น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    (ข้อความของเตชะนอกรีด)

    ***สรุปได้ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุ***

    ***เมื่อไม่มีเหตุ มันก็ไม่เกิด***

    ***เหตุผลง่ายๆแค่นี้ทำไมถึงไม่เข้าใจ***


    ***แต่ก็ยังดันทุรังบอกว่า "จิตเกิดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีเหตุ***

    เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องมีเหตุ
    แล้วจิตเกิดจากเหตุอะไร???
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2009
  2. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ***ถ้าเตชะปัญโญเป็นคนจริง กรุณาตอบคำถามง่ายๆนี้***

    1. ชื่อจริง นามสกุลจริง(หรือฉายา ถ้าเป็นพระ)
    2. ที่อยู่ (หรือวัดที่กำลังจำพรรษา)
    3. ลงรูปให้ดูด้วยว่าหน้าตาอัจฉริยะเป็นอย่างไร (เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นคนไทยรึเปล่า)


    ถามคำถามเดิม ไปทำไม ตอบให้แล้วไม่อ่าน การไม่ฟังคนอื่นเลยจะได้ประโยชน์อะไรกับการไปเที่ยวถามคนอื่น หรือต้องการบอกว่าคนอื่นโง่ ตนเองฉลาด นี่มันมานะทิฏฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ

    คุณมันเป็นผู้หญิงประเภทที่ถามแล้ว ไม่ว่าจะตอบอะไรก็ไม่ฟัง ผิดหมด (แล้วจะถามหาอะไร ; ขออภัยผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น)​
     
  3. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ขอกราบขมาท่านเจ้าของกระทู้ด้วยที่ยังมิได้ขออนุญาตท่าน

    http://palungjit.org/showthread.php?t=147412

    พุทธศาสนา มีพุทธานุภาพและละเอียดอ่อนมากกว่าที่ วิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์ได้ทุกแง่ทุกมุม

    ท่านห่มเหลือง มีความศรัทธาในวิทยาศาสตร์ยิ่งนัก ทำไมไม่ลาสิกขาบทไปตามจริตของตน มานุ่งเหลืองห่มดองแต่กลับปรามาสทุกเช้าค่ำ ทำวัตรเช้า เย็น สวดมนต์ ไหว้พระ แต่กลับไม่มีจริตเลื่อมใส เท่ากับหลอกลวงชาวบ้านเขากินเขาใช้...ไม่มีกระดากอาย บ้างรึค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2008
  4. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ถ้าเป็นแก้ว กรุณา ก็กรุณาตอบให้ชัดเจนด้วยนะคะ ว่าแปลงร่างเป็นเตชะหรือเปล่า
    แต่ถ้าเป็นปี่แก้ว นางหงส์ เราก็ขออนุโมทนาให้ไปผุดไปเกิดสักที
    อย่าได้จองเวรจองกรรมกับเด็กนักเรียนเลย สาธุฯ

    ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2008
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ถ้าใครเป็นคนจริง กรุณาตอบคำถามง่ายๆนี้***

    ***๑. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมากจากเหตุปัจจัยเท่านั้น?"***

    ***ตอบ.........

    ***๒. จิต (หรือวิญญาณธาตุก็แล้วแต่จะเรียก) เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?***

    ***ตอบ...........

    ***๒. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่ง(ไม่เว้นสิ่งใด)ไม่ใช่ตัวตน?" (สัพ เพ ธัมมา อนัตตา)***

    ***ตอบ............

    ***ถ้าใครตอบอย่างมีเหตุผล และยอมรับความจริง จึงจะเป็นคนจริงที่ควรสนทนาด้วย***

    ***แต่ถ้าใครตอบอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ยอมรับความจริง ก็ไม่สมควรจะสนทนาด้วย***


    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ


    ทำไม???ใครรู้ช่วยตอบที?

    เมื่อเราเชื่อกันว่า ผีมีจริง, เทวดานางฟ้ามีจริง, สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเครื่องรางของขลังมีจริง, พวกผีเจ้าเข้าทรงมีจริง, และชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตายตัวจากดวงชะตาราศี เป็นต้น ดังนี้แล้ว เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า :

    - พวก ผี หรือ พวก เทวดา จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร? (มีอ้วน มีผอม มีสวย มีขี้หร่หรือเปล่า?)

    - ใช้การติดต่อสื่อสารกันอย่างไร? (ใช้มือถือหรือเปล่า? เดินทางกันยังไง?)

    - อยู่ที่ไหน? (มีสถานะอะไร? ของแข็ง,เหลว,ก๊าซ,หรือพลาสมา,หรือคลื่น?)

    - พูดภาษาอะไร? (ต้องเรียนภาษาหรือเปล่า? หรือใช้โทรจิต?)

    - เรียนหนังสือหรือเปล่า? (มีโรงเรียนสำหรับเด็กๆหรือเปล่า? มีรับจ๊อบสอนพิเศษหรือเปล่า?)

    - มีบัตรประชาชนผี หรือบัตรประชาชนเทวดาหรือเปล่า? (ถ้ามีบัตรผี จะเรียกว่าบัตรอะไรดีล่ะ?)

    - แต่งตัวอย่างไร? (ใส่ชุดสูตร หรือไม่นุ่งผ้า? ถ้ามีไปซื้อจากที่ไหน?)

    - มาพบคนได้หรือไม่? (เช่น ในฝัน หรือมาออกรายการทีวีพวกทอล์คโชว์ เกมส์โชว์)

    - ทำงานอะไร? (ถ้ามาแสดงหนังผี รับรองดังระเบิดแน่?)

    - อยากได้อะไร? (ชอบกินโค๊กกะเป๊บซี่หรือเปล่า? หรือชอบสูบบุหรี่ ดื่มวิสกี้?)

    - เวลาว่างมีอะไรทำกันบ้าง? (มีทีวี-หนัง ละครน้ำเน่า หรือคอนเสริตดูบ้างหรือเปล่า? มียาบ้าขายบ้างหรือเปล่า?)

    - ผีกลัวอะไร? (ทำไมผีเรากลัวสายสิญจน์-พระเครื่อง แต่ผีฝรั่งกลัวกระเทียม? แล้วผีฝรั่งกลัวสายสิญจน์-พระเครื่องหรือเปล่า? แล้วผีเรากลัวกระเทียมหรือเปล่า?)

    - ใครเป็นผู้ควบคุม? (ต้องเลือกตั้งมาหรือเปล่า? หรือแต่งตั้งมา? มีขายเสียงบ้างหรือเปล่า?)

    - สืบพันธุ์อย่างไร? (มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเปล่า? พวกโรคเอดส์น่ะ?)

    - เจ็บป่วยได้หรือเปล่า? (ถ้าเจ็บป่วยกินยาอะไร? ไปรักษาที่ไหน? หรือไปให้หมอผีรักษา?)

    - ตายได้หรือไม่? (ถ้าตายแล้วจะไปไหนอีกล่ะ? ถ้าตายได้อีกแล้วมีการจัดงานศพหรือไม่?)

    - ทำไมผีถึงชอบหลอกให้คนกลัว? (น่าเบื่อก็ตรงนี้แหละ ถ้าหล่อๆสวยๆมาหลอกละก็จะมีแต่คนรัก)

    - ทำไม ไม่ไปหลอกคนชั่วให้กลับใจมาเป็นคนดี? (ผี หรือเทวดาที่ดีๆไม่มีบ้างหรือยังไง? งงจริงๆ เห็นว่ามีแต่ร้ายๆเสียมาก เปลี่ยนมารับจ้างเป็นนักสืบหารายได้พิเศษบ้างซิ)

    - ทำไม ไม่มาช่วยงานราชการ ปราบปรามคนชั่ว หรือพวกคิดร้ายทำลายชาติ หรือพวกตัดไม้ทำลายป่า? (ได้บุญหลาย ผู้คนยกย่องทั่วบ้านทั่วเมืองเป็นแน่ จะทำอนุสาวรีย์ให้)

    - ทำไม ไม่คอยช่วยเหลือคนดี ช่วยเหลือสังคมประเทศชาติ จะได้มีคนยกย่องสรรเสริญ หรือได้บุญมาก? (ถ้าทำความดีจะได้ให้โล่เกียรติยศ อยากได้อะไรจะทำให้เต็มที่เลย ของง่ายๆทำไมไม่ทำ)

    - ทำไม ไม่ไปสำรวจนอกโลก หรือนอกจักรวาล แข่งกับฝรั่งเขาบ้าง ให้ประเทศเราเจริญ? (เอาให้ฝรั่งงงไปเลย เราใช้ผีหรือเทวดาไปสำรวจดวงดาวทั่วจักรวาลมาหมดแล้ว ฝรั่งจะได้มานับถือเราแทน)

    - ทำไม เราจึงไม่เคยพบเห็นผี หรือเทวดาเลยสักครั้ง? (ขอเจอสักครั้ง จะถ่ายคลิปวีดีโอไปลงเน็ต หรือโฆษณาให้ดังระเบิดไปเลย ฝรั่งต้องมาขอซื้อลิทสิทธิ์เราแน่)

    - ทำไม ถ้าเราเคยเป็นผีมาก่อน แล้วทำไมเราจึงจำไม่ได้? (อย่าอ้างว่าจำไมได้ ไม่อย่างนั้นอาจจะมีคนมาอ้างว่า คุณน่ะเคยเป็นหนี้ผมมาก่อน แต่คุณดันลืมไปแล้ว ฉะนั้นจงใช้หนี้ผมมาเสียเดี๋ยวนี้)

    - ทำไม? ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?........และทำไม?

    - ถ้าคนทำชั่วตายไปแล้วตกนรก แต่ถ้าคนทำดี ตายไปแล้วได้ขึ้นสวรรค์ แล้วใครมาคอยกำหนด? (ถ้ามีสถานที่เดียว คงงานยุ่งน่าดู วันๆคนตายทั่วโลกมากมาย)
    - นรก-สวรรค์ตามที่เราเชื่อกันอยู่นั้นมีจริงหรือไม่? อยู่ที่ไหน? ใครสร้าง? สร้างด้วยอะไร? ไปเยี่ยมชมได้หรือไม่? (สวรรค์เหมือนโรงแรมชั้นหนึ่งหรือเปล่า? นรกเหมือนคุกหรือเปล่า?)

    - ทำไม่ ไม่มีใครพาไปเยี่ยมชมนรกบ้าง คนชั่วจะได้กลัว จะได้ไม่ทำความชั่ว โลกจะได้สงบสุข? (ของง่ายๆ พาไปดูเสียหน่อย แค่นี้คนชั่วก็กลัวหัวหดแล้ว)

    - ถ้านรก-สวรรค์ของเรามีจริง แล้วนรกสวรรค์ของประเทศอื่น หรือของศาสนาอื่นเขามีจริงหรือไม่? (ของจริงต้องมีเพียงหนึ่งเดียวซิ อย่างนั้นไม่ใช่ของจริง หรือเป็นของปลอมกันหมด)

    - แล้วคนที่อยู่ประเทศอื่น หรือนับถือศาสนาอื่น เมื่อตายไป แล้วเขาจะไปขึ้นสวรรค์ที่ไหน? หรือไปตกนรกที่ไหน? (หรือเป็นกุศโลบายหลอกให้คนกลัว เพื่อให้คนไม่ทำชั่วเท่านั้น แต่ก็คงใช้ได้แก่กับเด็กหรือคนมีปัญญาน้อยเท่านั้น ส่วนคนสมัยนี้เขามีปัญญากันมากแล้วคงใช้ไมได้)

    - ทำไม ไม่เห็นมีเรื่องบอกเกี่ยวกับคนนอกศาสนาเมื่อตายไปในศาสนาของเราเลย? (สงสัยคนแต่งเรื่องพวกนี้ไม่รู้จักคนต่างประเทศ หรือคนต่างศาสนาเลยลืมแต่งเรื่องนี้ไว้)

    - ถ้าสามารถพิสูจน์นรก-สวรรค์ของศาสนาไหนได้จริง โลกคงมีศาสนาเดียวใช่หรือไม่? (แน่นอน ถ้ามีของจริงมาให้ดูชัดๆ ใครๆก็เชื่อ)

    - แล้ว นรก - สวรรค์ ใช้ไฟฟ้า, น้ำประปา, โทรศัพท์, อินเตอร์เน็ตหรือเปล่า? (แล้วใครจ่ายตังค์? เสียภาษีหรือเปล่า?)

    - แล้วใครหรือใช้อะไรบันทึกการกระทำของคนที่ยังไม่ตายเอาไว้ไปแสดงเมื่อตายไปแล้วได้? (ใช้คอมฯหรือเปล่า? แล้วซื้อคอมฯมาจากไหน? ใช้ซอฟแวร์อะไร?)

    - แล้วใช้ใคร หรือใช้อะไรตัดสินว่าใครจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรก? (ตัดสินลำเอียงได้หรือเปล่า?)

    - แล้วคนตัดสินนั้นรับสินบนได้หรือไม่? (รับเงิน หรือทอง หรือโอนเข้าบัญชี หรือเป็นหุ้น)

    - แล้วมีใครเป็นคนมีอำนาจสูงสุด? (มีประท้วงหรือเดินขบวน หรือปฏิวัติกันบ้างหรือเปล่า?)

    - ทำไม ผีหรือเทวดาของประเทศต่างๆหรือศาสนาต่างๆจึงไม่เหมือนกัน แล้วของใครจริงของใครไม่จริง? (ถ้ามาเจอกันแล้วจะพูดกันรู้เรื่องหรือเปล่า? คงเกิดสงครามแย่งอาณาจักรกันยุ่งเหมือนในหนัง?)

    - แล้วผี หรือเทวดา มีการทะเลาะกันบ้างหรือเปล่า? (ใช้ปืนเลเซอร์-ปล่อยแสง ยิงกันเหมือนในทีวีหรือเปล่า?)

    - ทำไม? ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?.......และทำไม?(หัดเป็นคนคิดอะไรให้ละเอียด ลึกซึ้ง และรอบด้านบ้าง จะได้ไม่ถูกเขาว่าเป็นคน "คิดไม่เป็น" อย่างที่กำลังเป็นกันอยู่)

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  7. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คุณแก้ว กรุณา ดูท่าจะเป็นบ้าไปแล้วกระมังคะ
    อยู่ๆก็เกิดความสงสัยเรื่องโอปาติกะ เทวดา นรก สวรรค์

    พอคนที่มีประสบการณ์เค้ามาเล่าให้ฟังก็ไม่เชื่อ คิดหาว่าเค้าเพ้อเจ้อ
    อย่ากระนั้นเลย ต้องให้ประสบพบเห็นด้วยตนเอง

    ตามที่เคยเสนอให้ทดสอบโดยกระโดดเข้ากองไฟดู
    ผลเป็นอย่างไร จะได้รู้เองเห็นเองนะคะ

    อย่างคุณแก้วเนี่ย คงได้ทัวร์นรกสมใจอยาก เป็นลำดับแรกค่ะ 55+
     
  8. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    kaw_47@hotmail.com = เตชปัญโญ ภิกขุ

    คนจริงต้องปลอมตัวเช่นนี้ด้วยหรือ เอาชื่อพระสงฆ์มาแอบอ้างหรือไงกัน

    เจตนาไม่ดีๆ
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    แก้วจ๋า แก้วหายไปไหน แก้ว กรุณา กลับมาหน่อย
    ในร่างของเตชะก็ยังดี เพราะธรรมชาติของแก้วก็เป็นเช่นนี้ ชอบแปลงร่างไปมา

    หุหุ

    ;aa30
     
  10. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    **คำถามที่ไม่มีใครกล่าถาม เพราะถูกครอบงำสตืปัญญาเอาไว้อย่างมิดชิด***

    - ถ้าเครื่องรางของขลังมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมไม่พิสูจน์ให้นักวิทยาศาสตร์ยอมรับ?(หรือว่าไม่แน่จริง มีแต่ราคาคุย?)

    - ถ้าเครื่องรางของขลังมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมไม่นำมาใช้งานแทนคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ? (จะได้ไม่ต้องเสียดุลการค้า ประเทศชาติจะได้เจริญ)

    - ถ้าเครื่องรางของขลังมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมไม่ผลิตเอาไปขายให้ฝรั่งเพื่อเอารายได้เข้าประเทศ จะได้ร่ำรวย? (รับรองแพงแค่ไหนฝรั่งก็ซื้อ แต่ระวังฝรั่งแอบเอาไปทำเองและจดลิขสิทธิ์ก่อนนะ เราจะแย่)

    - ถ้าเครื่องรางของขลังมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมทางราชการจึงไม่ซื้อมาให้ทหารตำรวจเอาไปใช้ป้องกันตัว? (รับรองโจรผู้ร้ายกลัวหัวหด หรือโจรผู้ร้ายก็ซื้อมาใช้ได้เหมือนกัน แย่เลยคราวนี้ อย่างนี้ต้องจดทะเบียนเหมือนมือถือแน่)

    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ทำไมประเทศชาติจึงย่ำแย่ ไม่เห็นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรมาช่วยเลย?(ทหารตำรวจที่ปฏิบัติงานรักษาประเทศชาติอยู่ตอนนี้ตายรายวัน น่าจะไปช่วยบ้าง?)

    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ทำไมถึงปล่อยให้คนยากคนจน หรือคนดีถูกเอารัดเอาเปรียบ? (ยาบ้าก็เต็มบ้านเต็มเมือง ปัญหาฝนแล้ง น้ำท่วม แถมโลกร้อน ชาวไร่ชาวนาจะอดตายกันอยู่แล้ว หรือเอาแต่คอยรับของสังเวย-สินบน แล้วถึงจะทำงาน หรือคอยช่วยแต่คนรวย)

    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เราก็ไม่ต้องอ่านหนังสือ เราก็ไปบนบาลสารกล่าวให้ช่วยเราสอบได้จริงหรือไม่? (บนบาลสารกล่าวให้สอบเข้าเรียนโรงเรียนต่างประเทศได้หรือเปล่า? แต่อ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่เป็นนะ?)

    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เราก็ไม่ต้องทำงาน เราก็ไปบนบาลสารกล่าวให้เราถูกหวยสบายไปเลยจริงหรือไม่? (ที่ต่างประเทศหาที่บนบาลสารกล่าวได้ที่ไหน? ทำไมประเทศเขาถึงไม่มี ล้าสมัยจัง?)

    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ถ้าเราทำผิด เราก็ไปบนบาลสารกล่าวให้เราพ้นผิดซิ จริงหรือไม่?(พวกทนายความตกงานแน่เลย)

    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ใครๆก็จะไม่มีทุกข์เลย เพราะใครๆเขาก็บนบาลสารกล่าวเป็น จริงหรือไม่? (โลกคงเปลี่ยนวิถีชีวิตไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือเป็นแน่)

    - ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?.......และทำไม?

    - ถ้าพวกผีเจ้าเข้าทรงมีจริง ทำไมไม่ช่วยชี้เบาะแสคนทำผิดกฎหมาย หรือคนทำชั่ว เพื่อช่วยประเทชาติบ้าง? (จะได้รางวัลนำจับ หรือค่าหัวมากมาย ทำไมโง่จังพวกผีเจ้าเข้าทรงนี่)

    - ถ้าพวกหมอดู สามารถล่วงรู้อนาคตคนเราได้จริง ทำไมเขาถึงยังต้องมารับจ้างดูดวงให้คนอื่นอยู่? (ก็ดูดวงตัวเอง แก้ดวงตัวเองให้ร่ำรวยเสีย จะได้ไม่ต้องมารับจ้างหาเลี้ยงท้องให้ลำบาก)

    - ทำไม ถ้าพวกหมอดู สามารถรู้อนาคตคนเราได้แม่นจริง ผู้คนทั้งโลกคงมานับถือเขาเป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่ของโลกไปแล้ว ใช่หรือไม่? (แน่นอน ถ้าดูแม่นจริง คนทั้งโลกต้องมานับถือกันหมด เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ เหมือนการค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์)

    - ทำไมทางราชการจึงไม่เอาพวกหมอดูมาเป็นที่ปรึกษา จะได้ช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง? (แค่ให้ดูว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นก็รีบซื้อไว้ ถ้าหุ้นตัวไหนจะตก ก็รีบเทขาย แค่นี้ก็รวยอื้อซ่าแล้ว ทำไมโง่จัง)

    - ทำไมฝรั่งเขาจึงเจริญทั้งๆที่เขาไม่ต้องอาศัยดูดวงอะไรเลย แต่เราที่เชื่อกลับย่ำแย่? (ฝรั่งเขาใช้หลักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ เขาเลยรวย แต่เราใช้หลักไสยศาสตร์ พิสูจน์ไม่ได้ มีแต่ราคาคุย เลยเอาแต่จน)

    - ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?.....และทำไม? (จงอย่าหยุดตั้งคำถาม ถ้าอยากฉลาด)

    นี่เป็นตัวอย่างของการตั้งคำถามในสิ่งที่เรากำลังเชื่อถือกันอยู่ ว่ามีจริงหรือไม่? สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้หรือไม่? รวมทั้งสิ่งเหล่านี้มันมีประโยชน์อะไรกับชีวิตของเรา และแก่สังคมประเทศชาติของเรา หรือแก่โลกของเราอย่างแท้จริงบ้าง? เพื่อที่เราจะได้ตาสว่าง ไม่โง่งมงายกันอีกต่อไป สมกับเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความเจริญด้านวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง ถ้าเราอยากให้คนในประเทศชาติเรามีเหตุมีผล มีสติปัญญา และเจริญก้าวหน้าทันโลก ก็ขอให้ช่วยกันส่งต่อ บอกต่อๆไปแก่เพื่อนฝูง เพราะตราบใดที่คนในประเทศชาติเรา ยังไม่รู้จักตั้งคำถามเหล่านี้ ตราบนั้นประเทศชาติเราก็จะยังล้าหลังประเทศชาติอื่นเขาอยู่ต่อไป สักวันคงล่มจมต้องเป็นทาสชนชาติอื่นเขาเป็นแน่.

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  11. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    สวัสดีค่ะ คุณเตชฯ
    วันนี้มาทวงรายละเอียดหนังสือที่คุณแต่งพร้อม ISBN เอาทุกๆรายละเอียดนะค่ะ ก็เห็นคุณเต็มใจที่จะช่วยด้วยการให้ที่ติดต่อสำนักพุทธฯมา ข้าพเจ้ากะจะร้องเรียนทั้งกระทรวงศึกษาและสำนักพุทธฯ แต่ต้องการความร่วมมือจากคุณด้านรายละเอียดของหนังสือ ด้วย
    เพื่อนๆชาวพลังจิตที่เมืองไทยร่วมกันดำเนินการได้ไหมค่ะ หรือถ้าไม่พร้อมก็กรุณาหารายละเอียดของหนังสือพร้อมทั้ง ISBN ส่งให้ข้าพเจ้าหรือจะดำเนินการส่งไปเรื่องไปยังกระทรวงศึกษาฯและสำนักพุทธพร้อมกันทั้งกลุ่มก็ยิ่งดี
    ดูท่าที่พวกเราตอบๆกันคุณเตชฯไม่เคยอ่านเลยหรือไม่ก็อ่านจับประเด็นไม่เป็นเอาเลย เพราะถ้าอ่านจับประเด็นเป็นคำถามซ้ำๆคงไม่กระเซ็นมาจากความคิดที่ฟุ้งซ่าน
    เท่าที่ดูข้าพเจ้าต้องยอมรับว่าความสามารถไม่พอที่จะอธิบายให้คุณเตชฯเข้าใจได้อีกแล้ว จริงๆแล้วกลุ่มเป้าหมายของข้าพเจ้าก็คือพวกที่มีทิฏฐิวิปลาสเหมือนคุณเตชฯแต่เป็นประเภทกรรมใกล้จะหมดย่อมเห็นแสงแห่งสัมมาทิฏฐิได้ เหมือนคนที่เดินอยู่ในถ้ำมืดๆ อันยาวไกล ตราบใดยังไม่ใกล้ทางออกย่อมไม่เห็นแสงอาทิตย์
    กรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมีแต่สมเด็จพระทศพลญาณเท่านั้นที่รู้เจนจบ ณ. วันนี้นับได้ว่าคุณเตชฯน่าสงสารมากๆๆและเกินกำลังที่จะฉุดกลับมาได้อีกแล้ว คุณเตชคงกระทำการปรามาสพระไตรรัตน์ไว้หนักเหลือเกินถึงได้ส่งผลให้ไม่สามารถมีสัมมาทิฏฐิธรรมได้เลยซ้ำร้ายยังสร้างกรรมใหม่ต่อเรื่อยๆ
    ถ้าคุณเตชฯเข้าใจกรรม วิบาก ภพชาติ คุณเตชจะไม่ตั้งคำถามดังเช่นที่ข้าพเจ้าเคยตอบไปแล้วหากคุณกลับไปอ่านให้หมดคุณจะพบคำตอบในทุกๆคำถาม หลักปฏิจจสมุหปาทอันเดียวสามารถอธิบายคำถามคุณได้ทั้งหมด ซึ่งมันไร้ประโยชน์และเสียเวลามากๆที่ข้าพเจ้าจะมานั่งพิมพ์เพื่อตอบที่ละคำถาม
    พูดง่ายๆคุณลองไปหาหลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดของ อ. วศินมาลองฟังดูก่อนนะ ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าสำนักพุทธฯและกระทรวงศึกษาปล่อยให้หนังสือคุณบรรจุเป็นหลักสูตรได้อย่างไร คงจะหลงหูหลงตาผู้ตรวจสอบไปบ้าง
    จะว่าไปทางที่ดีคุณไปตั้งลัทธิใหม่เถอะนะอย่าจองเวรกับพุทธศาสนาอีกเลย อโหสิกรรมซึ่งกันและกันเถอะ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากคุณตั้งลัทธิใหม่สาวกของคุณที่เขามีจริตเดียวกับคุณตามคุณมาก็คงจะมีอยู่บ้าง
    ข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากผูกเวรกับคุณข้ามภพข้ามชาติ อย่างไรก็ขออโหสิเถอะนะซึ่งกันและกันนะ ถือว่า โต้วาทีเอาสนุกๆๆละกัน
    เห็นคุณเตชฯแล้วทำให้ข้าพเจ้ากลัวเป็นที่สุด ปกติหากทำใจได้ดีบ้าง ข้าพเจ้าไม่เคยกลัวความตาย แต่ที่ข้าพเจ้ากลัวที่สุด คือหากต้องเกิดแล้วมี
    มิจฉาทิฏฐิแล้วไม่อาจกลับใจให้เป็นสัมมาทิฏฐิได้ข้าพเจ้าขอบารมีขอประทานความตายเพื่อไปใช้วิบากในภูมิต่ำดีกว่ามีชีวิตอยู่เพื่อสร้างความดำมืดให้กับจิตต่อโดยทำกรรมชั่วใหม่ไปเรื่อยๆ หลงไปเรื่อยๆ
    วันนี้พล่ามมายาวแล้ว อยากจะบอกกับคุณเตชฯทั้งๆที่รู้ว่าคุณคงไม่เชื่อ หยุดเถอะนะ คุณเตชฯ หยุดเพื่อไปศึกษาอีกมุมมองที่คนมากมายมองอยู่เพื่อหาคำตอบในคำถามที่คุณตั้งขึ้นด้วยตัวเอง ลองถอยหลังกลับแล้วตามล่าหาพระอาจารย์ลองหันมาปฏิบัติกรรมฐานให้สุดๆทั้ง 40 กอง ปฏิบัติแบบมอบกายถวายชีวิตไม่ตายไม่เลิก ตายก็ไม่เลิก เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติมากกว่ามานั่งพินิจพิเคราะห์เหตุผลในแต่ละเรื่อง
    ในความคิดย่อมมีถูกผิดดีชั่ว มีขั้วมีปมเสมอ สุญญตามี่คุณพูดถึงมันเหนือความคิดเหนือความรู้สึกว่างมากนักลองสลัดความคิดความมั่นใจทิ้งแล้วเรียนใหม่อย่างถ้วยชาที่ว่างเปล่าพร้อมที่จะบรรจุทุกสิ่งลงไป
    ขอฝากไว้เท่านี้ ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจ
    ปล.ขอรายละเอียดหนังสือด้วยนะค่ะเพื่อนๆหรือคุณเตชฯก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2008
  12. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คุณแก้ว เค้าไม่เอามาใช้แทนคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือหรอก
    เค้าใช้แทนอย่างอื่น อยากรู้มั๊ยคะว่าใช้แทนอะไรและพิสูจน์ได้ด้วยค่ะ
    ง่ายๆเลยอะ แค่คุณแก้วไปยืนด่าแม่ค้ากลางตลาดดูเท่านั้นแหละ
    แล้วจะเห็นควายธนูวิ่งเข้ามาหา เพราะเสกไม่ทันเลยขว้างแทน
    รับรองไม่พลาดเป้า...ยังไงคุณแก้วก็อย่าลืมใส่หมวกกันน็อคไปด้วยนะคะ
    มิฉะนั้นอาจเลือดตกยางออกได้ เพราะควายธนูที่ว่าแกะมาจากหินนะคะ ^_^

    เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวคุณแก้วเอง
    อย่าลืมไปพิสูจน์นะคะ ว่าขลังจริงมั๊ย ^_^

    และไม่เสียดุลการค้าแน่นอน ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2008
  13. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    - ถ้าเครื่องรางของขลังมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมไม่พิสูจน์ให้นักวิทยาศาสตร์ยอมรับ?(หรือว่าไม่แน่จริง มีแต่ราคาคุย?)
    ใช่ เครื่องรางเป็นวัตถุ แต่ในวัตถุมีพลังงงาน การอธิษฐานจิตเป็นการจูนพลังงานให้มาอยู่ที่เครื่องลาง ความศักด์สิทธ์ของเครื่องลางขึ้นอยูกับกระแสจิตของผู้ปลุกเสกหรืออธิษฐานจิตกับชนิดของ
    พลังานที่ขอจูน ในการใช้เครื่องลางผู้ใช้แน่นอนต้องมีศรัทธาเป็นตัวจูนระหว่างผู้ใช้กับเครื่องลาง ในการเปล่งอานุภาพเปล่งกระแสความศักดิ์สิทธ์ของเครื่องลางในแต่ละครั้งต้องขึ้นอยู่กับกระแสความบริสุทธ์ของจิตและกระแสกรรมวิบากของผู้ใช้
    - ถ้าเครื่องรางของขลังมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมไม่นำมาใช้งานแทนคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ? (จะได้ไม่ต้องเสียดุลการค้า ประเทศชาติจะได้เจริญ)
    ย้อนกลับไปดูข้อ 1 และ เครื่องลางกับคอมและมือถือต่างกันโดยหน้าที่ นะ มือถือใช้สือสาร คอมใช้พิมพ์งาน เครื่องลางใช้ป้องกัน คุณใช้ ตาฟังแทนหูได้ไหม อย่าถามโง่ๆ
    - ถ้าเครื่องรางของขลังมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมไม่ผลิตเอาไปขายให้ฝรั่งเพื่อเอารายได้เข้าประเทศ จะได้ร่ำรวย? (รับรองแพงแค่ไหนฝรั่งก็ซื้อ แต่ระวังฝรั่งแอบเอาไปทำเองและจดลิขสิทธิ์ก่อนนะ เราจะแย่)
    ย้อนไปดูข้อหนึ่งแล้วไล่ดูที่ละปัจจัยปัจจัยไหนที่ฝรั่งขาด
    - ถ้าเครื่องรางของขลังมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมทางราชการจึงไม่ซื้อมาให้ทหารตำรวจเอาไปใช้ป้องกันตัว? (รับรองโจรผู้ร้ายกลัวหัวหด หรือโจรผู้ร้ายก็ซื้อมาใช้ได้เหมือนกัน แย่เลยคราวนี้ อย่างนี้ต้องจดทะเบียนเหมือนมือถือแน่)
    ย้อนดู ข้อ หนึ่ง ปัจจัยไหนที่จำกัดการแสดงพลานุภาพของเครื่องราง
    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ทำไมประเทศชาติจึงย่ำแย่ ไม่เห็นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรมาช่วยเลย?(ทหารตำรวจที่ปฏิบัติงานรักษาประเทศชาติอยู่ตอนนี้ตายรายวัน น่าจะไปช่วยบ้าง?)
    ย้อนดู ข้อ หนึ่ง ปัจจัยไหนที่จำกัดการแสดงพลานุภาพของเครื่องราง
    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ทำไมถึงปล่อยให้คนยากคนจน หรือคนดีถูกเอารัดเอาเปรียบ? (ยาบ้าก็เต็มบ้านเต็มเมือง ปัญหาฝนแล้ง น้ำท่วม แถมโลกร้อน ชาวไร่ชาวนาจะอดตายกันอยู่แล้ว หรือเอาแต่คอยรับของสังเวย-สินบน แล้วถึงจะทำงาน หรือคอยช่วยแต่คนรวย)
    ย้อนดู ข้อ หนึ่ง ปัจจัยไหนที่จำกัดการแสดงพลานุภาพของเครื่องราง
    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เราก็ไม่ต้องอ่านหนังสือ เราก็ไปบนบาลสารกล่าวให้ช่วยเราสอบได้จริงหรือไม่? (บนบาลสารกล่าวให้สอบเข้าเรียนโรงเรียนต่างประเทศได้หรือเปล่า? แต่อ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่เป็นนะ?)
    ย้อนดู ข้อ หนึ่ง ปัจจัยไหนที่จำกัดการแสดงพลานุภาพของเครื่องราง (กระแสกรรมวิบาก)
    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เราก็ไม่ต้องทำงาน เราก็ไปบนบาลสารกล่าวให้เราถูกหวยสบายไปเลยจริงหรือไม่? (ที่ต่างประเทศหาที่บนบาลสารกล่าวได้ที่ไหน? ทำไมประเทศเขาถึงไม่มี ล้าสมัยจัง?)
    -กระแสกรรมวิบาก
    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ถ้าเราทำผิด เราก็ไปบนบาลสารกล่าวให้เราพ้นผิดซิ จริงหรือไม่?(พวกทนายความตกงานแน่เลย)
    -กระแสกรรมวิบาก
    - ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ใครๆก็จะไม่มีทุกข์เลย เพราะใครๆเขาก็บนบาลสารกล่าวเป็น จริงหรือไม่? (โลกคงเปลี่ยนวิถีชีวิตไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือเป็นแน่)
    -กระแสกรรมวิบาก
    - ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?.......และทำไม?
    กรรมวิบากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    - ถ้าพวกผีเจ้าเข้าทรงมีจริง ทำไมไม่ช่วยชี้เบาะแสคนทำผิดกฎหมาย หรือคนทำชั่ว เพื่อช่วยประเทชาติบ้าง? (จะได้รางวัลนำจับ หรือค่าหัวมากมาย ทำไมโง่จังพวกผีเจ้าเข้าทรงนี่)
    กระแสกรรมวิบากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    - ถ้าพวกหมอดู สามารถล่วงรู้อนาคตคนเราได้จริง ทำไมเขาถึงยังต้องมารับจ้างดูดวงให้คนอื่นอยู่? (ก็ดูดวงตัวเอง แก้ดวงตัวเองให้ร่ำรวยเสีย จะได้ไม่ต้องมารับจ้างหาเลี้ยงท้องให้ลำบาก)
    กระแสกรรมวิบากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    - ทำไม ถ้าพวกหมอดู สามารถรู้อนาคตคนเราได้แม่นจริง ผู้คนทั้งโลกคงมานับถือเขาเป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่ของโลกไปแล้ว ใช่หรือไม่? (แน่นอน ถ้าดูแม่นจริง คนทั้งโลกต้องมานับถือกันหมด เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ เหมือนการค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์)
    กระแสกรรมวิบากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    - ทำไมทางราชการจึงไม่เอาพวกหมอดูมาเป็นที่ปรึกษา จะได้ช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง? (แค่ให้ดูว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นก็รีบซื้อไว้ ถ้าหุ้นตัวไหนจะตก ก็รีบเทขาย แค่นี้ก็รวยอื้อซ่าแล้ว ทำไมโง่จัง)
    กระแสกรรมวิบากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    - ทำไมฝรั่งเขาจึงเจริญทั้งๆที่เขาไม่ต้องอาศัยดูดวงอะไรเลย แต่เราที่เชื่อกลับย่ำแย่? (ฝรั่งเขาใช้หลักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ เขาเลยรวย แต่เราใช้หลักไสยศาสตร์ พิสูจน์ไม่ได้ มีแต่ราคาคุย เลยเอาแต่จน)
    กระแสกรรมวิบากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    - ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?ทำไม?.....และทำไม? (จงอย่าหยุดตั้งคำถาม ถ้าอยากฉลาด)
    จงหยุดมองออก หากไม่อยากโง่ แล้วหันมาเรียนรู้ในตัวเราให้เจนจบเสียก่อนก่อนจะเรียนรู้นอกตน

    พูดถึงกรรม ต้องอธิบายยาวๆๆ คุณเตชคงไม่เข้าใจ ขี้เกียจพิมพ์ด้วยแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว อ่ะ
    ถ้าวันหน้าอยากโผล่มาจะมาใหม่นะค่ะ
    ปล. อย่าลืมรายละเอียดหนังสือนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2008
  14. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    รอบนี้ก้อปให้อ่านอีกทีเพราะสงสารรอบหน้าหาอ่านเองนะอยู่แถวๆนี้แหละ
    กลับไปที่โพส 1083

    http://palungjit.org/showthread.php?t=25762&page=55

    ทำไม???ใครรู้ช่วยตอบที?

    เมื่อเราเชื่อกันว่า ผีมีจริง, เทวดานางฟ้ามีจริง, สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเครื่องรางของขลังมีจริง, พวกผีเจ้าเข้าทรงมีจริง, และชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตายตัวจากดวงชะตาราศี เป็นต้น ดังนี้แล้ว เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า :
    - พวก ผี หรือ พวก เทวดา จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร? (มีอ้วน มีผอม มีสวย มีขี้หร่หรือเปล่า?)
    หากคุณเชื่อเรื่องเหตุปัจจัย แปลกมากๆๆๆที่คุณไม่เชื่อเรื่องกรรมและการกำเนิดเพราะผลที่เราเป็นอยู่ณ. ขณะนี้เกิดจากเหตุที่สั่งสมมาไม่ใช่เหรอ กรรมตกแต่งรูปได้ รูปก็เกิดจากการมีขี้นแห่งภพไม่ใช่เหรอ รูปมีทั้งหยาบและละเอียด แล้วจะแปลกอะไรหากรูปรูปละเอียดที่ตารูปหยาบๆมองไม่เห็น ขนาดแบคทีเรียที่เป็นรูปหยาบตาคุณยังมองไม่เห็นเลยแล้วยังอยากเห็นเทวดา

    - ใช้การติดต่อสื่อสารกันอย่างไร? (ใช้มือถือหรือเปล่า? เดินทางกันยังไง?)
    มือถือมันรูปหยาบนี่นาก็ต้องให้กายหยาบๆอย่างคนใช้ ตัวนกยังไม่เห็นต้องใช้มือถือเลยยังเรียกฝูงมันมาหาได้ด้วยวิธีของมัน
    - อยู่ที่ไหน? (มีสถานะอะไร? ของแข็ง,เหลว,ก๊าซ,หรือพลาสมา,หรือคลื่น?)
    มองขนาดของหยาบๆยังมองไม่เห็นรู้ไม่หมดแล้วจะไปรู้เขาทำไม ถ้าบอกว่าอยู่ไหนแล้วคุณก็ยังสงสียอยู่ดีเพราะคุณมองไม่เห็นทางที่ดีไปฝึกให้เห็นไวรัสด้วยตาเปล่าก่อนดีไหมแล้วคุณอาจเข้าใจอะไรได้ดีกว่านี้
    - พูดภาษาอะไร? (ต้องเรียนภาษาหรือเปล่า? หรือใช้โทรจิต?)
    ภาษาเป็นคำที่บัญญัติขั้นแต่สิ่งที่ออกมาจริงคือเสียงไม่ใช่เหรอ เลียงเป็นคลื่น คลื่นยังเป็นรูปที่หยาบได้ละเอียดได้เลย เช่นโทรทัศน์จากเครื่องส่งมาเครื่องรับในรูปเคลื่องตัวรับต้องเป็นเครื่องแปลงสัญญาณถึงรับได้ หมามันยังมองภาพในทีวีไม่เหมือนคนมองเลยอันนี้วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว

    - เรียนหนังสือหรือเปล่า? (มีโรงเรียนสำหรับเด็กๆหรือเปล่า? มีรับจ๊อบสอนพิเศษหรือเปล่า?)
    ถ้ารูปเกิดจากกรรมวิบาก ทำบุญมาดีผลบุญก็ดีตาม จะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้ไม่มีใครบังคับหรอกหากเรียนจริงเรียนธรรมะพระพุทธที่มันเจนจบไม่ดีกว่าหรือ
    อย่างคนปัจจุบัน บางพวกเผ่าโบราณอยู่อย่างธรรมชาติยังไม่จำเป็นต้องมานั่งเรียนเลย
    - มีบัตรประชาชนผี หรือบัตรประชาชนเทวดาหรือเปล่า? (ถ้ามีบัตรผี จะเรียกว่าบัตรอะไรดีล่ะ?) เผ่าโบราณที่อยู่ตามป่าตกสำรวจ มีบัตรประจำตัวไหม
    - แต่งตัวอย่างไร? (ใส่ชุดสูตร หรือไม่นุ่งผ้า? ถ้ามีไปซื้อจากที่ไหน?) ก็บอกแล้วว่ารูปละเอียดผ้าก็จะต้องละเอียดไปด้วยดิถ้าบอกว่าใสผ้าทิพย์คุณก็ยังสงสัยอยู่ดี อย่าถามให้มากความไปฝึกให้มองเห็นรังสีคลอสมิกหรือไวรัสด้วยตาเปล่าก่อนนะแล้วค่อยมาว่ากันใหม่

    - ถ้าคนทำชั่วตายไปแล้วตกนรก แต่ถ้าคนทำดี ตายไปแล้วได้ขึ้นสวรรค์ แล้วใครมาคอยกำหนด? (ถ้ามีสถานที่เดียว คงงานยุ่งน่าดู วันๆคนตายทั่วโลกมากมาย)
    ก็กรรมและวิบากไงเป็นตัวกำหนด ขนาดคำว่าปัจจุบันยังมีเพราะขณะนี้คือปัจจุบัน อดีตย่อมีเพราะขณะที่แล้วเป็นอดีต อนาคตก็คืออุปาทานของขณะหน้าในขณะปัจจุบันไม่ใช่เหรอซึ่งอนาคตก็ยังมีใช่ไหมเพราะที่เรายืนอยู่นี้เป็นอนาคตของขณะที่แล้ว แล้วคุณจะว่าชาติหน้าไม่มีได้อย่างไร ในเมื่อชาติ คือ ชาตะอันเแปลว่าการกำเนิด หน้าก็เสมือนเป็นอนาคตซึ่งก็คือผลสืบเนื่องจากขณะที่แล้วแค่รูปหยาบคุณยังรู้ไม่เจนจบแล้วจะมานั่งขบคิดถึงรูปละเอียดได้อย่างไร

    - นรก-สวรรค์ตามที่เราเชื่อกันอยู่นั้นมีจริงหรือไม่? อยู่ที่ไหน? ใครสร้าง? สร้างด้วยอะไร? ไปเยี่ยมชมได้หรือไม่? (สวรรค์เหมือนโรงแรมชั้นหนึ่งหรือเปล่า? นรกเหมือนคุกหรือเปล่า?)
    - ทำไม่ ไม่มีใครพาไปเยี่ยมชมนรกบ้าง คนชั่วจะได้กลัว จะได้ไม่ทำความชั่ว โลกจะได้สงบสุข? (ของง่ายๆ พาไปดูเสียหน่อย แค่นี้คนชั่วก็กลัวหัวหดแล้ว)
    ถ้ามันเห็นกันง่ายๆเขาก็ไม่เรียกว่าของละเอียดซิก็บอกแล้วถ้าอยากเห็นอยากพิสูจน์ก็ไปฝึกให้เห็นของหยาบๆเช่นไวรัสด้วยตาเปล่าซะก่อนเถอะ อย่าข้ามขั้นอยากเห็นเทวดาถ้ายังไม่มีปัญญาเห็นการไหลของคลื่นเสียงด้วยตาเปล่า
    - ถ้านรก-สวรรค์ของเรามีจริง แล้วนรกสวรรค์ของประเทศอื่น หรือของศาสนาอื่นเขามีจริงหรือไม่? (ของจริงต้องมีเพียงหนึ่งเดียวซิ อย่างนั้นไม่ใช่ของจริง หรือเป็นของปลอมกันหมด)
    ใช่ของจริงต้องเป้นเอกเสมอแต่บอกคนตาบอดบอกยังไงก็ไม่เห็นอยู่ดีใช่ไหม ก็ประมาณตาบอดคลำช้างแล้วคิดว่าช้างเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ง่ะ
    - แล้วคนที่อยู่ประเทศอื่น หรือนับถือศาสนาอื่น เมื่อตายไป แล้วเขาจะไปขึ้นสวรรค์ที่ไหน? หรือไปตกนรกที่ไหน? (หรือเป็นกุศโลบายหลอกให้คนกลัว เพื่อให้คนไม่ทำชั่วเท่านั้น แต่ก็คงใช้ได้แก่กับเด็กหรือคนมีปัญญาน้อยเท่านั้น ส่วนคนสมัยนี้เขามีปัญญากันมากแล้วคงใช้ไมได้)

    แทนที่จะเสียเวลามานั่งจินตนาการขบคิดไปฝึกซะไปเอาให้เห็นอนุภาคคลื่นด้วยตาเปล่าก่อนนะ เอาแบบ เห็นจริงๆๆนะไม่ใช่คิดเอาว่าเห็น
    เอาง่ายๆ คุณลองฝึกไห้ได้ก่อนนะว่า เช้าตื่นมาจะมีใครมาหาบ้าง ทายตังค์ในกระเป๋าคนให้ถูกจำนวนทุกครั้ง นั่งริมถนนแล้วมองให้รล่วงหน้าู้อย่างถูกต้องว่าเวลาเวลาไหนกี่โมงกี่นาทีรถยี่ห้ออะไรจะผ่านมาคนขับผู้หญิงผู้ชาย มีกีคนในรถ แต่งตัวแบบไหนกันบ้าง คนหนุ่มแก่กี่คนเด็กกี่คน เอาให้ถูกทุกคันที่กำหนดมองนะ ของหยาบๆหากทำได้ก็คงให้คำตอบกับตัวเองได้ ถ้าทำไม่ได้อย่ามัวมานั่งคิดนั่งฝันว่าสิ่งใคจริงไม่จริง อย่า อยากเห็นเทวดา ให้เสียพลังงานสมอง

    มีกระทู้ดีๆของหลวงปู่ ชา สุภัทโท คุณเตชปัญโญไปอ่านนะ ของขยายกรอบความคิดดูบ้าง

    http://palungjit.org/showthread.php?t=133548


    พิสูจน์นักวิทยาศาสตร์

    พระอุปัฏฐากหลวงพ่อรูปหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
    " มีอยู่ครั้งหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์เขามากราบหลวงพ่อ ตอนนั้นผมอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อด้วย เขาบอกว่า พุทธศาสนาไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้ คงจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร วิทยาศาสตร์เขาดีกว่า ทำอะไรเขาก็พิสูจน์ได้เยอะ ทำอะไรออกมาก็ปรากฏให้เห็นได้ พุทธศาสนาพิสูจน์ไม่ได้ "
    หลวงพ่อตอบว่า "...เฮ้ย เรายังไม่ทันถึงพุทธศาสตร์ก็ได้เว้ย ก็เหมือนกับว่ามือเรามันสั้น แต่รูมันลึกลงไป เราล้วงมือลงไป มือมันสั้น มันสุดแค่นี้ แต่รูมันยังลึกเข้าไปอีก เราจะปฏิเสธว่า เอ๊ะ รูมันหมดแค่นี้เอง มันจะถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่า ความจริงมือเรามันสั้น เราไม่ได้คิดว่ารูมันลึกเข้าไปกว่านั้น หรือบางทีสายตาของเรามันสั้น เหมือนกับว่า เครื่องบินมันบินไป เครื่องบินนั้นมีอยู่ แต่สายตาของเรามันหมดเสียก่อน ก็เลยไม่เห็นเครื่องบิน แต่เครื่องบินมันยังมีและยังบินไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธว่ามันไม่มี นี้เป็นกุศโลบาย"

    ที่มา http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=14646
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  15. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ผู้ใดที่ไม่มีตัวตนจริง หัวใจก็จอมปลอมสับปรับ หญิงก็ไม่ใช่ ชายก็อาจไม่แท้ แถมจิตใจก็สกปรก ต่ำทราม...ไม่สมควรแก่การเสวนาจริง ๆ

    ถ้าพูดภาษาแบบเด็ก ๆ ที่เขาพยายามจะมาบังอาจสั่งสอน เขาเรียกว่า "พวกสมองห... ปัญญาค.... หน้าไร้ยางอาย"
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ****ใครเบื่อศาสนา ก็ลองอ่านหนังสือ "ไม่มีศาสนา" จากลิงค์นี้ดู***

    ***www.whatami.net/web-w/hatami/for/no.html***

    ***จะได้เป็นคนไม่มีศาสนา เพราะหลุดพ้นจากการครอบงำของศาสนาทั้งหลายได้แล้ว***

    ***และกลายมาเป็นคน "ไม่มีศาสนา" ได้อย่างน่าภาคภูมิใจที่สุด***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    จากหนังสือ ไม่มีศาสนา

    ศาสนามีข้อเสียอย่างไรบ้าง?
    คำสอนดั้งเดิมหรือแก่นแท้หรือหัวใจของทุกศาสนานั้นจะ สอนให้ทุกคนเป็นคนดี รักผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เบียดเบียนใครๆ และสอนให้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ประหยัด งดเว้นสิ่งที่ไม่ดี เช่น สิ่งเสพติด สิ่งฟุ่มเฟือย การพนัน การดื่มสุรา เป็นต้น และสอนให้ขยัน อดทน เสียสละ เป็นต้น ซึ่งคำสอนเหล่านี้นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ปฏิบัติได้และต่อสังคมโดยรวม

    ความจริงแล้วหลักคำสอนดั้งเดิมของทุกศาสนาจะมีไม่มาก แต่ภายหลังได้มีการแต่งเติมคำสอนออกไปมากมาย ซึ่งก็มีทั้งที่ตรงกับหลักคำสอนดั้งเดิม และผิดเพี้ยนจากหลักคำสอนดั้งเดิมออกไปจนกลายเป็นเรื่องราวและการปฏิบัติที่งมงายไร้เหตุผล ที่ไม่ได้ช่วยให้ผู้นับถือหรือผู้มาศึกษาเกิดความรู้ความเข้าใจในชีวิตอย่างถูกต้องขึ้นมาได้ รวมทั้งไม่ได้ช่วยทำให้ความทุกข์ของผู้ที่นับถือลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไปได้อย่างแท้จริงเลย

    สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือพิธีกรรมในศาสนา ซึ่งจัดว่าเป็นส่วนเกินของศาสนาที่คนรุ่นหลังๆแต่งเติมขึ้นมาเพื่อให้ผู้นับถือปฏิบัติเพื่อให้มีระเบียบแบบแผนและสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่กลับเป็นว่าผู้คนที่นับถือกลับมายึดถือพิธีกรรมว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ และสำคัญมากกว่าหลักคำสอนเสียอีก จนทำให้ผู้นับถือเกิดความเห็นผิดว่าพิธีกรรมเป็นหัวใจของศาสนามากกว่าหลักคำสอนที่เป็นหัวใจ

    อีกสิ่งหนึ่งก็คือเรื่องการอาศัยศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยนักสอนศาสนา (หรือนักบวชของศาสนา) บางคนที่หวังผลประโยชน์ทางวัตถุ ก็อาศัยศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยอาศัยศาสนาบังหน้าเพื่อให้ผู้ที่เชื่อถือนำเงินหรือสิ่งของหรือเกียรติยศชื่อเสียงมาให้ ถ้าใครจะหันหน้าเข้าหาศาสนาก็จะต้องเสียเงินจึงจะได้รับความสนใจ แต่ถ้าใครไม่มีเงินก็จะไม่ได้รับความสนใจ คือแทนที่ศาสนาจะเป็นฝ่ายให้แต่กลับจะเป็นฝ่ายเอาเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่วนมากแล้วศาสนาจะร่ำรวยแต่ว่าผู้นับถือกลับยากจน จึงทำให้ศาสนาถูกมองว่าเป็นธุรกิจแสวงหาผลประโยชน์จากผู้นับถือไปในที่สุด

    อีกเรื่องหนึ่งคือศาสนามักสอนให้คนเห็นแก่ตัว คือศาสนาส่วนใหญ่จะมีคำสอนเรื่องการบริจาคทรัพย์ให้แก่ทางศาสนา แล้วบอกคล้ายกับว่านี่เป็นการสั่งสมหรือฝากทรัพย์เอาไว้ เพื่อไปรับเอาในโลกหน้าภายหลังจากตายจากโลกนี้ไปแล้วตามความเชื่อของศาสนา อีกทั้งยังสอนว่าถ้าบริจาคเพียงเล็กน้อย ก็จะได้รับผลมากมายในโลกหน้า ยิ่งถ้าบริจาคมาก ก็จะยิ่งได้รับผลทวีคูณหลายร้อยหลายพันเท่าเลยทีเดียว นี่เองที่ทำให้คนที่นับถือเกิดความเห็นแก่ตัว คือคนมีทรัพย์มากก็คิดว่าในโลกนี้ตนเองก็มีทรัพย์ใช้สอยอย่างสุขสบายอยู่แล้ว แต่เมื่อตายไปทรัพย์ที่เหลือก็จะไม่สามารถเอาไปด้วยได้ จึงได้เสียดายทรัพย์เหล่านั้น และอยากที่จะเก็บทรัพย์เหล่านั้นเอาไปไว้ใช้สอยในโลกหน้า ที่เชื่อว่าจะมีอีกตามความเชื่อของศาสนา เขาจึงได้เอาทรัพย์จำนวนมากไปบริจาคไว้กับทางศาสนา เพื่อหวังจะไปรับเอาในโลกหน้าอีก แทนที่จะบริจาคเพื่อช่วยเหลือสังคม

    นี่เองที่ทำให้ศาสนาถูกมองว่า สอนให้คนเห็นแก่ตัว คือทำอะไรๆเพื่อตัวเอง ไม่ได้เสียสละเพื่อสังคมด้วยใจบริสุทธิ์โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆอย่างแท้จริง แม้บางคนจะมองว่าผู้บริจาคนั้นเป็นคนมีจิตใจงดงามและเสียสละก็ตาม ซึ่งแม้คนที่มีทรัพย์น้อยก็ยังเห็นแก่ตัว ด้วยการเจียดทรัพย์ที่มีน้อยของตนไปบริจาคแข่งขันกัน เพื่อหวังไปรับเอาในโลกหน้าด้วยเช่นกัน คือเรียกว่า
     
  18. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ยอมรับทุกข้อเลย ยกเว้นข้อสอง ที่กล่าวว่าทุกสิ่งไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยครับ ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2008
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ยอมรับในข้อ 1 และข้อ 3 ส่วนวิญญาณนั้นอาจไม่อาจเรียกได้เต็มที่ว่าจิต เพราะ จิต เป็นการประชุมร่วมกัน ของ สังขาร สัญญา เวทนา และวิญญาณ
    โดยการทำงานร่วมกันนั้นสามารถสร้างสติขึ้นมาได้เพื่อกำหนดรู้ว่า ทำงานถึงส่วนไหน และรู้ว่าส่วนไหนเป็นเช่นไร ทำงานอย่างไร

    ตอบในส่วนของการเกิดดับแห่งทุกข์นะ วิญญาณ จะเกิดได้ ก็ต้องมีปัจจัย นั่นคือ ส่งต่อมาจาก สังขาร หากจะถามว่าสังขารทำงานอย่างไร ก็ตอบว่า เริ่มมาจากอวิชชา ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2008
  20. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ผมขอยกพระสูตรที่ว่าด้วยสาติภิกษุผู้มีความเห็นผิด
    -------------------------ภิกษุทั้งหลายไม่อาจเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิ
    [๔๔๑] เมื่อภิกษุเหล่านั้น ไม่อาจปลดเปลื้องสาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตรจากทิฏฐินั้นได้
    จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ สาติภิกษุมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มี
    พระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ครั้งนั้น พวก
    ข้าพระองค์เข้าไปหาสาติภิกษุแล้วถามว่า ดูกรท่านสาติ ได้ยินว่า ท่านมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้
    เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่อง
    เที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ? เมื่อพวกข้าพระองค์ถามอย่างนี้ สาติภิกษุได้บอกพวก
    ข้าพระองค์ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
    วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น ดังนี้ จริง ในลำดับนั้น พวกข้าพระองค์
    ปรารถนาจะปลดเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิอันลามกนั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนว่า ดูกรท่าน
    สาติ ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดี
    เลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิด
    ขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาติภิกษุอันพวกข้าพระองค์ซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนอยู่ แม้อย่างนี้ ก็ยัง
    ยึดมั่น ถือมั่นทิฏฐิอันลามกนั้นรุนแรง กล่าวอยู่ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึง
    ธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น
    ดังนี้ จริง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวกข้าพระองค์ไม่อาจปลดเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิอันลามก
    นั้น จึงมากราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาค.
    [๔๔๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจง
    มา เธอจงเรียกสาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร ตามคำของเราว่า ดูกรท่านสาติ พระศาสดารับสั่งให้หา
    ท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงเข้าไปหาสาติภิกษุ แล้วบอกว่า ดูกรท่านสาติ
    พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน.
    สาติภิกษุรับคำภิกษุนั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้ว
    จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
    เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป
    ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
    สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค
    ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
    สาติภิกษุทูลว่า สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี
    ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ.
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า ดูกรโมฆ
    บุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความ
    เกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย
    ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดูกรโมฆบุรุษ
    ก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
    ตรัสสอบถามเรื่องสาติภิกษุผู้มีความเห็นผิดนั้น
    [๔๔๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจะ
    สำคัญความนั้นเป็นไฉน สาติภิกษุผู้เกวัฏฏบุตรนี้ จะเป็นผู้ทำความเจริญในพระธรรมวินัยนี้บ้าง
    หรือไม่?
    ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้จะมีได้อย่างไร ข้อนี้มีไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า.
    เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลอย่างนี้แล้ว สาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร นั่งนิ่ง กระดาก คอตก ก้มหน้า
    ซบเซา หมดปฏิภาณ.
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า สาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตร มีความเป็นดังนั้นแล้ว
    จึงตรัสกะเธอว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอจักปรากฏด้วยทิฏฐิอันลามกของตนนั้น เราจักสอบถามภิกษุ
    ทั้งหลายในที่นี้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ
    ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วเหมือนสาติภิกษุ กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาป
    มิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดังนี้หรือ?
    ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า เพราะวิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกัน
    เกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วแก่พวกข้าพระองค์ โดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ
    เว้นจากปัจจัย มิได้มี.
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดีละ พวกเธอรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงอย่างนี้
    ถูกแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้นเรากล่าวแล้ว โดยปริยายเป็น
    เอนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี ก็แต่สาติภิกษุ ผู้เกวัฏฏบุตรนี้ กล่าวตู่เรา
    ด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ความเห็นนั้น
    ของโมฆบุรุษนั้น จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
     

แชร์หน้านี้

Loading...