เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    ผมคิดว่าเมื่อเราสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อ เราย่อมมองเห็นโลกจากสิ่งที่เราเชื่อเสมอๆนะครับ บางเหตุการณ์มันไม่เลวร้ายอย่างที่คิดเลยแต่มันก็ทำให้เราคิด ส่วนบางคนเค้ามีโลกของเค้าๆก็คิดอีกอย่างนึง ทั้งๆที่โลกใบเดียวกันแท้ๆ แต่โลกแห่งภาวะจิตนั้นเป็นของใครของมัน เมื่อเราเลือกที่จะทำความดี รู้จักให้ ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ ปรารถนาให้ผู้อื่นได้ดี และเชื่อในความสามารถของตัวเองว่าเราจะสามารถเป็นอย่างที่เราอยากเป็น เราย่อมมองเห็นโลกใบเดิมที่ฉายภาพออกมาให้เห็นเเต่สิ่งดีๆแน่ครับ และก็สามารถได้ในสิ่งที่ต้องการเพราะการสร้างสรรค์แห่งความรักของเราเองแน่ๆ ผมว่านะครับ
    โดยส่วนตัวแล้วถ้าได้ในสิ่งที่ต้องการไวๆก็คงจะดี เพราะทุกวันนี้ก็ยังได้ไม่ครบ แต่ก็เริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้นว่าทิศทางชีวิตและพลังอำนาจของเรามันกำลังรู้สึกถึงการตื่นอยู่ภายใน เฝ้ารอให้ตนเองได้ใช้นั่นเอง แม้ทุกวันนี้จะยังไม่สามารถก้าวไปถึงจุดนั้นและเชื่อได้หมดใจแต่เชื่อว่าต้องทำได้ และได้ใช้มันแน่ๆ
     
  2. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วหลังจากที่ผมแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้สักที ผมก็ไปนอนอยู่ในห้องของตัวเอง คิดว่าจะเอาไงดี รู้สึกหวาดหวั่นกับตัวเองมากๆ พอสักพักก็เกิดอาการปลื้มปิติขึ้นและเข้าใจอะไรบางอย่าง ความหวาดกลัวในใจผมแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เป็นอาการสว่างทางปัญญาที่ไม่เคยประสบมาก่อนแต่ในที่สุดก็ได้เจอกับตัวเป็นครั้งแรก ผมเข้าใจอะไรบางอย่างแต่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ถึงจะอธิบายออกมาก็บิดเบือนครับ ความรู้สึกในตอนนั้นคือรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจ ความหวาดกลัวหายไปเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกปลื้มปิติมากๆและสัมผัสได้อย่างเข้าถึงว่าเราเข้าใจในสิ่งๆนั้นแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมแทบจะหายกลัวตายเป็นปลิดทิ้ง
    แท้จริงแล้วการเข้าใจตัวตนของเราต่างหาก คือสิ่งที่จิตวิญญาณของเราต้องการ ทรัพย์สมบัติภายนอกเป็นแค่สิ่งที่ร่างกายของเราต้องการและเป็นเพียงแบบทดสอบความคิดภายในใจของเราเท่านั้น
    ถ้าเราเกิดมาสบายทุกชาติมันก็ทำให้เรารู้สึกสบายได้ไม่นานแต่สักพักก็จะรู้สึกเซ็งๆและเป็นอย่างงี้ไปตลอดเพราะไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง และเบื่อๆชีวิต เพราะเราจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ
    แต่ถ้าเราสุขบ้างทุกข์บ้าง มันทำให้เราเข้าใจตนเองมากขึ้นๆเพราะปัญญาญาณต่างหากที่จิตวิญญาณเราต้องการ แก้วแหวนทำให้เรามีความสุขชั่วคราวแต่ความเข้าใจในตัวเองต่างหากที่เราต้องใช้ไปตลอดในกาลข้างหน้า ไม่ว่าจะมีชีวิตในชาติภพหรือนอกชาติภพแห่งกาลเวลาก็ตาม
    เลยคิดกับตัวเองไว้ว่าต่อไปจะใช้จินตนาการอารมณ์และความรู้สึกในการสร้างชีวิตและตัวเองไปตลอดและถ้าเราไม่สามารถบังคับความรู้สึกได้นั่นหมายความว่าเราต้องพิจารณาตรงจุดๆนั้นว่าเราได้มองเห็นและตัวตนของเราต้องการเข้าใจอะไร ไม่ใช่ว่าทุกข์แล้วรู้สึกว่าไร้พลังอำนาจ เพราะเมื่อเราพยายามที่จะเข้าใจสิ่งนั้นมันจะสามารถทำให้เราผ่านเหตุการณ์ไม่ดีนั้นๆออกไปได้เร็วขึ้น
     
  3. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419


    "เธอทั้งหลายไม่ใช่มนุษย์ผู้ใฝ่หาประสบการณ์ในมิติของจิตวิญญาณแต่เธอคือจิตวิญญาณผู้มาหาประสบการณ์ในมิติของมนุษย์"

    <O:p</O:pสวัสดีครับคุณเด็กโชว์พาว

    <O:p</O:pยินดีด้วยครับที่ค้นพบและเริ่มเข้าใจในเรื่องของจิตวิญญาณหรือตัวตนภายในมากขึ้นถึงแม้ว่าหลายๆท่านในห้องนี้ (รวมทั้งคุณเด็กโชว์พาว) จะใช้นามแฝงและส่วนใหญ่ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยแต่สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนเหมือนกันก็คือ
     
  4. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    สวัสดีครับคุณธรรมจิตต์
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ ช่วงนี้ก็ฝึกสติตลอดแหละครับ ทำอะไรในแต่ละวันก็ตาม มักจะดูจิตไปเรื่อยๆว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์ไหนบ้าง
     
  5. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728

    พี่จินต์ก็พยายามฝึกการมีสติสัมปชัญญะอยู่กับตัวเหมือนกัน (พยายามรู้ตัวทั่วพร้อม) ไป ๆ มา ๆ ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน

    ภาพที่คุณนักเขียนเอามาลงสวยดีค่ะ ดูแล้วสดชื่นมาก อ้อไอ้ผลไม้นั้นกินได้ไหมคะ ดูน่ากินดี อิ อิ
     
  6. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    สวัสดีครับคุณพี่นักเขียน

    <O:p</O:pข้าพเจ้ามีข้อสงสัยอยากจะขอความกระจ่างจากคุณพี่นักเขียนหน่อยครับ คือว่าเวลาที่ข้าพเจ้าดูรูปภาพโดยเฉพาะที่เป็นภาพเก่าๆในอดีต (ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว) โดยการจดจ่อเข้าไปที่ภาพนั้นๆ ทำไมข้าพเจ้าถึงมีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเหมือนกับว่าตัวเองได้เข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศและเหตุการณ์ในภาพนั้นจริงๆรวมทั้งยังเกิดจินตนาการถึงรายละเอียดแวดล้อมต่างๆไม่ว่าจะเป็นคน
     
  7. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG]

    เรื่องนี้อาจจะนอกเรื่องไปหน่อยแต่ประทับใจเลยมาเล่าให้ฟังครับ คือวันก่อนได้ดูการแสดงหุ่นละครเล็กทางทีวี (Thai Puppet) ของลูกๆหลานๆปรมาจารย์โจหลุยส์ น่าชื่นชมจริงๆครับ ดูมาหลายรอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคกลไกที่สลับซับช้อน-รายละเอียดงานศิลป์ของตัวหุ่น โดยเฉพาะเทคนิคการเชิดหุ่นให้มีชีวิตชีวา เค้าสามารถเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้อย่างสนุกสนานจริงๆ โดยเฉพาะการเชิดหุ่นหนุมานฯ ซึ่งเห็นแล้วก็ทึ่งในความสามารถของผู้เชิดทั้ง 3 คนมากๆ แม้แต่การเล่นมุขสดๆกับผู้ชมนั้น เค้าก็ยังสามัคคีไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างน่าทึ่ง+รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไม่มีที่ติ เหมือนเค้าใช้ วิชาโทรจิต สื่อสารระหว่างกันเลยครับ ทุกคนรู้หน้าที่ว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์สดๆตรงหน้า น่าชื่นชมนะครับสำหรับละครโรงใหญ่ของหุ่นละครเล็กแห่งนี้ พวกเราได้ไปดูกันรึยังครับ รู้สึกว่าค่าตั๋วเข้าชมอยู่ที่ 199-220 บาทเอง ว่างๆไปอุดหนุนกันนะครับ

    ผมเองเคยเจอกับโจหลุยส์ครั้งนึงก่อนที่ท่านจะเสียไป ลูกๆหลานๆของท่านพาท่านนั่งรถเข็นพาชมสินค้าในงานเห็นรอยยิ้มท่านแล้วอบอุ่นครับ ท่านก็แวะมาที่ Booth ตอนไปออกงาน Impact ที่จำไม่ลืมคือท่านให้ความสนใจและชื่นชมกับหุ่นตุ๊กตาของทางร้านซึ่งทำด้วยโครงลวดหุ้มผ้า ท่านเข้ามาดูไปก็อมยิ้มไปอยู่นาน และเลือกอุดหนุนไป 1 ตัว..ปลื้มใจที่ปรมาจารย์หุ่นท่านให้ความสนใจงานหุ่นของเราครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การให้อภัย

    คุณน้อง Kindred ได้ให้ขัอคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้จากความผิดของตนเอง ซึ่งเป็นสาระที่มีความสำคัญ เพราะเราเกิดมาล้วนเคยทำผิดด้วยกันไม่มากก็น้อยด้วยกันทุกคน ต่างกันตรงที่ว่า บางคนรู้จักที่จะให้อภัยตนเองและผู้อื่น และบางคนไม่รู้จักที่จะให้อภัยตนเองและผู้อื่น แต่คนจำนวนมากมักให้ความสำคัญกับการทำผิด และการลงโทษ เสียมากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับการให้อภัยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้อภัยซ้ำสอง

    บางคนแทบจะเชื่อว่า การให้อภัยครั้งแรกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และเป็นสิ่งที่ดี แต่การให้อภัยซ้ำสอง นอกจากจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ดีด้วยซ้ำไป เพราะจะทำให้ผู้ที่ทำผิด ไม่แก้ไขตนเอง ไม่หลาบจำ พ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อเช่นนี้ มักไม่ให้อภัยในความผิดของลูกซ้ำสอง แต่เขาก็จะพบว่า ลูกยังคำทำผิดต่อไปอีก เพราะการไม่ให้อภัยซ้ำสอง ไม่ได้แก้ไขหรือป้องกันความผิดครั้งต่อๆไปได้เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ที่ทำผิดมักรู้สึกหมดหวังที่จะแก้ไขตนเอง

    ความเชื่อเช่นนี้ เกิดจากการที่บุคคลดังกล่าวมีเป็นพื้นฐานจิตเป็นผู้ที่ไม่รู้จักให้อภัยตนเอง ซึ่งไม่ใช่ความเชื่อที่สร้างสรรค์ หรือให้คุณในระยะยาวต่อตนเองและผู้อื่นเลย เราได้ยินข่าวผู้ที่จบชีวิตตนเองลงอย่างน่าเสียดายไม่มากก็น้อย บุคคลเหล่่านั้นมักเป็นผู้ที่ไม่ให้อภัยต่อความล้มเหลวผิดพลาดของตนเองหรือผู้อื่น และเชื่อว่าเมื่อความผิดพลาดล้มเหลวเกิดขึ้นแล้ว เป็นส่ิงที่แก้ไขไม่ได้ คนจำนวนมากมีความเชื่อดังกล่าว เพราะเขาเติบโตมาโดยรับถ่ายทอดเอาความเชื่อเช่นนี้มาจากพ่อแม่หรือครูอีกทอดหนึ่ง

    พี่นักเขียนมักจะได้รับคำถามจากนักเรียนสมาธิ และจากผู้อ่านหลายท่านอยู่เนืองๆเกี่ยวกับปัญหาสัมพันธภาพกับคนใกลัตัว ไม่ว่าจะเป็นคู่ครอง ญาติพี่น้อง ลูก หรือผู้ร่วมงาน และบ่อยครั้งผู้ที่ประสพปัญหาจะถามว่า เขาควรจะให้ second chance กับผู้ที่ทำผิดต่อเขาหรือไม่?

    คำตอบของพี่นักเขียนคือ เราทุกคนสมควรไดัรับ second chance หรือแม้แต่ third, forth, fifth chance... เพราะ ผู้ที่ไม่เคยทำผิด คือผู้ที่ไม่เคยทำอะไรเลย

    เราทั้งหลายไม่ได้เกิดมาเรียนรู้จากการทำสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ และถูกต้องโดยไม่มีที่ติตั้งแต่ครั้งแรกสุดที่เราได้ทำ ในทางตรงกันข้ามเราทุกคนเรียนรู้จากสิ่งที่ทำได้ยาก ทำผิดแล้วผิดอีก การทำผิดซ้ำในสายตาของผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชา อาจมองเห็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำผิดซ้ำ-ไม่เรียนรู้จากความผิดครั้งแรก จึงทำให้ทำผิดได้เป็นครั้งที่สอง หรือมากกว่านั้น

    ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เสมอเหมือนกันจนไม่ผิดเพื้ยน การทำผิดครั้งแรกและครั้งที่สองก็เช่นกัน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องแม้จะคล้ายคลึงกัน แต่ในรายละเอียดแล้ว ย่อมมีบางสิ่งบางอย่างแตกต่างไป สิ่งที่เราต้องยอมรับโดยปริยายว่าเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแน่นอนที่สุดคือ เวลา แต่เราก็มักจะมองข้ามปัจจัยอื่นๆที่ซ่อนเร้นไปอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่จับต้องไม่ได้ ได้แก่ อารมณ์จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่ทำผิด มุมมองของเราที่มีต่อความผิดทั้งหลาย สามารถทำให้ความผิดกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มากกว่าเป็นเพียงสิ่งที่น่าตำหนิ

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พี่นักเขียนได้ข่าวจากลูกและเพื่อนๆของเขาว่า เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งกำลังเรียนแพทย์ศาสตร์ปีที่สามอยู่ ได้ขาดการติดต่อกับเพื่อนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนเป็นห่วง พ่อแม่ของเขาซึ่งอยู่รัฐอื่นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากลูกชายเช่นเคย จนในที่สุดก็ได้แจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบที่พักของเขา ปรากฏว่าพบศพของเขาใน apartment พร้อมกับจดหมายสั้นๆที่เขียนถึงพ่อแม่ว่า "I'm so sorry..."

    เด็กหนุ่มผู้นี้จบชีวิตลงเนื่องจากความผิดหวังในผลการเรียนของตนเอง เขาไม่ได้สอบตก แต่ทำคะแนนไม่ได้ดังที่คาดหวัง การจบชีวิตลงอย่างน่าสลดใจของเด็กหนุ่ม ซึ่งมีอนาคตเป็นแพทย์ ได้ท้ิงบทเรียนไว้ให้นักศึกษาแพทย์อีกจำนวนนับร้อยที่ไปร่วมพิธีในงานศพ รวมทั้งทุกคนที่ได้รับทราบข่าว

    เหตุการณ์นี้ทำให้พี่นักเขียนตระหนักว่า การให้อภัยต่อตนเองและผู้อื่นเป็นสิ่งที่ทำคัญต่อความเป็นความตายของเราทุกคน หากเราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ดูเสมือนจะให้อภัยไม่ได้ ไม่ว่าจะต่อตนเองหรือผู้อื่นไป ด้วยการให้อภัย เราจะพบว่า ชีวิตของเราทุกคน เต็มไปด้วยโอกาสและทางเลือกมากมาย ชีวิตจะหมดทางเลือก ก็ต่อเมื่อ-เราหยุดให้โอกาสต่อตนเองและผู้อื่น

    [​IMG]
    เราหมดโอกาส และถึงทางตัน ก็ต่อเมื่อเราไม่รู้จักให้อภัย
    เราทุกคนเริ่มต้นใหม่หมดได้เสมอ ด้วยการให้อภัยต่อตนเองและผู้อื่น(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2008
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    จิตวิญญาณกับการเรียนรู้

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้ตีความหมายของจิตวิญญาณไว้ว่า
    จิต คือ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
    วิญญาณ คือ ข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ


    จิตและวิญญาณไม่เคยแยกกันอยู่
    จิตวิญญาณหมายถึง ข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ซึ่งถ่ายทอดด้วย อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด


    นอกจากนี้ ท่านอาจารย์อนาลัยยังได้อธิบายไว้ว่า โลกแห่งความเป็นจริง เป็นโลกที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่างระยะทางและกาลเวลา จิตวิญญาณ หลากมิติ ซึ่งเป็นโลกหลายโลก หลายมิติ หลายกาลเวลา หลายภพภูมิ พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ร่างกายตัวตนอันเป็นกายภาพที่เราทั้งหลายรู้จักและเชื่อว่า คือตัวตนทั้งหมดเพียงตัวตนเดียวของเรา มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป ในโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ ซึ่งเรารู้เห้นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ภายใต้กฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเท่านั้น

    แม้ว่าร่างกายตัวตนของเราจะรู้เห็นโลกทางกายภาพเพีียงโลกเดียว และรู้จักหรือรู้เห็นตัวตนทางกายภาพเพียงตัวตนเดียว แต่โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติก็ดำเนินไปเป็นปัจจุบันพร้อมกันหมด จิตวิญญาณของเราสัมผัสและรู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ พร้อมตระหนักและรู้เห็นหรือสัมผัสตัวตนหลากมิติ หลายร่าง หลายตัวตนที่ดำเนินชีิวิตอยู่ในโลกเหล่านั้น ทุกตัวตน เราจะรู้เห็นธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ได้เสมอๆในความฝัน ซึ่งเห็นตนเองเป็นบุคคลตัวตนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตัวตนยามตื่นไม่เคยรู้จัก พูดคุยหรือมีสัมพันธภาพใก้ลชิดกับบุคคลที่ตัวตนยามตื่นไม่เคยรู้จัก หรือรู้จักแต่กลับไม่เหมือนบุคคลนั้นๆเช่นยามตื่น

    เรารู้เห็นสิ่งต่างๆในสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่มันก็ไม่ใช่ประสาทสัมผัสเพียงชุดเดียวที่เราใช้ จิตวิญญาณใช้ประสาทสัมผัสภายใน เพื่อรู้เห็นสิ่งต่างๆด้วยพร้อมกันกับที่ประสาทสัมผัสทั้งห้ารู้เห็น แต่การรู้เห็นของจิตวิญญาณด้วยประสาทสัมผัสภายใน เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ด้วยมือ มองไม่เห็นด้วยตา ลิ้มรสไม่ได้ด้วยลิ้น ได้ยินด้วยหูไม่ได้ รับกลิ่นไม่ได้ด้วยจมูก แต่เป็นสิ่งที่รู้เห็นได้ด้วยจิต หรือด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเท่านั้น

    ตลอดวันเวลาที่เราทั้งหลายสื่อสารและรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่ก็ตามว่า ประสาทสัมผัสภายในใช้การได้อย่างไร มันก็ทำงานไปตามธรรมชาติ แท้จริงแล้วประสาทสัมผัสภายในรับรู้และสื่อสารก่อน จากนั้นจึงแปลงการรู้เห็นทั้งหมดเป็นสัญลักษณ์ที่รู้เห็นและสื่อสารได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าอีกทีหนึ่ง

    คำพูด ภาพ วัตถุสิ่งของ และสิ่งต่างๆที่จับต้องได้ รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นภาพสะท้อนที่ฉายออกมาจากภาวะจิต เป็นรูปธรรมอีกทีหนึ่ง

    การที่เรารู้เห็นสิ่งต่างๆเช่นภาพถ่าย และทำให้เกิดความรู้สึกอันลุ่มลึก เป็นการรู้เห็นโดยตรงของจิตวิญญาณ คือรู้เห็น ข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ซึ่งถ่ายทอดด้วย อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    แต่ความเชื่อและความคุ้นเคยของเราต่อกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ทำให้เราปักใจเชื่อว่า สิ่งต่างๆที่เรารู้เห็นได้ มีเพียงแค่สิ่งที่เป็นปัจจุุบันเท่านั้น เรารู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในสภาพแวดล้อมได้ ก็ต่อเมื่อมันอยู่ในรัศมีการรู้เห็นของประสาทสัมผัสทั้งห้า หากมันอยู่นอกรัศมี เราเชื่อว่าเราจะรู้เห็นไม่ได้ และเราก็ปักใจเชื่อต่อไปอีกด้วยว่า หากเราจะจดจำสิ่งอื่นๆที่อยู่นอกเหนือสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เราก็สามารถรู้เห็นได้เพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปเป็นอดีตไปแล้วเท่านั้น
    โดยเชื่อว่า อดีตจารึกอยู่ในความทรงจำของเรา

    ในนัยที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณของเราทั้งหลาย ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งเป็นเป็นโลกหลากมิติที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ตีความหมายได้ว่า จิตวิญญาณของเรากำลังดำเนินชีวิตเป็นบุคคลตัวตนหรือบุคลิกภาพอื่่นๆอยู่ในอดีต กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในปัจจุบันบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อื่นๆ และกำลังดำเนินชัีวิตอยู่ในอนาคตอื่นๆ พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบ้น

    ความเป็นไปของบุคคลตัวตนหรือบุคลิกภาพหลากมิติของเรา กำลังเป็นไปพร้อมกันหมด ณ ขณะจิตนี้ ตัวตนอันเป็นบุคคลเดียวที่เราเชื่อว่าเราเป็น ไม่อาจปิดกั้นการรู้เห็นของจิตวิญญาณ ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นพื้นฐานร่วมของบุคคลตัวตนหลากมิติเหล่านั้น และเป็นพื้นฐานร่วมที่ถ่ายทอดข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ซึ่งถ่ายทอดด้วย อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ให้ตัวตนหลากมิติทุกตัวตน สามารถพัฒนา เรียนรู้ เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ร่วมกันได้ในภาพรวม

    การมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกอันลุ่มลึกเกิดขึ้นเมื่อมองดูภาพถ่ายก็ดี เมื่อพบกับบุคคลแปลกหน้าที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในชีวิตนี้ก็ดี หรือเมื่อย่างกรายไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไปก็ดี ล้วนเป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกที่เกิดจากการรู้เห็นของจิตวิญญาณ ข้ามชาติภพ ข้ามมิติ ข้ามกาลเวลา ข้ามการเป็นบุคคลตัวตนอันจำกัด

    คนจำนวนมากตีความหมายประสบการณ์เหล่านี้อย่างตื้นๆว่า เป็นคุณสมบัติพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับอดีตชาติบ้าง สัมผัสกับมิติอื่นบ้าง

    แต่ตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนสัมผัสกับพื้นฐานร่วมของจิตวิญญาณ ซึ่งเชื่อมต่อกับบุคคลตัวตนหลากมิติ และโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอยู่เสมอทุกวันเวลา เราเพียงแต่ไม่ได้มีสติสัมปชัญญะที่คมชัดพอที่จะรู้เห็นการเชื่อมต่อเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน มันผุดขึ้นเสมือนฝันกลางวัน มันผุดขึ้นเสมือนความเลื่อนลอยที่แทรกขึ้นมาระหว่างการทำหน้าที่การงานของตัวตนในมิตินี้ เป็นเสมือนความคิดแว้บหนึ่ง มโนภาพแว้บหนึ่ง หรือเป็นเพียงเสียงกระซิบที่ปราศจากที่มา

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกที่เกิดขึ้น จากการรู้เห็นหรือสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏในสภาพแวดล้อม แต่ระลึกได้จากการมองดูภาพถ่าย หรือย่างก้าวไปสู่สถานที่ต่างๆ หรือเมื่อเผชิญหน้ากับใครบางคน ล้วนเป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกที่มีความหมาย

    เราควรจะใช้สติสัมปชัญญะของเราให้คมชัด พิจารณาภาวะเหล่านี้ เพราะมันกำลังส่งสารบางอย่างให้เรารู้ถึงความเป็นไปของการเป็นบุคคลตัวตนหลากมิติ ซึ่งสัมพันธ์กับการเป็นบุคคลตัวตนนี้ ในมิตินี้

    หากเราทำตามเหตุผลแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ใส่ใจต่ออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เรามักจะพบว่า เราพลาดบางสิ่งบางอย่างไปอย่างน่าเสียดาย

    การที่เราจะสามารถเข้าใจ และนำเอาอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกที่เกิดขึ้นเหล่านี้มาใช้ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อตัวตนในปัจจุบ้นที่เรารู้จักได้นั้น เป็นไปได้ด้วยการฝึกฝนให้ตนเองมีสติสัมปชัญญะที่คมชัด และสามารถรู้เห็นการสื่อสาร และเข้าใจสิ่งต่างๆได้ลุ่มลึกกว่าการสื่อสารและรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าแต่เพียงอย่างเดียว

    การสื่อสารและรู้เห็นอันลุ่มลึกด้วยประสาทสัมผัสภายใน เป็นไปอยู่แล้วตามธรรมชาติตลอดวันเวลา
    เราไม่ได้จะต้องฝึกฝนที่จะใช้ประสาทสัมผัสภายใน แต่ฝึกฝนที่จะรู้เห็นว่า ประสาทสัมผัสภายในกำลังรับรู้อะไรเพื่อให้เราได้เรียนรู้ และตระหนักได้ในสิ่งใด(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2008
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Crap Apple

    ผลไม้สีแดงสดนั้นคือ Crap Apple ค่ะ
    ฝรั่งเขาไม่ทานกัน แต่สำหรับคนไทยอย่างพี่นักเขียนแล้ว...อร่อยมากเลยค่ะ
    เมื่อสมัยที่มาเรียนหนังสือที่ Kansasนี่ใหม่ๆ พี่นักเขียนรู้สึกสนเท่ห์กับต้นไม้ ดอกไม้ และผลไม้ที่นี่มาก เพราะว่าฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปถึง 4 ฤดู จากหน้าร้อนที่ร้อนได้ถึง 40C ไปจนถึงหน้าหนาวที่หนาวได้ถึง -20C ทำให้มีพันธฺุ์ไม้ที่แตกต่างกันผลิดอกออกผลตามฤดูกาลต่างๆแปลกตาไปตลอดปี

    สามีของพี่นักเขียนเป็นคนช่างทดลอง เขาเป็นคนแรกที่เก็บ Crap Apple มาชิม เพราะเห็นว่านกและกระรอกชอบกิน เลยเก็บมาให้พี่นักเขียนชิมบ้าง ปรากฏว่ามีรสเปรี้ยวไม่แพ้มะดัน แต่ว่ากรอบและหอมเหมือน apple พี่นักเขียนเลยทำน้ำปลาหวาน จิ้ม เป็นที่ติดใจของนักเรียนไทยสมัยนั้นมากเลยค่ะ ต้องเก็บตอนยังอ่อนๆหน่อย สียังไม่แดงจัด เปลือกจะเหมือน Apple Fuji แต่ขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือเท่านั้นแหละค่ะ หากปล่อยจนแดงจัดคาต้นแล้วทานไม่ได้เพราะมันจะนิ่ม ไม่กรอบ แต่ก็ยังเปรี้ยวอย่างไม่ลดราวาศอก ถ้าเก็บตอนสุกแล้วก็เอาไปทำ Apple Cider ได้ค่ะ อร่อยไปอีกแบบ คือนำไปต้มแล้วกรองเอาแต่น้ำ ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย แล้วก็ใส่พวกเครื่องเทศเช่น Cinnamon
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    วันนี้พี่นักเขียนเลยทำน้ำปลาหวาน กับ Crap Apple มาฝากคุณน้องจินต์ และพวกเรา พร้อมด้วย Hot Cider รอรับหน้าหนาว เพราะน้องลูกเกดบอกว่าหิมะจะตกแล้ว คงจะหนาวแน่ (rose)
     
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441


    เด็ดมาทานจิ้มน้ำปลาหวานน่าอร่อยนะครับ ไม่ลองทานเองคงไม่รู้ อิอิ
    อาจจะคล้ายๆลูกสตรอเบอรี่เล็กๆ รสเปรี้ยวสุดๆเลยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2008
  12. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419

    ขอบคุณคุณพี่นักเขียนมากครับที่กรุณาให้ความกระจ่างแก่ข้าพเจ้า และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆด้วยเช่นกันนะครับ
     
  13. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    คิดถึงทุกคนค่ะ แวะมาทักทาย
     
  14. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    คิดอยู่แล้วว่าลูกสวย ๆ แบบนี้ต้องกินได้ เรื่องกินนี่ประสาทสัมผัสไม่พลาดเลย อิ อิ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้า อ๊อฟฟิศคราวนี้กฏใหม่ห้ามเล่นอินเตอร์เน็ทเลย (แปลก แต่ให้เล่นเกมส์ได้ สรุปว่า หนักกว่าเดิมเพราะพนักงานไม่ยอมทำงานโดยเฉพาะ พนักงานอ๊อฟฟิศ เอาแต่เล่มเกมส์ทั้งวัน แถมติดหนักกว่าเน็ตซะอีก เพราะความอยากชนะเกมส์ตัวเดียว ฮ่า ๆ เอิ๊ก อันนี้อุปมาอุปมัยเหมือนนิทานกบเลือกนายเลย หุ หุ เพราะมันหนักกว่าเดิม) ส่วนจินตวดีก็มันส์กับงานมาก เพราะหยุดไปเกือบเดือน พอกลับมาทำงานอีกครั้ง งานเลยเข้าซะให้หายคิดถึงเชียว อันนี้ก็ชอบ เพราะงานคือเงิน หลายชึวิตยังต้องพึ่งพาปัจจัยที่ห้าอยู่

    พอพูดถึงความเชื่อแล้ว ตอนเด็ก ๆ มักจะรู้สึกเหมือนว่ามีคนมาอยู่ใกล้ ๆ เป็นประจำ ถึงขนาดได้ยินเสียงและพบในความฝัน เวลาเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังท่านก็บอกว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษบ้าง แม่ซื้อบ้างมาคอยดูแล พอโตขึ้นหน่อยเจอหมอดูท่านก็บอกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาตามให้ทำบุญสะเดาะเคราะห์ (บรื๊อส์) พอไปเจอท่านอื่น ๆๆๆ อีก บ้างก็บอกว่า เป็นเทพเทวดา บ้างก็บอกไม่ใช่ผีและไม่ใช่มนุษย์ (อันนี้ งง เดาไม่ถูก) พอมาถึงวันนี้เราเลยมานั่งย้อนคิดถึงเรื่องเก่า คำตอบของเราที่เคยถามว่าจริง ๆแล้ว คำตอบของใครถูกต้องกันแน่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคำตอบล้วนถูกต้องทั้งหมด เพราะจริง ๆ แล้ว จิตวิญญาณาย่อมไม่มีรูปทรง หรือสัณฐานอันแน่นอน รูปทรงที่ปรากฏให้แต่ละคนได้เห็นหรือสัมผัสล้วนแต่เกิดขึ้นจากความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละคนที่สร้างขึ้นมาทั้งนั้นโดยการนำรูปทรงหรือสัญญลักษณ์ที่เรามีความเชื่อนั้นมาตีความ หรือคลุมทับไว้ แม้กระทั่งในความฝัน อย่างในกลุ่มที่เชื่อเรื่องเทพบ้าง มนุษย์ต่างดาวบ้าง ศาสนาบ้าง ก็จะมีความเชื่อในด้านนั้นโดยไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น ก็มักจะนำความเชื่อส่วนตัวนั้นเข้ามาตีความ หรือเกี่ยวข้องอยู่เสมอไม่มากก็น้อย อย่างจิตวิญญาณหนึ่ง ๆ ที่ไม่มีสัณฐานที่แน่นอน เป็นกลุ่มพลังงาน เมื่อไปปรากฏอยู่ในความคิดคำนึง หรือความฝัน ของบุคคลหลาย ๆ คนที่มีความเชื่อต่างกัน ภาพที่ปรากฏในมโนภาพของแต่ละคนนั้นจึงต่างหลากหลายกันไปตามความเชื่อส่วนบุคคลนั้น ๆ เช่นบางคนเชื่อในเทพ ก็เห็นเป็นภาพพระพรหม บางท่านเป็นคริสต์ ก็เห็นเป็นพระเยซู บางท่านเห็นเป็นพระพุทธรูป บางท่านที่มีความเชื่อในมนุษย์ต่างดาว ก็เห็นเป็นมนุษย์ต่างดาวกันไป ทุกอย่างล้วนถูกต้องตามความเชื่อส่วนบุคคลนั้น ๆ

    จินตวดีก็มาเกิดสงสัยว่า จริง ๆ แล้ว ทุกอย่างที่เราเห็นล้วนแต่เป็นพลังงานจิตวิญญาณดวงเดียวกันแต่กลับเห็นภาพนั้น ๆ แตกต่างกันไป ทำให้เราคิดถึงว่า "ข้อมูล ความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่ในธรรมชาติล้วนแต่เป็นหนึ่งเดียวทั้งนั้น ไม่มีการแบ่งแยก" แต่แล้วเหตุใดมนุษย์จึงสร้างความเชื่อขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกกลายเป็นกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ดังเช่นทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ถ้าเรามองให้ลึกลงไปถึงเบื้องหลังของแต่ละความเชื่อแล้วเราจะพบว่า ทุกความเชื่อล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากความรู้ที่แท้จริงของจักรวาลอันเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด คิดไปคิดมาทำให้คิดถึงอดีตอีก เราก็เคยมีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นในใจมาแล้ว และเราก็ได้พบคำตอบที่ตอบคำถามนี้มาแล้ว หลังจากนั้นก็มีคำถามใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จบ จนเราต้องถามตัวเองว่าจะมีสักวันไหมหนอที่เราจะปราศจากคำถาม เราสร้างคำถามและก็หาคำตอบไปเรื่อย ๆ จนมาถึงวันนี้ คำถามเดิมที่เราเคยสงสัยเมื่อนานมาแล้ว และได้หาคำตอบให้ตัวเองมาแล้ว มันก็กลับมาให้เราสงสัยอีกครั้ง แต่ในวันนี้ คำตอบกลับเปลี่ยนไปจากเดิม เราได้ถามใจเราว่าคำตอบใดถูกต้องที่สุด ใจเราก็ตอบกลับว่า ทุกคำตอบล้วนถูกต้อง เพียงแต่คำตอบแต่ละครั้งนั้นมันพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ และอีกไม่นานคำถามเดิมเหล่านั้นก็จะกลับมาอีก และคำตอบที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปอีกเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น มันมาพร้อมกับการพัฒนาสติสัมปชัญญะ และ จิตวิญญาณของตัวเราไปพร้อมกัน ทำให้จินตวดีคิดถึงคำว่า "การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น" ได้อย่างชัดเจนจริง ๆ


    วันนี้บ่นพอหายคิดถึงแล้ว อ้อเจ้าลูกสีแดงน้อย ๆ กับน้ำปลาหวาน คุณนักเขียนคะ รสชาติมันจะสู้มันดันหรือมะม่วงน้ำปลาหวานบ้านเราได้ไหมคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2008
  15. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    คิดอยู่แล้วว่าลูกสวย ๆ แบบนี้ต้องกินได้ เรื่องกินนี่ประสาทสัมผัสไม่พลาดเลย อิ อิ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้า อ๊อฟฟิศคราวนี้กฏใหม่ห้ามเล่นอินเตอร์เน็ทเลย (แปลก แต่ให้เล่นเกมส์ได้ สรุปว่า หนักกว่าเดิมเพราะพนักงานไม่ยอมทำงานโดยเฉพาะ พนักงานอ๊อฟฟิศ เอาแต่เล่มเกมส์ทั้งวัน แถมติดหนักกว่าเน็ตซะอีก เพราะความอยากชนะเกมส์ตัวเดียว ฮ่า ๆ เอิ๊ก อันนี้อุปมาอุปมัยเหมือนนิทานกบเลือกนายเลย หุ หุ เพราะมันหนักกว่าเดิม) ส่วนจินตวดีก็มันส์กับงานมาก เพราะหยุดไปเกือบเดือน พอกลับมาทำงานอีกครั้ง งานเลยเข้าซะให้หายคิดถึงเชียว อันนี้ก็ชอบ เพราะงานคือเงิน หลายชึวิตยังต้องพึ่งพาปัจจัยที่ห้าอยู่

    พอพูดถึงความเชื่อแล้ว ตอนเด็ก ๆ มักจะรู้สึกเหมือนว่ามีคนมาอยู่ใกล้ ๆ เป็นประจำ ถึงขนาดได้ยินเสียงและพบในความฝัน เวลาเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังท่านก็บอกว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษบ้าง แม่ซื้อบ้างมาคอยดูแล พอโตขึ้นหน่อยเจอหมอดูท่านก็บอกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาตามให้ทำบุญสะเดาะเคราะห์ (บรื๊อส์) พอไปเจอท่านอื่น ๆๆๆ อีก บ้างก็บอกว่า เป็นเทพเทวดา บ้างก็บอกไม่ใช่ผีและไม่ใช่มนุษย์ (อันนี้ งง เดาไม่ถูก) พอมาถึงวันนี้เราเลยมานั่งย้อนคิดถึงเรื่องเก่า คำตอบของเราที่เคยถามว่าจริง ๆแล้ว คำตอบของใครถูกต้องกันแน่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคำตอบล้วนถูกต้องทั้งหมด เพราะจริง ๆ แล้ว จิตวิญญาณาย่อมไม่มีรูปทรง หรือสัณฐานอันแน่นอน รูปทรงที่ปรากฏให้แต่ละคนได้เห็นหรือสัมผัสล้วนแต่เกิดขึ้นจากความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละคนที่สร้างขึ้นมาทั้งนั้นโดยการนำรูปทรงหรือสัญญลักษณ์ที่เรามีความเชื่อนั้นมาตีความ หรือคลุมทับไว้ แม้กระทั่งในความฝัน อย่างในกลุ่มที่เชื่อเรื่องเทพบ้าง มนุษย์ต่างดาวบ้าง ศาสนาบ้าง ก็จะมีความเชื่อในด้านนั้นโดยไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น ก็มักจะนำความเชื่อส่วนตัวนั้นเข้ามาตีความ หรือเกี่ยวข้องอยู่เสมอไม่มากก็น้อย อย่างจิตวิญญาณหนึ่ง ๆ ที่ไม่มีสัณฐานที่แน่นอน เป็นกลุ่มพลังงาน เมื่อไปปรากฏอยู่ในความคิดคำนึง หรือความฝัน ของบุคคลหลาย ๆ คนที่มีความเชื่อต่างกัน ภาพที่ปรากฏในมโนภาพของแต่ละคนนั้นจึงต่างหลากหลายกันไปตามความเชื่อส่วนบุคคลนั้น ๆ เช่นบางคนเชื่อในเทพ ก็เห็นเป็นภาพพระพรหม บางท่านเป็นคริสต์ ก็เห็นเป็นพระเยซู บางท่านเห็นเป็นพระพุทธรูป บางท่านที่มีความเชื่อในมนุษย์ต่างดาว ก็เห็นเป็นมนุษย์ต่างดาวกันไป ทุกอย่างล้วนถูกต้องตามความเชื่อส่วนบุคคลนั้น ๆ

    จินตวดีก็มาเกิดสงสัยว่า จริง ๆ แล้ว ทุกอย่างที่เราเห็นล้วนแต่เป็นพลังงานจิตวิญญาณดวงเดียวกันแต่กลับเห็นภาพนั้น ๆ แตกต่างกันไป ทำให้เราคิดถึงว่า "ข้อมูล ความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่ในธรรมชาติล้วนแต่เป็นหนึ่งเดียวทั้งนั้น ไม่มีการแบ่งแยก" แต่แล้วเหตุใดมนุษย์จึงสร้างความเชื่อขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกกลายเป็นกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ดังเช่นทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ถ้าเรามองให้ลึกลงไปถึงเบื้องหลังของแต่ละความเชื่อแล้วเราจะพบว่า ทุกความเชื่อล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากความรู้ที่แท้จริงของจักรวาลอันเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งนั้น คิดไปคิดมาทำให้คิดถึงอดีตอีก เราก็เคยมีคำถามแบบนี้เกิดขึ้นในใจมาแล้ว และเราก็ได้พบคำตอบที่ตอบคำถามนี้มาแล้ว หลังจากนั้นก็มีคำถามใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จบ จนเราต้องถามตัวเองว่าจะมีสักวันไหมหนอที่เราจะปราศจากคำถาม เราสร้างคำถามและก็หาคำตอบไปเรื่อย ๆ จนมาถึงวันนี้ คำถามเดิมที่เราเคยสงสัยเมื่อนานมาแล้ว และได้หาคำตอบให้ตัวเองมาแล้ว มันก็กลับมาให้เราสงสัยอีกครั้ง แต่ในวันนี้ คำตอบกลับเปลี่ยนไปจากเดิม เราได้ถามใจเราว่าคำตอบใดถูกต้องที่สุด ใจเราก็ตอบกลับว่า ทุกคำตอบล้วนถูกต้อง เพียงแต่คำตอบแต่ละครั้งนั้นมันพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ และอีกไม่นานคำถามเดิมเหล่านั้นก็จะกลับมาอีก และคำตอบที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปอีกเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น มันมาพร้อมกับการพัฒนาสติสัมปชัญญะ และ จิตวิญญาณของตัวเราไปพร้อมกัน ทำให้จินตวดีคิดถึงคำว่า "การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น" ได้อย่างชัดเจนจริง ๆ


    วันนี้บ่นพอหายคิดถึงแล้ว อ้อเจ้าลูกสีแดงน้อย ๆ กับน้ำปลาหวาน คุณนักเขียนคะ รสชาติมันจะสู้มันดันหรือมะม่วงน้ำปลาหวานบ้านเราได้ไหมคะ
     
  16. triangle-w

    triangle-w เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    3,417
    ค่าพลัง:
    +21,412
    ไม่ว่าจะเชื่อในสิ่งใดก็ตาม เมื่อถามจิตตัวเองแล้ว ใยต้องเชื่อผู้อื่นอีก หรือหมดความมั่นใจในตัวเองเสียแล้ว ลองตรองดูเถิด
     
  17. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    แวะมาเยี่ยมบ้านครับ !!! หลายวันก่อนได้ดู แมททริค ไม่รู้ภาคไหน ทางเคเบิล

    เทพพยากรณ์ พูด กับนีโอ ว่า "เธอมาที่นี่เพราะเธอเลือกแล้ว ไม่ใช่ถูกเลือก และเธอมาที่นี่เพื่อจะรู้ว่า ทำไมถึงเธอถึงเลือกเช่นนั้น" ฟังแล้วอึ้งเลย รู้สึกว่ามีสัญญาณมาเตือนอีกแล้ว อิอิอิ
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    หวัดดีครับคุณ axzon กลับมาบ้านมีของฝากติดมือมาด้วยนะครับ
    ชอบประโยคคำพูดนี้เหมือนกัน เหมือนที่เราแต่ละคนชอบถามตัวเองบ่อยๆว่ามาทำอะไรกันที่ตรงนี่?
    จริงๆเราอาจได้เลือกภาระกิจนั้นเอาไว้ก่อนแล้ว มีประชุมวางแผนไว้ล่วงหน้า ส่วนการระลึกถึงหน้าที่ดังกล่าวนั้นก็หมายถึงการค้นหาตัวตน-ค้นหาบุคลิกหรือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเราให้พบ ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันและตัวเองจะรู้ดีที่สุด
    แต่กว่านีโอจะรู้ตัวว่าตัวเองเลือกมาทำภาระกิจสำคัญที่นี่ ก็มีขาดความมั่นใจไปหลายครั้ง การวัดผลว่าจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ก็ยังมีทางเลือกเป็นอนันต์ จิตวิญญาณคงสร้างสรรค์เติมเต็มประสบการณ์กันได้แบบไม่รู้จบนะครับ ยิ่งเราเรียนรู้ยิ่งขึ้นไปจะพบว่า ยิ่งรู้ก็ยิ่งเหมือนไม่รู้-สิ่งที่เคยคิดว่ายากก็คือความง่ายๆนี่เองครับ...(งงกันมั๊ยครับ อิอิ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2008
  19. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    ช่วงนี้ก็พยายามทำตามในหนังสืออ่ะครับ มันก็ดีขึ้นแหละครับอะไรที่จินตนาการก็เริ่มเกิด แต่ว่าอุปสรรคเยอะจังอ่ะครับ แถมช่วงนี้ยังก่อศัตรูอีก ต้องไปเรียนห้องเดียวกับมันอาทิตย์ละครั้ง อย่างเซ็งอ่ะครับ เฮ้อๆ -*-
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ยังมีช่างไม้สูงอายุคนหนึ่งต้องการจะเกษียณตัวเอง ก็เลยบอกความต้องการดังกล่าวกับนายจ้าง เกี่ยวความต้องการที่จะเกษียณและใช้ชีวิตที่หรูหรากับภรรยา ซึ่งช่างไม้ก็บอกว่าเขาอาจจะเสียดายค่าจ้างที่จะได้รับ แต่เขาก็ต้องการที่จะเกษียณ นายจ้างก็บ่นเสียดายที่จะต้องสูญเสียช่างฝีมือดีไป แต่ก็ได้ขอร้องให้ช่างคนนี้ช่วยสร้างบ้านให้อีกสัก 1 หลัง ช่างไม้ผู้นั้นก็ตอบตกลง

    ครั้นพอบ้านสร้างเสร็จก็พบว่า มันไม่ใช่งานที่เป็นฝีมือของช่างคนนี้เลยแม้แต่น้อย งานที่ออกมาก็เป็นงานแค่เปลือกนอก (จอมปลอม) วัตถุดิบที่ใช้ก็ด้อยคุณภาพ มันช่างเป็นการจบชีวิตช่างฝีมือดีที่ไม่สวยหรูเลย และเมื่อนายจ้างสำรวจงานชิ้นนี้ของช่างผู้นี้

    นายจ้างก็ได้ยื่นกุญแจให้แล้วบอกกับช่างไม้ว่า
    "นี่คือบ้านของคุณ .......ผมขอมอบให้คุณเป็นของขวัญ"

    เมื่อช่างไม้ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับตกใจและอุทานกับตัวเองว่า น่าละอายจริงๆ ถ้าเขารู้สักนิดว่ากำลังสร้างบ้านของตัวเองอยู่ เขาก็คงตั้งใจสร้างให้ดีกว่านี้

    ข้อคิดสะกิดใจ เช่นเดียวกับพวกเราที่กำลังสร้างชีวิตของตัวเราเอง ด้วยการสั่งสมสิ่งต่างๆ วันละเล็กวันละน้อย และบ่อยครั้งที่เราไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุด ในการสรรค์สร้างชีวิตของตนเอง และเมื่อวันๆ หนึ่งมาถึง เราก็จะตระหนักว่า เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งหมด และเมื่อถึงวันนั้น เรามักจะพูดเสมอว่าถ้าเราสามารถกลับไปได้ เราจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ..... เพราะพวกเราทุกคนก็คือช่างไม้ ในทุกๆ วัน พวกเรากำลังตอกตะปู ปูกระดาน หรือแม้แต่กำลังเลือกกำแพงให้กับชีวิตตัวเอง ดังคำพูดที่ว่า "ชีวิตก็คือสิ่งที่เราสร้างด้วยตัวเราเอง" ทัศนคติ และ ทางเลือกต่างๆ ที่พวกเราได้เลือกกันในวันนี้ ก็เสมือนกับการสร้าง "บ้าน" (ชีวิต) ที่เราจะต้องอยู่กับมันให้กับตัวเอง ....... ดังนั้นจงสร้างบ้านด้วยความฉลาด และจงจำไว้ว่า "จงทำงานเหมือนกับว่าเราไม่ต้องการเงินทอง จงรักราวกับว่าเราไม่เคยเจ็บ จงเต้น (ร่าเริง) ราวกับว่าไม่มีใครจ้องมองอยู่"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...