เจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ ต้องไปคู่กัน จะเกินกว่ากันมิได้ ท่านเห็นเป็นเช่นไร

อาการที่พระอาจารย์ดาบททั้งสองของพระพุทธเจ้า ฉิบหายจากมรรคผลนิพพาน

สำเร็จอรหันต์
นิพาน คนมีความเห็น 2ส่วน คือ
1. สำคัญตัวว่าสำเร็จอรหันต์ เวลา นิพาน คือ ไปอยู่ที่ ที่นึง
หมายความว่า จิต ยังไม่ตายเป็นนิพพานพรหมไม่นับรวมเพราะพระอาจารย์ของพระพุทธเจ้า ยังดับนิมิตไม่ได้ ว่างจริงแต่ยังมีจิตคือรูปนามยังไม่ดับ จึงต้องไปเกิดเป็นอรูปพรหม ซึ่งมีอายุยาวนานมากส่งผลให้ ดาบสทั้งสองพาดโอกาศที่จะได้พบได้เห็นทันการอุบัติของพระพุทธเจ้า
2. สำเร็จอรหันต์จบกิจ เวลาขันธ์นิพพาน คือดับสลายหมดทุกสิ่งทุกอย่างจิตตายเป็นนิพพานของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพผู้จบพระไตรปิฏกทั้งภายในและภายนอก

 

พรหมลูกฝัก คือ รูปพรหมชนิดหนึ่ง เริ่มโดยการทำรูปฌาณ เพ่ง ธาตุ4 พอเพ่งจนได้
ฌาณ4 แล้ว ก็ถอยมาที่ฌาณ 3 เพื่อพิจารณาส่วนนาม แล้วเผิกถอนส่วนนามออก
ทั้งหมด ทำให้เหลือขันธ์เดียว คือ รูปขันธ์

และที่มีบรรยายว่า เป็น อรูปพรหม เพราะตอนเผิกส่วนนามขันธ์นั้น ระหว่างนั้นคือการ
ผลัดเข้าไปทำอรูปฌาณ จึงเผิกนามออกได้

 

พี่วิมุตติ บอกว่า ตัวเองทำรูปฌาณอยู่ พี่ทำกสิณกองไหนอยู่เหรอ ?

 

เรื่องตัวเลขกำกับหลังคำว่า ฌาณ นั้น ต้องศึกษาให้ดีว่า กำลังพูดถึง ประเภท หรือ ลำดับ

ถ้าพูดถึงลำดับ ฌาณ ในการปฏิบัติ จะมีแค่ 5

แต่ถ้าแบ่งประเภทกันตามลักษณะ ก็จะมี 8 บ้าง 9 บ้าง

 

ลำดับ ฌาณที่ทำวิปัสสนาได้ จะอยู่ที่ ฌาณ3 ถ้า สูงกว่านั้นจะเหลือแต่ จิตดวงเดียว
จะทำอะไรไม่ได้อีก ฌาณ4 และ 5 จึงต้องรอให้หมดเวลาของวิบาก บางครั้งก็เรียก
ว่า หมดการอธิษฐาน จึงได้ออกมา

 

พี่นิวรณ์มาแล้วหรอ อิอิ
เมื่อกี้เพิ่งจุดธูปเรียก(แอบเหน็บนิดหน่อย)
ผมเดินอานาปานสติครับ

ในรูปแบบ เจริญสติที่ฐานกาย ตามแบบฉบับหลวงพ่อเทียน และเดินจงกรมตามแบบฉบับหลวงปู่มั่น
ส่วนสมาธิ เน้นแนวอาจารย์พุทธทาสภิกขุครับ
เมื่อจิตมีสมาธิพอสมควร จึงยกวิปัสสนาโดยหยิบรูปนามที่เห็นได้มาพิจารณา ตามแต่เหมาะสมครับ

นอกรูปแบบ เจริญสติดูจิตเป็นหลัก ตามแบบหลวงพ่อปราโมทย์(สายหลวงปู่ดูลย์)ครับ

มีอะไรที่จะแนะนำเพิ่มเติมไหมครับ ยินดีรับฟัง อิอิ

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 8 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>วิษณุ12, วิมุตติ, jinny95, sriaraya5, to2504, กุญแจไขปริศนา</TD></TR></TBODY></TABLE>
สวัสดีครับ ทานข้าวกันหรือยัง

 

พระท่านไม่ผิดหรอก เพียงแต่ท่านต้องการให้ลูกศิษย์ของท่าน รู้แจ้งเห็นจริงเองเท่านั้น แม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านก็เพียงได้แต่ชี้จุดเดียว สาวกของท่านก็บรรลุมรรคผลแล้ว นี่ก็เป็นแค่เพียงวิธีเท่านั้น แต่ปัญญาของใครจะแจ้งก่อนกันเท่านั้นเอง
...แนะนำ ...ตัวสีแดงๆนี่ น่ากลัวครับ

 

ทำหลายอย่างดี แต่ที่บอกว่า ฉบับหลวงพ่อเทียนคือรูปฌาณ ก็แปลว่าเข้าใจไม่
ตรงแนวพระสอนเท่าไหร่ ไปเรียนเอาตามลูกศิษย์ชั้นหลังๆ

เดินจงกรมของหลวงปู่มั่น ก็เป็นเรื่องฝึกดู เวทนาบรรพ ถ้าเข้าใจผิดก็จะเหมือน
เข้าใจไปในทางเดียวกับ ที่คิดว่าเข้าใจแนวหลวงพ่อเทียน คือ เอาจิตไปแนบกาย
แนบเวทนา เป็นพวกเดินมีลีลา

ส่วนที่ฝึกอานาปานสติจะตามท่านพุทธทาส หรือ วัดชลประธาน ก็ว่ากันไป โดย
หลักๆก็เป็นรูปฌาณ ถ้าผลิกออกไปวิปัสสนาไม่ได้

ส่วนที่ว่า นอกรูปแบบฝึกดูจิต คิดว่าไม่ใช่ทั้งรูปฌาณ และอรูปฌาณก็เข้าใจผิดอีก
เพราะมันผลิกไปได้ทั้งคู่หากฝึกถูกต้อง

 

โลกหลากสี

จนกว่าปริศนาจะถูกเฉลยและปัญญาจะเกิดผมคงต้องอยู่บนโลกนี้ต่อไปอ่ะครับ
ยังไม่ได้ทาน

 

ตามหลักวิชา ผมไม่ทราบนะครับ เพราะไม่เคยศึกษาปริยัติด้านนี้มากนัก
ผมว่า ตามที่คุณนิวรณ์กล่าวไว้ น่าจะเป็นไปตามหลักวิชาดีแล้ว

ถ้าถามความเห็นส่วนตัว
ผมเห็นว่า พรหมลูกฟัก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นอรูปพรหมมากกว่า เพราะฟังเหมือนการเข้าไปติดอารมณ์ที่เป็นอรูปบางอย่าง ซึ่งไม่อาจทำให้เจริญวิปัสสนาได้ เป็นผลแห่งความเนิ่นช้า
ในส่วนอรูปหรหม น่าจะมีเพียงนามขันธ์ทั้ง4 เพราะหาสิ่งที่เป็นรูปให้เห็นมิได้ ซึ่งสังเกตุได้จากอารมณ์กรรมฐานที่มี อากาศ วิญญาณ ความว่าง และสัญญาก็ไม่ใช่ อสัญญาก็ไม่ใช่
จะเห็นได้ว่า ไม่มีรูปอยู่เลย...

ส่วนฌาณ4 น่าจะมีขันธ์ครบทั้ง5อยู่ รูปย่อมมีแน่นอน เพราะเป็นรูปฌาณ ต้องมีรูปเป็นอารมณ์ของสมาธิ และส่วนที่เป็นนาม ก็ย่อมต้องมี ในการรับรู้รูปเหล่านั้น หาไม่แล้ว ถ้ามีแต่รูปขันธ์อย่างเดียว มันจะไปต่างอะไรกับก้อนหินท่อนไม้เล่า จริงไหมครับ

ขอเน้นอีกครั้งว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ผิดถูกอย่างไรไม่รู้นะ ไม่ได้อยู่ในความสนใจนัก...

 

มื้อเที่ยงรับศรัทธา
จากคุณน้า น้าซื้อไส้กรอกหมูมาฝากอรอยอร่อย

 

ในส่วนของอรูปพรหม ไม่มีรูปค่ะ มีขันธ์ 4 ขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน.....ความคิดเห็น อรูปพรหม เรียกได้ว่า ไม่มีรูปก็ไม่ใช่ มีรูปก็ไม่ใช่ เรียกได้ว่า เป็นรูปที่ละเอียด

 

อรหันต์ มรรค นี่แหล่ะ...พรหมลูกฟัก ทั้งหมด....มันคือ เรื่องโลกุตระจิต โลกุตระธรรม ทั้งหมด
.............ยังไงยังไงอยู่น๊า

 

ที่บอกว่าไม่มีรูป เพราะไม่สนใจมัน มันมีแต่เราไม่สนใจ จะเหมือนร่างกายหายไปค่ะ มันละเอียดนั่นแหล่ะค่ะ

 

จริง ๆ ถึงขั้นอรูปฌาน จะละเอียดมาก ๆ

 

ท่านนิวรณ์นี่ตีความหาเรื่องจริงๆ
ท่านอ่านภาษาไทยไม่ออกหรืออย่างไร อย่าเอาอคติเก่าๆมาพูดสิครับ

ผมไม่ได้บอกว่าแบบหลวงพ่อเทียนเป็นรูปฌาณสักหน่อย วิธีนี้เป็นการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานโดยตรง สมาธิจะเป็นฌาณหรือไม่ มันไม่ใช่ประเด็น เพราะเน้นไปที่วิปัสสนา คือตามรู้รูป

เดินจงกรมแบบหลวงปู่มั่น ผมก็ไม่ได้เน้นว่าดูอะไร กาย เวทนา จิต ธรรม ก็ดูได้หมด จะได้ฌาณหรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็น เป็นการสลับอิริยาบทจากนั่งเป็นเดินบ้าง

ส่วนอานาปานสติ ก็ได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ตามปัญญาของผู้ฝึก

ส่วนการดูจิต มันผลิกได้อย่างที่ท่านว่านั่นแหล่ะ ผมก็เข้าใจแบบนั้น ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นรูปฌาณหรืออรูปฌาณสักหน่อย

ท่านนิวรณ์ทำไมถึงตีความผิดเพี้ยนแบบนั้นไปได้ล่ะ นี่จะคุยกันไม่รู้เรื่องแบบธรรมภูตอีกคนแล้วหรือ...

 

พรหมลูกฝัก เกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง เช่น

กรรมฐานดูท้องพองยุบ หากเพ่งเข้าไปที่ท้อง ไม่ได้ดูแค่รูปท้องพอง รูปท้องยุบ แต่เอาจิต
ไปแนบกับเนื้อ(ธาตุ)ก็ติดรูปฌาณ ก็แข็งเป็นหินได้

การเดินจงกรม หากเพ่งไปที่เท้า ไม่ได้ดูรูปยกย่าง แต่เอาจิตไปแนบกับเนื้อ(ธาตุ)ก็ติดรูป
ฌาณ ก็แข็งเป็นหินได้

การขยับมือกี่จังหวะก็แล้วแต่ หากเอาจิตเพ่งไปที่มือ แทนการดูรูปมือที่ขยับ แต่เอาจิตไป
แนบกับเนื้อ(ธาตุ)ก็ติดรูปฌาณ ก็แข็งเป็นหินได้

การทำอานาปานสติ หากเพ่งไปที่ลม หรือไอร้อน หรือความแข็งกระด้างที่กระทบ หรือรับ
รู้อาการไหวๆไหลๆ ไม่ได้ดูรูปหายใจเข้า หายใจออก แต่เอาจิตไปแนบกับเนื้อ(ธาตุ)ก็ติด
รูปฌาณ ก็แข็งเป็นหินได้

หากดูจิต ตอนที่พิจารณากายนี้ไม่ใช่เรา แล้วเอาจิตไปเพ่งกายทั้งกายว่าไม่ใช่เรา แทนที่
จะดูกายเราทำงานแบบห่างๆ ก็ติดรูปฌาณ ก็แข็งเป็นหินได้

 

ปล่อยปลา

 

เก่งจริงนะพ่อคุณ อิอิ แง้วแง้ว