หลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวงพระพุทธรูปทรงฤทธานุภาพแห่งเมืองสระหลวง

องค์หลวงพ่อเพชร เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามองค์หนึ่งของประเทศไทย และทรงพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญคู่บ้านคู่เมืองของชาวเมืองพิจิตรมาช้านาน ตลอดจนจังหวัดใกล้เคียง ปัจจุบันองค์หลวงพ่อเพชร ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง (พระอารามหลวง ๖๗๔ ถนนบุษบา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร พระพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะทองสัมฤทธิ์ ปางมารวิชัย นั่งขัดสมาธิเพชร ชายสังฆาฏิสั้นเหนือพระอุระ เกตุบัวตูม ขนาดหน้าตัก กว้าง ๒ ศอก ๑ คืน ๖ นิ้ว สูง ๓ ศอก ๓ นิ้ว ประทับนั่งบนฐานดอกบัวบานหงายรองรับ ต่อจากฐานโลหะเป็นแท่นชุกชีหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งคือฐานชุกชี มีลวดลายปิดทองประดับกระจกมีความงดงาม ผู้ชำนาญการได้ตรวจพระพุทธลักษณะขององค์ พระปฏิมากรแล้ว หลายท่านได้ให้ความเห็นตรงกันว่า องค์หลวงพ่อเพชรเป็นพระพุทธรูปสมัย เชียงแสนรุ่นแรก จัดสร้างขึ้นในระหว่างปีพุทธศักราช ๑๖๖๐ ถึง พุทธศักราช ๑๘๐๐ (นับอายุการสร้างจนถึงปัจจุบันนี้ประมาณ ๘๙๐ ปี)
องค์หลวงพ่อเพชรยังเป็นพระพุทธรูปทรงพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยกิตติศักดิ์นานัปการ เมื่อใครก็ตามได้ไปเที่ยวจังหวัดพิจิตรก็จะต้องไปนมัสการขอพรองค์หลวงพ่อเพชร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว ที่ว่าองค์หลวงพ่อเพชรทรงพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นั้น เนื่องจากมีประชาชนที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาอันมั่นคง เมื่อมีใครเดือดร้อน เช่น วัตถุสิ่งของหาย หรือมีความทุกข์ยากก็จะเข้ามาบนบานศาลกล่าวขออำนาจ ขอพรอันประเสริฐจากองค์หลวงพ่อเพชรให้ช่วยปัดเป่าความทุกข์ อุปสรรค ภยันตรายต่าง ๆ ให้หมดหายไป หรือขออำนาจบารมีหลวงพ่อเพชรให้ช่วยปกปักรักษาคุ้มครอง ด้วยเดชะบารมีและอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อเพชรก็ดลบันดาลช่วยให้ได้รับผลทันตาเห็นแทบทุกราย แม้การเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาขอน้ำพระพุทธมนต์หลวงพ่อเพชรโปรด ไปดื่ม ไปอาบก็สามารถรักษาหายได้ และผู้นั้นพ้นภัยอันตราย พ้นจากความทุกข์ยากแล้วก็จะกลับมาแก้บน ด้วยการนำหัวหมู ไก่ต้ม ไข่ไก่ ขนม ผลไม้ ถวายแด่องค์หลวงพ่อเพชรที่พระอุโบสถ กลิ่นควันธูปเทียนมิได้ขาดระยะ ชาวเมืองพิจิตรทุกผู้ทุกนามต่างให้ความเคารพ นับถือ เลื่อมใสอย่างสูงต่อองค์หลวงพ่อเพชร ทั้งยังเป็นมิ่งขวัญศูนย์รวมจิตใจของชาวพิจิตร พลังแห่งความเลื่อมใสศรัทธา เคารพ นับถือ และพุทธานุภาพขององค์หลวงพ่อเพชรไม่เคยจากหายไปจากจิตใจอันดีงามของชาวพิจิตรและชาวพุทธ ด้วยเหตุหลายประการดังกล่าวมานี้ องค์หลวงพ่อเพชรจึงเป็นพระคู่บุญบารมี คู่บ้านคู่เมืองพิจิตรนับแต่อดีตจนปัจจุบัน

ประวัติความเป็นมาขององค์หลวงพ่อเพชร มีการเล่าและบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรหลายตำรา แต่พอสรุปได้ว่า ประวัติที่เกี่ยวกับทางวรรณคดีไทย เรื่อง "ขุนช้าง ขุนแผน" กล่าวไว้ว่า แม่ทัพของกรุงศรีอยุธยาก็คือขุนแผนกับจหมื่นไวยวรนาถผู้เป็นลูกชายเป็นแม่ทัพได้ยกกองทัพ กรุงศรีอยุธยาไปปราบขบถจอมทองเมืองเชียงใหม่ เมื่อยกทัพมาถึงเมืองพิจิตรได้หยุดพักกองทัพอยู่กับพระพิจิตรผู้เป็นเจ้าเมืองพิจิตร เป็นเวลา ๒-๓ คืน ซึ่งแม่ทัพกับท่านพระพิจิตร เจ้าเมืองพิจิตรมีความเป็นมิตรกันมานานนับปี ในเรื่องขุนช้างขุนแผนได้กล่าว ขุนแผนแม่ทัพกรุงศรีอยุธยาให้ความเคารพนับถือเจ้าเมืองพิจิตรเป็นเสมือนบิดาของตน เจ้าเมืองพิจิตรได้ปรารภกับแม่ทัพว่า เมื่อปราบขบถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ช่วยหาพระเมืองเหนืองาม ๆ มาฝากสัก ๑ องค์เถิด ขุนแผนแม่ทัพรับปากแล้วก็ยกทัพไปจอมทองเมืองเชียงใหม่ (สมัยนั้น กรุงสยาม คือ กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวง ได้ศึกสงครามกับเมืองเชียงใหม่หลายครั้ง ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ซึ่งครองราชย์ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๐๓๔ - ๒๐๗๒ แม่ทัพที่ยกกองทัพไปปราบข้าศึกเมืองเชียงใหม่น่าจะเป็นขุนแผน แม้ในตำราขุนช้าง ขุนแผน ฉบับเสภา ชุด "วรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัย" อยุธยา ฉบับหอสมุดแห่งชาติได้ตรวจสอบบทเสภาแล้ว ขุนช้างขุนแผนและจหมื่นไวยวรนาถ มีความเกี่ยวข้องกับพระพิจิตรเจ้าเมืองพิจิตรกับพระนางบุษบาภรรยาเจ้าเมืองพิจิตรและศรีมาลาจริง โดยขุนแผนได้ให้ความเคารพนับถือเจ้าเมืองพิจิตร และพระนางบุษบาภรรยาเจ้าเมืองพิจิตร เสมือนบิดมารดาของตนเอง ยามมีทุกข์ขุนแผนจักขึ้นมาพักอาศัยกับเจ้าเมืองพิจิตรเสมอ แม้แต่การยกทัพขึ้นไปเชียงก็แวะมาพักทัพที่เมืองพิจิตร ๒-๓ เพลา แต่ไม่มีเขียนเป็นบทเสภาว่า พระพิจิตรขอให้ขุนแผนหาพระเมืองเหนือมาฝากหลังจากปราบข้าศึกราบคาบแล้วก็ตาม สันนิษฐานได้ว่า
อีกประการหนึ่ง การแต่งบทเสภาผู้แต่งบทประสงค์จะให้เนื้อหาของเรื่องมีความสนุกสนาน ชวนให้ติดตามกับเรื่องทางโลกมากกว่า ประการที่สอง เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ได้แต่งหลังเหตุการณ์จริง ๆ สมัยขุนแผนอาสาสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ไปทำศึกกับเมืองเชียงใหม่เป็น ๑๐๐ ปี แวะมาพักแรมคืนที่เมืองพิจิตร ได้พบกับพระพิจิตรในขาไป ๑ คืน ขากลับ ๓ คืน คราวไปทำศึกชิงนางสร้อยทอง
เรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาจริง ซึ่งมีเนื้อความตามตำนานเสภาพระนิพนธ์สมัยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในบทเสภาขุนช้างขุนแผน ฉบับหอแห่งชาติว่าด้วยเรื่อง ขุนช้างขุนแผนหน้า (๓) - (๑๐) ว่าเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในครั้งกรุงเก่า เนื้อความปรากฏจดไว้ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ตอนหนึ่งว่า …สมเด็จพระพันวษา..โปรดตั้งให้ขุนแผนเป็นแม่ทัพขึ้นไปตีนครเชียงใหม่….เชิญนางสร้อยทองพระราชธิดาพระเจ้าล้านช้าง….สมเด็จพระพันวษานั้น คือ…สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
จึงพอมีเหตุผลที่พอยืนยันได้ว่า ผู้อัญเชิญองค์หลวงพ่อเพชรจากเมืองเหนือมามอบให้เจ้าเมืองพิจิตร คือขุนแผนซึ่งเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือยอดเยี่ยมของกรุงศรีอยุธยา หลังจากขุนแผนปราบนครเชียงใหม่ได้แล้ว ย่อมมีอำนาจที่สามารถกวาดต้อนเชลยศึก ช้าง ม้า วัว ควาย ตลอดถึงสิ่งที่มีค่าอื่น ๆ จากเมืองเหนือกลับกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น พระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามเพียง ๑ องค์ ขุนแผนนั้นย่อมแสวงหามาให้เจ้าเมืองพิจิตรที่ตนเองเคารพนับถือเสมือนบิดาได้ ด้วยเหตุนี้เมืองพิจิตรจึงได้หลวงพ่อเพชรมาเป็นมิ่งขวัญอันเป็นศรีสง่าของเมืองพิจิตร
แต่ในบางตำรากล่าวว่า ขุนแผนกับจหมื่นไววรนาถ ได้อาสาสมเด็จพระพันวษาไปปราบขบถจอมทองเมืองเชียงใหม่แล้วเลือกพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามจากวัดหนึ่งในนครเชียงใหม่ให้ทหารคุมลอยแพตามลำน้ำปิง และฝากแพจอดไว้ที่เมืองกำแพงเพชรแล้วขุนแผนก็ยกทัพกลับจากนครเชียงใหม่มาทางเก่า แจ้งให้เจ้าเมืองพิจิตรทราบ เจ้าเมืองพิจิตรให้อัญเชิญหลวงพ่อเพชรแห่แหนมาประดิษฐานไว้ ณ วัดนครชุม เมืองเก่าพิจิตร จัดให้มีการสมโภช ๓ วัน ๓ คืน) เมื่อเสร็จสิ้นจากการปราบขบถจอมทองได้ชัยชนะแล้วก็ยกทัพกลับแม่ทัพได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อเพชรจากจอมทองมาด้วย โดยนำองค์หลวงพ่อเพชรล่องแพลูกบวกมาตามแม่น้ำปิง แต่เนื่องจากขุนแผน "แม่ทัพ" มีความจำเป็นอย่างรีบด่วน จึงฝากองค์หลวงพ่อเพชรไว้กับเจ้าเมืองกำแพงเพชร แล้วแจ้งให้พระพิจิตรไปรับองค์หลวงพ่อเพชรที่นั่นมาไว้ที่เมืองพิจิตร พระพิจิตรทราบความจึงรีบอัญเชิญองค์หลวงพ่อเพชรมาประดิษฐานไว้ ณ อุโบสถวัดนครชุมเมืองพิจิตรเก่า ครั้นต่อมามีเหตุต้องอัญเชิญมาไว้ที่วัดท่าหลวง เมืองพิจิตรใหม่
การย้ายองค์หลวงพ่อเพชรมาประดิษฐานที่วัดท่าหลวง เมืองพิจิตรใหม่นี้ พระเดชพระคุณพระทีฆทัสสีมุนีวงศ์ (หลวงปู่ไป๋ ญาณผโล - นาควิจิตร) อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง และ เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ได้เขียนไว้ว่า……….
ครั้นราวปีพุทธศักราช ๒๔๔๒ พระยาเทพาธิบดี (อิ่ม) เจ้าเมืองพิจิตร ได้รับคำสั่งจากเจ้าพระยาศรีสุริยศักดิ์ผู้เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก ความว่า " พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ฯ รัชกาลที่ ๕ มีพระราชประสงค์จะได้พระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะที่งดงามเพื่อนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดเบญจมบพิธดุสิตวนาราม จังหวัดพระมหานคร ที่พระองค์ได้ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้น" เจ้าพระยาศรีสุริยศักดิ์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก ได้สั่งให้พระยาเทพาธิบดี (อิ่ม) เจ้าเมืองพิจิตร ได้ออกแสวงหาพระพุทธรูปตามพระราชประสงค์ นำขึ้นไปเมืองพิษณุโลก เจ้าเมืองพิจิตร ได้ออกดูพระพุทธรูปโดยทั่วไปของเมืองพิจิตรแล้ว เห็นว่า องค์หลวงพ่อเพชรมีพระพุทธลักษณะที่งดงามมาก จึงได้จ้างชาวญวนคนหนึ่งชื่อว่า "อาง" ทะลวงหุ่นดินภายในองค์หลวงพ่อเพชรออกเพื่อให้มีน้ำหนักเบา นำขึ้นเกวียนมาลงเรืองชะล่ามีปรำลากจูงด้วยเรือพาย ถึงเมืองพิษณุโลกเทียบท่าอยู่ที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดใหญ่) พระยาเทพาธิบดี ได้กราบเรียนเจ้าพระยาศรีสุริยศักดิ์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลกว่า ชาวเมืองพิจิตรเศร้าโศกเสียใจ ด้วยเสียดายองค์หลวงพ่อเพชรอันเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ดั่งเดิม ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยศักดิ์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก ได้ตรวจดูพระพุทธลักษณะแล้วเห็นว่างดงามจริง แต่องค์หลวงพ่อเพชรมีขนาดใหญ่เกินไป กอปรด้วยเป็นการทำลายจิตใจของชาวเมืองพิจิตร จึงได้สั่งพระยาเทพาธิบดีให้นำองค์หลวงพ่อเพชรกลับคืนเมืองพิจิตร แต่การนำกลับคืนมาเมืองพิจิตรนั้น พระยาเทพาธิบดีหาได้นำองค์หลวงพ่อเพชรมาส่งถึงอุโบสถวัดนครชุมเมืองพิจิตรเก่าไม่ หากแต่ท่านพระยาเทพาธิบดีได้นำไปพักไว้ที่วัดท่าหลวงเมืองพิจิตรใหม่ ทำปรำคลุมไว้ประชาชนรู้ข่าวการนำองค์หลวงพ่อเพชรกลับมาเมืองพิจิตรก็แตกตื่นมาปิดทองบูชาสักการะกันเป็นการใหญ่ด้วยความดีใจ ฝ่ายราษฎรเมืองพิจิตรเก่าก็ได้เตรียมการจะแห่แหนองค์หลวงพ่อเพชรกลับไว้ ณ อุโบสถวัดนครชุมเมืองพิจิตรเก่าเช่นเดิม ส่วนราษฎรทางเมืองพิจิตรใหม่ก็เห็นว่า เมื่อเมืองพิจิตรได้ย้ายมาอยู่ที่แห่งใหม่แล้ว ก็ควรมีองค์หลวงพ่อเพชรประดิษฐานอยู่ที่เมืองพิจิตรใหม่ด้วย จึงไม่ยินยอมให้ราษฎรเมืองพิจิตรเก่านำองค์หลวงพ่อเพชรกลับคืนไป ในตอนนี้มีผู้รู้ได้เล่าสืบต่อกันมาว่า ได้เกิดมีการยื้อแย้งองค์หลวงพ่อเพชรถึงขนาดเตรียมอาวุธเข้าประหัตประหารกัน หากแต่พระเดชพระคุณพระธรรมทัสสีมุนีวงศ์ มงคลพิจิตร สังฆปาโมกข์ (หลวงปู่เอี่ยม) เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นที่ยำเกรงของราษฎรโดยทั่วไป เพราะเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสนับถือของประชาชนเป็นอันมาก พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้เข้ามาห้ามปรามไว้ และได้แจ้งแก่ราษฎรเมืองพิจิตรเก่าว่าจะหล่อหลวงพ่อเพชรจำลอง องค์ขนาดเท่าเดิมให้กับชาวเมืองพิจิตรเก่านำไปบูชาสักการะแทนองค์เดิม ส่วนองค์หลวงพ่อเพชรเดิมนั้นให้ประดิษฐานไว้ ณ วัดท่าหลวง เมืองพิจิตรใหม่ ซึ่งพระเดชพระคุณพระธรรมทัสสีมุนีวงศ์ มงคลพิจิตร เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าหลวงอยู่ด้วยราษฎรเมืองพิจิตรเก่าจึงยินยอมเชื่อฟังปฏิบัติตาม
มีเรื่องเล่าเพิ่มต่อเนื่องกันอีกกระแสหนึ่งมาอีกว่า การที่องค์หลวงพ่อเพชรจากเมืองพิจิตรเก่ามาอยู่เมืองพิจิตรใหม่นั้น ก็โดยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะอัญเชิญพระพุทธชินราชจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ มณฑลพิษณุโลกไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิธดุสิตวนาราม จังหวัดพระมหานคร ซึ่งได้ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นใหม่ จึงมีพระกระแสรับสั่งให้สืบหาพระพุทธรูปที่ลักษณะงดงาม ไปแทนพระพุทธชินราช ท่านเจ้าคุณพระยาศรีสุริยศักดิ์ สมุหเทศาภิบาล มณฑลพิษณุโลก ทราบว่า องค์หลวงพ่อเพชรมีพุทธลักษณะที่งดงามมากควรแก่การนำไปแทนพระพุทธชินราช จึงให้พระยาเทพาธิบดี (อิ่ม) เจ้าเมืองพิจิตรจัดนำไปเมืองพิษณุโลก ประชาชนชาวเมืองพิจิตรเก่ารู้ข่าวล่วงหน้าด้วยความเคารพศรัทธาและหวงแหนองค์หลวงพ่อเพชรเป็นที่สุด จึงคิดอ่านว่าจ้างชาวญวนชื่ออ่าง ทะลวงหุ่นดินภายในองค์หลวงพ่อเพชรออกเพื่อให้มีน้ำหนักเบา แล้วได้ช่วยกันยกหนีไปซุกซ่อนไว้ในป่า ได้เคลื่อนย้ายไปซุกซ่อนเรื่อยไปมิได้หยุดหย่อน แต่อย่างไรก็ดีหาได้พ้นจากการติดตามและค้นหาของเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายไม่ ในที่สุดก็ใช้อำนาจบังคับเอาองค์หลวงพ่อเพชรมาจากเมืองพิจิตรเก่าจนได้ และนำมาพักไว้ที่วัดท่าหลวง เมืองพิจิตรใหม่ เพื่อรอการนำไปเมืองพิษณุโลก ในระยะเดียวกันนั้นเอง ท่านเจ้าคุณเจ้าพระยาศรีสุริยศักดิ์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเห็นใจชาวเมืองพิษณุโลก จึงโปรดเกล้าฯให้ระงับการนำพระพุทธชินราชไปพระมหานคร โดยจะหล่อพระพุทธชินราชจำลองประดิษฐานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิธดุสิตวนารามแทน เหตุนี้องค์หลวงพ่อเพชรที่นำมาพักรอไว้ที่วัดท่าหลวงเมืองพิจิตรใหม่ จึงตกอยู่ที่วัดท่าหลวงเมืองพิจิตรใหม่มาจนถึงปัจจุบันนี้.
เดิมทีเดียว องค์หลวงพ่อเพชรได้ประดิษฐานอยู่ในโรงที่สร้างขึ้นชั่วคราว เป็นเรือนมีพื้นอยู่บนดิน ที่วัดท่าหลวงหลังจากไม่ต้องนำไปประดิษฐานเป็นพระประธานที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลกแล้ว
เมื่อวันที่ ๒๘ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๔๔ (ร.ศ. ๑๒๐) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้เสด็จมา ณ วัดท่าหลวงทรงนมัสการบูชาองค์หลวงพ่อเพชรและตรัสชมองค์หลวงพ่อเพชรว่า "พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระทรงสั้นพวกเชียงแสน ทรงก็เข้ากันสั้นพร้อมดี เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย และพระพุทธลักษณะที่งดงามมาก"
ต่อมาปีพุทธศักราช ๒๔๕๒ พระยาพิชัยณรงค์สงคราม (ดิษ) ข้าหลวงประจำจังหวัดพิจิตรจึงได้อัญเชิญเข้ามาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถไม้ที่สร้างขึ้นให้เหมาะสมและเป็นศรีสง่าแก่องค์หลวงพ่อเพชรพระพุทธรูปสำคัญเมืองพิจิตร โดยประทับบนฐานชุกชีที่ก่อเป็นชั้นขนาดใหญ่พอที่พุทธศาสนิกชนจะผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปปิดทองที่องค์พระตามความเชื่อและศรัทธาได้สะดวก
ครั้งพอถึงปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ พระเดชพระคุณพระธรรมทัสสีมุนีวงศ์ (หลวงปู่ไป๋ ญาณผโล -- นาควิจิตร) เจ้าอาวาสวัดท่าหลวงในขณะนั้น ได้เป็นประธานริเริ่มการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ที่มีความวิจิตรงดงามตามแบบสถาปัตยกรรมไทย เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๕ พระอุโบสถหลังใหม่เสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อเพชรเข้ามาประดิษฐานเป็นปรานของพระอุโบสถวัดท่าหลวงมาตราบเท่าทุกวันนี้
องค์หลวงพ่อเพชรเป็นพระพุทธรูปสวยงามที่ทรงไว้ซึ่งพุทธลักษณะ และศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งของประเทศไทย ดังจะเห็นได้ในงานเทศกาลประจำปีที่เคยจัดในเดือนธันวาคม-เดือนมกราคมหรือในเดือนเมษายนว่ามีประชาชนคนไทย คนจีนจากที่ต่าง ๆ พากันมานมัสการกันอย่างล้นหลามแน่นพระอุโบสถ บางวันเกือบจะเข้าออกกันไม่ค่อยได้ แม้วันปกติธรรมดาก็มีประชาชนเข้ามานมัสการบูชากันทุกวัดมิได้ขาด
ในงานประเพณีการแข่งขันเรือยาวของจังหวัดพิจิตรที่หน้าวัดท่าหลวง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อเพชรนั้น ทางวัดท่าหลวงได้จัดขึ้นเป็นประจำในฤดูน้ำหลากทุกเสาร์แรกของต้นเดือนกันยายนทุกปี ก็จะมีประชาชนทุกสารทิศมานมัสการองค์หลวงพ่อเพชร และชมงานแข่งเรือยาวกันอย่างมาก นับได้ว่าองค์หลวงพ่อเพชรนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของจังหวัดพิจิตร จนมีคำพูดติดปากกันอยู่เสมอว่า "ใครไปพิจิตรถ้าไม่ได้เข้าไปนมัสการองค์หลวงพ่อเพชรก็เหมือนไปไม่ถึงเมืองพิจิตร"
เมื่อวันที่ ๙ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๔ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ วันวิสาข บูชา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามฯ มกุฎราชกุมาร เสด็จราชดำเนินทรงนมัสการองค์หลวงพ่อเพชรและทรงประกอบพิธีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชารอบพระอุโบสถหลวงพ่อเพชร
ปัจจุบันองค์หลวงพ่อเพชร เป็นพระประธานประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถหลวงพ่อเพชรวัดท่าหลวง เป็นมิ่งขวัญของเมืองพิจิตรและประชาชนทั่วไป เป็นที่เคารพสักการบูชาอย่างสูงสุด เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของพุทธศาสนิกชนให้ยึดมั่นในการประกอบแต่คุณงามความดี เป็นที่พึ่งทางจิตใจในยามที่มีทุกข์ร้อน เมื่อผู้ใดเข้าไปนมัสการองค์หลวงพ่อเพชรแล้ว ก็จะบังเกิดความสงบร่มเย็น สงบกาย วาจา และใจ
ประกอบกับมีการจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ ภายนอกก็ตกแต่งด้วยไม่ดอกไม้ประดับและตัวละครรามเกียรติ์ฉายไฟฟ้ารอบพระอุโบสถ ให้ความงามยิ่งนักสำหรับผู้ที่เข้าไปนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร
ในการนมัสการองค์หลวงพ่อเพชรทุกครั้งจะต้องกล่าวคำบูชาองค์หลวงพ่อเพชร ว่า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. (กล่าว ๓ ครั้ง)​

"กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ
ปะฏิมัง อิทธิปาฏิหาริยะกะรัง พุทธะรูปัง
อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม"
ข้าพเจ้า ขอนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์
ด้วยกายวาจาและใจ ขอความสุขความเจริญจงมีแก่ข้าพเจ้าตลอดทุกเมื่อ เทอญ.
แล้วขอพรอันประเสริฐตามที่ปรารถนาในสิ่งที่ดีงามเพื่อความสงบสุขของชีวิตและครอบครัว. สาธุ สาธุ สาธุ​

​

 

<TABLE id=table1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=middle>
รูปของ หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง</TD><TD vAlign=bottom align=middle>

พระเหรียญ หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง เหรียญเสมา ล.พ.เพชร เนื้อทองแดงปี2472</TD><TD vAlign=bottom align=middle>

พระเหรียญหล่อ หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง เหรียญหล่อ ล.พ.เพชร พิมพ์นิยมมือแบ</TD><TD vAlign=bottom align=middle>

พระเหรียญหล่อ หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง เหรียญหล่อ ล.พ.เพชร พิมพ์มือกำ</TD></TR><TR><TD vAlign=bottom align=middle>

พระเหรียญหล่อ หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง เหรียญหล่อ ล.พ.เพชร พิมพ์สี่เหลี่ยม</TD><TD vAlign=bottom align=middle>

พระเหรียญหล่อ หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง เหรียญหล่อ ล.พ.เพชร พิมพ์หยดน้ำ</TD><TD vAlign=bottom align=middle>

พระเหรียญหล่อ หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง เหรียญหล่อ ล.พ.เพชร พิมพ์หยดน้ำ</TD><TD vAlign=bottom align=middle>

พระเหรียญหล่อ หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง เหรียญหล่อ ล.พ.เพชร พิมพ์หยดน้ำ</TD></TR><TR><TD vAlign=bottom align=middle>

พระเหรียญหล่อ หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง เหรียญหล่อ ล.พ.เพชร พิมพ์หยดน้ำ</TD><TD vAlign=bottom align=middle>

พระพุทธชินราช หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวง เหรียญหยดน้ำ ล.พ.เพชร เนื้อทองแดง</TD></TR></TBODY></TABLE>
รวมรูปเหรียญหลวงพ่อเพชร

 

<TABLE cellSpacing=20 cellPadding=10 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD><TABLE borderColor=#6896c0 height=180 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=180 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD> </TD><TD><TABLE borderColor=#6896c0 height=180 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=180 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
หลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง พิจิตร พิมพ์พระประธาน หล่อโบราณ เนื้อทองผสม เก่า แท้ ขนาดห้อยคอ ศิลปะสวยงามมาก แปลก หายาก ไม่ปี พุทธคุณเด่น ทางด้าน เมตตามหานิยม แคล้วคลาด โชคลาภ

 

​

แต่บางท่านอาจสับสนกับเหรียญปั๊มและเหรียญหล่อของหลวงพ่อยิ้ม (พระครูศีลธรารักษ์) เจ้าอาวาสในสมัยนั้น ปี 2472 (ที่มา : หนังสือพระเครื่องพระบูชาเมืองพิจิตร)
<TABLE class=LM height=300 width=714 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width=213>

<TABLE height=104 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=2 rowSpan=3>

พระเครื่องเมืองพิจิตร
บท..บุหลง ศรีกนก


​

</TD></TR><TR><TD width="7%"> </TD></TR><TR><TD width="7%" height=91> </TD></TR></TBODY></TABLE>

<TABLE height=111><TBODY><TR><TD vAlign=top width="94%" colSpan=2>

​

</TD><TD width="6%" colSpan=2> </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="94%" colSpan=2> </TD><TD width="6%" colSpan=2> </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="47%">

​

</TD><TD vAlign=top align=left width="47%">

​

</TD><TD width="6%" colSpan=2> </TD></TR></TBODY></TABLE>​

</TD><TD vAlign=top width=491>
พระพิมพ์พบในเมืองพิจิตร ซึ่งพุทธศาสนิกชนสร้างไว้เพื่อสืบพระศาสนา ภายหลังมีผู้นิยมนับถือนำมาบูชาเป็นพระเครื่อง ตั้งชื่อเรียกใหม่ตามรูปลักษณะ และวัสดุที่สร้าง เช่น
พระพิจิตรเกศคด เพราะยอดพระเกศเอียง
พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า พระองค์อวบนูน มีขนาดใกล้เคียงเมล็ดข้าวเม่า
นอกจากนี้ยังได้สร้างพระเครื่องใหม่โดยจำลองพุทธลักษณะหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง ตั้งชื่อว่า หลวงพ่อเพชรชินเงิน และหลวงพ่อเพชรหน้าจั่ว
พระพิมพ์เก่า และพระเครื่องใหม่ของเมืองพิจิตรเป็นหลักฐานว่าชาวเมืองมีฝีมือในการสร้างพระพุทธรูปขนาดเล็ก แม้จะมีคตินิยมที่ต่างกัน

</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD style="PADDING-RIGHT: 20px"><TABLE class=ProductPictureBorder height=150 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
​

​

<TABLE class=ProductPictureBorder height=150 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>

​

<TABLE class=ProductPictureBorder height=150 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>

​

</TD><TD>พระเครื่อง หลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง จ.พิจิตร เนื้อเงิน บรรจุกริ่ง



รายละเอียด: หลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง พระอารามหลวง จ.พิจิตร เนื้อเงิน บรรจุกริ่ง พุทธาภิเษก พ.ศ.๒๕๓๔
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง: http://www.ppamulet.com
<NOBR>15/01/2551 (update </NOBR>
</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

ขอหาข้อมูลก่อนนะครับ

 

เป็นพระหลวงพ่อเพชรที่สร้างราว2500 เสกพร้อมพระหลวงพ่อเงินปี2515 เมื่อก่อนวัดมีเหลือเยอะครับปัจจุบันไม่มีแล้วเป็นการเสกของพระคณาจารย์สายพิจิตรร่วมกันและมีเศษทองเหลืองของบาตรหลวงปู่เอี่ยมเจ้าอาวาสวัดท่าหลวงองค์แรกผสมด้วยครับ

 

ขอโชว์พระหลวงพ่อเพชรของผมหน่อยครับ

ก็พอมีพระหลวงพ่อเพชรที่ผมได้ถ่ายรูปบางส่วนก็นำมาให้ชม
1.องค์แรกเป็นเหรียญปี2517หลวงพ่อเพชรไม่มีอุ ผมได้มาตอนที่บวชเณรที่วัดท่าหลวงปี2545 ครับท่านเจ้าคุณวิจิตรโมลีเมตตามอบให้กับมือตอนที่บวชและให้โอวาสว่าสัจจะและทำความดีหลวงพ่อเพชรจะคุ้มครองคุณ
2.พระผงอุดมทรัพย์สมเด็จหลวงพ่อเพชร หลังอุ องค์นี้รวบรวมจากข้าวที่พระคณาจารย์สายพิจิตรที่ท่านฉันและเก็บไว้เป็นมวลสารโดยสร้างเมื่อปี2539(คล้ายพระคำข้าวมาก) มีหลวงพ่อขวัญ ปวโร เป็นประธานอุปถัมภ์ในการจัดสร้าง และสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดสระเกศ ประธานจุดเทียนชัย
3.มีดหมอทำจากด้ามตะปูพระอุโบสถที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อเพชร โดยสร้างเมือปี2549จำนวนน้อยโดยเอาตะปูเก่าๆที่อยู่ในพระอุโบสถมาตีเป็นมีดหมอขนาดเล็กตอกโค้ดอุและเพชร พร้อมมีปลอกปัจจุบันทางวัดเหลืออยู่จำนวนน้อยมากแล้ว

 

ก้แบ่งเอามาชมครับอยากชมเช่นกัน

 

สวยมากครับ

 

หลวงพ่อเพชรขนาดบูชา3นิ้วพร้มฐาน5นิ้ว

 

หลวงพ่อเพชรขนาดบูชารมดำ3นิ้วรุ่น บารมีเพชรเงินทอง2551ครับ

 

รูปหล่อจำลองหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวงสร้างโดยโรงหล่อบูรณะไทย(หล่อได้สวยและเหมือนองค์หลวงพ่อเพชรได้มากที่สุด) ออกให้บูชาที่ วัดโรงช้าง จ.พิจิตร มีหลวงพ่อแย่บ วัดโรงช้าง หลวงพ่อทวี วัดโรงช้างและหลวงปู่ขวัย วัดบ้านใร่ เสกร่วมกัน3รูป(ล้วนเป็นศิษย์หลวงพ่อเงินบางคลานทั้งสิ้น3รูปนี้มรณภาพไปหมดแล้ว)

 

ส่งภาพหลวงพ่อเพชรที่สร้างในปี2539มาให้ชมครับ

 

เหรียญปั๊มปี2510