ปิดรับบริจาค รวมบันทึกการเดินทางตามรอยพระอาจารย์ ณ บึงลับแล ๒๕๕๒/ร่วมบุญใหญ่หน้า ๑๐๘

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย ญ.ผู้หญิง, 18 ธันวาคม 2008.

  1. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    <table class="alt1" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="middle">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
    ภาพถ่ายหมู่ชาวคณะหน้าบึงลับแล (น้ำทิพย์) ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒


    สารบัญทริป

    (i) ทริปธรรมทัศนาจร (๑)
    ตามรอยพระอาจารย์ ณ บึงลับแล ร่วมบุญวันมาฆบูชาวัดท่าขนุน ,พุร้อนหินดาด ,ถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล, ด่านเจดีย์สามองค์ ,วัดวังก์วิเวการาม อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี วันที่ ๗-๙ ก.พ. ๕๒ รวม ๓ วัน ๒ คืน หน้า ๑ คคห.๒
    - ชมภาพและอ่านบันทึกการเดินทาง หน้า ๑๔ คคห.๒๗๙


    (i) ทริปธรรมทัศนาจร (๒)
    ผ้าป่าสามัคคีปรียนันท์ธรรมสถาน ,วัดบางนมโค ,วัดท่าซุง วันที่ ๒๒ ก.พ. ๕๒ หน้า ๒๒ คคห.๔๒๖
    - ชมภาพและอ่านบันทึกการเดินทาง หน้า ๓๗ คคห.๗๒๘


    (i) ทริปธรรมทัศนาจร (๓)
    นมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง (เขาคิชฌกูฏ) , ตามรอยพระพุทธบาทภาคตะวันออก จ.ชลบุรี - จ.จันทบุรีี วันที่ ๑๔-๑๕ มี.ค. ๕๒
    หน้า ๔๑ คคห.๘๐๒
    - ชมภาพและอ่านบันทึกการเดินทาง หน้า ๕๗ คคห.๙๓๗
    <label for="rb_iconid_27"></label>

    (i) ทริปเล็กกับบุญใหญ่ (๑)
    ถวายพระบรมสาริริกธาตุ พระอรหันธาตุ กับกลุ่มบัวผลิหน่อ วัดจรูญศรีสว่างใจ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี วันที่ ๒๒ มี.ค. ๕๒
    - ชมภาพและอ่านบันทึกการเดินทาง หน้า ๖๑ คคห.๑๒๑๙


    (i) ทริปธรรมทัศนาจร (๔)
    งานเป่ายันต์เกราะเพชรวัดท่าขนุน ,ย้อนรอยสงคราม ๙ ทัพ ,วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี วันที่ ๒๗ มิ.ย. ๕๒ หน้า ๗๑ คคห.๑๔๑๗
    - ชมภาพและอ่านบันทึกการเดินทาง หน้า ๗๖ คคห.๑๕๑๑


    (i) ทริปธรรมทัศนาจร (๕)
    ย้อนรอยเมืองปากน้ำโพ ร่วมสักการะรอยพระพุทธฉาย ,รอยพระพุทธบาทสระบุรี ,กราบนมัสการหลวงตาวัชรชัยวัดเขาวง ,อุทยานแห่งชาติถ้ำเพชร-ถ้ำทอง ,กราบสรีระพระิอริยสงฆ์แห่งลุ่มน้ำโพ วันที่ ๘-๙ ส.ค. ๕๒ (๒ วัน ๑ คืน) หน้า ๗๗ คคห.๑๕๒๖
    - ชมภาพและ่อ่านบันทึกการเดินทาง หน้า ๘๔ คคห.๑๖๖๙


    (i) ทริปเล็กกับบุญใหญ่ (๒)
    ร่วมบุญวันแม่ิแห่งชาติเกาะพระฤาษี อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี วันที่ ๑๒ ส.ค.๕๒ หน้า ๘๐ คคห.๑๕๘๔
    - ชมภาพและอ่านบันทึกการเดินทาง หน้า ๘๖ คคห.๑๗๐๗ ,หน้า ๘๙ คคห.๑๗๖๗


    (i) ทริปธรรมทัศนาจร (๖)
    ย้อนรอยเมืองปากน้ำโพกราบพระอริยสงฆ์ (๒) ,กราบหลวงตาวัชรชัยวัดเขาวง ,ร่วมทาสีองค์พระแห่งถ้ำพระเขาชอนเดื่อ (อุทยานถ้ำเพชร-ถ้ำทอง) จ.สระบุรี ,จ.นครสวรรค์ วันที่ ๕-๖ ก.ย. ๕๒ (๒ วัน ๑ คืน) หน้า ๘๙ คคห.๑๗๖๙
    - ชมภาพและอ่านบันทึกการเดินทาง หน้า ๙๑ คคห.๑๘๑๗



    (i) ทริปเล็กกับบุญใหญ่ (๓)
    งานออกนิโรธกรรมครูบาวิฑูรย์ วัดไชยมงคล (วังมุย) อ.เมือง จ.ลำพูน วันที่ ๒๕-๒๗ ก.ย. ๕๒ (๓ วัน ๒ คืน)* ออกเดินทางคืนวันศุกร์ หน้า ๘๙ คคห.๑๗๗๐ และอ่านรายละเอียดเิ่พิ่มเติมได้ที่ Link
    ขอเชิญร่วมทริปธรรม ๕ บุญใหญ่กับชาวคณะบึงลับแล /บุญ ๒ งานออกนิโรธครูบาวิฑูรย์ ๒๕-๒๗ ก.ย


    (i) ทริปธรรมทัศนาจร (๗)
    ครูบาวิฑูรย์แห่งวัดไชยมงคล (วังมุย) กับชาวคณะร่วมตามรอยพระพุทธบาทลำนารายณ์ ,รอยพระพุทธบาทมาบไผ่ จ.จันทบุรี วันที่ ๑๐-๑๑ ต.ค. ๕๒ (๒ วัน ๑ คืน)* อ่านรายละเอียดได้ที่ Link
    วัดท่าขนุนมีโครงการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ๓๐ องค์ - PaLungJit.com
    <label for="rb_iconid_31"></label>

    <label for="rb_iconid_31">[​IMG] </label>สร้างห้องน้ำ , ห้องสุขาถวายวัด (เต็มแล้ว)
    สถานที่ วัดเนินอีแจน ต.ไม้เค็ด อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี รายละเอียดอยู่ที่ Link ด้านล่าง
    ร่วมสร้างสุขา ห้องน้ำวัดเนินอีแจน - PaLungJit.com

    <label for="rb_iconid_31"></label>
    <label for="rb_iconid_31">[​IMG] </label>ร่วมบุญป้ายบูชารอยพระพุทธบาท-รอยพระปัจเจกพุทธเจ้า กลางเรือพระราชพรหมยานนิพพานนาวา วัดเขาแร่-สุโขทัย (เต็มแล้ว)
    สถานที่ วัดเขาแร่ จ.สุโขทัย รายละเอียดอยู่ที่ Link ด้านล่าง
    ร่วมโมทนาบุญสร้างป้ายทองบูชารอยพระพุทธบาท-พระปัจเจกพุทธเจ้า วัดเขาแร่-สุโขทัย(เสร็จแล้


    <label for="rb_iconid_31">[​IMG] </label>ขอเชิญร่วมบุญสร้างวิหารบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันต์ธาตุ ณ วัดเขาพระครับ
    สถานที่ วัดเขาพระ ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี รายละเอียดอยู่ที่ Link ด้านล่าง


    <label for="rb_iconid_31">[​IMG] </label>เชิญร่วมบุญหล่อพระพุทธรูป ประดิษฐานประจำวิหารบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    สถานที่ วัดเขาพระ ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี รายละเอียดอยู่ที่ Link ด้านล่าง


    <label for="rb_iconid_31">[​IMG] </label>ขอเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพระผงพระโพธิสัตว์กวนอิม
    สถานที่ รายละเอียดอยู่ที่ Link ด้านล่าง


    หมายเหตุ
    กัลยาณมิตรท่านใดที่สดวกทำบุญในรูปแบบไหน ขอเรียนเชิญร่วมทำบุญได้ตามกำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังศรัทธาและขออนุโมทนาบุญร่วมกัน

    สำหรับการร่วมทำบุญที่เป็นไปในลักษณะของทริปธรรมทัศนาจร* ถ้าไม่สดวกในการโพสลงกระทู้ขอให้ส่ง PM หรือโทรติดต่อเข้ามาได้ที่เบอร์โทรศัพท์์ ๐๘๑-๗๓๕๙๒๖๑ (หญิง) เพื่อที่จะได้ทราบจำนวนผู้ร่วมเดินทางและจัดเตรียมพาหนะที่ใช้ในการเดินทางได้ถูก



    ขออนุโมทนากับกัลยาณมิตรทุกท่าน ทุกผู้ ทุกนาม กับอานิสงส์ผลบุญที่ได้ร่วมทำในครั้งนี้ค่ะ
    <label for="rb_iconid_31">[​IMG] </label>



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2010
  2. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ทริปธรรมทัศนาจร (๑) ตามรอยพระอาจารย์ ณ บึงลับแล

    [​IMG]
    บึงลับแล (น้ำทิพย์)

    *** มีทริปมาแจ้งล่วงหน้าสำหรับคนที่ชื่นชอบการเดินทางทำบุญในแนวนี้ คือหญิงกับคณะฯ มีโครงการจะไปร่วมเดินตามรอยพระอาจารย์กันที่บึงลับแลหรือชื่อที่รู้จักกันในปัจจุบันคือ บึงน้ำทิพย์ เป็นสถานที่ๆ อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติทองผาภูม(ผลต่อเนื่องมาจากทริป ๑๐ ธค.๕๑) โดยมีหมายกำหนดการ ที่แจ้งให้ทราบดังนี้

    ทริปร่วมบุญวัน มาฆบูชาวัดท่าขนุน,ตามรอยพระอาจารย์ ณ.บึงลับแล , น้ำตกผาตาด-พุร้อนหินดาด ,ถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล, ถ้ำหยกเขียว ,ถ้ำฤาษี , วัดวังก์วิเวการาม, เมืองบาดาล อ.ทองผาภูมิ- อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
    วันที่ ๗ - ๙ กพ.๒๕๕๒ รวม ๓ วัน ๒ คืน


    กำหนดการเดินทาง โดยรถตู้ปรับอากาศ TOYOTA COMMUTER
    จำนวน ๒ คัน (๓๐ ที่นั่ง)

    วันแรก เสาร์์ที่ ๗ กพ.๕๒ (วัดท่าขนุน ,บึงลับแล อ.ทองผาภูมิ)
    ๐๑.๓๐ น. จุดนัดพบปั๊มน้ำมัน ปตท.สนามเป้า
    ๐๒.๐๐ น. ล้อหมุน
    ๐๖.๐๐ น. เดินทางถึงวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ ทำธุระส่วนตัว
    - กราบพระอาจารย์ ถวายธงสามเหลี่ยม , เสาธง ,ผ้าไตร
    - ถวายอาหารเช้า รับศีลรับพรและร่วมทานอาหารที่วัด
    - เดินทางต่อไปบึงลับแล ไปถวายเพลและพักทานอาหารกลางวันที่บึงฯ พักผ่อนตามอัธยาสัยก่อนเดินทางกลับ
    ๑๗.๐๐ น. เดินทางกลับถึงวัดท่าขนุน รับฟังธรรมจากพระอาจารย์ (ถ้าท่านเมตตาและพวกเรายังมีแรงเหลือ ไม่สลบกันเพราะความเหนื่อยเสียก่อน)
    - เดินทางเข้าที่พักเอื้อมเดือนรีสอร์ท (บ้านพี่ยายผีป่า)
    พักผ่อนอาบน้ำร้อนที่น้ำพุร้อนหินดาด , ทานอาหารเย็นและร่วมสนุกกับกิจกรรมรอบกองไฟ
    - ปฎิบัติธรรมร่วมกัน


    วันที่สอง อาทิตย์ี่ ๘ กพ.๕๒ (ถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล , ถ้ำหยกเขียว , ถ้ำฤาษี วัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี)
    ๐๕.๐๐ น. ตื่นทำธุระส่วนตัว
    ๐๗.๐๐ น. ทานอาหารเช้าที่ตลาดทองผาภูมิ และออกเดินทางไป อ.สังขละบุรี
    - ชมความงามของถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล , ถ้ำหยกเขียว ,ถ้ำฤาษี
    - เสร็จจากถ้ำ แวะทานอาหารกลางวันก่อนเดินทางต่อไปวัดวังก์วิเวการาม
    -
    กราบสังขารหลวงพ่ออุตตะมะ
    - สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด เช่น พระพุทธรูปหยก , เจดีย์พุทธคยา ฯลฯ
    - นั่งเรือชมความงามของเมืองบาดาล , สะพานไม้ , ตลาดมอญ
    ๑๙.๐๐ น. ทานอาหารเย็นที่ตลาดทองผาภูมิ
    - เดินทางกลับที่พัก พักผ่อนอาบน้ำร้อนที่น้ำพุร้อนหินดาดตามอัธยาศัย
    - ปฎิบัติธรรมร่วมกัน



    วันที่สาม จันทร์์ี่ ๙ กพ.๕๒
    (ทำบุญตักบาตรวันมาฆบูชา และร่วมบวชพระวัดท่าขนุน ฯลฯ)
    ๐๕.๐๐ น. ตื่นทำธุระส่วนตัว เก็บของขึ้นรถ

    ๐๖.๐๐ น. ร่วมทำบุญตักบาตรข้าวสาร-อาหารแห้งฟังธรรมวันมาฆบูชาที่ัวัด ทานอาหารเช้า
    ๑๓.๐๐ น. ร่วมพิธีบวชพระที่ทางวัดเป็นเจ้าภาพจัดบวช (ฟรี) จำนวน ๑๗ รูปเนื่องในวันมาฆบูชาี กราบลาพระอาจารย์เตรียมเดินทางกลับ ,แวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระหว่างเส้นทาง
    ๑๗.๐๐ น. ทานอาหารเย็น และร่ำลาพี่ทิดเก๋ พี่เอื้อมที่ อ.เมืองกาญจนบุรี
    ๒๐.๐๐ น. เดินทางถึง กท. โดยสวัสดิภาพ

    ประมาณการค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอยู่ที่คนละ ๑,๕๐๐ บาท โดยมีรายละเอียดค่าใช้จ่าย ดังนี้
    ๑. ค่าเช่ารถตู้ ๓.๕ วัน ราคา ๑๒,๐๐๐ บาท
    ๒. ค่าน้ำมันประมาณ ๗,๐๐๐ บาท
    ๓. ค่าเช่าเรือ ๒,๐๐๐ บาท
    (เรือ ๔ ลำๆ ละ ๕๐๐ บาท เรือ ๑ ลำนั่งได้ ๑๐ คน)
    ๔. ค่าปัจจัย/อาหารถวายพระ ,อาหารและน้ำดื่มของคณะรวม ๙ มื้อ ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท
    ๕. ค่าธงสามเหลี่ยม ๓ ผืน (ขนาดใหญ่ ๑ ผืน ขนาดเล็ก ๒ ผืน) และเสาธงถวายวัด สำหรับติดตั้งบนเขาพระพุทธบาทวัดท่าขนุน ๕,๐๐๐ บาท
    (เสาธงใ้ห้ทางวัดติดต่อจ้างทำ คณะฯ ถวายปัจจัย ส่วนธงคณะฯ จัดจ้างทำไปจากกรุงเทพฯ)
    ๖. ค่าปัจจัยทำบุญถวายวัดและซื้อผ้าไตร

    สรุป
    ค่าใช้จ่ายหลัก (ข้อ ๑ ,๒ ,๓ ,๔) ประมาณ ๔๑,๐๐๐ บาท
    ค่าใช้จ่ายงานบุญ* (ข้อ ๔ ,๕) เบื้องต้นอยู่ที่ ๕,๐๐๐ บาท

    หมายเหตุ
    * เิงินในส่วนนี้นอกจากเงินกองกลาง , เงินที่เก็บรวบรวมจากสมาชิกทุกท่านหน้างาน ยังมีเงินบริจาคจากกัลยาณมิตรที่ร่วมทำบุญด้วยส่วนหนึ่งค่ะ

    ภาพประกอบ ที่มา: จากอินเตอร์เน็ตและภาำพส่วนตัว
    ลำดับที่ ๑-๒ สภาพภายนอก-ภายในรถตู้ที่ใช้ในการเดินทาง
    ลำดับที่ ๓-๖ ภาพวัดท่าขนุน ,สังขารหลวงพ่อสาย , ภาพพาโนรามาพระพุทธเจตีย์คีรี , ศาลาไม้วัดท่าขนุน
    ลำดับที่ ๗-๑๒ ภาพวัดวังก์วิเวการาม ,พระพุทธรูปหยก ,เจดีย์พุทธคยา ,เมืองบาดาล , สะพานไม้
    ลำดับที่ ๑๓-๑๘ ภาพที่พัก เอื้อมเดือนรีสอร์ท (บ้านพี่ยายผีป่า)


    ******************************************

    สมาชิกที่แ้จ้งความประสงค์ร่วมเดินทางจำนวน ๕๐ คน

    - แจ้งยืนยันการเดินทาง
    ณ.วันที่ ๕ กพ.๕๒ จำนวน
    ๔๐ คน
    คณะวัดท่าขนุน จำนวน ๑๑
    คน
    คณะรถตู้จาก กทม. จำนวน ๒๙ คน

    - ขอถอนตัว
    เนื่องจากงานเข้า/ไม่พร้อม จำนวน ๑๐ คน


    ๑. พระสมุห์ศราวุธ (กอล์ฟ) ฐานิสฺสโร เจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท ผู้นำทาง
    ๒. พระลูกวัด ๑ รูป ถอนตัวเนื่องจากต้องอยู่ช่วยพระอาจารย์ที่วัด
    ๓. พี่ทิดเก๋ (สามีพี่เอื้อม) -
    ๔. ยายผีป่า (พี่เอิ้อม) -
    . ญ.ผู้หญิง (หญิง) จ่ายแล้ว ลว.๒๐/๑๒/๕๑
    . mang ๑๒ (หนึ่ง)
    จ่ายแล้ว ลว.๐๓/๐๒/๕๒
    ๗. ug_buddha (เม้ง)
    จ่ายแล้ว ลว.๒๓/๐๑/๕๒
    ๘. คุณกร (กร) จ่ายแล้ว ลว.๒๐/๑๒/๕๑
    ๙. วรุณบุตร (กฤศ)
    จ่ายแล้ว ลว.๒๔/๐๑/๕๒
    ๑๐. กาลกตา (ศาล) จ่ายแล้ว ลว.๕/๐๑/๕๒
    ๑๑. คนเมืองพริบพรี (เตียง) ขอถอนตัว ลว.๒๒/๐๑/๕๒
    ๑๒. Meller (โย) ขอถอนตัว ลว.๒๒/๐๑/๕๒
    ๑๓. pmntr (ปอ) ขอถอนตัว ลว.๒๕/๐๑/๕๒
    ๑๔.-๑๕. เถรี (กุ๋ย) จำนวน ๒ ที่ ขอถอนตัว ลว.๒๐/๐๑/๕๒
    ๑๖. เด็กเมื่อวานซืน (Ben) จ่ายแล้ว ลว.๑๕/๐๑/๕๒
    ๑๗.
    เด็กเมื่อวานซืน (เอ๋) จ่ายแล้ว ลว.๒๑/๐๑/๕๒
    ๑๘. เด็กเมื่อวานซืน (เมย์) จ่ายแล้ว ลว.๒๓/๐๑/๕๒
    ๑๙. เด็กเมื่อวานซืน ขอถอนตัว ลว.๒๕/๐๑/๕๒
    ๒๐. cinderella2517 (กุ้ง) จ่ายแล้ว ลว.๑๔/๐๑/๕๒
    ๒๑.-๒๒.Lagunaram จำนวน ๒ ที่ี่ ขอถอนตัว ลว.๕/๐๑/๕๒
    ๒๓. Schmeichel จ่ายแล้ว ลว.๗/๐๑/๕๒
    ๒๔. LittleNon (นนท์) จ่ายแล้ว ลว.๑๖/๐๑/๕๒
    ๒๕. มเหสี (เล็ก) จ่ายแล้ว ลว.๒๖/๐๑/๕๒
    ๒๖. มเหสี (ฝ้าย) จ่ายแล้ว ลว.๒๙/๐๑/๕๒
    ๒๗. มเหสี (ลัด) จ่ายแล้ว ลว.๒๙/๐๑/๕๒
    ๒๘. พิมพาภรณ์ (พี่ตุ่น) จ่ายแล้ว ลว.๐๒/๐๒/๕๒
    ๒๙.เศษสตางค์ (ที) ขอถอนตัว ลว.๑๙/๐๑/๕๒
    ๓๐.
    นู๋เจี๊ยบ (เจี๊ยบ)
    จ่ายแล้ว ลว.๓๑/๐๑/๕๒
    ๓๑.
    นู๋เจี๊ยบ (ชาดำ)
    จ่ายแล้ว ลว.๓๑/๐๑/๕๒
    ๓๒.
    นู๋เจี๊ยบ (กุ๊กไก่)
    จ่ายแล้ว ลว.๓๑/๐๑/๕๒
    ๓๓.
    นู๋เจี๊ยบ (พี่แมน)
    จ่ายแล้ว ลว.๓๑/๐๑/๕๒
    ๓๔.
    โปตาลากา (จิ๋ม)่
    จ่ายแล้ว ลว.๒๐/๐๑/๕๒
    ๓๕. โปตาลากา(มุก)
    จ่ายแล้ว ลว.๓๐/๐๑/๕๒
    ๓๖. เด็กเมื่อวานซืน (แหลม) จ่ายแล้ว ลว.๒๘/๐๑/๕๒
    ๓๗. เด็กเมื่อวานซืน จ่ายแล้ว ลว.๓๐/๐๑/๕๒
    ๓๘. เด็กเมื่อวานซืน จ่ายแล้ว ลว.๓๐/๐๑/๕๒
    ๓๙. Teetab (ธีร์) จ่ายแล้ว ลว.๓๑/๐๑/๕๒
    ๔๐.
    raiderman (นะ)
    จ่ายแล้ว ลว.๒๖/๐๑/๕๒
    ๔๑. นู๋แอน (แอน)
    จ่ายแล้ว ลว.๓๑/๐๑/๕๒
    ๔๒. นู๋ตั๊ก (ตั๊ก)
    จ่ายแล้ว ลว.๐๔/๐๒/๕๒ จำนวน ๙๐๐ บาท
    ๔๓.
    นู๋ตั๊ก
    จ่ายแล้ว ลว.๐๔/๐๒/๕๒ จำนวน ๙๐๐ บาท
    ๔๔.
    นู๋ตั๊ก
    จ่ายแล้ว ลว.๐๔/๐๒/๕๒ จำนวน ๙๐๐ บาท
    ๔๕.
    นู๋ตั๊ก
    ๔๖. นู๋ตั๊ก
    ๔๗. คุณณัฐการ (พี่ณัฐ) จ่ายแล้ว ลว.๐๒/๐๒/๕๒
    ๔๘. ผู้ติดตามหลวงพี่
    ๔๙.
    ผู้ติดตามหลวงพี่
    ๕๐. โชเฟอร์รถกระบะของพระอาจารย์

    ชำระิเงินค่าเดินทาง ณ.วันที่ ๕ กพ.๕๒ จำนวน ๓๒ คน รวมเป็นเิงิน ๔๖,๒๐๐ บาท
    (ชำระ ๑,๕๐๐ บาท จำนวน ๒๙ คน , ชำระ ๙๐๐ บาท จำนวน ๓ คน)

    หมายเหตุ
    - ทริปนี้การเดินทางในวันแรก คือการเดินป่าตามเส้นทางบึงลับแล (น้ำทิพย์) เพราะฉะนั้นสภาพร่างกายจิตใจต้องพร้อม การแต่งกายขอให้เป็นชุดรัดกุมที่เหมาะสมเพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง เช่น กางเกงผ้าเนื้อหนา , รองเท้าผ้าใบ , หมวก ฯลฯ

    - อุปกรณ์ที่ต้องนำติดตัวไปคือ ไฟฉาย , มีดพก , กระติกใส่น้ำดื่ม , ถุงนอน(ถ้ามี) , เสื้อกันหนาว , ยาประจำตัว


    -
    สำหรับท่านที่สนใจร่วมเดินทาง
    ขอให้ลงชื่อแจ้งความประสงค์พร้อมชำระเงินค่าเดินทางได้ทันที
    และเตรียมฟิตซ้อมร่างกายได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป


    -
    ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ที่ ๑,๕๐๐ บาท/คน
    (แชร์เท่ากันตามจำนวนสมาชิกตามค่าใช้จ่ายจริง เงินขาดเก็บเพิ่ม เงินเหลือทำบุญ)



    - วิธีการชำระค่าเดินทางโอนเข้าบัญชี
    เมื่อโอนแล้วขอให้มาโพสหรือโทรแจ้งที่เบอร์ ๐๘๑-๗๓๕๙๒๖๑
    สำหรับสมาชิกที่โอนชำระเงินแล้วทุกท่าน กรุณาแจ้งชื่อ-สกุล พร้อมทั้งเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้
    ไปที่ี่ PM หญิงภายในวันที่ ๔ กพ.



    - ร่วมบริจาคเงินทำบุญกับทางวัด สำหรับกัลยาณมิตรท่านใดที่ไม่่ได้ร่วมเดินทาง มีีความประสงค์จะร่วมทำบุญในส่วนของธงสามเหลี่ยม ,เสาธง ,ผ้าไตร , พระชำระหนี้สงฆ์ ก็ขอเชิญลงชื่อแจ้งความประสงค์ ร่วมสมทบทำบุญได้ตามกำลังทรัพย์ กำลังศรัทธาของแต่ละท่านได้จนถึงวันที่ ๕ กพ.๕๒


    ******************************************

    ผู้บริจาคเงินร่วมทำบุญในทริป

    - นามผู้บริจาคเงินซื้อเสาธง ,ธงสามเหลี่ยม ,ร่วมถวายสร้างพระชำระหนี้สงฆ์
    ๑. พระครูสมุห์ธรรพ์ณธร ธมฺมทินฺโน จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒. คุณสมร ทับทอง และครอบครัว จำนวน ๑,๐๐๐ บาท
    ๓. คุณณรงค์ ธีรวัฒนอมร และครอบครัวเย็บผ้าธงสามเหลี่ยมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย จำนวน ๒ ผืน
    ๔. คุณ katicat จำนวน ๕๐๐.๕๕ บาท
    ๕. คุณ Boontar จำนวน ๓๐๑.๒๕ บาท
    ๖. คุณ ug_buddha จำนวน ๒๕๐ บาท
    ๗. คุณพิมพาภรณ์ จำนวน ๒๕๐ บาท
    ๘. คุณ LittleNon จำนวน ๒๕๐ บาท
    ๙. คุณ mang ๑๒ จำนวน ๒๕๐ บาท
    ๑๐. คุณ cinderella2517 จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๑๑. คุณกาลกตา จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๑๒. คุณนิธินันท์ แซ่ลิ้ง จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๑๓. ดช.พััฒน์ชพงศ์ ,ดญ.ภัควดี ,ดช.พิชยพงศ์, ดช.พีระพัฒน์ี ,
    ดช.เศรษฐพงศ์ ศราภัยวานิช จำนวน ๑๔๘.๒๐ บาท
    ๑๔. ดญ.ณพิชาวีร์ ตั้งสมบัติอนันต์ จำนวน ๑๐๐ บาท อุทิศให้แก่้นายกิมซัว แซ่ตั้งและนางจุ้ยงิ้ง แซ่เล้า
    ๑๕. คุณเด็กเมื่อวานซีน จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๖. คุณวิญาดา ละอองศิริวงศ์ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๗. คุณวรุณบุตร จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๘. คุณคุณกร จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๙. คุณเศษสตางค์ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๐. คุณ Kacher จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๑. คุณวีราพร รุ่งสรรเสริฐ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๒. คุณธนพล โชติสุวรรณกร จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๓. คุณลิขิต ไชยกิตติวุฒิ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๔. คุณปาลิดา โครักษ์ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๕. คุณฤดูใบไม้ผลิ จำนวน ๖๐ บาท
    ๒๖. คุณบุตรสา จำนวน ๕๐ บาท
    ๒๗. คุณพิมพา โครักษ์ จำนวน ๕๐ บาท
    ๒๘. คุณยุภา งามล้ำ,คุณภาสกร สุทินและครอบครัว จำนวน ๕๐ บาท
    ๒๙. คุณ ญ.ผู้หญิง จำนวน ๔๐ บาท

    รวมจำนวนเิงินบริจาค ณ.วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
    จำนวน ๕,๐๐๐ บาท



    - นามผู้ร่วมบริจาคเงินซื้อผ้าไตร
    ๑. คุณพิมพาภรณ์ จำนวน ๒๕๐ บาท
    ๒. คุณ ug_buddha จำนวน ๒๕๐ บาท
    ๓. คุณ LittleNon จำนวน ๒๕๐ บาท
    ๔. คุณ mang ๑๒ จำนวน ๒๕๐ บาท
    ๕. คุณ cinderella2517 จำนวน ๒๐๐ บาท* (คุณกุ้งได้จัดซื้อผ้าไตร ๑ ชุด ราคา ๘๐๐ บาท ลว.๐๓/๐๒/๕๒)
    . คุณวรรณา คุ้มวงษา จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๗. คุณปรีชาพล บุญมานิตย์ จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๘. คุณณัฐริณีย์ ใจเพ็ชร์ จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๙. คุณธรรมโรจน์ สุรวรรณวุฒิ จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๑๐. คุณศิริพร คุ้มทิม จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๑๑. คุณเถรี จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๑๒. คุณณัฐการ วินิจฉัยกุล จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๑๓. คุณนิธินันท์ แซ่ลิ้ง จำนวน ๒๐๐ บาท
    ๑๔. คุณวรุณบุตร จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๕. คุณคุณกร จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๖. คุณเศษสตางค์ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๗. คุณ kacher จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๘. คุณฤดูใบไม้ผลิ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๙. คุณวีราพร รุ่งสรรเสริฐ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๐. คุณธนพล โชติสุวรรณกร จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๑. คุณลิขิต ไชยกิตติวุฒิ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๒. คุณปาลิดา โครักษ์ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๒๓. คุณพิมพา โครักษ์ จำนวน ๕๐ บาท
    ๒๔. คุณบุตรสา จำนวน ๕๐ บาท
    ๒๕. คุณยุภา งามล้ำ ,คุณภาสกร สุทินและครอบครัว จำนวน ๕๐ บาท
    ๒๖. คุณ ญ.ผู้หญิง จำนวน ๕๐ บาท

    รวมจำนวนเงินบริจาค ณ.วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
    จำนวน ๓,๙๐๐ บาท




    [​IMG]ขอกราบอนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกท่าน

    ในการร่วมบุญวันมาฆบูชาครั้งนี้เป็นอย่างสูง

    ขอให้ทุกท่านประสบความสุข ความเจริญ

    ทั้งในทางโลกและทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ


    [​IMG][​IMG] [​IMG][​IMG] [​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG] [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2009
  3. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ขออนุญาตยกเอาข้อความของพี่เอื้อมจากกระทู้ตามรอยพระพุทธองค์ฯ (๑๐ ธค.๕๑) มาวางให้อ่านกันค่ะ เพราะหญิงว่าสำนวนลีลาเธออ่านแล้วสนุกกว่าของหญิงเป็นไหนๆ

    <table id="post1738164" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> ยายผีป่า <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1738164", true); </script>
    ผู้สนับสนุน กิตติมศักดิ์

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2005
    สถานที่: ที่แผงหนังสือทั่วประเทศที่จำหน่ายนิตยสารพลังจิต.คอม ไปหาซื้ออ่านสิแล้วจะรู้ว่าอยู่ที่แห่งหนตำบลใด
    อายุ: 40
    ข้อความ: 4,367
    Groans: 1
    Groaned at 8 Times in 8 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 805
    ได้รับอนุโมทนา 40,007 ครั้ง ใน 4,103 โพส
    พลังการให้คะแนน: 3412 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1738164" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> ขอเชิญร่วมทริป "ไปลนหาที่ตาย" กะยายผีป่า เหอๆ...
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> คือว่ายายผีป่ารู้จักคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ(น้ำดิบ) หลายคน...เพราะส่วนมากจะย้ายจากอุทยานแห่งชาติผาตาด คนละแวกบ้าน เขาเคยบอกว่าถ้าไปหน้าฝนอาจอันตรายเพราะดินถล่มปิดเส้นทางบ่อยๆ หน้าหาวอากาศเย็นจัดหมอกลงหนาแต่เส้นทาวเดินป่าสะดวกกว่าหน้าฝน ถ้าไปหน้าร้อน กลางวันจะร้อนตับแตกได้ แต่พอกลางคืนจะหนาวจัด เพราะทองผาภูมิโอบล้อมไปด้วยเขาหินปูน หน้าร้อนจะร้อนหายใจยากเหมือนกันสำหรับคนต่างถิ่น การเดินทางถ้าจากที่เจ้าหน้าที่เล่านั้น ก็มีทางลัดอย่างที่ท่านพี่สุธรรมาบอกมานั่นแหละ แต่คำว่าลัดเนี่ยมันต้องลัดเขาช้างเผือกที่สูงกว่าพันสองร้อยเมตรเศษๆ จากระดับน้ำทะเล ยอดเขาที่สูงและสันเขาเหมือนสันมีดแคบด้วยค่ะ แคบและชัน...แต่ทีนี้...ถ้าคณะหลวงพี่เล็กและพระท่าขนุนขยันไปกันมาได้ เราหน่วยอยากตาย...ถ้าคิดว่า...รนหาที่ตายนี่ชอบนัก ก็ยินดีพาไปค่ะ..

    ส่วนเจ้าหน้าที่อุทยานเขาบอกว่า จะเตรียมลูกหาบกระเหรี่ยงไว้ให้ถ้าต้องการไกด์นำทาง(จ้างเขาอีกนั่นแหละ) แต่ถ้าเรามีไกด์กิติมศักดิ์(หลวงพี่เล็กทำตาดุมาแล้วว่า ห้ามมองมาที่ข้าฯ ลำพังจะจัดพระให้...ก็ใกล้วันมาฆบูชา ลูกวัดหลวงพี่จะว่างกันไหมหนอ...อิอิ...นี่นึกเองเออเอง....หลวงพี่เคยสอนไว้ว่า จิตแรกนั่นแหละ...ก็เออ...คงไม่กล้านิมนต์หลวงพี่เนาะ...แต่เห็นคุณพี่สุธรรมมาบอกเกริ่นว่า "พระท่าขนุนไปกลับวันเดียวได้...นี่คงเป็นการส่งซิกว่า...เออ...ให้พระวัดท่าขนุนที่เคยไปนำทางก็ได้นะ...เอ..หลายองค์ก็สึกบ้างแล้ว ที่ป่วยก็มี..เจ้าอาวาสก็ป่วย รองเจ้าอาวาสก็อาจเตรียมจัดงานมาฆบูชา ที่เคยไปก็มีหลวงพี่หน่อย กะหลวงพี่น้อย(ท่านไม่ค่อยพูด เพราะตอนนี้ท่านกำลังก้าวหน้าทางการปฏิบัติหลังจากที่คอยจ้องหาข้อพิสูจน์มายืนยัน...อิอิ...อันนี้หลวงพี่เล็กท่านทราบดี ว่าหลวงพี่น้อยท่านอยากพิสูจน์อะไร)

    ก็คงต้องถามหลวงพี่น้อย หลวงพี่หน่อยว่า ช่วงนั้นขอพอที่จะไปนำทางให้เราได้ไหม อันที่จริง น่าจะมีพระสี่รูปเหมือนครั้งก่อน คือพลาดมา ก็มีพระนำหน้าสี่รูปพอดีเลยเนาะ แหะๆ
    <!-- / message --> <!-- sig --> __________________
    http://palungjit.org/attachmen...1&d=1226884922เชิญบูชาพระสมเด็จวัดระฆัง พระกรุวังหน้า ชุด บรมครูเทพโลกอุดร พระรอดกรุวัดอุโมงค์เพื่อช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็ง
    http://palungjit.org/showthread.php?t=112354


    มาบูชาวัตถุมงคลจากยายผีป่า ได้ทั้งของมงคลและกุศลด้วยจ๊ะ สื่อกายสิทธิ์ อาทิ แร่ดูดทรัพย์จากภูเขาควาย โครตเหล็กไหลน้ำดิบ แหวน-กำไล ท้าวมหานาโคเหมาะกับลูกหลานพญานาคราช ฯลฯ

    เปิดประมูลพระกริ่งพิชัยสงคราม รุ่น ๑ และวัตถุมงคลหลวงพ่อฤษีลิงดำ หลวงพี่เล็ก
    <!-- / sig --> </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border-style: none solid solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px 1px;"> [​IMG] [​IMG] <script type="text/javascript"> vbrep_register("1738164")</script> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border-style: none solid solid none; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 0px 1px 1px 0px;" align="right"> <!-- controls --> [​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  4. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    <table id="post1738242" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">เมื่อวานนี้, 08:48 PM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #184 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> ยายผีป่า <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1738242", true); </script>
    ผู้สนับสนุน กิตติมศักดิ์

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2005
    สถานที่: ที่แผงหนังสือทั่วประเทศที่จำหน่ายนิตยสารพลังจิต.คอม ไปหาซื้ออ่านสิแล้วจะรู้ว่าอยู่ที่แห่งหนตำบลใด
    อายุ: 40
    ข้อความ: 4,367
    Groans: 1
    Groaned at 8 Times in 8 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 805
    ได้รับอนุโมทนา 40,008 ครั้ง ใน 4,103 โพส
    พลังการให้คะแนน: 3412 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1738242" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> ตารางเวลาทริป "ลนหาที่ตาย"
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> เนื่องด้วยวันที่ ๙ ก.พ. ตรงกับวันมาฆบูชา ไม่ทราบว่า...ทุกคนที่มีงานการทำประจำ หน่วยงานหยุดให้หรือไม่ วันนี้ตรงกับวันเกิดน้องหญิง แกนนำกลุ่มฯ พอดีนะคะ หากหยุดได้ ก็ควรเลื่อนมาเป็น ออกเดินทางวันเสาร์จากกรุงเทพฯ เช้าตรู่ (ขอให้หาของรองท้องก่อนขึ้นรถหรือหิ้วท้องรอกินพร้อมยายผีป่าตอนเพลก็ได้จ๊ะ อิอิ)

    คาดว่ารถคงไม่ติด และเดินทางอย่างปลอดภัยถึงวัดท่าขนุนไม่เกินสามโมงครึ่งนะคะ...เมื่อมาถึงเราก็ออกเดินทางไปที่สังขละบุรี...แต่ระยะเวลาที่จะไปนั้น หากมีพระเณรไปด้วย คงต้องแวะพักถวายเพลกันที่น้ำตกเกริงกระเวียข้างทางนะคะ...เราๆ ก็กินให้อิ่ม หากินน้ำปัสสาวะอุจาระกันที่ร้านค้าแถวนั้นได้...คงใช้เวลาไม่น่าจะเกินเที่ยงนะคะ แล้วเราเดินทางไปถ้ำที่ระบุไว้ก่อนเลย คาดว่าใช้เวลาสองชั่วโมง การเที่ยวถ้ำก็จบ ...

    เราแวะไปที่วัดหลวงปู่อุตตมะ และชมตลาดชาวมอญ สะพานมอญ ส่วนเมืองใต้บาดาล(วัดเก่าที่โดนน้ำท่วม) คงมองไม่เห็นอะไร เราอาศัยชมวิวกันไปดีกว่าค่ะ

    ...........................................

    หากจะไปชมเจดีย์สามองค์นั้น...ก็ไปทันค่ะแต่ต้องแยกไปอีกทาง แต่ไม่ทราบว่าด่านปิดหรือไม่...ไปแล้วอาจเสียเที่ยวหากไม่มีอะไรให้ซื้อหา(ถ้ายายผีป่าไปนะคะ คงไปซื้อกล้วยไม้ไอยเรศ พวกตระกูลช้างต่างๆ ...เพราะในกรุงเทพแพงมั๊กๆ แต่ไม่ควรซื้ออัญมณีค่ะ เพราะเสี่ยงโดนแหกตาได้ง่ายๆ

    ..........................................

    อันที่จริงหากออกมาถึงท่าขนุนตอนฉันเช้าได้ยิ่งดี ออกจากท่าขนุนตอนสองโมงเช้ากำลังพอดี เที่ยวได้หลายที่ทีเดียว ลองคุยกันอีกทีเรื่องเวลามาถึงทองผาภูมิดีไหมจ๊ะ

    ...........................................

    เมื่อเราเที่ยวจนหัวหมุนหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว เราย้อนกลับทองผาภูมิ ส่งพระกลับวัด แล้วคณะเราๆ มาที่บ้านยายผีป่านะคะ มาเพื่ออาบน้ำแร่ร้อนผ่อนคลายความเมื่อยล้าและชำระพิษในร่างกายเราไงคะ

    .......................................

    เรื่องอาหารการกิน...ยายจะจัดเตรียมค่ะทุกมื้อ ใครอยากกินอะไรพิเศษ หรือกินอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องเครียร์กันก่อนะคะ ไม่งั้นอดนา


    .........................................

    ช่วงกลางคืนอาจมีการเสวนาหาเรื่องมาพูดคุยกัน เดี๋ยวมีจัดเซอร์ไพร้ซ์ หากใครอยากเจอผีบ้านยายผีป่า...กรุณาบอกล่วงหน้า จะได้นัดแนะกะผีป่า ผีบ้านผีต่างๆ ที่คุ้นเคยให้เตรียมมุขเด็ดไว้ งานเข้าอีกแล้ว งานนี้ช่วยจ่ายกรณีพิเศษนะคะ ไม่อยู่ในโปรแกรม เพราะการให้ผีออกมาพบปะได้นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ค่าแต่งตัวแต่งหน้าและเทคนิคมันแพง เดี๋ยวจะหากล่องทิปมาตั้งให้หยอดแหะๆ (อิอิ...เจ้าของบ้านบ้าว่ะ)
    .................................................

    เราตื่นเช้าขอให้แค่ล้างหน้าล้างตาขับถ่ายก็พอ เพราะอาบน้ำร้อนมาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำตอนเช้า (คิดว่าคงไม่มีใครบ้าอาบน้ำตอนตีห้าที่เย็นเหมือน้ำแช่เย็นหรอกนะคะ เอ้า...ใครรวย ซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นให้บ้านยายผีป่าสักสองเครื่องสิคะ)

    ...............................................

    ทานชา กาแฟและอาหารรองท้องที่บ้านยายผีป่า...ถ้วยชามไม่ต้องล้าง...เรารีบออกไปรับพระรับเจ้า(ถ้าท่านเมตตาพาไปนะคะ) แล้วไปอุทยานฯ ทันที...

    ............................................

    กลับจากอุทยานคาดว่าคงพลบค่ำ ถึงบ้านยายผีป่าก็คงสองสามทุ่ม เราแวะอาบน้ำร้อนอีก (ขอให้นำชุดเตรียมอาบน้ำแร่ไปด้วยก็ดีค่ะ ผู้ชายขอแนะนำ กางเกงว่ายน้ำค่ะ ไม่ต้องสวมเสื้อหรอกนะคะ ส่วนสตรีจะสวมชุดว่ายน้ำแบบไทยๆ ก็ได้ค่ะ คือผ้าถุงกระโจมอกไงคะ ไม่ต้องกลัวจม เพาะเรามีห่วงยางชั้นดีติดตัวกันแระ อิอิ...(ไขมันหน้าท้องไง)

    พอมาถึงบ้านยายเราก็อบผ้าเปียก ผึ่งไว้ เช้ามาเอาไปอีก...ขากลับจะได้ลงอาบได้เลย

    ผ้าเช็ดตัวบ้านยายผีป่ามีหลายผืนค่ะ ไม่ต้องเอามาก็ได้

    ถ้าทุกคนไหว ก็อาจพาไปเดินจงกลมหรือฝึกพลังจิตกันที่น้ำตกผาตาดสักชั่วโมง
    .................................................

    เราคงสลบเป็นตายจนถึง เช้าวันจันทร์...(ฤกษ์บูรณะจันทร์ หลวงปู่ละมัยท่านใช้ฤกษ์นี้กวนยาปู่ฤษี) วันนี้วันมาฆะบูชา ฤกษ์บูรณะจันทร์ ถ้าได้ทำบุญแต่ไก่โห่ โดยเฉพาะกับพระอริยะ หรือสร้างพระ ถวายมหาสังฆทาน เราจะได้อานิสงค์สูงมากๆ ...ดังนั้น...เราจะตื่นเช้าออกไปที่วัดท่าขนุนให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ทำบุญกัน แล้วเมื่อเราไปหากินข้าววัดอิ่มแล้ว ก็พากันออกมาเพื่อเดินทางต่อไปยังถ้ำดาวดึงส์ (ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง)

    เดินทางต่อไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ระหว่างทาง (อันนี้แล้วแต่ว่าเวลาเหมาะสมและแล้วแต่ฟ้ากำหนด ...เพราะมีสถานที่ๆ หนึ่ง ยายไปหลายรอบแล้ว แต่ไปได้แค่ปากทาง ต้องย้อนออกมาทุ๊กทีค่ะ...)

    ยายจะส่งทุกคนที่ตัวเมืองกาญจน์ (ถามว่าจะตามไปทำไม...อ๋อ...วันนั้นอยากไปทำบุญหลายๆ วัดด้วยค่ะ ซื้อนมลูกด้วย)

    อิอิ...มีสมาชิกที่เคยอ่านเรื่องเล่าจากยายผีป่าบอกว่า ดูท่าทางยายผีป่าเป็นคนใช้เงินประหยัดมาก รู้จักการเลือกสินค้าที่ราคาเหมาะสม ดูจากที่เล่าว่า "ไปเทสโก้โลตัสในตัวเมืองกาญจน์เพื่อรอซื้อน้ำมันพืชสามขวดในราคาถูกกว่าราคาท้องตลาดทั่วไป" ค่ะ...ยายผีป่ารู้คุณค่าของเงินค่ะ คนอื่นเขาซื้อแพงกว่า เรายอมไม่ได้เมื่อรู้ว่าเขาลดถูกกว่า...เวลาใครถามว่า ซื้เท่าไร เราบอกราคาขวดละ ๑๕ บาท ถูกกว่าตั้ง ๑๐ บาท มันดูปลื้มมากๆ...แต่ทิดเก๋บอกว่า

    "เธอบ้าหรือเปล่านี่...ขับรถมาสองชั่วโมง มาเพื่อซื้อน้ำมันพืชสามขวดกับปลาทูน้ำสองแพค...ไปกลับค่าน้ำมันรถเป็นพัน!"

    ก้อ...ฉันอยากซื้อของถูกนี่นา...
    <!-- / message --> <!-- sig --> __________________
    http://palungjit.org/attachmen...1&d=1226884922เชิญบูชาพระสมเด็จวัดระฆัง พระกรุวังหน้า ชุด บรมครูเทพโลกอุดร พระรอดกรุวัดอุโมงค์เพื่อช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็ง
    http://palungjit.org/showthread.php?t=112354


    มาบูชาวัตถุมงคลจากยายผีป่า ได้ทั้งของมงคลและกุศลด้วยจ๊ะ สื่อกายสิทธิ์ อาทิ แร่ดูดทรัพย์จากภูเขาควาย โครตเหล็กไหลน้ำดิบ แหวน-กำไล ท้าวมหานาโคเหมาะกับลูกหลานพญานาคราช ฯลฯ

    เปิดประมูลพระกริ่งพิชัยสงคราม รุ่น ๑ และวัตถุมงคลหลวงพ่อฤษีลิงดำ หลวงพี่เล็ก
    </td></tr></tbody></table>
     
  5. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    <table id="post1738791" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">วันนี้, 04:31 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #185 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> suthamma <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1738791", true); </script>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Dec 2006
    อายุ: 49
    ข้อความ: 912
    Groans: 58
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 25,158
    ได้รับอนุโมทนา 15,459 ครั้ง ใน 926 โพส
    พลังการให้คะแนน: 1893 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1738791" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> [​IMG]
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ยายผีป่า [​IMG]
    ถ้าไปหน้าฝนอาจอันตรายเพราะดินถล่มปิดเส้นทางบ่อยๆ หน้าหาวอากาศเย็นจัดหมอกลงหนาแต่เส้นทาวเดินป่าสะดวกกว่าหน้าฝน ถ้าไปหน้าร้อน กลางวันจะร้อนตับแตกได้ แต่พอกลางคืนจะหนาวจัด เพราะทองผาภูมิโอบล้อมไปด้วยเขาหินปูน หน้าร้อนจะร้อนหายใจยากเหมือนกันสำหรับคนต่างถิ่น การเดินทางถ้าจากที่เจ้าหน้าที่เล่านั้น ก็มีทางลัดอย่างที่ท่านพี่สุธรรมาบอกมานั่นแหละ แต่คำว่าลัดเนี่ยมันต้องลัดเขาช้างเผือกที่สูงกว่าพันสองร้อยเมตรเศษๆ จากระดับน้ำทะเล ยอดเขาที่สูงและสันเขาเหมือนสันมีดแคบด้วยค่ะ แคบและชัน...แต่ทีนี้...ถ้าคณะหลวงพี่เล็กและพระท่าขนุนขยันไปกันมาได้ เราหน่วยอยากตาย...ถ้าคิดว่า...รนหาที่ตายนี่ชอบนัก ก็ยินดีพาไปค่ะ..
    </td> </tr> </tbody></table>

    [​IMG] ยายเอ๊ย..ไปไหนกันจ๊ะ..? ตูว่าแล้ว..ทำไมเส้นทางพิลึก ๆ มันเพี้ยนตรงยายถูกเจ้าหน้าที่อุทยาน"แหกตา"นี่เอง บึงลับแลอยู่ทางห้วยเขย่งจ้ะยายจ๋า..! [​IMG]
    <!-- / message --> <!-- edit note --> <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย suthamma : วันนี้ เมื่อ 05:00 AM
    </td></tr></tbody></table>
     
  6. แงซาย ชายดอย

    แงซาย ชายดอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +1,314
    เขาช้างเผือก - สันคมมีด ผมเคยไปมาแล้ว เอาธงใหญ่ไปปักยอดเขา เลย อิอิ
    บางช่วงทางเดินกว้างแค่ 60 ซม.เอง เดินได้ทีละคน ซ้าย ก็เหว-ขวาก็เหว(สำหรับคนที่ขึ้นถึงยอด 1222) เอาเรื่องเอาภาพมาให้ดู กันไว้เตือนสติในความไม่ประมาท
    (กว่าจะทำใจผ่านสันคมมีดไปได้ ปลงมรณานุสสติอย่างมาก ถ้าพลาดก็เตรียมเก็บศพได้ )
    ที่จริงบึงลับแลที่ว่า ไปไม่ยากหรอก ถ้ารู้ห้วย สาขาและที่ตั้ง ใกล้เขาอะไร ดูภาพถ่ายดาวเทียมได้
    ใช้แผนที่ และGPS กำหนดทิศทางเดินเลย

    ดูภาพ เขาช้างเผือก - สันคมมีด ต.ค.50

    แผนที่ กับภาพถ่ายดาวเทียมกับGPS เส้นทางเดินเขาช้างเผือก
    http://board.trekkingthai.com/board/show.php?Category=trekking&forum=29&No=114801

    บันทึกการเดินทางของผมกับเดอะแก๊ง เมื่อ ต.ค.50

    **ปฏิบัติการรวมพลังปักธงใหญ่ที่สุดในประเทศ ณ เขาช้างเผือก ** เวอร์ชั่น ฮา-เสียว สันคมมีด
    http://www.trekkingthai.com/board/s...=e43aa161f2dcfd0f764aa310243e4bcd&sortby=desc

    ขอบคุณฟ้าที่เป็นใจให้เราได้มาพบเจอ .... ที่ดอยช้างเผือก
    www.trekkingthai.com/board/show.php/board/print.php?Category=<WBR>trekking&forum=29&No=103034

    ไปคราวนี้ถ้าเอา เครื่อง GPS ไปกด พิกัด แล้วเอามาทำแผนที่ บึงลับแลก็คงไม่ลับแลอีกต่อไปแล้วล่ะ


    ประสบการณ์ในการเดินทางของผมเยอะพอสมควรทั่วประเทศ ทริปสำรวจ ยอดเขาใหม่ในอช.ต่างๆ(มีกลุ่มและเว็ปไซด์ที่เคยเที่ยวด้วยกัน มามากมาย ถึงจุดๆหนึ่ง เราก็ปลง และเริ่มเบื่อๆกับมัน
    ใครอยากดูผมมีบันทึกการเดินทาง สไตส์เดินถึก สำรวจป่า ไม่ต่ำกว่า 50 กระทู้ (หลายเรื่องก็ตื่นเต้น ผจญภัย และเสี่ยงชีวิต)จะส่งไปให้อ่านให้ชมกัน
    ***เมื่อก่อนมันบ้า พิชิตมาเยอะ(แต่ก็ได้กำลังใจและบารมี หลายกองโดยไม่รุ้ตัว) เพราะได้แรงบันดาลใจ จากนวนิยาย เรื่อง ล่องไพร และ เพชรพระอุมา (ใช้ชีวิตในป่า สติ กำลังใจและวิชาประสบการณ์สำคัญมาก)
    ตอนนี้ เน้นเที่ยวทำบุญ อย่างเป็นหลัก และสังขารล่วงโรย (อิอิ)
    มีหลายยอดเขาที่มีความสำคัญในการสำรวจ บูชารอยพระพุทธบาท
    แต่ต้องเดินป่าและไปค้างในป่า (เลยจะดี) ที่เล็งไว้
    เช่น เขาดานพระบาทไม้ดู่ อยู่ในเขตอช.เขาใหญ่ อ.ปากพลี จ.นนครนายก พระที่วัดเนินสามัคคีท่านนิมิตและไปสำรวจพบ เมื่อ ปี 47 ( ยอดเขา ของพระฤาษี) เป็นคณะแรกและคณะเดียวที่ไป
    ยอดเขาพบรอยพระพุทธบาทคู่ รอยสามเณรอรหันต์(พระราหุล) รอยพระนางปชาบดีโคตมี แท่นหินบดยา (หินบดยา เก็บรักษาไว้ที่วัด ปัจจุบัน) รอยพระมหากัสปะ และ อื่นๆอีกมาก

    และยอดเขาบ่อทอง พระพุทธบาท ที่ ชลบุรี เป็นต้น ได้เวลาเหมาะก็คงจะชวนเฉพาะคนที่เหมาะกับการลุยป่าและสิ่งต่างๆ แบบนี้









    <META content=ที่พัก,รีสอร์ท,ทัวร์,เที่ยว name=keywords>
    <META content="สถานที่ท่องเที่ยว " name=description>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 ธันวาคม 2008
  7. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    งานนี้ไปบึงลับแล...ลูกหลานพญานาคและผู้เคยเป็นลูกหลานที่สืบสายมาจากชาวมคธควรที่จะไปด้วยกันนะคะ

    อยากได้สักสองคันรถตู้ค่ะ


    ช่วงนั้นอากาศทองผาภูมิอาจไม่ค่อยหนาวตอนกลางวันแล้ว(ไม่แน่เพราะโลกเปลี๋ยนไป๋)

    เห็นท่านพี่สุธัมมาเคยไปอีกเส้นทางหนึ่ง...ดีทีเดียวค่ะ ไปทางห้วยเย่งเพื่อนก็เยอะเลย
     
  8. วรุณบุตร

    วรุณบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +1,018
    สู้ๆๆ ครับ เหมือนจะไปอาทิตย์หน้ายังไงไม่รู้ ตื่นเต้นนะครับ
     
  9. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ตามอ่านแล้วกันนะครับ...ไม่ได้ไป ^^


    .
     
  10. บุตรสา

    บุตรสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +793
    ไปแล้วอย่าลืมส่งรูปมาให้ดูในเมลล์ด้วยนะครับ ปลดประจำการกลางปีหน้าค่อยเจอกัน[​IMG]
     
  11. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ขออนุญาตนำเรื่องราวบันทึกการเดินทางของพระอาจารย์ตอนบึงลับแล (๒) มาให้อ่านกันต่อ เป็นบันทึกการเดินทางที่ห่างกันแค่ไม่กี่เดือน แต่ก็ถือว่าเป็นบันทึกการเดินทางที่ผ่านมาแล้วถึง ๑๗ ปี อ่านแล้วก็ยังแฝงไปด้วยคติธรรมและความสนุกสนานไม่แพ้ตอนบึงลับแล (๑) เลยเชียว


    บึงลับแล (๒)
    าตมาเกิดมาประจวบกับธาตุลม ดังนั้นมักจะอยู่ไม่ติดที่ ต้องออกไปร่อนอยู่เสมอ เมื่อแม่เบ็ญ (อาจารย์เบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์) นิมนต์มาในงานวันเกิด อาตมาก็วางแผนเข้าป่าไว้ล่วงหน้าแล้ว...
    กราบลาหลวงพ่อ นั่งรถทัวร์มาลงขนส่งหมอชิต หัวหน้าชาติชาย (คุณชาติชาย ลือพาณิชย์กุล) ป่าไม้ตงฉิน กับนายอ้วนพนักงานขับรถมารอรับอยู่แล้ว บอกว่ามารอก่อนสิบโมงเช้าแน่ะ...
    มีรุ่นพี่ป่าไม้ของหัวหน้าชาติชาย ซึ่งบวชพระอยู่ ๑ พรรษา ขออาศัยรถไปลงที่วัดโสมนัสด้วย พระพี่ท่านกำลังฟุ้งเต็มที่ อาการแบบนี้ถ้าไม่อาศัยกรรมฐานเข้าช่วย เห็นสึกมามากต่อมากแล้ว...

    ถึงบ้านแม่เบ็ญที่อู่ทอง ยังหายใจไม่ทันทั่วท้อง พี่มุกดา (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) ก็พาลูกปลา (ปราณี ขวัญเพ็ญ) ลูกสาวคนเล็กของอาตมา หอบผ้าผ่อนอย่างกับจะย้ายบ้านมาถึง...
    จุ๋ม (เบญจรัตน์ วิบูลย์พันธุ์) กับจุ๊บ (เบญจพร วิบูลย์พันธุ์) ทำหน้าที่บริการ จัดหาน้ำท่าเลี้ยงแขก และเตรียมที่หลับที่นอนให้ แม่มีลูกสาวดีแบบนี้ ยังหาเรื่องมาบ่นได้ไม่เว้นวัน...
    สองทุ่มกว่าน้าเล็ก (อาจารย์จารุวรรณ ศรีแสงจันทร์) ตามมาสมทบอีกราย ทั้งที่เพิ่งจากกันมาแหม็บๆ พอได้เจอหน้ากัน ก็มีเรื่องสารทุกข์สุขดิบมาเล่าสู่กันฟัง จนหมดแรงหลับกันไปเอง...

    ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ลูกปุ๋ม (ชุติมา นฤภัย) ลูกสาวคนรองก็รีบมาหา เช้านี้เลี้ยงพระ ๑ องค์ คืออาตมาเอง มีอาจารย์ลูกคิด แก้วสระแสน เพื่อนซี้ของแม่เบ็ญมาเป็นแม่ครัวใหญ่ รับรองว่าเชลล์ไม่ต้องชิมก็อร่อย...
    หมอเพชร (ท.พ.เพชรไพฑูรย์ จันทร์ชูเชิด) หมอฟันผู้ใจดี พาเกียง (มาลินี ตีรเลิศพานิช) มาถึงตอนสิบโมงเช้าพอดี งวดนี้หมอขอเบี้ยวงานตามไปด้วย หลังจากปล่อยพวกเราไปสนุกกันมาหลายงวดแล้ว...
    หลังเพลแม่ถวายสังฆทานวันเกิด อาตมาให้พร แล้วพรมน้ำมนต์ที่ถูกขอให้ทำขึ้นแบบกะทันหัน แล้วบอกลาเจ้าภาพเตรียมหนีเที่ยว มีน้าเล็กหลงคารมพี่มุกดาตามไปด้วยอีกคน สนุกกันซะให้เข็ด..!

    แวะรับจ่าไก่ (พ.อ.อ.จารุวัตร อ่ำขำ) กับจ่าชิต (พ.อ.อ.พิชิต ขันธ์โพธิ์น้อย) สองทหารฟ้าที่ปากทางเข้าวัดเขาพระ ขึ้นไปอัดกันเป็นปลากระป๋องท้ายรถ คงได้ร้อนตับแตกกันบ้าง...
    จ่าไก่เคยบวชที่วัดท่าซุง ๑ พรรษา ขอตามอาตมาตั้งแต่สมัยยังบวชอยู่ แต่อาตมาปฏิเสธเรื่อยมา จ่าชิตสอบนายทหารได้แล้ว กำลังรอติดยศอยู่ มีโครงการจะลาบวชปีหน้า เลยมาขอลองกำลังใจก่อน...
    ทั้งสองบอกว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อวาน ไปนอนโรงแรมจิ้งหรีดมา ๑ คืน แล้วมารอที่ปากทางเข้าวัดแต่เช้า เพราะลืมที่อาตมานัดไว้ตอนเที่ยง รอกันอานไปเลย สมน้ำหน้า..!

    เข้าเมืองกาญจน์ทางสามแยกจระเข้ ก่อนถึงตัวเมืองประมาณ ๘ ก.ม. “เจ้าถิ่น” แห่กันมาต้อนรับเพียบเลย อาตมาขอให้คณะทุกคนเดินทางกลับไปโดยปลอดภัย ทุกท่านรับปากด้วยดี..ขอบพระคุณเป็นที่ยิ่ง...

    แวะซื้อของในเมืองนิดหน่อย แล้วเดินทางต่อ ก่อนถึงไทรโยคน้อย ๑๐ ก.ม. หัวหน้าชาติชายซึ่งเป็นโชเฟอร์ เลี้ยวซ้ายเข้าปากทางเข้าวัดช่องแคบ บอกว่าจะพาไปดูสำนักแม่ชีที่น่าสนใจมาก ๆ แห่งหนึ่ง...
    ผ่านวัดช่องแคบ เลี้ยวซ้ายข้ามทางรถไฟ อาตมาเห็นเทวดาในชุดขาวสะอาด เดิน ลงจากยอดเขามารับ องค์ท่านใหญ่โตมาก ยอดเขาสูงลิบ ท่านก้าวแค่ครึ่งก้าวก็ถึงพื้นแล้ว..!
    แสดงความเคารพท่านในใจ แผ่ส่วนกุศลให้ ขอเข้าไปชมพื้นที่ในความรับผิดชอบของท่านหน่อย มุ่งตรงไปอีกนิดหน่อย สิ่งก่อสร้างปรากฏแก่สายตา ป้ายชื่อใหญ่โตเขียนว่า “เกาะมหามงคล”
    [​IMG]
    เกาะมหามงคล

    เข้าห้องน้ำแล้ว หัวหน้าชาติชายพาเดินขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำแควน้อย ตรงไปยังเกาะมหามงคล แค่เห็นสะพานอาตมาก็ยอมแพ้ ชาตินี้ให้สร้างสะพานแค่นี้ อาตมาก็ไม่มีปัญญาแล้ว..!
    แม่น้ำแควน้อยช่วงนี้กว้างเป็นร้อยเมตร ตัวสะพานเป็นโครงเหล็กปูแผ่นไม้ ติดตั้งอยู่บนทุ่นเหล็กลอยน้ำขนาดใหญ่ แบ่งออกเป็นช่วงๆ แต่ละช่วงยาวประมาณ ๑๐ เมตร ร้อยติดกันด้วยห่วงเหล็ก...
    มีเครื่องกว้านสำหรับปรับระดับสะพาน ติดตั้งทั้งหัวท้าย ไม่ว่าจะน้ำขึ้นน้ำลงขนาดไหน ก็สามารถปรับตัวสะพานให้ได้ระดับอยู่เสมอ บนราวสะพานติดธงธรรมจักร และธงไตรรงค์ พลิ้วไสวในสายลม...
    ตรงไปยังที่รับแขก มีอุบาสิกาสองท่านมาต้อนรับ จัดหาน้ำมาให้ดื่ม เอาแผ่นชาร์ตที่แสดงผลงานของท่านเจ้าสำนักมาให้ดู จึงพอทราบประวัติของท่านเจ้าสำนักอย่างคร่าวๆ ดังนี้...

    ท่านเจ้าสำนักมีนามว่า “บงกช” ซึ่งผู้มารับการอบรมจากท่าน พากันเรียกท่านด้วยความเคารพว่า “พระแม่” เดิมเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยที่อรัญประเทศ จ.ปราจีนบุรี มีสามีเป็นปลัด มีบุตรกำลังน่ารักน่าชัง...
    เกิดเบื่อหน่ายทางโลก จึงขออนุญาตท่านปลัดออกบวช เพื่อแสวงหาธรรม มาอยู่ที่นี่ ๔ ปีแล้ว โดยท่านพระครูสมุห์เอี่ยม สิริวณฺโณ เป็นผู้ส่งมายังที่นี้ เริ่มการก่อสร้างและสอนธรรมเรื่อยมา...
    ตอนนี้เป็นเวลาที่ท่าน “ปิดวาจา” ไม่พูดคุยกับใคร ซึ่งในแต่ละวันท่านจะปิดวาจาเช่นนี้หกชั่วโมง จึงขอให้อุบาสิกานำชมสถานที่กันก่อน เพื่อว่าถึงเวลา “เปิดวาจา” จะได้พบกับท่านบ้าง...

    ตัวเกาะเป็นครึ่งวงกลม ด้านหลังอิงภูเขา มีสิ่งปลูกสร้างสวยงาม ๓ – ๔ หลัง ปลูกต้นไม้และหญ้า ร่มรื่นสวยงาม มีการฝังท่อน้ำระบบประปาไปทั่วทั้งเกาะ อุบาสิกาหลายท่าน รดน้ำต้นไม้อยู่อย่างขะมักเขม้น...
    ช่วงหลังของเกาะเป็นเนินติดภูเขา บนเนินกำลังก่อสร้างเพิงเล็ก ๆ สำหรับแขวนกลดเวลาธุดงค์ พวกเราแวะชมศาลาหลังใหญ่ ที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชองค์ใหญ่ มีรูปปั้นหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อยู่ด้วย...
    [​IMG]
    พระประธานเกาะมหามงคล

    พื้นศาลาเป็นไม้กระดานหน้ากว้างเป็นเมตร หัวหน้าชาติชายยิ้มแห้ง ๆ พิกล หากอาตมาเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ก็คงจะยิ้มลักษณะเดียวกัน เพราะของมันเห็นอยู่ตำตา แต่หมดปัญญาจะป้องกัน...
    ด้านติดภูเขาเป็นป่าช้า มีศพหญิงสาวผู้หนึ่งบรรจุไว้ในโลงแก้ว ให้ผู้มาได้พิจารณาอสุภกรรมฐาน มรณานุสติ หรือปลงธรรมสังเวช มีผู้มาขอส่วนกุศลมากมาย อาตมาอุทิศให้กราดไปเลย...
    มีกุฏิไม้ของท่านเจ้าสำนักหลังหนึ่ง และมีทางขึ้นไปบนเขา สำหรับผู้จะขึ้นไปปฏิบัติ มีการกำหนดว่าจะไม่พูดกี่วัน ไม่อาบน้ำกี่วัน แบบนี้ถ้าอาตมาเข้าปฏิบัติ คงอกแตกตายแน่ เพราะถนัดที่จะจ้อทั้งวัน..!
    ดูแค่ผ่าน ๆ แบบขี่ม้าชมดอกไม้ แล้วได้ผลสรุปสำหรับตนเองว่า รูปแบบภายนอกคล้ายกับวัดธรรมกาย การปฏิบัติคล้ายกับสำนักสันติอโศก ส่วนที่หมอเพชรวิจารณ์ตรงๆ ไม่ขอกล่าวถึง
    ถึงเวลา “เปิดวาจา” แล้ว แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านเจ้าสำนักอยู่ที่ไหน พวกเราเลยลากลับ มีโยมผู้ชายคนหนึ่งขอยืมสายพ่วงแบตเตอรี่ เพราะรถของเขาไฟหมด จึงสงเคราะห์ไปตามกำลัง...

    กำลังจะข้ามทางรถไฟ อาตมาเห็นหัวรถจักรอยู่ห่างแค่ ๗ - ๘ เมตร กำลังจอดนิ่งอยู่ จึงพยักหน้ากับหัวหน้าชาติชายว่า

    “ไปได้”

    ป่าไม้จอมเฮี้ยบก็เข้าเกียร์ นำรถคลานข้ามทางรถไฟอย่างนิ่มนวล...
    เสียงหวีดร้องลั่นไปทั้งคันรถ เกียงทุบกระจกโครม ๆ นึกว่าใครตกลงไปให้รถไฟเหยียบซะแล้ว พอเหลียวดูก็ใจหายวาบ..ม้าเหล็กทั้งขบวนห่างจากท้ายรถนิดเดียว ซ้ำเปิดหวูด

    “ด่าแม่”

    ดังสนั่นหวั่นไหว..! นี่มันเกิดอะไรขึ้น..? มาภายหลังจึงจับความได้ว่า รถไฟมันก็มาเต็มสปีดของมัน อาตมากลับเห็นว่ามันจอดนิ่งอยู่กับที่ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าไม่มีสถานีแถวนี้ซักหน่อย แล้วมันมาจอดทำไม..?
    ส่วนหัวหน้าชาติชายสารภาพว่า

    “ผมไม่เห็นมีอะไรเลย..!”

    มิน่าล่ะ..ถึงได้คลานข้ามนิ่มนวลขนาดนั้น ทำเอาญาติโยมด้านหลังหัวใจหล่นลงไปอยู่ที่รางรถไฟ นิพพงนิพพานหายเกลี้ยงเลย..!
    ดีเหมือนกัน..ได้ปลุกประสาทกันบ้าง ไม่อย่างนั้นไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น เดี๋ยวจะประมาท ลืมมรณานุสติ ลืมนิพพานกันหมด มีของหวาดเสียวมากระตุ้น จะได้ชัดเจนแจ่มใสขึ้น ใสแบบเหงื่อท่วมตัวไงล่ะ..!
    อะไรที่มันแล้วก็ให้แล้วๆ กันไป ว่าแล้วก็ไปต่อแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    มาถึงปากทาง เข้าสถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่กลอง บ่ายสี่ครึ่งพอดี แต่คนนำทางไปไหว้รอยพระพุทธบาท ไม่เห็นมาตามนัด...
    เข้าปั๊มเติมน้ำมันรถ ส่วนคนก็ถ่ายน้ำเก่าเติมน้ำใหม่ เสร็จแล้วหัวหน้าชาติชายก็ออกรถ มีแต่ผู้หญิงอยู่บนรถสามคน ผู้ชายสี่คนถูกทิ้งเกลี้ยงเลย มันชักจะเบลอได้ที่แล้ว..!
    ย้อนกลับมารับใหม่ แล้วไปขอยืมวิทยุตำรวจเรียกเข้าไปในสถานี แต่วิจัย ๒ ปล่อยให้วิจัย ๙ แหกปากว.๒ ไปฝ่ายเดียว ไม่ตอบมาซักแอะ จะ ว.๑๒ หรือ ว.๖๐๔ อยู่ก็ไม่รู้ เรียกจนหมดอารมณ์ไปเอง..!
    เอ..? หรือว่าเป็นฝีมือของน้องแสงชัย (แสงชัย เพชรชื่นสกุล) เขาจะมาคืนนี้ คงกลัวเราไปไหว้รอยพระพุทธบาทก่อน เลยอธิษฐานดักเอาไว้ ถ้าเล่นกันแบบนี้ คงต้องเหยียบคอต่อกันแล้วมั้ง..?

    ไปที่ ร.ร.ร่มเกล้า ขอให้ครูใช้เสาสูงเรียกให้ที ผลก็เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเรียกวิจัยหรือพุถ่อง ก็เงียบสนิท ไม่ ว.๒ ว.๘ เอาซะเลย ตกลงไปนอนที่ผาตาดดีกว่า รอยพระพุทธบาทไว้ว่ากันพรุ่งนี้แล้วกัน...
    เข้าสถานีวิจัยไผ่ผาตาด เหลืออีกก.ม.กว่าๆ รถก็พัง คลัชจับไม่ติด กำลังขึ้นเนินพอดี รถไหลถอยหลังท่าเดียว อาตมาเปิดประตูรถ โดดลงไปคว้าหินมารองล้อจนหยุด แต่ว่าช่วยกันเข็นขึ้นเนินไม่ไหว มันอะไรกันนักหนา..!

    สละรถ..ย่ำต๊อกกันไป งวดนี้ทำไมถึงมีแต่อุปสรรคอย่างนี้ก็ไม่รู้ เห็นทีต้องจับสลาก หาตัวกาลกิณีซะแล้วละมั้ง..? ขนาดรถเสียยังไปถึงสถานีหกโมงเย็น ตรงเวลานัดพอดีเลย...
    หัวหน้าชาติชายให้คนงานเอามอเตอร์ไซค์ไปขนกระเป๋าขึ้นมา แล้วไปตามช่างมาซ่อมรถ พอได้กระเป๋าก็อาบน้ำอาบท่า แล้วนั่งโจ้อาหารเย็นกัน โดยมีอาตมากับพวกศีลแปดนั่งมองตาปริบ ๆ...
    จวนจะอิ่มก็พอดีคนนำทางโผล่มาถึง เจริญดีนะเอ็งนะ..นัดสี่โมงครึ่งเสือกมาซะทุ่มครึ่ง ไม่ค่อยจะผิดเวลาเลยนะ..เอ้า..รีบกินข้าวซะ.. ความจริงมันน่าจะปล่อยให้อดซะให้เข็ด...

    หลังอาหารก็เป็นรายการเพชรไพฑูรย์โชว์ สาธิตการดูลายมือโดยหมอเพชร ยิ่งดูก็ยิ่งแม่น น้าเล็กเตรียมตัวเป็นเศรษฐีนีน้อย ๆ ตามคำทำนาย ส่วนอาตมาได้ยินคำทำนายแล้วสะดุ้งแปดตลบ...
    หมอเพชรบอกว่า อีกสามปีอาตมาต้องออกจากวัด..! แฮ่...แบบนี้ก็แปลว่าถูกขับออกมาแน่ ๆ..! ทุกวันนี้ก็ก่อกวนจนวัดแทบถล่มทลาย เขาเอาปูนหมายหัวไว้แล้ว ถึงดูแม่นก็น่าจะช้ากว่านี้หน่อยนะหมอนะ...
    บอกกล่าวบรรดาเจ้าที่เจ้าทางแล้วเข้านอน ทีแรกจะไม่กางมุ้ง แต่ยายปูแม่ครัวทีเด็ดขู่ว่า

    “ยุงที่นี่มาเลเรียทุกตัว”

    ทั้งที่เรากินยาป้องกันไว้แล้วก็ไม่อยากเสี่ยง ตายไม่กลัว แต่กลัวทรมานจ้ะ...
    ห้าทุ่มครึ่งน้องแสงชัยกับแดง (มงคล จอมผา) ยอดโชเฟอร์ก็มาถึง เล่าว่ากำลังง่วงนอน เจอทีเด็ดลูกชายขุนแผนเข้า หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗ เชียวนะ อย่าทำเป็นเล่นไป..!

    ************************

    ตีสี่เตรียมพร้อม พอจะออกเดินทางแม่ครัวทีเด็ดบอกว่า “ข้าวดิบ” ให้ดิ้นตายใครมันตามแกล้งซะจริง ต้องเอาข้าวเย็นที่เหลือบรรจุกล่องโฟมแทน ให้ตัวกาลกิณีกินข้าวเย็นซะให้เข็ด..!
    ไปอาบน้ำพุร้อนกันก่อน ปล่อยเขาลงไป “ลวกไข่” กัน อาตมาซุ่มรอพวกทำไม้ ถ้าสะกดรอยตามมา จะขอกระจกรถมันไว้เป็นที่ระลึกซักแผ่น ปรากฏว่าไอ้พวกนี้นกรู้ ไม่ยอมโผล่มาแม้แต่เงา..!

    ฟ้าเริ่มสว่างก็ออกเดินทาง เลี้ยวเข้าซอยพระบาท ทางฝุ่นทั้งนั้น ปิ๊คอัพของแดงไม่มีหลังคาซะด้วย ได้กินฝุ่นกันอิ่มบ้างละ.. นายชอบคนนำทางน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นนายผิด บอกเลี้ยวครั้งแรกก็หลงมาออกถนนใหญ่เลย..!
    กลับเข้าไปใหม่ พอถึงทางแยกนายชอบชี้ทาง อาตมาเห็นชัดเลยว่าเป็นการชี้แบบขอไปที ไม่มีความมั่นใจซักนิดเดียว...

    “แน่ใจแล้วนะ..นายชอบ..?”
    “ผมไม่แน่ใจ ผมไม่เคยมาทางนี้เลย..!” จบเห่กันพอดี..!

    พอเค้นคอถามเข้าจริง ๆ นายชอบสารภาพว่าที่เคยมานั้น เดินมาทางสถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่กลอง เข้ามาทางบ้านกะเหรี่ยงก่อนถึงสถานีหน่อยหนึ่ง แล้วนี่ข้ามิต้องกลับไปเดินมากับเอ็งใหม่รึ..?
    หัวหน้าชาติชายก็ปวดหัวไม่แพ้กัน ถามแบบฝากความหวังใยสุดท้ายไว้กับนายชอบว่า

    “แล้วคิดว่าจำลักษณะภูเขาได้มั้ย..?”
    “พอจำได้ แต่ป่ามันเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน..” แกตอบแบบขอไปที...

    ป่าไม้มือปราบเกาหัวยิก ๆ อาตมาเลยตัดบทให้ขับไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องหารอยพระพุทธบาทให้เจอ เรื่องบ้านอีต่องพับเก็บไว้ก่อน เวลาไม่พอไว้ไปพรุ่งนี้ก็ได้...
    แดงขับรถวกวนไปตามทางฝุ่น พวกทำไม้มันตัดทางซอยซะอย่างกับใยแมงมุม เดี๋ยวแยก เดี๋ยวแยก เลี้ยวทีไรผิดทุกที หัวหน้าชาติชายใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ในการฟื้นความทรงจำของมัคคุเทศก์สุดห่วย...

    ในที่สุดเลิกตั้งความหวังกับนายชอบ เดาสุ่มกันไปเอาเองดีกว่า ผิดอย่างไรก็ไม่เสียอารมณ์ตัวเอง เห็นเส้นทางไหนมีท่าว่าจะตรงไปยังภูเขา แดงก็เสียบหัวรถขับตะลุยเข้าไป กินฝุ่นกันอ่วมอรทัยเลย...
    ยอดโชเฟอร์ของเราขับรถถึงระดับ “รถอยู่ที่ใจ” แล้ว ล้อรถแตะลงที่ไหน มั่น คงเพียงใด เหมือนกับเป็นเท้าตัวเอง ทางที่ถูกรถซุงตะบึงซะเป็นสันเบ้อเริ่ม แดงขับไต่ขอบไปแบบหน้าตาเฉย...

    ในที่สุด..จากการเลี้ยวครั้งที่เท่าไรสุดที่จะจำได้ ก็จับเส้นทางที่คิดว่าเข้าท่าที่สุด เพราะเลาะไปกับภูเขาตลอดเวลา แต่พอวิ่งเข้าไปเรื่อย ๆ ก็พบว่ามันเป็นทางตัน ไปต่อไม่ได้ แถมมีปีกไม้เขียนหนังสือเย้ยด้วยว่า...

    “เขตปลอดป่าไม้”

    มันน่าเจ็บใจไหมเล่า..? ให้แดงปักหัวรถเข้าไปจนสุดทาง หยุดกินข้าวกันดีกว่า ทุกคนกระโดดลงจากรถ สะบัดฝุ่นออกจากตัว ขนเสบียงลงมาแจกจ่ายกันตามมีตามเกิด มาลุยแบบนี้มันต้องทำใจ...

    อาหารกล่องเป็นผัดกระเพรามีไข่ดาวโปะมาด้วย แม้จะเป็นข้าวเย็นค้างคืน แต่ความหิวก็ทำให้กระเดือกลงไปจนหมด จ่าไก่ยังมีแก่ใจชี้ให้ดูกระรอกตัวจิ๋ว ที่ชาวบ้านเรียกว่า “กระเล็น” วิ่งไล่กันบนยอดไม้...
    เก็บกล่องโฟมเผาไฟจนหมด ดับไฟจนแน่ใจว่าไม่ลุกลามจนเป็นไฟป่า แล้วขึ้นรถกลับออกมาทางเดิม ไปได้หน่อยเดียวเสียงกิ่งไม้เข้าไปพันกับเพลากลางของรถ เวลาเพลาหมุนมันตีกับท้องรถดังสนั่นหวั่นไหว..!
    มากับช่างซ่อมช่วงล่างจะไปกลัวอะไร ว่าแล้วแสงชัยก็โดดลงไปดู ปรากฏว่ากิ่งไม้และเถาวัลย์พันซะก้อนเบ้อเริ่ม แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ..

    “โช้คขาด..!”


    ห้อยร่องแร่งน้ำมันหยดติ๋ง ๆ เลย..! มันกระแทกโครม ๆ มาตลอดทาง ถ้าไม่ขาดก็แปลกไปล่ะ...จ่าไก่ชักดาบปลายปืนยาวเฟื้อย ส่งให้แสงชัยมุดเข้าไปตัดพวกกิ่งไม้และเถาวัลย์ออก ขณะที่สาว ๆ ทั้งสามไปหาที่เด็ดดอกไม้กัน...

    “ว่าไงหมอเพชร..จับสลากหาตัวกาลกิณีกันดีมั้ย..?” อาตมาถาม หมอฟันใจดียิ้มร่า..“อย่าดีกว่าครับ..ผมกลัวจะเป็นผมซะเอง...” อาตมาก็กลัวว่าจะเป็นตัวเองเหมือนกัน..!
    พอแสงชัยตัดเถาวัลย์ออกจนหมด ทุกคนก็ขึ้นรถไปบริหารร่างกายด้วยการเข้าเครื่องเขย่ากันใหม่ ชาติก่อนอยากทำเวรทำกรรมไว้มากนัก มาชาตินี้เลยถูกทรมานทรกรรมเป็นการใช้หนี้...

    อาตมาตั้งใจชุมนุมเทวดา ขอบารมีท่านช่วยสงเคราะห์ กินฝุ่นมาอิ่มดีแล้วโปรดชี้แนะหนทางด้วยเถิด.. หนทางคดเคี้ยวไปเรื่อย ๆ จนมาถึงทางสองแพร่ง จะไปซ้ายดีหรือจะไปขวาดี..?

    พอดีได้ยินเสียงตัดไม้แว่วมา เข้าไปจะถามทางมันดันวิ่งหนีเอาดื้อ ๆ เดินคอตกออกมา พบหัวหน้าชาติชายกำลังตะโกนเรียกใครทางซ้ายมือ แล้วร่างดำ ๆ ก็โผล่ออกมา...
    เป็นหนุ่มมอญหุ่นกำยำล่ำสัน ผิวสีอย่างกับโอเลี้ยง ป่าไม้มือปราบถามว่า

    “รู้จักทางไปรอยพระพุทธบาทมั้ย..?”

    นายมอญทำท่าไม่เข้าใจ ต้องเปลี่ยนคำถามว่า

    “แถวนี้มีถ้ำมั้ย..?”
    “ถ้า..ถ้า..ใหญ่ๆ..มี..” นายมอญพูดไม่ชัด ทำมือโค้งๆ เป็นครึ่งวงกลม..”ใช่..ถ้ำน่ะ..ไปทางไหน..?” นายมอญชี้ทางตรงให้ “มี..ถ้า..ทางนี้..มีวะ..มีพระ...” เขาทำมือเป็นรูปหน้าจั่ว...
    “ช่วยนำทางให้หน่อยได้มั้ย..?” ป่าไม้ตงฉินหลงจนเบื่อ คิดเกาะตัวนายมอญไปด้วย “จ้างนะ..จ้างให้นำทาง..” เห็นนายมอญทำท่าไม่อยากไป หัวหน้าป่าไม้จึงสำทับซ้ำ...

    นายมอญตะโกนเป็นภาษาของเขาเข้าไปในป่า คงบอกพรรคพวกว่าไปกับพวกเรา แล้วขึ้นมาอัดกันหน้ารถ อาตมาถามว่าวัดที่ว่าไกลหรือเปล่า ? เขาบอกว่าใกล้ ๆ ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ขอบคุณเทพยดาฟ้าดิน...
    นี่ขนาดใกล้ ๆ ของเอ็งนะ..รถวิ่งซะสิบกว่านาที พอเลี้ยวซ้ายนายมอญก็บอกให้หยุด ลงจากรถเดินฉับๆ หายวับไปเลย อาตมาจะตาม แต่หัวหน้าชาติชายชี้ให้ดูบนยอดเขา..
    ธงสีเหลืองพลิ้วไสวอยู่บนยอดเขา บอกว่าที่นั่นต้องมีบางสิ่งที่สำคัญอยู่

    “ผมว่ารอยพระพุทธบาทคงจะอยู่บนนั้นแน่..”

    ทุกคนสนับสนุนกันเป็นเสียงเดียว แล้วนายมอญมันไปไหนหว่า..?
    อาตมาเดินตามนายมอญไป มีจ่าชิตตามมาติด ๆ พอไปถึงจึงเข้าใจ นายมอญแกพามายังถ้ำที่แกว่า เป็นซอกแตกเข้าไปในภูเขา มีแคร่ไม้ไผ่ผุ ๆ และผ้าเหลืองเก่า ๆ คลุกฝุ่นอยู่ผืนหนึ่ง ถามนายมอญว่า...

    “รอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขาใช่มั้ย..?”

    นายมอญแกไม่เข้าใจ ถามนายชอบก็บอกว่า ตอนที่มา ถ้ำอยู่ในหุบเขากว้าง ๆ ต้องขึ้นเขาไปอีกลูกถึงพบรอยพระพุทธบาท...
    เอาละ..อาตมาตัดสินใจเอง ภูเขาอยู่แค่นี้เดี๋ยวค่อยปีนขึ้นไปสำรวจก็ได้ ตอนนี้ไปถ้ำที่มีวัดมีพระก่อน นายมอญชี้ทางให้ แดงขับรถไปพลาง สังเกตและจำยอดเขาไปพลาง..
    เลี้ยวขวาหน่อยเดียวก็ทางตัน มีดงขนุน กล้วย มะนาว แม่ไก่ป่าพาลูกวิ่งเข้าป่าไปทั้งฝูง นายมอญพาเดินเข้าไปหน่อยเดียว ก็พบกุฏิมุงแฝกสองหลัง ผุพังหักทับอยู่กับดิน
    มีผ้าอาบน้ำฝน ผ้ารัดอก สังฆาฏิของพระทิ้งเกลื่อนกลาด นี่แหละ..วัดของนายมอญเขา แต่ไม่มีพระซักองค์ นายมอญพาเดินข้ามห้วยแห้งไปยังเชิงเขา คราวนี้มีถ้ำจริงๆ...

    ในถ้ำมีพระพุทธรูปขนาด ๕ นิ้ว ๑ องค์ ระฆัง ๑ ใบ ห่อผ้าเหลืองห่อใหญ่ นายมอญแกะห่อโกยกระดูกคนออกมา ปากก็บอกว่า..

    “มีคน..มีพระ..คนตาย..เผาที่นี่..กระดูก...”

    พยายามแกะคำพูดของแก จนได้ใจความว่า ก่อนนี้มีพระอยู่หลายองค์ พอโยมที่คอยอุปัฏฐากพระตาย พระช่วยกันเผาแล้วไปอยู่ที่อื่น เพราะที่นี่ไม่มีคนใส่บาตร เลยทิ้งจนรกร้างว่างเปล่า...

    พวกเราเข้าไปดูภายในถ้ำ เป็นถ้ำกว้างขวางใหญ่โตไม่น้อย แต่อับชื้นมาก ประกอบกับเป็นที่ต่ำ หน้าฝนน้ำคงเทเข้าไปจนเต็มถ้ำ ใช้เป็นที่พักไม่ได้ พระท่านถึงได้อาศัยอยู่ข้างปากถ้ำแทน...
    มีค้างคาว ๔ - ๕ ตัวบินสวนออกมา ภายในมีน้ำหยดเปาะแปะ ท่อนซุงหลายท่อนถูกน้ำพัดเข้ามาผุพังอยู่ก้นถ้ำ ภายในทั้งชื้นทั้งลื่น ไม่มีอะไรน่าสนใจ กลับออกมาปากถ้ำ...นายมอญหายไปแล้ว...
    เดินเป็นงูกินหางกลับมาที่รถ นายมอญกำลังเอาไม้กระทุ้งมะนาวจากต้น เก็บใส่กระเป๋ากางเกง แถมยังมีกล้วยเครือใหญ่กับขนุนด้วย มันไม่ยอมมาเสียเที่ยวเลยแฮะ...
    ถามนายชอบว่า

    “ถ้ำที่เคยมาใช่ที่นี่มั้ย..? แล้วเอ็งก็เดินไปขึ้นเขาลูกโน้น..”

    นายชอบยิ้มอย่างแห้งแล้งไม่พูดไม่จา รอนายมอญขนของขึ้นรถ กลับมาทางเดิม แดงขับรถบุกเข้าไปถึงตีนเขา..เอ้า..ลงเดิน...
    เล็งตำแหน่งธงบนยอดเขา กะว่าทางขึ้นด้านไหนง่ายที่สุด แล้วอาตมาก็นำทางเอง ถอดรองเท้าวางไว้บนก้อนหิน ปีนเขาแบบนี้อาตมาใส่รองเท้าไม่ได้ มันจะลื่นตกเขาตาย..!
    นายมอญ นายโหล่ นายชอบ ลัดมาจากทางไหนไม่รู้แซงนำหน้าขึ้นไป ตามด้วย แดง แสงชัย อาตมา พี่มุกดา ลูกปลา เกียง หัวหน้าชาติชาย น้าเล็ก จ่าชิต จ่าไก่ และ หมอเพชร ปิดท้ายขบวน...

    อากาศร้อนมาก พื้นก็ถูกไฟป่าไหม้จนเกลี้ยง มันอบอ้าวอึดอัดบอกไม่ถูก เสียงหมอเพชรเล่านิทานแจ้ว ๆ อยู่ข้างหลัง ขนาดเล่าเป็นวัน ๆ นิทานไม่ยอมหมดซักที...
    ความจริงเขาลูกนี้ขึ้นง่ายที่สุดเท่าที่เคยพบมา แต่ว่าอากาศร้อนทำให้เหนื่อยง่าย อาตมานั่งพักรออยู่ข้างทาง ดื่มน้ำแก้กระหาย รอขบวนมาสมทบแล้วจะเดินปิดท้ายเอง...
    รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ ไม่เห็นท้ายขบวนโผล่มาซักที ปรากฏว่าต่างคนต่างพัก อาตมาจึงสาวรอยไปก่อน ถึงช่วงสุดท้ายถ้าผิดทางจะขึ้นไม่ได้ จึงหยุดรอ.. ผ่านไปทีละคน จนเหลือแต่ท้ายขบวน มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ถึงไม่มาซักที ยืนตากแดดแบบนี้ไม่สนุกนะจะบอกให้ พอกู่ลงไปเสียงจ่าไก่ตะโกนตอบมาว่า

    “น้าเล็กเป็นลม..!”


    มิน่าล่ะ...ทำไมถึงช้านัก รออยู่นานกว่าน้าเล็กจะลากสังขารผอม ๆ ขึ้นมาถึง ได้เป็นลมซะหน่อยดูคล่องแคล่วขึ้นอีกตั้งเยอะ อากาศแย่แบบนี้ไม่เป็นลมก็แปลกไปล่ะ..!
    ทางช่วงนี้เป็นดงต้นลั่นทม มีทั้งลั่นทมขาว ลั่นทมแดง จำเพาะมาขึ้นอยู่แต่บนยอดเขายอดนี้ แดงบอกว่าคงมีใครมาปลูกเอาไว้ เพราะลั่นทมแดงหาได้ยาก เรื่องจะมาขึ้นเองแทบเป็นไปไม่ได้...
    ถึงแล้ว...พอโผล่ขึ้นไปก็พบพระพุทธรูป ๗ - ๘ องค์ ขนาดใหญ่ที่สุดประมาณ ๑๒ นิ้ว เล็กที่สุดประมาณ ๕ นิ้ว วางเรียงรายอยู่รอบรอยพระบาท เกียงส่งทองมาให้ ๓ แผ่น ให้ปิดถวายเป็นพุทธบูชา...
    ตั้งใจปิดทองรอยพระพุทธบาท เสร็จแล้วสังเกตดู เป็นรอยพระบาทข้างขวา มุ่งหน้าไปทิศตะวันตก ร่องรอยเก่าแก่คร่ำคร่า ลบเลือนไปมากตามกาลเวลา อาตมาใช้ตลับเมตรวัดขนาดดู...
    ความยาว ๖๖ เซ็นติเมตร กว้างปลายเท้า ๓๔ เซ็นติเมตร กว้างส้นเท้า ๒๐ เซ็นติเมตร ความลึก ๑๒ เซ็นติเมตร

    กราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา นายมอญนั่งยอง ๆ สวดมนต์เร็วปรื๋อเป็นภาษาของแก เสร็จแล้วจัดการสำรวจพื้นที่ ดูซิว่ามีอะไรบนนี้บ้าง..?
    นอกจากพระพุทธรูปแล้ว มีโอ่งดินเผาใบเล็ก ขนาดบรรจุน้ำซัก ๒๐ ลิตร ตอนแรกคงใช้บรรจุน้ำดื่ม แต่ตอนนี้มีเหรียญเงินที่มีผู้ถวายเป็นพุทธบูชาบรรจุอยู่ไม่น้อยเลย
    ควักกระเป๋าหาเหรียญกันใหญ่ ถ้าใส่เป็นธนบัตรก็กลัวจะผุพังไปตามกาลเวลา จ่าไก่เอาพระคำข้าวของหลวงพ่อบรรจุไป ๑ องค์ อาตมาเอาซอง จ.ม.ล่าลายชื่อทุกคน จนครบก็บรรจุลงไปด้วย คนมาทีหลังจะได้รู้ว่ามีใครมาบ้าง...
    มีไม้กระดานหลายแผ่น เสาขนาดหกนิ้ว ๑ ต้น ผู้มีจิตศรัทธาคงจะหอบหิ้วขึ้นมาเพื่อก่อสร้าง แต่เอามาได้เพียงแค่นี้ ไม้กระดานกองอยู่กับพื้น ส่วนเสาไม้ถูกปักขึ้นเป็นหลัก ปลายเสามีธงที่เราเห็นจากข้างล่างผูกติดอยู่...

    อาตมาให้แดงเอาผ้ารัดอกจากวัดร้างมา ๒ ผืน ตั้งใจจะผูกบนยอดเสา แต่หาคนขึ้นไม่ได้ ต้องทำเป็นผ้าห่มพระแทน ด้านข้างมีระฆังขนาดประมาณ ๑ ฟุตใบหนึ่ง กับเหล็กฉากขนาดครึ่งนิ้วทำงอ ๆ เป็นไม้เคาะ...
    ช่วยกันตีระฆังซะสนั่นลั่นดอยเลย แล้วถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก หัวหน้าชาติชายบอกว่า หลวงพ่ออุตตะมะยืนยันว่า รอยพระพุทธบาทนี้เป็นของแท้ จึงถ่ายรูปไปเป็นหลักฐานว่าพวกเราได้มาทำการบูชาแล้ว...
    [​IMG]
    รอยพระพุทธบาท

    จากนั้นช่วยกันทำความสะอาด เก็บขยะและเศษสิ่งเหลือใช้ใส่ถุง ขนไปทิ้งข้างล่าง ครู่ใหญ่ก็เรียบร้อย นายมอญ นายโหล่ นายชอบ หายลงไปหมดแล้ว...
    ขาลงง่ายมาก มีทางลงที่เขาฟันดินเป็นขั้นบันไดด้วย อาตมาฉลาดน้อยไปหน่อยเลยนำขึ้นผิดทาง ตั้งใจย้อนไปเอารองเท้าที่อีกด้านของเชิงเขา ปรากฏว่าพี่มุกดาล้วงออกมาจากเป้หลัง ที่แท้พี่เขาแบกมาตั้งแต่แรกแล้ว...
    ถึงรถก็งัดน้ำดื่มขึ้นมาแจกจ่ายกันโดยถ้วนหน้า กระติกน้ำของอาตมาบรรจุน้ำตั้งสามลิตร แต่ถูกบรรดาลูกอูฐหลานอูฐดูดซะเกลี้ยงเลย แล้วขึ้นรถย้อนกลับมาทางเดิม พยายามจดจำภูมิประเทศไปด้วย...

    หัวหน้าชาติชายปรึกษาว่า จะให้ค่านำทางนายมอญซัก ๓๐ บาท อาตมาท้วงว่าทำไมให้น้อยนัก เลยได้ความรู้ใหม่ว่า จำเป็นต้องให้น้อยเข้าไว้เป็นการช่วยพวกเขาเอง เพราะพวกเขามีนิสัยประหลาดคือ...
    ถ้าคราวนี้ได้ค่าแรงมาก คราวหน้าถ้าไม่ได้เท่านี้หรือมากกว่านี้ เขาจะไม่ยอมรับจ้างใครเป็นอันขาด จนกว่าจะอดตายจริง ๆ นั่นแหละถึงจะยอม อย่างเวลาประมาณ ๒ ช.ม. ที่ผ่านมา ถ้าให้เขา ๓๐ บาท...
    เขาจะไปคำนวณว่าถ้าทำงานวันละ ๘ ช.ม. เขาต้องได้ ๑๒๐ บาท ถ้าใครให้ไม่ถึงเขาจะไม่ทำด้วย บ๊ะ..เจ้าพวกนี้หัวเซ็งลี้ขนาดนี้เชียวเรอะ..? แบบนี้มันน่ารวยมากกว่าไม่มีประเทศอยู่อย่างทุกวันนี้...

    ถึงจุดเดิมนายมอญขนข้าวของลง ป่าไม้ตงฉินจ่ายเงินให้ไป ๔๐ บาท แถมด้วยข้าวอีก ๒ กล่อง แล้ววิ่งฝุ่นตลบออกมาโผล่ตรงก.ม.ที่ ๙๘ พอดี ถ้าเข้าตรงนี้ละง่ายนิดเดียว...
    ตรงไปปากทางเข้าสถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่กลอง ที่นั่นมีอู่ซ่อมรถ แดงกับแสงชัยเอารถไปเชื่อมโช้คและเติมน้ำมัน พวกเราอาศัยห้องน้ำของปั๊มน้ำมัน ปลดทุกข์และล้างหน้าล้างตา...
    แล้วยกพหลพลโยธาบุกร้านก๋วยเตี๋ยว ใครจะกินอะไรสั่งเอา หมอเพชรรับเป็นเจ้ามือ แบบนี้ก็ฟาดกันจุกไปนะซิ ขอให้เจ้าภาพจงเจริ้ญ..! หมอฟันใจดียังแถมค่าน้ำมันรถให้อีก ๑ ใบม่วงด้วย...
    ด้วยความเสียดายข้าวกล่อง เลยงัดขึ้นมากินกับก๋วยเตี๋ยว จ่าไก่กับจ่าชิตที่ถามว่า

    "มีอะไรให้ทหารรับใช้บ้างครับ..?"

    เจอการรับใช้ด้วยการต้องกินข้าวให้หมดคนละสามกล่อง หงายเก๋งไปเลย..!
    อิ่มดีแล้วก็มาฟังหมอเพชรเล่านิทานต่อ รอจนแสงชัยกับแดงเอารถมาถึง บรรจุท้องของทั้งสองเสร็จก็เตรียมเดินทาง อาตมาเอาค่าน้ำมันของหมอเพชรให้กับแดง ยอดโชเฟอร์กลับถวายอาตมาซะเลย...

    แวะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คลุกฝุ่นมาที่ผาตาด แล้วหัวหน้าชาติชายพาไปกราบ หลวงพ่อสาย วัดท่าขนุน หมอเพชรบอกประวัติสั้น ๆ ว่า ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม คนลือว่าท่านเป็นพระอภิญญา... ไปถึงท่านกำลังหลับเอาเชิงอยู่ เป็นไรมี..อาตมาก็หลับบ้างซิ..พอหลับตาลง อักษรขอมตัว “ณะ” ตัวเบ้อเริ่มก็ปรากฏขึ้นที่กลางอกหลวงปู่ ตัวนี้มาจากคำเต็มว่า “จรณะ” แปลว่า “แบบอย่าง” หรือ “ความประพฤติ”

    ท่านปรามเราไม่ให้ดูคนแค่เปลือกนี่นา...กราบขอบพระคุณครับ แล้วนั่งหลับแข่งกัน ทั้งที่ช่างกำลังก่อสร้างกุฏิใหม่ดังโป๊กเป๊ก เพื่อใช้รับแขกแทนกุฏิเก่าที่เล็กเท่ารูหนูของท่าน ดังก็ดังซิน่า..จะหลับซะอย่าง

    หลับไปตื่นใหญ่สู้ท่านไม่ได้ ท่านหลับทนกว่าเยอะ กราบลาเดินออกมาไม่ทันถึงรถ เสียงหัวหน้าชาติชายเรียก บอกว่าท่านตื่นแล้ว อาตมาเดินหัวเราะกลับมา..กราบเท้าขอรับหลวงพ่อ...
    ท่านตีหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ ถามโน่นถามนี่ไปตามเรื่อง รู้ๆ อยู่ว่าท่านไม่ยอมสอนธรรมะ อาตมาเลยควักแบ๊งค์ม่วงที่แดงเพิ่งถวายมาแหม็บๆ ขอทำบุญสร้างกุฏิกับท่านเป็นวิหารทาน พวกเราช่วยกันทำบุญเป็นการใหญ่...
    รับพรจากท่านแล้วกราบลาเลย งานใครงานมันครับหลวงพ่อ...ไม่ใช่หน้าที่ของหลวงพ่อ หลวงพ่อจะทำอย่างไรก็ได้ ไอ้ผมซิครับ..แบกภาระไว้หลังแอ่นเลย..!

    ขึ้นไปกราบเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุบนยอดเขา นับขั้นบันไดแค่สองร้อยกว่าขั้นไม่ตรงกันซักคน ข้างบนอากาศดีมาก ลมภูเขาพัดมาเย็นฉ่ำเลยทีเดียว...

    กลับลงมาตีรถเข้าตัวอำเภอทองผาภูมิ ส่งหมอเพชรกับเกียงกลับกรุงเทพฯ รถตู้ปรับอากาศเต็มทุกเที่ยว ต้องไป รถ บ.ข.ส. ธรรมดา อากาศร้อนแทบดับจิต น้้าเล็กสั่งกาแฟเย็นมาเลี้ยง...
    ร่ำลากันดิบดีต่างคนก็ต่างไป พวกเราที่เหลือแวะซื้ออาหารสดติดรถไปด้วย น้าเล็ก มุกดา ลูกปลา ไปต่อราคาผ้าจากพม่า ลงท้ายกลายเป็นซื้อไอสครีมมากินแก้ร้อนแทน

    แดงเดินดูบรรดาของป่า แล้วบ่นว่าซื้อจากสวนจตุจักรยังราคาถูกกว่าตั้งเยอะ หัวหน้าชาติชายไปซื้อกับข้าวถึงปากคลองตลาดเลยมั้ง..? หายเงียบไปเลย ปล่อยพวกเรายืนเกะกะชาวบ้านเขา
    ในที่สุดแดงมาชวนไปดูของดี เป็นบ้านของจ่าตำรวจต.ช.ด. มีบรรดาหัวสัตว์ เขาสัตว์เพียบเลย เขาละมั่ง เขากวาง เขากระทิง กะโหลกเสือ ฯลฯ ติดตั้งบนแป้นมะค่าเรียบร้อย มีเป็นกุรุสเลย..!
    มันเป็นเสียอย่างนี้แหละ บรรดาสัตว์ถึงสูญพันธุ์ อย่างละมั่งเป็นสัตว์สงวน แม้แต่ซากก็ห้ามมีไว้ในครอบครอง คนธรรมดาไม่มี แต่คนในเครื่องแบบมี ใครมีปัญหามั้ย..?
    เผ่นดีกว่า..เกิดมาปากไม่ดี ขืนอยู่ต่ออาจจะพาจมูกเจ็บ หัวหน้าชาติชายหายไปเป็นนาน ซื้อกับข้าวมาได้หน่อยเดียว โดดขึ้นรถสำรวจดูความพร้อม มากันครบแล้ว..ไปโลด..!

    มุ่งไปยังแปลงวิจัยไผ่ที่หก ไปได้หน่อยเดียวเจอปิ๊คอัพใหม่เอี่ยม ไม่รู้นึกอย่างไรพุ่งชนภูเขาเอาดื้อ ๆ รถเครนกำลังมายกอยู่เหย็ง ๆ พอเห็นเข้าป่าไม้มือปราบก็หลุดปากว่า..

    “นึกว่าใคร..ไอ้ลูกชายคนเล็กนี่เอง...”

    ถามดูจึงรู้ว่าเป็นตำรวจแถวนั้น ซึ่งทำไม้เถื่อนเป็นงานหลัก เป็นตำรวจเป็นงานอดิเรก ถูกป่าไม้จอมเฮี้ยบด่าประจานกลางตลาด อบรมให้สำนึกในความเป็นตำรวจมาแล้ว ด่ายิ่งกว่าพ่อด่าลูกซะอีก..!
    ไปดีกว่า..คนแบบนี้ไม่ค่อยน่าสงสารหรอก ถือว่ากรรมกำลังตามสนองแล้วกัน แดงพารถแข่งพายุต่อไป พรรคพวกที่นั่งหลังคงจับภาพพระกันแน่น ปล่อยได้ยังไงละครับ...จะดับจิตตอนไหนก็ไม่รู้..?

    ถึงบ้านพักที่แปลงหก ขนข้าวของลง สงสารลูกปลาซะนี่กระไร กระเป๋าใหญ่กว่าตัวซะอีก แบกขึ้นแบกลงแต่ละทีแทบถูกทับตาย ไปว่าเข้าก็โดนย้อนว่า ก็บรรจุการ์ตูนที่พ่อให้ทั้งกระเป๋านั่นแหละ..เจริญมั้ยล่ะ..?
    สรงน้ำ - ซักผ้า ส่วนคนอื่นนั้นหัวหน้าชาติชายรั้งไว้ก่อน บอกว่าจะพาไปเล่นน้ำ แล้วยกขบวนขึ้นรถ บุกเข้าไปในพื้นที่ของทหารผ่านศึก อาตมาไปด้วยทำหน้าที่ผู้คุ้มกัน...
    ไปถึงจริง ๆ กลับอดเล่น น้ำในเขื่อนลดลงเป็นสิบเมตร ปล่อยเรือนแพค้างเติ่งอยู่บนตลิ่ง ผบ.หน่วย ทผศ.ยืนยิ้มหนวดกระดิก บอกว่า

    “เล่นไม่ได้หรอกครับ น้ำมันคัน...”

    ถอยดีกว่า..ไม่อาวดีกว่า..กลับไปอาบที่แปลงหกตามเดิม เสร็จเรียบร้อยก็มานั่งคุยกัน จ่าไก่บอกว่าเครียดบอกไม่ถูก เพราะเร่งกำลังใจมากเกินไป
    ทหารฟ้าบอกว่าพอรถวิ่งเกินร้อย แกก็เหลือความคิดเพียงอย่างเดียวว่า

    “ตายแน่..ตายแน่..”
    เพราะไม่เคยนั่งรถที่ขับเร็วอย่างนี้มาก่อน “วันนี้ผมจับภาพพระได้ใสเป็นพิเศษเลย...” พรรคพวกฮาครืน..!

    ใครมีอะไรที่สะเหร่อเฟอะฟะ ถูกเอามาล้อมาเลียนกันหมดไม่มีโกรธกัน นานๆ ปล่อยผีทีถือเป็นโอกาสพิเศษ มีการตั้งทีม เสือ สิงห์ กระทิง แรด กันด้วย แบ่งได้ดังนี้

    เสือซุ่ม คือป่าไม้มือปราบ มีอะไรมักเก็บเงียบไม่ยอมเอ่ยปาก
    สิงห์เห่า คือน้องแสงชัย ไปไหนปากหมาตลอดกาล
    กระทิงผู้ร่าเริง คือหมอฟันใจดี นักเล่านิทานให้คนอื่นฮา
    แรดจอมซ่าส์ คือยอดโชเฟอร์ของเรา ลุยลูกเดียว

    มีการเลียนแบบดารา ล้อการเล่านิทานของหมอเพชร โดยลูกสาวของอาตมาเป็นผู้เล่า นายแรดเป็นกบปากกว้าง หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง น้าเล็กหัวเราะจนน้ำตาไหล ยังดีที่ไม่ถึงกับวิ่งเข้าส้วม...

    เป็นเสียอย่างนี้แหละ ไปไหนทุกข์โศกกับใครไม่เป็น เสียดายรถเล็กไปหน่อยมาได้ไม่ครบ โดยเฉพาะขาดลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ลูกสาวคนโต “ตามมา” ดันไปลงที่บึงลับแล พ่ออยู่ทางนี้ลูก..!

    ผู้ช่วยสมชาย (คุณสมชาย อ่อนอาษา) โผล่มาร่วมวงด้วย บอกว่าไปด้วยไม่ได้ เพราะนัดพรรคพวกไปจับไม้เถื่อน อาตมาเลยมอบหมายให้ไปรับแม่เบ็ญที่อู่ทอง มาสมทบกับคณะในวันพรุ่งนี้...

    ************************

    รวมพลกันแต่เช้ามืด อากาศเย็นสะท้าน ผู้ช่วยสมชายยังหลับอุตุอยู่ พวกเราขนอาหารขึ้นรถ เมื่อวานลืมซื้อกล่องโฟม เลยยกขึ้นไปทั้งหม้อ..! พวกจานกระเบื้องหัวหน้าชาติชายเอาวางไว้บนตักตัวเอง...

    ยอดโชเฟอร์พารถคู่ใจทะยานไปในความมืด ทักษะอันยอดเยี่ยมแสดงออกมาในการขับรถยามค่ำคืนนี่เอง มือเท้าสายตาและสมอง ทำงานสัมพันธ์กันอย่างกับเครื่องคอม พิวเตอร์ชั้นยอด...
    หมดทางราดยางก็เป็นทางฝุ่น มีแต่โค้งส่งโค้งรับโค้งไปตลอดทาง คดเคี้ยววกวนจนตาลาย ดำดิ่งลงดินแล้วทะยานขึ้นฟ้า ไม่รู้ว่ากี่ยอดเขาของเทือกตะนาวศรีอันซับซ้อน ที่รถพาร่อนไปอย่างกับติดปีก...

    พออรุณรางเริ่มมองเห็นทางและภูมิประเทศบ้าง โอ้โฮ..มันเลียบขอบเหวลึกล้ำ ไม่เห็นก้นไปตลอดทาง ถ้าพลาดก็ลบชื่อออกจากทะเบียนมนุษย์ได้เลย รับรองว่าแม้แต่ซากก็ยังไม่เหลือ..!
    ทางฝุ่นพาทะยานสูงขึ้นไปเรื่อย โค้งแล้วโค้งเล่าที่โชเฟอร์ของเราทิ้งไว้เบื้องหลัง อารมณ์ภาวนาทรงดีเหลือใจ มรณานุสติและความปรารถนาพระนิพพาน มั่นคงอยู่ในใจ...

    “ใจอยู่ที่รถ รถอยู่ที่ใจ”

    ความชำนาญในการขับขี่ถึงระดับวสีแล้ว มือเท้าทำงานก่อนที่สมองจะสั่งด้วยมั้ง..? อะไรมันจะคล่องตัวปานนั้น..?
    รถคู่บุญพุ่งไปเร็วเท่าใจนึก หัวเสียบเข้าโค้งท้ายก็ปัดตรงช่อง ทะยานต่อไปได้ทันที อาศัยเกียร์เป็นหลัก เบรคคลัชแทบไม่ต้องทำงานเลย บางช่วงภูเขาถล่มลงมาทั้งกะบิ ยังดีที่มีช่องให้รถผ่านไปได้...

    เกือบชั่วโมงที่เหาะลัดฟ้ามา ในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้า ฐานปฏิบัติการพัฒนาบ้านอีต่อง ของ ร.๙ พัน.๓ ต้นสังกัดเดิมในครั้งหนึ่งของอาตมา ดวงตะวันสีแดงอ่อนเพิ่งงัวเงียพ้นเหลี่ยมเขา อากาศหนาวสะท้านกาย...
    มองหายอดเขาโดดเดี่ยวตามที่หลวงพ่อบอก หาเท่าไรก็ไม่พบ มีแต่เทือกเขาเป็นพืดแน่นขนัด ตรงที่เราจอดรถก็เป็นเนินเขาลูกหนึ่ง มันก็ปวดกะโหลกแล้วหวา.. เป้าหมายอยู่หนใด..?
    บุกขึ้นไปบนฐานทหาร ขอใช้ห้องสุขาหน่อย ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากรั้วของชาติช่วยชี้ภูผามหาสมบัติให้ดู บอกว่าชื่อ “เขาช้างเผือก” ความสูง ๑,๒๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล... ไม่ค่อยแน่ใจตามที่ “พี่หาร” เขาชี้ เพราะดูแล้วมันไม่ได้สูงไปกว่าลูกอื่นเลย ขอบคุณและลาบรรดาทหารหาญ ขึ้นรถขับต่อไปจนสุดเขตประเทศไทยด้านตะวันตก ตรงนี้เรียกว่า “บ้านหินกอง”

    บนแนวเขาแบ่งเขตไทย-พม่า มีธงไตรรงค์ติดหราโบกสะบัดอยู่ในลมอรุณ พวกเราถ่ายรูปกับป้าย “สุดเขตประเทศไทย” แล้วปีนขึ้นไปบนเนินธง พิจารณาเขาช้างเผือก ดูว่าเข้าเค้ากับที่หลวงพ่อบอกขนาดไหน... ​
    [​IMG]
    สุดเขตแดนไทยบ้านอีต่อง

    “เป็นเทือกเขาโดดเดี่ยว มีแนวเขาขนาบทั้งซ้ายขวา ถ้าหันหน้าไปทางตะวันออก ด้านซ้ายมือจะเป็นคันกั้นน้ำ..” บ๊ะ..ด้านซ้ายมือก็ดันอยู่ตรงข้ามกับที่เรายืนอยู่ แล้วจะไปเห็นคันกั้นน้ำอย่างไรเล่าเหวย..?
    แต่อย่างอื่นเข้าเค้าหมดทุกอย่าง กะด้วยสายตาแล้วต้องไกลไม่ต่ำกว่า ๑๐ กิโลเมตร แบบนี้เดินกันอานแน่ ๆ ที่สำคัญคือ ไม่ได้พกเสบียงมาเผื่อด้วยนะซิ...

    จ่าชิต จ่าไก่ แดง แสงชัย ขนอาหารเช้าขึ้นมา ตั้งวงปิกนิกกันตรงโคนเสาธงนั่นแหละ อาบแดดโต้ลมหนาว กินข้าวกลางแผ่นดินแผ่นฟ้า บรรยากาศยอดเยี่ยมแบบนี้ ไปสรรหาที่ไหนก็ไม่มีเหมือนเด็ดขาด...
    กับข้าวมีน้ำพริกปลาทู แกงคั่วถั่วฝักยาว แกงจืดผักกาดดอง แถมด้วยปลาเจที่แม่ของเกียงทำมาให้ด้วย โลกนี้เป็นของเรา จะไปหาอาหารที่อร่อยและบรรยากาศดี ๆ แบบนี้มาจากไหน...
    หมาพม่า ๒ - ๓ ตัว ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ พอโยนอาหารให้ก็ฟัดกันฝุ่นตลบ ไม่ว่าหมาพม่า หมาไทย มันก็ทุกข์ด้วยหิวไส้กิ่ว หากินไม่ได้ดังใจ ด้วยกันทั้งนั้น

    หมาทุกข์แบบหมา คนทุกข์แบบคน

    คำสั่งอาตมาให้กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กวาดให้เหี้ยนในมื้อนี้ เพราะไม่คิดจะไปต่ออีกแล้ว เอาไว้คราวหน้าเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ค่อยมาใหม่ ครั้งนี้แค่ความหนาวก็สู้ไม่ไหวแล้ว ถอยดีกว่า...
    เก็บล้างจานชาม อาตมาแสดงวิธีใช้น้ำแก้วเดียวล้างจานทุกใบให้คนอื่นดู แล้วเก็บถ้วยโถโอชามใส่รถ เดินชมวิวถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย อาตมากับจ่าชิต จ่าไก่ เดินขึ้นเนินไปดูแนวตั้งรับของทหารพม่า...

    ทะเลภูเขาสีเขียวคราม แน่นขนัดสลับซับซ้อนสุดสายตา ฝั่งของเขายังเป็นป่าดิบสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ฝั่งของเราภูเขาทุกลูกโล้นเลี่ยน แบ่งเขตอย่างชัดเจนเลยว่า สีเขียว คือฝั่งพม่า สีน้ำตาลคือฝั่งไทย...

    กลับลงมาที่รถ ขับลงไปที่บ้านอีต่องตามเดิม ตลอดทางมีแต่ภาษาพม่า ขาลงแบ่งง่าย ๆ ว่า ขวาพม่า - ซ้ายไทย แบ่งเขตกันแค่ถนนกั้น จ่าชิตจะพูดด้วย พวกเขาเอามือชี้ปากแล้วโบกมือแปลว่าพูดไทยไม่ได้จ้ะ...

    มี วัดเหมืองปิล็อก ที่สร้างโบสถ์และศาลาค้างเติ่งไว้ สมัยแร่ราคาดีๆ แถวนี้เงินสะพัด ขนาดกุลีในเหมืองดื่มคลอสเตอร์จิบวิสกี้ พอราคาแร่ตกลงมา กระทั่งวัดวาอารามก็ถูกทอดทิ้งไม่สร้างต่อ อนิจจัง..อนิจจา...
    ถึงฐานทหารพบ สิบเอกสมพร กาฬพันธุ์ พอไล่รุ่นกันดู กลายเป็นรุ่นศิษย์ของศิษย์อาตมาอีกที หมู่สมพรพาเข้าหมู่บ้านไปหาผู้ใหญ่บ้าน แนะนำว่าพวกเราจะไปเขาช้างเผือก จะฝากไปกับรถจี๊ปกลางของผู้ใหญ่ด้วย...

    อาตมาต้องบอกว่าคราวนี้ยังก่อน เอาไว้คราวหน้าเตรียมตัวมาดีกว่านี้ แล้วจะให้นำทางให้ ผู้หมู่เลยให้ข้อมูลมาว่า เขาช้างเผือกมีถ้ำ มีน้ำตกชื่อ “น้ำตกผาดิ่ง” สูงตั้ง ๕๐ เมตรแน่ะ...

    มีลำห้วยไหลผ่านด้วย สัตว์ป่ายังชุกชุมมาก ถ้ามาคราวหน้าให้เตรียมเครื่องนอน เสบียงกรัง และอาวุธปืนสำหรับป้องกันตัวมาด้วย ต้องเดินกันเป็นวัน ถ้าขบวนใหญ่ไปช้า ต้องค้างคืนแน่นอน...

    ขอบใจไอ้น้องแก้ว แล้วย้อนกลับลงมา พบดอกไฮเดรนเยีย ดอกโตเท่าลูกฟุตบอลทั้งแปลง ให้แสงชัยโดดลงไปถ่ายรูปไว้ ดอกไม้เมืองหนาวงอกงามที่นี่ เพราะภูมิอากาศมันเหมาะสมมากนั่นเอง...

    มีมอญสองคนชายหญิง โบกรถขออาศัยไปด้วย โดนแดงกระชากเข้าไม่กี่โค้ง ก็โบกมือบ๊าย - บาย ขอลงแค่หน้าเหมืองปิล็อก ไม่ทันสังเกตว่าตรงที่แกนั่งเปียกหรือเปล่า..!
    ผ่าน “ปิล็อกฮิลล์” ศูนย์ทดลองเพาะชำไม้เมืองหนาว หัวหน้าชาติชายให้แวะเข้าไป ถามแม่เสือสาวที่ผ้าถุงปักลายเสือโคร่งตัวมหึมาว่า จะเข้าไปขอชมข้างใน ต้องขออนุญาตจากใคร..? ​
    [​IMG]
    ปิล็อกฮิลล์

    แม่เสือบอกว่าให้ไปถาม “นายเส่ง” ฟังชื่อแล้วเป็นพม่ารามัญ ไหนหัวหน้าชาติชายบอกว่า เจ้าของเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตร ได้ทุนจากต่างประเทศมาทำการวิจัยไงล่ะ..

    “เจ้าของคงไม่อยู่ครับ เดี๋ยวไปขออนุญาตผู้ดูแลก็ได้”

    เดินเข้าไปพบคนงานกำลังสร้างเรือนเพาะชำขนาดใหญ่ ๔ - ๕ คน กลิ่นปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักตลบอบอวล ข้ามสะพานเล็ก ๆ ไปยังเรือนเพาะชำด้านหลัง พบนายเส่งยืนรออยู่ แจ้งความประสงค์ว่ามาขอชมแปลงทดลองของเขาหน่อย...
    ผู้ดูแลคนนี้พูดไทยไม่ชัด แต่พอนำชมแปลงทดลอง ออกชื่อพันธุ์ไม้เป็นภาษา อังกฤษชัดเปรี๊ยะเลย ภายใต้เรือนเพาะชำที่พรางแสงด้วยตาข่ายพลาสติคสีดำ บรรดาไม้ดอกเมืองหนาวชูดอกบานสะพรั่ง...
    เยอบีร่า ลิลลี่ บีทูเนีย แอสเตอร์พีค็อค เบ็ญจมาศ รักเร่ เทียนซ้อน ผักเสี้ยนฝรั่ง ที่กำลังเริ่มทดลองทำวิจัยก็มี เช่น แอสโทรมีเรีย ไลเซนธัส และพันธุ์ไม้แปลก ๆ ไม่ทราบชื่ออีกมากมาย...
    น้าเล็ก พี่มุกดา ลูกปลา มุดไปมุดมาให้ตากล้องช่วยถ่ายรูป ตามประสาผู้หญิงกับดอกไม้ หัวหน้าชาติชายงัดเอาสไลด์ขึ้นมาถ่ายเป็นการใหญ่ แดงกับแสงชัยใช้กล้องอัตโนมัติอีกคนละตัว เอา..เอากันให้พอ...
    เห็นผลงานฝีมือคนไทยโดยทุนต่างประเทศแล้วสลดใจ คนของเราที่มีฝีมือมีนับไม่ถ้วน แต่ขาดการสนับสนุนจากพวกเรากันเอง ปล่อยให้ต่างชาติมาตักตวงความรู้ความ สามารถจากคนของเราไปจนหมด...
    แบบเดียวกับหัวหน้าชาติชาย ออกสนามมาคลุกดินคลุกทรายแล้วแจ้งผลวิจัยให้บรรดาด๊อกเตอร์หงายท้องไปตามๆ กัน ผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างประเทศรับข้อมูลบางอย่างไปทำให้หูตาสว่างขึ้นอีกมาก...
    แต่บุคคลากรแบบนี้มักอาภัพ เสือกเกิดมาเก่งข้ามหน้าข้ามตาคนอื่นเขา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดมหันต์ สมควรถูกดองไว้ในป่าในเขา ห้ามมีความเจริญก้าวหน้าเป็นอันขาด..!
    ไม่สนับสนุนก็ไม่ว่า จะเหยียบย่ำซ้ำเติมขนาดไหนก็ไม่บ่น แต่ที่แสบที่สุดบางคนนั้นขโมยลอกผลงานวิจัยไปทั้งดุ้น แล้วแอบอ้างว่าเป็นผลงานของตน ช่างไม่มีความละอายแก่ใจกันบ้างเลย..!
    ถ้าปลงตกได้ถือว่าเป็นกรรมเก่าก็ไม่มีปัญหา กลัวเจอประเภทระเบิดเวลา อัดอั้นตันใจมาก ๆ เข้า ก็แหลกกันทั้งแถบเท่านั้นเอง..! เฮ้ย..จะมาฟุ้งซ่านอะไรมากมายขนาดนั้น.. พอกันที..จบแค่นี้แหละ...
    บอกลาและขอบคุณผู้ดูแล แล้วกลับออกมาตามเดิม ตอนนี้แดดขึ้นสูงเห็นทิวทัศน์ชัดเจน ความหวาดเสียวประดามีรู้สึกจะมารวมกันอยู่ที่เดียว รถทิ้งโค้งทีเรียกหาพระกันโดยถ้วนหน้า... นิพพานํ สุขํ...

    เห็นขบวนรถที่มาซ่อมสร้างทางสายนี้ จอดเรียงรายเป็นระยะไป ผ่านศาลเจ้าพ่อเทือกเขาตะนาวศรี เมื่อเช้ามืดอาตมาตาลายเห็นศาลท่านเป็นรถบดถนน ลาละนะ..เจ้าพ่อ..งวดหน้าจะมารบกวนใหม่...

    รถบรรทุกของพวกซ่อมสร้างทาง สวนขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทำเอาพวกเรากินฝุ่นอ่วม อรทัยไปเลย... มีพระสามองค์โบกรถขออาศัยไปด้วย อาตมาโดดลงเปิดท้ายรถให้ท่าน ญาติโยมเห็นสารรูปของอาตมาก็หัวเราะกันเกรียว...

    “เดี๋ยวจะหาหมากให้เคี้ยวด้วย จะได้เหมือนยิ่งขึ้น” น้าเล็กว่า

    อาตมาเหลือบดูในกระจก.. ตายห่..ทั้งผมทั้งขนคิ้วขนตาถูกฝุ่นเกาะขาวโพลงไปหมด กลายเป็นหลวงตาแก่ สมบูรณ์แบบไปเลย..!

    ไปได้ไม่นานพระท่านก็ขอลง ไม่ทราบว่าถึงจุดหมายหรือไม่กล้านั่งต่อก็ไม่รู้ ? แดงขับตะบึงมาถึงแปลงหก ลงอาบน้ำอาบท่า ล้างหน้าล้างตาเป็นการใหญ่ ขนถ้วยชามลงเก็บในครัวเรียบร้อยแล้วไปต่อ...

    เข้าทางสังขละบุรี ตรงไปวัดหลวงพ่ออุตตะมะ บินละลิ่วไปไม่นานก็ถึง น้ำตกเกริงกราเวีย หยุดพักรับประทานอาหารกันที่นี่ เจ้าของร้านมีลูกชะนี ๑ ตัว พอเห็นอาตมาชะนีน้อยก็โผเข้าหา กอดซุกหน้ากับจีวร ดูดนิ้วเหมือนเด็ก ๆ เวรกรรมแท้ ๆ..!

    ลูกเอ๋ย..พลัดพ่อพลัดแม่มาอยู่กับคน ต่อให้เขาเลี้ยงเจ้าดีปานใด ไหนเลยจะเหมือนได้อยู่ในอ้อมอกแม่อันอบอุ่น พอพบพระก็เหมือนเจ้าจะรู้ โผผวาเข้ายึดเป็นที่พึ่งพิง...
    ดูซิ..ผ่ายผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก ขนหยาบแห้งดูไม่ได้เลย.. หลับตาดูดนิ้วอย่างกับเด็ก พอขยับตัวก็ผวายึดจีวรแนบแน่น เกรงว่าจะถูกทอดทิ้ง..ชาติก่อนไปพรากแม่พรากลูกเขาไว้ ชาตินี้เจ้าจึงต้องใช้หนี้กรรม...
    อดทนใช้หนี้ไปนะลูกนะ..ชาติหน้าขอให้เจ้าได้เกิดในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าเป็นไปได้ขอให้เจ้าจดจำจีวรนี้ไว้ วาระสุดท้ายของชีวิตขอให้ภาพนี้จงปรากฏชัดแก่ใจเจ้า จะได้เป็นเครื่องนำเจ้าไปสู่สุคติภูมิด้วยเถิด...

    ฉันเพลก๋วยเตี๋ยวกับส้มตำ เจ้าชะนีน้อยหลับปุ๋ยเลย คงนานมาแล้วที่ไม่ได้หลับสนิทเช่นนี้ ว่าจะแบ่งส้มตำแสนอร่อยให้บ้าง ก็ไม่อาจหักใจปลุกขึ้นจากความฝันอันสวยงาม มาพบกับความจริงที่แสนจะทารุณ...

    ทุกคนอิ่มดีแล้วจ่าไก่กับจ่าชิตแย่งกันจ่าย ท้ายสุดคงกลายเป็นน้าเล็กจ่ายหรือใครก็ไม่รู้ เรียกเจ้าของมาอุ้มเจ้าชะนีน้อยกลับไป เห็นตาละห้อยแล้วร่ำ ๆ จะขอมาเลี้ยงซะเอง เฮ้อ..ภาระเราอีกเยอะคงจะเลี้ยงไม่ไหว...

    พอออกรถก็ได้เรื่อง เฟืองท้ายบดกันดังอย่างกับตะเข้ขบฟัน น้ำมันเฟืองท้ายรั่วหมดนะซิ จากที่เถาวัลย์เข้าไปพันนั่นแหละ คงทำเอาซีลรั่วไปด้วย แรก ๆ ก็ยังไม่มีปัญหา พอน้ำมันหมดก็เหลือแต่โลหะบดกันเอง...

    ค่อย ๆ ไปไม่ต้องรีบร้อน ยังมีแก่ใจรับผู้โดยสารที่โบกรถไปด้วยอีกสองคน ถึงทางแยกเข้าด่านเจดีย์สามองค์ มีปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ แวะเข้าไปปรากฏว่าไม่มีซีลขาย เติมน้ำมันเฟืองท้ายไปแล้วกัน...

    ของเก่าเป็นน้ำมันทนความร้อนเบอร์ ๙๐ ที่เติมอยู่นี่เบอร์ตั้ง ๑๔๐ เพิ่มความหนืดขึ้นตั้งหลายเท่า อัดเข้าไปสองลิตร ซื้อน้ำเปล่าเพิ่ม แล้วตรงแน่วไปวัดวังก์วิเวการาม

    เก็บตกผู้โดยสารไปหย่อนทางแยกเข้าอำเภอ แล้วตรงเข้าวัดไป ขอให้พระท่านเปิดโบสถ์ เข้าไปกราบพระพุทธรูปหินอ่อนองค์ใหญ่ ใครต้องการวัตถุมงคลก็ซื้อหากันตามอัธยาศัย ขากลับลูกปลาลองวัดพื้นเล่น ๆ ว่ากว้างยาวเท่าไร...
    ลงไปที่ พุทธคยามหาเจดีย์ เทวดาที่รักษาท่านแต่งตัวพิลึกดี จ่าไก่บอกว่า

    “ยักษ์” ท่านเถียงว่า
    “กุมภัณฑ์โว้ย...”

    นอกจากจ่าชิตกับจ่าไก่แล้ว ก็มีแต่แดงอีกคนที่ยังไม่เคยมาเลยไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น...
    น้าเล็กไปต่อราคาซื้อผ้าลายพม่ามาจนได้ อาตมาเล่าเรื่องพระนันทะออกบวชประกอบรูปที่เขาเขียนไว้ ส่วนยอดโชเฟอร์ทายปัญหาว่า ทำไมสิงโตจึงนั่งอ้าปาก..? พอเฉลย ออกมาหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง...

    ขากลับไม่ต้องห่วงเฟืองท้าย แดงจับเวลาว่า ๗๔ ก.ม. ที่คนอื่นขับกันสองช.ม. ครึ่งถึงสามช.ม.นั้น ถ้าเจอกับมือระดับเขาจะทำเวลาเท่าไร ปรากฏว่าใช้เวลา ๑ ช.ม. กับ ๓ วินาทีเท่านั้น..!
    เจอรถซุงที่สวนกันตั้งแต่ขาไป ยังกระดืบไปทีละนิ้วอยู่ที่เนินแรกอยู่เลย เจ้าเนินมหาประลัยนี้แดงใช้เกียร์สองผ่านตลอด ทุกคนหลับกันโงกเงก เหลืออาตมากับโชเฟอร์นั่งตาใสเพียงสองคน...

    แวะล้างหน้าล้างตาที่แปลงหก เอาไฟฉายกับน้ำดื่มมาเพิ่ม แล้วออกรถไปบ้านลุงปาน จะให้แกช่วยนำทางไปถ้ำเหล็กไหล ผ่านต้นไม้ใหญ่ข้างทาง อาตมาชี้ให้ทุกคนดู ผึ้งหลวงรังมหึมาเลย..!

    ถึงบ้านลุงปานไม่อยู่ รอจนเที่ยงจึงไปอีกบ้านหนึ่งที่อยู่ติดแปลงหก หัวหน้าชาติชายเกาหัวอย่างขัดใจ อยู่ติดกันชนิดขว้างหลังคาบ้านกันได้ ดันตะกายมาหาแกที่กลางป่านี่...

    กลับทางเดิม..มาถึงต้นไม้ที่ผึ้งจับอยู่ เพิ่งเห็นชัด ๆ ว่ามีตั้ง ๔ - ๕ รัง เคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่อง “ต้นผึ้ง” ว่าบางต้นมีเป็นร้อย ๆ รัง อาตมาก็เพิ่งพบต้นนี้แหละ ที่มีตั้งหลายรังอยู่ติด ๆ กัน...
    มีร่องรอยคนตอกทอยไปแล้วเกือบครึ่งต้น แบบนี้มีหวังเสร็จเขาแน่ อาตมาเกิดความคิดพิสดารว่า ถ้าช่วยกันแหย่มันให้ดุเข้าไว้ คนจะได้ไม่กล้ามาเอารังของมัน เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย ลงไปเขย่าก็มีหวังหัวเป็นลูกมะกรูดแน่ ต้องเล่นระยะไกล...
    ใช้ปืนสั้นออโตเมติก ซีแซด เอ็ม. ๘๕ ของหัวหน้าชาติชาย พาดขอบหน้าต่างเลย ยอดโชเฟอร์เบิ้ลเครื่องรอ ถ้ามันพรูลงมาก็เผ่น...

    “ปัง..ปัง”

    เงียบฉี่...จะยิงรังก็กลัวตัวมันตาย ยิงกิ่งที่เกาะกิ่งก็ใหญ่เกินไป ไม่สะเทือน แสงชัยกับแดงซัดอีกคนละชุด แค่มันกระพือปีกเท่านั้นเอง..ไม่รู้สึกรู้สาเลย..ไปดีกว่า...
    อกมาหน่อยเดียวพบชาวบ้านหลายคนนั่งเรียงแถวอยู่ข้างทาง พวกนี้ละมั้งที่เป็นคนตอกทอย ? มารออย่างกับแร้งรอเหยื่อเลยนะ หวังว่าคืนนี้พวกเอ็งคงจะโชคดี ไม่ถึงกับตกลงมาตายนะเว้ย..!

    เข้าไปถึงบ้านลุงปาน จอมเพชฌฆาตออกมาต้อนรับ ทีแรกแกคิดว่าเราจะไปถ้ำอื่น พอรู้ว่าจะไปถ้ำเหล็กไหลแกก็หน้าเบ้..

    “ไปทำมั้ย..? มันหายใจยาก ไฟก็จุดบ่ติด..” แกว่า...

    ได้รายละเอียดเพิ่มว่า ที่ถ้ำนั้นเวลาเข้าไปจะอึดอัดหายใจไม่ออก ไฟก็จุดไม่ติด ไฟฉายถ่านใหม่ ๆ ถ้าเข้าไปจะหรี่เหลือนิดเดียว

    “มันจะเป็นเหล็กไหลซะละมั้ง..? ลุงลองใช้ปืนยิงดูหรือเปล่าล่ะ..?”

    แกบอกว่าเปล่า และช่วงที่เป็นแบบนั้นเป็นแค่ปากถ้ำ ลึกเข้าไปหายใจสะดวกดี มีแอ่งน้ำอยู่ในถ้ำด้วย ใช้ดื่มกินได้ หัวหน้าชาติชายนัดแนะเวลากับแกว่าจะมาเมื่อไร ขณะที่แสงชัยสาธิตการขว้างดาบปลายปืนให้จ่าไก่ดู...

    กลับมาอาบน้ำอาบท่า ซักผ้ากันให้เรียบร้อยแล้ว อาตมานั่งคุยกับจ่าชิต หัวหน้าชาติชายสั่งงานแม่ครัว แล้วพาทุกคนไปเล่นน้ำที่สระใกล้ ๆ เปียกโชกกลับมาอย่างกับลูกหมาตกน้ำ...

    จ่าชิตสอบถามเรื่องการรักษาศีลแปด คุยไปคุยมาชักมัน ทุกคนมาร่วมวงด้วย ผู้ช่วยสมชายพาแม่เบ็ญมาถึง บอกว่าอีแก่ถึงซ่อมคลัชเสร็จใช้งานได้แล้ว แต่มันก็หาเรื่องรวนจนได้เกือบจะมาไม่ถึงซะแล้ว...
    อาหารเย็นขาดจ่าชิตไปอีกคน เพราะตั้งใจรักษาศีลแปดบ้าง หลังอาหารอาตมาสั่งสั้น ๆ ว่า ให้ทุกคนเตรียมของใช้จำเป็นสำหรับสองวัน ของที่เหลือทิ้งไว้ที่นี่ ออกจากบึงลับแลค่อยกลับมาเอา...
    เสบียงพร้อม มีบะหมี่สำเร็จรูป ๑ ลัง ปลากระป๋องหลายสิบกระป๋อง ข้าวสารทั้งข้าวจ้าวข้าวเหนียว พร้อมกับข้าวที่จ่าไก่เตรียมพิเศษมาต่างหาก ของเหล่านี้ซื้อจากตลาดทองผาภูมิและตลาดเขื่อนเขาแหลม...

    อาตมากลับมีของมากขึ้น เพิ่มกลดมาอีก ๑ คัน และของใช้กระจุกกระจิก น้าเล็กจะกลับพรุ่งนี้ ขอให้ผู้ช่วยสมชายไปส่งที่ท่ารถ เตรียมข้าวของเรียบร้อยก็หาที่นอนกันตามอัธยาศัย เก็บแรงไว้ลุยวันพรุ่งนี้...

    ************************

    หลังอาหารเช้าน้าเล็กขอแยกกลับ ทำอย่างไรก็ไม่หลงคารมอีก ส่วนหัวหน้าชาติชายตามไปล็อกคอลุงปานมากินข้าวเช้าด้วยกัน กลัวแกจะหนีเข้าป่าไปซะก่อน อิ่มแล้วขนเสบียงและของใช้จำเป็นขึ้นรถ...
    เห็นของจำเป็นของแม่เบ็ญแล้วปลงอนิจจัง เป็นมะม่วงกับขนม แม่จ๋า..ลูกพระไม่อดตายหรอกจ้ะ ไปเดินป่าไม่ใช่เดินห้างสรรพสินค้า ถึงเวลาเหนื่อยขึ้นมาอย่าว่าแต่ของนอกกายเลย ลมหายใจยังอยากโยนทิ้ง..!

    พร้อมแล้วเคลื่อนขบวน ตรงไปบ้านลุงปานก่อน เลี้ยวออกจากบ้านพัก เหยี่ยวนกเขาบินปร๋อตัดหน้ารถ หายเข้าไปในดงยูคาลิปตัส ขึ้นถนนหน่อยเดียวก็เลี้ยวซ้ายลงทางฝุ่น...ยาวเลยลูกพี่...
    ปิ๊คอัพสีขาวจี้ตามมาติด ๆ ป่าไม้ตงฉินบอกว่า เป็นลูกน้องของหัวหน้าแปลงทดลองตัวแสบ คิดว่าเราไปเอาเหล็กไหล เลยตามมาขอส่วนแบ่ง จัดการมันเลย..!
    ยอดโชเฟอร์พารถทะยานไปอย่างรวดเร็ว ควงพวงมาลัยให้ล้อตะกุยฝุ่นขึ้นมาเป็นปีกอย่างกับเรือแหวกคลื่น ควันสีแดงตลบอบอวลจนมองแทบไม่เห็นถนน อยากงกดีนักแกล้งซะให้เข็ด..!

    แวะบ้านลุงปานให้จอมพรานลงไปเอาอาวุธกับเครื่องครัว ผู้ติดตามไม่ได้รับเชิญตามมาถึง อาตมากับแดงแยกเป็นคนละมุมโดยไม่ต้องนัดหมาย แต่เตรียมพร้อมเก้อเพราะเขาไม่คิดล้างแค้น...
    ลุงปานเอานายต๊อกลูกชายไปด้วย ออกจากบ้านแกบุกลึกเข้าไปตามทางฝุ่น รอยงูเลื้อยผ่านถนนไปสด ๆ ร้อน ๆ กว้างเกือบสองฝ่ามือ หัวหน้าชาติชายบอกว่า

    “คงเป็นงูเห่า” ทำไมมันใหญ่นักเล่า..?

    ถึงแปลง ๒๘ ก็จอดรถ แอบเอาไว้ข้างทาง ให้นายส่างวินคนงานชาวทะวายเฝ้าไว้ พวกเราพกน้ำกับไฟฉายเต็มอัตรา อาวุธอีกต่างหาก เดินลัดป่าตรงเข้าหาเชิงเขาที่มองเห็นอยู่ข้างหน้า...

    อากาศร้อนแห้งแล้ง การเผาป่าทำให้ไฟป่าลามไปทั่ว มองไปทางไหนก็มีแต่ขี้เถ้าดำๆ ประสบการณ์จากการเดินป่า ทำให้ทุกคนตัดไม้ทำไม้เท้า เพื่อความสะดวกในการขึ้นเขา อาตมาถอดรองเท้าใส่ย่าม... ​
    [​IMG]
    ไปถ้ำเหล็กไหล

    ทางขึ้นชันดิ่งเจ็ดสิบองศา แถมใบไม้แห้งร่วงหล่นลงมามากมาย ทำให้ลื่นจนบอกไม่ถูก ขึ้นไปได้แค่ตะพักแรกแม่เบ็ญก็เสร็จ ลมใส่ร่วงตึง เรอเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข หน้าขาวเป็นกระดาษชำระ..!
    มะม่วงกับขนมและของส่วนตัวฝากใครไว้ก็ไม่รู้ ร้องอยู่แค่ว่า

    “ไม่เอาแล้ว ไม่ไปแล้ว ทิ้งแม่ไว้นี่แหละ..”

    นั่นแน่..พาลเป็นเด็กไปเลย ป่าแบบนี้ขืนทิ้งไว้ไอ้โคร่งก็ได้อาหารมื้อใหญ่เท่านั้นเอง...
    ทั้งยาดมยาหม่องขนมาแทบหมดตลาด ช่วยกันปฐมพยาบาลกันยกใหญ่ เหตุผลสารพัดนำมาอ้าง เพื่อให้ลากสังขารต่อไป ต้องทุกข์ซะให้เข็ด จะได้ไม่อยากมาเกิดอีก

    พอเดินไหวก็ประคับประคองไป แดงกับหัวหน้าชาติชายช่วยกันหิ้วปีก จ่าไก่ กับจ่าชิตคอยระวังข้าง..

    “ฮองเฮาเสด็จแล้ว...”

    แหม..ถ้ามีขันทีตะโกนนำหน้าละใช่เลย..ฮ่า..!

    ลัดขึ้นร่องเขาตรงหน้า เลี้ยวซ้ายลงไปในหุบเขา รอยหมูป่าทั้งฝูงผ่านไปสดๆ ร้อนๆ ฝูงใหญ่ไม่น้อยกว่า ๒๐ ตัว มัคคุเทศก์มือพิฆาตมองตามรอยอย่างอาลัยอาวรณ์ คงอยากตามไปยิงใจจะขาด...

    ขึ้นเนินแล้วลงที่ราบในหุบเขาอีกที ได้เป็นลมซะหน่อยแม่ก็คล่องขึ้นเยอะ พอเครื่องติด คราวนี้จะเดินนำแฮะ..เบาๆ หน่อยจ้ะแม่..เดี๋ยวคนอื่นตามไม่ทัน เอ้า..เลี้ยวขวาหน่อย...
    อ้อมเข้าดงไผ่นิดเดียวก็เจอปากถ้ำ กว้างขวางไม่เบา พอเห็นลักษณะหินงอกหินย้อย อาตมา หัวหน้าชาติชาย และยอดโชเฟอร์ ก็เหลียวมองตากัน... มันถอดแบบมาจากถ้ำมรกตเปี๊ยบเลย..!

    อาตมากระซิบให้ทั้งสองคน อย่าเพิ่งกระโตกกระตากอะไรออกไป มองสำรวจรอบตัว บนปากถ้ำมีหินย้อยเป็นรูป “ปลัด” อันใหญ่ ถ้ามันใหญ่ขนาดนี้คงไม่ใช่ปลัดอำเภอแน่ ต้องระดับปลัดจังหวัดหรือปลัดกระทรวงเลยล่ะ..!
    ไฟฉายพร้อม อาตมาทดลองเดินเข้าไปก่อน รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เรียกทุกคนลงมายกเว้นแม่เบ็ญ พอเดินพ้นช่วงปากถ้ำก็หายใจสะดวก หินงอกหินย้อยงดงามดั่งความฝัน เสียอย่างเดียวมืดไปนิด...

    ทางซ้ายมือเป็นแอ่งน้ำ นายต๊อกลูกชายลุงปาน ปลดแกลลอนที่แบกติดหลังมา ตักน้ำจนเต็มแล้วแอบไว้ข้างทาง เขาเผื่อว่าถ้าคราวหน้ามาล่าสัตว์ จะได้เข้ามาเอาน้ำดื่มที่เตรียมไว้นี้...

    ยิ่งเดินลึกก็ยิ่งสวย หินงอกบางก้อนคล้ายหัวพญานาค บางก้อนขาวสะอาดประดุจหยก บ้างเป็นช่อเป็นชั้นสวยจนบรรยายไม่ถูก มีหินย้อยก้อนมหึมาเท่าบ้านเท่าตึก หักหล่นลงมาหลายก้อน...

    เห็นว่าไม่มีอันตรายแน่นอน อาตมาก็ออกมาตามแม่เบ็ญเข้าไป พอเห็นความงามภายใน แม่เบ็ญก็ชื่นชมเป็นการใหญ่ ถ้าไม่เข้ามาละก็เสียดายแย่เลย เดินไปไม่ถึงครึ่งทาง ก็มีคนสวนออกมาอย่างเร่งร้อน
    ผู้ติดตามไม่ได้รับเชิญทั้งสามนั่นเอง บอกว่าอึดอัดหายใจไม่ออก ขอกลับก่อน ลุงปานกับนายต๊อกก็ขอออกไปรอหน้าถ้ำ เอ้า...ตามสบาย พวกเราไม่เห็นเป็นอะไร เลยพาแม่เบ็ญเดินลึกเข้าไปอีก...

    น้ำหยดเปาะแปะทั่วไป กลิ่นฉุนของกรดบางอย่างกระทบจมูก ลัดเลาะเข้าไปตามซอกหิน ทางชันขึ้นทุกที แถมลื่นมากอีกด้วย หัวหน้าชาติชาย พี่มุกดา แสงชัย จ่าชิต จ่าไก่ ลูกปลา และแดง ปีนขึ้นไปช่วงบนแล้ว...

    ข้างบนคอยรับแม่เบ็ญขึ้นไป ตะพักแต่ละแห่งลื่นอย่างกับทาน้ำมัน แม่เบ็ญร้องไม่ไปท่าเดียว แต่สู้เสียงข้างมากไม่ไหว ถูกฉุดบ้างผลักบ้างขึ้นไปจนได้ ข้างบนนี้เฉอะแฉะเป็นโคลนท่วมข้อเท้าเลย...
    ตามผนังถ้ำมีหินผุๆ สีกระดำกระด่างคล้ายอ๊อกไซด์ของเหล็ก พื้นโคลนระเหยกรดขึ้นมาฉุนกึก มีหินงอกเป็นกรงตามธรรมชาติ หัวหน้าชาติชายมุดเข้ากรงไปให้ถ่ายรูป...
    ปรึกษากันแล้วมีความเห็นตรงกันว่ากลับดีกว่า ค่อยๆ ไต่ลงมา รับกันเป็นช่วงๆ ไปตอนขึ้นไม่ได้สังเกต ขาลงจึงรู้ว่าขึ้นมาซะสูงลิบลิ่ว แม่เบ็ญ พี่มุกดา และลูกปลา ต้องระวังตัวเพิ่มเป็นสองเท่า...
    อาตมาจะลงไปดักรับคนอื่น จึงอ้อมลงหมายลงทางด้านข้าง ไม้เท้าที่ยันเป็นหลักลื่นวูบ..

    “ตุ้บ..! พลั่ก..! โครม..!”

    สบาย..ไปทางลัด ลงไปแอ้งแม้งอยู่ข้างล่าง ท่ามกลางความตกใจของทุกคน..!
    หัวเข่าขวากระแทกหินปวดชาดิก... สะโพกขวาคราก นิ้วก้อยเท้าซ้ายถูกหินบาด ในความมืดยังรู้สึกว่าเลือดหยดติ๋ง ๆ ตีหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ บอกให้ทุกคนลงมาตามปกติ ทั้งที่ตัวเองจะยืนไม่ติดอยู่แล้ว...
    กว่าทุกคนจะลงมาถึง อาตมาก็หายจากอาการปวด จึงกัดฟันเดินต่อ ตรงไหน สวยก็หยุดถ่ายรูปกัน บางช่วงเห็นชัด ๆ ว่าแสงไฟฉายหรี่วูบจนเกือบดับ แสดงว่าช่วงนั้นรังสีแรงกว่าช่วงอื่น...

    โผล่ออกปากถ้ำ รู้สึกวูบวาบตามกระบอกตา คล้ายกับโดนยาหม่อง คงเป็นแก๊สบางประเภท ที่ทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่ออ่อน ๆ ไม่ทราบว่าจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า..?
    พักดื่มน้ำกันที่ปากถ้ำ แม่เบ็ญมาดูอาการด้วยความเป็นห่วง อาตมาพยายามทำท่าว่าสบายดี หันไปต่อว่าลุงปานว่า ไม่เห็นจะมีอะไรพิสดารอย่างที่ว่ามาซัก...
    มัคคุเทศก์ท้าให้ลองจุดไฟดู อาตมางัดเทียนต้นเบ้อเริ่มจากย่าม หัวหน้าชาติชายจุดด้วยไฟแช็กแก๊ส น่าแปลก..ปกติแล้วเทียนต้นขนาดนี้ เปลวเทียนต้องยาวราวนิ้วครึ่ง...
    แต่นี่มันหดเหลือจุดเล็ก ๆ เท่าเม็ดถั่ว ดูท่าไม่เต็มใจจะติดเอาซะเลย ลุงปานท้าให้เดินเข้าถ้ำไป ถ้าไฟยังติดอยู่ได้จะเอาอะไรจากแกก็ได้ อาตมารับคำท้า ค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง...
    ทีแรกก็ยังปกติ แต่พอช่วงก้าวที่หก เหมือนกับมีอะไรบางอย่าง กดเปลวเทียนดับวูบทันที อาตมาจำตำแหน่งไว้ ออกมาจุดเทียนเข้าไปใหม่ พอถึงตรงจุดนั้นไฟก็ดับทุกที...
    กี่ครั้งก็เป็นแบบนั้น ใครทดลองก็เป็นแบบเดียวกัน ลุงปานบอกให้ลองจุดไม้ขีดดู อาตมาขีดดังฟู่มันดับวับ ขีดดับขีดดับจนแทบจะหมดกล่อง ไม่ติดจริง ๆ ไหน...เอาไฟแช็กแก๊สมาลองดูซิ...
    ขีดพรึ่บติดเปลวยาวเหยียด แต่พอเดินถึงจุดนั้นก็ได้เห็นของประหลาด เปลวไฟคล้ายถูกอะไรผ่าหายไปซีกหนึ่ง จากเปลวยาวรีแบบใบข้าว เหลือเพียงซีกเดียวแหลม ๆ พอผ่านจุดนั้นก็ติดดีเป็นปกติ...

    ยืมไฟแช็กแบบน้ำมันจากจอมพราน ทดลองขีดเท่าไรก็ไม่ติด ต้องใช้ไม้ตายขั้นสุดท้ายแล้ว หัวหน้าชาติชายขึ้นลำอาวุธคู่มือ เข้าไปยืนใต้จุดนั้น เล็งออกไปนอกถ้ำ พอทุกคนหลบพ้นรัศมีก็เหนี่ยวไก...

    “ปัง..!”

    " กระสุนขนาด ๙ ม.ม. คำรามลั่นขี้หูสะเทือน กลับออกมาเล็งเข้าไปในถ้ำ

    “ปัง..!”

    ดังอร่อยเหาะดีแท้ ๆ แปลว่ามันห้ามลูกปืนไม่ได้ แบบนี้ไม่ใช่เหล็กไหลแน่นอน...
    ถ้าไม่มีอากาศ พวกเราก็ต้องหายใจไม่ได้ ถ้าเป็นแก๊สจากใต้ดิน ก็ไม่เห็นมีรอยแตกที่พื้น ถ้าเป็นแก๊สจากการหมักหมม ก็ไม่เห็นมีอะไรที่เน่าเปื่อยทับถมกันแม้แต่น้อย... ปวดกะโหลกเว้ย..!

    ลองจุดเทียนที่นอกถ้ำก็ลุกสว่างดี พอเดินเข้าใกล้ปากถ้ำ เปลวไฟจะหดเล็กลงทันที ป่าไม้ตงฉินเอามือจับเปลวไฟดู บอกว่าไม่ร้อนแบบไฟทั่วไป คล้ายกับมีอะไรมาดูดความร้อนไปหมด..!

    ที่ถ้ำมรกตพวกเราจุดเทียนได้ตามปกติ แสดงว่าแร่ธาตุที่นี่เป็นคนละอย่างกัน จากการแบ่งเปลวไฟไปซีกหนึ่ง แสดงว่าพลังที่แผ่ออกมาคงมีลักษณะคล้ายแพรบาง ๆ ห้อยลงมาจากเพดานถ้ำ...

    ถ้าเป็นเหล็กไหล ทั้งไฟฉาย ไฟแช็ก ไม้ขีด และปืน จะไม่ทำงานเอาเลย แล้วถ้ำสกปรกแบบนี้เหล็กไหลไม่อยู่หรอก วิจารณ์วิจัยอย่างไรก็ไม่ลงตัว ถือว่าติดค้างไว้รอการพิสูจน์ก็แล้วกัน...

    ออกเดินทางกลับ แขกไม่ได้รับเชิญทั้งสามหายไปนานแล้ว ขาลงง่ายกว่าขาขึ้นหลายเท่า แม่ก็คล่องแคล่วว่องไวขึ้น พี่มุกดากับลูกปลานั้นไม่เป็นภาระอยู่แล้ว ผู้ชายไปได้แค่ไหนทั้งสองคนก็ไปได้แค่นั้น...
    สะโพกชักมีปัญหา มันเจ็บแปลบ ๆ เวลาเดิน ทำให้รับน้ำหนักไม่ได้เต็มที่ ช่างมันเถอะ...ตายก็ฝังยังก็ไปต่อ ข้ามร่องเขามาถึงทางลงที่ชันดิ่ง ใบไม้ทำให้ลื่นเป็นสะเก๊ตน้ำแข็งเลย...
    แดงลงไปล่วงหน้า จะไปคอยดักรับแม่เบ็ญที่ข้างล่าง อาตมาเห็นท่าลงของแม่เบ็ญแล้วไม่ไว้ใจ ท่าทางแบบนั้นพลาดลงเหวเอาง่าย ๆ คิดจะตามไปช่วยขาเจ้ากรรมก็ทรยศ เจ็บแปลบจนขาอ่อน รีบเปลี่ยนน้ำหนักตัวแต่ไม่ทัน...

    “เฮ้ย..!”

    มันลื่นไถลพรวดลงไปอย่างกับสกีผาดโผน ชนเอาแม่เบ็ญถอนรากถอนโคนหล่นทับอาตมาอั๊กใหญ่ แล้วพุ่งละลิ่วไปหาแดงอีกคนหนึ่ง

    “ว้าย..! พระช่วยลูก...”

    เสียงแม่เบ็ญอุทานอยู่ข้างหลัง..!
    ช่วยไม่ไหวหรอกแม่จ๋า..พระก็ล้มคว่ำคะมำหงายเช่นกัน แดงหันกลับมาเห็นก็ปักหลักมั่น

    “พลั่ก..!”

    ติดแหง็กอยู่กับหน้าแข้งของแดงทั้งแม่ทั้งลูก ยอดโชเฟอร์ของเรากำลังขาหนักแน่นดีจัง...
    แม่เบ็ญกราบขอขมาเป็นการใหญ่ ไม่เป็นไรจ้ะแม่.. ไม่ใช่จงใจให้เป็น ไม่มีโทษหรอกจ้ะ... นายแรดจอมซ่าส์หิ้วนักสกีจำเป็นทั้งสองขึ้นมา เอ้า..เดินทางต่อ...

    พี่มุกดา ลูกปลา แสงชัย ไถลแข่งกันลงไป เห็นเป็นของสนุกไปเลย “พี่แสงชัย..รับให้ดีนะ...” สิงห์ผยองหันกลับมาก็พบการโจมตีจากนายแรดด้วยขบวนท่า

    “เซียนเหินจากเหนือฟ้า”

    ไม้เท้าชี้ดิ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง พรวดเดียวก็ถึงตัว...
    “เฮ้ย..! เล่นบ้าๆ”

    ต่างคนต่างหัวเราะ แล้วลื่นแข่งกันลงไป ไม้เท้าสะกิดพื้นไม่กี่ทีก็ลงถึงตีนเขา สนุกสนานกันใหญ่...

    พรานนำทางของเราพาลงผิดจุด ต้องเดินลัดกลับไปหารถ เอาน้ำดื่มขึ้นมาแบ่งกันกลั้วคอ รถจากแปลงทดลองจากไปเนิ่นนานแล้ว ขึ้นรถตรงไปยังอีกถ้ำหนึ่ง มีชื่อเป็นที่รู้จักกันดีว่า

    “ถ้ำค้างคาว”

    ไก่ป่าสามตัววิ่งตัดหน้ารถ หายเข้าไปในป่ายูคาลิปตัส เป็นตัวผู้หนึ่งตัวเมียสอง ป่าไม้เสือซุ่มของเราหัวเราะหึ..หึ.. “ร้ายมากนะเจ้าตัวนี้ มีเมียน้อยซะด้วย...” นี่นับว่าน้อยแล้ว บางตัวมีเมียเป็นโหลเลย...

    เลี้ยวขวาเข้าไปไม่ไกลนัก รถวิ่งเข้าถึงเชิงเขาเลย มีแคร่มีกลดแขวนอยู่ เป็นพระ๔ องค์ ชี ๒ องค์ กับฆราวาส ๓ - ๔ คน ได้ยินว่ามาจากโคราช พวกเราโดดลงรถ ปากถ้ำมองเห็นอยู่แค่นี้เอง...
    หาน้ำล้างหน้าไม่ได้ เลยเทน้ำจากกระติกใส่ผ้าเช็ดหน้า เช็ดไม่กี่ทีดำปี๋เลย แต่ละคนมอมแมมอย่างกับแมวคลุกถ่าน ทำความสะอาดหน้าตาจนพอดูได้ ก็ปักหลักฉันเพลตรงหน้าถ้ำนั่นเอง...

    แม่เบ็ญกับหัวหน้าชาติชายหากำไรให้ตนเอง หอบข้าวกล่องไปถวายพระ เล่นสังฆทานแบบง่ายๆ กันตรงนี้เอง มาเที่ยวป่าแล้วได้ทำบุญใหญ่อีกด้วย หาแบบนี้ได้ที่ไหนอีก ชาติชายทัวร์ซะอย่าง...
    กับข้าวเป็นหมูผัดพริก แถมด้วยขนมที่แม่เบ็ญอุตส่าห์หอบหิ้วมา มีหมาตัวหนึ่งมากระดิกหางเลยแบ่งขนมให้มันด้วย แหม...มันเล่นขม้ำแบบไม่หายใจหายคอเลย ไม่มีใครแย่งหรอกช้า ๆ หน่อยก็ได้...
    อิ่มแล้วนั่งพักผ่อนกัน อาตมาจับจั๊กจั่นคู่หนึ่งส่งให้ลูกปลา ถามว่าตัวอะไร..?

    “ตัวเหลือบค่ะ..!”

    เจริญเถอะแม่คุณ..ตัวเหลือบถ้าใหญ่ขนาดนี้มันต้องกินไดโนเสาร์แล้ว..!
    ข้าวเรียงเม็ดดีก็ชักแถวปีนขึ้นถ้ำ อากาศเย็นฉ่ำอย่างกับติดแอร์ แต่พอเห็น สารพัดลายเซ็นต์บนหินงอกหินย้อยแล้ว ก็ให้หมดอารมณ์ มันน่าตัดมือทิ้งนัก..! ​
    [​IMG]
    หน้าถ้ำค้างคาว

    แม่เบ็ญขอนั่งรอที่ปากถ้ำ บอกว่าเดินไม่ไหว แสงชัยเลยนวดให้จนร้องโอดโอย ในที่สุดก็ต้องยอมไปด้วย เดินเกาะกลุ่มกันเข้าไปในความมืด แสงชัยบอกว่า

    “มืดอย่างกับอยู่ในนรก” นรกจริง ๆ ไม่มืดนะเว้ย..!

    พื้นถ้ำถูกคนขุดขี้ค้างคาวขุดแหลกไปหมด คนหนอคน...เป็นผู้สร้างไม่ได้ซักอย่าง แต่เป็นผู้ทำลายได้ทุกอย่าง เล่นเอาค้างคาวนับล้าน ๆ ตัว ถูกก่อกวนจนอยู่ไม่ไหว อพยพไปจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว..!

    ถ้ำชอนทะลุไปอีกด้านหนึ่งของภูเขา อากาศถ่ายเทสะดวก ด้านนี้มีแคร่ของพระธุดงค์และทางเดินจงกรมเก่า ๆ แถมถังน้ำสังกะสีอีกใบ ไม่ทราบว่าผู้เป็นเจ้าของธุดงค์ไปถึงป่าไหนแล้ว...

    หัวหน้าชาติชายชี้ให้ดูบริเวณด้านล่างที่ต่ำลงไป พลางบอกว่า “ทีแรกเขาจะให้ผมตั้งหน่วยตรงนี้แหละ ตอนนั้นสัตว์ป่ายังชุมมาก มีแม้กระทั่งแรดที่หายากนักหนา แค่สี่ปีเท่านั้น นกซักตัวก็ไม่มีเหลือ..!”

    ก็ยังดีน่า...อุตส่าห์มีจั๊กจั่นให้ดูสองตัว กิ้งกือนี่ก็สัตว์ป่าเช่นกัน..! สรรพสิ่งย่อมแปรปรวนไปตามกาลเวลา อย่าไปเสียใจกับสิ่งที่ล่วงเลยไปแล้ว ตอนนี้ต่างหากล่ะที่เราจะทำอะไรได้บ้าง..?

    ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แล้วเดินงมทางกลับมาทางเดิม สวนทางกับพระ ๓ องค์ ท่านคงจะเข้าไปสำรวจหาที่วิเวก แต่อาตมาคงจะอยู่ไม่ไหวแน่ ขาดอะไรพอทนได้ ขาดน้ำนี่ไม่ขอสู้ด้วยละครับ...

    ขึ้นรถย้อนกลับมาทางแปลง ๒๖ ถ้าเป็นขามาต้องเลี้ยวซ้าย แต่นี่เรากำลังย้อนกลับเลยเลี้ยวขวา ตรงเข้าไปจนสุดทาง ที่นี่แหละ...ต้นทางไปบึงลับแลที่ใกล้ที่สุดและไปง่ายที่สุด คราวที่แล้วเข้าผิดทางแต่มาออกตรงนี้เลยจำแม่น... ​
    [​IMG]
    ลงสู่บึงลับแล

    ขนข้าวของลง ช่วยกันฉุดกระชากลากดึงใบไม้ใบหญ้า ให้เป็นช่องว่างกว้างพอที่จอดรถได้ เพื่อเป็นการป้องกันว่าเวลาไฟป่ามา มันจะได้ไม่ไหม้รถวอดวายไปด้วย...
    ล็อกรถแล้วต่างคนต่างแบกของ มีแม่เบ็ญเท่านั้นที่อนุญาตให้ฝากไปกับแดงได้ จ่าไก่จะแบกแกลลอนน้ำไปด้วย อาตมาแนะนำว่าอย่าดีกว่า คนแบกน้ำศูนย์ถ่วงมันเสีย ตกเขาตายมาเยอะแล้ว..!

    ทุกคนเหวี่ยงของขึ้นบ่า บุกไปตามเนินที่ค่อย ๆ ลาดชันขึ้น มีไม้ไผ่ที่ตัดมัดไว้เป็นแพ แต่ไม่มีคนมาชักลาก อาตมาคอยช่วยเหลือแม่เบ็ญอยู่ท้ายขบวน ส่งไม้เท้าให้จับ แล้วก็ลากจูงไป น่าน..ว่าง่าย ๆ โตเร็ว ๆ...

    ลุงปาน นายต๊อก แบกอาวุธและเครื่องครัวตรงไปข้างหน้า ตามมาด้วยแดง แสงชัย จ่าชิต จ่าไก่ แล้วทิ้งช่วงด้วยพี่มุกดา ลูกปลา ยายหนูลูกพ่อเขาแบกกระเป๋าสะพายดูแล้ว น่าเจ็บไหล่แทน กระเป๋าหิ้วเอามาสะพาย มันรัดไหล่คอดไปเลย..!
    ถัดมาเป็นหัวหน้าชาติชาย อาตมา แล้วก็แม่เบ็ญ มีส่างวินเด็กหนุ่มชาวทะวาย แบกเสบียงและกล้องถ่ายรูปรั้งท้าย ให้แกไปก่อนก็ไม่ยอม เลยต้องปล่อยให้ปิดท้ายขบวนตามใจเขา อาจจะของหนักไปได้ช้า เลยไม่อยากขึ้นหน้าก็เป็นได้...

    ถึงที่ราบบนไหล่เขา ช่วงนี้มีแต่พวกว่านยาสมุนไพร ไม้ใหญ่สูงทะยานเยี่ยมเมฆ แสงตะวันแทบลอดลงมาไม่ได

    “ค่อยยังเป็นป่าหน่อย”

    จ่าไก่ว่า ทุกคนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อากาศสด ๆ แบบนี้ สมัยนี้เป็นของหายากแล้ว...
    ขบวนมาหยุดตรงเชิงเขา ความชันของมันต้องแหงนคอตั้งบ่า แม่เบ็ญเห็นแล้วตีหน้าปั้นยาก ป่าไม้จอมเฮี้ยบหัวเราะฟันขาว..

    “จวนถึงแล้วน้าเบ็ญ ข้ามยอดนี้ไปก็เป็นบึงลับแล..”

    กระนั้นสีหน้าแม่ก็ดูไม่ดีขึ้นเลย...
    พักพอหายเหนื่อยก็เริ่มปีนเขา รองเท้าอาตมาระเห็จลงไปในย่าม ทางลาดชันซ้ำดินยังร่วนซุย แทบไม่มีอะไรให้ยึด ต้องขึ้นไปทีละคน พอถึงที่มีต้นไม้หรือก้อนหินเป็นหลักได้ ก็หันมารับคนข้างหลังขึ้นไปทีละช่วง...
    ข้าวของเครื่องใช้เป็นตัวถ่วงสิ้นดี ทั้งเกะกะทั้งหนักอึ้ง จ่าไก่พอมาปีนแบบนี้เข้า ค่อยถึงบางอ้อว่า ทำไมอาตมาจึงไม่ให้แบกแกลลอนน้ำมาด้วย อาตมาเลยคุยทับว่า ที่ไหนไม่ลำบาก คณะของเราไม่ไปให้เสียเวลาหรอก...

    มัคคุเทศก์ของเรานำลัดเลาะไปเรื่อย ยอดเขาน่ะแค่ยอดเดียว แต่มันมีหลายตะพัก ขึ้นไปช่วงหนึ่งก็นั่งหอบกันทีหนึ่ง

    “หายใจยาว ๆ ซิแม่..” อาตมาบอกแม่เบ็ญที่นั่งหน้าขาวหมดอาลัยตายอยาก...
    “คราวก่อนมาด้านโน้นข้ามเขาตั้ง ๑๑ ลูกแน่ะแม่..” พี่มุกดาพยายามยั่วให้ไฟลุก “น้าเบ็ญเห็นฟ้าขาว ๆ นั่นมั้ย..? ถึงตรงนั้นก็เห็นบึงแล้ว” หัวหน้าชาติชายกระทุ้งซ้ำอีกแรง

    ลากสังขารโผเผต่อไป จะบรรลุหรือไม่อีงวดนี้แหละ เห็นลูกๆ ไปไหนก็ร้องตาม คราวนี้คงซาบซึ้งแล้วว่า ที่เขามาเล่าให้ฟังสนุก ๆ นั้น ในความเป็นจริงแล้ว เขาต้องแลกเลือดแลกเหงื่อกันขนาดไหน..!

    ทางช่วงนี้มีรอยฟันดินเป็นบันไดไว้ เลยขึ้นได้ง่ายหน่อย เพียงแต่ระวังอย่าให้หงายหลังลงไปเท่านั้น หลังจากคราวก่อนแล้ว หัวหน้าชาติชายนำพระจากวัดป่าผาตาดธารสวรรค์มาหาที่ภาวนา คงจะทำบันไดดินไว้ตั้งแต่ตอนนั้น...
    ต้นไผ่ลำใหญ่เกือบโอบขึ้นขวางหน้า แม่เบ็ญกอดลำไผ่หอบแฮ่ก ๆ เห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายหรือยังจ๊ะแม่..? อยู่กับบ้านมันไม่เห็นทุกข์หรอก ต้องมาลำบากลำบนแบบนี้ถึงจะเห็นชัด เห็นแล้วต้องจำด้วยนะจ๊ะ ไม่ใช่เห็นแล้วลืม...
    ฉุดลากแม่เบ็ญไปต่อ ช่วงสุดท้ายแล้ว มีแต่แง่หินคมกริบ ใครพลาดก็ได้เลือดกันล่ะ...ในที่สุด..ก็ขึ้นมาบนยอดสูงสุดของภูเขา มองลงไปลิบลิ่วอยู่ข้างหน้า นั่นคือทางที่ต้องลงไป อย่าเพิ่งหวาดเสียวลมใส่ซะก่อนนะแม่นะ...

    แดงล้วงเชือกถักแบน ๆ ออกมาจากเป้หลัง ความยาวของเชือก ๑๕ เมตร ผูกเอวของแม่เบ็ญไว้ แล้วให้ค่อย ๆ ไต่ลงไป

    “ไม่ต้องกลัวนะแม่ ถ้าพลาดก็ยังติดเชือกนี่อยู่...”

    พี่มุกดากับลูกปลาสองป้าหลาน อาศัยความได้เปรียบที่เคยผ่านมา พาตัวเองลงไปอย่างระมัดระวัง จ่าชิตกับจ่าไก่แม้ไม่คุ้นกับภูมิประเทศก็ไม่น่าห่วง นอกนั้นทุกคนไปสบาย อย่างกับเดินเล่นในสวนลุมพินี...

    ทางลาดทแยงลง เดี๋ยวเลี้ยวไปทางซ้าย เดี๋ยววกไปทางขวา เหตุนี้แหละที่บางคณะมาแล้วหาทางลงไม่ได้ เพราะตะบี้ตะบันลงตรง ๆ ท่าเดียว แล้วไปติดแหง็กแถวหน้าผาชันดิ่ง พอหาทางลงไม่ได้ชื่อเสียงของบึงลับแลก็ยิ่งโด่งดัง

    “เห็นบึงแล้ว...”

    พวกที่ล่วงหน้าไปตะโกนบอก อาตมาค่อย ๆ ผ่อนเชือกหย่อนแม่เบ็ญลงไปทีละนิด กว่าจะไปถึงจุดที่มองเห็นบึงก็เกือบครึ่งช.ม. ประกายระยิบระยับจากแสงแดดสะท้อนน้ำในบึงกระทบกับสายตา...

    “โอ้โฮ..น้ำในบึงทำไมลดลงมากขนาดนี้..?”

    ป่าไม้มือปราบร้องออกมาดัง ๆใช่..ระดับน้ำลดลงไปหลายวา แต่สียังคงดำสนิทเหมือนเดิม... ​
    [​IMG]
    Hidden Lagoon 2

    เห็นจุดหมายปลายทางแม่เบ็ญก็กระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่พี่มุกดาหน้าบิดเบี้ยวเหยเกแทน ไม่รู้ว่าไปพลาดข้อเท้าแพลงเข้าตอนไหน ลูกปลาคงทั้งร้อนทั้งเหนื่อย หน้าตาแดงก่ำเหงื่อเปียกไรผมเลย...

    มุดลอดวัชพืชสูงท่วมหัวลงสู่บึง น้ำแห้งจนเดินเลียบขอบบึงได้รอบ ทั้งที่คราวก่อนต้องทำแพข้ามกัน รอยน้ำจากคราวก่อนเป็นคราบอยู่ลิบ ๆ บนหน้าผา
    ปลดสัมภาระลงพักเหนื่อย จอมเพชฌฆาตบอกว่ามีรอยหมีใหญ่สองตัวลงกินน้ำเมื่อคืนนี้ อาตมากับแดงเดินไปดูตามที่แกชี้บอก พอเห็นรอยเข้าก็งง.. นี่นะ..รอยหมีของลุง..?
    รอยขนาดจานข้าว เกือบจะเป็นวงกลม รอยนิ้วทั้งสี่กดประทับลงบนดินนุ่ม ๆ อย่างชัดเจน ฝ่ามือคนโบราณอย่างอาตมากางออกยังต้องเพิ่มอีกสองนิ้วจากมืออีกข้างหนึ่ง จึงจะเท่ากับรอยของมัน..!

    “ฮ่วย..! นี่มันรอยเสือ รอยหมีอยู่โน่น” จอมพรานพูดหน้าตาเฉย

    อาตมาถึงเดาได้ก่อนว่ารอยอะไร ก็ยังเย็นวาบไปทั้งตัว รอยมันใหญ่ขนาดนี้ บรื๊อว์ว์...ไม่อยากจะคิด..!

    “ถึงสามวามั้ย..?” หัวหน้าชาติชายถาม
    “บ่ถึง”

    อาตมาบอกหัวหน้าชาติชายว่า

    “สามวาของลุงปานแกไม่ได้วัดรวมหางอย่างพวกนักวิชาการหรอก แกเอาเฉพาะตัวหัวจรดท้ายเท่านั้น มันก็ไม่ถึงนะซิ...”

    ต่อให้ถึงก็เถอะ..สามวานั่นมันโคตะระเสือแล้ว..!
    รอยหมีทั้งสองรอยขนาดรอยเท้าเด็ก ๗ - ๘ ขวบ นับว่าตัวใหญ่ทีเดียว ทั้งเสือ ทั้งหมีลงมาจากร่องเขาเดียวกัน กินน้ำเสร็จก็ย้อนกลับทางเดิม

    “คืนนี้ผมจะมานั่งเฝ้าดู..”

    จอมพรานพูดอย่างหมายมั่น...

    อาตมาเดินนำทุกคนไปยังเนินผาตรงข้าม จำได้ว่ามีเวิ้งถ้ำเล็ก ๆ หลายแห่ง ดินรอบบึงนุ่มยวบยาบ มีรอยเลียงผา ๓ - ๔ ตัวลงมากินน้ำ รอยของมันมาจากร่องเขาด้านนี้ ที่คราวก่อนพวกเราปีนข้ามมา...
    กว่าจะถึงเชิงผาก็เล่นเอาเหนื่อย ไม่น่าเชื่อว่าน้ำจะลดลงไปมากขนาดนั้น อาตมาจะปักหลักที่เวิ้งถ้ำด้านล่าง แต่หัวหน้าชาติชายกลัวจะอยู่สูงกว่าพระ ขอร้องให้ขึ้นมาบนเนินดีกว่า ตามใจ...ที่ไหนก็นอนได้อยู่แล้ว...
    เลือกเอาเวิ้งถ้ำที่อยู่ตรงกลาง ปูผ้าพลาสติกลง เอาไม้ขัดกับแง่หินเป็นคาน แล้วแขวนกลดกับคานนั่นแหละ ม้วนมุ้งกลดไว้ก่อน เอาของใช้ต่าง ๆ และบริขารออกมาจัดวางให้เป็นระเบียบ จะได้หยิบฉวยง่าย ๆ...

    คนอื่นแบ่งปันเวิ้งถ้ำกัน ปรากฏว่าที่ดีที่สุด ดูท่าจะอยู่สบายที่สุด กลายเป็นเวิ้งถ้ำที่อยู่ใต้เนิน หัวหน้าชาติชายจัดให้แม่เบ็ญ พี่มุกดา ลูกปลา พักกันตรงนั้น แต่ทั้งสามคนอิดออดไปมา อาตมาจัดบริขารเรียบร้อยแล้วทั้งสามยังไม่ได้หยิบอะไรเลย...

    “มานี่ทั้งสามคนนั่นแหละ.. ขึ้นมาพักใกล้ ๆ นี่...” เฮละโลมาตามเสียงเรียกทันที

    ผู้หญิงต่อให้กล้าขนาดไหนก็ตาม ในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายแบบนี้ก็กลัวด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถึงไม่กลัวเสือก็ต้องกลัวผะอี๋..!
    หัวหน้าป่าไม้ค้นเอาถุงพลาสติกสองใบ ที่ใส่ถ้วยจานและของใช้หลายอย่างออกมา เป็นของที่พระจากวัดป่าผาตาดธารสวรรค์เมตตาทิ้งไว้ให้ใช้ ส่งถังให้นายต๊อกกับนายส่างวิน บัญชาให้ไปตักน้ำดื่มมาเพิ่มและจัดการหุงข้าว...
    มีกระสอบซุกอยู่สองใบ อาตมาส่งให้แม่เบ็ญไปทำผ้าปูนอน ตามมีตามได้นะแม่นะ..อยู่ป่าจะให้สบายอย่างอยู่บ้านไม่ได้หรอก พี่มุกดากับลูกปลาช่วยแม่เบ็ญเอากระสอบปูเวิ้งถ้ำถัดไปทางขวา พลางขนของขึ้นมาไว้...

    อาตมาขึงเชือกทำราวผ้า ให้ป่าไม้เสือซุ่มขึ้นมาในนอนเวิ้งถ้ำทางขวา เป็นการคั่นสุภาพสตรีเอาไว้ แล้วให้สิงห์เห่ากับแรดจอมซ่าส์มากระหนาบอยู่เวิ้งถ้ำด้านซ้าย
    สองจ่าทหารฟ้าจัดที่หลับที่นอนอยู่ถัดจากแม่เบ็ญไป อาตมาบอกว่ามีการค้างคืนกลางป่า ทั้งสองเลยจัดเครื่องหลังมาเต็มอัตรา กระทั่งมุ้งยังพกมากันคนละหลัง ควั่นเถาวัลย์เล็ก ๆ ทำสายมุ้งกันอยู่...

    อาตมาขอตัวไปสรงน้ำก่อน ขอถังจากนายต๊อกไป ๑ ใบ เดินไปถึงจุดที่คราวก่อนขึ้นจากแพ ชัยภูมิดีมีก้อนหินบังตาด้วย ลงไปตักน้ำในบึงขึ้นมาอาบข้างบน เสียงค่างกู่อยู่บนสันเขา คงบอกพรรคพวกว่ามีคนมา...

    สรงน้ำ - ซักผ้าเสร็จ ก็ไล่พวกผู้หญิงไปอาบก่อน กำชับซ้ำว่าให้ตักขึ้นมาอาบมาซักกันข้างบน น้ำในบึงจะได้ไม่สกปรก ทั้งสามชักแถวตามกันอย่างกับปลาท่องโก๋ ชาตินี้ไม่ยอมพรากจากกันแน่ ๆ...
    ตากผ้าแล้วขอมีดจากส่างวินมาตัดไม้แห้ง เก็บเอาไว้ก่อไฟคืนนี้ เห็นลุงปานมาขอน้ำปลา แสงชัยที่พกมาทั้งเกลือและน้ำปลา ส่งให้นักล่าไปทั้งขวดเลย กลิ่นบะหมี่ต้มกับปลากระป๋องหอมฉุยมาแต่ไกล...

    นายต๊อกกับส่างวินช่วยกันหาไม้แห้งมาเพิ่มหอบใหญ่ ขณะที่แม่เบ็ญ พี่มุกดา ลูกปลา ขึ้นจากอาบน้ำ คนอื่นผลัดกันลงไปอาบบ้าง คงเหลือนายแรดที่ยังหวงขี้ไคล เพราะหมกยังไม่ได้ที่ ขอซักแห้งไปก่อน...

    ตะวันคล้อยจะลับเหลี่ยมเขา เสียงนกชนิดต่าง ๆ และลิงค่างร้องลาตะวัน กระรอกประท้วงที่มีคนมารบกวนความสงบ แมงหวี่และยุงตอมหึ่ง ๆ... อาตมาจัดแจงก่อไฟไล่ตัวแมลง ทหารอากาศขาดรักทั้งสองโรยปูนขาวกันมด...

    ไฟติดควันโขมงทำให้ตัวแมลงหายไปหมด อาตมาครองผ้า สวดมนต์ - ไหว้พระ อธิษฐานจิตถึงเจ้าของสถานที่ ขอมารบกวนยืมสถานที่ใช้ซักสองคืน ไม่ได้มายึดครองไว้เลย แล้วตั้งใจสวดกรณียเมตตาสูตร...

    ร่างมหึมาปานราหูชูหัวพรวดขึ้นจากบึง หัวสูงเทียมยอดเขา สีดำเป็นเงาราวกับนิล บนหัวมีหงอนเป็นหยัก ๆ ลงไปตามสันหลัง ดวงตาขนาดโอ่งมังกรเห็นจะได้ ลิ้นสีแดงแลบแปลบปลาบราวกับสายฟ้าในนรก..!

    พญางูยักษ์..! เจ้าประคุณเอ๋ย..ทำไมถึงใหญ่มหายักษ์ขนาดนี้ ชูพ้นมาแค่เลยคอนิดเดียว สูงเท่ากับภูเขาซะแล้ว ถ้าแผ่พังพานออกมิบังฟ้าเลยหรือนี่..? จะว่าเป็นพญานาคก็ไม่เหมือนในภาพเขียนเลย..!

    “มาแค่ ๑๑ คนไม่พอกินหรอก” แน่ะ..ขู่กันซะด้วย

    อาตมาหันหลังให้บึงสวดมนต์อยู่สามารถ “มองเห็น” เขาได้ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็น “งูลม” ยิ่งมาขู่กันแบบนี้ยิ่งมั่นใจใหญ่ เลยสวดมนต์ต่อไม่รู้ไม่ชี้...

    “วิรูปักเข หิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปเถ หิ เม...” ถึงบทขันธปริตร พอดี พอเอ่ยนามท้าววิรูปักข์จอมนาคราช อสรพิษมหายักษ์ก็หดหัวหายวูบในบึงตามเดิม อาตมาสวดมนต์ต่อจนจบ...

    หันกลับมาให้ทุกคนเช็คยอด เพราะอาตมายังไม่ทราบเลยว่า คณะของเรามากันกี่คน ปรากฏว่า ๑๒ คนทั้งอาตมา เออ...ขอบคุณเป็นอันขาดที่ไม่คิดจะกินพระเข้าไปด้วย แล้วเฉลยข้อข้องใจให้ทุกคนฟัง...
    แสงชัยเอะอะโผงผางว่า

    “อย่างนี้ต้องเจอกับ “ปู่ขาว” ของผม”

    ทำพูดดีไปเถอะ..ถูกพ่อแดกซะก่อนปู่จะมาช่วยแล้วจะรู่ซึก..! ไล่ทุกคนไปกินข้าวเย็น เว้นหัวหน้าชาติชาย แดง และจ่าชิต เพราะทั้งสามถือศีลแปด...

    อาตมาตั้งใจแผ่ส่วนกุศลต่อเจ้าของสถานที่ทั้งหลาย จะเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา ภุมมเทวดาก็ดี สัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานใด ๆ ก็ดี ขอให้ทุกท่านโมทนาในส่วนกุศลของข้าพเจ้านี้เถิด...

    “เห็น” ผู้มาโมทนาคลาคล่ำไปหมด มีรายหนึ่งหน้าดำเป็นนิล โผล่มาใกล้ที่สุดข้างกองไฟ เลยขอให้เขาช่วยดูแลความปลอดภัยของทุกคนตลอดเวลาที่ยังพักอยู่ที่นี่ ขวานฟ้าหน้าดำรับปากโดยไม่ลังเล.. ขอบคุณมาก ๆ...

    ญาติโยมทั้งหมดอิ่มแล้วขึ้นมายังที่พัก นั่งบ้างนอนบ้างคุยกัน จอมพรานแบกปืนหายไปในความมืด นายต๊อกกับส่างวินล้างถ้วยชาม พอเรียบร้อยทั้งสองก็ซุกตัวเงียบ เห็นแต่แสงไฟจากกองอยู่วับแวม...

    อาตมาเห็นเพิ่งจะหัวค่ำ จึงแนะนำกรรมฐานแก่ทุกคน ให้ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่ามีความดีไม่มีประมาณเช่นไร คุณของเทวดาว่าทรงความดีอะไรเป็นแบบอย่างให้เราทำตามบ้าง...

    คุณของศีลช่วยกางกั้นเราไม่ให้ตกอบายภูมิอย่างไร คุณของการบริจาคให้ทานตัดความโลภอย่างไร
    คุณของการระลึกถึงความตาย ช่วยให้เราไม่ประมาทอย่างไร...
    ให้มองเห็นความเป็นจริงในร่างกายนี้ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร... พอมองเห็นความไม่ดีของร่างกาย จิตใจไม่ปรารถนาการเกิดอีกก็ให้ทุกคนยกจิตขึ้นนิพพาน ตั้งใจภาวนาจับนิพพานให้มั่นคงเข้าไว้...

    บรรดา “ผู้สังเกตการณ์” มาเฝ้าดูกันเพียบเลย อาตมาจึงเตือนให้ทุกคนแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล และขอขมาลาโทษต่อพวกเขา ถ้าเราทำอะไรเป็นการล่วงเกินไปบ้าง ทุกคนทำตามโดยพร้อมเพรียงกัน...

    ออกจากกรรมฐานก็นั่งคุยกัน ใคร “พบเห็น” อะไรก็นำมาเล่าสู่กันฟัง มีจ่าชิตนั่งตัวตรงแหน็ว ภาวนาไม่ยอมเลิก แสงชัยนวดขาให้แม่เบ็ญกับพี่มุกดา แม่เบ็ญคงเป็นห่วงบ้านมาก เปรยว่า

    "จะกลับพรุ่งนี้ใช่มั้ย..?"
    " ใช่จ้ะแม่..กลับมะรืนนี้..! "

    เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ทุกคนคงเพลียจัด อาตมาลากฟืนท่อนใหญ่ใส่ลงในกอง กะว่าให้มันสุมขอนอยู่ทั้งคืน เตือนให้เอาอาหารแขวนให้พ้นจากมด แล้วดับเทียนนอนภาวนา
    เสียงขยับยุกยิก เสียงบ่นว่ามดชุม ที่นอนของแม่เบ็ญด้านพี่มุกดากับลูกปลามากกว่าเพื่อน ปูนขาวที่โรยไว้กลายเป็นกันมดออก เพราะไปตั้งแค้มป์อยู่บนรูของมันพอดี ผลัดกันผุดลุกผุดนั่ง ​
    [​IMG]
    แม่เบ็ญ ลูกปลา พี่มุกดา

    อาตมาให้ย้ายที่ไปนอนตรงลานกว้างทางด้านปลายเท้าของอาตมา เลยสงบลงหน่อย ส่วนจ่าชิตถูกมดยึดที่นอนไปหมด หนีมานอนกับหัวหน้าชาติชาย น้ำยากันแมลงใช้ไม่ได้ผล มดมันอ่านหนังสือไม่ออกเลยไม่กลัว...

    เคลิ้ม ๆ จวนหลับถูกกระตุกหัวแม่เท้าให้ตื่น มองดูก็ไม่เห็นใคร พอใกล้หลับก็กระตุกอีก..ทะลึ่งน่า... คนจะนอนมากวนอยู่ได้ เดี๋ยวก็เจอถีบให้เท่านั้น เอาไว้หายง่วงค่อยมากวนซิวะ..!

    ************************

    ฟิวส์ขาดหลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ? ตื่นขึ้นมาอีกทีดึกสงัด เสียงกบร้องระงมมาจากชายบึง ตุ๊กแกป่าร้องอยู่บนยอดเขา นาน ๆ ทีจะมีเสียงตัวอะไรไม่รู้ร้องดังประหลาด ไม่เคยได้ยินมาก่อน...

    เสียงใบไม้ร่วงกรอบแกรบ มองไปทางปลายเท้า เห็นแม่เบ็ญพลิกแล้วพลิกอีก อาตมาจุดเทียนขึ้นสว่าง บอกแม่เบ็ญว่า...

    “นอนเถอะแม่ ไม่ต้องอยู่ยามหรอกจ้ะ...”

    ลุกไปสุมไฟจนสว่างโพลง คนโน้นขยับคนนี้ขยับ นี่พวกเขาไม่มีใครหลับเลยเรอะ..? อาตมาเลยต้องนั่งภาวนา เป็นหลักประกันให้ทุกคน จะได้ไม่หวาดกลัว เพราะมีทั้งพระทั้งไฟอยู่เป็นเพื่อนแล้ว...

    วิธีนี้ได้ผลดี ทุกคนหลับกันเงียบ อาตมาดูนาฬิกาเห็นตีหนึ่งกว่า เลยสวดมนต์ - ไหว้พระ นั่งภาวนายาวไปเลย พอไฟใกล้มอดก็ลุกไปสุมใหม่ จนตีสี่กว่าก็ลุกไปหาที่ปัสสาวะ...
    ล้างหน้า - แปรงฟัน เช็ดตัวด้วยน้ำในกระติก ทุกคนทยอยกันตื่น พบครบหน้าก็โวยกันให้ขรม ว่ายามกิตติมศักดิ์ขยันฉิ..หายเลย เดินทั้งคืนจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน..ฮ่า..ฝีมือนายหน้าดำกับพรรคพวกละ..!

    จ่าไก่กับนายแรดถูกลากจากที่นอนไปเป็นเมตร อยากนอนขี้เซากันดีนัก คนอื่นโดนกระตุกขากันทุกคน โกรธก็โกรธ กลัวก็กลัว ลูกสาวปลาบอกว่า เสียงคนเดินอย่างกับยกทัพมาเลย...

    อรุณรางพอมองกันเห็น เลยชวนกันเล่นรอบกองไฟ เอากุนเชียงของจ่าไก่มาเสียบไม้ปิ้ง แม่เบ็ญกับพี่มุกดาปอกมะม่วง แล้วขนขนมออกมาแบ่งใส่จานเตรียมถวายพระ นี่เขาขนกันมาได้มากขนาดนี้เชียวเรอะ..?

    นายต๊อกกับส่างวินก่อไฟหุงหาอาหาร จอมพรานแบกเจ้าโคนเหลี่ยมตราเสือขึ้นมาสมทบ หักหางเหยี่ยวดีดลูกจากลำกล้อง ไปซุ่มมาทั้งคืนแมวซักตัวก็ไม่เข้า มันกลัวคนมากกว่าคนกลัวมันซะอีก..!

    อาตมาฉันเช้าด้วยมะม่วงกับขนม มีกุนเชียง ๑ ชิ้นเป็นกับแกล้ม คนอื่นรองท้องด้วยขนมก่อน ลุงปานเล่าเรื่องป่าให้ฟังว่า เสียเพื่อนแพ้ท้องอยากกินตับช้าง ช้างเลยมาถึงบ้าน คว้ากางเกงในไปกินซะเกลี้ยง..!
    อาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว บะหมี่กับปลากระป๋องตามเคย แม่ตักราดข้าวเพิ่มมาให้ รสชาติเด็ดขาดมาก ฉันเสร็จวิ่งเข้าป่าแทบไม่ทัน ทุกคนนั่งหาที่กินตามภูมิประเทศ...

    หลังอาหารลุงปานขอตัวกลับก่อน มากับพวกเราไม่ได้ยิงอะไรซักตัว แกครั่นเนื้อครั่นตัวจะแย่ ไม่มีเนื้อสดให้กิน ฟาดบะหมี่กับปลากระป๋อง แกก็แทบบ้าไปเท่านั้น อาตมาเลยอนุญาตให้รีบ ๆ ไปให้พ้นหน้า...
    เฮ้อ..แกฆ่าจนเป็นฌานซะแล้ว บอกเองว่านอนบ้านมันร้อน ต้องนอนป่าถึงสบาย กินข้าวมื้อไหนไม่มีเนื้อมีคาว แกแทบจะกลืนไม่ลงเลย... แบบนี้ก็ดีนะลุง..พระยายมไม่ต้องตัดสินให้เสียเวลา ลงตรงไปเล้ย..!

    พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ลูกปลาแสดงวิธีนอนบนเถาวัลย์ให้ทุกคนดู อาตมาเอา
    “เขี้ยวเสือกลวง” มาลงอักขระ นายแรดเขาถวายมา แปลกตรงที่คนเขาหากัน เขี้ยวหมูต้องตัน ส่วนเขี้ยวเสือดันหาไอ้ที่กลวง..นี่แหละตัณหาของมนุษย์...

    ลงเสร็จให้นายแรดเอาไปลอง ยิงโป้งปลิวว่อนเห็นไม่เป็นอะไร ความเร็วต้นของกระสุนกว่าพันฟุตต่อวินาที เขี้ยวก็บางเป็นกระดาษ น่าจะแหลกกระจุย แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย เสือซุ่มของเราขอลองบ้าง...
    โป้งเดียวแตกกระจาย แล้วบอกเหตุที่ยิงพังได้เป็นเพราะว่า ตั้งใจอาราธนาบารมีพระออกซะก่อน คิดว่ากำลังยิงเขี้ยวสัตว์เดรัจฉานธรรมดา แบบนี้มีร้อยก็หมดทั้งร้อย ลองไปก็เสียของ เปลืองกระสุนเปล่า ๆ...

    เกิดอาการมันเขี้ยวขึ้นมา เลยเอากระป๋องเปล่าวางบนกิ่งไม้ คราวนี้ผลัดกันยิง เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว มีหวังแถวนี้ปลอดสัตว์ป่าไปนาน นกกาที่บรรเลงเพลงระงมป่าหายเงียบไปหมดด้วยความตกใจ...

    จ่าไก่ซึ่งพกพระหลวงพ่อมาแทบทุกรุ่น เอาพระใส่กระเป๋าเสื้อกั๊กแขวนกางกับเถาวัลย์ แล้วขออนุญาตลองยิง จึงได้เห็นความอัศจรรย์ของพุทธานุภาพชัดเจนกับสายตา...
    ระยะเผาขนแค่ ๕ - ๖ เมตร นายแรดซึ่งยิงโค้ลท์โกลด์คัพแทบจะร้อยเป็นรูเดียวกันยิงผิด..! จ่าไก่มือทดสอบอาวุธของ สพ.ทอ. ยิงผิด..! ป่าไม้เสือซุ่มของเราก็มือระดับเอ๊กซ์เปิร์ตยิงผิดอีก..!
    อะไรมันจะมือห่วยขนาดนั้น... แสงชัยขอลองบ้าง เจอมือระดับครูฝึกราบอากาศ แถมพุทธภูมิระดับเข้มซะด้วย ซัดเปรี้ยงเป็นรูเลย แต่มันกินต่ำลงมาโดนแถบชายเสื้อ ถ้าเป็นเป้ากระดาษก็เกือบหลุดขอบเลยล่ะ..!
    คราวนี้จ่าชิตที่ภาวนามาทั้งวัน กำลังใจกำลังทรงได้ระดับ ล่อตูมเข้าให้ถูกเหมือนกันแต่กินต่ำกว่าแสงชัยอีก จ่าไก่ขอลองใหม่ ตกอยู่บริเวณเดียวกัน แสงชัยอีกนัด อยู่ระดับเดียวกันหมด..!

    ทุกคนกราบขอขมาพระรัตนตรัย จ่าไก่ไหว้ท่วมหัวด้วยความมั่นใจ นายแรดสงสัยว่านัดหลัง ๆ ทำไมยิงถูก อาตมาเลยเฉลยว่า ก็ขอลองแค่สามนัด แล้วเสือกยิงเกินเองนี่หว่า..! ยอดโชเฟอร์จึงนึกถึงสัญญาขึ้นมาได้...

    อาตมาเองไม่สงสัยมานานแล้ว ปีกว่าที่ชายแดน ปะทะ ๒๐ กว่าครั้ง ที่หนักที่สุด คือ โดนปูพรมด้วยปืนใหญ่กว่าสี่ร้อยนัด แถมรถเสบียงโดนถล่มด้วยอาร์.พี.จี.สามนัดรวด ไม่มีอะไรแผ้วพานเลยแม้แต่น้อย..!

    แนะนำเท็คนิคการทำความสะอาดปืน ด้วยเครื่องมือที่จะพึงหาได้ตามภูมิประเทศ แล้วนั่งคุยกันสัพเพเหระ นายต๊อกกับส่างวินเตรียมอาหารเพล หมู่วิหคนกกาหายตกใจเสียงปืนกลับมาร้องระงมไพรเช่นเดิม...

    ชัยภูมิตรงนี้ดีมาก ตะวันขึ้นจะถูกบดบังด้วยภูเขาที่เราพัก กว่าจะส่องแสงมาได้ก็ต้องถึงเที่ยงไปแล้ว แต่ก็ติดร่มไม้ใบบังหมด ดังนั้น อากาศที่ร้อนถึงสี่สิบองศา จึงทำอะไรพวกเราแทบไม่ได้เลย...

    หลังจากบะหมี่กับปลากระป๋องลงไปในท้องแล้ว กำลังปรึกษากันว่าจะไปดูต้นทองหลางยักษ์กันดีหรือไม่...? ก็ปรากฏแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มใหญ่โผล่มาถึง เป็นพวกการไฟฟ้าฝ่ายผลิต มาสำรวจพื้นที่สร้างเขื่อนเขาแหลมตอนล่าง...
    เขามีแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศมาด้วย อาตมาเลยงัดเอาเข็มทิศขึ้นมาทาบกับแผนที่ บึงลับแลแห่งที่ ๑ คือที่เราอยู่นี่ แห่งที่ ๒ ก็คือบึงแห้งที่เราเคยผ่านมาครั้งก่อนแห่งที่สามอยู่ตรงไหนหว่า..?
    อาศัยความรู้เก่าที่สอบแผนที่ทหารได้อันดับหนึ่งของรุ่น อาตมาก็ระบุอย่างมั่นใจว่า บริเวณบึงลับแลแห่งที่สาม ก็คือหุบเขากว้างใหญ่ซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของบรรดาต้นไม้ยักษ์ที่เราไปดูกันครั้งก่อนนั่นเอง...

    ปราศรัยกันครู่หนึ่งพวกเขาขอตัวไปพักผ่อน อาตมาชวนแสงชัย แดง จ่าชิต จ่าไก่ไปดูต้นไม้ยักษ์กัน แม่เบ็ญกับพี่มุกดาขาเจ็บไปไม่ไหว ลูกปลานั้นถูกความจำเป็นของผู้หญิงบังคับ ควรจะอยู่พักผ่อนดีกว่า...
    ให้หัวหน้าชาติชายอยู่เป็นหลักทางนี้ แล้วพวกเราออกเดินทาง เห็นสาว ๆ การไฟฟ้าไปเด็ดดอกไม้ในถ้ำพักประจำของหัวหน้าชาติชาย มีคนเจิมบ้านให้แบบนี้ ถ้ามางวดหน้า เสือซุ่มของเราเขาจะกล้าพักหรือเปล่าหนอ..?

    ข้ามสันเขาลงไปยังบึงแห้ง ไฟป่าเผาผลาญรอบบึงจนเตียนโล่ง “เลือดผา” ก็แห้งสนิท จ่าชิตลองหัดเดินป่าเท้าเปล่าดูบ้าง ผลคือเต้นเหย็ง ๆ เป็นผีกอง กอยไปเลย...
    ลัดเลาะตามร่องเขาที่เคยผ่านมา แต่จำภูมิประเทศไม่ได้ หลงไปเกือบสุดหุบเขา จึงแหวกทางลงไปในหุบได้ พญาไม้ใหญ่เบียดเสียดกันแน่นทึบ แต่ละต้นสูงทะยานแทบทะลุฟ้า นี่คือป่าที่เป็นป่าจริง ๆ...

    นายแรดยอดโชเฟอร์ ชี้ให้ดูรอยเท้าประหลาดบนพื้น ดินแข็งขนาดนี้รอยยังชัดเจนมาก พลางบอกว่า

    “รอยเท้าช้าง”

    แต่อาตมาคัดค้าน พลางยกเหตุผลขึ้นมาว่า รอยเท้าช้างขนาดนี้เล็กไป...
    ช้างเล็กจะไม่แตกฝูงหากินตัวเดียว น่าจะเป็นรอยเท้าแรดมากกว่า รอยเท้าของสัตว์ทั้งสองคล้ายกันมาก และแรดมีนิสัยหากินตัวเดียว ป่าบริเวณนี้รกทึบ มีหนามที่แรดชอบกินขึ้นอยู่มาก ควรจะเป็นไปได้ว่ายังมีแรดหลงเหลืออยู่...

    เดินหาต้นทองหลางยักษ์เป็นการใหญ่ วนอยู่ในหุบสองรอบหาไม่เจอซักที ยอดโชเฟอร์บอกว่าควรจะข้ามเขาไปอีกลูกสองลูก แต่อาตมาเห็นตะวันบ่ายลงมากแล้ว กลัวจะค่ำกลางทาง จึงชวนกลับกันก่อน...
    มีแต่ผู้ชายล้วน ๆ จึงเดินทางได้เร็ว กลับมาถึงทุกคนทางนี้หลับแข่งกัน นายต๊อกกับส่างวินที่ถูกกวนด้วยเสียงเดินทั้งคืนก็หลับ เอ้า..หลับกันให้พอ คืนนี้จะได้ถูกกวนกันอีก หลับแบบนี้ช้างมาทั้งโขลงก็ไม่ตื่น..!
    อาตมาไปสรงน้ำ - ซักผ้า เสร็จแล้วคนอื่นผลัดกันไปบ้าง เว้นนายแรดที่บอกว่า

    “หมามันยังไม่อาบเลย..!”

    มิน่าล่ะ..ถึงเข้ากับหมาได้ดี ที่แท้ก็พวกเดียวกันนี่เอง..!
    จ่าไก่เอาถั่วแดงมาแช่น้ำ เตรียมทำของหวาน จ่าชิตย้ายที่นอนมานอนกับหัวหน้าชาติชาย ส่วนแม่เบ็ญ พี่มุกดา ลูกปลา ย้ายกลับที่เดิม เพราะขนขี้เถ้าไปปูซะหนาเลย มดมันคงหมดอารมณ์ที่จะกวนแล้วล่ะ...

    ลูกหาบทั้งสองเตรียมอาหารเย็น อาตมาสุมไฟกันแมลง จ่าชิตตักน้ำดื่มมาเตรียมไว้ทั้งถัง อาตมาจัดการปลงผม แม่ขอลองโกนดูแค่ทีสองทีก็บอกไม่ไหว แสงชัยเลยช่วยลากซะล้านเลี่ยนเงาวับไปเลย...

    “..ดวงตะวันลับทิวแมกไม้ ใจพี่ก็หาย หายลับไปกับตะวัน..”

    (แฮ่..เคยโดนถีบลงน้ำไปก็เพราะไอ้เพลงนี้แหละ..) ความมืดเริ่มปกคลุมลงมา อาตมากับสองทหารฟ้าหาฟืนมากองเบ้อเร่อ เตรียมพร้อมไว้สำหรับคืนนี้
    คนอื่นลงไปกระเดือกบะหมี่ต้มกับปลากระป๋องกันตาย อาตมาสวดมนต์ - ไหว้พระ คิดถึงลูกปุ๊กขึ้นมาตอนนี้ ลูกสาวคนนี้ขยันสวดมนต์ - ไหว้พระมาก เรื่องขอติดหนี้ไปใช้วันหน้า ไม่เคยประพฤติ เสียดายที่ติดงานมาด้วยกันไม่ได้...

    แม่เบ็ญต้มน้ำถั่วแดงใส่น้ำตาล ยกมาให้พวกศีลแปดรองท้อง ปรากฏว่าทั้งแปดทั้งไม่แปดรุมซดกันใหญ่ แล้วเรียกหาว่าเม็ดถั่วอยู่ไหน เขาเอาไว้ต้มกินพรุ่งนี้จ้ะ...

    หมดภาระเรื่องกินอาตมาก็บอกให้ทุกคนนั่งภาวนา เสียงหรีดหริ่งเรไรดังอยู่ทั่วราวป่า นาน ๆ เสียงสัตว์ใหญ่ก็ดังแทรกมาที หนูตัวใหญ่วิ่งเข้ามาจนใกล้ มันคิดแต่จะหาอาหารกิน เลยไม่กลัวคนทั้งกลุ่มที่นั่งอยู่ซักนิดเดียว... ​
    [​IMG]
    ค้างคืนในบึงลับแล

    อารมณ์ทรงได้ที่อาตมาก็เอนกายนอน ร่างกายพอทอดยาวลงก็เหมือนกับซากศพ จะมีโอกาสเห็นตะวันขึ้นพรุ่งนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้...? ถ้าหากมันตายลงตอนนี้ เราก็ขอไปเพียงที่เดียวคือ พระนิพพาน...
    ************************

    หูดับตัดขาดจากโลกภายนอก ประสาทสัมผัสกลับคืนมาอีกทีก็ดึกโข ขืนนอนต่อญาติโยมคงแย่แน่ นักเลงดีตีฝ่าแนวเข้ามาอัดเอาถึงที่นอนเลย สิงห์เห่าอยากไปท้าเขาเข้า ไม่ถูกเหยียบตายก็นับว่าเกรงใจแล้ว เตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่ฟัง อยากปากหมาดีนัก..สม..! ​
    [​IMG]
    นายแรดกับสิงห์เห่า

    ลุกขึ้นเติมฟืนเข้ากองไฟ จุดเทียนเพิ่มขึ้นอีกที่ พลังลึกลับยังคงปกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้รู้สึกหนาวจับใจ นอกจากลูกปลาที่นอนหลับปุ๋ยแล้ว ทุกคนก็เพิ่งคลายใจ เริ่มนอนได้ตอนอาตมาตื่นนี่เอง...

    ความจริงสิ่งลึกลับทั้งหลาย นับว่าให้เกียรติในความเป็นเพศแม่ ในวาระที่ร่างกายอ่อนแอที่สุดเช่นนี้ เขาไม่มาแผ้วพานรบกวน แม่หนูก็เลยวางยาสลบตัวเอง หลับยาวชนิดที่คนอื่นอิจฉา...เสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกแข่งกัน ชวนให้ทุกคนตกในห้วงนิทรารมย์...

    “เวลานอนยังมีอีกมาก ตอนอยู่ในหลุมฝังศพ...”

    คำพูดของผู้กองพิสัย(ร.อ.พิสัย สมบัติเปี่ยม) ครูฝึกทหารดังขึ้นในใจ เสียงใบไม้ร่วงหล่นตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง

    ต้นไม้ก็เหมือนกับพวกเรา เกิด..แก่..เจ็บ..ตายเช่นกัน...
    มีเมล็ดมีเชื้อมันก็งอกขึ้นมา เติบใหญ่แก่เฒ่าไปเรื่อยๆ ลำบากลำบนกับการหาอาหารเลี้ยงตัวเอง ทุกข์ทรมานกับหนอนแมลง และโรคร้ายที่คอยเบียดเบียน ในที่สุดก็ล้มตายเน่าเปื่อยผุพังจมดินไป...

    คนเราก็เกิดขึ้นในเบื้องต้น เจริญเติบโตเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทนทุกข์ยาก หนาวร้อน หิวกระหาย เจ็บไข้ได้ป่วย ในที่สุดก็แก่เฒ่าล้มตายไป ร่างกายสลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ กลับคืนไปเป็นสมบัติของโลกตามเดิม...

    สาเหตุของความทุกข์ยากทั้งปวง มาจากการมีร่างกายนี้ ถ้าไม่มีร่างกายเสียอย่างมันก็ไม่ทุกข์ การจะไม่มีร่างกายนี้ได้ก็ต้องไม่เกิดอีก การจะไม่เกิดได้อีกก็ต้องมีปัญญา เห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ให้ได้...

    พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ร่างกายของเราไม่เที่ยง ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ดังใจเราต้องการ มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด บังคับบัญชามันให้เป็นอย่างใจนึกไม่ได้...

    ขณะดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ เศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นทุกข์ ความทุกข์ท่วมทับเราอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ตื่นยันหลับ...

    แต่ละวันต้องกระทบความหนาว ความร้อน ต้องหิวกระหาย ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องปวดอุจจาระปัสสาวะ ต้องบริหารร่างกาย บริหารหมู่คณะ มีแต่ความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่ตื่นจนหลับ...

    อุตส่าห์ทะนุถนอม ประคับประคองมันเป็นอย่างดี แต่มันจะรู้คุณเราแม้แต่น้อยก็หามิได้ ถึงเวลาของมันแล้วไซร้ จะเด็กจะผู้ใหญ่ก็ตายทั้งสิ้น เน่าเปื่อยผุพัง ทับถมจมดิน กลายเป็นดินน้ำลมไฟไปตามเดิม...

    ในเมื่อร่างกายมันมีแต่ความทุกข์ยากเช่นนี้ เราจะมาปรารถนาการเกิดอีกทำไม..? โลกมนุษย์ที่ทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ ไม่ขอมาเกิดอีกแล้ว เทวโลก พรหมโลก ที่มีความสุขเพียงชั่วคราว ต้องเกิดมาทุกข์ใหม่เราก็ไม่ต้องการ...

    สถานที่เดียวที่เป็นเอกันตบรมสุข ปราศจากทุกข์โทษเวรภัย ดำรงคงอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง สะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็น สดใส สถานที่นี้จึงเป็นที่หมายของเรา... พระนิพพาน...

    พิจารณาไปรู้สึกว่าเพียงครู่เดียว แต่ฟ้าขาวซะแล้ว ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าที่เจ้าทางและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอบใจมากในความกรุณา โอกาสหน้าจะมารบกวนใหม่ ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วหน้ากันเถิด...

    ขณะที่ทุกคนจัดเก็บข้าวของเตรียมเคลื่อนย้าย แสงชัยก็เปิดเผยผลแห่งความปากเสียของตนว่า ถูกเจ้าที่ร่างยักษ์เอากระบองกดคอแทบขาดใจตาย แถมขู่ว่าจะลากไปเป็นอาหารของงูยักษ์ในบึงซะเลย...

    “ไอ้งูมันโผล่หัวมาอ้าปากรอ หัวขนาดรถปิ๊คอัพแน่ะ ถ้าหลวงพี่ไม่เข้ามาช่วยไว้ ผมคงตายแน่ ๆ...”

    นายสิงห์เห่าสาธยายเป็นฉาก ๆ นี่ถ้าเล่าซะตั้งแต่แรก อาตมาคงไม่ต้อง ตื่นคนเดียวหรอก เพราะทุกคนคงนอนไม่หลับกันแน่ ๆ...
    เตือนไม่รู้กี่หนว่า

    “อย่าอวดดีกับผี อย่าลองดีกับพระ”

    ไม่เห็นเชื่อซักที คราวนี้คงจะสำนึกบ้างนะ...อาตมาล้างหน้าล้างตา ขณะที่นายต๊อกกับส่างวินทำอาหารเช้า...
    บะหมี่ต้มกับปลากระป๋องตามเคย มื้อสุดท้ายแล้ว มีเท่าไรใส่ลงไปให้หมด อาตมากับลูกปลาตามเก็บเศษขยะ กระป๋อง ทั้งเก่าทั้งใหม่ ที่เผาได้ก็เผา เผาไม่ได้ตั้งใจจะขุดหลุมฝังให้มิดชิด...

    หัวหน้าชาติชายชี้หลุมธรรมชาติให้ เขาทำเป็นส้วมกันอาตมาก็ไม่รู้ ปล่อยให้วิ่งเข้าป่าอยู่ได้คนเดียว ชัยภูมิดีซะด้วย มีก้อนหินบังแทบทุกด้าน ขนาดของมันบรรจุของเสียได้เป็นตันเลยล่ะ...
    หอบกระป๋องเปล่าไปเทใส่หลุม ดูแลกองไฟให้อยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะลุกลามได้ แล้วขนสัมภาระลงจากเนิน ของใช้บางอย่าง เช่น เทียน ถ่านไฟฉาย ยากันแมลง ยาหม่อง ยากันมาเลเรีย เข็ม ด้าย มีดโกน รวบรวมซุกซ่อนไว้ที่นี่ ใครมาจะได้มีใช้...

    ถ้าเราทุกคนไปที่ไหน รู้จักเก็บกวาดทำความสะอาด รู้จักเผื่อแผ่ข้าวของให้คนหลังมาใช้ อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ผีสางเทวดาก็ยินดีต้อนรับ ถ้าตนเองย้อนกลับไปใหม่ ก็จะพบแต่ความสะอาดสะอ้าน สะดวกสบายด้วย...

    มีซากงูสามเหลี่ยมถูกตีตายอยู่ ถามดูจึงรู้ว่าเป็นฝีมือของนายต๊อกกับส่างวิน ตอนสองทุ่มขณะอาตมาหูดับ มีพรานสองคนมาล่าสัตว์ พบงูเข้า เลยบอกให้ลูกหาบทั้งสองของเราตีตายแหงแก๋ไปเลย...
    อาตมาเขี่ยซากงูไปบนเนิน เอาฌาปนกิจในกองไฟ บังสุกุลให้เสร็จแถมอุทิศส่วนกุศลให้ด้วย พอโดนไฟร่างกายหดตัว ไข่ของมันก็ทะลักพรูออกมา เวรกรรมแท้ ๆ ซากเดียว แต่เป็นสิบชีวิต..!

    เสียงปืนดังสะท้านมาจากสันเขา ทางนั้นเป็นบ้านลุงปาน คงจะซัดตัวอะไรเข้าแล้ว สักครู่ก็ลั่นเปรี้ยงป่าสะเทือนมาทางบึงแห้ง พรานสองคนเมื่อคืนคงจะได้ทำบาปเพิ่มขึ้นอีกราย กรรมใครก็กรรมมัน...

    แม่เบ็ญซ้อมเดินเป็นการอุ่นเครื่อง แดงเดินถือรองเท้าข้างเดียวมาจากหลุมส้วม เจ้าไนกี้คู่ละพันแปดหายลงหลุมส้วมไปข้างหนึ่ง กลับเท้าเปล่ากันละวันนี้...
    ตักอาหารเช้าแยกย้ายกันหาที่นั่ง บรรจุท้องใครท้องมัน ตามด้วยถั่วแดงต้มน้ำตาล นายต๊อกถูกป่าไม้จอมเฮี้ยบเทศน์อานิสงส์การฆ่าสัตว์ จนตื้นตันใจกินข้าวไม่ลง นั่งซึมกระทืออยู่คนเดียว...

    ข้าวสารหมดเกลี้ยง เหลือข้าวเหนียวถุงใหญ่ที่ไม่ได้แตะต้อง เก็บบรรจุกระสอบ ซุกไว้ในเวิ้งถ้ำ เก็บขยะไปทิ้ง ล้างถ้วยชาม ดับไฟให้เรียบร้อย ข้าวของที่จะทิ้งไว้ที่นี่ เอาไปไว้รวมกันทั้งหมด...

    พร้อมแล้วเคลื่อนขบวน เดินเลียบบึงลับแลกลับทางเก่า บนก้อนหินที่ปริ่มน้ำข้างบึงนั้น ลูกสาวใครไม่รู้นั่งโบกมืออำลาอย่างร่าเริง...

    “ขอบใจมากหนูเอ๊ย... บอกพ่อด้วยนะคราวหน้าจะมาใหม่...”

    บอกให้ทุกคน “ดู” เธอ ใครจะตาดีเห็นบ้างก็ไม่รู้ อาตมาพาลัดเลาะขอบบึงขึ้นเขา เอาไม้เท้าให้แม่เบ็ญจับแล้วลากขึ้นไป ช่วงไหนชันมากก็ผูกเชือกสาวขึ้นไปทีละช่วง ไม่นานนักก็ขึ้นมาอยู่บนยอดเขา... ​
    [​IMG]
    เดินทางกลับ

    ขาลงแม้จะหวาดเสียวแต่ก็นับว่าง่ายแล้ว รู้สึกว่าแม่เบ็ญจะเก่งเป็นพิเศษ ไปยาวรวดเดียวถึงรถเลย... ปลดสัมภาระลงในกระบะ หาที่นั่งกันเอาเอง นายแรดจอมลุยเข้าประจำที่คนขับ เคลื่อนรถออกจนฝุ่นตลบ...

    รอยงูใหญ่ตัวเดิมยังคงเลื้อยข้ามถนนให้เห็น ถึงบ้านลุงปานส่งนายต๊อกลง หัวหน้าชาติชายจ่ายค่าแรงให้ แล้วรับนายรินผู้พี่ชายขึ้นมาแทน แกจะไปพิษณุโลก ขอติดรถไปลงขนส่งหมอชิตด้วยคน...

    แวะเอาข้าวของตกค้างที่แปลงหก แล้วลุยยาวไปสถานีวิจัยไผ่ผาตาด ให้หัวหน้าชาติชายสั่งงาน พี่มุกดาลืมกระเป๋ามหาสมบัติไว้ที่แปลงหก มาไกลแล้วขี้เกียจย้อนกลับ ฝากเทวดาไว้ก่อนแล้วกัน...

    ติดปีกบินมาฉันเพลแถวไทรโยคน้อย อาหารอร่อยผิดกับหลายมื้อในบึงลับแล หมดปัญหาปากท้องแล้วก็ไปต่อ ส่งแม่เบ็ญต่อรถไปอู่ทองที่บ.ข.ส.เมืองกาญจน์ รถมาจ่อท้ายพอดี สบายเลยพระมารดา...

    เห็นป้ายติดเต็มไปทั้งเมือง เขาประท้วงการที่ทางการเอาสารพิษจากคลองเตยมาทิ้งที่นี่ บอกลาและขอบพระคุณเจ้าพ่อเมืองกาญจนบุรีและบริวารที่ตามมาส่ง แล้วเหินไปกับสายลมสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร...

    ๘ เมษายน ๒๕๓๔
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2008
  12. suthamma

    suthamma ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,444
    ค่าพลัง:
    +36,774
    [​IMG] เส้นทางตามบันทึกนี้แหละครับ ที่พระวัดท่าขนุนชำนาญและจะนำทางทุกคนไป..! โปรดสังเกตทุกภาพที่กำลังเดินทางว่า มันชันมากจริงๆ ครับ..! [​IMG]
     
  13. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ ที่เมตตาให้พระวัดท่าขนุนมานำทางให้
     
  14. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ขออนุโมทนาค่ะ

    ถ้าอยากไปขอเชิญร่วมคณะไปด้วยความยินดีค่ะ จะได้ทำบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ๓๐ องค์และทำบุญที่วัดร่วมกัน
     
  15. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ฝากแจ้งข่าวสักนิด สำหรับชาวคณะที่ร่วมเดินทางไปในทริปนี้ ถ้าโชคดีได้หลวงพี่หน่อยท่านนำทาง มีสิทธิได้รับพระเป็นของที่ระลึกในการร่วมทริปกันคนละ ๑ องค์

    สำหรับทริป ๑๐ ธค. ที่ผ่านมา หญิงได้นำพระที่หลวงพี่ท่านมอบให้้กลับมาฝากอีก ๓ ท่านที่ไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยคือ กระบือน้อย(อู) , เศษสตางค์(ที) และ kacher (บี๋) หญิงได้ส่ง MMS ภาพพระไปให้แต่ละคนเลือกเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่่เดินทางกลับมาถึงใหม่ๆ แต่ยังไม่ได้จัดส่งพระให้ ไว้คืนนี้จะนำภาพพระ ๓ องค์ของทั้ง ๓ ท่านรวมถึงองค์ของหญิงมาลงให้ได้ดูกันค่ะ ส่วนท่านอื่นๆ ที่ร่วมคณะไปในวันนั้นใครจะถ่ายรูปพระที่ได้รับนำมาลงแบ่งปันกันชม ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์

    แต่ตอนนี้...หญิงขอนำภาพโฉมหน้าของคณะพลังจิตพิชิตเอาดาบหน้ามาลงให้ดูกันพลางๆ ก่อนค่ะ (ใครเป็นใครดูและเดากันเอาเอง) สำหรับทริปล่าสุดนี้ ก็ยังคงโฉมหน้าเดิมๆ แต่มีขาดหายไปบ้าง คือ คุณบุตรสา (อ้ำ) ที่ต้องไปรับใช้ชาติ และคุณป้อมกับน้องแฝดมหัศจรรย์ที่ต้องเดินทางกลับอเมริกาไปเรียนต่อ แต่ทั้งน้องอ้ำและคุณป้อมส่งข่าวมาแล้วว่า หลังจากน้องอ้ำปลดประจำการประมาณกลางปี และตัวคุณป้อมหลังจากน้องแฝดทั้งสองปิดเทอมประมาณ กค.ปีหน้า เธอยินดีบินกลับมาร่วมทริป (โหด มันส์ ฮา) กับคณะอีกอีกแน่นอนค่ะ


    [​IMG]
     
  16. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    น้าน...ท่านพี่สุธัมมา..คอนเฟริมว่า...มีพระวัดท่าขนุนที่เคยไปจะนำทางทริปครั้งนี้....โหย...ตกลงหากมีสมาชิกหรือลูกศิษย์หลวงพี่เล็กอยากตามรอยหลวงพี่ทุกที่ๆ ไป หากหาไกด์ไม่ได้ คงต้องให้พระวัดท่าขนุนรับจ๊อบอีกเช่นเคยสิจ๊ะ

    ดีนะคะที่พระวัดท่าขนุนรับซอง(ยายผีป่าล้อเล่นว่า "ค่าตัว) แล้วเอาเข้ากองบุญหมด

    มีเรื่องจะเล่า ก่อนวันออกพรรษาที่ผ่านมา...ยายผีป่าอยากพาลูกๆ ไปเที่ยววัดใหม่ๆ บ้าง ลูกเขาเห็นในข่าวว่า...วัดหลวงตามหาบัวสาขากาญจนบุรีนี่มีเสือที่เชื่อง มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและฝรั่งไปชมกันมาก

    ยายผีป่าเลยตามใจลูก หอบไปหมดทั้งสี่คน

    ..........................................

    ทางเข้าวัดเขาทำที่กั้นเก็บตั๋วเข้าชมการแสดงเสือ ยายผีป่าเจอพนักงานสาวสองสาววัยรุ่นสวมเสื้อสีชมพู

    ถามว่าจะเข้าไปในวัดอย่างไร

    เขามองหน้าแล้วพอชาวต่างชาติคล้อยหลังไปเล็กน้อย เขาถามว่า พาชาวต่างชาติมาเที่ยวเหรอ...ยายก็เลยหันดูรอบๆ ไม่มีชาวต่างชาติแล้วนี่ เลยบอกว่า เป็นคนแถวนี้พาลูกๆ มาเที่ยว เขาอยากมาดูพระเลี้ยงเสือเชื่อง

    "๓๐๐ บาท ค่ะ" พนักงานตอบ

    ยายผีป่าถามว่า แล้วเด็กละคะ

    "๓๐๐ บาทเท่ากันหมดค่ะ"

    ยายเลยชี้ไปที่น้องใบตองที่ตอนนั้นกำลังเตาะแตะได้ ตัวเท่านี้คิดเท่าไรคะ

    "๓๐๐ บาทเท่ากันหมดค่ะ"

    ยายผีป่าเลยถามว่า

    ถ้าจะมาทำบุญ...ไม่ชมเสือ เราไปทางไหนคะ

    "ต้องซื้อบัตรผ่านประตูค่ะ "

    แล้วยายผีป่าเลยพูดกับลูกๆ ว่า

    "ทู๊เอ๊กเพ็นสีพ...เฮียร์ เดย์ ด๊อนท์ เวลคัม วี "ไทย พีเพิล..." เล็ตโกเอ้าท์ วีแคนโกทูอนาเตอร์เทมเพิ้ล ออ อนาเตอร์อินเทอเรสทิ้งเพลส วิส มัซมอร์เวลคัมแดนเฮียร์"

    พนักงานก็มองหน้า ลูกๆ ก็ทำหน้าเสียเล็กน้อย

    ไหนแม่บอกว่า จะพาดูวัดดูพระที่เขาเลี้ยงเสือ

    แม่ผิดคำพูด

    ยายผีป่าเลยต้องบอกลูกๆ ไปว่า

    แม่ต้องจ่ายค่าตั๋วแพงเกินเหตุ..เราไม่มีเงินพอ...เราเอาเงินส่วนนี้ไปทำเรื่องที่ดีอย่างอื่นๆ ได้อีกมาก เสือลูกก็เคยไปเห็นแล้วที่เขาเขียว ที่สวนเสือศรีราชา เขาใหญ่มากๆ ค่าบัตรยังไม่แพงเท่านี้และเด็กต่ำกว่า ๙๐ เซ็นต์เขาไม่คิดเงินด้วย

    มีฝรั่งคนหนึ่งเขาได้ยินเราพูดภาษาฝรั่งเลยเดินมาถามว่า

    "ทำไมคุณคิดว่าแพง"

    ยายผีป่าเลยบอกว่า

    ไม่แพงสำหรับพวกคุณ แต่สำหรับฉัน ฉันไม่มีปัญญาเข้าไป ...ฉันไม่ใช่คนรวยและฟุ้งเฟ้อพอที่จะจ่ายได้ ฉันจึงขอไปที่อื่น

    ...................................................

    ยายผีป่าก็เลยพาลูกๆ ไปปราสาทเมืองสิงห์ ค่าผ่านประตูทั้งครอบครัว ๓๐ บาทเองค่ะ และลูกๆ ชอบมาก เขาชอบเหล็กไหล ลูกๆ ยายผีป่าบ้าเหล็กไหล

    ..................................................

    ก็หวังว่า...ไปวัดท่าขนุนอีกร้อยปีข้างหน้า...คงไม่มีการเก็บบัตรผ่านประตูไปดูหมาแสนรู้ที่วัดนะค๊า อิอิ...

    ....................................................

    สาเหตุที่วัด(สวนเสือ) แห่งนี้เก็บค่าผ่านประตูแพงมาก...เคยลงหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์หนึ่งนะคะ คิดว่า ลมเปลี่ยนทิศหรือยังไงนี่แหละ

    เขาบอกว่า คนไทยไม่เก็บ และที่เก็ยคือค่าบำรุง

    แต่จากการที่ยายผีป่าคลุกคลีกับการท่องเที่ยวประมาณหนึ่ง รู้ว่าทัวร์ต่างชาติไปถึงที่ไหน ความดีหายหมด เพราะเขาจะมาบงการว่า...คุณต้องขายของแพงขึ้น (เพื่อแบ่งคอมมิสชั่นให้ไกด์และบริษัท) ค่าตั๋ว ค่าสินค้า มีผลประโยชน์ต่อกันทั้งนั้น ร้านไหนไม่จ่าย ไม่มีการนำทัวร์ลง สั่งลูกทัวร์ว่า อย่าไปที่นี่ อย่าซื้อของที่นี่ ของไม่มีคุณภาพอะไรทำนองนี้...

    ไม่น่าเชื่อว่าวัด(สวนเสือในสาขาของหลวงตามหาบัว) จะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ ...คณะกรรมการวัด...คงต้องการเร่งพัฒนาวัดจนลืมความเป็นวัดไปเสียแล้ว

    ขออภัยที่มาบ่นที่นี่...เพราะว่าอยากให้วัดเป็นวัดเสมอไป ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวเพื่อหวังกำไร และขอให้วัดต้อนรับคนไทยหน่อย ไม่ใช่รับหน้าแต่คนมีหน้ามีตามีฐานะทางสังคม คนจนหมดสิทธิ์!

    ถ้าคณะกรรมการวัดเข้ามาอ่านเจอ...ช่วยตอบด้วย...ว่าถ้าจะไปทำบุญที่วัด ต้องจ่ายค่าผ่านประตูด้วยหรือไม่
     
  17. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    อ่านเรื่องราวพี่เอื้อมแล้วสนุกดีจริงๆ ขอแจ้งเรื่องรูปพระที่ถ่ายออกมาความละเอียดไม่เพียงพอ พอปรับลดขนาดภาพยิ่งขาดความคมชัด ไว้หญิงหาวิธีถ่ายให้ดีๆ ก่อนแล้วจะนำมาลงให้ดูกันค่ะ แต่ที่แน่ๆ สัปดาห์หน้าต้องรีบส่งให้ยัยบี๋แล้วเพราะวันนี้ให้เธอส่งที่อยู่มาสำหรับจัดส่งพระ ส่วนอีก ๒ หนุ่ม (อู, ที) ที่อยู่ยังไม่มีมา ก็รอรับทีหลังไปแล้วกัน
     
  18. นายเทิด

    นายเทิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +1,341
    ภาพนี้สวยมากครับ ผมอยากไปเห็นของจริงจัง แต่ว่าผมอยู่ที่หาดใหญ่ สงขลา จะไปคงลำบากน่าดู
    แต่หลวงพี่ที่อยู่กับผมตอนนี้ ท่านก็เคยไปมาแล้วคับ และท่านยังบอกอีกว่า ท่านเคยว่ายน้ำข้ามฟากบึงลับแลมาแล้ว แต่ "เกือบไม่ตลอดรอดถึงอีกฝั่ง" ท่านเล่ามาแค่นี้ ที่เหลือไปง้างเรื่องราวจากท่านเองนะคับ​
     
  19. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สวัสดีค่ะกัลยาณมิตรทุกท่าน..

    ทริปนี้เป็นการลุยอย่างทรหดค่ะ..หากท่านที่สนใจแต่ไม่แน่ใจว่าลุยได้ไหม ก็ขอให้ท่านคิดให้ถี่ถ้วนก่อนลงยืนยันการเดินทางนะคะ และหวังว่าท่านที่ไม่แน่ใจว่า...จะเดินทางได้ไหมในกำหนดวันนั้น...หากท่านคิดว่า...ชีวิตนี้ไม่รู้จะอยู่ได้นานอีกเท่าไร...ขอไปก่อนตายดีกว่า หรือไปตายที่นี่ดีกว่า ก็ขอเชิญค่ะ แต่ถ้าคิดว่า..ไม่ไปดีกว่า...เพราะไปแล้วเหนื่อยตายแน่...ก็รอคอยการกลับมาเล่าของพวกเรานะคะ(จะรอดมาเล่าได้ไหมนี่)

    เชิญยืนยันการร่วมทริปนะคะ คนไม่คุ้นเคยก็ร่วมกันได้ค่ะ
     
  20. cinderella2517

    cinderella2517 Mindset Coach และ นักพยากรณ์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +1,404
    ขอลงชื่อไปด้วยได้ไหมคะ 1 คน Cinderella2517 (นู๋กุ้ง) มีความคืบหน้าแจ้งฝากข้อความไว้เลยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...