วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็ตามที่บอกละครับคุณ สมถะ จะเห็นว่า ต่างกันมาก ดังนั้น ก็จบไว้ที่ความต่างกัน

    ซึ่งก็พอเพียง

    แปลว่า ไม่ได้คิดจะหักล้างอะไร แค่นำเสนอความต่าง ในส่วนที่ผมแสดง ถ้ามีตรง
    ไหนผิดพลาดนี้ อ.ขันธ์ จะกล่าวแก้ให้ผมได้ เพราะรู้ของท่านชัดกว่า

    ก็เป็นอันว่า เราแลกเปลี่ยนทัศนะกัน แต่แลกแล้ว จะไม่เข้าใจกัน ก็ขอให้เป็นการไม่
    เข้าใจในตัวหนังสือที่สื่อ ไม่ใช่ไม่เข้าใจกันและกัน

    ส่วนบางครั้ง ผมก็พูดจาหว่านล้อม เหมือนจะดึงมา ก็ไม่ใช่เพื่อหักล้าง เป็นเพียง
    อยากดึงมา ก็ตามประสาปรกติ อันนี้ต่างคนก็ต่างแสดง
     
  2. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ภาษาสมมติ มันมีอุปสรรคเสมอ

    ก็ตามนั้นครับ อย่างคำว่า มานะ ถ้าอยู่กับ มานะอดทน อันนี้เป็นคำดี

    คำว่า มานะ ถ้าออกจากปากคนที่เราไม่ชอบ มันก็ร้าย

    คำว่า มานะ ถ้าออกจากปากคนที่พอรู้จักกัน มันก็ไม่มีอะไรให้สั่นไหว

    คำว่า มานะ ออกจากผม แล้วทำให้เข้าใจผิด อันนี้ธรรมดา
    เพราะผมสื่อสารแปลกๆ อ่านแล้วงงเองก็มี

    :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณสมถะ กำลังจะไหลไปอีก เพราะว่า คำถามที่ว่า ปฏิจสมุบาท นั้นธรรมกายจะอธิบายอย่างไร นั้นข้อหนึ่ง

    ข้อต่อมา คำถามที่ผมถามว่า นามธรรมนั้น คุณจะสังเกตุได้อย่างไร คุณตอบว่า ถ้าละเอียดแล้วจะเห็นเป็นรูป
    และอภิธรรม เรียกจิตเป็นดวง

    อันนี้ ผมจะตั้งข้อสังเกตุให้อย่างหนึ่ง ข้อที่ว่า จิตเป็นดวงนั้น เป็นการสร้างคำอธิบาย หรือ คำเรียก เป็นเหมือนสรรพนาม เช่นว่า ช้าง 1 เชือก หินหนึ่งก้อน และ หากเห็นเป็นดวงจริง ในสภาวะที่คุณเห็นนั้น คุณจะต้องเห็น นามธรรมทุกอย่างที่เต็มไปขนาดนั้น ไม่ใช่เห็น แค่อย่างสองอย่าง และนามธรรม อันเป็นความรัก ความหลง ความทุกข์ โสกา และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้ง ความคิดต่างๆ คุณจะต้องเห็นมันเป็นดวงทั้งหมด
    ถ้าแบบนี้ คุณอาจจะต้องเพี้ยนก่อน เพราะมันมากมายเหลือเกิน


    ทีนี้ก็ ต้องคิดไปสิว่า คำตอบของคุณ นั้น มันไ่ม่ได้เป็นไปเพื่อคนทั่วไปได้เลย เพราะว่า หากคนจะเห็นธรรมแล้วจะต้องเห็น อะไรเป็นรูปเช่นนั้นแล้ว พระสารีบุตร ฟังธรรมทีเดียวคงไม่บรรลุธรรม

    หรือ พระเจ้าสุทโธทนะฟัง ธรรมจากพระโอษฐ์ คงไม่บรรลุธรรม เพราะต้องรอจนกว่าจะเห็น ดวง จิตดวงอะไรที่คุณว่ามา

    ประเด็นคือ ความจริงที่เกิด นั้นปรากฎกับใจคุณแล้ว คุณเห็นมันเกิด มันดับหรือไม่ เท่านั้น
    คุณจะมาบอกว่า วิธีของคุณดีกว่า เพราะมีอยู่ในอภิธรรม หรือละเอียดกว่า เพราะว่าเห็นได้มากกว่า ข้อนี้ผมขอค้านเพราะว่า หลักฐานคุณ มีไม่พอที่จะบอกว่า พระพุทธองค์ บอกให้เห็น นามธรรมเหล่านี้เป็นรูป
     
  4. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    พระพุทธภาษิต

    <!--coloro:#FF6600--><!--/coloro-->ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คูหาสย เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพพฺธนา<!--colorc--><!--/colorc-->

    คำแปล
    <!--coloro:#993300--><!--/coloro-->จิตนี้เที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีสรีระ, มีคูหา(คือกายเป็นที่อาศัย) ผู้ใดจักสำรวมจิต ผู้นั้นย่อมพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร<!--colorc--><!--/colorc-->


    คุณขันธ์ครับ จิตแม้พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสว่าเป็นดวง อยู่ในกายที่เป็นคูหา การเห็นจิตในจิตนั้น เห็นได้ครับ เห็นอารมณ์ที่มากระทบใจนั่นเจตสิกครับไม่ใช่จิต จิตเกิดดับก็เห็นจิตเกิดดับ เจตสิกเป็นอารมณ์ใจ การเห็นด้วยญาณทัสสนะนั่นชั่วพริบตาก็เห็นจิตเกิด-ดับได้มหาศาลแต่พอนับได้ ดังนั้นนอะไรที่คุณไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นก็ไม่ทราบดอกว่ามันละเอียดพิสดารขนาดไหน จิตนี่เป็นดวงครับรับรู้ได้ ถ้าจิตเราสงบระงับอารมณ์ใจจะเกิดแค่ไหนท่านให้พิจารณาให้เห็นจริงให้ได้ครับ


    ถ้าคุณเข้าใจเรื่องจิตและความเร็วของจิต การเห็นจิตในจิตคุณจะเข้าใจ เห็นจิตในจิตต้องใช้ญาณทัสสนะอันไม่มีนิวรณ์เข้าไปเห็น ทีนี้คนที่บรรลุธรรมเพราะฟังธรรมจากพระพุทธองค์นั้น คุณอย่าลืมครับ และอย่ามั่วด้วย คนที่บรรลุเร็วนั้นท่านฝึกฝนเรื่องการดูจิตในจิตมานับไม่ถ้วนชาติภพแล้วบารมีเต็มส่วนแล้วเหมือนน้ำที่จะล้นเขื่อนเพียงพระพุทธองค์ทรงเปิดประตูเขื่อน(ใจ)น้ำก็ไหลออกมา นี่ยกตัวอย่างผู้มีบารมีเต็มส่วน แต่ถ้าจะพิจารณากันจริงๆ ส่วนใหญ่พระพุทธองค์ทรงสอนให้บรรลุในระดับหนึ่งก่อน แล้วจึงไปทำความเพียรให้หมดกิจจบพรหมจรรย์จนถึงอรหันตผลอีกที ตรงนี้มีมากรายอยู่ แสดงว่าคุณขันธ์ไม่เคยเรียนรู้เรื่องญาณทัสสนะเอาเสียเลย ไม่รับรู้ความไวแลความรวดเร็วของจิตเอาเสียเลย เอ...คุณฝึกจิตมาอย่างไรจึงมองเรื่องของจิตไม่ถูกตรงตามเป็นจริงได้ล่ะครับ


    คุณขันธ์ครับ พิจารณาอย่างคุณบุคคลทั่วไปฯ ได้น่ะ ยังชื่อว่าน่าคบกว่าการพิจารณาแบบคุณขันธ์อีกนะครับ มันแสดงถึงความไม่รู้เดียงสาของเรื่องจิตในจิตเอาเสียเลย แค่เวลา 1 นาที คนเราคิดได้กี่เรื่องครับ ต้องถึงกับเป็นบ้าไหมครับ ถ้าจิตสงบ 1 นาทีรู้เห็นอารมณ์ใจได้มากมายครับ ญาณทัสสนะที่เห็นจิตในขณะที่จิตสงบมีพลังขนาดไหน มันจะเป็นบ้าได้ไงครับ โธ่เอ๋ย...ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันเนี่ยะ...?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  5. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    เอาล่ะผมขอพักก่อนนะครับ คุยกับคุณขันธ์นี่ก็สนุกดี คุณยังไม่รู้อะไรอีกเยอะครับคุณขันธ์ ยิ่งคุยกับคุณก็เห็นความจริงถึงราคาคุยของคุณมากขึ้น


    ถ้าผมมีเวลามากกว่านี้ ไม่ติดภาระกิจอะไรมากนัก การคุยแบบนี้ไม่ยากเลย แต่ที่ผมไม่อยากคุยนั้น เพราะเห็นว่าพื้นฐานความรู้ของคู่สนทนายังขาดๆ เกินๆ อยู่มากนัก โดยเฉพาะเรื่องของวิชชาธรรกมาย ผมจึงต้องนำเสนอข้อมูลให้ทราบก่อน


    วิชชาธรรมกายนั้นเริ่มต้นด้วยการฝึกตามหลักกัมมัฏฐาน ๔๐ วิธีของพุทธศาสนา และเมื่อฝึกจนกระทั่งเห็นกายในกายแล้ว ก็ฝึกต่อในขั้นของสมถะและวิปัสสนา ฝึกเข้าไปในเรื่องของสติปัฏฐาน ๔ เราต้องยกย่องสติปัฏฐาน ๔ เพราะผู้ฝึกแนวธรรมกายก็ฝึกสติปัฏฐาน ๔ เช่นเดียวกัน เรียกว่าฝึกไปตามหลักโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ในขั้นวิปัสสนาเราก็ต้องใช้ญาณทัสสนะไปเห็นวิเศษเห็นวิภาคเป็นส่วนๆ ในเรื่องของ ธาตุ ขันธ์ อายตนะ อินทรีย์ ฯลฯ จนกระทั่งประหารกิเลสเป็นสมุปเฉทประหารนั่นเองครับ


    สำหรับวิชชาธรรมกายเราเน้นฝึกให้เห็นกายในกายคือเห็นรูปนามส่วนละเอียดให้ได้ก่อน ผู้ฝึกสามารถแสดงฤทธิ์ได้เพราะฝึกแบบเจโตวิมุตติ ถ้าบรรลุธรรมก็จะบรรลุแบบเจโตวิมุตติเป็นส่วนใหญ่ เรื่องนี้มีรายละเอียดมากมายนัก ขอให้ท่านผู้สนใจค่อยๆ ศึกษาไปเป็นลำดับ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไปตามข้อมูลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขอจงยั้งคิดเสียก่อนว่า เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เราจะกล่าวเพียงความเห็นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ควรหรือ...? ที่ถูกที่ควรคือ เราต้องลงมือปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมเถิด แล้วเมื่อเราได้รับผลของการปฏิบัติคือปฏิเวธธรรมแล้ว นั่นแลประเสริฐที่สุด


    เอาล่ะผมขอพักก่อนนะครับ พรุ่งนี้มีเวลาแล้วค่อยคุยกันใหม่
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไปพักผ่อนเถอะครับ แล้วพรุ่งนี้กลับมาตอบคำถาม ของผมก่อนนะ อย่าเพิ่ง เอาภาษิตพระพุทธองค์แค่บางคำมา
    คำถามที่ผมแย้งไป ให้ท่านตอบว่า จริงหรือไม่ก่อน
    รวมถึงปฏิจสมุบบาท ที่ท่านจะใช้หลักแห่งธรรมกายมาอธิบาย
     
  7. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    อ้างอิงคุณขันธ์

    คุณ เต้าเจี้ยว คุณตอบมา

    1 คุณโกรธเคือง ผม และผูกโกรธผมมา เกือบสองปี แล้วจริงหรือไม่
    ทุเรศน่ะ เรื่องจริง ไม่ทักก็มาเรียก ไม่อยากยุ่งหรอก ที่เข้าไปยุ่ง เพราะเห็นอริยะอย่างคุณด่าคนไปทั่ว เคยบอกแล้วนิ หัดพัฒนาข้อมูลใหม่นะ

    2 คุณ เอาแต่ กล่าวว่า นายขันธ์ ไม่รู้จริง โดยที่ไม่มีเหตุผล อะไรมารับรองคำพูดคุณเลยจริงหรือไม่
    คุณไม่สามารถบังคับให้คนอบย่างดิฉันเชื่อในธรรมคุณได้หรอกนะ ธรรมเท่าหางอึ่งของคุณเอาไปหลอกคนอื่น ที่ว่าตามแก้ของดิฉันน่ะ อย่ามุสาไปเลย คุณล่วงเกินอริยะชันสูงมาก็มาก ดิฉันยกคำสอนของท่านมา คุณยังด่าหยาบคาย ชะโงกดูเงาหัวตัวเองซะ ดิฉันควรจะเชื่อธรรมของผู้สูง หรือคนอย่างคุณ

    3 คุณ เอาแต่ตาม มาว่าผมในทุกกระทู้ เป็นเวลา หลายๆเดือนแล้ว จริงหรือไม่
    นานๆ เข้ามาที เห็นพฤติกรรมอุบาว์ทของคุณก็แจมซะหน่อย เสียเวลาจะตายไป อย่าสำคัญตนผิดไปเลยนะจ๊ะ

    4 คุณ จับผิดผมในเรื่องเล็กน้อยจริงหรือไม่
    ถ้าไม่ผิด ไม่ว่าหรอกนะ ที่ผิด หลายคนเขาเข้ามาเตือน คุณเคยเชื่อใคร คุณมันเจ๋งสุดนี่ ธรรมทุเรศของคุณน่ะ เรื่องเล็กน้อยเหรอ เห็นมีแต่จะโชว์ ผมอริยะ มาอนุโมทนาผมจะได้บุญ เที่ยวว่าคนอื่นปุถุชน รู้ใจเขาอีกด้วยนะ สาบแช่งคนไปทั่ว ทำตัวควรเป็นอริยะหรือ

    5 คุณ เอาความรู้สึกส่วนตัว เข้ามาปน กับการโต้แย้งธรรมกายของผม จริงหรือไม่
    เรื่องธรรมผิดถูกนี่ว่าตามนั้น ขนาดผิดๆ ยังไม่อยากยุ่ง เพราะคุณไม่มีปัญญาในการแยกธรรมออก นอกจากตะแบงไป เสียเวลาเสวนา
    แต่ถ้านิสัยคุณล่ะก็ ย่อมสร้างอารมณ์ให้เกิดกับคนหลายคนแน่ เหอๆ อริยะใหญ่ ... ยอมอารมณ์แปรปรวนตลอด ด่าใครน่ะ ดูคนหน่อยนะ คิดว่าเขาปุถุชนกิเลสหนาไปหมด สมควรหรือ ?

    6 จนถึงข้อความ สุดท้าย นี้ คุณก็ยังบอกในทำนองที่ว่า นายขันธ์ อวดอุตริ และ ไม่ควรเชื่อถือ แต่คุณไม่ได้ ควบคุมประเด็นและ แยก ระหว่างข้อเท็จจริงกับอารมณ์เลย จริงหรือไม่
    คุณอวดอุตริมนุสธรรม อวดธรรมที่ไม่มีในตน ต่อให้เป็นอริยะก็อย่าอวดในสิ่งที่ตนไม่มี กล่าวหาคนนั้นทำเช่นนั้นเช่นนี้ จิตนิ่งไม่พอจะดูใครออกเลยด้วยซ้ำ แล้วเรื่องรู้ใจใครนี่ อย่าโม้ เท่าที่เห็น มีแต่ความฟุ้งซ่าน

    ตอบแล้ว หัดมองตนบ้างนะ อริยะ

    คุณสามารถ ยกความสงสัยของคุณ ไปตั้งกระทู้ใหม่ได้ ดิฉันจะตอบให้อีก..

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  8. taengmostudio

    taengmostudio สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +17
    1.สภาวะที่ใจสงบนั้นท่านเคยสัมผัสหรือไม่ อย่างไรที่เรียกว่าอาการใจสงบ
    อาการใจสงบที่สัมผัสอยู่คือ เมื่อสังโยชน์ที่เคยมาอาศัยเราอยู่มันหายจากเราไปแล้ว และไม่เคยหวี่แววมันจะกลับมาอีกตั้งหลายปีมาแล้ว นี่แหละที่เรียกว่าใจสงบ
    2.
    วิปัสสนาของท่านเพียงแค่ดูธรรมชาติของปัจจัยปรุงแต่ง แล้วท่านเห็นขบวนการของไตรลักษณ์อย่างไร
    ขอรวมไปตอบกับข้อ 5
    3.
    สิ่งที่ท่านรู้เห็นแล้ว มันทำให้กิเลสเบาบางลงหรือหมดไปได้แค่ไหน
    อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจคำถามรู้สึกว่ากว้างไป ถ้าตอบทั้งหมดกลัวว่าจะยาวไป
    ตอบแบบสั้นรวบๆนะ กิเลสตัวไหนที่รู้แล้วละแล้ว มันตายแล้วตายเลยไม่ฟื้นกลับมาอีกเลย คือสังโยชน์ที่ละแล้วมันก็จบไปแล้วไม่กลับมาอีก
    4.
    ท่านยอมรับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ อย่างไร แบบไหน
    ภพ ภูมิที่ว่านี้คือขอบเขตแค่ใหน มีโอปะปาติกสัตว์ด้วยหรือเปล่า หรือแค่ จิตกำเนิด พรม เทวดา มาร เปตร อสูรกาย สัตว์นรก หรือว่าหมายเอาแค่วิญญาณของคนเปลี่ยนร่างคือตายจากชาตินี้แล้วไปอาศัยท้อง มารดาอันอื่นถือกำเนิดอีก ภพภูมิที่ผมว่ามา มีอยู่จริง และผมก็รู้จักดี การเวียนเกิดเวียนตายก็เป็นเรื่องจริง
    5.
    ท่านปฏิบัติธรรมตามแบบของท่าน โดยใช้แนวปฏิบัติภาวนาอย่างไร
    ปฏิบัติ ด้วยการเดินโพชฌงค์ 7 และรวมไปจนถึงโพธิปักขิยธรรม 37 เพราะมันแยกกันไม่ออกมันไปตามสาย อธิบายคร่าวๆ คือเมื่อเราเดินสติสัมโพชฌงค์อยู่ทุกการกระทำของเรา เวลามีอะไรมากระทบผัสสะกับอายตนะไม่ว่าทางใหนปั้บเราก็เดินธัมวิจยะต่อ วิจัยอาการของจิต อารมณ์ ความรู้สึก เรียนรู้แยกแยะดูอาการ ตัวตน เครืองหมาย ที่มันเกิดขึ้น (อัน นี้ถ้าเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือการเดินสติปัฎฐาน 4) การตามดูอารมณ์ความรู้สึกก็ดูเข้าไปถึงขนาด เวทนาทั้ง 108 การตามดูจิตก็ดูว่าจิตของเรามีอาการอย่าง มีอาการเสพหรือยินดีกับการกระทบสัมผัส มีสุขมีทุกข์อย่างไรบ้าง มีจิตปรุงแต่งขนาดใหนอย่างไรจับและตามดู จนรู้ความจริงตามความเป็นจริง เห็นอาการเกิดขึ้นตั้งอยูดับไปของจิตที่เกิดขึ้นตามวาระที่มันเป็นไป เมื่อมันอ่านจิตตามดูอาการของจิตเก่งขึ้น(อินทรีย์ พละ แก่กล้า) เราก็จะเห็นและรู้จักตัณหาทั้ง 108 ตัว รู้จักสังโยชน์ และสังโยชน์มันก็จะหลุดไปเองโดยไม่ยากไม่ลำบาก ศีลเราก็บริสุทธิ์ขึ้นเป็นอธิศีล จิตของเราก็สงบระงับ เป็นสมาธิที่เหมาะควรแก่การงาน(สัมมาสมาธิ) ไม่ว่าเราจะทำการอะไรหรือคุยกับใคร จิตเราก็ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เพราะมันเป็นแล้วเป็นเลยไม่ต้องมาเริ่มใหม่ (ไม่รู้จะรู้เรื่องไหมตอบแบบย่อๆ)
    6.
    จุดมั่งหมายในการปฏิบัติธรรมของท่านต้องการไปถึงจุดไหน แล้วความเป็นไปได้มีแค่ไหน
    จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะว่ากิจที่เราควรทำเราก็ได้ทำแล้ว เราเห็นแล้ว ไม่มีกิจกิจอันอื่นไดที่ยิ่งกว่า
    7.
    ท่านคิดว่าคนอื่นผิด ท่านเท่านั้นที่รู้เห็นถูก แล้วอ้างประเด็นนี้มาตั้งเหตุคุยกันหรือไม่
    อัน นี้อยากเล่าเป็นนิทาน มีคนตาบอด กลุ่มใหญ่กำลังลากจูงกันไปไหนก็ไม่รู้บ้างก็ล้มลุกคลุกคลาน บ้างก็บาดเจ็บ บางคนก็ตกหลุมบ้าง โดนสัตว์ร้ายกัดกินบ้าง แต่เขาเหล่านั้นก็มีความยินดีในการตามๆกันไป แล้วบังเอิญมีคนตาดีผ่านมาพบ
    แล้วก็ร้องถาม
    คนตาดี ถาม พวกท่านจะไปใหนกันหรือ
    คนตาบอด ตอบ ว่าจะไปเมืองพาราณสี(สมมุติ)
    คนตาดี พูด ถ้าอย่างนั้นท่านจงเดินไปตามทางนี้ และเรามียารักษาดวง ของท่านด้วย พวกท่านจะรักษาไหม
    คนตาบอด ตอบ แกจะมารู้ได้อย่างไร เพราะแกก็ตาบอดเหมือนอย่างพวกเรา ไปเลยไปไกลๆ ไอ้คนโกหก

    ในนิทานเรืองนี้ท่านคิว่า คนตาดีมีอยู่จริงหรือไม่
    คนตาบอดจะตอบอย่างนี้หรือไม่
    8.
    จุดสิ้นสุดของการพูดคุยกันอยู่ที่ตรงไหน ต้องมีคนแพ้คนชนะ หรือต้องมีคนยอมเราเราจึงจะพอใจหรืออย่างไร
    การพูดคุยจะไมีมีวันสิ้นสุด ขนาดคนไบ้ยังใช้ภาษามือ

    ......................................
     
  9. นักบุญภาคอีสาน

    นักบุญภาคอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +334
    คุณ ขันธ์ คุณ สำคัญตัวผิดแล้ว ผมว่าคุณมันก็คนธรรมดาคนหลายๆ ที่ยังคงความ มี กิเลสทั้งนั้นละ.........อย่าว่าแต่เขียนผิดเลย เหอๆ แคอ่านผมยังอ่านผิดเลย มีปัญญา มองเห็นตัวหนังสือพิมพ์ได้ก็บุญแล้ว คือผมฝ่าตัด ตามา 3รอบแล้ว ตั้ง แต่ ปี 2532 ตอนถูกละเบิดที่ สุรินแล้ว....ถ้าคุณเป็น ทหารนะคุณจะต้องถูก สอบ วินัย ใหม่และขึ้น ศาล ทหาร และพักงานด้วนนะเนี่ย ข้อหาเอาปรมด่อยผู้บังคับบัญชา
    มาพูด ในที่สาธารณะ เหอๆๆ ผมว่าพลทหาร ยังมี วินัยกั่วคุณอีก คุณ ขันธ์ บางที น.ศ.ท ยังวินัยดีกว่าคุณอีก อย่าว่าแต่อรหันต์ เลยคุณ แค่ โสดาบัน ผมว่าให้มันถึงก่อน นะ อย่าเอา ภูมิธรรมของครูอาจารย์มาเทียบเลย ว่ามีภูมิธรรมเท่ากัน และจะมี กริยเหมือนกัน นะ มันบาป มันรู้ได้จากการ แสดงออกนะคุณ ที่เขาพูด กันว่าคุณ ยกตัวเองมันคงจริงดังเขาว่า ถ้าคุณมีภูมิธรรมสูง จริงที่ผมพูด ปรามาต ไปก็ขอให้ผมตกนรกแล้วกัน.........ถ้าคุณ เคย เรียน ร.ด หรือ เกนทหาร ชื่อคุณ คงอยู่ที่ กระทรวงกลาโหม หรือ กอง ทัพ บก เหอๆๆ แน่ๆ เลย ถ้า คุณ อายุ 40 หรือ 41 คงมีการเรียก ฝึกรวมกองกำลังผลสำรอง แน่ ๆๆ ไม่นานเกิน ลอ แต่ถ้าเกินนี้ ก็คงผ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  10. creating

    creating สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +10
    ที่หลายคนภาวนาแล้วแน่นหน้าอกหน่ะ เพราะมัวไปคิดวาดภาพว่าจิตมันเป็นดวงอยู่นั่นไง หยุดวาดภาพจิตที่เป็นดวงหรือมีตัวตนเสีย ที่แน่นหน้าอกก็จะหาย
     
  11. OrangeHP

    OrangeHP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2007
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +160
    เท่าที่อ่านดู ทุกคนก็แสดงความรู้ออกมา จากความรู้ที่มีอยู่ในแต่ละอาจารย์เพราะแต่ละอาจารย์ก็สอนไม่เหมือนกัน เทคนิคใครเทคนิคมัน

    แต่พอจะสรุปได้ไหมว่าวิชาธรรมกาย ต้องเริ่มต้นจากกลุ่มไหนกันแน่ จากใครกันแน่
    น่าจะมีรวมกับเป็นตำราเดียวนะ ไม่ใช่แนวทางใครแนวทางมัน
    แล้วทุกคนก็มานั่งเถียงกันแบบนี้แล้วจะเอาอะไรมาเป็นบทสรุปครับ
    เหมือนกับว่าจะส่อเสียดกันไป ส่อเสียดกันมา เฮ้อกลุ้ม
    เลยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นและลงท้ายยังไงกันแน่ กลุ้มอีก
    ระงับสติอารมณ์ด้วยครับ ตั้งสติไว้ อย่าให้มารมาครอบครองจิตใจได้ ไม่ดีนะครับ
    เห็นแต่ละกระทู้ที่เปิดประเดน เป็นได้เรื่องเถียงกันทุกทีเลยมันอะไรกันเนี๊ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ดูข้อ 6 ให้ดีๆ แล้ว ย้อนไปอ่านข้อ 1-5 ใหม่ แล้ว กลับมาพิจารณาข้อ 6 อีกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2008
  13. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ก็ตามนั้นแหละค่ะ มันอาจจะน้อยไปด้วย เพระไม่ถนัดจะว่าใคร ต้องใช้ความพยายามมาก


    เพิ่มนะว่า
    คุณขันธ์เลิกฟุ้งซ่านโชว์อริยะได้แล้ว
    ข้อ 6 มันบาดใจซิ กลัวไม่ได้เป็นซิ คุณนั่นล่ะอ่านใหม่ดีๆ
    ว่าต่อให้เป็นอริยะจริง แต่หากธรรมใดไม่มีในตนก็ห้ามอวด เช่นไม่มีฤทธิ์บอกว่ามี เป็นแค่อริยะขั้นต้นหลงไปว่าจบกิจแล้ว .. (พูดโดยทั่วไป)
    <O:p</O:p
    แล้วก็หัดขอโทษ คนที่คุณล่วงเกินตามเบียดเบียนไปเสียดะ<O:p</O:p
    เลิกก่อกรรม เพราะไม่มีใครรับรองว่าคุณจะไม่ตกอบายอย่างที่คุณคิด<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ปกติคนมีธรรมหากรู้ธรรมมาก พูดแล้วใครเชื่อไม่เชื่อ เขาไม่บังคับไม่สนใจหรอก<O:p</O:p
    แค่มอง นอกจากถูกใจกัน ก็คุยกันเพื่อศึกษากันต่อ คนอื่นก็ช่วยตัวเองไปแล้วกัน<O:p</O:p
    ใครอยากรู้ธรรมลึกขึ้นต้องวางใจ ไม่ติดของเดิม ก็จะไปได้ลึกขึ้น <O:p</O:p
    เขาไม่ได้มาโชว์ศาสดา ให้ใครต้องเชื่อเขา <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แบบที่คุณพยายามจะทำให้ใครเชื่อธรรมอันบิดเบือนของคุณ หรือโม้ว่าต้องตามแก้ธรรมให้ใครคนนั้นคนนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    กระทู้ มีธรรม อริยะรู้ใจคน นิมิตอภิญญา อะไรของคุณนั่นน่ะ ..
    คนฉลาด เขาไปอ่านของครูบาอาจารย์ ไม่สนธรรมงูๆ ปลาๆ ของคุณหรอก<O:p</O:p
    เขาต้องเลือกที่จะอ่านหรือปฏิบัติจากครูจริงนั้นๆ <O:p</O:p
    หัดทำตัวติดดินแบบที่อริยะจริงๆ เขาเป็นกัน ไม่ใช้โม้ธรรม แล้วกลับยกตน ด่าทอเขา<O:p</O:p
    มันจะเห็นธาตุแท้เสียเปล่า <O:p</O:p
    แม้ใครจะมาตามแก้สันดานนั้นให้วิเศษขึ้นก็ทำได้แต่แค่หลอกพรรคพวกกันไป
    ไม่มีตัวตนเหรอ มีแต่ธรรมเกิดขึ้น ดับไป ทำให้ได้อย่างที่ประกาศ..
    หรือไม่ก็กลับไปดูจิตตนใหม่ ว่ากิเลสเกิดขึ้นแล้วดับไปเท่าไหร่แล้ว
    ไม่ใช่ขันธ์แตก แล้วบอกว่าไม่มีอะไร
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าคุณได้ธรรมกายจริงหรือกายทิพย์อะไรจริงอย่างที่โม้ ป่านนี้เห็นกายในตัวเองว่าอยู่ขั้นไหน ตายไปไปโผล่ภพภูมิไหนแล้ว ตรงลงคุณฝึกถึงขั้นไหนล่ะ
    ดิฉันไม่เคยฝึก ยังเห็นกายในของคนอื่นได้ตอนฝันหากหลับมีฌาน แล้วจิตเข้าไปข้องกับข้อความของใครโดยไม่รู้ตัว แต่ต้องจิตนิ่ง เพียงแต่ไม่เชื่อไม่ยึดติด ที่สำคัญก็พิจารณาไปตามปัญญาที่เห็นข้อความของเขาด้วย แต่บางทีจิตเราใช้ปัญญาพิจารณามากมันก็เหตุผลมาก ทำให้ขาดพลังขาดกำลัง เพราะโลเลตามความคิดที่มองเขาดีเกินไปร้ายเกินไป เวลาจิตนิ่งมันจะแสดงตัวได้มากกว่า ตามนั้น.. <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คุณคิดว่าพระอริยะสายอภิญญาของจริง เขากระจอกเหรอ ไม่งั้นจะเป็นพุทธภูมิได้หรือ ?

    (||)<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2008
  14. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972

    ขอบคุณนะครับที่ช่วยแนะนำ เออ...ผมเองก็ไม่เคยแน่นหน้าอกเลย ภาวนาแล้วใจก็หยุด นิ่ง สงบไปตามวาระแห่งความเพียรนะครับ จิตเป็นดวงอย่างไรจิตไม่เป็นดวงอย่างไร คำถามนี้ท่านต้องไปรู้ไปเห็นเองเถิดครับ ตัวตนนะมีแต่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่ต้องไปยึดถือ หมายความว่า การเห็นเป็นภาพอันเกิดจากญาณทัสสนะนั่นแลของจริงในพุทธศาสนา การตรึกตรองไปตามอาการก็เป็นเพียงการฝึกขั้นหนึ่งเท่านั้น คุณต้องเปลี่ยนสัญญาเก่าๆ ที่ว่าเห็นอะไรเป็นรูปร่างนั้นไม่ใช่เรื่องของอัตตาตัวตนเป็นเรื่องของรู้ญาณทัสสนะที่ละเอียด แปลว่าต่อให้เห็นกายในกาย เห็นจิตเป็นดวง เห็นอะไรต่ออะไรในขณะที่จิตสงบ หยุด นิ่ง ปราศจากนิวรณ์ธรรม มีญาณทัสสนะที่ใสสะอาดจริงก็เป็นเรื่องของสภาวะธรรม ไม่ใช่ไปยึดถือตัวตน คุณจะหนีความจริงไปทำไม ทำไมไม่ไปรู้เห็นตามความจริงแล้วจะได้ละปล่อยขาดจากความยึดถือที่ผิดๆ ลงเสียที


    ย้ำนะครับ อย่าไปคิดว่าการเห็นอะไรเป็นภาพเป็นรูปร่างคือตัวตน(ตัวตนแบบยึดถือ) มันเป็นสภาวรูปนามที่ละเอียดแล้วก็ไม่ต้องไปยึดถือมัน เมื่อไม่ยึดถือ จะไปสำคัญมั่นหมายอะไรกับตัวตนหรือสิ่งที่เห็น เห็นเพื่อแก้กิเลส เพื่อดับทุกข์ เข้าใจให้ได้นะครับ เห็นได้กับไม่เห็นหรือไม่กล้าที่จะเห็นหรือไม่สามารถเห็นได้นั้นมันคนละประเด็นกับเรื่องตัวตนและความยึดถือตัวตน...คุณต้องไปรู้ไปเห็นให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันว่าเห็นเพื่อละความยึดถือกับหนีความจริงของการเห็นแล้วพยายามละแบบไม่เห็นน่ะมันละได้เด็ดขาดได้หรือ เพราะธาตุธรรมส่วนละเอียดที่เราไม่รู้ไม่เห็นน่ะเขายังเป็นเชื้อเหตุแห่งกิเลสทุกข์อยู่ คุณจะรู้ได้ไงถ้าคุณไม่เห็น...คิดให้ดีๆ ครับ
     
  15. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972

    ต้องตอบท่านผู้ถามอย่างนี้นะครับ เรื่องวิชชาธรรมกายมีตำราเรียนให้เรียนตรงกันได้ไหม ตอบว่า มีตำราเรียนครับ


    หลวงพ่อวัดปากน้ำบันทึกความรู้ภาคปฏิบัติวิชชาธรรมกายเป็นตำราเรียนไว้ให้มี 4 เล่ม ดังนี้

    1.ทางมรรคผลนิพพาน เล่มฝึกให้เป็น 18 กาย
    2.คู่มือสมภาร
    3.วิชชามรรคผลพิสดาร 1
    4.วิชชามรรคผลพิสดาร 2

    ความรู้เหล่านี้คือความรู้ที่อธิบายการปฏิบัติวิชชาธรรมกายเอาไว้อย่างชัดเจนตรงกันหมด สำนักที่ใช้ตำราเหล่านี้ฝึกผู้สนใจภาวนาก็คือ วัดปากน้ำ วัดหลวงพ่อสด กลุ่มคุณลุงศึกษาการุณย์ แต่ที่วัดพระธรรมกายเห็นมีพิมพ์คู่มือสมภารออกมาคราวเผาแม่ชีจันท์แต่ไม่เคยเห็นว่าจะสอนตามตำราเหล่านี้


    สำหรับประเด็นที่เรากำลังถกกันอยู่นั้นเฉพาะในกระทู้นี้เป็นการคุยระหว่างคนฝึกภาวนาวิชชาธรรมกาย กับคนที่ไม่ได้ฝึกแต่ฝึกแบบอื่นมาแล้วก็ถกกันไปตามทัศนะ แต่จุดประสงค์ของกระทู้นี้ เขาเขียนว่าวิชชาธรรมกายไม่ได้มาจากวัดพระธรรมกาย ซึ่งตรงนี้ไม่มีใครถกประเด็นนี้กันเลย


    ผมจะคุยในส่วนความเห็นของผม ดังนี้ กลุ่มวัดพระธรรมกายที่เรียนภาวนาวิชชาธรรมกายมาจากสมัยหลวงพ่อสดคือแม่ชีจันท์ แต่ท่านถึงแก่กรรมแล้ว เหลือเพียงลูกศิษย์ของท่านคือเจ้าอาวาสวัดนี้และพระภิกษุอื่นๆ กระทู้ตั้งมาถูกตรงที่วิชชาธรรมกายไม่ได้มาจากวัดพระธรรมกาย วิชชาธรรมกายเกิดขึ้นที่วัดปากน้ำภาษีเจริญโดยหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นผู้เข้าถึงและสั่งสอนมาตลอดชีวิตของหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อมรณะภาพแล้วบรรดาลูกศิษย์ในยุคนั้นซึ่งมีหลายพันคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาเดิม จะมีบ้างที่อยู่ประจำที่วัดปากน้ำ เหล่าบรรดาศิษย์ที่แยกย้ายกันนั้นก็ไปตั้งสำนักสอนภาวนาวิชชาธรรมกายในที่ต่างๆ มีทั้งที่เป็นพระภิกษุ แม่ชี และฆราวาส มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในประเทศไทยเรามีหลายวัดที่ฝึกแนวธรรมกายเพียงแต่ท่านไม่โด่งดังเหมือนดังสำนักที่ผมออกชื่อไปแล้ว วัดป่าก็มีนะครับที่ฝึกแนวธรรมกาย เรียกว่ามีหลากหลายทีเดียว


    ถามว่าแล้วจะเอาอะไรมาวัดว่าสอนได้ดี สอนได้ถูกต้อง สอนได้เหมือนกัน ตอบว่า หลักสูตรเรียนมาจากสำนักเดียวกัน แต่ความเข้าใจของตัวอาจารย์ความรู้เทคนิคการฝึกและจุดมุ่งหมายในการเผยแผ่ของแต่ละสำนักอาจแตกต่างกัน


    สมมติว่ามีนักเรียนมาเรียนกับท่าน 100 คน ภายในเวลา 1 ชั่วโมงท่านจะฝึกให้เขาใจสงบ ใจหยุด นิ่ง ใส จนกระทั่งเห็นธรรมกายเบื้องต้นได้กี่คน ตรงนี้ผมก็ไปศึกษามาแล้ว แต่ละสำนักสอนได้ผลไม่เท่ากัน บ่งว่าบางสำนักเขาไม่พัฒนาการสอนให้ได้ผลจึงสอนได้น้อย ตามที่เจ้าของกระทู้นำเนื้อหามาลงนั้น ผมก็เห็นตามนั้น ถ้าสอนเบื้องต้นยังได้ผลน้อย ความรู้อื่นก็ยังถือว่าไม่น่าจะตรงเป้า นี่คือจุดที่น่าสังเกตนะครับ

     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    555 ไม่มีอะไรจะพูดแล้วครับ เชิญทุกท่านตามอัธยาศัย
     
  17. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
  18. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    สุดท้ายแล้วละวางภพชาติ...พ้นทุกข์ได้ ก็เหมือนๆกันล่ะ

    อนุโมทนาด้วยครับ....ในสภาวะที่ท่านได้รู้...และสัมผัส .....แม้ว่าจะมาคนละทาง ...คนละสาย...กับการภาวนาในรูปแบบอื่น ..... แต่ถ้าผลสุดท้ายแล้วละวางภพชาติ...พ้นทุกข์ได้ ก็เหมือนๆกันล่ะครับ ..... อนุโมทนาครับ
     
  19. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ดีครับ บางที่ก็สอนคนได้ที่ละพันสองพัน สิบกว่ามหาศาลา ฝึกแล้วก็คงได้หมด
    เห็นหมด เป็นผลหมดกันทุกคน อย่างน้อยก็คนกล่าวนำการทำ

    แต่แปลก กระทู้นี้เกิดขึ้นเพื่อผลักคนกลุ่มนั้นๆ ให้พ้นตัว ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า
    ทำไมถึงเข้าถึงได้ขนาดนั้นแล้ว ละเอียดสุดละเอียดแล้ว สามารถสอนคนได้ด้วย

    กลับมีการประชุมเพื่อเข้าไปดูในที่กักกันแล้ว ก็ยอมรับว่าเขามีวิชา ไม่ได้ปฏิเสธการ
    มีวิชา ก็แปลว่าวิชานี้แม้มีแล้วก็มีโอกาสมีทางแยกที่ผิดอย่างละเอียดสุดละเอียด
    ได้อีก ใช่หรือไม่ ?

    ถ้าไม่ใช่ กระทู้นี้ก็ไม่เกิด แล้วก็ไม่มีคนเข้ามาสนับสนุนการแยกกันเองของคน
    ในสายปฏิบัติเดียวกัน

    อย่าลืมนะครับ ว่าติดเป็นคำถาม ไม่ได้ฝันธงในคำตอบใดๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2008
  20. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    อุปมาดั่งตาบอด คลำช้างน่ะครับ.....บุคคลผู้ตาดีไม่ว่าจะมาจากทางไหนๆ...ชาติไหนๆ ....ภาษาไหนๆ ....ด้วยวิธีการใดๆ....แต่เมื่อเห็นช้างแล้วก็ต้องรู้อย่างเดียวกัน...ว่า "ช้าง" มีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร....ก็เป็นอันเข้าใจกันทั้งหมดผู้มาถึงในสถานที่ที่เห็นช้างแห่งนั้น....ไม่ต้องอธิบายความกันอีก....เพราะรู้และประจักแก่ใจกันอยู่......ส่วนบุคคลผู้ตาบอดเมื่อคลำช้างแม้จะตัวเดียวกับท่าน.....ที่ท่านเห็นท่านรู้ประจักษ์ใจอยู่...ก็คงจะมีคำถามตามมามากมาย..แม้แต่ท่านผู้รู้จักช้างจะได้อธิบายไปจะหมดภูมิ....บุคคลผู้ตาบอดก็ยังสงสัยอยู่นั่นเองว่าช้างที่ท่านเห็นหน้าตาเป็นอย่างไร..และอาจจะมีบุคคลผู้ตาบอดบางคน....เมื่อมาถึงและ..คลำช้างตัวเดียวกัน...ด้วยตนเองแล้วเข้าใจเอาเองว่านี่แหละช้าง...เช่นไปคลำเอางาช้าง...ก็เข้าใจว่าช้างมีลักษณะมนๆ เนียนๆ ยาวๆ ....ถ้าคลำไปถูกหนังช้างก็เข้าใจว่าช้างมีลัษณะ..เป็นแผ่นๆ...หยาบๆ...ครั้นบุคคลผู้ตาบอด..มาพบกัน..ต่างคนต่างอธิบายลัษณะช้างมาคนละแบบมาคนละทาง...ต่างถกเถียงกันไม่ลดละเลิกลา...ตามความเข้าใจของตนของตนที่ประสบมา....บุคคลผู้ตาดีที่มองอยู่ข้างๆ...ก็คงจะหัวเราะ...หึหึหึ...ก็เท่านั้น......ด้วยเหตุนี้กระมังที่พระอริยทั้งหลายต่างองค์ต่างมุ่งแต่ปฏิบัติ..มุ่งแต่ทำลายกิเลสที่มีในตนเมื่อพ้นก็รู้ว่าพ้น ....เมื่อยังไม่พ้นก็รู้ว่า...ยังไม่พ้นก็เพียรกันต่อไป....เมื่อพ้นแล้วก็เหมือนบุคคลผู้ตาดีดั่งอุปมานั่นแล....จะกล่าวไปใยในบุคคลผู้ตาบอด......จบ. ........
     

แชร์หน้านี้

Loading...