ทำยังไงจะเจอจิตผู้รู้ เพื่อแยกกายและจิตได้คับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฮักตัวน้อย, 13 ธันวาคม 2018.

  1. ฮักตัวน้อย

    ฮักตัวน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +28
    วิธีฝึกปฏิบัติเพื่อให้ได้จิตผู้รู้ ต้องทำยังไงคับ อละวิธีให้ได้เร็วๆ มีไหมคับ และการที่ได้จิตผู้รู้แล้ว มีข้อดียังไงสามารถแยกกายจิต หรือรูปนามได้ใช่ไหม แล้วสามารถพัฒนาเพื่อฌานสมาบัติหรืออภิญญาต่อได้ไหทคับ
     
  2. เตรียมตัว

    เตรียมตัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +156
    รักษากายวาจาใจ.....อย่าให้มัวหมอง..เพราะผิดศีล5ประการ
    เจริญภาวนา ..ด้วยคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ....สติจดจ่อคำบริกรรม
    เพียรอยู่ไม่หยุดไม่ถอย...ทั้งกลางวันกลางคืนระลึกได้เมื่อไหร่..ภาวนาเมื่อนั้น
    ภาวนา อย่าให้.. พุทโธหาย. พุทโธพุทโธไปเรื่อยเรือย อย่าให้พุทโธหาย..เบื้องต้นเอาแค่นี้ก่อน

    สาธุสาธุสาธุ...
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เปล่าครับ ยังเข้าใจไม่คลอบคลุม
    เด่วจะเล่าให้นะครับ
    ตัวผู้รู้ เบื้องต้น มันมี ๒ นัยยะครับ



    ๑ .ถ้าเราหนักสมถะ
    จนถึงระดับสูงและมีสติมากพอที่จะควบคุม
    ตัวจิตได้
    จนสามารถมองเห็นตัวจิตเป็นวงกลม
    ในขณะที่มันออกไป 11 ร.ด ได้
    ผู้รู้ในที่นี้เราจะเข้าใจว่าเป็นตัวจิต
    และเข้าใจว่าตัวที่ตามจิตควบคุมจิต
    เป็นตัวเดียวกับผู้ดู และไม่เห็นตัววิญญาณ
    ที่ส่งจากจิตไปกระทบ

    ๒. ถ้าเราหนักวิปัสสนา จนจิตเห็น
    ตัววิญญานที่ส่งออกไปกระทบสิ่งต่างๆ
    ที่มันสร้างเป็นภาพเป็นเรื่องราวได้
    เราจะเข้าใจว่า ตัวที่ทำให้เห็นเรื่องราว
    หรือกระบวนการที่เกิดนั้นเป็นผู้รู้
    เราจะไม่เห็นตัวที่ตามจิต และตัวจิต
    และจะเข้าใจว่า
    จิตคือผู้รู้และเป็นตัวเดียวกันกับตัวที่ตามจิต

    จะบอกว่า ทั้ง ๑ และ ๒ นั้นไม่ใช่ผู้รู้จริงๆ
    ๑ เป็นสติทางธรรมหรือตัวที่ตามจิต
    ๒ เป็นตัววิญญานที่ส่งจากจิตไปกระทบ
    เรียกว่าเห็นในมุมที่ตนหนักไปทางนั้น
    เป็นผู้รู้ในกระบวนการที่เกิดไปแล้ว
    หรือรู้จากสัญญาในจิตเท่านั้นเอง


    *** ผู้รู้ในที่นี้ คือ เห็นทั้ง ตัวที่ตามจิต
    ตัวจิต ตัววิญญาณที่ส่งจากจิตไปกระทบ
    ทั้งหมดว่าเป็นกระบวนการปรุงแต่งอยู่
    มันถึงจะเริ่มรู้ต้นเหตุแห่งการเกิด
    และการดับได้. ญานวิถีจะเริ่มเกิด
    ได้ของมันเอง


    การแยกรูปแยกนาม ไม่ใช่แยกจิต
    ให้ออกจากกาย หรือส่งจิตไปนอกกาย
    แต่มันคือ การที่จิต สามารถเห็นความคิด
    ที่เกิดจากจิตตอนที่มันกำลังผุดขึ้นมาจากจิต
    หรือเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจก่อนที่มันจะรวมกับจิตได้ทัน. พวกนี้เป็นผลจากกำลังสติทางธรรมที่ได้จากการเจริญสติในชีวิตประจำวัน


    ส่วนจะต่อไปสมาบัติหรือความสามารถอะไร
    ทั่วไปเรื่มจากแยกรูปแยกนามและเดินปัญญาไปก่อนแล้วค่อยมาฝึกกรรมฐานพิเศษ
    ไม่งั้นจะเสียเวลาเฉยๆ ถ้าทำได้แล้วมาเน้น
    ปัญญาต่อความสามารถจะค่อยๆขึ้นมาตามลำดับ แต่อย่างน้อยควรยืนพื้น
    ด้วยกรรมฐานที่ขึ้นด้วยภาพในกำลัง
    ระดับสูงให้ได้และใช้งานได้ก่อน
    (ถ้าจะไปต่ออย่างที่ถามมานะ)

    หรือไม่ไปทาง ที่ทำเครื่องหมาย ***
    ให้ได้ แต่ว่า หาคนทำได้ยากหน่อย
    ความสมารถจะขึ้นมาได้เองเช่นกัน
    ส่วนมากจะเป็นคนที่มีบารมี
    ทางด้านปัญญาทางธรรม
    คือพวกที่พูดธรรมแล้ว มีผี
    มีเทวดามาฟังนั้นหละ

    แต่แบบที่เกร็งกล้ามนั่งฝึกเอา
    แต่ข้ามขั้นตอนอย่างที่ส่วนตัว
    ได้บอกมาข้างบน
    นอกจากจะสำเร็จ
    ได้ยาก ก็อาจจะหลงตัวเอง
    เพราะยึดนามธรรมที่สัมผัสได้
    เผลอๆชาตินี้ก็ทำไม่ได้ ฝึกอะไรไม่สำเร็จ
    แม้เคยทำได้ ก็ยังจะเสื่อมอีก
    การพัฒนาก็น้อย

    ลองค่อยๆอ่านดู

     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เลิกฟุ้งซ่าน

    มีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก อานาปานสติ ในปัจจุบัน

    ไม่ฟุ้งซ่านเรื่องในอดีต อนาคต ใดๆ

    เมื่อจิตสงบลงจนถึงฐาน สงบจากนิวรณ์ 5 จิตรวมลงสมาธิ

    ภาวนาอานาปานสติ ครับ
     
  5. ฮักตัวน้อย

    ฮักตัวน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +28
    ผมรุ้สึกว่ายังไม่ถึงไหน ได้แค่สงบ ได้ณานไหนหรือเปล่าไม่รุ้เลย รุ้สึกว่าปฏิบัติไม่ถึงไหน ไม่ก้าวหน้าเลย สติระหว่างวันก็ไม่ต่อ้นื้อง
     
  6. ฮักตัวน้อย

    ฮักตัวน้อย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +28
    ดังนั้น สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือ รุ้ลมหายใจ หน
    รือระลึกถึงคำภาวนาอะไรก็ได้ตามที่ผมถนัด หรือรุ้การยืน เดิน นั่ง นอน ในระหว่างวันอย่างต่อเนื่อง หรือเมื่อที่ระลึกได้ ทำไปเรื่อยๆ แล้วผลตามนี้จะเกิด ถูกไหมคับ
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    มีสติ หยุดความคิดตัวเองไม่ให้เกิดได้เมื่อไหร่ หยุดความฟุ้งซ่านไม่ให้กำเริบได้ เวลาปฏิบัติกรรมฐาน จิตสงบจนจิตเข้าสมาธิ ก็จะเจอผู้รู้เองครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ที่พูดมาทั้งหมดให้เข้าใจก่อนว่า
    แยกเป็นส่วนของสมถะและปัญญานะ

    ๑ ดูระบบหายใจเข้าออกลึกถึงท้องหรือยัง
    ระลึกรู้ลมเข้าออกหนุดที่ปลายจมูกได้หรือยัง
    และการวางสายตาเหมือนพระพุทธรูปไหม
    เวลานั่งสมาธิ. ทำกระทั่งเป็นระบบหายใจ
    ปกติในชีวิตประจำวัน เป็นสมถะนะ
    เอาพื้นฐาน อย่าอเมริกันลูกทุ่งนะ
    จะเสียเวลาเฉยๆ

    ๒ มาเจริญสติจนแยกรูปแยกนามให้ได้และเดินปัญญาไปซักระยะหนึ่งก่อน
    คือสามารถเห็น กริยา ๑ ความคิดจากจิต
    ๒ จิต ๓ ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
    เห็น ๓ ตัวนี้ชัดเจน จะสามารถเดินปัญญา
    ได้โดยไม่เป็นวิปัสสนึก

    เพราะถ้าไม่ทำ จะหลงยึดนามธรรมได้
    และหลงตัวเองยึดตนเอง จนกลายเป็นนักปฎิบัติที่ขี้อิจฉา อยากได้รับการยอมรับ
    เพ้อเจ้อนามธรรม ไร้สาระ ที่สำคัญคือ
    จะฝึกกรรมฐานอะไรไม่สำเร็จ
    และใช้งานไม่ได้ซักอย่าง
    แต่ก็คิดว่าตนเองเหนือกว่าใคร
    ได้อย่างคาดไม่ถึง
    จิตถึงจะเข้าถึงความเป็นกลาง
    คือไม่มีความคิด
    ๑ และ๓ มาปน ตรงนี้กำลังสติ
    จะทำหน้าที่ควบคุมคุมจิต
    ให้รับรู้ตามความเป็นจริงด้วยใจเป็นกลาง
    ณ เวลาปัจจุบัน. จะเริ่มเกิดเป็นปัญญาทางธรรมได้บ้าง หลักสังเกตุคือ จิตจะเริ่มคลายตัวเอง
    ได้เองตามธรรมชาติของมันเอง
    (คล้ายๆเวลาทำบุญมา แต่มันเกิดเอง
    ในเวลาปกติพอมองภาพออกนะ)

    ทำแบบนี้ให้ได้ก่อนจะฝึกกรรมพิเศษอะไร
    ค่อยมาว่ากัน ไม่งั้นฝึกไปเสียเวลา
    จะไม่สำเร็จซักอย่าง

    ป้องกันการกลายเป็นพวกบ้า พวกยึดเพ้อเจ้อแต่นามธรรม คิดว่าตนรู้มาก ขี้อิจฉา
    อยากให้คนยอมรับ
    เห็นใครดีกว่าไม่ได้
    ที่สำคัญไม่มีความสามารถ
    ใช้งานได้จริงซักอย่าง
    เพราะไม่เคยฝึกอะไรสำเร็จซักกรรมฐาน
    มีแต่เพ้อเจอ โม้แต่สิ่งที่ตนเองเห็นในนิมิต
    ปากบอกไม่ยึดไม่ติด แต่คุยอวดตลอด
    ว่าตนเห็นโน้นนี่นั่นแบบไม่รู้ตัว


    ปล ฮักตัวน้อย ลองอ่านดูนะ
    ส่วนอนาคต ความสมดุลย์ระหว่าง
    สมถะและวิปัสสนาเราต้องหาเอง
    ถึงจะเห็นว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นมันแค่การปรุ่งแต่งได้เอง ตามลำดับ
    ไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้เลย
    ทุกคนเริ่มจากคลานทั้งนั้น จบนะสำหรับ
    สนทนากับฮักตัวน้อย



    ** สำหรับบางคนที่เริ่มออกสันดานกวนตรีน
    เพราะทนไม่ไหว กับการที่ถูกเบรค
    การไปค้นไปกระทู้ เก่าๆขุดขึ้นมาโม้แต้เรื่องนามธรรมนั้น โม้แต่ทางวิชาพิเศษนั้น
    แต่สุดท้ายพูดไปไม่ได้อะไร
    เหมือนขุดมาคุยโม้ตัวเอง

    ถ้าไม่แน่จริงกรุณาอย่าเริ่มกวนตรีน
    ให้มาก อย่าปากดี
    เอาไว้ฝึกให้สำเร็จซักอย่างก่อน
    ให้เก่งเหมือนที่ทำเป็น
    รู้ดีเรื่องกรรมฐานพิเศษก่อน
    และใช้งานทางจิตได้จริงๆซักกรรมฐานก่อน
    ถึงค่อยมาปากดี
    กำลังจิตไม่มี อย่าสะเออะมากล่าวหา
    แบบพวกปากพล่อยๆ
    แล้วจะหาว่าไม่เตือน

    ต่อไปกวนตรีนอีกจะไม่เกรงใจ
    แล้วนะครับ. จบส่วนนี้




    ต่อไปเวบนี้ ถ้าใครจะสอนกรรมฐานอะไร
    ต้องเรียกให้มาแสดง
    พิสูจน์ความสามารถกรรมฐานกองนั้นก่อน
    หรือวิชาเฉพาะนั้นก่อน
    ว่าทำได้จริงไหม
    ต่อหน้าพระเกจิ ท่านที่เป็นที่ยอมรับ
    ของเวบนี้ หรือของผู้ดูแลเวบนี้



    ถึงมีสิทธิ์ให้คำแนะนำทางด้านกรรมฐาน
    สมาชิกได้ รับรองว่า จะตัดพวกสายมโน
    หลงตัวเอง เพ้อเจ้อ ปากดีทั้งหลายได้เยอะ
    ที่สำคัญพวกขี้อิจฉา
    ยอมรับฟังความเห็นต่างได้ยาก
    พอตัวเองเข้าไม่ถึง ก็ปากดีว่าคนอื่น
    ดิสเครดิสคนอื่นๆสุดท้ายยกตัวเอง
    และจะตัดพวกสายอ้างตำรา
    อ้างครูบาร์ให้หมดไป ดีไหม
    ความเห็นแบบนี้ อิอิ
     
  9. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    องค์ของสมาธิ มี วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกคตา คือ ผู้รู้ ก็คือ รู้ว่า องค์ ของสมาธิขั้นนั้นๆ เป็นอย่างไร คือเมื่อกำหนดสมาธินำคำบริกรรมภาวนามาใช้ ให้เป็น วิตก วิจารณ์ก่อน ทีนี้ กำลังของสมาธิเนี่ย คือให้จิตมันนิ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นคำบริกรรมก็ได้ เป็นการทำงานก็ได้ เช่น อ่านหนังสือน่ะน้ะ เราก็มีสมาธิอ่านหนังสือจึงเข้าใจ แต่รู้ว่าเราอ่านหนังสือ นั่นเป็นผู้รู้ คือรู้ว่าเราอ่านหนังสือ แต่สมาธิจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือ คือมีผู้รู้ ว่าเราอ่านหนังสือเล่มนึง ใช้สมาธิอ่าน นั่น เรื่องนั้น เกิดอะไรขึ้นกับจิตใจเราบ้าง รู้อย่างนี้ก่อน คือ อ่านๆไป มันก็มีความคิดนึกขึ้นมาแทรก เราก็รู้ เช่น แล้วตอนต่อไปจะเป็นยังไง นั่นเราก็รู้ใจอย่างนั้นน้ะ คือจิตใจเราจดจ่ออยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง แล้วจิตมันจะจับอีกอารมณ์หนึ่งเราก็รู้ อย่างนั้น ผู้รู้อย่างนั้นก่อน แล้วเราก็อ่านหนังสือต่อ คือ อ่านต่อเนื่องต่อไปได้อีก คือมีสมาธิต่อเนื่องกับการอ่านหนังสือจนจบ คือก็จะรู้เรื่องหนังสือเล่มนั้น เปรียบสมาธิ ก็เหมือนกันอย่างนั้นแหละ ให้รู้องค์ของสมาธิด้วยตนเอง แล้วผู้รู้ที่เรียกนี่ก็ติดกันอยู่ตลอดนั่นแหละ แต่ จะให้แยกผู้รู้ไปเรื่องญาณ ฌาณ อะไร ปฎิบัติดูเองก็จะเกิดความก้าวหน้าขึ้นเองแต่มันก็ต้องเริ่มอย่างนี้ก่อน อย่างเราอ่านหนังสือ จนจบนั่นแหละ คือ เราเข้าใจเองแล้ว อย่างนั้น คือ สมาธิเนี่ยทำแล้วมันมีกำลัง คือกำลังทางจิต คืออุปจารสมาธิอย่างนี้น้ะ กำลังมาก ยังสติใช้กำลังนี้ได้อยู่ แต่จะกล่าวอย่างนั้นต้องปฎิบัติภาวนามาได้รู้ได้ แล้วก็คุยกันได้รู้เรื่องอย่างนั้นน้ะ แต่ที่ถามมานี่ก็ดี จะได้เข้าใจ
     
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อย่าไป คิดมาก มัววาดภาพ การปฏิบัติ สร้างข้อ วัตร ให้ดูเด่น แตกต่าง สาระวนอยู่กับ การลูบคลำ
    สีลพรต ให้เหมือน สำนักโน้นที สำนักนี้ที

    ต้อง สดับธรรมของผู้มีพระภาค ที่ ปราศจากข้อวัตร เน้นแต่ การบรรยาย สภาวะธรรม ธรรมนิยาม
    ให้สดับ.....โดยที....

    ไม่ได้มุ่งเอา ความเข้าใจ

    แต่ มุ่งเอาการเหน สภาวะ ที่มีอยู่ ทุกขณะ ตลอด
    เวลา

    นะ

    ฟังดีๆ นะ

    สภาวะจิตมนุษย์ ปรกติของมนุษย์ โดยมาก จะมี
    สภาวะ แยกรูปแยกนาม อยู่แล้ว คือ แต่ละกอง
    ขันธ์ จะมีการ แยกกะนทำงานแต่ละกองเปนเอก
    เทศน์อยู่แล้ว

    หรือ อายตนะเอง ก้ยัง แยกกันทำงาน ตา หู จมูก
    ...ฯ ก้แยกกันทำงานคนละกิจ รู้สภาวะธรรม คน
    ละประภทกัน

    หรือ ความ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เหล่านี้ก้
    แยกออกจากกัน ไม่ระคนกัน

    หรือ อริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด
    ก้แยกจากกัน ไม่มีใคร นอนไปเดินทางไป...
    เดินไปคิดไป.... ...มาตรงนี้ จะ เริ่ม งง แล้วนะ
    อาจจะย้อนว่า kuนี่แหละสารมารถ เดินไปคิดไป

    ทั้งนี้ สภาวะธรรม ที่เปนรูป จะมี อายุยืน หรือ
    การสืบสันตติ นาน ....เว้นแต่จะมีกำลังฌาณ
    ดีๆ ถึงจะเหน รูปแท้ เกิดดับ หนึ่งคาบลมหายใจ
    รูปเกิดดับเปนแสนล้าน....

    ลองพิจารณา ดู ตรงนี้นิดนึง

    ถ้า กำหนดรู้ ทุกขัง ไม่ถูก ร้อยละร้อย จะแล่น
    ไปคว้าเอา ข้อ สีล และ พรต ต่างๆ ตามแต่ละ
    สำนัก สรรเสริญว่าเปนทาง แล้ว ก้ งงอยู่นั่น

    คนนั้นก้ เน้น อย่างนี้ดี อย่างนี้ถูก อย่าทำตาม
    สำนักโน้น

    ถ้า จขกท ตั้งจิตให้ตรง หมั่นฟังธรรม นอกจาก
    จะทราบชัดว่า สภาวะแยกรูปแยกนาม มันแยก
    อยู่แล้ว แต่เราไม่เคย สดับ และ ไม่เคยกำหนดรู้
    ให้เกิด อายตนะธรรม เข้ามาเห็น

    ฌาณจิต เอง ก้มีอยู่ทุกขณะจิต ไม่ต้องทำมัน
    ก้มีขิงมันตามธรรมชาติ เพราะ ดิน น้ำ บม ไฟ
    จะแปรสภาพเปนอริยาบทย่อย ดื่ม ทำ พูด
    คิด ฯลฯ มันต้องใช้ ฌาณสัมปยุติ จึงเกิดกาย
    มนุษย์

    ที่ เราฝึกเพิ่ม ... จึงต้องเน้นไปในเรื่อง ขจัด
    ขัด เกลา กิเลส นิวรณ์ ภวสวะ สาสวะ เพื่อ
    แหวกสิ่งที่เปน ผ้าบังตา(ปุถุชน)

    นะ

    แค่แหวกๆ พอ

    ไม่ต้องไปเน้น สีล วัตร ให้มั่นเที่ยง อึ๊กๆ อั๊กๆ
    เสียก่อน จึงค่อย ยกสติปัฏฐาน โพธิปักขยิธรรม

    พอ กำหนดรู้ทุกขสัจจ ถูกต้อง ....ต่อให้ไฟไหม้
    อยู่ยนหะว ก้ไม่ผละ การสดับ อริยสัจจ4
     
  11. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    มันแยกกันอยู่แล้วครับ

    ต้องการรู้ให้ชัดขึ้น ก็ลองฝึก อิริยาบทบรรพ และสัมปชัญญะบรรพ ให้มากขึ้น
     
  12. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015

    แนะนำให้ฟังเรื่อง ตามดูจิต ของ
    พระอาจารย์ปราโมช ปราโมชโช ใน ยูทูปดูครับ
    แล้วจะเข้าใจ เรื่อง จิตในจิต ได้ดีขึ้น
    จะได้รู้ว่า อันไหนจิตผู้ดู อันไหนจิตผู้รู้
    อันไหนจิตเฉยๆ อันไหนจิตปล่อยวาง

    ส่วน อภิญญา อย่าไปหวังมันเลยครับ
    ยากที่จะเกิด ถ้าฝึกแบบนี้
    นอกจากว่า มีของเก่า อยู่ก่อนแล้ว
    ของเก่าอาจจะกลับคืนมา
    เมือสติหนักแน่นพอ ไม่หลุดง่ายๆ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ด่าอยู่แล้ว พวกสอนแบบโง่ๆ
    ก็ด่าว่าโง่ ถ้าสอนดีก็ต้องชม
    ตรรกะง่ายๆ ไม่ต้องใช้สมองคิด

    ก็ไม่รู้จักเจียมตัว
    พูดเรื่องสมถะ ไปเกี่ยวอ้างธรรมะ
    พูดเรื่องธรรมะไปเกี่ยวอ้างสมถะ
    ปนมั่วแบบนี้
    เหมือนคนไม่มีหลักการ ไม่มีแนวทางการปฏิบัติ มั่วไปเรื่อย บอกแล้วว่าถ้าเวบ
    ให้มีการทดสอบความสามารถเรื่อง
    สมถะก่อนที่จะสอนหรือวิชาอื่นๆก่อนสอน
    ชาตินี้คุณไม่ได้สอนใครหรอก
    เพราะตัวเองทำไม่ได้ซักอย่าง
    กล้าเถียงไหม. อิอิ


    คิดว่า สมาธิมันคิดเอาได้หรือไง?
    ถึงได้มั่วแนะนำ ถ้าไม่มีประประสบการณ์
    ก็ควรมีแหล่งอ้างอิงคำสอน
    แต่ไม่ใช่เอาท่านมาอ้างยกตัวเอง
    มันต่างกัน

    หรือควรแนะนำจากประสบการณ์
    มีหรือเปล่า? ไม่ใช่ลูกทุ่งเอา อย่าโง่
    มีแต่คุย
    ว่าเห็นโน้นเห็นนี้ พูดเพื่อ?
    มีแต่จะอวดตน ยกตน
    จำไว้ ถ้าเป็นแบบนี้
    อย่าสะเออะ พูดเรื่องปล่อยวาง
    เรื่องอัตตากับใครอีก
    ถ้าตนเองยึดนามธรรมแบบนี้
    แล้วเที่ยวเอามาพูด เป็นต่อยหอย มันตลก


    คุณถึงได้ฝึกไม่สำเร็จซักอย่าง
    ป่านนั้นประกาศคุยโม้
    ว่าปรารถนาเป็นโน้นเป็นนี้
    อิอิ ขำดี

    ที่ดูถูก ไม่เกี่ยวเรื่องธรรมะนะ
    เพราะธรรมะคุณสัญญาเยอะ
    ตำราล้วนๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
    พระพุทธเจ้ามีเป็นพันๆ
    คนเป็นระดับโน้นนี่นั้น
    สัญญาล้วนอ่านมาทั้งนั้น ขำ
    จ้างก็ดูใครไม่ออก
    มีแต่โม้ล้วนๆ







    ส่วนตัวด่าใครพร้อมพิสูจน์
    เสมอกับทุกคนที่ด่า ไม่กลัวทุกคนที่ด่าอยู่แล้ว ไม่กลัวการย้อน เหมือนพวกที่เคยมีเรื่อง
    มันเอามาขู่ด้วย อยากรู้เหมือนกันว่าคำพูดใครจะเป็นผลจริง อิอิ.

    ว่าแต่น้องปากดีกลับ
    กล้ามาพิสูจน์ตัวๆเรื่องกรรมฐาน
    ไหมหละ? อิอิ ถ้าไม่แน่จริง
    หรือทำไม่ได้จริงเงียบๆไปเหอะ
    อย่าทำปากดี เตือนแล้วนะ

    คนจะด่าคนอื่นว่าไปตั้งสำนักนั้น
    คือพวกที่ติดการยอมรับ
    อยากมีชื่อเสียงทั้งนั้นหละและ
    อยากให้คนอื่นๆเห็นว่าตนเองเก่งเท่านั้นหละ
    ที่จะด่าคนอื่นแบบนี้ จริงไหม อิอิ

    และไม่ต้องพูดเรื่องลดอัตตาตัวตน
    เพื่อให้ตัวเองดูดีหรอก
    ถ้ายังฟุ้งคุยโม้เรื่องนามธรรม
    ที่ตนสัมผัสมา หรือถ้ายังเที่ยวบอกชาวโลก
    ว่าตนเองมีปฎิธานจะเป็นอะไรนะ
    คือฟังดูมันคือการขี้โม้ดีๆนี่เอง
    หรือยังเที่ยวขุดกระทู้เก่าๆเรื่องสมาธิ
    เรื่องวิชาพิเศษเอามาพูด
    แต่สุดท้ายไม่มีสาระ
    ไม่มีเทคนิค
    ไม่ได้อะไร
    วิธีการแบบฝึกแบบโง่ๆ
    ตัวเองน่าจะเจียมตัวบ้าง แค่นี้คิดไม่ได้หรือ
    แนะนำขุดกระทู้ตลอด

    พื้นฐานก็ไม่ได้ ฝึกก็ไม่เคยสำเร็จซักอย่าง
    ทริคจากการปฎิบัติที่เห็นผลแล้วก็ไม่มี
    จะลูกทุ่งลุยอย่างเดียว แบบกระบือๆเพื่อ?
    ไม่ได้ดูแนวทางการปฏิบัติ
    แต่ละอย่างที่มีคนมาถามเลย
    ก็ยังจะแนะนำอยู่ได้. ถ้าคิดว่าข้าพเจ้าพูดผิด
    ก็ มาแสดงให้ดูเลย ว่าฝึกอะไรสำเร็จ
    ทำอะไรได้บ้าง อิอิ
    จ้างก็ทำไม่ซักอย่าง



    ดูคนถูกต้องนะครับ
    ว่าคุณกระจอกทางสมาธิ
    พูดง่ายๆคือไม่เฉลียวฉลาด
    ในการฝึกนั่นหละครับ
    แถมมีความมั่นใจตัวเองสูง

    ที่พูดมาทั้งหมด มีตรงไหน
    ดูไม่ถูกบ้าง บอกมาเลยนะ
    ไม่ต้องเล่นลิ้นพลิกคำเปลี่ยนประเด็น

    ทำได้จริง เก่งเหมือนปากที่โม้หรือเปล่า
    ชัดเจนนะ.

    ปล ตรงๆไม่อ้อม ไม่พูดมาก เจ็บคอ ^_^
    พร้อมพิสูจน์เสมอ อย่าลืมนะ
    ข้าพเจ้า ไม่เคยบอกว่าตนเองเก่ง
    หรือเป็นคนดี หรือมีธรรมะอะไร
    ดังนั้นอย่าโชว์โง่เอาเรื่อง
    อัตตา ปล่อยว่างอะไรมาพูดยก
    ทำให้ตัวเองดูดีหรอก จำไว้

    ว่าแต่ไอ้โม้อนุบาล ไร้ทิศทาง
    แบบน้อง กล้าพิสูจน์เรื่องผล
    สำเร็จของทุกกรรมฐาน ตลอดจนเรื่อง
    สมาธิทุกเรื่องที่น้องเคยแนะนำเพื่อให้ชาว
    โลกได้รับรู้กันไหม. ^_^

     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕ เหอะๆ
    ไอ่โง่ ๑๐ ปีคือสมัคร เคยเขียนบอกไปแล้ว
    ว่าแล้วมันต้องมีพวกโชว์โง่แบบนี้ตลอด อิอิ
    ต้องจะดิสเครดิสใครทำข้อมูลบ้าง
    สายคิดเอาก็แบบนี้หละ อิอิ
    เหมือนปฎิบัติแบบโง่ๆของ
    ตนเองหรือจะเถียง

    แน่จริงรับคำท้าไหมน้อง



    และว่าแล้วมันต้องแถ พูดทำดูดี
    ทำ ดิสเครดิส เอกลักษณ์สายกระจอก นึกว่าจะแย้งอะไร ที่มาจากความสามารถตน หรือจะรับคำถ้าพิสูจน์ความสามารถ
    อิอิ เขียนตั้งเยอะ ทำฟอร์มว่าอ่าน
    บักเด็กน้อย ไม่มีประเด็นแย้งละซิ
    และก็ไม่กล้าพิสูจน์ความจริง
    กลัวฟอร์มแตก
    ท้าย
    สุดท้ายเก่งแต่แถดิสเครดิสยกตน
    เหมือนสายฝีมือกระจอกทั่วไปที่เก่ง
    แต่ปากนั้นหละ
    เด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อิอิ

    ไม่แน่จริง ปฎิบัติโง่ๆ
    ไม่กล้าท้าพิสูจน์ ก็เงียบไป
    ไปหานมดูดซะไป๊.
    รำคาญ ขี้เกียจคุยด้วย. ^_^

    ไอ้กระจอก แบบจับต้นชนปลายไม่ถูก
    อ่อนสุดแระ เท่าที่เคยมา
    ขำ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อิอิ อีอลืมบอก ส่วนตัวไม่เคยบอกว่าตัวเองเก่ง ดี หรือบรรลุนะ
    เพราะฉนั้นคำว่าโง่คงใช้มาด่าไม่ได้นะ
    เพราะโง่อยู่แล้ว

    เรื่องของมะรึง จะฟังไม่ฟังก็ช่าง
    ใครสนหรือ?
    เพราะตัวคุณคิดว่าตนเองฉลาดอยู่แล้ว
    ทั้งที่แนะนำแบบโง่ๆ เหมือนพวกมีปมด้อย
    ไร้ประสบการณ์ แต่เก่งมาก
    เรื่องโม้นามธรรมไร้สาระ ยกตน อิอิ

    ตามสบายน้อง อยากมีเรื่องจัดมาเลย
    และเชิญมะรึงโง่ต่อไปตลอดชาติเหอะ
    เพราะหน้าอย่างคุณน้อง
    โง่ทางปฎิบัติแบบคุณน้อง
    ฝึกแบบมะรึง ชาตินี้
    ไม่มีทางฝึกกรรมฐาน
    อะไรจนใช้งานได้อยู่แล้ว ฟันธง
    ทุกกรรมฐานที่มะรึง เข้าไปจุดมาโม้นั่นหละ
    ฟันธง. คอยดูแล้วกัน


    ถ้าคิดว่า ข้าพเจ้ากล่าวหา
    มาพิสูจน์ความสามารถกัน
    ใครทำไม่ได้ เอารูปหน้าสด
    มาลงให้ชาวเวบเห็นหน้าเอาไหม

    กรรมฐานอะไรก็ที่คุณโม้
    เอาที่คิดว่าเก่งสุดในโลกเลย อิอิ

    ว่าแต่ไอ้โง่ ที่คิดว่าตนเองฉลาดแบบคุณ
    กล้ามารับคำท้าพิสูจน์ความสามารถ
    ทางด้านกรรมฐานกับ
    ไอ้โง่คนนี้คุณด่าไหมหละ. อิอิ
    โง่กับโง่เจอกัน คงสนุกดี
    รับคำท้ามาเลย อิอิ

    อย่าแถ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ก็มะรึงไม่มีความสามารถเหมือนที่โม้ไง
    กลัวหน้าแหกไง ๕๕๕
    แต่ปากดี ขี้โม้
    ถึงไม่กล้ารับคำท้า ๕๕๕
    กระบือแท้ๆ ไม่มีวัวปนไม่รู้ตัวอีก ๕๕
    ไอ้กระจอก ปฎิบัติโง่ๆ
    เก่งแต่โม้กลับแถ อิอิ
    นึกว่าจะแน่จริง
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    พวกกระจอกคือโม้แต่ไม่กล้าพิสูจน์ความสามารถ หรือทำไม่ได้จริงนะน้อง
    พอโม้มาก มีคนท้าก็หาว่าเค้ากร่างอิอิ
    ที่ตนเองปากดี ดิสเครดิส
    กล่าวหาเค้าดันไม่คิด
    ไม่คุยโม้นามธรรม อวดว่าตนปรารถนาอะไร ไม่ใช่คนที่ไม่เคยบอกว่าตนเองเก่ง ตนเองดี
    ไม่ได้เรียกว่าโม้นะน้อง ๕๕

    คือ ตรรกะทางสมอง ยังปกติอยู่ไหม
    ไปเรียนการตีความภาษาใหม่นะ
    นี่หละผล การปฎิบัติแบบนึกคิดเอา
    ปฎิบัติแบบกระจอกๆ
    แต่เจือก ติดการอยากได้รับการยอมรับ
    ตรรกะเลยเพี้ยนแบบนี้ อิอิ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขาตินี้คุณทำไม่ได้อยู่แล้ว
    อย่าพูดให้ดูหล่อเลย
    คนทำได้ก่อนแล้วค่อยพูด
    กับคนทำไม่ได้แล้วพูด
    โม้ไปเรื่อยมันต่างกันนะน้อง

    เข้าใจนะ คุณมันโม้ไง
    โม้ทุกเรื่อง เลยมาเบรค
    การแนะนำแบบโง่ๆ
    แต่คุณโง่ไม่พอ ยังอวดเก่ง
    ปากดี ดิสเครดิส
    ก็เลยจะท้าแสดงความสามารถไง
    เพื่อพิสูจน์ว่า ที่คุณแนะนำมามันโง่ ไม่ได้ผล
    ไม่ได้มาจากประสบการณ์ เพราะคิดเอา
    ตรรกะง่ายๆ ไม่เข้าใจ
    ป่านนั้นทำเป็นปากดี

    ไม่รับคำท้า แล้วยังแถ
    แบบดิสเครดิสอีก

    เก่งจริงรับมาเลย
    อย่าแถถถถถถถ

    พูดยังกับว่าชาตินี้
    หน้าอย่างคุณจะฝึก
    กรรมฐานอะไรสำเร็จ
    ทำเป็นพูดให้ตัวเองดูหล่อไปได้

    ส่วนกร่างอยู่แล้ว
    โดยเฉพาะ พวกโชว์โง่
    ชอบอวดตน ดิสเครดิส
    แนะนำแบบกระบือๆ
    ว่าแต่มีปัญหาอะไรหรือเปล่าหละ

    ข้องใจรับคำท้ามา
    จะยากอะไร
    เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
    กล้าพิสูจน์ความจริงตรงนี้ไหมหละ ^_^

     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    แน่จริงอยู่แล้วววววววว ๕๕
    5555555 รับคำท้าพิสูจน์ความสามารถซิ อย่าแถ ๕๕๕
    นี่หละเอกลักษณ์พวกขี้โม้ฟอร์มเยอะ
    ไม่มีความสามารถ ถ้าเก่งกล้ารับคำท้าไปนานแล้วไม่แถหรอก ๕๕๕ แต่ฟอร์มเยอะ
    โม้กระจอกเอ้ยยย ขำวะ

    แถเก่งเนาะ รับคำท้าไอ้กร่างคนนี้ก็จบ
    เสียเวลาคุยกับสายกระจอกไม่เจียมตัว
    และขี้ปอดถนัดแต่แถดิสเครดิส ยกตัวเอง
    . ไปแระ
    ติดงานบวช เพื่อนพอดี
    บาย. ไอ้กระจอก

    เอ่อ บอกไว้นะว่าชาตินี้
    ยังยืนยันว่า หน้าอย่างมะรึง
    จะฝึกทุกกรรมฐานที่มาโม้ไว้ที่นี้
    ไม่สำเร็จซักกองที่เคยโม้ไว้
    และจะหลงวนเวียนหาต้นหาปลายไม่ถูกแนะนำโง่ๆตลอดไป. คอยดูนะว่าจะจริงไหม
    รอพิสูจน์ จนคุณตายได้เลย
    ว่าข้าพเจ้าพูดถูกไหม

    บ๊ายบาย. อิอิ ไปแระ

     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕ พูดโม้เป็นต่อย
    ถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง

    ถามจริงๆนะว่าพวก
    ตัวมะรึงมีความสามารถอะไรให้
    ใครอิจฉาได้ โม้นามธรรมฟุ้งเฟ้อนั่นหรือ๕๕

    และไร้ความสามารถทางจิต
    แบบมะรึงสอนโง่ๆ
    แบบมะรึงนะ ออกงานก็ไม่เคย
    โม้ไปเรื่อย อวดนามธรรมไปเรื่อย
    ใครจะอิจฉามะรึงงงงงงงงงงงงงงง
    พูดอะไรเจียมตัวบ้าง
    ๕๕๕๕

    ท้าเลย เอาระดับอุปจารสมาธิที่มะรึงโม้เลย
    ขอท้าว่ามะรึง ก็ทำไม่ได้ ใช้งานจริงไม่ได้
    กล้ารับคำท้าเอาระดับที่มะรึงโม้เลย
    ๕๕๕๕ เอาไหมหละ

    เด็กน้อย มีขนมกิน
    คิดว่าคนอื่นอยากได้ขนมมัน ๕๕ ขำฟันร่วง
    ให้มาท้าพิสูจน์ความสามารถยังไม่กล้า
    แต่ปากกับการโม้ระดับชาติ ๕๕๕

    นี่หละเค้าเรียกว่าโง่ไม่เจียมตัว
    แถมโม้กะจอกอีกต่างหาก อิอิ

    ย้ำว่าเอาไหม ไอ้เด็กโม้
    เอาระดับอุปจารสมาธิพอ
    ก็บอกแล้วว่าหน้าอย่างมะรึง
    ฝึกอะไรไม่สำเร็จหรอกชาตินี้

    แน่จริงมาพิสูจน์กันเลย
    เกรียนคีย์บอร์ด เก่งแต่ปาก
    เห่าเป็น ชิวาว่า ๕๕๕ ขำ
     

แชร์หน้านี้

Loading...