า พระบ้าน..ถ้าไม่แน่จริงเค้าไม่สร้างของให้..ไปใช้หรอก ผมชอบอ่านประวัติท่านขุนพันธ์ด้วยครับ เคยซื้อหนังสือท่านเก็บไว้
    2เล่ม ถอดรหัสลับ ขุนพันธรักราชเดช กับอีกเล่มนึงผมจำชื่อไม่ได้ครับ ตอนนี้ให้อายืมไปอ่านอยู่ครับ
     
  11. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    ใช่อย่างที่เพื่อนพูดครับ ยืนยันเลย
     
  12. Single Club

    Single Club เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +1,735
    คุณ cornell ครับ ผมจำได้ว่าผมมีสมเด็จหล่อโบราณด้วยโลหะผสม หลังยันต์ ของหลวงพ่อศรีเงิน วัดดอนศาลา ขนาดประมาณ ข้อบนหัวแม่โป้ง ตอนที่ได้มา มีคนบอกว่า ไม่ว่าจะขัดให้เงาวับยังไง ไม่นานเนื้อก็จะกลับสู่ผิวเดิม แต่ผมหาพระสมเด็จโลหะองค์นี้ไม่เจอแล้ว เศร้า

    คุณ cornell พอจะทราบข้อมูลสมเด็จรุ่นนี้หรือเปล่าครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    พอดีผมพอมีผ้ายันต์ท่านอยู่ผืนหนึ่งเป็นยันต์โสฬส ช่วยบอกข้อมูลด้วยครับ..

    ได้มานานเหมือนกันเขียนมือทั้งผืนแต่ไม่ค่อยรู้ประวัติครับ........อยากได้ข้อมูล

    เพื่อความรู้ครับ
     
  14. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    ตอบคุณsingle ครับ สมเด็จที่ว่าคือ สมเด็จนะมหามงคล สร้างปี2524
    พระสมเด็จนะมหามงคลพิมพ์ใหญ่รุ่นแรกเนื้อนวะโลหะของอ.ศรีเงินสร้างในปี24 ขนาดกว้าง2.3สูง3.3cm โดยในปี24นี้ท่านอ.ศรีเงินได้สร้างพระไว้4พิมพ์ด้วยกันคือ
    1.กริ่งนะมหามงคล77องค์
    2.สมเด็จพิมพ์ใหญ่122องค์
    3.ปิตตานะมหามงคลพิมพ์ใหญ่1000องค์
    4.ปิตตานะมหามงคลพิมพ์เล็ก1031องค์
    ตอบคุณjumbo a ผ้ายันต์โสฬส
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ผ้ายันต์โสฬส ลายมือจารที่มีพุทธคุณเด่นทางด้านโชคลาภมีไว้ที่บ้านคุ้มภัย108 กันไฟและไล่เสนียด*************** ท่านสร้างออกมาตลอดไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนครับ.....แต่ปัจจุบันหายากครับ
    [/FONT]
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    ขอบคุณมากครับ.ผมว่าจะเอามาใส่หลอดบูชาเหมือนตระกรุด..........คงต้อง

    เปลี่ยนใจไปใส่กรอบบูชาดีกว่า.......

    แล้วตะกรุดชุดหลวงพ่อแก่นวัดทุ่งหลอหละครับมีข้อมูลบ้างไหมครับ

    พระหลวงพ่อเจิมผมได้ข่าวว่าทางวัดนำออกมาให้บูชาหาปัจจัยสร้า้งศาลาหรือ

    อะไรซักอย่างท่านมีข้อมูลไหมครับ........

    ชอบเหมือนกันผงพราย.........พรายสมุทรน่าสนใจมากครับ

    ส่วนตัวมีแต่ของวัดหนึ่งทางใต้พิมพ์เหมือนพระพุทธ 25 ศรรตวรรษ..

    ปี 2524 ข้อมูลที่ได้มาสายเขาอ้อปลุกเสก....

    หลวงพ่อจำเนียร วัดต้นเลียบ หลวงพ่อเริ่ม บางน้ำจืด......หลวงปู่ร่วงวัดศาลา

    โพธิ์........หลวงปู่ปลอดวัดหัวป่า...............

    พระครูกาชาดบุญทองวัดดอนศาลา.มีเวลาท่านมาเล่าด้วยนะครับ..

    ผมพอเก็บพระสายใต้ไว้บ้างแต่ประวัติมืดมิด........ไม่เคยได้ลงใต้ไปเอง

    ส่วนมากจะได้มาจากเด็กฝึกงานที่มาฝึกงานที่โรงงานแล้วฝากเขาเอามาให้

    .อีกองค์....พ่อท่านแก้ว วัดเขาปูน.นครศรีธรรมราช.......ไม่ได้ยินข่าวคราว

    ข้อมูลท่านมานานหลายปีแล้ว......

    ส่วนตัวอยากเห็นที่สุดคือตะกรุดพ่อท่านร่วง วัดศาลาโพธิ์ครับ
     
  16. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    พระผงพราย

    ผงพรายอชิโตของพ่อท่านเจิม นอกจากพ่อท่านเจิม เสกเดี่ยวแล้ว จริงๆแล้วยังนำไปเข้าพิธีดีมากๆ(หลวงพ่อโอภาสี พ่อท่านคล้าย ลพ.เงิน วัดดอนยายหอม พ่อท่านมุ่ย พ่อท่านแปลก พ่อท่านรุ่ง พ่อท่านจันทร์ พ่อท่านเขียว วัดหรงบล และพระครูนนท์ ลพ สงฆ์ อ.นำ ขุนพันธ์ ฯลฯ) แต่ไม่ทราบว่าทำไมไม่ค่อยมีการเคลือนไหวเลยครับ ...............

    เป็นพระที่เล่าลือกันว่าขอแล้วได้ผล โดยเฉพาะเรื่องโชคลาภ ซึ่งผมกำลังจัดชุดอยู่ครับ แนะนำว่าที่วัดยังเปิดกรุของท่าน ใครบูชาPMมาบอกด้วยนะคับ(รู้สึกที่วัด 1000 นึงมั้งครับ) ผมอยากฝากครับ ได้ทั้งบุญและของดีครับ
     
  17. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    ขอบคุณท่านDEKDELTA2 ที่ร่วมแจมความรู้ครับ พระผงอชิโต พ่อท่านเจิมน่าเก็บจริงครับ ยังมีเหรียญรุ่นแรกของท่านไว้จะนำมาลงครับ
    ส่วนประวัติเดี๋ยวคืนนี้จัดให้ครับ
     
  18. เด็กบางแค

    เด็กบางแค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +1,989
    สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน ตามอ่านอยู่เหมือนเดิมแต่ผมแจมด้วยไม่ได้เลยครับไม่มีความรู้เรียกว่าเข้ามาขอความรู้จากพวกพี่ๆ ดีกว่าครับ
     
  19. Single Club

    Single Club เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,025
    ค่าพลัง:
    +1,735
    ขอบคุณมากๆเลยครับ ผมต้องหาให้เจอว่าผมเก็บไว้ที่ไหน
     
  20. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    แวมาดึกๆครับ วันนี้ขอเสนอประวัติสุดยอดปรมจารย์สายเขาอ้อ ครับ
    ประวัติ พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ
    วัดเขาอ้อ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ยังมีการกล่าวถึงอยู่ในพงศาวดารพัทลุง ดังปรากฏในหนังสือ "พระสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (อาจารย์ทองเฒ่า) อาจารย์ผู้เฒ่าวัดเขาอ้อ" ซึ่งอาจารย์ชุม ไชยคีรี ศิษย์เอกทางไสยเวทคนหนึ่งของสำนักวัดเขาอ้อได้ค้นคว้าและเรียบเรียงขึ้นมา เป็นประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ มีความว่า

    "เท่าที่ค้นพบจากพงศาวดาร และจากคำบันทึกของพระ เจ้าของตำรา พระอาจารย์ทุกองค์ในสำนักวัดเขาอ้อมีความรู้ความสามารถในทางไสยศาสตร์ให้แก่ทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นเจ้าเมือง และนักรบมาแต่ครั้งโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยศรีวิชัยตลอดมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระอาจารย์ที่ปรากฏองค์ที่ 1 ชื่อ พระอาจารย์ทอง ในสมัยนั้นทางฟากตะวันตกของทะเลสาบตรงกับวัดพระเกิด ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน ปัจจุบันนี้

    ครั้งนั้น ตามพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าวว่า ยังมีตายาย 2 คน ตาชื่อ สามโม ยายชื่อ ยายเพ็ชร์ ตายายมีบุตรหลานบุญธรรมอยู่ 2 คน ผู้ชายชื่อ กุมาร ผู้หญิงชื่อ เลือดขาว นางเลือดขาวกล่าวว่าเป็นอัจริยะมนุษย์ คือ เลือดในตัวนางมีสีขาว ผิวขาวผิดกับมนุษย์ธรรมดาสามัญ

    ตาสามโมเป็นนายกองช้าง หน้าที่จับช้าง เลี้ยงช้างถวายพระยากรงทอง ปีละ 1 เชือก

    เมื่อบุตรธิดาทั้งสองเจริญวัยพอสมควรแล้ว ตายายจึงนำไปฝากให้พระอาจารย์ทอง วัดเขาอ้อ สอนวิชาความรู้ให้ พบบันทึกในตำราว่าเริ่มนำตัวไปถวายพระอาจารย์ทองเมื่อวันพฤหัสบดี ปีกุน เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 301 (พ.ศ.1482) จะศึกษาอยู่นานเท่าใดไม่ปรากฏ ทราบแต่ว่าเป็นผู้มีความรู้ทางอยู่ยงคงกระพัน กำบังกายหายตัว และอื่นๆ เป็นอย่างดียิ่ง ต่อมาตายายให้บุตรบุญธรรมทั้งสองแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน พระยากรงทองโปรดให้ไปเป็นเจ้าเมืองชื่อพระกุมารและนางเลือดขาว ตั้งเมืองอยู่ที่บางแก้วฝั่งทะเลสาบตะวันตก ชื่อเมืองตะลุง ได้สร้างวัดและเจดีย์วัดตะเขียน (วัดบางแก้ว ตำบลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เดี๋ยวนี้)

    การที่ให้ชื่อเมืองว่า เมืองตะลุง อาจจะเป็นเพราะว่าเดิมเป็นหลักล่ามช้าง ต่อมาจึงกลายเป็นเมืองพัทลุง พระกุมารและนางเลือดขาวเป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างวัดวาอาราม พระพุทธรูป พระเจดีย์ ในเขตเมืองพัทลุง เมืองนครศรีธรรมราช และเมืองตรัง หลายแห่งด้วยกัน เช่น วัดบางแก้ว วัดสทังใหญ่ เมื่อปีพ.ศ. 1493 สร้างวัดพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดตรัง 1 วัด สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ 1 องค์ พอจะจับเค้ามูลได้ว่าวัดเขาอ้อมีมาก่อนเมืองพัทลุง เพราะกุมารมาศึกษาวิชาความรู้ก่อนเป็นเจ้าเมือง"

    และยังมีตอนหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องถึงประวัติของหลวงพ่อทวด แห่งวัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี แต่ครั้งยังอยู่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ว่า

    "เมื่อจุลศักราช 991 (พ.ศ.2171) พระสามีรามวัดพะโคะ หรือที่เราทราบกันเดี๋ยวนี้ว่า หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ซึ่งประชาชนในสมัยนั้นยกย่องถวายนามว่าสมเด็จเจ้าพะโคะ ท่านได้ไปเรียนพระปริยัติธรรม ณ กรุงศรีอยุธยา เป็นผู้แตกฉานในอรรถธรรม ครั้งนั้นยังมีพราหมณ์เป็นนักปราชญ์มาจากประเทศสิงหล (ลังกา) มาตั้งปริศนาปัญหาธรรมที่แสนยาก พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโปรดให้พระสามีรามเถระแก้ปัญหาธรรมนั้นๆ จนชนะพราหมณ์ชาวสิงหล จึงพระราชทานยศเป็นพระราชมุนี
    เมื่อกลับมาเมืองพัทลุงได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระรัตนมหาธาตุไว้บนเขาพะโคะ สูง 1 เส้น 5 วา มีระเบียงล้อมรอบพระเจดีย์

    ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้นฉลองพระเจดีย์นั้น ท่านอาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ พัทลุง องค์หนึ่งชื่อ สมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งคงจะเป็นชื่อที่ยกย่องเช่นเดียวกับสมเด็จเจ้าพะโคะ นำพุทธบริษัทไปในงานฉลองพระเจดีย์ทางเรือใบ แสดงอภินิหารวิ่งเรือใบเลยขึ้นไปถึงเขาพะโคะ ซึ่งไกลจากทะเลมาก ทำให้ประชาชนที่เห็นอภินิหารเคารพนับถือ และปัจจุบันสถานที่ตรงนั้นเรียกกันว่า "ที่จอดเรือท่านอาจารย์วัดเขาอ้อ"

    ต่อมา ท่านสมเด็จเจ้าพะโคะ ให้คนกวนข้าวเหนียวด้วยน้ำตาลโตนด ภาษาภาคใต้เรียกว่า เหนียวกวน ทำเป็นก้อนยาวประมาณ 2 ศอก โตเท่าขา ให้พระนำไปถวายสมเด็จเจ้าจอมทอง วัดเขาอ้อ ครั้นถึงเวลาฉันท่านสมเด็จเจ้าจอมทองสั่งให้แบ่งถวายพระทุกองค์ ศิษย์วัดตลอดถึงพระก็ไม่มีใครที่จะแบ่งได้ เอามีดมาฟันเท่าใดก็ไม่เข้า ทราบถึงสมเด็จเจ้าจอมทอง ท่านสั่งให้เอามาแล้วท่านจึงเอามือลูบ แล้วส่งให้ศิษย์ตัดแบ่งถวายพระอย่างข้าวเหนียวธรรมดา
    อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จเจ้าจอมทองให้พระนำแตงโมใบใหญ่ 2 ลูก ไปถวายสมเด็จเจ้าพะโคะ พอถึงเวลาฉันก็ไม่มีใครผ่าออก สมเด็จเจ้าพะโคะทราบเข้าก็หัวเราะชอบใจ พูดขึ้นว่า สหายเราคงแสดงฤทธิ์แก้มือเรา ท่านรับแตงโมแล้วผ่าด้วยมือของท่านเองออกเป็นชิ้นๆ ถวายพระ

    การแสดงอภินิหารของพระอาจารย์ครั้งโบราณเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ซึ่งมีมากอาจารย์ด้วยกัน ต่อจากนั้นพระอาจารย์วัดเขาอ้อทุกๆ องค์ ได้แสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ตลอดมา จึงเป็นที่เคารพนับถือของบุคคลทุกชั้น เจ้าเมืองพัทลุงทุกคนต้องไปเรียนวิชาความรู้ที่วัดเขาอ้อ

    กล่าวสำหรับเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ เท่าที่สืบค้นพบจนถึงปัจจุบัน มี 11 รูป ด้วยกัน ดังนี้

    1. พระอาจารย์ทอง

    2. พระอาจารย์สมเด็จเจ้าจอมทอง

    3. พระอาจารย์พรมทอง

    4. พระอาจารย์ไชยทอง

    5. พระอาจารย์ทองจันทร์

    6. พระอาจารย์ทองในถ้ำ

    7. พระอาจารย์ทองนอกถ้ำ

    8. พระอาจารย์สมภารทอง

    9. พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต

    10. พระอาจารย์ปาล ปาลธฺมโม

    11. พระครูอดุลธรรมกิตติ์ (กลั่น อคฺคธมฺโม)

    พระอาจารย์วัดเขาอ้อนั้นล้วนต่างมีวิชาความรู้ความสามารถมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งนี้เพราะต่างศึกษาวิชากันมาไม่ขาดระยะ ตำราและวิชาความรู้ที่เป็นหลัก คือ การศึกษาเวทมนตร์คาถาเป็นหลัก เรียนตั้งแต่ธาตุ 4 ธาตุ การตั้งธาตุ หนุนธาตุ แปลงธาตุ และตรวจธาตุ วิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด สอนให้รู้กำเนิดที่มาของเลขยันต์อักขระต่างๆ

    นอกเหนือจากการสอนวิชาความรู้ทางไสยเวทแล้ว ยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับรักษาโรคด้วยสมุนไพร

    มีเรื่องเล่าขานถึงปาฏิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์ในวิชาของอดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อมากมาย อย่างอดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อ สมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งนับว่ามีบุญญาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก นอกจากจะมีสานุศิษย์มากมายแล้ว สัตว์ป่านานาชนิดยังเข้ามาพึ่งพาอาศัยอยู่ในวัดเป็นจำนวนมาก และไม่มีผู้ใดเข้ามาทำร้ายทำอันตรายต่อสัตว์เหล่านั้น ด้วยต่างทราบกันว่า ท่านให้การปกปักรักษาเหล่าสัตว์เหล่านั้น ที่สำคัญคนละแวกวัดเขาอ้อล้วนทราบดีว่าท่านมีวาจาศักดิ์สิทธิ์
    ทว่าครั้งหนึ่งคนต่างถิ่นตามล่ากวางเผือกตัวหนึ่งของสมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งอาศัยอยู่ในวัดเขาอ้อ เป็นกวางที่เชื่องมาก โดยปกติแล้วกวางตัวนี้จะหายไปจากเขตวัดเพื่อหากินไกลๆ ครั้งละ 2-3 วัน แล้วจะกลับมาหมอบอยู่หน้ากุฏิท่าน ปฏิบัติอยู่เช่นนี้เป็นประจำ วันหนึ่งกวางเผือกตัวนี้ได้วิ่งเข้ามาหมอบอยู่หน้ากุฏิของท่านด้วยอาการแสดงความหวาดกลัวเหมือนหนีสัตว์ร้ายมา เผอิญสมเด็จเจ้าจอมทองนั่งอยู่หน้ากุฏิ และได้มองไปที่กวางด้วยอำนาจญาณสมาบัติอันสูงส่งของสมเด็จเจ้าจอมทอง จึงทราบได้ทันทีว่ากวางเผือกหนีอะไรมา ท่านจึงได้กล่าวกับพระภิกษุที่นั่งอยู่ในที่นั้นว่า "เจ้ากวางเผือกเกือบจะไปเป็นอาหารของเขาเสียแล้ว" ยังไม่ทันที่จะกล่าวสิ่งใดต่อพลันก็มีคนถือหอกวิ่งเข้ามาข้างหน้ากุฏิทำท่าง้างหอกในมือเตรียมจะทิ่มแทงกวางเผือกซึ่งหมอบอยู่ใกล้ๆ ท่าน สมเด็จเจ้าจอมทองจึงตวาดออกไปดังกังวานว่า "หยุดเดี๋ยวนี้เจ้ามนุษย์ไม่มีศีลมีธรรม จะฆ่าสัตว์แม้แต่ในเขตวัดไม่เว้น เคยเบียดเบียนแต่สัตว์ต่อนี้ไปสัตว์จะเบียดเบียนเจ้าบ้างล่ะ"

    ชายผู้ถือหอกถึงกับหยุดชะงักนิ่ง และเมื่อสิ้นคำพูดของสมเด็จเจ้าจอมทอง ชายผู้นั้นก็ร้องลั่นสลัดหอกในมือทิ้ง แล้วร้องขึ้นมาว่า "งู งู ฉันกลัวแล้วงู" เพราะเห็นหอกที่ตัวเองถือเป็นงู จากนั้นจึงวิ่งหนีออกจากวัดไปพร้อมส่งเสียงร้องลั่นด้วยความกลัวงู แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปทางไหนก็เห็นงูไล่ล่าเขาอยู่ตลอด ผู้ที่เล่าเรื่องนี้กล่าวว่า ชายผู้นี้ต้องวิ่งไปเรื่อยๆ หยุดนิ่งเมื่อใดจะเห็นงูไล่ล่าตัวเองอยู่ตลอด

    ยังมีกาเผือกอีก 2 ตัว ที่อาศัยเกาะต้นไม้อยู่หน้ากุฏิสมเด็จเจ้าจอมทองเป็นประจำ อาศัยกินข้าวก้นบาตรที่ท่านโปรยให้ทุกวัน สมเด็จเจ้าจอมทองเคยเอ่ยถึงกาทั้ง 2 ตัวนี้ว่า "เป็นสัตว์ที่ประเสริฐไม่กินเนื้อสัตว์หรือสิ่งมีชีวิต" มีพระลูกวัดเคยโยนเศษเนื้อสัตว์จากอาหารที่ญาติโยมใส่บาตรให้กาทั้ง 2 แต่ก็หาได้กินไม่ กลับเลือกกินแต่เฉพาะเม็ดข้าวสุกเท่านั้น

    อยู่มาวันหนึ่งกาเผือกทั้ง 2 บินลงมาเกาะใกล้ๆ กับที่สมเด็จเจ้าจอมทองนั่ง แล้วส่งเสียงร้องลั่นกุฏิอยู่เป็นเวลานาน สมเด็จเจ้าจอมทองก็นั่งนิ่งสงบฟังเสียงกาทั้ง 2 อย่างตั้งใจ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับพระภิกษุลูกวัดที่อยู่บนกุฏิท่านว่า "กาเผือกเขามาร่ำลา ถึงเวลาที่เขาจะต้องบินกลับไปในป่าแล้ว จะไม่กลับมาอีก เจ้ากาตัวเมียจะไปวางไข่อีกไม่นานเขาคงจะต้องตาย คงไม่ได้มาเขาอ้ออีก เขาจะมาเขาอ้ออีกก็คงชาติต่อไป เขาจะต้องมาแน่"

    ต่อเมื่อกาเผือกทั้ง 2 ได้รับศีลรับพรจากสมเด็จเจ้าจอมทองแล้ว ได้บินทักษิณารัตนะรอบกุฏิแล้วบินมุ่งเข้าป่าไป จากนั้นไม่มีใครพบเห็นกาเผือกทั้ง 2 อีกเลย

    กล่าวสำหรับอดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อที่พอสืบค้นประวัติได้บ้าง นับแต่สมัยพระครูสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (ทองเฒ่า) แต่จะเป็นเจ้าอาวาสเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานชาวบ้านนิยมเรียกท่านว่า "พ่อท่านเขาอ้อ"

    เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลังทางวิทยาคมไสยศาสตร์ และแพทย์แผนโบราณ จนเป็นที่เคารพนับถือยำเกรงของคนทั่วไป
    กล่าวว่าตรงศีรษะของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) มีเส้นผมสีขาวซึ่งไม่สามารถโกนหรือตัดขาดได้

    น่าเสียดายว่าอัตโนประวัติของพระครูสังฆสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) สืบค้นได้จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังจะพอจดจำกันได้บ้างว่า พื้นเพของท่านเป็นชาวบ้านสำนักกอ ตำบลปันแต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง บิดานั้นไม่ทราบชื่อ ส่วนมารดาชื่อ นางรอด ตัวของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) เป็นพี่คนโต และมีน้อง 2 คน เป็นชายและหญิง ครอบครัวมีอาชีพทำนา

    ในการอุปสมบทจะเป็นเมื่อใด ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ตลอดจนพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ หาทราบไม่ แต่มีเรื่องเล่ากันว่า ก่อนที่ท่านจะบวชได้ล้มป่วยมีอาการหนักมาก จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานบนบานศาลกล่าวว่า หากหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจะบวชเป็นการถวายแก้บน หลังจากนั้นไม่นานอาการป่วยไข้ก็ทุเลาเบาบาง และหายไปในที่สุดอย่างน่าอัศจรรย์

    ซึ่งต่อมาได้อุปสมบทตามที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ และได้ศึกษาวิชากับพระอาจารย์เอียดเหาะได้ วัดดอนศาลา ซึ่งเป็นศิษย์สายสำนักวัดเขาอ้อ เป็นที่กล่าวขานถึงวิชาพุทธาคมของพระอาจารย์เอียดเหาะได้ว่า เหตุที่ท่านมีสมญานามเช่นนั้นสืบเนื่องมาจาก ทุกวันพระ 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ พระอาจารย์เอียดเหาะได้ จะเหาะไปบำเพ็ญภาวนาในถ้ำที่วัดเขาอ้อเป็นประจำ ชาวบ้านหลายคนได้พบเห็นเป็นประจักษ์ต่อสายตา จึงได้ขนานนามท่านว่า "พระอาจารย์เอียดเหาะได้"

    กล่าวสำหรับพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) ได้ชื่อว่ามีตบะบารมีสูงส่งทีเดียว ถึงกับเคยตวาดคนทีเดียวจนเป็นบ้า และเป็นผู้ที่เข้มงวดกวดขันกับบรรดาลูกศิษย์เป็นอย่างยิ่ง หากพบเห็นว่าทำสิ่งใดไม่ถูกต้องก็จะตำหนิตักเตือน ทั้งนี้ก็ด้วยความปรารถนาดีที่อยากให้ศิษย์ของท่านได้ดีในวิชาความรู้

    ในส่วนของมารดาของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้บวชชีที่วัดเขาอ้อ โดยพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) ได้ปลูกกุฏิให้พำนักอยู่ใกล้ๆ กับกุฏิของท่าน เพื่อจะสะดวกในการปรนนิบัติตามหน้าที่ของบุตรผู้กตัญญูตราบจนสิ้นอายุขัย

    สมณศักดิ์ที่ "พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต" เจ้าคณะตำบลมะกอกเหนือ ได้รับพระราชทานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย

    พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2470 ขณะอายุได้ 78 ปี

    สิ่งหนึ่งที่เหลือไว้สำหรับให้รำลึกถึง คือ วัตถุมงคลที่พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ได้สร้างขึ้น นอกเหนือจากพิธีกรรมของสำนักวัดเขาอ้อ คือ พิธีอาบว่านแช่ยา พิธีหุงข้าวเหนียว พิธีป้อนน้ำมันงา ซึ่งในสมัยท่านเป็นพิธีกรรมที่เข้มขลังเป็นอย่างยิ่ง

    วัตถุมงคลที่สร้างมีหลายชนิดทั้ง มีดหมอ ตะกรุด ผ้ายันต์ ลูกไม้มงคล และพระปิดตาพระอาจารย์ทองเฒ่า

    พระปิดตาของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา ที่พบเห็นจะเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ และเนื้อตะกั่วผสมดีบุก

    หากเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ วรรณะของเนื้อโลหะออกสีน้ำตาลไหม้เข้ม หากเป็นเนื้อตะกั่วผสมดีบุก จะปรากฏคราบสนิมสีแดงเรื่อๆ
    ส่วนวัตถุมงคลของท่านผมยังไม่มีได้เก็บเลยครับ ไว้หาเก็บเข้ารังเมื่อไรจะนำมาลงนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...