เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    b.jpg

    เจ้ากรรมนายเวร



    โยมขวัญ : เจ้ากรรมนายเวรนะเจ้าคะ มีตัวตนไหมเจ้าคะ สามารถจะกำหนดเราอย่างนั้นอย่างนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ยกทรง ด็อกเตอร์ ตอบบ้าง

    ยกทรง : เจ้ากรรมนายเวรมีตัวมีตนไหม จะกำหนดโทษเราได้หรือไม่

    โยมขวัญ : หรือว่าจะต้อง...อย่างเดียว

    ดร. ปริญญา : ไม่ใช่ๆ เจ้ากรรมนายเวรมีจริง เจ้ากรรมกับนายเวรไม่เหมือนกัน

    ยกทรง : แยกศัพท์กันนะ เจ้ากรรมเป็นยังไง นายเวรเป็นยังไง ตามที่หลวงพ่อเคยแนะนำ

    ดร.ปริญญา : คนที่เกิดมาในพระพุทธศาสนาจะต้องเชื่อเรื่องกรรมเสียก่อน ความเชื่อในพุทธศาสนา 4 อย่าง

    1. เชื่อเรื่องกรรม
    2 เชื่อเรื่องกฎของกรรม
    3. เชื่อว่าทำกรรมอันใดต้องรับผลแห่งกรรมอันนั้น
    4. แล้วก็เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นเรื่องกรรมมีจริง ทำอะไรต้องได้ผลอย่างนั้น ไปทำอะไรใครเขาไว้คนนั้น เขาก็เป็นเจ้ากรรมของเรา

    ส่วนนายเวรนั้นจอง เจ้ากรรมนี้ไม่ได้จอง

    แต่นายเวรนี้จอง ชาตินี้มึงฆ่ากู ชาติหน้ากูจะฆ่ามึงอย่างนี้ไม่ตกนรก แต่ว่าจะจองเวรกัน

    แต่ถ้าเจ้ากรรมนี่ตบยุงเพี้ยะ นั่นกรรมเกิดละ

    ท่านเจ้าคุณฯ : จดละ จด (ลงบัญชี)

    โยม : เจ้ากรรมนายเวรอุทิศด้วยใจมีความสุข เมื่อไหร่เขาถึงจะเลิกจองเวรเรา

    ดร.ปริญญา : ไม่เลิกหรอกนะ ถ้านายเวรไม่อโหสิกรรม ไม่เลิก

    ท่านเจ้าคุณฯ : คนที่แม้จะเข้านิพพานแล้วก็ไม่หมดเวรหมดกรรมกัน

    โยม : ...เมื่อไหร่คะ

    ดร.ปริญญา : ก็คุยกับเขาได้ไง เราคุยกับเขาได้

    โยม : แล้วการคุยต้องคุยอย่างไรคะ

    ดร.ปริญญา : ที่บอกเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เราอุทิศส่วนกุศลและขออโหสิกรรมนี่เพราะเหตุนี้

    โยม : แล้วที่ว่าคุยคือคุยอย่างไรคะอาจารย์

    ดร.ปริญญา : ก็...ถ้าเราคุยได้ก็เรียกเขามาคุย ถ้าเราคุยไม่ได้ก็ให้หลวงพี่ช่วยเรียกให้ (หัวเราะ)

    ท่านเจ้าคุณฯ : มีเพื่อนฉันอยู่องค์หนึ่ง ไม่ได้โฆษณานะ คือท่านก็ทำงานเกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ คือว่ารักษาพวกผู้ป่วยโรคโน้นโรคนี้ โรคเอดส์บ้างอะไรบ้าง คือเสียสละเหมือนกัน คือพี่น้องก็อย่าไปเข้าหาท่านนะ เดี๋ยวจะติดท่านน่ะ อย่างนั้นอย่างนี้ พี่น้องพ่อแม่อะไรก็ไม่สนับสนุนอย่างนี้ กลัวจะติดเอดส์

    ท่านบอก เฮ้อ พระพุทธเจ้าบอกให้เชื่อกฎของกรรมไง มึงไม่เชื่อกูก็เชื่อ พี่น้องไม่เชื่อกูก็เชื่อ ต้องทำ ทำก็มีการให้น้ำเกลือ ฉีดยา คือ พระเดชะ อยู่ที่อยู่ที่สุพรรณบุรีหรือยังไงนี่ อยู่วัดขุยโพธิ์

    ทีนี้ก็มีเกิดคนมาหาท่าน สะง่องสะแง่งมา อะไรอย่างนี้ คุยกันในกุฏิ เราก็บอก เฮ้ยเป็นอย่างไรวะ รักษาอย่างไรให้หาย มันถึงรักษาคนหาย

    ไม่รักษาอะไรหรอก หลวงปู่โต ท่านคุมอยู่ พอคุยกับหลวงปู่โต ท่านบอก เฮ้ย แกจะรักษามันหรือเปล่า หลวงปู่ ช่วยมันด้วยเถอะครับ ช่วยมันด้วย ไอ้คนนี้มันมาหาผมอะไรอย่างนี้

    ท่านก็ยิ้มๆ หลวงปู่โตท่านก็ แกเอาแน่หรือ เอาครับ ผมจะเป็นอะไรก็ช่างครับ ผมยอมครับ ขอให้ไอ้นี่มันหาย
    ท่านเดชะติดต่อกับเจ้ากรรมนายเวร คือมันไม่ยอมยังไงล่ะ คือมันไม่ยอม ทำมันมามากมันไม่ยอม

    จนหลวงปู่โตมาต้องเทศน์ (โปรด) การจองเวรกันนี่มันไม่มีความสุขหรอก มีความสุขไหม เทศน์โปรดจนมันยอม แต่ก่อนจะยอมมันบอก ต้องบวชพระให้มัน 3 องค์ บวชพระให้ 3 องค์ หมายความว่า ไอ้คนป่วยมีลูก 2 คนที่พามาหามมานี่ต้องบวชพระ

    ทีนี้ก็ตกลง บอกเอายาอะไรให้กินล่ะ ก็เอายาอะไรต่ออะไรให้มันกิน ฉันก็ต้มยาหม้อ จริงๆกินน้ำเปล่าก็หาย มันยอมแล้ว เจ้ากรรมนายเวรมันยอมแล้วนี่ แต่เอายาให้มันกินซะหน่อย

    กลับไปก็ไอ้ 2 คนบวช ไอ้คนป่วยนี่มันจะบวชเหมือนกัน เมียบอก พี่ยังไม่แข็งแรงจะบวชทำไมเล่า ก็หายไป เงียบไปเลย

    อยู่ทางนี้พวก (ท่านเดชะ) ก็ป่วยสิเป็นปีแล้ว ป่วยหมอบอกว่าจะผ่าตัดไขสันหลังแบบมันไปไม่ไหวแล้ว เส้นประสาทอะไรมันทับตรงไหน หมอป่วยแล้ว

    หมอป่วยแล้วคนก็มาเยี่ยม คนมาเยี่ยมก็ถาม เฮ้ย ไอ้คนที่กูรักษาไปมันเป็นไง มันหายหรือเปล่าวะ หลวงพ่อ หายแล้ว แล้วมันบวชให้กูหรือเปล่าวะ ที่มันตกลงไว้

    ไอ้ลูกมันบวช แต่คนป่วยมันไม่บวช เมียมันไม่ให้บวช ท่านก็บอกว่า เนี่ย ถ้ามึงจะหายมึงจะตายก็มาหากู รับปากกูว่าจะบวช หายแล้วมึงก็ไม่บวชให้กูเนี่ย ไม่บวชนี่กูก็จะตายอยู่เนี่ย กูจะต้องเข้าโรงพยาบาลจะผ่าตัด หมอเขาว่าอะไรไม่รู้ทับเส้นประสาท

    ****เรื่องนี้ตรงกับสุภาษิตว่า ช่วยเขาเอ็นเราขาดเลย ตอนนี้คงเลิกรักษาแล้วกระมัง****


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณสนทนาที่บ้านสายลมฯ" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 492 เดือนมีนาคม 2565 หน้า 29-30)



     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    0001 (11).jpg
    สงครามใหญ่ของโลก

    (คัดย่อจากหนังสือ "พุทธพยากรณ์")

    พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้กับพระอานนท์ว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะเกิดการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลงมาจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชนและบุคคลให้พินาศ จะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก

    แต่ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะถือว่าเป็นการณ์ร้ายแรงนักยังหาได้ไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว อานันทะ ดูก่อนอานนห์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก

    ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราผ่าฟันกันและกัน (ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึงคนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน) ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมากๆ สมณะ ชี พราหมณ์ จะล้มตาย

    จะตายไปฝ่ายละครึ่งจึงจะเลิกรากัน

    สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก"



    แต่ทว่าสงครามคราวนี้จะเกิดหรือไม่เกิด อันนี้ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าต่างคนต่างก็ตั้งท่า ต่างคนต่างก็เตรียมพร้อมที่จะลงมือซึ่งกันและกัน และคำพยากรณ์ก็จะไม่พยากรณ์ว่า จะมีสงครามหรือไม่

    แต่ทว่ามีหนังสือเล่มหนึ่ง เขาให้ชื่อว่า "นอสตราดามุส" เขาพยากรณ์ล่วงหน้าไว้ถึง 2,000 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้ ค.ศ. 1990 จะเป็นปีเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้วสงครามโลกครั้งที่ 3 นี่ จะเป็นสงครามที่มีความร้ายแรงมาก

    แต่ความจริงหนังสือนี่อาตมาก็ไม่ได้อ่าน เขาให้มาเหมือนกัน อ่านผ่านไปนิดเดียว แล้วก็จะมีเหตุการณ์ร้ายต่างๆเกิดขึ้น

    รวมความแล้ว เป็นสงครามทำลายศาสนา ในระหว่างศาสนากับศาสนา คือ "ศาสนาคริสต์" กับ "ศาสนาอิสลาม"

    เขาว่าอย่างนั้นนะ ตามที่หนังสือว่า หรือตามที่คนบอก อาตมาก็ไม่ได้อ่านชัด ทีนี้เรื่องของ"ดามุส" ดามุสเขาพูดไว้จะแน่นอนขนาดไหนก็เป็นเรื่องของเขา สำหรับเราบรรดาท่านพุทธบริษัทในฐานะที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เราก็มาดูคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าบ้าง

    เป็นอันว่าสงครามที่จะเกิดขึ้นที่ "ดามุส" บอกก็หมายถึงสงครามซีกตะวันตก หมายถึง อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศษ และประเทศอื่นๆ กับตะวันออกกลาง

    สงครามจริงๆ ยังคงไม่ถึงประเทศไทย

    ก็เป็นอันว่า "ในเมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้นทางด้านตะวันออกกลาง ทีนี้เศษสงครามมันก็อาจจะเข้ามาถึงประเทศไทย ต่อไปก็เป็นการเดาอีก ขอเดานะ! ไม่ได้พูดตรงๆ จะหาว่าดูผิดก็ไม่ได้ เดามันผิดได้

    ขอเดาว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ แต่ความจริงเวลานี้ยังไม่มีใครจะให้เกิดเวลาที่พูดนี่นะ วันที่ 8 ตุลาคม 2533 แต่ว่าหนังสือนี่จะออกถึงเดือนมีนาคม ถ้าสงครามเกิดก็เกิดแล้ว ไม่เกิดก็ไม่เกิด ในระหว่างนี้ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างพูด แสดงเรื่องการเมือง เอาเหตุผลต่างๆ มาหักล้างกัน ก็ไม่แน่นักว่ามันจะเกิด ก็อยากจะบนบานศาลกล่าวว่า มันไม่เกิดนั่นแหละเป็นการดี

    แต่ทว่า "พระดำรัสขององค์สมเด็จพระชินสีห์ไม่เคยผิด แต่ว่าท่านไม่ได้บอก พ.ศ."

    (ถ้าสงครามใหญ่เกิด) สำหรับความรู้สึกผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย เพราะว่า พระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของๆท่านทุกชิ้นที่ผลิตออกมา (หมายถึงวัตถุมงคลต่างๆ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ) ท่านบอกว่า กันรังสีต่างๆ ได้ทั้งหมด รังสีต่างๆ จะไม่สามารถกระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีของๆท่านไว้ ที่ท่านทำให้นะ

    ก็เป็นอันว่า ท่านยืนยันตั้งแต่ พ.ศ. 2521 และท่านทำทุกครั้ง ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่างๆ ไม่ต้องกลัวเลย รังสีจะไม่เข้ามาใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให้


    ของนั้นอยู่ที่ไหน ก็หากันเองก็แล้วกัน


    ของนั้นจะบอกไว้เป็นนัยๆ เอาตรงๆเลยก็ได้คือ "พุทธานุสสติ"

    นั่นคือ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า "พุทโธ" เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" ก่อนจะออกจากบ้าน

    ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า "พุทโธ" ก่อนอธิษฐานขอความปลอดภัย ก่อนจะไปก็เสกน้ำลายด้วยกำลังของพุทโรสัก 3 ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไป หรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน

    หรือว่าถ้าทำอย่างนี้ ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ ติดไว้กับร่างกาย แต่ต้องอาราธนาทุกวันว่า นะโม ตัสสะฯ 3 ครั้ง แล้วก็ว่า "พุทโธ" เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่างๆ แม้แต่สะเก็ดของระเบิด หรือว่ากระสุนปีนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมี "พุทธานุสสติ" เป็นกำลังใจ

    ทางด้านพุทธศาสนาก็มี บอกไม่ได้จะบอกได้อย่างไรว่า เรานับถือพระพุทธเจ้าเท่ากันหรือเปล่า ถ้านับถือเท่ากัน ก็เอาของที่ท่านให้ไว้ ท่านให้ไว้นั่นก็คือความดี ของดี ถ้ามีไว้ในรัศมีนั้นไม่มีอันตรายจากภัยระเบิด และภัยโจมตีต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น

    ถ้าเรานับถือพระพุทธศาสนาจริง และยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริง สิ่งใดที่ท่านให้ไว้ สิ่งนั้นเราเคารพด้วยความจริงใจ แล้ว ทุกท่านจะปลอดภัยจาก"สงครามโลกครั้งที่ 3 เหตุต่างๆ จะเกิดขึ้น จะไม่พ้นวิสัยของรัฐบาล

    ถ้าถามว่า เขาใช้อาวุธเคมี ใช้รังสีต่างๆ ก็ขอตอบว่า เป็นเรื่องเล็กๆ พุทธศาสนาป้องกันได้แน่ อันนี้ขอยืนยัน จะเป็นนิวตรอน นิวเคลียร์ นิวอะไรก็ตามเถอะ ขอยืนยันว่า พุทธศาสนาป้องกันได้แน่

    แต่ว่าทั้งนี้ท่านทั้งหลายต้องไปหาจากพระที่เป็นนักปฏิบัติทางด้านจิตใจที่ท่านเข้าถึงฌานโลกีย์ทรงตัว และก็ทรงความเป็น "อภิญญา"

    ถ้าถามว่า เวลานี้จะหาที่ไหน ก็ต้องขอตอบว่า เวลานี้อย่าเพิ่งหา อาจจะมีอยู่ที่ไหนบ้างก็ได้ แต่ไม่มีใครเขาบอกกัน ถ้าถึงเวลานั้นจะปรากฏตนเอง ท่านจะแสดงออกมาให้เห็นถึงความปลอดภัยว่า ท่านสามารถจะป้องกันได้ ถ้าท่านองค์ไหนจะเป็น พระก็ดี จะเป็นฆราวาสก็ดี ไม่ได้หมายความว่าพระเสมอไป ฆราวาสที่มีความสามารถก็มีมาก ก็สามารถจะป้องกันได้ สามารถจะทำได้ ก็พึ่งท่านนั้น ท่านต้องให้เป็นที่พึ่งแน่นอน

    เวลานั้นก็ตาม ท่านที่ทรง "อภิญญา"จะเป็นพระก็ตาม จะเป็นฆราวาสก็ตาม ไม่มีใครปกปิดความสามารถ สามารถจะป้องกันรังสีต่างๆ ได้ และป้องกันสรรพาวุธได้ตามกำลัง

    ก็รวมความว่า ประเทศไทยไม่ต้องหนักใจ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าไว้ ความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ก็มี 4 อย่าง เอาสักสอง, 4 อย่างให้เป็นการใบ้หวยเลยนะ

    4 ที่หนึ่งก็เอาอย่างง่ายๆ ก็คือ "สังคหวัตถุ 4" คือเป็นความดีขั้นต้น "พรหมวิหาร 4" เป็นความดีขั้นสูงสุด

    ทีนี้ถ้าสงครามเกิดขึ้น ข่าวคราวก็ย่อมถึงกัน เวลานี้มีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ถ่ายทอดจากดาวเทียม เราสามารถจะเห็นภาพได้ ในเมื่อเห็นการสูญเสีย ความตายเกิดขึ้น น ความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล

    เวลานั้นบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะกลัวตาย

    สำหรับอีกด้านหนึ่ง ท่านนักปฏิบัติที่เจริญสมาธิจิต ก็จะเร่งรัดตัวเอง ให้ทำสมาธิให้ดีขึ้น โดยหวังอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้วไม่ขอเกิดใหม่ อย่างเลวที่สุดตายจากความเป็นคนไปสวรรค์ก็เอา หรือถ้ากว่านั้น ไปเป็นพรหมก็ดี ถ้าดีกว่านั้นไปนิพพานได้ก็ดี

    ท่านจะเร่งรัดตัวเอง การเร่งรัดตัวเองประเภทนี้กำลังใจก็จะมีสมาธิ ในที่สุดอภิญญาก็จะเกิด ในเมื่ออภิญญาเกิดก็จะใช้ผลของอภิญญาและญาณต่างๆ ที่ได้จากสมาธิ และ วิปัสสนาญาณ เอามาช่วยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสุขปลอดภัย

    ทำตามฝันก็แล้วกัน คือใช้บารมีของพระพุทธเจ้าคุ้มครอง ไอ้นี่มันมีแน่นะ มันเริ่มมีตั้งแต่ พ.ศ. 2530 นี้เป็นต้นไป จะค่อยมีเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งถึงจุดสูงสุดของมัน จุดสูงสุดไหนก็ไม่ทราบ แต่หมอไทยเขาก็ดู หมอฝรั่งเขาก็ดู บอกว่าปี 2542 จะตายเป็นล้าน

    แต่ฉันไม่ยืนยันนะ แต่มันเริ่มไหวตัวตั้งแต่ พ.ศ. 2530 นี้เป็นต้นไป ถ้าเกรงภัยภิบัติแบบนี้ ถ้าบังเอิญมันมีขึ้นรุนแรงจริงๆนะ คนที่มีผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม ผ้ายันต์แดงน่ะ ติดธงชาติเอาขึ้นปักไว้เหนือหลังคาบ้าน จะปลอดภัยจากรังสีต่างๆ พระท่านสั่งเลย

    (ด้านวัตถุสิ่งของต่าง ๆ)

    อันดับแรก เตรียมผ้าไว้ก่อน
    อันดับสอง เตรียมพื้นดินไว้ ถ้ามีอยู่บ้าง ไม่มากไม่มายก็อย่าเพิ่งขายกันไป (เว้นแต่ได้กำไรมาก)
    ประการที่สอง(สาม) ก็เตรียมเนื้อ เตรียมกาย เตรียมใจ

    เตรียมใจไว้นึกถึงความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า "โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ โลกไม่มีความสุข โลกเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ในเมื่อเป็นอนิจจัง มันก็เป็นทุกข์ ในที่สุดก็เป็นอนัตตาตายหมด"



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 261 เดือนธันวาคม 2545 หน้า 63-66)

    57.jpg


    จาก ถาม-ตอบ ที่ จ.ป.ร. ครั้งที่ 2 หน้า 2A

    มีนักเรียนนายร้อย จ.ป.ร. ถามหลวงพ่อเรื่องถ้าสงครามโลกเกิดขึ้น "ยักษ์นอกศาสนาคือประเทศใด ครับ"

    หลวงพ่อตอบว่า "ถ้ายักษ์หินนอกพระพุทธศาสนาจากลุกขึ้นมาอาละวาด อันนี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเราจะคิดกันไปอย่างภาษาสามัญชนนะ อาจจะเป็น "ประเทศจีน" ก็ได้

    เพราะว่าประเทศจีนแต่ก่อนเป็นประเทศใหญ่ก็จริง แต่เป็นประเทศที่มีอำนาจ ใช่ไหม แต่เวลานี้ประเทศจีนก็กลับมาเป็นประเทศมหาอำนาจ นี่เราเดาๆกันนะ แล้วแกลุกขึ้นมาจริงๆ แกก็อาละวาดจริงๆ ด้วย นี่ก็เดา

    จะถูกต้องตามพระพุทธทำนายหรือไม่ อันนี้อาตมาไม่รับรองนะ



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 261 เดือนธันวาคม 2545 หน้า 66)

    0001.jpg

    ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นประเทศไทยจะเป็นเจ้าโลก
    (จากสนทนาที่นวราช ปี 2527)



    ถ้าเขาเกิดสงครามใหญ่เมื่อไหร่เราจะเป็นเจ้าโลก มันตายกันหมดเหลือแต่ประเทศเรา ประเทศเล็กมันไม่อยากมาแตะ ไอ้ประเทศขี้หมานี่ไม่ต้องไปรบกับมัน ยึดเมื่อไหร่ก็ได้มันเลยไม่รบกับเรา ถ้าเกิดสงครามใหญ่จริงๆ มันจะเกิดหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ถามท่านตั้งแต่ปี 18

    ถามว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 มันจะเกิดไหม แล้วจะเกิดเมื่อไหร่

    ท่านบอกฉันจะไม่พูดเรื่องสงครามโลก ท่านบอกสงครามใหญ่อาจจะมี แต่สงครามโลกฉันไม่พูด แสดงว่ามันไม่มี

    ก็ถามว่าถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไง

    ท่านก็บอกว่าฉันก็บอกไว้แล้ว ตั้งสองพันปีเศษว่าถ้าเรื่องมันเกิดขึ้น "ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาจะตายไปฝ่ายละครึ่ง แต่ประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก"

    แต่ของเรามันกระจิ๋วหลิว โอ้ยยึดเมื่อไหร่ก็ได้เลยไม่ยึดเลย ยักษ์ต่อยักษ์สู้กัน อันนี้เสือกับราชสีห์กัดกัน ไอ้หมาจิ้งจอกเลยคาบเนื้อไปกินเสร็จ ใช่ไหม นี่เป็นเรื่องของเขานะ


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 261 เดือนธันวาคม 2545 หน้า 66-67)

    0001 (3).jpg

    สนทนาเรื่องสงครามโลก (คัดจากสนทนาที่ตึกรับแขก 30 ก.ค. 33)


    ...ก็หาไม่ได้ น้ำมันปลาก็หาไม่ได้ ต้องใช้น้ำมันหมู จุดตะเกียง ไอ้น้ำมันหมูก็ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้ตะเกียงกระจุกไง น้ำมันมะพร้าวก็ใช้ได้ แต่หลวงพ่อใช้น้ำมันหมู เพราะอะไรรู้ไหมใช้ในครัวได้ด้วย ใช่ไหม

    ตามคำทำนายเขาว่าจะชนะค่ะ เอ้ย!แขกแพ้ ..ใช่! คำทำนายเขาว่าจะบุกไปถึงยุโรป

    นิวเคลียร์อาจจะไปลงนิวยอร์ค 1 ลูก

    ไปๆ มาๆ แขกแพ้นะ ใช่แขกแพ้ ใช่! บุกไปไกลแต่เอะ! เรานี่ที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ก็น่าจะคิดเหมือนกันนะ เมื่อครั้งที่ 3 "หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลใช่ไหม จะล้มตายกันฝ่ายละครึ่งจึงจะเลิกสงคราม แต่ประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก"

    นี่ต้องคิดเชียวนะ เพราะว่าศาสนามันเป็นสงครามศาสนา เรื่องนี้ต้องคิด

    เมื่อคืน... หา! ที่วัดจะเป็นยังไง? ที่วัดก็ไม่มีอะไรจะกินนะชิ (หัวเราะ) จะทอดแหปลาก็เหลือไม่กี่ตัว แต่
    ในกรุงเทพฯคงไม่เป็นไรหรอกมั๊ง ไม่เป็นไรหรอก คือเราไม่ใช่ตัวสงครามกับเขา เมื่อก่อนสงครามมาอยู่บ้านเรา ญี่ปุ่นเขามาที่นี่

    แต่นี้เขาเกิดตะวันออกกลาง มันก็มีเพียงแต่ว่า
    ประเทศไทยอาจจะเป็นฐานทัพของใครคนใดคนหนึ่ง แต่อเมริกานี่เขาต้องเอาแน่ ถ้ามันจะยิงมาก็แค่ "อู่ตะเภา" นะ! แค่นั้นนะ "อู่ตะเภา อุดรฯ"

    ตานี้มีปัญหา ถ้าเราเป็นฐานทัพของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งก็จะก่อวินาศกรรม อันนี้เขาต้องทำแน่

    เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม อิสลามบ้านเราก็มีเยอะนะ....โยมมีอะไรคุยไหมล่ะ...ทายถูกมาก แม้แต่แผ่นดินถล่มเขาก็ยังทายถูก ไอ้สงครามโลกนี่ เคยถามพระพุทธเจ้าท่านมา เมื่ออเมริกาถอยไปนะ จะเรียกสงครามโลกยังไม่แน่ ควรจะเรียกสงครามใหญ่

    สงครามโลกมันต้องหมายถึง ทุกประเทศเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ใช่ไหม นี่ถ้าสงครามใหญ่ประเทศทุกประเทศยังร่วมกันไม่หมด

    ท่านบอกสงครามใหญ่จะเกิดตะวันออกกลาง ท่านบอกตรงเลย ถ้าเกิดที่นั่นเราก็น่าหนักใจอย่างเดียวคือ น้ำมัน น้ำมันดึงขึ้นมาใช้พอไม่พอ ใช่ไหม! ซื้อเขาคงจะซื้อยาก เข้าไปซื้อยังไงเขารบกันนะ ก็จะได้จากอินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย ก็เห็นจะพอ

    ตะนี้ ทางอินโดนีเชียนี่อเมริกาก็อาจจะดูดไปบ้างละมั๊ง น้ำมันอยู่ใกล้นะ

    (เขามุสลิมนะค่ะ)

    เออ! มุสลิมเหมือนกันเหอะ เออ! นั่นชิ ทั้งแถวเราปักก์ใต้ ต้องคิด...ใช่แต่ว่า! ที่มีขึ้นมามันมีมาจากเงินของลิเบีย ลิเบียเขาส่งเงินมานานแล้ว แบ่งแยกดินแดนนี่นะ เอ้าโยมมีอะไรคุยไหมล่ะ

    แต่มันอาจจะมีบ้าง แถบตะวันออกกลางหลวงพ่อก็ไม่ใช่ไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าพูดไม่เคยมีอะไรผิดใช่ไหม...ว่าไงจ๊ะ!

    เติมน้ำมันโซล่า เขาขายเป็นน้ำมันก๊าซ เขาซื้อน้ำมันมะพร้าวมา หลวงพ่อไปซื้อน้ำมันหมูมา ก็แบ่งมาใส่ตะเกียงเสียที่เหลือก็ผัดอะไรกินได้ ใช่ไหม (หัวเราะ)

    นี่วัดเราก็กว้างถ้าต้องเก็บของกันอย่างดี..ขโมย! ก็ต้องคิด ประเทศไทยเราก็ต้องทะเลาะกับอิสลาม อิสลามมันฮือแน่! ตานี้ในเมื่ออิสลามมันก่อตัวขึ้น อเมริกาต้องมา เขาถือว่าถ้าเราเสียไป อเมริกามันก็แย่ ใช่ไหม อู่ข้าวอู่น้ำนี่ ใช่ไหม เขาทิ้งไม่ได้

    ประการที่ 2 อย่างน้อยอาหารประเทศไทยเราพอเลี้ยงอาหารเขา เขาซื้อ แต่ให้มันมีที่ซื้อใช่ไหม ตอนน้ำมันแพงไม่ทอดน้ำมันนะซิ เอ้าก็ไม่แน่ เอ! สงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าวเกวียนละ 40 บาท เวลานั้นมัน 2 เยน เท่ากับ 1 บาท ญี่ปุ่นเลยให้ขึ้นราคาข้าวเป็น 80 บาท ฮะ! ไม่ต้องแลก แลกบาทต่อบาทไปเลย

    ทีนี้ของเราก็ดีอย่างไอ้โรงงานมันมีมาก เวลานั้นไม่มีอะไรเลยนะ ไม่ต้องเพิ่งต่างประเทศเขามาก ยาก็หาไม่ได้ ยาก็หายาก

    ไอ้จิตใจคนก็เป็นอย่างนี้ล่ะนะ! แต่พอยิงๆเข้าก็ชักไม่หนี มันมาก็ดูก่อนทิ้งตรงหัวเราไหม ถ้าทิ้งลงหัวเราก็หลบ ถ้าทิ้งไม่ตรงเราก็ไม่หลบ ใหม่ๆนี่ชิ ใหม่ๆ ออกกันวิ่งชนกันนะ

    เช้าถามท่านบอก มันจะเกิดเฉพาะภาพโน้น ภาพนี้ยังไม่เกิด (หัวเราะ) ไม่ใช่ไฟบรรลัยกันต์แท้ มันบาปเก่าๆ เขารบกัน มันต้องตายไปฝ่ายละครึ่งจึงจะเลิกรากัน

    ไม่พอ 20 ล้านล่ะมั๊ง นั่นซิ เห็นจะร้อยล้านละโว้ย ฝ่ายละครึ่ง ไอ้หนังสือมันบอกว่านิวยอร์กจะราบคาบ ใช่ไหม ลองนิวยอร์กราบคาบนั่นไม่ใช่น้อยนะ!

    ถ้านิวเคลียร์มันจะมีแต่ถนนว่าง ของเรามันหลบได้ เราไม่ต้องหลบ แต่นิวเคลียร์ไม่มา

    ก็มีปัญหารัสเซียจะเข้ากับใครหรือเปล่าแต่ว่าถ้าแขกตีหนักเข้า รัสเชียก็ต้องเอานะ ไม่เอาก็ไม่ไหว มันคนละศาสนากันแล้วนี่! อีตอนนี้ว่าไม่เข้าด้วย สำคัญมือขวาว่าไม่เข้ามือซ้ายแหย่ ส่งของนะ เอ้า อาวุธ! เวลานี้รัสเซียไม่มีสตางค์นะ จน ซื้ออาวุธก็ขายวะ แต่ว่าไม่ได้ยกทหารมาร่วมด้วยก็หมดเรื่องนะ

    อาจจะรวยอีกประเทศ คือประเทศจีน

    ไฟฟ้าวัดเราอาจจะไม่มีน้ำมัน ต้องซื้อน้ำมันหมูมาจุดตะเกียงกระจุก

    ถ้าเกิดก็คงไม่นาน

    แต่ไอ้นั่นพยากรณ์นาน เอาจริงๆน่าจะไม่นาน อาวุธมันร้ายแรง นี่ต่างอิรักมันฮึ่มๆ อยู่แล้วนะมันคงยิงใหญ่ ทีแรกนะ ยิงให้หนักตั้งตัวไม่ติดใช่ไหม ตัดกำลังส่วนล่างเสียก่อน

    ก็อย่างที่หลวงพ่อว่า ระวังอิสราเอล

    ใช่ๆ ระวังอิสราเอล ไอ้เสือนั่นแหละ แต่ความจริงถ้าเกิดร่วมกันแบบนี้ ไอ้อิสราเอลมันก็มีพวกมากนี่ ใช่ไหม ไม่ใช่แต่มันคนเดียว ไอ้เรื่องเทคนิคต่างๆเป็นของผม กำลังส่วนใหญ่ของท่าน นั่นแนะ ไม่ใช่มันคนเดียว ก็เก่งขึ้น ใช่ๆ เอาแน่

    อิสราเอลมันเอาแน่

    ใช่ๆ เอาแน่ ไอ้นี่พร้อม เมื่อเร็วๆนี้เขาลองจรวดที่อเมริกาส่งให้ ทดลองครั้งแรก จรวดนี่สามารถวิ่งชนจรวดได้นี่! ถ้ามีจรวดมาวิ่งชนจรวดได้

    จรวดพิฆาตจรวด

    ใช่ๆ ถ้าไม่เจอะจรวดก็ไปพิฆาตคนนะชิ ถ้ามีจรวดมาก็เข้าพิฆาตจรวด

    เดี๊ยวนี้อิสราเอลมันเก่ง ทีมงานมันดี ระวังไปล่อเป้า

    เออ! ไอ้นี่นะสิ สำคัญมาก คือว่ามันยิงเป้าเวลาเกิดความร้อน ไอ้พวกนี้จะวิ่งหาความร้อน ใช่ๆ ก็ยิงไปเฉียดๆ พ้นบ้านโน้น พ้นๆไป ก็ไปลงทางโน้น ก็ไปลงแถวนั้น ไปเถอะไอ้เบนๆจรวดนี่ของอเมริกามันมีนะ จรวดมันยิงมามันทำให้เบนเปลี่ยนทิศทาง.....

    ดามุสใช้อาโปกสิณลูก ไม่ก้อยนะ ได้ฌานโลกีย์และได้ฌาณขนาดนี้ อนาคตังสญาณ นี่ 400 ปี นี่ไม่ใช่เบานะ แต่ว่าถ้ากำลังของฌาณจริงๆ มันมากกว่านี้นะ

    แต่ว่าอีตอนที่เขาบอกว่าไฟบรรลัยกัลป์จะเกิดใช่ไหม เมื่อเช้าถามท่าน พระพุทธเจ้าท่านบอก เกิดเฉพาะภาพโน้น ภาพนี้ยังไม่เกิดหรอก (หัวเราะ) ไม่ใช่ไฟบรรลัยกัลป์แท้

    ศาสนาพุทธต้องอยู่ครบ 5,000 ปี ถ้า 5,000 ปี ถ้ายังไม่เลิก ไฟบรรลัยกัลป์ยังไม่มา พ.ศ. นี่ถึง พ.ศ.นี่ แกเก่งนี่แกเล่นเอา พ.ศ. คร่อมไว้ (หัวเราะ)


    เมื่อคืนนี้ไปดูที่เขาสรุปนะ กาลเวลาไอ้ข้างในอ่านไม่ไหว เวลาไม่มีจะอ่าน สรุปกาลเวลา พ.ศ. เท่าไหร่จะมีอะไรเกิดขึ้น พ.ศ.เท่าไหร่มีอะไรเกิดขึ้นนี่แกบอกเริ่มต้น พ.ศ. นี่ถึง พ.ศ.นี่ ก็มาคิดว่าไอ้หมอนี่เก่าแฮะ ผิดไม่ได้ หลายปี (จบ)


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 261 เดือนธันวาคม 2545 หน้า 67-70)

    ถูกต้อง.jpg
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    78506661_1427472887429246_3914603102480629760_o.jpg
    อภิณหปัจจเวกขณ์


    วันนี้ว่ากันถึง อภิณหปัจจเวกขณ์ 5 อย่าง ไอ้ที่ท่านบอกให้พิจารณาเนืองๆ ทุกวันไป แต่จะไม่ว่าบาลี มันเกะกะ ค่อยๆอ่านกันอย่างนี้ เป็นภาษาไทยๆสบายกว่า

    "อภิณหปัจจเวกขณ์" นี่ท่านบอกว่ามี 5 คือ

    1. ควรพิจารณาทุกๆวันว่า "เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้" อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณนะ
    2. ควรพิจารณาทุกๆวันว่า "เรามีความเจ็บคือการป่วยไข้ไม่สบายเป็นธรรมดา" ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้
    3. ควรพิจารณาทุกๆวันว่า "เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตาย ไปได้"
    4. ควรพิจารณาทุกๆวันว่า "เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น"
    5. ควรพิจารณาทุกๆวันว่า "เรามีกรรมเป็นของตน เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว"

    เป็นอันว่า อภิณหปัจจเวกขณ์ นี่มี 5 ความจริงนี่ที่เคยว่า ชาติปิทุกขา ชราปิทุกขา มรณัมปิทุกขัง อะไรนี่ก็เอามาจากหมวดแบบนี้แหละ เราก็ย้อนไปสักนิดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "เราควรพิจารณาทุกๆวัน"

    ถ้าทุกๆวันนี่ อยากจะเติมอีกสักนิดหนึ่งว่า.....ทุกลมหายใจเข้าออก ดีไม๊

    (จากธัมมวิโมขก์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 46 หน้า 67)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2022
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    15032306_198720057249825_5688079761033727292_n_zpskbchssse.jpg

    เทวดาชวนขุดทอง



    …เมื่อแผ่นดินสะเทือน แผ่นดินสั่นเกิดขึ้น ดร.ปริญญา ก็บอกว่าเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติบ้าง แต่ทว่าเจ้าลิงนี่สิ ฤาษีลิงดำหัวหน้าทัศนาจรมันไม่ว่าอย่างนั้น พอแผ่นดินสะเทือน ก็กำหนดจิตคิดว่านี่มันเรื่องอะไร พอมีความดำริเท่านั้น ก็ปรากฎว่า บรรดาปิยสหาย คราวนี้ไม่ใช่หมาแล้ว กลายเป็นผี มีศีกดิ์ศรีใหญ่ แต่งตัวสีแดงพรืดไปหมด ประมาณ ๗๐ - ๘๐ คน แล้วก็ประมาณสีเขียวสีดำอีกหลายร้อยคน เห็นบริเวณนั้นเกลื่อนกล่นไปหมด จึงถามว่า

    “นี่…พ่อเทวดา แกมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ และทำไมแผ่นดินมันถึงสะเทือน”

    เขาก็ชี้ไปที่ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง คราวนี้ การไปคราวนี้ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง น้องชาย เจ้าพระยาโกษาปาน ท่านไปด้วย (ความจริงชื่อนี้สมมติขึ้นมา อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ๆ…ล้อกัน และ เจ้าพระยาโกษาป่อง เป็นใครก็อย่าคิด อย่าถาม ถามก็ไม่บอก)

    แกก็เลยบอกว่า “เจ้าพระยาโกษาป่อง มันคิดจะขุดทรัพย์ มันคิดว่าที่นี่มีทรัพย์มาก มันอยากจะได้ทรัพย์ใต้แผ่นดิน ในเมื่อมันคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้มันรู้ว่ามีจริง”

    ก็เลยถามเขาว่ามีมากไหม เขาบอกว่า เฉพาะทองคำประมาณ ๑๕ ตัน เห็นจะได้ แล้วยังมีแก้วที่มีค่ามาก ทีนี้ถามเขาว่า “มันอยู่ลึกไหมวะ จะขุดได้ไหม?” แกก็เลยบอกขุดไม่ยากหรอก มันไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณ ๑ กิโลเท่านั้นก็ถึง ก็เสร็จ ก็เลยบอกว่า

    “นี่…แกไม่น่าจะบอกอย่างนี้นี่ เป็นของที่เกินวิสัยที่คนจะขุดได้ ทำไมถึงบอกอย่างนั้น”

    เขาก็หัวเราะยังได้ถามว่าทรัพยากรทั้งหลายเหล่านี้ จะปรากฎเป็นผลดีแก่ประเทศชาติในสมัยไหน เขาก็เลยบอกว่า “อานุภาพของทรัพยากรทั้งหลาย จะปรากฎขึ้นในตอนกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยนั้นจะปรากฎว่า ประเทศจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมมูลบริบูรณ์ จะกลายเป็นประเทศมหาเศรษฐีเขตหนึ่ง อย่าว่าแต่เฉพาะในเอเซียเลย แม้แต่ยุโรปก็ต้องเอาใจ”

    ทั้งนี้เพราะอะไร “เพราะว่าอำนาจบุญบารมีของกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ คือกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้มีบุญบารมีใหญ่ ปูพื้นฐานเอาไว้ แล้วก็พระโอรสาธิราชที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ก็เป็นพระราชาที่มีบุญบารมีใหญ่

    ที่คนทั้งหลายคิดว่า จะทำลายประเทศไทยให้เป็นคอมมิวนิสต์ มีจิตหยาบปรารถนาจะให้คนไทยทั้งชาติที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาเป็นทาสของบุคคลกลุ่มเดียว ไม่มีความหมาย เพราะความหวังตั้งใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ เขาจะพาตัวเขาพินาศไปเอง เพราะอำนาจบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีสมรรถภาพเป็นพิเศษ”


    เขาว่าอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า “โมทนาด้วยน่ะ แล้วก็ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นเทวดา ก็ต้องช่วยกันนะ” เขาก็เลยบอกว่าช่วยกัน ก็เลยถามต่อไปว่า การที่ทำแผ่นดินสะเทือนนี่น่ะ เป็นปัจจัยเพราะ เจ้าพระยาโกษาป่อง แกมีความละโมบโลภมาก อยากจะได้ในทรัพย์ในแผ่นดินนั้นใช่ไหม ก็มีท่านหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ ไอ้เจ้าพระยาโกษาป่องนี่มันเพื่อนกัน เคยเป็นเพื่อนร่วมกันมา แต่ว่าตอนนี้ตามันยังไม่ดี แต่ทว่านิสัยเขาก็ดี ก็คือว่า ชอบสร้างตัวเป็นคนสุจริต ไม่ทุจริตโกงเงินโกงทองของรัฐบาล รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แล้วก็มีจิตประกอบไปด้วยกุศล อย่างนี้จึงแสดงอาการให้ปรากฎ

    และอีกประการหนึ่ง คนที่มาทั้งหมดนี่ เป็นอันว่า ๙๙.๙๙ % จัดว่าเป็นคนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่ ก็เลยถามว่า คนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่น่ะ มันใหญ่กันตรงไหน เขาก็บอกว่า ใหญ่ตรงที่มีความดีน่ะซิ เพราะการมาคราวนี้นี่ ตั้งใจจะมานมัสการพระดี ที่เรียกกันว่า สุปฏิปันโน และพระทั้งหลายเหล่านั้น คณะเขาเอง เขาก็มีความเคารพ ก็เลยถามว่า

    “เออ…ดีแล้ว เมื่อพูดถึงพระทั้งหลายเหล่านั้น เราอยากจะถามว่า มีพระองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ มีบ้างหรือไม่”

    เขาก็ยกมือขึ้นแตะปาก บอกว่ามี แต่ว่าพูดไม่ได้ ก็เลยบอกว่า ปากของแกมีนี่ ทำไมแกพูดไม่ได้ แกก็เลยชี้มือมาที่ปากของคนพูด…ของลิงน่ะ ชี้มือมาที่ปากของจอมลิง เขาบอกว่า “แกก็รู้นี่” อ้าว…นั่น เทวดานี่ใช้วาจาหยาบเหมือนกัน บอกแกก็รู้นี่ แกทำไมจะมาถามข้าล่ะ ก็เลยถามเขาว่า “นี่…แกมาเรียกฉันว่า แกข้านี่มันเรื่องอะไร”

    ตาเทวดาคนนี้แกเป็นเทวดาใหญ่ ประดับกายไปด้วยเพชรนิลจินดาแพรวพราวเต็มไปทั้งตัว แกก็เลยบอกว่า “นี่…จำกันไม่ได้ นี่เรามันเพื่อนกันนี่” (เอาแล้ว…นี่เป็นเพื่อนกับหมาไม่พอ ดันมาเป็นเพื่อนกับผีเข้าอีก) ก็เลยบอกว่า “นี่…อย่าพูดไปซีน่ะ รู้แล้วอย่าพูดไปนะ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ใช่ไม๊ รู้รึเปล่า” เขาบอกเขารู้ เขาก็เลยบอกว่า “ก็ไอ้ท่านล่ะ ท่านรู้แล้วท่านพูดไปทำไม”

    บอกว่า “ข้าพูดกับแก แกมันเป็นผีนะ แล้วแกจะเสือกจับใครเขาพูดเรื่องราวของข้าไม่ได้นะ ข้ามันเป็นลิงจัญไรอยู่แล้ว ให้เขาทราบแต่เพียงว่า ในฐานะลิงจัญไรเท่านั้นก็พอ” เขาว่า “เวลานี้พระเจ้าที่เขาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่มีใครเขาอยากคบข้านักหรอก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าข้าปฏิบัติตนไม่เหมือนเขา บางสำนักเขาตั้งเป็นสำนักวิปัสสนา หัวขาวตาขาวเป็นน้ำข้าว มีตำแหน่งหน้าที่เป็นพระราชาคณะ มีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมพระ เขาหาว่าข้าเลวกว่าหมาเสียอีก”

    ตาพวกนั้นหัวเราะชอบใจใหญ่ ก็เลยบอกว่า “ท่านไม่ต้องบอกหรอก ผมรู้ ดูบัญชีผมซี่” แล้วก็เกิดเปิดบัญชีให้ดู ถามว่า “ไอ้นี้บัญชีทองหรือยังไง หรือว่าบัญชีเพชรที่มันฝังอยู่ใต้ดิน จะได้รวบรวมกำลังบรรดาท่านที่มาด้วยกันหาทุนหารอนมาขุดให้มันรวย”

    เขาก็หัวเราะชอบใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “ไอ้ฤาษี อย่างท่านนี่มันชอบโกหกแม้กระทั่งผี ก็ทรัพย์สินส่วนตัวของท่านมีนี่ ที่ท่านบิดาบอกให้ ทำไมไม่ไปขุดเล่า” ก็เลยบอกเขาว่า “ข้าจะไปขุดทำไม เวลานี้ข้าสบายนี่ นี่ข้ามานี่ ข้าก็ไม่ได้เสียสตางค์ค่ารถนะ แล้วก็ไอ้ค่าอาหารการบริโภค ข้าก็ไม่เสีย บรรดาคนดีเขามีจิตเป็นกุศล เขาสงเคราะห์เจ้าฤาษีลิงดำตัวจน ๆ เขาหาให้กิน เขาหาให้ใช้ เขาจัดพาหนะให้ แล้วข้าจะไปขุดทำไม ขุดมาเมื่อไรข้าก็ตายเมื่อนั้น”…

    (จากหนังสือฤาษีท่องสวรรค์ เล่ม 1 ตอนเทวดาชวนขุดทอง)

    อ่านบทอื่นๆของหนังสือฤาษีท่องสวรรค์ได้ที่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=841#seventeenth

    15094988_198720107249820_6192320215895028876_n_zpsmluwnuzn.jpg
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    296242055_2248717331971460_8710743306802596395_n.jpg
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    141931444_1817260368450494_6410027282906249931_n.jpg

    คาถา "ทุกขาทุกขัง ปะติถิตัง สัมปติฉามิ"

    (จากเรื่อง บันทึกความจำพิเศษ)

    เป็นอันว่าลุงท่านก็รู้จักนิสัยดื้อ พระท่านก็รู้ยี่ห้อดื้อ พรหมก็รู้ดื้อ ใครก็รู้เรื่องดื้อ ใครก็รู้มันดื้อมากี่แสนชาติแล้ว แต่ความจริงก็ดื้ออย่างมีเหตุมีผล ไอ้งานที่ทำมันต้องพูด มันต้องเดินทาง นี่เดินทางคราวไรท้องผูกเครียดถ่ายไม่ออก ถ้าพูดหนักๆเข้าแม้แต่บันทึกเสียง ท้องผูกถ่ายไม่ออกอืดเสียดและงานที่ต้องทำคือสอนพระศาสนามันต้องพูด และมันก็ต้องเดินทาง และก็โรคมันขวางสองทาง เราจะอยู่เพื่ออะไร
    ก็เป็นอันว่าลุงกลับ ก็นอน พอนอนลงไปก็นึกในใจว่า

    คาถาบทหนึ่งที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ว่า คาถาบทนี้ถ้าทำน้ำมนต์แล้วรักษาได้ทุกโรคนั่นคือ

    "ทุกขาทุกขัง ปะติถิตัง สัมปติฉามิ"


    ก็นึกในใจว่าถ้าคาถาบทนี้ถ้ารักษาตัวเราเองไม่หาย จะไปรักษาใคร ในเมื่อท่านให้เรา เราก็ลองรักษาตัวดู ถ้าคาถาบทนี้รักษาเราไม่หายก็จะไม่เกิดประโยชน์กับใคร คุณสุวิทย์เธอรักษาภรรยาเธอ ให้ภรรยาเธอภาวนาบทนี้แล้วใช้มีดหมอแตะร่างกายเธอหายปวด หายปวดอย่างอัศจรรย์

    ก็นอนภาวนาคาถาบทนี้เป็นฌาน คิดว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การภาวนาทุกอย่างจะใช้คาถาทนี้เรื่อยไปจนกว่าโรคจะหาย แทนคำว่พุทโธ สัมมาอรหัง แทนทุกอย่างที่ใช้ เว้นไว้แต่บางกรณีบางขณะเราจะไปสวรรค์เราจะไปพรหมโลกเราจะไปนิพพาน ตอนนั้นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

    ถ้าอยู่ปกติจะภาวนาว่า
    "ทุกขาทุกขัง ปะติถิตัง สัมปติฉามิ" ว่าเรื่อยๆตามสบายๆก็เริ่มภาวนา พอเริ่มภาวนาอารมณ์ก็เริ่มเป็นสุข

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เริ่มสุขแล้วก็เลิกกันดีกว่าไหม เพราะอะไร เพราะเวลามันเหลือไม่ถึงครึ่งนาที ขอลาก่อนประเดี๋ยวฟังใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแค่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่านสวัสดี

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 128 เดือนตุลาคม 2534 หน้า 14)
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741



     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,785
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1659495743265.jpg กฐินครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2022
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    1659495743265.jpg 460016.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,785
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1659754273448.jpg ยุคนี้ ทำบุญง่ายสบายๆโอนผ่านแอปธนาคารไม่เสียค่าโอน ในอดีต ทำบุญใส่บาตร วิระทะโย วันละ1บาท หรือมากกว่านี้น ถึงเวลาเอาไปวัด หรือซื้อข้าวสารไปถวาย ปัจจุบัน ผมใช้โอนผ่านแอป ทำบุญได้ง่าย โลกยุคใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2022
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    0001.jpg

    เรื่อง ทอดกฐิน

    หลวงพ่อบอกว่า ใครทอดกฐินครบ 7 วัดนี่ ท่านบอกให้ดูผลชาตินี้เลยไม่ต้องดูชาติหน้า ความคล่องตัวมันจะมี

    สมัยก่อนมีอยู่คราวหนึ่งใช่ไหม ที่หลวงพ่อไปแคะโลงผีน่ะ ผีมาเล่นงานที่ว่าจะตามขัดขวางทุกอย่างอะไรอย่างนี้ ทีนี้หลวงปู่ปานก็บอกว่า แกต้องรับปากกับเขาว่าจะทอดกฐิน 7 วัด

    ทีนี้ตอนหลังท่านก็มาเล่าให้ฟังว่ากฐินนี่ทอดแล้วไม่ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้จะมีความคล่องตัว ถึงไม่รวยแต่ความคล่องตัวจะมีขึ้น ให้สังเกตดูเวลาเราทำบุญ


    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 176 เดือนพฤศจิกายน 2538 หน้า 98-99)

    DSC_2390.jpg
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    S__15679796.jpg

    มหากรุณาอันเปี่ยมล้น (บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์)


    ดิฉันเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันอยู่ที่นครสวรรค์ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยครูนครสวรรค์ ไม่เคยรู้จักหลวงพ่อมาก่อนเลย ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ มาวัดท่าซุงครั้งแรก เพราะมางานบวชหลานชายคืออาจารย์ทวีสิทธิ์ พงษ์ประดิษฐ์ พอมาถึงก็เกิดความรู้สึกว่า มีความผูกพันกับสถานที่เหมือนเป็นที่เก่า หรือคล้ายกับบรรยากาศที่เคยอยู่มาก่อน มีความรู้สึกเหมือนมีใครคุม

    ดิฉันมาร่วมเดินเวียนรอบโบสถ์งานบวชหลานชายเสร็จก็กลับบ้าน ช่วงนั้น (ช่วงฤดูร้อน มีนาคม – เมษายน) ที่วิทยาลัยครูเปิดอบรมครูภาคฤดูร้อน (อ.ศร.) เพื่อให้ครูเลื่อนวิทยฐานะของเขา ช่วงว่างจากการให้การอบรม ดิฉันเหมือนกับไม่รู้ตัว ตั้งใจจะขับรถมาทำธุระที่อำเภอพยุหะคีรี แต่อยู่ๆ ก็ขับเลยมาจนถึงวัดท่าซุง มาถึงก็มากราบพระตามมณฑปต่างๆ มาไม่พบหลวงพ่อและไม่ทราบด้วยว่าหลวงพ่อลงรับแขก

    เป็นเช่นนี้สัปดาห์ละ ๒ – ๓ ครั้งตลอดเดือนเมษายน ดิฉันมาที่วัดโดยไม่รู้ตัว มีความรู้สึกรักและผูกพัน แต่ไม่เคยพบหลวงพ่อ ตอนนั้นยังไม่ได้ยินกิตติศัพท์ความมีชื่อเสียงของท่าน ต่อมาหลานสาวคืออาจารย์รัชดา พงษ์ประดิษฐ์ เคยมาฝึกกรรมฐานที่วัดท่าซุงมาก่อน เธอก็มาชวนดิฉันฝึกกรรมฐานดิฉันไม่ว่าง เพราะทำธุรกิจหอพักและจัดสรรที่ดิน ตอนนั้นธุรกิจกำลังคล่องตัวมาก ปลีกตัวไปไหนไม่ได้

    ยิ่งช่วงต้นเดือนเป็นช่วงเก็บเงิน ไปไหนไม่ได้ (ถ้าเก็บไม่ได้จะถูกผลัดไปเรื่อยๆ) จึงไม่มาวัด ให้ลูกสาวมาแทน ช่วงนั้นที่วิทยาลัยก็เปิดสอนกรรมฐาน โดยคุณแม่ศิริ กรินชัยเป็นผู้มาสอนก็สมัครชื่อไว้เสียค่าสมัคร ๕๐๐ บาท นับเป็นครั้งแรกที่เขามาเปิดการสอน ดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องการปฏิบัติธรรม แต่รู้สึกอยากจะลองเพราะเริ่มศรัทธาหลวงพ่อ แต่ยังไม่มีเวลาว่าง เลยใช้วิธีเลี่ยงมาที่ใกล้ๆ บ้านก่อน

    พอถึงเวลาก็ปล่อยวางงานที่มีอยู่ไม่ได้ จึงไม่ได้ไปแต่ว่าสามี (อาจารย์ประเสริฐ พงษ์ประดิษฐ์) ไปเพียงคนเดียว พอที่วิทยาลัยเปิดสอนกรรมฐานครั้งที่ ๒ ก็สมัครอีกแต่ไม่ได้ไปอีกเช่นเคย ช่วงที่ลูกสาว ๒ คนคือเอ๋ (ภวนันท์) , อ้อ (ปาริฉัตร) และคุณแม่ของดิฉันมาฝึกกรรมฐานที่วัดท่าซุงพร้อมกับหลานสาว (อาจารย์รัชดา) พอฝึกไปได้ ๒ – ๓ วันสามีดิฉันก็ขับรถมาเยี่ยมลูกสาวและคุณแม่ของดิฉัน

    พอสามีดิฉันเยี่ยมลูกแล้วกลับถึงบ้าน ก็เล่าให้ดิฉันฟังว่า ลูกเอ๋ฝึกกรรมฐานได้แจ่มชัด ได้เห็นคุณตา (คือคุณพ่อของดิฉัน) ที่เสียชีวิต ดิฉันเป็นห่วงพ่อเพราะตอนเป็นครู ขณะมีชีวิตอยู่ เป็นคนมีนิสัยเจ้าชู้ และชอบดื่มเหล้า แต่ท่านรักดิฉันมาก ท่านถูกยิงตาย จับผู้ร้ายไม่ได้ คาดว่าคงไปเจ้าชู้ลูกเมียเขา ลูกเอ๋เห็นคุณตา ไม่เชิงอยู่ข้างล่าง (หมายถึงตกนรก) แต่เห็นคุณตาแต่งตัวขมุกขมอม

    แล้วก็มีคนถือหอก ๔ คนจ้องจะแทงตลอดเวลา แต่ก็ไม่แทง เห็นทีไรก็เป็นอยู่เช่นนั้น จริงๆ แล้วลูกเอ๋ไม่เคยเห็นคุณตา (เพราะคุณตาเสียชีวิตก่อนที่ลูกเอ๋จะเกิด) แต่จิตของลูกเอ๋รู้ว่านั่นคือคุณตา ลูกเอ๋เห็นภาพนั้นเสมอ ก็ถามว่าคุณตาว่าจะช่วยคุณตาได้ยังไง คุณตาตอบว่า “ช่วยถวายสังฆทานให้ซิลูก” ลูกเอ๋จึงพูดกับคุณตาว่า

    “บุญกุศลที่เอ๋ทำมาทั้งหมด ขออุทิศให้คุณตาสิงห์ บุญมี เพียงผู้เดียว” ลูกเอ๋นั่งสมาธิทีไร พอหลับตาก็จะเห็นภาพคุณตาเสมอ ช่วงที่ลูกเอ๋มาวัดตรงกับช่วงที่พระวัชรชัยบวชพอดีในปี พ.ศ.๒๕๒๕ (ก่อนเข้าพรรษา) ลูกเอ๋จึงไปร่วมเดินเวียนโบสถ์ในการบวชครั้งนี้ด้วย ลูกเอ๋เห็นคุณตามาโมทนาส่วนกุศลด้วย ลูกเอ๋สงสารคุณตามาก จึงได้เล่าให้พ่อฟัง สามีดิฉันจึงตอบลูกไปว่า “จะบอกให้คุณแม่จัดการให้”

    ส่วนลูกอ้อและคุณแม่ดิฉันนั่งกรรมฐานก็เห็นคล้ายๆ ลูกเอ๋ แต่ว่ามัวๆ เห็นไม่ชัดอย่างลูกเอ๋ พอสามีเล่าให้ดิฉันฟัง วันรุ่งขึ้นดิฉันก็มาวัดท่าซุงเลย ตอนนั้นหลวงพ่อไม่อยู่ ดิฉันจึงฝากเงินไว้ให้ลูกสาวถวายสังฆทาน ลูกเล่าให้ฟังว่า ได้อธิษฐานให้คุณตามาอนุโมทนาการถวายสังฆทานให้ครั้งนี้ ขณะที่ถวายสังฆทานเขาได้นั่งสมาธิกัน มีลูกเอ๋ ลูกอ้อ และคุณตุ๋ย (อาจารย์รัชดา)

    และให้คุณแม่ดิฉันไปถวายกับหลวงพ่อเขาบอกว่าขณะถวาย พอกล่าวถวายเสร็จ เขาก็เห็นคุณตาแต่งตัวสะอาดสะอ้านขึ้น เห็น ๔ คนเดินคุมมาเฉยๆ ไม่เอาหอกทำท่าจะแทงอีกแล้ว เพียงแต่ถือมาเฉย ตอนถวายจริงคุณยายเป็นผู้ถวายหลวงพ่อ แต่ในสมาธิที่เขาเห็นกลายเป็นคุณตาถวาย พระพุทธองค์แล้วคุณตาก็เปลี่ยนเป็นใส่ชฎาขึ้นมาแทน มีความแวววาวสวยงาม ในวันที่ดิฉันมาติดตามผลที่ลูกเอ๋เล่าให้ฟัง

    ได้ให้ลูกช่วยดูก๋งและคุณย่า ๒ คน (พ่อสามีมีภรรยาที่เมืองจีน ๑ คนและที่เมืองไทย ๑ คน) ทั้ง ๓ คนเสียชีวิตหมดแล้ว ลูกเอ๋ดูแล้วบอกว่า ก๋งเป็นเทวดา บอกขอบใจ ผลบุญที่อุทิศไปให้ได้รับแล้ว ส่วนย่าที่อยู่เมืองจีนก็เหมือนกัน ส่วนย่าที่อยู่เมืองไทยนั้นลูกพูดว่า คุณย่าอยู่ข้างล่าง เขาก็ถามคุณย่าว่าจะให้ช่วยยังไง คุณย่าบอกว่าให้ถวายสังฆทาน ลูกก็อุทิศบุญกุศลทั้งหมดให้คุณย่า พอกลับมาบ้าน

    ตอนแรกลูกยังไม่กล้าเล่าให้คุณพ่อฟัง กลัวคุณพ่อจะเสียใจ ดิฉันจึงเล่าให้สามีฟังก่อน แล้วลูกจึงเล่าให้ฟังอีกที สามีดิฉันฟังแล้วค่อนข้างจะเชื่อ เขาบอกว่า คุณแม่เขาขณะที่มีชีวิตอยู่ ขายปลาทุบหัวปลาเสมอๆ เรื่องการทำบุญก็ชอบทำ ส่วนแม่ทางเมืองจีนเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน ก๋งก็อยู่บ้าน ไม่ได้ทำบาปอะไร ดิฉันชวนสามีมาฝึกกรรมฐานที่วัดท่าซุง พร้อมด้วยลูกสาวคนเล็กคือลูกอร สามีก็มา

    ตอนนั้นดิฉันอยากมาวัดเต็มที ไม่ห่วงงานบ้าน ทั้งที่ช่วงต้นเดือนต้องไปเก็บเงินแต่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าเป็นยังไงก็เป็นกัน ก่อนไปได้จุดธูปก่อน ขอให้พระช่วย เพราะว่าความห่วงทรัพย์สินที่ต้องไปเก็บจากผู้อื่นยังมีอยู่ ดิฉันตั้งใจจะไปฝึกกรรมฐานและยึดมั่นว่าจะต้องไป แต่ขอพระให้ช่วย ๒ ข้อ

    ๑) ช่วงนี้ขออย่าให้ลูกค้าคนใดเอาเงินมาชำระ ขอให้ลูกค้ามีเหตุอะไรก็ตามไม่เอาเงินมาชำระในช่วงนี้ ขอให้เขาเอามาให้หลังจากช่วงกลับจากวัดแล้ว
    ๒) เด็กๆ ที่เช่าหอพักขอให้ทุกอย่างอยู่ในสภาพเรียบร้อยปกติ อย่าให้มีเรื่องไม่ดี ไม่งามเกิดขึ้น
    ในวันที่ตัดสินใจจะมาวัด พอจะออกเดินทางมา ก็มีหนังสือจากสรรพากรจังหวัดตามตัวดิฉันให้ไปพบ เพื่อทวงภาษีเพิ่ม ทั้งๆ ที่ภาษีหอพักและภาษีที่ดินก็จ่ายไปแล้ว

    เขาเรียกไปเพื่อให้เสียเพิ่มอีกมากมาย และจะให้จ่ายค่าภาษีเพิ่มในวันนั้น ถ้าไม่ทำตามจะดำเนินการตามกฎหมาย ดิฉันจึงเข้าบ้าน เข้าไปจุดธูปใหม่ ขอเป็นข้อที่ ๓ ว่ายังไงๆ จะต้องไปให้ได้ในวันนี้ ขอให้เจ้าหน้าที่เลื่อนวัน จะไปขอผ่อนผัน ขอบารมีพระช่วยให้เขายอมอนุโลมเรื่องต่างๆ ที่เขาเสนอมา ซึ่งดิฉันยังไม่ทราบว่าเรื่องอะไรบ้าง พอไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ส่งรายการให้มากมายมีค่าที่ดิน

    ค่าหอพัก ค่าอะไรหลายอย่าง ดิฉันบอกว่าเสียแล้ว และเสียทุกปี ขายที่ดินก็หักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว แต่เขาว่าดิฉันขายมากกว่านี้ เรื่องเก่าที่ยังไม่เก็บภาษีก็ยังมีอีก เขาจะให้เสียวันนั้น ๓ หมื่นบาทเศษ ดิฉันก็บอกไม่ยอมเสียให้ เพราะได้เสียตามกฎหมายแล้วทุกครั้งที่มีการเรียกเก็บ ถ้าเรื่องนี้ต้องติดคุกก็ยอมเพราะทำตามกฎหมายแล้ว พอดิฉันเสียงแข็งเขาก็อ่อนลง เขาก็ลดลงมาเหลือ ๒ หมื่นบาทถ้วน

    ดิฉันก็ไม่ยอม ดิฉันจึงขอพบสรรพากรจังหวัดเอง เขาบอกว่าตกลงกับเขาที่นี่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องพบ เพราะท่านมอบอำนาจให้แล้ว ดิฉันก็ยืนยันจะขอพบ ในที่สุดเขาก็อ่อนลง ดิฉันจึงขอเลื่อนเวลาว่า หลังจาก ๗ วันไปแล้ว จะมาคุยใหม่ วันนี้ดิฉันมีธุระ เขาก็ยอม พอไปวัด ๗ วันกลับมา ปรากฏว่าเรื่องที่จุดธูปขอพระไว้ ได้ครบทุกอย่าง ถือว่าเป็นเรื่องแปลก

    ๑) ไม่มีใครเอาเงินมาให้ก่อน คนที่เคยค้าง ก็เอามาให้หลังจากกลับจากวัดทุกราย
    ๒) เหตุการณ์ที่บ้านปกติทุกอย่าง
    ๓) จ่ายเงินสรรพากรแค่ ๒ พันบาท (จากเดิมที่เขาว่าจะต้องเสีย ๓ หมื่นเศษ)

    ในช่วงที่ไปปฏิบัติพระกรรมฐานที่วัดท่าซุง มีผู้แนะนำให้ดิฉันแผ่เมตตาให้ทุกคน และพวกที่ไม่เป็นมิตรก็แผ่ให้เขาด้วย ดิฉันจึงตั้งใจแผ่ให้เขาทั้งหมด ปรากฏว่ากลับมาบ้าน ผลที่ได้เป็นจริง พวกที่เคยทำตัวเป็นศัตรูเขาก็มาพูดดีด้วย ซึ่งก็เห็นผลอย่างคาดไม่ถึง

    ช่วงที่ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดนั้น ไปฝึกวันแรกก็ได้เลย แต่ต้องใช้คน ๒ คนฝึกให้ คนแรกเป็นแม่ชี อธิบายให้ตัดร่างกาย ก็คล้อยตาม แต่อารมณ์หนัก แม่ชีก็พูดว่าทำอารมณ์ไม่ถูกต้อง เอาไว้วันหลัง คนที่สองเป็นผู้หญิงอ่อนวัยกว่า ทราบชื่อภายหลังว่า “ติ๊ก” เป็นผู้สอน เกิดรู้สึกพอใจ ที่ฝึกได้ ได้ไปกราบพระพุทธองค์แท้ๆ พาไปหาท่านปู่ ท่านย่า หลวงพ่อและท่านแม่ศรี

    พระพุทธองค์บอกว่าเป็นลูกหลวงพ่อท่าน พอเข้าไปหาท่าน ก็กอดกันทั้งพ่อแม่ลูก ดิฉันก็ร้องไห้ท่านบอกว่า “จากกันนาน แม่ (แม่ศรี) ตามหา” ในขณะนั้นดิฉันเกิดความเข้าใจทันทีว่าผู้ที่คุมดิฉันมาวัดโดยไม่รู้ตัวคือท่านแม่นี่เอง แต่ก็ยังเกิดสงสัยแว้บขึ้นมานิดหนึ่งว่า ดิฉันมีบุญพอที่จะเป็นลูกท่านหรือ ช่วงมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัด ไม่พบหลวงพ่อ เพราะว่าท่านไปสอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม

    พอวันที่ ๕ หลวงพ่อก็กลับมา ท่านรับแขกบนศาลานวราช ดิฉันขึ้นไปกราบท่าน ท่านก็ทักทายดี เกิดความรู้สึกรักท่านมาก หลวงพ่อเรียก “ลูก” ทันที ปกติดิฉันเป็นคนชอบใส่เครื่องประดับ แต่ตอนที่มาวัดไม่ใส่เลย แม้กระทั่งสร้อยคอ แต่หลวงพ่อก็ทักถูกต้องและถามถึงการปฏิบัติ ดิฉันเล่าให้ท่านฟังว่าจะไปปฏิบัติกับคุณแม่ศิริ ๒ ครั้ง ก็ปล่อยวางภาระการงานไม่ได้ จึงไม่ได้ไปทั้ง ๒ ครั้ง

    ถามหลวงพ่อว่าเป็นเพราะอะไร และมาที่วัดท่าซุงนี่วันแรกทำไมทำได้เลย คาดไม่ถึง หลวงพ่อบอกว่าเป็นของเดิม ที่ไม่ไปทางนั้นเพราะว่า กรรมฐานมี ๔๐ แบบ อันนั้นเป็นสุกขวิปัสสโก เราเคยผ่านมาแล้วและไม่ถูกจริต ส่วนทางด้านนี้เป็นของเดิมที่เราฝึกมานาน เป็นวิชชาสาม ซึ่งเราเคยทำมาแล้วเหมือนของมีอยู่แล้ว มาทบทวนเดี๋ยวเดียวก็จำได้ จึงทำได้วันเดียว

    ถามท่านว่าพอขึ้นไปหาพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นลูกหลวงพ่อและท่านแม่ศรีเป็นไปได้หรือ หลวงพ่อบอกว่า “พระพุทธองค์ตรัสเช่นไร ให้เชื่อตามนั้นไม่ผิด”

    หลวงพ่อเล่าเรื่อง ร.๑ และถามดิฉันว่า “เห็นเอ็งเกิดในสมัยนั้นไหม”
    ก็ตอบว่า เห็น
    แล้วท่านถามว่ารู้ไหมว่าใครเป็น ร.๑

    จึงตอบท่านว่า ตามตำราก็ต้องเป็นพระยาจักรี

    ท่านบอกว่า “นายจันหนวดเขี้ยวคือ ร.๑”

    ดิฉันก็กราบเรียนท่านว่าอ่านจากตำราเหมือนไม่ใช่

    หลวงพ่อก็พูดว่า “ไอ้ขี้หมา นายจันหนวดเขี้ยวนั่นแหละคือ ร.๑ จำเอาไว้”

    ท่านบอกว่า “ประวัติศาสตร์บางครั้งก็ต้องทำอะไรให้เพี้ยนๆ ไปบ้างเพราะความจำเป็นในสมัยนั้น”


    ท่านบอกว่า “จำไว้ เสือ ถ้ารู้ว่าตนจะแพ้แล้ว ต้องถอยไปตั้งหลักใหม่เพื่อรวบรวมกำลังไพร่พล เพื่อเอาชนะให้ได้” หลวงพ่อเล่าเรื่องพระเจ้าตากสินให้ฟัง ที่มีการเข้าทรง เขาบอกว่าทหารเสือพระเจ้าตากสินสมัยนั้น เวลานี้มาเกิดกันเกือบหมดแล้ว ท่านก็บอกว่ามีใครบ้าง (ขอสงวนนาม) ท่านก็พูดถึงการเข้าทรงพระเจ้าตาก ท่านอธิบายว่าการปฏิบัติ เราสามารถพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่

    แต่อันนี้จริง ท่านชวนไปดูการเข้าทรงและถามว่าจะไปไหม ถ้าไปพบท่านๆ จะเอ่ยชื่อเก่าๆ วันที่หลวงพ่อชวนไปนั้นไปไม่ได้ เพราะต้องไปธุระที่เพชรบูรณ์ ท่านก็บอกว่า ถ้าไม่ไปครั้งนี้ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้วนะลูก แต่สรุปแล้วก็ไม่ได้ไป ต้องไปส่งพี่ชายสามีซึ่งย้ายราชการ ถ้าไม่ไป ก็ดูจะน่าเกลียด หลังจากนั้นได้มากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อได้ไปหรือเปล่า

    หลวงพ่อบอกว่าท่านไม่ได้ไปเพราะที่นัดกันไว้ไปไม่ครบทุกคน ในช่วงที่มาหาหลวงพ่อ ท่านมักเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผนให้ฟังบ่อยๆ ท่านบอกว่า ในหนังสือที่เขาเขียนขึ้น เขียนไม่ถูกต้องหรอก ความจริงขุนช้างและขุนแผนเป็นเพื่อนรักกัน ขุนช้างดีมาก ไม่หล่อ แต่รวย ส่วนขุนแผนรบเก่ง หล่อด้วย มีเมียมีลูกเยอะ เพราะขุนช้างและขุนแผนรักกันมาก ทุกเช้าและก็ทุกวัน

    ขุนช้างให้บ่าวไพร่ลุกขึ้นหุงข้าวให้ลูกขุนแผนรับประทาน ซึ่งความจริงตรงกันข้ามกับในหนังสือ นี่เป็นเรื่องที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังบ่อยๆ อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสะดุดใจ หลวงพ่อพูดถูกจุด ท่านถามว่า เป็นไง ชอบไหม พวกเพชร พวกทอง ชอบมากหรือพวกเครื่องประดับ ดิฉันก็สะดุ้ง ถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อไปสำรวจที่บ้านหนูมาหรือ หนูไม่ยอมใส่มาหลวงพ่อยังพูดถูก”

    คุยไปคุยมาหลวงพ่อก็ชี้ที่ดิฉันว่า “ไอ้คนนี้มันไม่เรียบร้อยทุกชาติ อยู่กับพ่อแม่พี่น้องเป็นคนรักสนุก พูดคุยสนุกสนาน แต่ถ้าเข้าหาผู้ใหญ่ไม่ต้องห่วง เขาทำได้ดีมาก” ซึ่งก็ถูกอุปนิสัยดิฉันจริง หลังจากนั้นดิฉันมีความรู้สึกผูกพันและรักท่านมาก ทุกครั้งที่มากราบหลวงพ่อๆ จะเล่าอาการเจ็บป่วยให้ฟังเสมอๆ พระวัชรชัยอยู่บนศาลานวราชสมัยนั้น

    ก็บอกว่า ให้ดิฉันมาบ่อยๆ เพราะว่าเวลาดิฉันมาหลวงพ่อท่านจะคุยเรื่องเหล่านี้ละเอียด พระวัชรชัยบอกว่ามาแล้วพระจะได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อมากๆ เพราะปกติพระไม่ค่อยทราบ เนื่องจากดิฉันมีความรู้สึกผู้พันและรักหลวงพ่อมาก จึงตั้งจิตอธิษฐาน “ขอบารมีบรรพชน ท่านปู่ท่านย่าท่านแม่ศรีและหลวงพ่อ หากมีสิ่งใดที่ดิฉันสามารถจะปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อได้ ขอให้ดลใจ รวมทั้งแม้เรื่องการฉันอาหารของหลวงพ่อ”

    ซึ่งหลวงพ่อบอกว่าท่านฉันอาหารตามพระสั่ง หรือท่านแม่มาบอกก็เลยตั้งใจอธิษฐานขอ ก็จริงเพราะเวลาดิฉันนำอาหารมาถวายหลวงพ่อ ท่านก็พูดให้ฟังว่า เออวันนี้พระท่านสั่งให้ท่านฉันอาหารชนิดนี้ ก็เกิดความมั่นใจมาก เพื่อร่างกายหลวงพ่อ อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ดิฉันทำเนื้ออบ ก็นึกถึงหลวงพ่อ ก็เลยคิดจะเอาไปถวายหลวงพ่อ แต่ใจหนึ่งก็มีความเอะใจ เกิดอารมณ์สัมผัสขึ้นมาว่าหลวงพ่อฉันไม่ได้

    แต่ดิฉันเองชอบ ก็อยากถวายให้หลวงพ่อฉัน แต่พอตักใส่ปิ่นโตได้กลิ่นเท่านั้น ดิฉันก็อาเจียน ก็เลยไม่เอาเนื้ออบนั้นไปถวายหลวงพ่อ จึงได้แต่มากราบหลวงพ่อเฉยๆ ไม่มีอาหารถวายและกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อฉันเนื้อได้ไหม ท่านบอกว่าช่วงนี้พระไม่ให้ฉัน ฉันทีไรอาเจียนทุกที ก็ตรงกับที่สัมผัสอีกจึงเกิดความรู้สึกว่าตนเองนี้ดื้ออีกแล้ว เพราะสัมผัสครั้งแรกแล้วไม่เชื่อ ยังดื้ออยู่อีก

    แต่พร้อมกันนั้นก็เกิดความมั่นใจในความรู้สึกสัมผัสของตนเองยิ่งขึ้น พระคุณหลวงพ่อนั้นสูงส่ง ดิฉันมีความซาบซึ้งมาก ท่านชี้นำให้พวกเราตั้งใจไปนิพพานให้ได้ในชาตินี้ ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย อันที่จริงแล้วท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แต่ท่านห่วงลูก ท่านสอนไว้ว่า “อย่าติดสังขารของพ่อ ให้ติดความดีที่พ่อพยายามทำ พยายามสอน ตามคำสอนของพระพุทธองค์”

    ท่านบอกว่า “ไม่ต้องห่วงพ่อหรอก ทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัส ผู้ใดนึกถึงตถาคต ตถาคตก็อยู่กับผู้นั้นทุกเมื่อ” เพราะนั้นหลวงพ่อก็เช่นกัน ถ้าจิตนึกถึงท่านๆ ก็อยู่ใกล้และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดูเหมือนท่านจะทราบตลอดเวลาว่าเราทำอะไรอยู่ เมื่อไรที่ดิฉันจะทำอะไรไม่ดีไม่งาม จะเห็นท่านมาเตือนสติไม่ให้ทำเพราะมันไม่ดี ท่านจะบอกไว้

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นช่วงย่ำรุ่ง ไม่เชิงหลับ คล้ายๆ เพิ่งตื่นอยู่ เห็นท่านทั้งกายเนื้อมายืนอยู่ที่หัวเตียง ท่านมาบอกว่า “จะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับเจ้า (ขอสงวนไม่เล่าว่าเป็นเรื่องอะไร) ซึ่งสิ่งนั้นจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจมากจนคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”
    ก็เลยกราบเรียนท่านว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ลูกก็จะไม่อยู่ละ”

    ท่านถามว่า “จะไปไหน”
    ก็กราบเรียนว่า “จะมาอยู่กับหลวงพ่อ”
    ท่านก็บอกว่า “ไม่ได้”
    ดิฉันจึงกราบเรียนถามท่านว่าเพราะอะไร

    ท่านก็บอกว่า “เกิดเป็นคนต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เจ้าเป็นแม่ มีหน้าที่ต้องเลี้ยงลูก เจ้าก็รู้ดีว่าสามีของเจ้านั้นสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถจะเลี้ยงลูกได้ตลอดรอดฝั่งได้ด้วยตัวคนเดียว” เสร็จแล้วท่านก็หายไป ดิฉันก้มลงกราบท่านด้วยความซาบซึ้ง ด้วยความงง และก็แปลกใจว่าเป็นไปได้หรือที่หลวงพ่อท่านจะมาแบบนี้

    และเป็นไปได้หรือที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ท่านบอก แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเพราะเป็นเรื่องน่ากลัว และเหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ ในอีก ๒ – ๓ วันต่อมา พอเหตุการณ์นี้กระทบใจเข้า ก็เกิดความรู้สึกว่าทนไม่ได้ ก็จะฆ่าตัวตายโดยวิธีรับประทานยา ก็นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อแต่ก็ยังดื้อจึงตั้งจิตกราบขอขมาหลวงพ่อ และไปซื้อยามารับประทาน ซื้อยาแวเลี่ยมมาได้ ๒๕ เม็ด กับคลอเฟนิรามีน ๑๐๐ เม็ด

    เมื่อได้มาแล้วก็จุดธูปบอกหลวงพ่อว่า “ลูกขอขมาที่ดื้อรั้น ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ลูกรู้ว่าหลวงพ่อรักและเป็นห่วงแต่ขอหลวงพ่ออย่าได้เป็นห่วงลูกเลย และขอโปรดได้ยกโทษให้แก่ลูกในการกระทำครั้งนี้ด้วย ลูกยังจดจำคำสอนที่หลวงพ่อที่เคยสอนลูกว่า การฆ่าตัวตายเป็นอัตวิบากกรรม จะไม่ไปเกิดในที่ดีแน่ แต่หลวงพ่อก็เคยสอนไว้อีกว่าก่อนตายถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์ ให้จับภาพให้ได้ ก็สามารถไปสู่สุคติ ไปขึ้นสวรรค์ได้ เพราะฉะนั้นก่อนตายลูกมั่นใจว่า

    ลูกนึกถึงพระพุทธองค์และหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา ตรงที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดนึกถึงตถาคต ตถาคตก็อยู่กับผู้นั้นทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นลูกคิดว่า การที่ลูกต้องตายไปในครั้งนี้ ลูกต้องไปในที่ดีก่อนและขอสัญญาว่าจะไปสร้างความดีที่นั่น เพื่อให้หลุดพ้นจากความชั่วที่ลูกได้กระทำในครั้งนี้ และประการสุดท้าย ลูกขอรับประทานยาตาย ขอบารมีหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์อย่าให้ลูกได้รับทุกข์ทรมาน

    จากผลของยา เพราะเกรงว่าลูกๆ จะอายเขา ขอให้ไปในลักษณะหลับเฉยๆ คิดว่าลูกๆ คงไม่อายเพราะความตายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนทั่วไป” ที่ขอในข้อสุดท้ายนั้นเพราะว่า ก่อนหน้านี้ มีคนที่รู้จัก กินแวเลี่ยม ๒๐ เม็ดเพื่อฆ่าตัวตาย น้ำลายฟูมปาก ต้องเอาไปโรงพยาบาล ก็อายเขา แต่เห็นเขาไม่ตาย เลยซื้อมากกว่า ๒๐ เม็ดได้มาแค่ ๒๕ เม็ด (เพราะเขามีแค่นั้น) กลัวไม่ตาย

    ก็เลยซื้อคลอเฟนิรามีนอีก ๑๐๐ เม็ด (เป็นยาลดน้ำมูก และช่วยให้นอนหลับ ไม่ทราบว่าจะซื้ออะไร ก็เดาเอา) พอขอขมาหลวงพ่อและอธิษฐานเสร็จแล้ว ก็รับประทานยาทั้งหมดและเอารูปหล่อหลวงพ่อมาวางไว้หัวเตียง ตั้งใจทำสมาธิ ตัดสินใจเด็ดขาด แป๊บเดียวเท่านั้นเร็วมากเกิดความรู้สึกว่าจิตเลื่อนออกจากกลางศีรษะรวดเร็วจริงๆ แล้วก็ไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งเช้า จึงค่อยรู้สึกตัว

    ก็แปลกใจว่าทำไมดิฉันจึงไม่ตาย (ตอนออกไปก็ว่างเฉยๆ ไม่เห็นอะไร เหมือนกับนอนหลับ และก็ไม่ฝันเห็นอะไรด้วย) พอตื่นขึ้นมาก็งง ร่างกายอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีน้ำลายฟูมปาก มีแต่อาการเพลียเล็กน้อยเท่านั้น จึงไปทำงานตามปกติ พอดีวันนั้นไม่มีชั่วโมงสอน พอเซ็นชื่อเสร็จ ก็ชวนน้องที่ทำงานด้วยกันและเป็นศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน เพราะดิฉันเป็นคนพาเขามาหาหลวงพ่อ

    วันนั้นดิฉันจึงชวนเขามาหาหลวงพ่อ ให้เขาขับรถให้ ซึ่งปกติดิฉันจะขับเอง เขาก็สงสัย และถามว่า “พี่เป็นอะไรหรือ พี่มีลักษณะไม่สบายเหมือนคนเพิ่งร้องไห้มา” เมื่อเขาถามอย่างนี้ ก็เลยเล่าเรื่องให้เขาฟังในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันและบอกเขาว่าดิฉันจะไปพบหลวงพ่อให้ได้ในวันนี้ พอมาถึงปรากฏว่า หลวงพ่อไม่ได้ลงมารับแขกที่ศาลานวราชตามปกติ

    พระชัยศรีบอกว่า หลวงพ่อเพิ่งกลับมาจากบ้านซอยสายลม ป่วยหนัก กำลังให้น้ำเกลืออยู่ ดิฉันตกใจมาก ก็ถามว่าจะพบหลวงพ่อได้ไหม ดิฉันอยากพบท่านมาก พระท่านบอกว่าพบไม่ได้ให้มาพรุ่งนี้ จึงขอว่าขอมากราบหลวงพ่อที่บันไดกุฏิ ท่านก็อนุญาต เมื่อมาถึงก็มากราบตรงบันไดที่ตึกริมน้ำ “ก็ตั้งจิตขอท่านอีก ขอเหมือนเดิม ขอขมา และขอกินยาตายเหมือนเดิม”

    เสร็จแล้วกลับมาบ้าน ก็แวะซื้อแวเลี่ยมได้ ๕๐ เม็ด ทานยาเป็นวันที่ ๒ ติดกัน เมื่อทานยาเสร็จ ก็ตั้งใจทำสมาธิ เดี๋ยวเดียวจิตก็ออกจากกลางศีรษะรวดเร็วเหมือนเดิมออกไปก็เห็นตนเองแต่งตัวเป็นนางฟ้าใส่ชฎาสวยงาม มีวิมานด้วย ก็ไปแวะที่วิมาน แต่เป็นวิมานสีชมพู ไม่ได้เป็นวิมานแก้ว หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว เช้าตื่นขึ้นมาก็ไม่ตาย ไม่เป็นไร ร่างกายปกติเหมือนเดิม มีอาการเพลียเล็กน้อย

    เช้าก็ไปทำงานตามปกติ แล้วก็มาวัดอีก วันนั้นเป็นวันก่อนวันเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ ๑ เพียงวันเดียว ผู้คนมากันเต็มศาลานวราช แน่นไปหมดเลย พอเห็นคนเต็มไปหมดเช่นนั้นก็ตกใจ ขณะที่มาก็หวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานหลวงพ่อป่วยหนัก มีความรู้สึกว่าคงเป็นเพราะหลวงพ่อช่วยดิฉันไว้ ท่านจึงเป็นเช่นนี้ ดิฉันขอตาย ท่านก็ไม่ให้ตาย เกิดความรู้สึกว่าดิฉันเป็นลูกที่แย่มากทีเดียว

    เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าจากนี้ไป จะไม่ทำชั่วให้หลวงพ่อต้องหนักใจอีกแล้ว เพราะสงสารท่าน พอมาถึงวัดคนแน่น ดิฉันก็คิดว่าคงเข้าไม่ถึงหลวงพ่อเป็นแน่ แต่ก็อยากเข้าไปใกล้มากที่สุดเพราะตั้งจิตไว้ แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ พอดิฉันเดินถึงประตูบนศาลานวราช พอเปิดประตูปั๊บ หลวงน้าอรุณในขณะนั้นนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อ พอเห็นดิฉันเปิดประตูขึ้นมา ท่านก็บอกคนที่นั่งกันแน่นศาลา ให้แหวกทางให้ดิฉันเดินเข้าไป

    พอเข้าไปถึงก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ท่านก็พูดในลักษณะห่วงใยในน้ำเสียงมีเมตตาและสงสารมาก ท่านถามดิฉันว่า “เป็นไงลูก” ท่านพูดเสียงอ่อนโยน พอฟังปั๊บดิฉันตื้นตันใจถึงที่สุด จึงร้องไห้อย่างเดียว หลวงพ่อก็หยุดนิดหนึ่ง ไม่พูดอะไร เพียงแต่พูดว่า “เอ้า ทยอยโอดไป” แล้วท่านก็คุยกับญาติโยมที่นั่งกันอยู่ ท่านก็พูดอะไรตลกๆ กับผู้คนที่นั่งอยู่ข้างหน้า

    ดิฉันได้ยินเรื่องตลก ก็ขำ จึงหัวเราะพอหลวงพ่อเห็นดิฉันหัวเราะ ท่านก็หันมาทักว่า “ว่าไงลูก มาแล้วว่าไงลูก” ดิฉันตั้งใจจะพูด ก็พูดไม่ออก ร้องไห้ต่อไปอีกท่านก็ปล่อยให้ดิฉันร้องไห้ต่อไป แล้วท่านก็คุยกับคนอื่น ท่านคุยเรื่องตลกขำๆ เรื่อยไป จนกระทั่งดิฉันตั้งสติได้แล้ว ท่านก็หันมาถามว่า “เป็นไงลูก” ก็เล่าให้ท่านฟังว่า

    “เวลาจะเกิดอะไรไม่ดีไม่งามกับลูก หลวงพ่อจะไปบอกคล้ายฝันแต่เหมือนเห็นองค์จริง แล้วก็เกิดเรื่องจริงตามที่หลวงพ่อบอก แล้วจึงเล่าเรื่องทานยาให้ท่านฟัง ว่าวันแรกทานยาอะไรบ้าง แล้วก็ไม่เป็นไร วันที่สองทานยาอีก ก็ไม่เป็นไรอีก”
    หลวงพ่อก็พูดมาคำหนึ่งว่า “แล้วเอ็งขออะไรล่ะ”

    ก็เลยก้มลงกราบท่าน ไม่กล้าเล่ามาก เพราะมีคนเยอะ ก็เลยกราบเรียนท่านสั้นๆ ว่า “ลูกได้ขอไว้ว่า ขออย่าให้ลูกได้รับทุกข์ทรมานจากผลของการทานยา เพราะกลัวลูกๆ จะอายเพื่อน”
    หลวงพ่อก็เลยบอกว่า “เอ้าก็ให้แล้วไง แต่เอ็งจำไว้อย่างหนึ่งว่า เอ็งจะตายไม่ได้ ถ้าหลวงพ่อยังไม่ตายก่อนจำไว้นะลูก”

    ท่านสอนอีกว่า “ขอให้ยึดมั่นในความดี”
    ก็เลยบอกท่านว่า “ต่อไปนี้จะเชื่อฟังหลวงพ่อ ไม่ดื้อและไม่ทำความชั่วอีกเพราะเห็นแล้วว่าผลที่ลูกทำความชั่ว หลวงพ่อช่วยลูกแล้ว หลวงพ่อต้องเหน็ดเหนื่อยและไม่สบายอย่างที่เป็นอยู่นี่” แล้วท่านก็นิ่งไปสักพักหนึ่ง ท่านก็คุยแต่เรื่องสนุกๆ ฟัง เรื่องนี้ก็จบ

    มีอีกตอนหนึ่ง เมื่อครั้งที่หลวงพ่อสั่งให้ทำยาพระนอนใหม่ๆ สมัยนั้นไม่ได้บดยา เพราะใช้หม้อดินต้ม จุดประสงค์ทำยาของท่าน เพื่อให้ลูกหลานมีสุขภาพดี พ้นจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งคุณไสยซึ่งกำลังระบาดมากในระยะนั้น ในงานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งนั้น (จำไม่ได้ว่าครั้งที่เท่าไร) ทำยาครั้งแรกคนสั่งจองยามามาก ตัวยาบางตัวหาไม่ได้ ต้องขับรถตระเวนหาทั่วไปหมด

    แต่เวลาจะไป จะตั้งจิตอธิษฐานถึงพระพุทธองค์ ท่านปู่ท่านย่า หลวงพ่อท่านแม่ศรีขอให้ดลใจให้ที่ไหนที่มียาชนิดนั้น ขอให้ดิฉันไปที่นั่น บางครั้งดิฉันตั้งใจขับรถจะไปทางหนึ่งก็หลงทาง และการหลงทางเป็นการช่วยให้ไปได้ตัวยา จะเป็นได้ว่าพระพุทธองค์ท่านปู่ท่านย่าหลวงพ่อท่านแม่ศรี ช่วยให้หลงไป แต่ไปได้ตัวยามา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พอ คืนวันพฤหัสก่อนที่จะถึงวันศุกร์ที่เป็นวันปลุกเสกยาในโบสถ์

    ต้องชั่งยาทั้งคืนไม่ได้นอนเลย ดิฉันชั่งยาที่ตึกธัมมวิโมกข์ชั้น ๒ หลวงพี่อาจินต์จัดที่ให้ที่นั่น รุ่งเช้าก็ไปหาตัวยาเพิ่ม ขณะขับรถไปทางโกรกพระเลยอุทัยไปนิดหน่อยมีเนินเขาลูกหนึ่ง พอลงจากเขาก็เห็นคล้ายแมววิ่งผ่าน แล้วก็หลบแมวรถตกถนนลงไปข้างทาง ลงไปท้องนา ตกจากที่สูงมากและมีน้ำทะลักเข้ามาในรถ แต่รถไม่คว่ำ ทันทีที่ตกลงไปปรากฏว่ามีหญิงชายคู่หนึ่งลงมาช่วย

    เขาถามว่า พี่เป็นไงบ้าง เขาบอกว่าดิฉันขับรถหลบพวกเขา ถ้าไม่หลบต้องชนเขาแน่ เขาขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันมา แทนที่จะเป็นแมวอย่างที่ตาดิฉันเห็นก่อนที่รถจะพุ่งลงไปกลายเป็นคน ๒ คนขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันมา ถังน้ำมันรถดิฉันรั่ว ชาวบ้านมาช่วย เอาสบู่มาอุดให้ ช่วยยกรถขึ้นมา มีเด็กนักเรียนชายนั่งรถมาเป็นเพื่อน พาไปร้านซ่อมที่ศูนย์การค้าที่จังหวัดอุทัยธานี

    ใช้เวลาซ่อมอยู่จนบ่ายโมงจึงเสร็จๆ แล้วก็ไม่ท้อ ไปหายาต่อ จนกระทั่งเย็น ไปเอาตัวยาเพิ่มที่บ้านพี่สาวที่อำเภอพยุหะคีรี ได้โทรศัพท์กราบเรียนหลวงพี่ชัยศรีในขณะนั้นว่า ขอความกรุณาอย่าเพิ่งปิดโบสถ์ ตอนนี้กำลังนำยาไปที่วัด ขณะที่พูดโทรศัพท์อยู่ อาจารย์พรนุชก็พูดโทรศัพท์สวนขึ้นมา ถามว่า
    “พี่โอ๋ๆ (หมายถึงดิฉัน) ตอนนี้พี่โอ๋อยู่ที่ไหน หลวงพ่อท่านเป็นห่วง”

    ก็เลยบอกว่าอยู่ที่หยุหะคีรี ไม่เป็นไรหรอก ไม่กล้ากราบเรียนทางโทรศัพท์ว่าเป็นอะไรมา จนกระทั่งมาถึงวัดก็ไปกุฏิกลางน้ำพบหลวงพ่อ เล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกว่า “รู้แล้ว แม่ศรีมาบอก แล้วแม่ศรีไปช่วยไว้” ดิฉันมาคิดเอาเองว่า สายใยแห่งความเป็นพ่อแม่ลูก ไม่ว่าจะเกิดชาติไหนหาใดก็ตาม ปัจจุบันจะเป็นลูกหรือไม่เป็นก็ตาม ท่านคอยติดตามช่วยเหลือตลอดเวลา

    ซึ่งได้ประสบมาด้วยตัวดิฉันเอง ก่อนที่จะทำยา เป็นช่วงที่หลวงพ่อป่วย ท่านคิดจะทิ้งสังขารอีกครั้งหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ ท่านก็ภาวนาของท่านไปเรื่อยๆ พอออกจากร่างไป ท่านก็เห็นร่างกายของท่านบิดเบี้ยว ปากเบี้ยว ลักษณะแบบคนเป็นอัมพาต ท่านก็เลยขึ้นไปกราบพระและท่านย่าตามปกติ ท่านคิดว่าจะไม่กลับมาอีก เพราะว่าถ้ากลับมา สภาพร่างกายท่านเป็นแบบนี้

    ไม่สามารถที่จะทำงานได้ ท่านก็จะไม่กลับ แต่พระพุทธองค์กับท่านย่าบอกให้ท่านรีบกลับ เดี๋ยวร่างกายก็จะดี เพราะถ้าหากพระที่มารับ (พระครูปลัดอนันต์เวลานี้) เห็นสภาพร่างกายท่านเป็นแบบนี้ ท่านจะตกใจ (ตอนนั้นท่านพักอยู่ที่ตึกกลางน้ำ) ท่านจึงกลับ และให้อาจารย์พรนุชสั่งให้ดิฉันบดยารักษาโรคอัมพาต โดยท่านบอกส่วนผสมของยาให้เรียบร้อย ดิฉันได้จดส่วนผสมของยาไปให้พี่สาวที่อยู่อำเภอพยุหะคีรีบดยาให้

    และนัดจะไปรับยาเพื่อมาถวายหลวงพ่อในวันจันทร์ (วันที่สั่งไม่แน่ใจว่าเป็นวันศุกร์หรือวันเสาร์) แต่ปรากฏว่าเช้าวันอาทิตย์ก่อนถึงวันจันทร์ ขณะที่บูชาพระอยู่ เห็นภาพและได้ยินเสียงของพระพุทธองค์ชัดเจนมาอย่างผิดปกติ (โดยปกติเป็นคนปฏิบัติไม่แจ่มใส) ท่านเมตตาสั่งว่า ให้ไปหาหลวงพ่อวันนี้ เพราะหลวงพ่อจะสั่งงาน

    ดิฉันก็กราบขอต่อพระพุทธองค์ว่า “ลูกตั้งใจจะไปวันพรุ่งนี้ เพราะจะได้เอายาไปถวายหลวงพ่อตามที่ท่านสั่งไว้ ก็ขออนุญาตว่าเอาไปพรุ่งนี้ได้ไหม” พระพุทธองค์ตรัสว่า “ไม่ได้ ต้องไปวันนี้” เกิดความสงสัยว่าใช่หรือไม่ นึกว่าตนเองผิดปกติไป แต่ก็ไปหาหลวงพ่อตามที่พระสั่ง โดยไปเอายาที่อำเภอพยุหะคีรีก่อน ปรากฏว่าไปถึงยาก็บดเสร็จก่อนแล้ว และก็ไปกราบหลวงพ่อที่ตึกกลางน้ำในตอนเย็นวันนั้น พอไปถึง หลวงพ่อก็สั่งให้ทำยาพระนอน

    เป็นยาที่พระพุทธเจ้าสั่ง ซึ่งตรงกับที่ดิฉันได้ยินเสียงมา (ซึ่งไม่แน่ใจตนเองในตอนนั้น แต่ไม่กล้ากราบเรียนหลวงพ่อจนบัดนี้) ท่านสั่งให้ทำยาพระนอน โดยบอกส่วนผสมมาให้ ครั้งแรกคิดว่าท่านคงสั่งเล็กน้อย ฟังไปฟังมา เอ๊ะ ท่านสั่งให้ทำจำหน่ายเพื่อสงเคราะห์ลูกหลานด้วย โดยกำหนดราคาจำหน่ายและแบ่งส่วนทำบุญบำรุงวัดเรียบร้อย โดยให้ลงทุนเอง ดิฉันกำลังจะเอ่ยปากว่า ไม่เอา

    ท่านรีบทักไว้ก่อนว่า อะไรก็ต้องใช้จ่ายทั้งนั้น ไม่ใช่น้อยนะ แม้กระทั่งค่ากระดาษ ค่าถุง ค่าเชือก ก็ต้องใช้จ่าย พอดิฉันจะเอ่ยปากขึ้นอีก ท่านก็บอกว่า “พระสั่ง” เลยต้องเงียบและถือปฏิบัติมาจนบัดนี้ ว่าอย่างน้อยต้องเท่าที่พระสั่ง ส่วนมากกว่านั้นเป็นเรื่องที่ดิฉันจะทำบุญ ดูที่ตนเองไม่เดือดร้อน ระยะนั้นได้ทราบว่าหลวงพ่อเป็นโรคท้องผูก ซึ่งปกติดิฉันก็เป็นโรคนี้เป็นประจำ

    และก็ได้ทำยาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่บังเอิญได้ตัวยามารับประทานเป็นประจำทุกวันเป็นเวลาหลายปี ช่วยให้การขับถ่ายสะดวกขึ้น จึงลองทำมาถวายหลวงพ่อ เผื่อว่าจะช่วยให้ความทุกข์ทรมานของท่านเบาบางลงไปได้บ้าง ครั้งแรกไม่กล้าเพราะทราบว่ายาของหลวงพ่อต้องระมัดระวัง และอยู่ในความควบคุมของหมอตลอดเวลา แต่ก็ลองดู ปรากฏว่า หลวงพ่อฉันแล้วบอกว่ายานี้ดีมาก ช่วยให้อาการท้องผูกของหลวงพ่อดีขึ้น

    อาการป่วยต่างๆ ก็เบาตามด้วย หลวงพ่อเลยตั้งชื่อยานี้ว่า “ยาฤาษีหายป่วย” ต่อมามีอยู่เช้าวันหนึ่ง ที่ตึกกลางน้ำ ดิฉันได้มากราบหลวงพ่อขณะที่หลวงพ่อนั่งฉันอาหารเช้าอยู่ ท่านก็พูดขึ้นว่า นั่นแน่ หมอใหญ่มาแล้ว แต่ดิฉันไม่เห็นใครแต่ความเข้าใจว่าคงเป็นท่านปู่ชีวกหรือไม่ก็หลวงปู่ปาน อีกสักครู่หลวงพ่อก็พูดว่า ท่านปู่ชีวกท่านมา หลวงพ่อนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนหยุดฟัง

    แล้วท่านก็บอกว่าไอ้โอ๋เอ๊ย เอ็งเคยถือย่ามหรือล่วมยาตามท่านปู่ชีวก และตามท่านแม่ศรีมาตลอดแล้วท่านก็หัวเราะเสียงดังมากว่า “มิน่าเล่า ย่าถึงได้สั่งให้เอ็งเป็นคนทำยา” โดยเอ่ยชื่อมาเลย ให้ไอ้โอ๋นั่นแหละเป็นผู้ทำยา เพราะท่านรู้ว่าหน้าที่นี้เป็นของใคร (ก็เป็นเรื่องแปลกที่ดิฉันไม่เคยมีความรู้เรื่องยามาก่อนในชาตินี้ แต่ก็พอใจในงานที่พระพุทธองค์และหลวงพ่อสั่ง และไม่เหน็ดเหนื่อยด้วย

    ทั้งๆ ที่ยาบางตัวที่จะประกอบเป็นตัวยาพระนอนในสมัยนั้นหายาก ต้องขับรถตระเวนหาตัวยา ซึ่งดูแล้วมันก็ไม่คุ้มแต่ไม่เคยท้อ คิดแต่เพียงขอให้ได้ยามา จนหลวงพ่อว่า เอ็งน่ะมันขี่ช้างจับตั๊กแตน) อีกสักครู่ท่านก็พูดต่อไปอีกว่า ท่านปู่ชีวกบอกว่ายาตัวนี้ เป็นยาของเอ็ง ที่เอ็งเคยทำมาก่อนในอดีตชาติแต่คนที่รับมาทีหลัง ก็เปลี่ยนสัดส่วนในการผสมยาไป ทำให้ผลของยาไม่ดีเท่าที่ควร

    หลวงพ่อพูดอีกว่า ท่านปู่บอกว่าเอ็งกินยาตัวนี้มาตลอดใช่ไหม ดิฉันตอบว่าใช่ค่ะ ท่านก็บอกว่าสัดส่วนจริงๆ ของมันเป็นอย่างนี้ แล้วท่านก็บอกสัดส่วนในการผสมตัวยาบางตัวเท่านั้น ยาชนิดนี้มีส่วนผสมด้วยสมุนไพร ๓๐ กว่าชนิด แต่สัดส่วนที่ท่านบอกเป็นสัดส่วนของสมุนไพรบางตัวเท่านั้น ท่านเพียงแต่บอกเป็นสัดส่วนไม่ได้บอกเป็นน้ำหนัก และบอกว่ารักษาโรคบ้าได้ ดิฉันนั่งงงกลัวจำไม่ได้

    อาจารย์พรนุช จึงได้ให้ไปเอากระดาษมาจด ก็จดตามที่ท่านบอก (ท่านบอกว่าท่านปู่มาบอก) ท่านพูดว่ารักษาโรคบ้าได้ คนที่เป็นโรคบ้า ๑๐๐% กินยานี้ไปได้ ๑๕ วัน ความบ้าลดลงเหลือ ๑๕% คราวต่อมาก็มีคนเล่าให้ฟังที่ซอยสายลมว่าเป็นโรคบ้าเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญามา ๓ ครั้ง แต่ไม่หายพอรับประทานยานี้อาการก็หายเป็นปกติ จึงดีใจและโล่งอกไปมาก

    เลยตั้งชื่อยาตัวนี้ว่า ยาบำรุงประสาท หลวงพ่อบอกว่าคนเราเป็นโรคประสาทหรือโรคบ้ากันทุกคน จะมากหรือน้อยเท่านั้นแหละ โรคปวดศีรษะหลงๆ ลืมๆ ก็คือโรคบ้า เรื่องของการทำยา พระท่านเคยมาบอกว่าเป็นงานที่ท่านเมตตาสั่งให้ทำ เพื่อสงเคราะห์ลูกหลาน เพื่อให้มีสุขภาพดีจะได้ช่วยกันทำนุบำรุงศาสนาได้อย่างเต็มที่ให้ทำไปเถอะอย่าท้อถอย

    ท่านจะเมตตาควบคุมดูแลให้ตลอดและความจริงแล้ว ผลของยาที่ทำไปแต่ละชนิดก็ได้ผลจริงๆ คงจะเป็นผลของตัวยา และผลของพุทธคุณร่วมด้วย ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ ที่ทุกคนที่ได้รับยาไป ไม่เสียเงินเปล่า และดิฉันก็มั่นใจว่า ท่านควบคุมจริงๆ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่ง ดิฉันผสมยาชนิดหนึ่งขาดไป ๑ ตัวโดยไม่รู้ตัวทำยาเสร็จบรรจุกล่องจะนำมาวัดแล้ว ขณะที่จุดธูปบูชาพระอยู่

    ก็ได้เห็นภาพตัวยาที่ลืมไป กองสูงอยู่เบื้องหน้า ก็ตกใจเอ๊ะทำไมสมุนไพรตัวนี้จึงมาปรากฏให้เห็นทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดมาก่อน หรือว่าเราลืมไป จึงไปเช็คในบิลส่งขอที่สั่งมา ปรากฏว่าลืมสมุนไพรตัวนี้จริงๆ จึงต้องเทออกจากกล่องบดใหม่ ปั้นและทำใหม่ ขอให้ทุกท่านที่รับประทานยามั่นใจว่ายานี้พระท่านคุมอยู่จริงๆ หลวงพ่อมีพระคุณต่อดิฉันอย่างเปี่ยมล้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการให้กำลังใจก็ดี

    การสั่งสอนธรรมะก็ดี และอื่นๆ ที่ผ่านมา นับได้ว่าท่านได้สงเคราะห์โดยแท้ พระคุณท่านมากเกินกว่าที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้ ถึงแม้ดิฉันจะทดแทนพระคุณท่านกี่ชาติๆ ก็ไม่สามารถกระทำได้หมดสิ้น ดิฉันจึงตั้งจิตไว้ว่าจะปฏิบัติตนเพื่อทรงไว้ซึ่งความดี อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้หลวงพ่อไม่ต้องเป็นห่วง และขอถวายชีวิตอุทิศเพื่อรับใช้พระพุทธศาสนาและองค์หลวงพ่อด้วยความเต็มใจ

    เพราะชีวิตของดิฉันหากไม่มีหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ในครั้งที่รับประทานยาดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ป่านนี้ไม่ทราบว่าจะไปอยู่นรกขุมไหน คงไม่ได้มีโอกาสทำความดีเพื่อผลของพระนิพพานในชาติปัจจุบันตามแนวทางที่หลวงพ่อได้พยายามพร่ำสอนอยู่ทุกวันนี้เป็นแน่ อีกอย่างหนึ่งที่ดิฉันประทับใจมากก็คือ ความเมตตาของหลวงพ่อท่านได้แผ่ไปสงเคราะห์ทุกคนในครอบครัวดิฉันโดยทั่วถึงกัน

    แม้กระทั่งลูกๆ ก็ซาบซึ้งในพระคุณ ในมหากรุณาอันเปี่ยมล้นของหลวงพ่อ มีคำกล่าวคำหนึ่งที่ดิฉันซาบซึ้งและดีใจมาก ในฐานะที่เกิดเป็นแม่ เพราะลูกๆ ทั้ง ๓ คนเคยพูดให้ฟัง โดยเขาพูดกัน ๓ พี่น้องว่า “พวกเราดีใจที่เกิดมาเป็นลูกคุณแม่” จึงถามพวกเขาว่าเพราะอะไร เขาบอกว่า “เพราะถ้าไม่ได้เป็นลูกคุณแม่ คงไม่ได้เข้าใกล้หลวงพ่ออย่างนี้ คงไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อ

    คงไม่ได้ปฏิบัติพระกรรมฐาน และไม่ได้พบพระพุทธองค์อย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้” สิ่งนี้คือสิ่งที่ประทับใจมาก เพราะที่สุดที่ผู้เป็นแม่ต้องการ คือต้องการให้ลูกตั้งอยู่ในความดี ส่วนจะมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับกรรมของเขา เพราะเราพยายามอย่างที่สุดแล้ว และลูกก็พูดต่ออีกว่า โดยปกติแม่จะรักลูกมากที่สุด แต่เขารู้ว่าจริงๆ แล้ว พวกเขารู้ว่าแม่ไม่ได้รักเขามากที่สุด

    เพราะเขารู้ว่าที่แม่รักที่สุดคือสมเด็จพ่อกับหลวงพ่อ และรองลงมาคือพวกเขา เขาไม่เสียใจหรอก เขาดีใจและสำหรับพวกเขาก็เหมือนกัน ที่เขารักมากที่สุดคือ สมเด็จพ่อและหลวงพ่อ รองลงมาคือคุณแม่ (ปกติเวลาขึ้นไปกราบพระพุทธองค์ๆ ท่านจะแทนตัวว่าพ่อ เราจึงเรียกท่านว่าสมเด็จพ่อกันทุกคน)



    คัดลอกจาก E-Book เวบวัดท่าซุง หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2 ตามลิงค์ด้านล่างครับ

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1543#62



    อาจารย์บุปผาชาติ ได้ถึงแก่กรรม ด้วยโรคหัวใจเฉียบพลัน

    กำหนดสวดพระอภิธรรมคืนนี้เป็นคืนแรก ที่ศาลาพระพินิจอักษร วัดท่าซุง

    กำหนดพิธีฌาปนกิจ วันจันทร์ที่ 15 เวลาบ่ายสองโมง ที่วัดท่าซุง ครับ
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    0001.jpg


    น้ำมันชาตรีรักษาโรค

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ลูกเป็นมะเร็ง จะใช้น้ำมันชาตรีรักษา ถ้าจะรับทานน้ำมันชาตรี เรียนถามหลวงพ่อว่าสักประมาณเท่าไหร่แต่ละครั้งคะ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าโรคมะเร็งนะ 7 วันแรกควรใช้วันละ 30 ซี.ซี.วันละขวด แล้วต่อไปก็ช้อนชาเดียวนะ

    ให้สังเกตดูถ้าเป็นโรคมะเร็งรับประทานไปแล้วถ่าย ถ้าถ่ายนี่มีหวังหาย


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 127 กันยายน 2534 หน้า 20)

    511397.jpg
     
  14. amsuthon

    amsuthon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +1,459
    อยากทราบว่าใครเป็นทหารเสือพระเจ้าตากที่มาเกิดแล้วครับ
     
  15. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,303
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,134
    ขออนุญาตพี่วรรณด้วยนะครับ

    ผมขอแชร์สิ่งที่รู้มาครับ
    ข้อมูลที่รู้มามีมาจากหนังสือพระบ้าง จากการพูดคุยกับพระสงฆ์บางรูปบ้าง จากการพูดคุยกับเพื่อนที่ศรัทธาในองค์ท่านบ้าง จะเท็จจริงอย่างไรผมไม่อาจทราบไม่อาจยืนยันอะไรให้ได้นะครับ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งที่รู้มานะครับ

    จากหนังสือของหลวงปู่ฟัก วัดเขาน้อยสามผ่าน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรีท่านบอกไว้ว่าอดีตชาติท่านเกิดเป็นพระยาพิชัยดาบหัก (ท่านมรณภาพแล้ว)

    จากคำพูดคุยกับท่านเจ้าคุณอุดม วัดถ้ำวัฒนะมงคล เขาชะเมา จ.ระยอง (ท่านมรณภาพแล้ว ประมาณกลางปี 2564 ) ท่านเคยเกิดเป็นทหารของสมเด็จพระเจ้าตากสินแต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านเคยเกิดเป็นคนไหน (ผมเป็นคนสอบถามท่านเองถึงเรื่องประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินเมื่อปี 2562)

    จากคำบอกเล่าของเพื่อนที่นับถือสมเด็จพระเจ้าตากสิน มีพระหลวงพ่อองค์นึง อดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นพระเชียงเงิน อยู่วัดทางภาคอีสาน ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนี้ท่านมรณภาพไปแล้วน่าจะประมาณปี 2562 ส่วนรายละเอียดผมกำลังไลน์ไปถามเพื่อนอยู่ครับ ถ้าได้คำตอบจะนำมาลงอัพเดทให้ครับ

    มีอีกองค์นึง เคยอ่านมาในเฟซกลุ่มลูกศิษย์ของหลวงปุ่พิศดู จ.จันทบุรี เล่าถึงพระหลวงพ่อรูปนึงที่อยู่วัดใกล้ๆ ตัวเมืองจันทบุรี ท่านมีอดีตชาติที่มีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าตากสิน เดี๋ยวผมลองค้นหาดูอีกที ผมก็ว่าจะไปกราบท่านอยู่ อายุท่านน่าจะเยอะอยู่น่ะครับ
     
  16. amsuthon

    amsuthon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +1,459
    สาธุครับ
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741

    523545.jpg
    523544.jpg

    (จากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม พิเศษ หน้า 87-88)


    0001.jpg
     
  18. amsuthon

    amsuthon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +1,459
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    ring_08.jpg
    (ภาพบนนี้นำมาจากเวบวัดท่าซุง http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1573)

    สร้อยข้อมือเพชรเขาพระงาม (กำไลมหาลาภหินเขี้ยวแก้วหนุมาน)



    ทางวัดท่าซุงได้นำพลอยเขาพระงามดิบ(ที่ยังเหลือจากนำมาทำแหวนจักรพรรดิ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ครบรอบ 100 ปีเกิดท่านในปี พ.ศ. 2559) ที่ยังคงแช่ไว้ในบ่อน้ำมนต์ ใต้ตึกกลางน้ำ ตั้งแต่ปี 2530 ออกมาเจียรนัยเป็นลูกปัดทรงกลมเพื่อทำเป็นสร้อยข้อมือ

    โดยหัวสร้อยเป็นข้าวตอกพระร่วง

    ตัวลูกปัดมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 มม. สร้อยข้อมือ 1 เส้นมี 20 ลูก

    จัดสร้างในล๊อตแรกนี้จำนวน 10,000 เส้น


    ออกราคาให้บูชาไว้ที่เส้นละ 1,500 บาท (ราคา 1,500 นี้ให้เฉพาะในล๊อตแรก 10,000 เส้นนี้เท่านั้นเนื่องจากสาเหตุเศรษฐกิจ)

    โดยจะเข้าพิธีพุทธาภิเษก ในวันเสาร์ที่ 29 (เสาร์ 5) ตุลาคม 2565

    เปิดจำหน่ายวันแรกวันอาทิตย์ 30 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป


    หมายเหตุ : ตามที่ทางเพจวัดระบุว่า วันที่ 30 จำหน่าย วันแรกเพียงวันเดียวราคา 1,500 บาท เพราะคาดการณ์กันว่า สร้อยข้อมือ(กำไลมหาลาภ)จะถูกจำหน่ายหมดเกลี้ยงภายในวันแรกนี้วันเดียวครับ

    แต่ถ้ามีจำนวนเหลือวันต่อๆไปก็ยังคงราคา 1,500 อยู่ครับ จนกว่าจะหมดจำนวน 10,000 เส้นแรกนี้

    ทางวัดได้กันสร้อยข้อมือไว้จำนวนประมาณ 2,000 เส้น (เป็นจำนวนแยกต่างหากจากที่จำหน่ายที่วัด 10,000 เส้น) ไว้สำหรับจำหน่ายที่บ้านซอยสายลมกรุงเทพ ครับ

    ถ้าท่านไม่สะดวกไปเช่าที่วัดก็ยังสามารถรอเช่าจากบ้านซอยสายลม ตอนพระท่านมารับสังฆทาน วันที่ 11-14 พฤศจิกายน นี้ได้นะครับ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2022
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,478
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ถ้ามีแล้วลบได้เลยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...