น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ***เตชะจะพูดจะจาอะไร พิจารณาให้ดีก่อนนะครับ
    คำว่า
     
  2. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    คุณเตชเอามาเพิ่มให้ละ

    คุณเตชยังไม่เข้าใจคำว่าดับอีกเหรอ ดับคือ หยุดปรุงแต่ไม่ใช่สูญนะ พอมีเหตุใหม่ ปัจจัยใหม่ก็อาจวิ่งมาปรุงต่อ เข้าใจไหม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ผมถามสักข้อว่าคุณเตชปญฺโญ ภิกขุเคยถึงทุกข์ดับไหมครับ เพื่อเป็นความรู้ในการสนทนาลำดับต่อไป
    --------------------------------

    ***อย่าเพิ่งเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น***

    ***เอาเรื่องเบื้องต้นกันก่อนว่า "เราสามารถที่จะมีจิต หรือวิญญาณ(หรือสิ่งที่เป็นเรา)ได้โดยไม่ต้องมีร่างกายหรือไม่?"***


    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  4. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คำถามนี้ตอบไม่ยากครับ คุณเตชปญฺโญ ภิกขุ ไม่ตอบคำถามผม แล้วจะให้ผมตอบคุณ แบบนี้เป็นการสื่อสารทางเดียว อาจเข้าใจกันคลาดเคลื่อนได้ ^-^
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ผมถามสักข้อว่าคุณเตชปญฺโญ ภิกขุเคยถึงทุกข์ดับไหมครับ เพื่อเป็นความรู้ในการสนทนาลำดับต่อไป
    ---------------------------------
    คำถามนี้ตอบไม่ยากครับ คุณเตชปญฺโญ ภิกขุ ไม่ตอบคำถามผม แล้วจะให้ผมตอบคุณ แบบนี้เป็นการสื่อสารทางเดียว อาจเข้าใจกันคลาดเคลื่อนได้ ^-^
    -----------------------------------

    ***ความทุกข์เป็นอย่างไร?***

    ***ความทุกข์คือความรู้สึกที่ทรมานจิตใจ อันเกิดมาจากความยึดถือว่ามีตนเองในทุกระดับความเข้มข้น***

    ***ทุกข์ดับเป็นอย่างไร?***

    ***เมื่อทุกข์ดับ จิตมันก็สงบเย็น***

    ***แต่ใครจะล่วงรู้ว่าจิตของใครมีทุกข์หรือไม่มีได้?***

    ***ถึงจะมีใครบอกอย่างไรก็ไม่มีทางรู้จริง ได้แต่คาดเดา ซึ่งไม่มีทางถูก***

    ***คำถามนี้จึงเป็นคำถามที่ไม่ควรถาม เพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน และไม่เป็นประโยชน์แก่การดับทุกข์เลย***


    *************************************
    ***เราสามารถที่จะมีจิตโดยไม่ต้องมีร่างกายได้หรือไม่?***

    ***ใครรู้ช่วยตอบที???????*****

    ***********************************

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  7. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    มติทางพุทธศาสนา ตามที่ได้รับความเข้าใจโดยการศึกษาว่า
    จิตวิญญาณจุติถอนตัวออกจากร่างกาย<O:p
    ก็เพราะรูปขันธ์ คือ สรีรยนต์อัตภาพร่างกายนั้นแตก<O:p
    ชีวิตดับตายแล้ว อาศัยอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงต้องจุติ<O:p

    ควรพูดว่า รูปแตก นามดับ แต่นาม ดับไม่หมด<O:p

    นาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดับเฉพาะส่วนที่อาศัยสัมผัสกับอารมณ์ภายนอก<O:p
    โดยอายตนะวิถี คือจักขุประสาทโสตประสาท ฆานประสาท ชิวหาประสาท กายประสาท<O:p
    คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น<O:p
    ส่วนจิตวิญญาณยังคุมอารมณ์ภายในอยู่

    รูปขันธ์คือ อัตภาพร่างกายนั้น ประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ น้ำ ดิน ไฟ ลม<O:p
    มีชีวภาพสืบเนื่องมาจากชายผู้เป็นบิดา อาศัยมารดาเป็นผู้เลี้ยง<O:p

    ธาตุน้ำ กับ ธาตุดิน เป็นธาตุตัวก่อตัวตั้งอัตภาพร่างกาย<O:p
    ๒ ธาตุนี้ เทวดาฝ่ายหญิงประจำธาตุ พูดสั้นๆว่า ธาตุผู้หญิง<O:p
    <O:p
    ส่วนธาตุไฟ กับ ธาตุลม(อากาศ) เป็นธาตุอุปถัมภ์อัตภาพร่างกาย<O:p
    ๒ ธาตุนี้ เทวดาฝ่ายชายประจำธาตุ พูดสั้นๆว่า ธาตุผู้ชาย<O:p
    <O:p

    คน เมื่ออัตภาพร่างกายจะแตก ชีวิตจะดับ<O:p
    ธาตุอุปถัมภ์คือธาตุไฟ ขยายตัวออกจากร่างก่อน ความเย็นถีบสูงขึ้นเป็นลำดับ<O:p
    เสียงพูดและเสียงครางของคนป่วยลดความดังลงทันที<O:p
    เพราะธาตุไฟคือความร้อนมีอำนาจคุณภาพให้เกิดแสงเสียง<O:p
    เมื่อความร้อนขยายตัวออกจากอัตภาพ ร่างกายหมดแล้ว ลมหายใจหยุด ชีวิตดับ<O:p
    ประสาทของตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียหมดใช้ไม่ได้แล้ว เรียกว่า รูปแตก<O:p
    <O:p
    วิญญาณที่เนื่องอยู่กับกายอายตนะวิถีทั้ง ๕คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ<O:p
    ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ดับหมด ตลอดถึงเวทนาที่เป็นไปในทางกายก็ ดับหมด<O:p
    เรียกว่า นามดับ ตายแล้ว<O:p
    <O:p
    ส่วนจิตวิญญาณนั้น มีเจตนาอันเป็นตัวกรรมกุมเกาะอารมณ์ที่ได้ในเวลาใกล้จะตาย<O:p
    ที่เรียกว่า อสัญกรรม หรือ กรรมนิมิต คตินิมิต นั้นอยู่<O:p</O:p
    <O:p
    กรรมนิมิต คือ อารมณ์ที่เป็นกุศลหรืออกุศลปรากฏเป็นที่หมายอยู่<O:p
    คตินิมิต คือ อารมณ์นั้นเป็นเครื่องหมายกำเนิดที่จะถือปฏิสนธิ เกิดต่อไป<O:p
    <O:p
    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_s1026 style="MARGIN-TOP: 5.3pt; Z-INDEX: -1; MARGIN-LEFT: 369pt; WIDTH: 67.5pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 63pt" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:title="blue"></v:imagedata><?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</o:lock></v:shape>
    โดยอาศัยอารมณ์ดังว่านั้น จิตก็คุมตัวเข้าเป็นกายเรียกได้หลายอย่าง<O:p
    เรียก อุปปาติกะ ก็ได้ เพราะเกิดขึ้นเอง โดยจิตกับอารมณ์คุมกันอยู่
    เรียกว่า นามกาย ก็ได้ เพราะเมื่ออารมณ์ยังประกอบอยู่กับจิต<O:p
    นามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นกิริยากรรม<O:p
    เนื่องกับอารมณ์ภายในนั้น ก็มีด้วยเหมือนกัน<O:p
    เรียกว่า อทิสสมานกาย ก็ได้ เพราะเป็นกายที่ตาเนื้อของคนและสัตว์แลไม่เห็น<O:p
    เรียกว่า ทิพยกาย อีกก็ได้ เพราะกายนั้นมีแสงสว่างในตัว ไม่ใช่แสงสว่างของดวงอาทิตย์
    อย่างกายในฝันของเรา จุติออกจากร่างกายที่ตายไปแล้ว<O:p
    <O:p
    จิตวิญญาณที่ประกอบเป็นกายดังว่ามานี้ จะไปเกิดรวมพรรคในพรรคอื่นๆต่อไป<O:p
    ตามอำนาจแห่งกรรมดีหรือชั่วที่เป็นกรรมนิมิตที่ได้ในเวลาใกล้จะตายนั้นแลฯ

    คัดลอกบางส่วนจาก จุติปฏิสนธิแห่งจิต โดยหลวงปู่เปรม เปมงฺกโร ^_^<O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ที่กล่าวมาคือคำตอบแล้ว ขอบคุณครับ ^-^
     
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เรื่อง ปรโลกนรกสวรรค์ โดยหลวงปู่เปรม เปมงฺกโร
    <O:p
    คนและสัตว์มีอัตภาพร่างกายประกอบด้วยรูปธาตุ ๔ คือ น้ำ ดิน ไฟ ลม<O:p
    มีลักษณะต่างๆกันเล็กใหญ่สูงต่ำปรากฏด้วยตาของคนทุกคน<O:p
    <O:p
    ในอัตภาพของตน คนหนึ่งๆมีที่หมายสำคัญอยู่ ๒ ส่วน<O:p
    <O:p
    ส่วนหนึ่งเป็นอัตภาพร่างกายประกอบด้วยรูปธาตุ ๔<O:p
    มองเห็นรูปด้วยตา ปรากฏเสียงด้วยหู ปรากฏกลิ่นด้วยจมูก<O:p
    ปรากฏรสด้วยลิ้น ปรากฏโผฏฐัพพะด้วยกาย<O:p<O:p

    อีกส่วนหนึ่งเป็นจิตครองอัตภาพร่างกายนั้นอยู่ภายใน<O:p
    ดูด้วยตาไม่เห็น ไม่ปรากฏด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย<O:p
    <O:p
    อัตภาพร่างกายเรียกว่ารูป ส่วนจิตครองเรียกว่านาม<O:p
    รวมกันเข้าเป็นรูปนาม สมมุติเรียกว่าคนและสัตว์<O:p
    <O:p
    อัตภาพร่างกายของคนสืบพันธุ์มาจากคนคือ มารดาบิดา เกิดมาแล้วแก่เจ็บตาย<O:p
    อัตภาพร่างกายของคนทุกคนมีจิตครอง<O:p
    ทางพุทธศาสนาเรียกว่าอุปาทินกสังขาร<O:p
    เป็นวิบากผลอย่างหนึ่งที่เหตุปรุงสร้างขึ้น แต่มีจิตครอง<O:p
    <O:p
    คือ คนและสัตว์ เมื่ออัตภาพร่างกายตายแล้ว<O:p
    ส่วนจิตที่ครองอัตภาพร่างกายนั้นไม่ตาย<O:p
    จุติออกจากร่างกายที่ตายแล้วนั้น ไปเกิดในภพใหม่<O:p
    กล่าวคือ ไปถือปฏิสนธิเข้าครองอัตภาพร่างกายใหม่ต่อไป<O:p
    <O:p
    ที่ว่านี้เป็นมติของศาสนาไม่ใช่มติของทางวิทยาศาสตร์<O:p
    <O:p
    ทางวิทยาศาสตร์จับดักจิตไม่ได้ จับดักได้แต่พวกรูปธาตุ ๔ นั้นเท่านั้น<O:p
    และอายตนะวิถี คือ จักขุประสาท-ตา โสตประสาท-หู<O:p
    ฆานประสาท-จมูก ชิวหาประสาท-ลิ้น กายประสาท-ผิวหนัง<O:p
    ซึ่งเป็นเครื่องจับดักอารมณ์ ที่ประกอบอยู่ในอัตภาพร่างกายของคนนั้นด้วย<O:p
    ก็จับดักได้แต่รูปธาตุ ๔ และลักษณะอาการของรูปธาตุ ๔<O:p
    และส่วนต่างๆซึ่งนับเนื่องอยู่ในพวกรูปธาตุ ๔ นั้นเท่านั้น<O:p
    จะจับดักตัวจิตนั้นไม่ได้ พ้นวิสัยของรูปธาตุ ๔<O:p
    <O:p
    จิตเป็นผู้รู้<O:p
    อารมณ์ที่ผลิตออกจากรูปธาตุ ๔ เป็นพวกถูกรู้ของจิต<O:p
    <O:p
    ดังนี้จึงปลูกความเชื่อถือให้แก่คนพวกหย่อนอ่อนพินิจพิจารณาได้ยาก<O:p
    แม้โลกมวลมนุษย์ เมื่อสมัยก่อนพระพุทธเจ้า ก็ยังเห็นแตกต่างกันไม่ลงเป็นอันเดียวกัน <O:p
    <O:p
    บางพวกว่าเมื่ออัตภาพร่างกายตาย จิตก็ดับสูญตามกันไปด้วย ไม่เกิดต่อไปอีก<O:p
    พูดสั้นๆว่าตายสูญ<O:p
    <O:p
    บางพวกเห็นแย้งว่าไม่สูญ<O:p
    จิตผู้รู้เป็นธรรมชาติพิเศษส่วนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับรูปธาตุ ๔ คือ น้ำ ดิน ไฟ ลม<O:p
    รูปธาตุ ๔ ไม่ได้สร้างสรรค์ขึ้น เป็นแต่เพียงอาศัยกันเท่านั้น ไม่ตายไม่สูญ<O:p

    เมื่อพูดว่าตายแม้รูปธาตุ ๔ ก็ไม่ตายไม่หายสูญเหมือนกัน<O:p
    ตายแต่เฉพาะที่เหตุประกอบประสมกันเข้าเป็นวัตถุสิ่งหนึ่งๆ<O:p
    ที่ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าสสาร ทางพุทธศาสนาเรียกว่าสังขารเท่านั้น<O:p
    เช่น อัตภาพร่างกายคน และเครื่องอุปโภคบริโภคของคน<O:p
    กบิลไม้ กบิลหญ้าบนพื้นพิภพเป็นต้น เท่านั้น จัดเป็นพวกตาย<O:p
    <O:p
    ส่วนตัวรูปธาตุแท้ไม่มีเวลาตาย<O:p
    เที่ยวหมุนเวียนซ้อนแทรกสับสนอลเวงกันอยู่ในพวกรูปธาตุด้วยกัน<O:p
    ความซ้อนแทรกสับสนนั้นเป็นเหตุให้กดดัน<O:p
    บันดาลให้เกิดสรรพวัตถุนานาประการขึ้นในโลกฯ<O:p
    <O:p
    จิตไม่ตายตามอัตภาพร่างกาย<O:p
    เมื่อจุติออกจากร่างกายแล้ว ทรงตัวคุมตัวอยู่ได้อย่างไร<O:p
    คุมตัวอยู่ด้วยอารมณ์ ประกอบขึ้นเป็น อทิสสมานกาย หรือ กายทิพย์ <O:p
    อารมณ์นั้น หมายถึง อารมณ์ที่เป็นกุศลอกุศลที่ได้ในเวลาร่างกายใกล้จะตาย<O:p
    เรียกว่า อสันนกรรม อันเป็นกรรมนิมิต คตินิมิต<O:p
    พูดตามปฏิจจสมุปบาทธรรมเป็นดังนี้คือ <O:p
    <O:p
    ตณฺหา ปจฺจยา อุปาทานํ ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน การยึดถือ<O:p
    โดยอธิบายว่า จิตต้องการอารมณ์ดิ้นรนส่ายหาอารมณ์<O:p
    ได้อารมณ์ใดแล้วจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม ก็ยึดมั่นถือมั่นซึ่งอารมณ์นั้น<O:p
    <O:p
    อุปาทาน ปจฺจยา ภโว อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนั้น เป็นปัจจัยให้เกิดภพ<O:p
    โดยอธิบายว่ายึดถืออารมณ์ใดเข้าไว้ จะเป็นกุศลก็ตามอกุศลก็ตาม<O:p
    อารมณ์นั้นก็เป็นภาพตรึงแน่นอยู่ในจิตเป็นอุปัตติภพ สำหรับจะเกิดต่อไป<O:p
    ได้แก่ กรรมนิมิต คตินิมิต นั้นเอง<O:p
    <O:p
    ภว ปจฺจยา ชาติ ภพดังว่านั้นเป็นเหตุปัจจัยให้ได้ชาติ กำเนิดเกิดต่อไปอีก ดังนี้<O:p
    จิตจุติออกจากร่างกายที่ตายแล้ว ก็ได้ทิพยกายหรืออทิสสมานกาย<O:p
    มีกิริยากรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เนื่องอยู่กับอารมณ์นั้นพร้อม<O:p
    แต่กายทิพย์หรืออทิสสมานกายนั้น ติดต่อกับพวกกายเนื้อของคนและสัตว์ไม่ได้<O:p
    <O:p
    คนเป็น เหมือนเครื่องวิทยุที่เปิดแล้วเสียงดัง<O:p
    คนตายแล้ว เหมือนเครื่องวิทยุที่ปิดแล้วหรือเครื่องเสียๆแล้ว เสียงไม่ดัง<O:p
    เสียงนั้นก็ยังมีอยู่ แต่เครื่องรับเสียงเครื่องกระจายเสียงตายแล้ว<O:p

    (มีต่อ...ปรโลกนรกสวรรค์ โดยหลวงปู่เปรม เปมงฺกโร)<O:p
     
  10. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    (ต่อ...ปรโลกนรกสวรรค์ โดยหลวงปู่เปรม เปมงฺกโร)
    <O:p
    เรื่องปรโลก คือโลกของจิตที่จุติออกจากร่างกายในโลกนี้ไปแล้ว<O:p

    พูดสั้นๆว่า โลกของคนตายแล้วนั้น พูดกันฟังเข้าใจได้ยาก<O:p
    เพราะเราชินกับโลกปัจจุบันนี้ ไม่เคยชินในปรโลกคือโลกอื่น<O:p
    นึกไปข้างหลังที่เรามาเกิดในโลกนี้ก็ไม่รู้ จะพูดให้ชัดแจ้งได้ยาก<O:p
    แต่เชื่อถือมั่นว่าจิตคือผู้รู้ของคนคนหนึ่งๆไม่ดับสูญหายไปไหน<O:p
    มีอยู่จนตลอดถึงนิพพาน<O:p
    ที่พูดนี้ตามพระสุตตันตปิฎก และความเป็นจริงที่รู้เห็น<O:p
    ไม่ต้องการพระอภิธรรมปิฎกที่เทศนาโปรดเทวดาในสวรรค์ ปัดทิ้งมานานแล้ว<O:p
    <O:p
    จิตของคนหนึ่งไม่ตายหายสูญไปไหน เป็นอสังขตธาตุไม่ตาย<O:p
    นิพพานเป็นชื่อความบริสุทธิ์แห่งจิตที่หลุดพ้นจากกิเลส<O:p
    นิพพานเป็นคำกิริยา เป็นกิริยา นามแปลว่าความดับกิเลส<O:p
    เป็นเจ้าของกิริยา คือ ความดับไปแห่งกิเลสจากจิต(มิได้หมายความว่าจิตดับ)<O:p
    <O:p
    จิตที่บริสุทธิ์เป็นนิพพานแล้วนั้นเป็นตัวธรรมทรงดำรงอยู่ไม่สูญ<O:p
    เป็นอมตธรรมไม่ตาย เป็นแต่ไม่ติดอยู่ในโลก ออกนอกโลกไปแล้วเท่านั้น<O:p
    พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์พุทธสาวกก็ดี เมื่ออัตภาพร่างกายของท่านตายแล้ว<O:p
    จิตของท่านไม่เวียนตายเวียนเกิดอยู่ในโลกอีกต่อไป ที่พูดกันว่าหมดทุกข์หมดชาติ<O:p
    <O:p
    แต่ส่วนคนธรรมดาสามัญ จิตตกอยู่ในอำนาจวัฏฏะ ๓ คือ กิเลส กรรม วิบาก<O:p
    เมื่ออัตภาพร่างกายตายแล้ว จิตของเขาจะดับสูญหายไปได้อย่างไร<O:p
    ต้องเกิดต่อไปอีกจึงจะถูก เพราะจิตยังไม่ได้นิพพาน<O:p
    <O:p
    ถึงแม้ได้นิพพานเป็นพระอรหันต์แล้ว จิตนั้นก็ไม่สูญหายไปไหน<O:p
    แปรรูปเป็นอมตธรรม รวมอยู่ในพวกธรรมกาย<O:p
    <O:p
    ดังนี้ จึงเชื่อมั่นว่า คนที่อัตภาพร่างกายตายแล้ว จิตไม่ตายเกิดต่อไปอีก<O:p
    แต่ไปอยู่อย่างไร พูดให้เข้าใจได้ง่ายเหมือนเรื่องอื่นๆในโลกนี้ไม่ได้ดังว่าแล้ว<O:p
    ต้องใช้ความพินิจพิจารณามากๆ<O:p
    <O:p
    (มีต่อ...ปรโลกนรกสวรรค์ โดยหลวงปู่เปรม เปมงฺกโร)
     
  11. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    (ต่อ...ปรโลกนรกสวรรค์ โดยหลวงปู่เปรม เปมงฺกโร)
    <O:p
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา<O:p
    เจ้านายครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕ ปิยมหาราช เจ้านายพระองค์นี้เป็นนักเล่นศาสนา<O:p
    ทรงพยายามตรวจค้นพุทธศาสนาและศาสนาต่างๆ โดยทรงศึกษาพินิจพิจารณา<O:p
    และทรงปฏิบัติในทางสมาธิภาวนารักษาศีลอุโบสถท่านทรงบอกว่าประมาณ ๓๐ปี <O:p
    <O:p
    ครั้งหนึ่งอาตมาได้ทูลถามถึงเรื่องปรโลก นรก สวรรค์ เพื่อสอบความเข้าใจ<O:p
    ท่านทรงอธิบายจำได้เป็นใจความดังนี้คือ<O:p
    <O:p
    อิธโลโก โลกนี้หมายถึง พวกเรามวลมนุษย์ทั้งหลายและเหล่าสัตว์เดรัจฉาน<O:p
    ซึ่งเป็นพวกกายเนื้อ ประกอบขึ้นด้วยรูปธาตุ ๔ น้ำ ดิน ไฟ ลม รวมอยู่ในโลกนี้หมด<O:p
    <O:p
    ปโรโลโกโลกอื่น นอกจากโลกกายเนื้อนี้ เป็นโลกทิพย์<O:p
    เป็นพวกกายทิพย์ประกอบขึ้นเพียงอารมณ์กับจิตเท่านั้น<O:p
    ไม่อาศัยรูปธาตุ ๔ เหมือนพวกกายเนื้อในโลกนี้<O:p
    <O:p
    พวกกายทิพย์ในโลกทิพย์ คือ<O:p
    พวกเทวดาที่มีความสุขจัดเป็นชั้นๆ และพวกพรหมเทพ ที่มีความสุขจัดเป็นชั้นๆ<O:p
    พวกอบายภูมิคือ นรก เปรต อสุรกาย ที่มีความทุกข์เดือดร้อนจัดเป็นชั้นๆ<O:p
    รวมอยู่ในโลกทิพย์ด้วยกันหมด <O:p
    <O:p
    โลกทิพย์อยู่ที่ไหน ตั้งอยู่อย่างไร<O:p
    เท่าที่รู้และฟังมาเป็นส่วนใหญ่ ตามตำราว่า<O:p
    เมืองนรกอยู่ใต้ดินข้างล่าง สวรรค์โลกทิพย์นั้นอยู่ข้างบนๆฟ้าสูงขึ้นไปเป็นลำดับ<O:p
    นับตั้งแต่สวรรค์ชั้นภูมเทวาขึ้นไปเป็นดังนี้ คือ ภูมเทวา จาตุมมหาราชิกา<O:p
    ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรมิมมมิตวสวัตตี ๗ ชั้น<O:p
    ต่อจากนี้ขึ้นไปเป็นพรหมโลกๆต่อๆกันไปขึ้นไปอีกถึงอขนิฏฐพิภพ ๑๖ ชั้น<O:p
    ส่วนสูงนับตั้งแต่พื้นดินมนุษยโลกนี้ขึ้นไป ถึงอขนิฏฐพิภพ<O:p
    มีคำเปรียบไว้ว่า ถ้าเอาก้อนหินโตเท่าภูเขาขนาดใหญ่
    ทิ้งลงมาจากพรหมโลกชั้นอขนิฎฐ์สิ้นเวลาตามระยะทาง ๓ เดือน
    ถึงมนุษยโลกพื้นพิภพของเรา ดังนี้<O:p
    ฟังแล้วขบขัน ไม่เกิดความเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย<O:p
    <O:p
    เข้าใจว่าถ่ายเทมาจากศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นศาสนาพื้นเมืองมาก่อนพุทธศาสนา<O:p
    ศาสนาพราหมณ์ นรกสวรรค์จัดเป็นชั้นๆนั้นเขามีอยู่ก่อนแล้ว<O:p
    <O:p
    พูดหนีบทพุทธคุณว่า <O:p
    โลกวิทู รู้เรื่องโลก รู้แจ้งจบซึ่งโลก <O:p
    สพฺพวิทู รู้แจ้งจบซึ่งสิ่งทั้งปวง <O:p
    พูดเอาแต่ผล เหตุไม่มี<O:p
    <O:p
    จับได้ที่คำเปรียบก้อนหินตกลงมาจากพรหมโลก<O:p
    แสดงว่าพรหมโลกอยู่ข้างบนจากพื้นที่เราอยู่<O:p
    ก็โลกพิภพของเรานี้ มันหมุนพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่ทุกวันทุกคืน<O:p
    พรหมโลกก็จะอยู่ได้รอบตัวพิภพของเราทั้งข้างบนข้างล่าง<O:p
    <O:p
    อีกประการหนึ่ง วัตถุเล็กๆน้อยๆที่จะพุ่งตัวออกจากส่วนใหญ่อันเป็นฐานเดิมได้<O:p
    ต้องมีกำลังอิทธิพลในตัวเอง เพื่อฝ่าดันอำนาจความดึงดูดของส่วนใหญ่<O:p
    ซึ่งเป็นฐานเดิมไปให้ได้ ถ้าพ้นเขตอำนาจความดึงดูดไปไม่ได้ก็ต้องตกลงมาที่เดิม <O:p
    อย่างเราจับก้อนหินปาพุ่งขึ้นฟ้า หมดกำลังแล้วตกกลับลงสู่พื้นดินเดิม<O:p
    เพราะกำลังไม่พอที่จะออกจากเขตอำนาจความดึงดูดของพื้นพิภพออกไปได้<O:p
    <O:p
    ก้อนหินตกลงมาจากพรหมโลกโดยอำนาจอะไร พรหมโลกเป็นสถานที่อย่างไร<O:p
    เป็นดาวพิภพดวงหนึ่งหรืออย่างไร ถ้าพวกพรหมโลกอยู่ในดาวพิภพดวงหนึ่ง<O:p
    พวกพรหมก็ต้องเป็นกายเนื้อ เพราะดาวพิภพดวงหนึ่งๆประกอบขึ้นด้วยรูปธาตุ ๔<O:p
    มีธาตุ ๔ ทั้งนั้น ดังพูดแล้วในพุทธอุทานข้อ ๑๒<O:p
    เมื่อพรหมเป็นกายเนื้อเหมือนกัน พวกพรหมก็ต้องทำนาทำสวนหากินกันงอมแงม<O:p
    อย่างพวกเราเหมือนกัน จะเป็นโลกทิพย์ได้อย่างไร<O:p

    (มีต่อ...ปรโลกนรกสวรรค์ โดยหลวงปู่เปรม เปมงฺกโร)
    <O:p
     
  12. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    (ต่อ...ปรโลกนรกสวรรค์ โดยหลวงปู่เปรม เปมงฺกโร)
    ****กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เป็นพระเจ้าน้องยาเธอในพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ขณะทรงผนวชเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่เปรม
    และหลวงปู่เปรมมีบันทึกเรื่องราวที่สนทนากับพระอาจารย์ท่านอยู่เนืองๆ****<O:p<O:p

    ทูลถาม ท่าน(กรมหมื่นวิวิธฯ)ตรัสว่า
    โลกทิพย์ไม่อาศัยพื้นดิน ไม่อาศัยรูปธาตุ ๔ น้ำ ดิน ไฟ ลม<O:p
    ไม่เป็นพื้นที่อยู่จัดเป็นชั้นๆมีข้างบนข้างล่างอย่างตำราที่กล่าวไว้<O:p
    จัดเป็นชั้นๆจริง แต่จัดโดยฐานะแห่งความสุขและความทุกข์ที่ได้รับจากวิบาก<O:p
    ผลของอกุศลกรรม และกุศลกรรมที่ได้ทำไว้เมื่อเป็นมนุษย์เท่านั้น<O:p
    เป็นชั้นๆอย่างชั้นวรรณะในมนุษยโลก<O:p
    <O:p
    พวกเทวดาเป็นพวกเสวยความสุขเป็นผลของกุศลกรรม เรียกว่าสวรรค์<O:p
    พวกที่มีความสุขเยี่ยมก็มี สุขพอประมาณก็มี สุขน้อยก็มี<O:p
    ย่อมเป็นต่างๆกันในพวกสุขๆด้วยกัน<O:p
    <O:p
    นรก เปรต อสุรกาย เป็นพวกเสวยความทุกข์ เป็นผลของอกุศลกรรม<O:p
    ทุกข์มากก็มี ทุกข์พอประมาณก็มี ทุกข์น้อยก็มี ย่อมเป็นต่างๆกันในพวกทุกข์<O:p
    <O:p
    อัตภาพตั้งอยู่ได้ด้วยอารมณ์ที่ผลิตให้เกิดเป็นความสุข และทุกข์นั้นแหละเป็นอาหาร<O:p
    ไม่มีการทำนา ทำสวน หาอาหารกินเหมือนกายเนื้อในมนุษยโลก<O:p
    สิ้นผลบุญผลบาปที่ได้ทำไว้ ก็จุติมาเกิดเป็นมนุษย์ทำบุญทำบาปต่อไปอีก<O:p
    <O:p
    พวกพรหมเทพก็เช่นกัน อัตภาพกายทิพย์ตั้งอยู่ได้<O:p
    ด้วยอารมณ์ในฌานที่ตนได้บำเพ็ญเมื่อเป็นมนุษย์เป็นอาหาร<O:p
    อารมณ์ที่ประกอบอยู่กับจิตนั้นต่างๆกัน <O:p
    <O:p
    ดังบาลีที่พระพุทธองค์ตรัสกับใครคนหนึ่งในเมื่อไม่ได้เสวยพระกระยาหารตลอดวัน<O:p
    ว่า ปีติ ภกฺขา สมาอาภา เทวา อาภสฺสรา ยถา แปลว่า<O:p
    เรากินปีติอยู่ได้เหมือนพรหมเทพชั้นอาภัสสระ ดังนี้<O:p
    <O:p
    โลกทิพย์รวมทั้งสวรรค์พรหม พวกเสวยความสุข<O:p
    และอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย พวกเสวยความทุกข์<O:p
    เป็นพวกกายทิพย์ อยู่ในโลกทิพย์ทั้งหมด<O:p
    <O:p
    โลกทิพย์ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินแห่งใด และในดวงดาวพิภพใดๆ<O:p
    คนตายแล้วจึงพบเห็น<O:p
    <O:p
    โลกนี้กับโลกทิพย์เป็นเหมือนหน้ามือกับหลังมือ<O:p
    หรืออย่างที่เขาพูดกันว่าเมืองลับแล คนหลงทางจึงจะพบเห็น<O:p
    เมื่อเป็นดังนั้น โลกทิพย์จะว่ารวมอยู่ในโลกนี้ก็ได้<O:p
    <O:p
    อิธโลโก โลกนี้เป็นของคนเป็น<O:p
    ปโรโลโก โลกทิพย์เป็นของคนที่ตายแล้ว ท่าจะกลายเป็นเมืองผีไปแล้ว<O:p
    พวกโลกนี้กับพวกโลกทิพย์ย่อมถ่ายเทกันไปมา<O:p
    <O:p
    ได้พูดเรื่องนี้มามากแล้ว พอได้เงื่อนเงาเอาเท่านี้ที ฯ<O:p
    <O:p
    ----เปมงฺกโร ภิกฺขุ-----<O:p
    <O:p
    คัดลอกจากหนังสือชุมนุมบทความ โดย เปมงฺกโร ภิกฺขุ ข้อ ๑๖ เรื่องปรโลกนรกสวรรค์
    ^_^<O:p
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***เราสามารถศึกษาธรรมะโดยไม่ต้องอ้างตำรา หรืออ้างคำพูดของคนอื่นได้หรือไม่?***

    ***เราไม่จำเป็นต้องศึกษาธรรมะให้มากมาย เราก็สามารถเห็นธรรม(มีดวงตาเห็นธรรม)ได้หรือไม่?***


    ***เราสามารถที่จะใช้ภาษาไทยง่ายๆมาอธิบายธรรมะให้คนอื่นเข้าใจได้หรือไม่? ****

    ***เราสามารถฟังธรรม เพียงประโยคเดียว แล้วเกิดดวงตาเห็นธรรมได้หรือไม่?***

    ***หรือต้องใช้ภาษาเฉพาะ(เช่นบาลี หรือสันสกฤต) และต้องศึกษาธรรมะมาอย่างมากมาย จากตำรา หรือจากครูอาจารย์ดังๆ เราจึงจะมีดวงตาเห็นธรรมได้?***


    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  14. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ****เมื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา ล้วนต้องอาศัยทั้งเหตุและปัจจัยเพื่อมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น****

    ***แล้วจิต(สิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้)ของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อร่างกายที่เป็นเหตุของมันได้แตกสลายหายไปเสียแล้ว***

    ***"นามรูป" เป็นคำๆเดียว ที่มีนามกับรูปมาผสมกันอยู่ เมื่อรูป หรือนามหายไป คำผสมนี้ก็ย่อมที่จะหายตามไปด้วย***

    ***มันจะมีแต่รูป หรือมีแต่นามไม่ได้ เพราะมันต้องอาศัยพึ่งพากันอยู่ (คือเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน)***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  15. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ...................................................................................

    แบบว่า.. จะไม่ต้องการเอาบาลี
    ก็ลองมาพิจารณา เรื่องนี้ ดูสักนิด นะครับ

    นับแต่ อดีต มา..
    พวกเราเคยเห็น วิศวกรชั้นยอด...
    สรรสร้างงานก่อสร้าง แบบพิสดาร กันบ้างไหม

    พิสดาร แบบไหน หรือ..

    ก็เป็นงานก่อสร้าง แบบว่า..
    เริ่มงานก่อสร้างที่โครงหลังคา ก่อน..
    แล้วก็พยายาม ให้ หลังคา "ลอย" รออยู่ก่อน..

    จึงค่อย ตอกเสาเข็ม สร้างพิ้น สร้างเสา
    เพื่อมารับกับ โครงหลังคาที่ลอย รออยู่

    ถามว่า..

    1. เคยพบเห็น งานก่อสร้างเช่นนี้ มาบ้างไหม
    2. เป็นไปได้ไหม ที่จะทำให้โครงหลังคา ลอย อยู่ได้

    ....................................................................................

    หากใคร จะตอบ ว่า..

    1. เคยเห็น
    2. ทำได้

    ก็เป็นเรื่องของเขา..

    เพราะ หากตอบอย่างนี้..
    ก็ต้องไปให้ห่างไกล..
    พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง คุยกันไม่ได้ อยู่ดี..

    ไม่ใช่ สติไม่ดี.. ก็ต้องเมาจัด..

    ...................................................................................

    และ หากตอบ ว่า..

    1. ไม่เคยเห็น (แต่.. คิดอยากทำได้)
    2. ทำไม่ได้.. เป็นไปไม่ได้ (แต่.. ก็พยายาม คิดจะทำให้ได้)

    คิดอย่างนี้.. ก็พอ ๆ กัน กับ พวกแรก
    ก็คิดแบบ คนบ้า.. คิดแบบ คนเมา
    พึงหลีกเร้น ให้ห่างไกล.. เพราะ ยากที่จะสงเคราะห์ได้ คุยกันไม่รู้เรื่อง

    หากไม่เชื่อ ก็ลองเทียบเคียงดูซิครับ..
    แต่ก็เป็นเรื่องยาก ที่ใคร ๆ จะมองเห็น ความผิดของตนเอง..

    ...................................................................................

    ทาน.. เสาเข็ม เป็นพื้นบ้าน เป็นฐานราก อันมั่นคง เป็นฐานอันดับต้น

    ศีล.. เสาค้ำหลังคา เป็นฐานอันดับรอง คอยพยุงหลังคา ที่จะมีมา

    ภาวนา เกิดปัญญา.. เป็นหลังคา เป็นความสำเร็จขั้นสุดท้าย

    เป็นขั้นตอน ตามลำดับ ที่ไม่สามารถข้ามขั้นตอน
    เฉกเช่นเดียวกับ การสร้างบ้าน สร้างอาคาร

    ...................................................................................

    พื้นฐาน ทั้ง 2 ระดับ ยังไม่มี
    (ทาน.. เสาเข็ม / ศีล.. เสาค้ำพยุงหลังคา)

    ลองสำรวจดูตัวเองให้ดีเสียก่อน ว่า..
    ตัวเรามีบ้างไหมทาน และศีล

    และไม่ใช่มีแบบธรรมดา ต้องเป็นแบบ อธิทาน อธิศีล
    (อธิ คือ อย่างยิ่ง.. ด้วยชีวิต คือ ขั้นปรมัตถ์)

    หาก ทาน ไม่มี..
    ศีล ก็ไม่มี..

    อยู่ ๆ ก็ดันทุรัง
    คิดจะสร้าง พยายามจะสร้างหลังคา (ปัญญา จากสมาธิ)
    กันก่อน เสาเข็ม.. เสาค้ำหลังคา..

    มาคุยกันให้ฟุ้ง ในเรื่องของวิสัยของการพ้นทุกข์ หมดทุกข์
    วิสัยของการสิ้นกิเลส โลภ โกรธ และหลง
    อารมณ์พระนิพพาน

    อย่างนี้.. ไม่บ้า.. (บ้าหลง ใน กิเลสหยาบ)
    ก็ เมาจัด.. (เมา ในโลกธรรม ตัวกูเก่ง ต้องการว่า ความคิดของตนเอง ถูกต้อง.. เป็นที่ยอมรับ นับหน้าถือตา แก่ผู้อื่น)

    จริง.. หรือไม่จริง..
    เรื่องนี้.. ก็ต้องใช้ "ปัญญา" ตอบ อยู่ดี....

    ...................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2008
  16. soonram

    soonram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2007
    โพสต์:
    719
    ค่าพลัง:
    +1,406
    เออเห้อ....คำถาม
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***เมื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมาจากเหตุปัจจัย***

    ***ช่วยตอบหน่อยว่า ......***

    ***เราสามารถมีจิตโดยไม่ต้องมีร่างกายได้หรือไม่
    ?***

    ***และเพราะอะไร?***


    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  18. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ในเมื่อมีคำถาม และคำตอบอยู่แล้ว ก็แสดงออกมาเลยครับท่าน ถ้าเป็นหนทางคลาย จะได้แบ่งปันกัน ^-^
     
  19. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อืม ดักดานจริงๆด้วยล่ะ
    พระองค์ทรงสอนเพื่ออยู่เหนือโลก พ้นโลก พ้นจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง

    เราสามารถมีจิตโดยปราศจากการปรุงแต่งได้ (วิสงฺขรคตํ จิตฺตํ)

    ถามกลับก็แล้วกัน
    เราสามารถมีร่างกายที่ปราศจากจิตได้มั๊ย??? ^_^
     
  20. เจ้าหญิงแพร

    เจ้าหญิงแพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +390
    เป็นการทำลายสถาบันหลักของชาติโดยแท้ แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าจะทำลายศาสนาด้วยวิธีนี้ สาธุสำหรับข่าวนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...