ขอความรู้เกี่ยวกับ ณาน 16 ขั้น

ดีครับตรงนี้ ขอบคุณครับ


วิษณุ นี่คือเหตุผล ที่ทำไมผมจึงตำหนิคุณ และพวกของคุณว่า

ทางธรรมของคุณ อ่อนมาก คุณจึงไม่อาจหาญในธรรม เพราะว่า สติปัญญาคุณ จับหลักจับเกณฑ์อะไรไม่ได้เลย

... การตำหนิ จากผู้อื่น ผมเห็นว่า เป็น อาหารอันอร่อยที่เราจะได้ ชิม รสธรรม เป็นการ วัดผลได้ดีทีเดียว
.. หลักการของ ผม คือ ดู ที่ใจตัวเองเป็นสำคัญ


และที่สำคัญ คือ คุณไม่เคยตระหนักว่า ตนเองยังไม่รู้ คุณยังประมาท และใช้ชีวิตส่งเดช
.... การกล่าวจ้องเพ่งโทษตัวเองผมไม่ค่อยจะทำ มันทำให้จิตเศร้าหมอง แต่ผมชอบที่จะเตือนตัวเอง...ก็ดี เป็นมุมมองที่คนอื่น มองเรา

และ เข้ารวมหัวกับเพื่อนพ้อง เอาแต่สนุก

...การที่เราจะสรุป อะไร ก็ควร ศึกษากับเค้า ว่าจะเอาแต่สนุกไหม สิ่งที่มันหมุนอยู่ มันก็มีทั้ง ดี ไม่ดี มันถึงจะรวมเป็นวงได้สมบูรณ์ ... แล้วเราจึงจะอยู่และเข้าใจ ในสิ่งที่สมบูรณ์ได้


และ ที่สำคัญ พวกพ้องของคุณ ไม่มีใครเตือนกันเองเลย ในความประมาท ที่มีของแต่ละคน
....การมอง ว่า คนที่คุยกันดีเป็นพวกพ้อง ผมไม่เคยคิด
... คนที่เข้ามาศึกษาในธรรมะ เป็นพวกพ้องผมทั้งสิ้น ไม่ได้แบ่งแยก

ผมไปเตือนหลายครั้ง ตั้งแต่อยู่ห้องวิทยา

นายนิวรณ์ กลายเป็น หุ่นเชิดที่พวกคุณ ยกยอปอปั้น

เฮฮา กับ ขจรศักดิ์ และ สันโดษ และ เพิ่งจะมามีคุณ ร่วมด้วย ไม่นานมานี่เอง
.... ไม่ว่าเพื่อนสมาชิกคนไหนๆ ผมก็มีความปราถนาดีทั้งนั้น

ก็ผมเคยบอกแล้วว่า กระทำแบบนี้ มันจะโง่ลงไป มันจะถูกกิเลสกลืนไป ก็วันนี้ก็เห็นแล้วว่า

ใครเป็นอย่างไร คุณก้ยังจะประมาืท
...ตรงนี้ขอบคุณครับ

ตรงกันข้ามกับผม ยิ่งผมด่าพวกคุณเท่าไร ทางธรรมผมไปไหนต่อไหนแล้ว
... การที่มีคุณธรรมไปไหน ต่อไหนแล้ว ยังไปกล่าว ล่วงพระสงฆ์ ได้อีกหรือ คนที่มีคุณธรรม ควรไปได้รู้จัก ได้เห็นจริงกันก่อน ต่อหน้าต่อตา หรือหาก ไม่พอใจ ก็ควร ไม่ออกมาในสาธารณะ ผู้ที่มีคุณธรรมอันไปไหนต่อไหนแล้ว ควรเป็นอย่างนี้มั๊ย


เพราะผมถือว่า กุศลที่ผมมี มากกว่า อกุศล ที่ผมแสดงออกไป


ทบทวนด้วย... ขอบคุณครับประโยคนี้

 

คุณเอาตัวคุณให้รอดก่อน แล้วก็ศึกษาให้มาก ก่อนจะมาเถียงแทนคนอื่น
ว่า ผมไปพูดอย่างนั้นอย่างนี้ทำไม

ก็เห็นแล้วว่า คุณยังไม่เข้าใจธรรม แล้วคุณจะเอาเหตุผลมาเถียงแทนคนอื่น

ประเด็น คุณต้องรู้จักก่อนว่า คุณ เถียงเพราะคุณรู้สึก หรือ เถียงด้วยเหตุผลกันแน่

แล้วคุณค่อยมาเถียงกับผม

ถ้าไม่มีเหตุมีผล คุณจะเอาแต่ความรุ้สึก มันก็ไม่มีทางลงกันได้ มันก็เถียงไปเรื่อยๆ
ดังที่คุณเป็นตลอด ประเด็นเดิม คุณยังมองข้าม แล้วคุณก็ไปจับประเด็นใหม่ไปเรื่อยๆ

แล้วคุณก็พันตัวเอง

การลงให้ธรรม คือ การชนะความรุ้สึก แล้วพิจารณาตามเหตุผล เมื่อเหตุผลจริงข้อนี้ยอมรับยแล้วก็พิจารณาต่อไปว่า แล้วอันอื่นมันเป็นอย่างไร จึงเรียกว่า โอปนยิโก

แต่หากว่า ใช้ความรู้สึกตลอด คุณจะไม่มีวันเจอธรรม

 

ท่านเข้าใจว่า การทำสมาธิ ต้องนั่งอย่างนั้นเหรอ

วันๆนึง เรา ทำสมาธิได้ในชีวิตประจำวันหรือเปล่า

การนั่งสมาธิในรูปแบบ ก็เป็นการฝึกฝน เพื่อออกมาสู้ กับการ อยู่ในชีวิตประจำวัน ... โดยอาศัยในรูปแบบ เป็นเครื่องฝึกฝน เพื่อ สู้กับ สิ่งที่มากระทบทางอายตนะทั้ง 12 ในชีวิตประจำวัน

การกระทบทางอายตนะทั้ง12 จึงเป็นการวัดผล
และยังเป็นการฝึกฝนได้ดีเยี่ยม



เพื่อเป็นอุบายทำให้ ใจสงบไม่ปรุงแต่ง เพิ่มเติม จิตจะสงบตัวลง ควรค่าแก่การงานต่อไป... ด้วยประโยคนี้ จึงอยากให้ลองไปฟังใหม่ คนละเรื่องกับที่ท่านขันธ์เข้าใจ

 

ถ้าลำบากอย่าไปขี่มันเลย หารั้วกั้นไม่ให้มันเข้ามาดีกว่า
ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ที่ว่านั่นแหละ
เอาไว้ให้มีเบ๊นซ์เข้ามาแล้วค่อยขี่ดีกว่า
ดูให้เห็นชัดๆก่อนเเล้วกันนะ ว่าเป็นควายหรือเบ๊นซ์

 

ถ้ารู้ปรกติมันก็ไม่เฉย นอกจากเห็นโทษภัยได้ จึงจะรู้แล้วเฉย สำหรับผู้เข้าใจจะว่ารู้เฉยมันก็ได้ แต่ที่นี้ต้องถามว่า มันเฉยได้จริงไหม เฉยจากอะไร เฉยได้จากวิชชาเกิด เฉยได้จากกดข่มไว้

มันก็เป็นไปได้ที่ว่ารู้แล้วรู้ไม่จริงมันเฉย ๆ ที่เฉยก็เพราะไม่รู้จากของจริง รู้ยังไม่ถึงเหตุ รู้เห็นปลาย ๆ แล้วไม่ได้พิจารณาต่อ ไปตัดตอนไว้ว่าจะต้องเฉย เลยไม่ก้าวหน้า เพราะเป็นสภาวะไม่ทุกข์ ไม่สุข

ภาษาอธิบายธรรมรวบรัดได้สำหรับบางคน สำหรับอีกบางคนก็ควรขยาย พึ่งใช้ให้ควรกาล

ธรรมชาติมิอาจมีใครฝืนไปได้ ธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้น การกล่าวธรรม ถ้าครบองค์ มิเข้าข้างตัว ก็ไม่มีผู้มีสัมมาทิฐิสามารถคัดค้านได้ ^-^

 

ส่วนตัวผมว่าการนั่งสมาธิ เมื่อมีกำลังแล้ววิปัสสนาต่อในสมาธิ พิจารณารูปนาม สามารถทำได้ดี เห็นทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ ได้ดีกว่านอกรูปแบบนะครับ ^-^

 

อันนี้ ผมก้เข้าใจตามนั้น

แล้วเมื่อ อยู่ ในชีวิตประชำวัน ก็จะเป็น บท วัดผล

ในระหว่างการฝึกฝน จึง ทำได้ ทุกรูปแบบ

 

เจริญธรรม ^-^

 

ในที่นี้ใครเคยผิดศีลข้อที่๕ แบบสุดๆหรือไม่ครับ ถ้ามีก็จะแยกแยะออกได้ว่า แบบมีสติกับแบบไม่มีสติความแตกต่างนั้นเป็นยังไง คือ เวลาผมเมาด้วยฟทธิ์แอลกอฮอร์มากๆ พบว่าไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย คือ ทุกอายตนะ ถูกปลดปล่อยด้วยกิเลสอุปาทานที่สั่งสมมาทั้งหมด คือ ฟังจากเพื่อนที่เล่าให้ฟังนะครับ ผมเองจำไม่ได้หรอกครับ แต่ตรงนี้ผมเลยรู้ว่า ความมีสติสำคัญ เหลือเกิน สำหรับชีวิตคนเรา แต่ความมีสมาธินั้นต้องค่อยๆฝึกไปตามแบบที่เป็นเรื่องสั่งสอนกันมา ก็มีทั้งในชีวิตประจำวันและเวลาปฏิบัติธรรม แต่สิ่ที่น่าจะมีก่อนอันดับแรกคือ สติ นะครับผมว่า
ปล เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้วครับไม่ใช่ตอนนี้ครับ เดี้ยวหาว่าเมาแล้วทำสมาธิได้อีก ครับ (เป็นความชั่วส่วนบุคคลห้ามลอกเรียนแบบนะจ๊ะ โดยเฉพาะเด็กๆ ไม่ดีหรอกครับ สุราเมรย มชฺชปมา ทฏฺฐานา เวระมะณี สิกขา ปะทังสัมมาทิยามิ)

 

ก้แปลกดีนะ ทั้งนานา ทั้ง นิวร ต่างก้แสดงทั้งความหยาบ และแสดงความ โง่ ออกมาตั้งเยอะแต่กลับไม่มองตัวเองเลยสักครั้งมองว่าคนอื่นเป็นอย่างนั้นอบ่างนี้ คิดไปได้ว่าคุนนิวรเนี่ยนะมาแสดงธรรมขัดผม กำ ผมไม่ได้อยากแสดงธรรมอะไรให้ใครฟังเลยเพราะรู้ว่าพวกที่ยัง โง่ ไม่อาจรับฟังได้ ผมเลือกที่จะสนทนาด้วยๆซ้ำเวลาจะคุยธรรม
เอาล่ะนะพวกหยาบๆคงต้องใช้ภาษาระดับเดียวกัน จึงจะพอเข้าใจ

นานายัง โง่ อยู่อย่าเที่ยวมาทำตัว ปัญญาอ่อน ที่ กล่าวมาว่าคนอื่นเค้า อันนี่นานาพูดเองนะปัญญาอ่อนในธรรม
และคุนนิวรไม่รู้ตัวก้อย่าคิดว่าใครเค้าจะไปคิดเหมือนคุน ที่คุนกล่าวว่าเพราะคุนมาขัดผมปล่าวเลย ความไม่รุ้ธรรมของคุนผมเห็นตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว และก้เคยค้านหลายครั้งก่อนเราจะเคยสนทนาในห้องแชท และที่ไม่ชอบพูดในห้องแชทเพราะคุนมีความปกติในการสนทนา ไร้สาระ ก้ควรจะพูดแค่สิ่งไร้สาระ ที่มีสาระที่เกินปัญญาคุนไปก้ไม่อยากจะแสดง
และจงรู้ไว้วัดไม่ได้มีวัดเดียว และพระก้ไม่ได้มีองเดียว ความดัของพระและวัดคุนอย่าไปดึงมาอ้างให้แปดเปื้อนเอาความดีในตัวมาแสดงอย่าไปเอาวัดเอาพระมาอ้าง น่าสมเพส

คงต้องเพิ่มอีก โง่ ก้คือยังไม่รุ้ ยังไม่มีปัญญาคำนี้พระท่านก้ใช้นะ เวลาสั่งสอนพวกยังไม่รู้ธรรมท่านก้บอกว่าพวก โง่

 

เวลาอ่านต้องใช้วิจารณยาน เพราะพูดเฉพาะตัวบุคคล แต่ละบุคคลเหมาะแก่การปติบัติที่แตกต่างกัน ผู้ที่อ่านท่าแยกแยะเป็น ก้อย่าได้เอาไปใส่ใจเพราะมันไม่เกิดประโยนช์ ที่มากล่าวเพราะความหลง ของคนบางคนที่คิดไปว่าเพราะตัวเองดีตัวเองเก่งแล้วคนอื่นมาอิจฉา และอีกคนที่ไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรเพราะไม่เคยรู้ธรรมอะไรแต่อยาก.. ยุ่ง ก้เที่ยว..
ผู้อื่นไปทั่วแสดงความเป็น...เด็ก ที่น่าระอาย ว่าไม่มีความคิด คนอื่นบางคนแค่คิดไม่ดีนะ
แต่ คนที่แสดงความไม่ดีออกมาเลยนี่ต้องพิจารนาบ้าง

ท่าดูจิตดูใจเป็นจริงแค่นี้มันไม่กระทบหรอกนะ อย่า ปัญญาอ่อน ใช้ภาษาของเทอเองนะไม่เคยปรุงเพิ่ม จะเพิ่มก้ โง่ คำเดียว

ความเก่งไม่ได้อยู่ที่ปริญญาบัตรหรือระดับไอคิวอีคิว และอย่าคิดว่าเรื่องโลกๆแบบนั้นคนอื่นจะไม่มีที่เหนือกว่าแต่มันไม่เคยสำคันเพราะปัญญาในธรรมนั้นสูงกว่าเรื่องพวกนี้นักเรื่องพวกนี้ยังยึดจาเอาอะไรมาพูด ที่ทำอยู่มันไม่ได้ผิดแต่มันเด้กอมมือเพิ่งเริ่มต้น ก้มองคนอื่นว่าไม่มีแล้วไม่มีใครจะดีแล้วมีแต่ที่แย่ที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวไปหมดแบบนี้ใช้ไม่ได้ เอากะลาที่ครอบอยู่ออก แล้วไป หลายๆๆที่บ้าง

 

555 กระทู้นี้ร้อนแรงดีจัง ยิ้มกริ้ม...ม...ม

 

เอ้าน๊า เขาเรียก หยิก แกมล้อเล่นมั้ง เอิ๊กๆๆ

นี่หล่ะ เขาเรียก พลังจิต เป็นพลังจิกล่ะ ^__^

 

แหม่ พูดถูกใจจริงๆ วันนี้

 

อนุโมทนา..................

 

เชื่อเขาเลย...จอมยุด พลังจิก กิเลส...ทั้งน้าน
ตะละท่าน... สุดยอดวิดยายุดทั้งนั้น เผลอสติทีไรก็เสร็จเขา ทุ๊กที..

แต่มีบางคนมั้ง หล่อคงทน ไม่ยอมเผลอมั่งเลย...เซ้งเซงคนหน้านี้อะ..

 

รู้ขนาดว่า คนละเรื่องกับที่ผมเข้าใจ ก็แสดงว่า คุณเข้าใจลึุกซึ้งมากกว่า

คุณวิษณุ หากว่า คุณตอบคำถามคนอื่นไม่ได้ คุณอย่าไปเหมาว่า คนอื่นรู้ไม่เท่าตน

แต่คุณต้องคิดว่า เราต่างหากที่รู้ไม่เท่าคนอื่น

เพราะหากว่า เรารู้มากกว่าคนอื่นแล้ว เราจะต้องตอบคนอื่นได้

 

เพื่อเป็นอุบายทำให้ ใจสงบไม่ปรุงแต่ง เพิ่มเติม จิตจะสงบตัวลง ควรค่าแก่การงานต่อไป
... ด้วยประโยคนี้
ท่านขันธ์ เข้าใจว่าอย่างไรล่ะครับ

 

คุณ วิษณุ คุณต้องไม่ถามคำนี้ คุณต้องย้อนกลับไปประเด็นที่คุณ คิดจะโต้แย้ง
ไม่ใช่ถามว่า ผมเข้าใจอย่างไร เพราะเรื่องเข้าใจนี้ คุณลืมไปได้เลย เพราะผมพูดธรรมให้คนฟังมามากแล้ว เกินกว่าจะใช้คำว่า เข้าใจหรือไม่เข้าใจกับ คำว่าอุบายธรรมนี้แล้ว

คุณต้องยกธรรมของคุณมา ไม่ใช่ ธรรมของหลวงพ่อพุธ

ผมจะตั้งคำถามคือ อะไรคือ แก่นที่คุณปฏิบัติ ซึ่งคุณเคยบอกว่า คุณไปฝึกกับ พระปราโมทย์มา ให้ดูเฉยๆ ตรงคำว่า ดูเฉยๆ นี้แหละ ที่เป็นประเด็นกันมายาวนาน

พอบอกว่า สมถะ คนแนวนี้ก็บอกว่า ไม่ใช่ พอบอกว่า วิปัสสนา เขาก็เถียงไม่ออกว่า วิปัสสนาอย่างไร เพราะว่า มันดูเฉยๆ
แล้วเขาก็บอกว่า นั่นแหละ สมถะและวิปัสสนาในตัว

ก็บอกว่า มันจะวิปัสสนาและสมถะในตัวได้อย่างไร ในเมื่อ คนฝึกเขายังไม่เคยมีใจที่สงบเลย

ตรงนี้ คือความดิ้นได้ของทิฎฐิ ไม่ใช่ความรวบยอดแห่งธรรม

 

โอเค......