น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เราได้กล่าวพาดพิงถึงคุณเตชะไว้ในกระทู้
    http://palungjit.org/showthread.php?t=144680&page=23
    ดังนี้
    และขอนำคคหของคุณบุคคลทั่วไป 3 คน หรือก็คือ คุณเอกวีร์
    ที่แสดง คคห ไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันว่า

     
  2. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ก็แค่บอกว่าตอนนี้สอนอยู่ที่โรงเรียนไหน หรือไม่ได้สอนแล้ว
    ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องต้องลำบากใจให้ต้องทวงถามหลายครั้ง
    เพราะถ้าแน่จริงอย่างที่ทำกร่างท้าชาวบ้าน ก็บอกออกมาก็จบแค่นั้น^_^
     
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ตอนแรก งง นะว่าเอามาอ้างอิงทำไม แต่พออ่านในแง่จิตใจพวกคุณ ก็ อ๋อ

    เอามาเป็นประโยชน์แก่ตน ในการต่อว่า เตชปญฺโญ ภิกขุ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1463317", true); </SCRIPT>

    ก็ต้องขอแถลงให้ชัดๆ

    ผมไม่ได้สนับสนุนไปในทางที่จะไปว่าใครต่อใคร ว่าผิด หรือ นอกรีต
    นั้นเป็นการต่อว่าบุคคลที่ขาดการยั้งคิด มีความประมาท

    หากมีความสามารถกัน ก็ควรจะถกด้วยเหตุผล ใช้คำรัดกุม ไปเรื่อยๆ

    เพราะคนนอกรีตไม่มี มีแต่คนที่ยังไม่ได้สดับ และคนที่สดับแล้วแต่ยังไม่เห็น
    คนที่ชี้คนอื่นนอกรีต ก็เพราะยังชี้ให้เขาเห็นตามไม่ได้ หรือไม่ก็มีอะไรผิด
    พลาดสักอย่างหนึ่ง

    ถ้าเห็นกันแค่นี้ ก็จะมีเมตตาต่อกัน ค่อยแสดงธรรมให้สดับ รัดกุม เพื่อที่ว่าจะ
    ได้แลกทัศนะการเห็นไปเรื่อยๆ

    ธรรมะก็จะไหลไปไหลมา ถ่ายเทกัน จนเข้าใจวิธีพูดของกันและกัน เข้าใจอุบาย
    ธรรมของกันและกัน แล้วก็เสมอกันด้วยธรรมรส แต่ต่างพยัญชนะ
     
  4. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ความรู้ กับ ปัญญา นั้นต่างกัน
    เคยได้ยินคำว่า มีความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดมั้ยครับ
    นั่นแหละ ถ้าจะเอาความรู้มาเบ่งกันล่ะก็ ขอแนะนำให้ไปสุขา เบ่งได้สุดกำลังเลย แล้วก็นั่งดมกลิ่นตัวเองไป

    คนเก่าๆ ที่เข้ามา ท่านมีปัญญา มาก
    จึงไม่มาเสียเวลากับคนอย่างคุณ

    คนเก่าไปคนใหม่มา คุณก็ยังเป็นคุณ ไม่เปลี่ยน
    ถ้ามีปัญญามาก ผมอยากจะทราบว่าคุณได้เปรียญ 9 รึยัง
    คุณได้นักธรรมเอกรึยัง คุณจบด็อกเตอร์รึยัง อยากจะคุยกับคนที่มีปัญญามากๆ
    ก็อย่ามาเบ่งในเว็บนี้ เพราะคนที่มีปัญญาในเว็บนี้ เขาจะไม่มาเสียเวลากับคนที่มีปัญญาอย่างคุณ

    (ขออภัยท่านที่มาใหม่ หรือเพิ่งมาตอบ ไม่ได้ว่านะครับ แต่บอกก่อนว่าคุณอาจเสียเวลาเปล่า กับโมฆะบุรุษผู้นี้ เขามีอเวจีเป็นที่ไป มีโลกันต์เป็นที่พักที่อาศัย)

    ถ้าแน่จริง คุณกล้า ลงชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร จริงๆมั้ยล่ะ
    นายมันไม่แน่ ดีแต่ปาก เตชปัญโญ

     
  5. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    คุณ เตช
    ข้าพเจ้ารู้ว่าการคุยกับคุณคงไม่มีประโยชน์อีกแล้วเพราะคุณอ่านจับประเด็น "ไม่เป็น" เอาเลยจริงๆ แต่อย่างน้อยขอแสดงทัศนะกับบุคคลที่เปิดรับด้วยความหวังว่าเด็กนักเรียนที่หลงเข้ามาจะเจอความเห็นที่แตกต่างและพิจารณามากกว่ามุมมองเดียวที่คุณโต้
    จิตคือธาตุรู้มีอยู่อย่างนั้นมาก่อนแล้ว เชื่อว่าเกิดแต่เหตุค่ะ แต่เกิดเพราะเหตุใดเชื่อว่าสมเด็จพระทศพลญาณท่านรู้เจนจบแต่ท่านไม่ทรงสอนเพราะมันลึกซึ้งเกินที่จะอธิบายให้เราเข้าใจได้เป็นความรู้ที่มีเฉพาะพระพูทธเจ้าเท่านั้น (อจินไตย 4 จำได้ไหม) พระพุทธท่านทรงรู้ว่าสอนแค่ให้ดับทุกข์สิ้นเชื้อก็พอแล้วเขนาดสอนแค่นี้คนเรายังไมาเข้าใจหลงคิดหลงวิเคราห์วาดฝันเลย ทั้งๆที่ท่านสอนว่า ความคิด มันก็สักแต่ว่าเป็นอาการ ธาตุรู้ทำปฏิกริยา เท่านั้นเอง
    วิญญาณธาตุ หรือกายประสาทรูปเป็น ผลผลิตของการปรุงแต่งหรือกิริยาจิตของจิต(พูดง่ายๆคือเป็นลักษณะที่จิตเข้าไปทำปฏิกริยากับสิ่งกระทบค่ะ ปฏิกริยานี้ เรียกว่า อารมณ์จิต หรือ เจตสิกใน พระอภิธรรม) ดังนั้น วิญญาณ เกิดแต่เหตุและปัจจัยค่ะ
    ***ยอมรับหรือไม่ว่า "ตัวตนของเรา (จะเรียกว่า จิต หรือวิญญาณธาตุก็แล้วแต่จะเรียก) เกิดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ?***

    และ วิญญาณธาตุ และจิต ไม่ใช่ตัวตนค่ะ
    ส่วนคำคามที่ 3 ตอบไปแล้ว จริงๆ สิ่งที่ข้าพเจ้าโพสคราวนี้ ตอบไปแล้ว
    กรุณาบอกรายละเอียดของหนังสือด้วยนะคุณเตช
    ลาก่อนค่ะเราคงไปกันคนละทิศ บ้ายบายนะค่ะ
    ที่ลาไม่ได้หมายว่าจะไม่มาเยี่ยมพูดคุยเป็นระยะๆตราบใดที่ยังไม่ตายนะค่ะ

    คุณ บุคคลทั่วไป 3คน ค่ะ ขออนุญาตเสริมคำกล่าวนะค่ะ

    "คนที่ใช้ชื่อ ภิกขุ ท่านนั้น ก็เอาธรรมะมาจากพระอีกท่านหนึ่งที่เหมือนจะเห็นขัดแย้ง แต่
    เชื่อไหม คำว่า ตายแล้วสูญของพระอีกท่านหนึ่งนั้น ท่านก็พูดเหมือนกันใช้อุบายเดียวกัน
    คือให้ดูที่ชีวิตนี้ กายนี้ ภพปัจจุบันนี้ พอผ่านภพไปแล้วไอ้ชาตินี้ กายนี้ ภพปัจจุบันนี้ยัง
    มีอยู่ไหม ก็ต้องสูญ"
    เด็กที่เรียนวิทยาศาสตร์ย่อมทราบว่า E=mc^2 นั่นคือ เมื่อจิตออกจากกายไม่สูญค่ะ เพียงแต่ พลังงานเปลี่ยนรูปนะค่ะ
    การสอนใดๆใช้กุศโลบายได้ แต่ concept และหลักความเป็นจริงต้องคงอยู่ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2008
  6. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ก็ขอเรียนให้ทราบชัดๆเช่นกันว่า
    การที่ยกมาอ้างอิง เพราะเราได้กล่าวพาดพิงถึงคุณเตชะ
    ซึ่งคุณเตชะอาจไม่ได้เข้าไปที่นั่น เมื่อเรากล่าวพาดพิงถึงท่าน
    และมีคนแสดง คคห ในการที่เราพาดพิงนั้น
    จึงจำเป็นต้องยกมาแสดงที่ต้นทาง เพื่อคนที่ถูกพาดพิงจะได้รู้ และโต้แย้งได้

    และการยกมาอ้างอิงที่นี่ เป็นเรากระทำคนเดียว
    ดังนั้นจึงไม่ควรกล่าวว่า
    แต่พออ่านในแง่จิตใจพวกคุณ ก็ อ๋อ
    เอามาเป็นประโยชน์แก่ตน ในการต่อว่า เตชปญฺโญ ภิกขุ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1463317", true); </SCRIPT>
    เพราะท่านอื่นๆในที่นี้ หาได้รู้เรื่องด้วยไม่

    เมื่อเรากระทำคนเดียว เราย่อมต้องกล้าที่จะรับผิดชอบในคคหที่เราแสดงไว้ในบอร์ด
    ไม่ว่าจะเป็นกระทู้ไหนก็ตาม คคห นั้นย่อมต้องนำไปใช้ในการอ้างอิงได้
    แต่ถ้าเจ้าของ คคห คิดว่า คคห ได้เปลี่ยนไปจาก ณ วันแสดงนั้นๆ
    ก็ย่อมจะมาแจกแจงแก้ไขชี้แจงให้เพื่อนๆในบอร์ดได้ทราบได้เช่นกัน ^_^
     
  7. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ใครกันแน่ที่อ่านไม่ดีเราอ่านที่เค้าเขียนทุกหน้าแหละ<O:p</O:p
    และมีแจกแจงแสดงความเห็นคัดค้านไปหลายบท<O:p</O:p
    (แต่ยังไม่หมด เพราะมัวมาตอบอยู่ที่นี่)<O:p</O:p
    <O:p
    คุณเองหรือใครๆก็ต้องรู้กันทั้งนั้นแหละค่ะว่า<O:p</O:p
    ต้องตายเน่าเข้าโลงทุกคนไม่มีเว้นแม้อริยบุคคล แล้วต้องไปยึดทำไม<O:p</O:p
    <O:p
    แต่ที่คุณนอกรีตสอนน่ะ คือว่า<O:p</O:p
    สอนว่ามันสูญมาตั้งแต่ยังไม่ตายเพราะมันไม่มีอะไรๆหรือใครๆเลย<O:p</O:p
    ทุกสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัย พอตายหมดเหตุปัจจัยก็จบไม่มีอะไรไปเกิดใหม่<O:p</O:p
    <O:p
    เด็กๆเยาวชน ถูกบังคับให้เรียนหลักสูตรนี้ ก็จะถูกตกเขียวให้เห็นตามเป็นอย่างนั้น<O:p</O:p
    ว่าแท้จริงมันไม่มีอะไรหรือใครๆเลยกรรมดีกรรมชั่วก็เท่าที่เห็นด้วยตา<O:p</O:p
    ตายไปก็ไม่ต้องชดใช้กรรม สังคมก็จะสับสนวุ่นวาย<O:p</O:p
    ก็จะหาแต่ประโยชน์ใส่ตน ไม่คิดเรื่องบาปบุญคุณโทษ<O:p</O:p
    ใครมือยาวสาวได้สาวเอา เพราะความเห็นว่าไม่มีตัวตนจะไปกลัวอะไร<O:p</O:p
    นรกสวรรค์ไม่มีจริง สุขทุกข์แค่ที่เห็นเฉพาะหน้า เสพสุขกันให้เต็มที่ไปเลย ^_^
     
  8. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เคยอ่านอะไรรู้เรื่องมั้ยเนี่ย<O:p</O:p
    พระอาจารย์ที่ท่านเป็นต้นแบบ ท่านสอนให้ดูปัจจุบัน อย่าไปสนใจชาติหน้า-นรก-สวรรค์<O:p</O:p
    แต่ท่านไม่ได้ปฏิเสธภพภูมิ ท่านเชื่อว่ามี<O:p</O:p
    แต่ท่านเน้นว่าถ้าปัจจุบันเราทำดี มีสติ ก็จะไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องนรกสวรรค์หรอก<O:p</O:p
    อันนี้ท่านสอนระดับชาวบ้าน ^_^
     
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตรงนี้อ่านดูให้รอบคอบค่อยเขียนก็ได้ อย่าสักแต่อ่านตอนท้าย<O:p
    เราแจกแจงแสดงเหตุผลไปไม่รู้กี่หน้า ไม่เคยรับฟัง<O:p
    แถมตอนแรกๆคอยเรียกหาอีกแหนะ คุณโยมธรรมะสวนังว่ายังไง...<O:p
    คุณโยมหนีไปแล้วหรือ...ก็เลยบอกให้รู้ว่า ไม่หนีไปไหนหรอก ยังไม่ ๑๐๐ หน้าเลย<O:p
    <O:p
    แล้วเราก็เอาเหตุผลมาคัดง้างกับที่ท่านแสดงความเห็นบทที่ ๑ เรื่องตายแล้วสูญ<O:p
    ว่าควรเป็นอย่างไร ก็เห็นท่านเงียบฉี่ ไม่เห็นโต้แย้ง<O:p
    55+และไม่เห็นเรียกหาคุณโยมให้มาตอบอีกเลย...<O:p
    <O:p
    แต่เบี่ยงประเด็นเป็นท้าคนในบอร์ด ว่าไม่เป็นคนจริง<O:p</O:p
    เป็นคนจริงก็แจ้งฟ้องอาตมาสิ
     
  10. มโนปุพพังคมา

    มโนปุพพังคมา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +92
    พุทธศาสตร์ต้องพิสูตรด้วยพุทธศาสตร์ หาใช้วิทยาศาสตร์พิสูตรทั้งหมดได้ไม่ เพราะวิทยาศาสตร์เน้นทางวัตถุเกินไป....การเอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายพุทธศาสตร์จึงไม่สามารถจะอธิบายได้ลึกซึ้ง เพียงอธิบายได้บางส่วนเท่านั้น
    ...คิดเห็นประการใดบ้างครับ....
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อุตาสาห์อธิบาย ก็บอกแล้วว่า มันเป็นอุบาย

    หลวงพ่อสายฤทธิ์ ท่านก็ใช้อุบาย แทนที่จะให้ศิษย์ ไปเข้าใจ ไปเห็น รูปนาม มันก็เกิน
    ความเข้าใจในเบื้องต้น สำหรับคนพึ่งฝึก ท่านก็พูดอนุเคราะห์ ให้นึกว่า กายเนื้อ คือ รูป
    ไปเลย ทั้งๆที่ เราก็รู้กันว่า ไม่ใช่ แต่เพื่ออนุโลม เป็นอุบาย ก็ไม่ขัด

    พระสายพุทธทาส ก็เหมือนกัน สอนชาวบ้านเหมือนกัน จะพูดเรื่องภพชาติ การเวียน
    ว่ายตายเกิด มันก็เกินความเข้าใจ หากพูดให้เข้าใจก็จะติดแต่การทำบุญ ทำทาน ไม่
    เข้ามาปฏิบัติ ไม่เริ่มปฏิบัติ ก็ต้องออกอุบาย ว่า ภพ ชาติ กาย ไม่มี ซึ่งหากไปอ่าน
    คำนิยาม ท่านก็บอกชัดเจนว่า เป็นอุบายให้เข้าใจง่ายๆ และให้หมายถึง ภพ ชาติ กาย
    เนื้อในปัจจุบัน ที่เป็นกันอยู่ ณ ปัจจุยบัน อดีต อนาคต ดูไม่ได้ เกินความสามารถ ก็
    ดูมันลงปัจจุบัน ก็เป็นอุบายธรรมเสมอกัน ทั้งสองสายนั้นแหละ แถมวิธีเดียวกัน เพราะ
    กลุ่มคนฟังธรรมเหมือนกัน คือ ชาวบ้าน ไม่ได้สอนนักปริยัติ นักปฏิบัติธรรม

    ส่วนหนังสือธรรมโฆษ นั่นก็เพื่อสอนพระให้ไปพูดกับฟรั่ง ฟรั่งเขาไม่ได้เชื่อเรื่องวัฏสงสาร
    ดังนั้น ก็ต้องมีอุบายในการตล้อมสอน ซึ่งก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิด เพราะสอนแบบอ้อมๆ
    ใครมีศรัทธาถูก ก็ค่อยสอนอีกขั้น ไปเรื่อยๆ

    ก็เป็นเรื่อง อุบาย สอนโดยลำดับ ไปทีละขั้น ไม่ลักลั่นเสนอแต่ส่วนสุด คนไม่เคยรู้ ไม่เคย
    เห็น ไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน ที่ไหนจะทนฟังได้ ก็ต้องสอนกันแบบแยบคายมีอุบาย
    และมีการเปิด ไม่ใช่ประโยคปิด

    มันเลยดูกำกวม แต่คุณต้องเข้าใจว่า ทั้งหมดล้วนเป็นอุบายในการสอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2008
  12. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อย่าง มหายาน นั้นก็สอนส่วนสุดเลย สอนมหาสุญญตาไปเลย หากเราไม่เข้า
    ใจอุบายของเขา ก็ต่อว่าเขา กล่าวหาเขาว่าไม่พิจารณาขันธ์ 5

    หากไม่พิจารณาขันธ์ 5 ก็จะไม่เห็นนิพพานจริง แต่จริงๆแล้ว คำสอนของเขา
    เขาสอนขันธ์ 5 แต่หลบด้วยการใช้รูปคำศัพท์แบบประโยค ถ้าอ่านไม่ดีก็คิดว่า
    เขาไม่สอนเรื่องขันธ์ 5 รูป-นาม
     
  13. มโนปุพพังคมา

    มโนปุพพังคมา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +92
    เปรียบเหมือนการขึ้นเขา ... จุดมุ่งหมายก็คือยอดเขา... แต่ทางขึ้นมิได้มีทางเดียว.. ....
    สาธุครับผม....
     
  14. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    อนุโมทนากับคำตอบของท่านธรรมะสวนัง อีกรอบครับ
    (ถ้าเกินเยียวยาก็ อุเบกขานะครับ)


    ส่วนท่าน"บุคคลทั่วไป 3 คน" ที่เข้าใจว่า นี่เป็นอุบายการสอนของท่านเตชปัญโญ ก็ขอให้ลองอ่านดูให้หมด จะเข้าใจว่า ท่านเตชปัญท่านปฏิเสธโลกหน้า,ปฏิเสธนรก,สวรรค์ จริง (ตายแล้วสุญ),สอนไม่ให้เชื่อพระไตรปิฏก ฯ

    แค่นี้แหละครับ
     
  15. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คำพูดถ้ายังไม่พูดออกไป เราเป็นนายเรา
    แต่ถ้าพูดพล่อยๆออกไปแล้ว มันจะเป็นนายเรา

    ขอบพระคุณคุณmansonมากๆนะคะที่เป็นห่วง
    เราเองไม่เคยแบกปัญหาออกนอกจอสี่เหลี่ยมหรอกค่ะ
    เขียนตอบแล้วก็จบอยู่ที่นี่ค่ะ

    ขอบคุณค่ะ ^_^
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    พุทธศาสตร์ต้องพิสูตรด้วยพุทธศาสตร์ หาใช้วิทยาศาสตร์พิสูตรทั้งหมดได้ไม่ เพราะวิทยาศาสตร์เน้นทางวัตถุเกินไป....การเอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายพุทธศาสตร์จึงไม่สามารถจะอธิบายได้ลึกซึ้ง เพียงอธิบายได้บางส่วนเท่านั้น
    ...คิดเห็นประการใดบ้างครับ....

    ---------------------------------

    ***แล้ววิธีของพุทธศาสตร์ นั้นพิสูจน์อย่างไร? ช่วยอธิบายด้วย***

    ***หลักตรรกะ(เหตุผล)นั้นเป็นหลักในการแสดงธรรมของพุทธศาสนา***

    ***ไม่มีวิธีการใดที่จะดีไปกว่าตรรกะ***

    ***แต่การพิสูจน์ก็คือการทดลองปฏิบัติจริงเท่านั้น ซึ่งมันตรงกับหลักวิทยาศาสตร์***

    ***วิทยาศาสตร์จึงเป็นหลักในการค้นหาความจริงที่ดีทึ่สุด ไม่มีวิธีการใดที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้วในปัจจุบัน***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  17. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งหลุดพ้นจากโลก
    ส่วนวิทยาศาสตร์ทางโลก ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งติดอยู่ในโลกมากขึ้น (เพิ่มความสะดวกสบาย ความฯลฯ)

    เพราะ
    โลกในความหมายของพระองค์ คนละความหมายกับ โลกของนักวิทยาศาสตร์

    โลกในความหมายของพระองค์ คือ หมู่สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น
    โลก ก็คือ อารมณ์ ก็คือ ทุกข์
    ก็คือ จิตที่ถูกอวิชชาครอบงำ ติดข้องอยู่ในอารมณ์ ( กามาพจรจิต รูปาพจรจิต อรูปาพจารจิต ) เป็นโลกียธรรม
    ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ( กิเลส กรรม วิบาก )

    พระองค์ปฏิบัติทางจิต ( อริยมรรคมีองค์ ๘ ) ตรัสรู้อริยสัจ ๔
    จิตพ้นจากโลก พ้นจากอารมณ์ หรือ พ้นจากทุกข์ นั่นเอง
    จิตหลุดพ้นจากการถูกอวิชชาครอบงำ พ้นจากการติดข้องในอารมณ์ ( คือ พระนิพพาน) เป็นโลกุตรธรรม
    ทรงพ้นจากโลก ออกนอกโลก อยู่เหนือโลกแล้ว ไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์

    ดังนั้น จึงกล่าวว่า
    ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งหลุดพ้นจากโลก
    คือ หลุดพ้นจากทุกข์ พ้นจากการติดข้องในอารมณ์ (พ้นจากโลก ออกนอกโลก อยู่เหนือโลก) นิพพาน นั่นเอง
    แต่คนทั่วไป มักเข้าใจความหมายของคำว่า โลก ในแบบที่เรียนรู้มาทางวิทยาศาสตร์
    พอบอกพระองค์อยู่เหนือโลก ก็มโนภาพไปว่าพระองค์คงจะอยู่ที่..ฯลฯ...เหนือจักรวาล เป็นต้น

    ความจริงนักวิทยาศาสตร์ ค้นคว้าทดลองปฏิบัติออกนอกโลกเหมือนกัน แต่ไปดวงจันทร์ ดาวอังคาร ฯลฯ
    ซึ่งเป็นคนละความหมายกับของพระพุทธองค์ ^_^

    สรุป
    ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นการปฏิบัติทางจิต
    ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘ เพื่อจะได้พ้นจากโลก ออกนอกโลก อยู่เหนือโลก(พ้นทุกข์นั่นเอง )

    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    บุคคลมีตนที่ฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นได้โดยยาก

    ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ใครก็ทำแทนไม่ได้
    และเป็นการปฏิบัติทางจิตนั่นเอง...
    จึงว่าธรรมะของพระพุทธองค์เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งหลุดพ้นจากโลก
    ไม่ใช่ใช้ตรรกะคิดและเห็นด้วยตาหรือแค่รู้สึกสัมผัสได้เท่านั้น ^_^
     
  18. มโนปุพพังคมา

    มโนปุพพังคมา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +92
    กาลามสูตร
    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได (มา ภพฺพรูปตาย)
    10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
    ..วิทยาศาสตร์เพียงเห็นและย่อมรับในสิ่งที่มังสะจักษุ คือตาเนื้อธรรมดาๆ นี้สามารถเห็นได้
    ..แต่พุทธศาสตร์ลึกซึ้งกว่านั้นมากมาย จึงต้องเห็นแจ้งด้วยญาณจักษุที่ละเอียดกว่า....
    ...สรุปวิทยาศาสตร์แม้จะมีหลัการคล้ายกับพุทธศาสตร์ แต่หาได้ละเอียดลึกซึ้งเท่าพุทธศาสตร์ไม่ การเอาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ มาพิสูตรพุทธศาสตร์จึงทำได้เพียงบ้างส่วนเท่านั้น
    ...การทดลองปฏิบัติจริงจังต้องทดลองในวิถีทางแห่งพุทธศาสตร์......
    ..คิดว่าคงเข้าใจนะครับ..
    ..**โปรดอ่านที่ขีดเส้นใต้แล้วพิจารณาดูนะครับ**
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2008
  19. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***วิทยาศาสตร์คืออะไร?***​

    ***วิทยาศาสตร์คือความรู้ที่เกิดมาจากการสังเกตุปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง***

    ***หลักของวิทยาศาสตร์ก็คือ มีเหตุผล คิดอย่างเป็นระบบ เชื่อจากสิ่งที่ได้พิสูจน์จนบังเกิดผลขึ้นมาจริงๆแล้วเท่านั้น***

    ***วิทยาศาสตร์ก็มีทั้งทางวัตถุและทางจิต ซึ่งทั้งสองทางก็ล้วนใช้หลักเดียวกัน***

    ***ส่วนการเชื่ออะไรโดยยังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นจริง ไม่จัดว่าเป็นวิทยาศาสตร์ (จะเป็นการเดา)***

    ***แม้การกล่าวอะไรอย่างไร้เหตุผลที่สมเหตุสมผล ก็ไม่จัดว่าเป็นวิทยาศาสตร์อีกเหมือนกัน***

    ***พุทธศาสนา ก็มีหลักการเดียวกับวิทยาศาสตร์***

    ***พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หลักวิทยาศาสตร์ แต่คนสมัยนั้นเขาถูกไสยศาสตร์(วิชาของคนหลับไหล งมงาย)ครอบงำมาก่อน จึงยากที่จะมีใครเข้าใจหลักวิทยาศาสตร์ ที่เป็นหลักความจริงที่คนมีปัญญาไม่ปฏิเสธได้***

    ***แม้มาสมัยนี้ไสยศาสตร์ก็ยังครอบงำผู้คนอยู่ แต่ก็ยังเรียกว่าตัวเองเป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่เป็นไสยศาสตร์อยู่เต็มตัว***

    ***ความเชื่อใดที่ยังพิสูจนืไม่ได้ ความเชื่อนั้นยังไม่ใช่วิทยาศาสตร์***

    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***การอธิบายธรรมะ จำเป็นหรือไม่ว่าต้องใช้ภาษาบาลี หรือสันสกฤตเท่านั้น***

    ***เรามาใช้ภาษาไทยพื้นๆง่ายๆได้หรือไม่?***

    ***และจำเป็นหรือไม่ว่าต้องศึกษาธรรมะอย่างมากมาย เราจึงจะบรรลุธรรมได้***

    ***การฟังธรรมเพียงแค่ประโยคเดียว โดยไม่เคยศึกษาธรรมะใดๆมาก่อนเลย สามารถทำให้บรรลุธรรมได้หรือไม่?*/**

    ***ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดมาแต่เหตุ(ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้โดยไม่มีเหตุ)***

    ***สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นย่อมดับ (ไม่มีทางที่จะเกิดมาแล้วไม่ดับ )***
    -----------------------------------------------------------------
    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
    -----------------------------------------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...