ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อย่ามองใครว่า "โง่"


    เปาโล กล่าวถึงคนเราทุกคนนั้น ล้วนมีปูมหลัง มีประวัติความเป็นมา และเราเองก็ไม่เคยแยกหนีหายไปจากโลกไปได้ ดังนั้น แม้เราไม่ได้มีการศึกษาในห้องเรียน แต่โลกนี้ ไม่มีใครที่ไม่รู้ หรือโง่ ที่เราจะไปกดขี่เขาได้ ให้เขาต้องมานั่งฟังเราสอนแต่ฝ่ายเดียวได้ ตรงข้าม คนทุกคนล้วนเป็นเหมือน "หน้าต่างของโลก" เพราะเราทั้งหลายล้วนเป็นหนึ่งเดียวกับโลกอยู่แล้ว การที่เราได้คุยกับคนๆ หนึ่ง แม้เขาไม่ได้เรียนจบอะไรมาเลย เขาก็คือ ตัวแทนของโลกในมุมๆ หนึ่งได้ เราสามารถสนทนาแลกเปลี่ยนมุมมองกับเขาได้ เหมือนเราได้เข้าใจโลกในมุมมองของเขา เปิดหน้าต่างผ่านโลก โดยมีเขาเป็นสื่อกลาง

    ทุกวันนี้ คนยิ่งฉลาด ยิ่งมีความรู้ ก็ยิ่งเบียดเบียนผู้อื่น คุณธรรมก็ยิ่งจะลดลงครับ แถมคนที่ฉลาดและรู้มากเหล่านี้ มักจะใช้ความฉลาดและความรู้ของตน กดขี่ผู้อื่นอีกด้วย โดยใช้หลักว่า "สัตว์ที่เข้มแข็งกว่าย่อมกินสัตว์ที่อ่อนแอกว่าเป็นธรรมดา" ดังนั้น หากเราถูกกดขี่ได้ เราก็ผิดเองที่อ่อนแอประมาณนั้นครับ พวกเขาจึงกดขี่ผู้อื่น โดยไม่สนใจความถูกผิดดีชั่วอะไรทั้งนั้น ทว่า ในความเป็นจริง ความรู้และความฉลาดเหล่านั้นเป็นได้เพียง "มายาการ" อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง มันไม่ใช่สัจธรรมความจริง และยิ่งนำพาคนที่ถือตน ถือดี ว่าตนมีความฉลาด มีความรู้มากกว่าผู้อื่น จะกดขี่ผู้อื่นอย่างไรก็ได้นั้น ไปถูกภาวะการแบ่งแยก จนแม้แต่ตัวเขาเองก็ถูกแบ่งแยกออกจากโลกที่แท้จริง

    เราจึงมักเห็นคนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งมีความคิดที่ "วิปลาส" ยังไงละครับ
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ข้อแนะนำสำหรับ "ฆราวาสผู้บำเพ็ญธรรม"


    ธรรมะที่นำเสนอในเพจนี้เป็นธรรมะสำหรับฆราวาส ซึ่งผู้เขียนได้ปฏิบัติในภาคฆราวาสและภาคสงฆ์มาแล้ว ได้พบอุปสรรคในการปฏิบัติหลายประการ ทั้งนี้ จึงแก้ไขและขอเสนอแนะแก่ท่าน ดังนี้

    1 เน้นปกติธรรม อย่าเว่อร์ ไม่ต้องสูงมาก
    มีฆราวาสจำนวนมาก ที่ปฏิบัติธรรมแล้วเว่อร์ ไม่เป็นปกติ หลุดไปจากความเป็นปกติ จริงอยู่ว่าการหลุดโลก หลุดจากความเป็นปุถุชนจะเกิดขึ้นได้เสมอ ทว่า หลายคนหลุดแบบกู่ไม่กลับก็มี จนไม่รู้ว่าอะไรคือการเป็นมนุษย์ปกติที่มีธรรม เพราะคิดว่าจะต้องเว่อร์ไปด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ให้คนมากราบไหว้บูชา อันเป็นวิถีพราหมณ์ครับ

    2 เน้นรากฐาน อย่ารีบร้อนจนก้าวข้ามขั้น
    มีฆราวาสจำนวนมาก ที่ใจร้อนอยากเอาสัจธรรมขั้นสูงสุดเร็วๆ จะได้เอาไปอวดเพื่อน หรือเอาไปเถียงให้ชนะผู้อื่น ฯลฯ ทว่า ธรรมะรากฐานกลับยังไม่ผ่าน ยังทำไม่ได้ แบบนี้ก็มี ผลคือ อันตรายจะเกิดตามมาครับ ธรรมะเหมือนดาบสองคม การศึกษาธรรมเหมือนจับงูพิษ ถ้าจับผิดที่ข้างหาง อาจเข้าใจผิด แล้วเกิดอันตรายได้อย่างยิ่ง

    3 เน้นประสบการณ์จริง อย่าเน้นอ่าน-ฟัง
    มีฆราวาสจำนวนมาก ที่ยังคิดว่าการปฏิบัติธรรมเหมือนการเรียนในห้องเรียน เนื่องจากพวกเขาได้รับการสอนมาเช่นนั้น ทว่า แท้แล้วไม่ใช่นะครับ การปฏิบัติธรรมแตกต่างจากการเรียนในห้องเรียนมาก เพราะไม่ใช่เน้นที่การอ่าน, การฟัง, การรู้, การเข้าใจ ฯลฯ แต่มุ่งเน้นที่ประสบการณ์ตรงของเราเองที่รู้ได้ด้วยตนเองครับ (ปัจจัตตัง)

    4 เน้นมีครูดูแล อย่าปฏิบัติไปเอง คิดไปเอง
    มีฆราวาสจำนวนมาก ที่ปฏิบัติธรรมเองโดยไม่มีครู เนื่องจากยุคนี้ มีสื่อ, มีหนังสือ ฯลฯ ให้ศึกษาเองมากมาย พวกเขาจึงศึกษาเอง แล้วปฏิบัติเอง โดยไม่มีครูบาอาจารย์ดูแล จริงอยู่ว่าการปฏิบัติธรรมในท้ายที่สุดแล้ว เราไม่มีครู ไม่มีศิษย์ ไม่ยึดติดอะไร แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องมีครูบาอาจารย์ก่อน เพื่อไม่ให้หลงตัวเองครับ

    5 เน้นกิเลสนิพพาน ไม่เน้นขันธปรินิพพาน
    การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา มุ่งเน้นให้ "แจ้งในนิพพาน" ซึ่งการจะแจ้งในนิพพานได้ ต้องปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งธรรมจนถึงนิพพานก่อน ไม่ใช่ ไม่ทำอะไรเลย ไปนั่งฟังธรรมะคนอื่นเขามาแล้วก็คิดว่าทุกคนเป็นพุทธะแล้ว ไม่ใช่นะครับ ทีนี้ ควรปฏิบัติให้ได้ถึง "กิเลสนิพพาน" แต่ไม่ควรได้ "ขันธปรินิพพาน" เพราะจะทรงขันธ์ยากครับ

    อนึ่ง การปฏิบัติธรรมพุทธมิได้เน้นที่การเป็นพราหมณ์ที่คนนิยมครับ
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ทำไมต้องปลุกให้ ปชช. "ต่อสู้" ไม่ให้ยอมจำนน?


    หาก ปชช. เคยชินกับการยอมจำนนแล้ว ต่างชาติกลืนไทยได้เมื่อไร เมื่อนั้นก็จะไม่มีใครที่คิดต่อสู้เลย ทุกคนจะยอมจำนนหมด เพราะถูกสอนมาเช่นนั้น ถูกพวกศักดินากดขี่มานานให้ต้องเงียบ ต้องยอมอยู่เช่นนั้น ดังนั้น ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร? หาก ปชช. ไม่มีใจต่อสู้ หาก ปชช. เป็นผู้ยอมจำนนต่อใครได้ง่ายๆ คนที่คิดแบบลวกๆ สุกเอาเผากิน เฉพาะหน้าตัวเองรอดไปวันๆ ก็คิดแค่ว่าทำอย่างไรจะให้ ปชช. ยอมง่ายๆ ไม่ต้องต่อสู้อะไรทั้งนั้น ทว่า พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าหาก ปชช. ยอมตนเองง่ายๆ แล้ว ปชช. ก็จะยอมจำนนต่อจีน ต่ออเมริกา หรือประเทศอืื่นใดที่เข้ามารุกรานเรา อย่างง่ายๆ เช่นกัน ถ้าพวกเขาสอนให้ปชช. เป็นผู้ยอมจำนนจนเคยตัวเช่นนี้แล้ว ประเทศย่อมอ่อนแออย่างยิ่งแน่นอน ซึ่งเราปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ไม่ได้ครับ

    เราต้องฝึก ปชช. ของเราให้เป็น "นักต่อสู้แบบสันติวิธี" ไม่ใช่ต่อสู้แบบอันธพาลครับ หลายครั้งเราเห็นการต่อสู้แบบอันธพาล ไม่มีการศึกษา ผลคือ ประชาชนของเราไม่ได้พัฒนาความคิดหรือจิตใจของเขาขึ้นมาได้เลย พวกเขาก็แค่ "แห่กันไปตามสื่อ" สื่อที่พวกเขารับฟัง พัดพาพวกเขาไปอารมณ์ไหน เขาก็จะไหลไปอารมณ์นั้นอย่างง่ายดาย บางคนเถียงว่าคนเราคิดได้เอง ไม่หลงสื่อง่ายๆ หรอก แต่ ปชช. ที่ถูกกดขี่และยังไม่มีปชต. ที่แท้จริงทั้งหลายแม้แต่ในอเมริกา ยังไหลตามสื่อเลยครับ ที่อเมริกาตอนแรก กลุ่มทุนหนุน ทรัมป์ เต็มที่ สื่อเทไปทางทรัมป์คนอเมริกาก็คลั่งใคล้ทรัมป์แบบไม่เห็นข้อเสียเลย แต่พอกลุ่มทุนไม่หนุนทรัมป์ สื่อไม่ช่วยแล้ว เดี๋ยวนี้ กลับกลายเป็นตรงกันข้าม เห็นไหมครับ อย่าคิดว่าอเมริกันชนจะต้องมี ปชต. ที่แท้จริงเสมอไป เอาง่ายๆ ก่อน "อับลาฮัม ลินคอร์น" จะเป็น ปธ. มีการค้าขายทาสทั่วไป การค้าทาสและกดขี่ชนผิวดำ เป็น ปชต. ตรงไหนครับ? ไม่เป็น ดังนั้น อับลาฮัมจึงต้องเลิกทาส ในช่วงแรกๆ เขาถูกต่อต้านจากพวกที่ได้ผลประโยชน์จากการค้าทาสมากมาย จนถึงขั้นถูกลอบยิงเสียชีวิต สุดท้าย คนอเมริกันจึงได้สติ คิดได้ว่าเราจะต้องเป็น ปชต. เราจะค้าทาส จะกดขี่ชนผิวดำไม่ได้ นี่ไงครับ แม้แต่ประเทศ ปชต. เอง ก็ต้องมีการปลุกความเป็น ปชต. เป็นระยะๆ ด้วยความเป็น ปชต. อาจดิ่งหัวลงเหมือนกราฟที่ขึ้นลง และตอนนี้เส้นกราฟความเป็น ปชต. กำลังดิ่งหัวลงทั่วโลกแล้วครับ

    "การต่อสู้แบบสันติวิธี" ต่อการถูกกดขี่ เป็นทางออกในการปั้มหัวใจของ ปชต. ในประเทศที่ ปชต. เริ่มอ่อนลง จืดจางลง หรือดิ่งหัวลง ความเป็น ปชต. ก็เหมือนเส้นกราฟ ที่มีขึ้นมีลงได้ แม้คุณจะใช้การปกครองแบบระบอบ ปชต. อยู่ก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีความเป็น ปชต. เหมือนเดิม อย่างที่ชายยกตัวอย่าง อเมริกาก็มีการกดขี่ทาส กดขี่ชนผิวดำ ทำไมมีได้? ทั้งๆ ที่ก็เป็นประเทศ ปชต. นี่ละครับ ความเป็น ปชต. มันไม่ใช่ระบอบ ปชต. มันคนละเรื่องกันแต่มันเกี่ยวข้องกัน เสริมกันได้เท่านั้นเอง เราจะสรุปว่าประเทศเรามีระบอบ ปชต. เราก็มีความเป็น ปชต. อยู่แล้วนั้น ไม่ได้ ตรงข้าม เราจะต้องปลุกความเป็น ปชต. ในใจของ ปชช. ขึ้นมาอยู่เสมอครับ

    อย่าให้ความเป็นปชต. เป็นไฟที่มอดดับไปจนเหลือแต่ตัวระบอบครับ
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การกระทำกรรมมาก ส่งผลให้สูญเสียตัวตนเดิมแท้อย่างไร?


    การกระทำกรรม ไม่ว่าดีหรือชั่วก็แล้วแต่ นำไปสู่ชาติภพใหม่ได้ แม้ร่างสังขารของเรายังเป็นร่างสังขารเดิมอยู่นี่ละ ถามว่าเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อร่างสังขารเป็นร่างเดิม แต่เราจะไปสู่ชาติภพใหม่ได้ยังไง คำตอบคือ ไปเพราะเราทำกรรมนี่ละ กรรมดีก็ช่าง กรรมชั่วก็ช่าง มันนำพาเราไปได้ สำคัญอยู่ที่ "สติ" พอเราขาดสติแล้ว ไม่ว่าทำอะไรก็ช่าง เราจะเผลอ หลงลืมตัว ลืมธรรมะ ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ของเรา แล้วเตลิดไปกับการกระทำนั้นๆ เช่น พอทำความดีเข้า เราก็ขาดสติ ไหลไปกับความดีที่ทำ เพลินไปกับความดีที่ทำ ความดีนี้ก็คือกรรมดี ทำมากๆ เข้ามันก็สะสมจนเกิดชาติภพขึ้นมาได้ ทีนี้ มันจะเกิดการจุติ หรือการเคลื่อนจากชาติภพหนึ่งไปสู่อีกชาติภพหนึ่งได้ เพราะการทำกรรมดีเยอะๆ หรือกรรมชั่วเยอะๆ นี่ละ เรียกว่าทำกรรมมากเกินไป มันทำให้เคลื่อนออกจากชาติภพเก่าไปสู่ชาติภพใหม่ได้ สติเราอ่อนกำลัง เราก็เตลิดออกไปสู่การกระทำความดีของเรา เผลอคิดว่านี่คือ ความดีของเรา เราคือผู้ทำความดีนั้น นี่ละ "ตัวตนของตน" มันเกิดขึ้นตอนนี้ ตรงนี้ นานเข้า เราจะหลงลืมธรรมชาติเดิมแท้ของเราไป แล้วกลายเป็น "ตัวตนคนใหม่" ที่เรียกว่า "คนดี" คนนั้น ซึ่งจะส่งผลให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    บางคนยังนึกภาพไม่ออก จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพอย่างนี้ก็แล้วกัน สมมุติ อดีตชาติ คุณเป็นพระพรหม ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็อยู่เหมือนฤษี ไม่ได้ทำอะไรหรอก กรรมดีกรรมชั่วอะไรแทบไม่ได้สร้างเลย เพราะพระพรหมท่านไม่ค่อยทำกรรมอะไรมาก อยู่แบบสงบไปวันๆ จิตญาณข้างในคือพรหมนะ ต่อมา คุณหลงไปคิดว่าฉันไม่มีความดีกับใครเขาเลย ฉันอยากเป็นคนดีอย่างใครเขาบ้าง อยากทำความดีบ้าง อยากสร้างบุญมากๆ บ้าง เพราะคุณไปเห็นคนทำบุญกันเยอะแยะ คุณเลยขาดสติ เอาตามอย่างเขาบ้าง เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง เริ่มขาดสติ ลืมธรรมะ ธรรมชาติดั้งเดิมของตนละ คุณก็ไปทำกรรมดี ทำบุญอะไรต่อมิอะไรมากมาย จากนั้นก็เริ่มหลงเพลิน เพราะไม่มีสติที่กาย ที่จิตเดิมแท้ของตน แล้วยึดถือไปว่ากรรมดีนั้น เป็นตัวกูของกู นานวันเข้าถึงจุดหนึ่ง สะสมมากพอเป็นชาติภพใหม่ได้ โดยที่สังขารยังไม่สิ้นอายุขัยนี่ละ เกิดอะไรขึ้น? มันก็จะเกิดการจุติ คือ เคลื่อนจากชาติภพเก่าไปสู่ชาติภพใหม่ แต่ใช้สังขารเดิมนี่ละ คุณเคลื่อนจากชาติภพที่เป็นพระพรหม ไปสู่ "สัมภเวสี" ผีหิวบุญ เพราะคุณอยากเป็นคนดี อยากทำบุญเยอะๆ ไม่อยากอยู่เฉยๆ อีกละ มันเกิดการเคลื่อนได้ ชาติภพที่เป็นพรหมเคลื่อนไป ชาติภพที่เป็นสัมภเวสีเคลื่อนเข้ามาแทนที่ คุณก็จะไม่ใช่จิตญาณเดิมแล้ว ไม่ใช่ตัวตนดั้งเดิมแท้แล้ว คุณก็จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองแต่เดิม แต่ไม่ใช่ได้บรรลุธรรมอะไรหรอก มันคือ "การเคลื่อน" (จุติ) ไปสู่ตัวตนใหม่ เท่านั้นเอง ตัวตนเก่าของคุณก็ดับสิ้นไปจากสังขารนั่นเอง

    * การทำกรรมดีหรือชั่วก็ช่าง ทำให้สูญเสียตัวตนดั้งเดิมแท้ได้ดังนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ตุลาคม 2016
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ความเข้าใจผิดในการศึกษาของผู้ถูกกดขี่ของ นัก ปชต. ไทย​



    นักเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. ไทยและอีกหลายคน อาจศึกษางานของเปาโล แต่เข้าใจผิดไปหลายประเด็น ทำให้การเคลื่อนไหวไม่ใช่การศึกษาของผู้ถูกกดขี่แบบที่เปาโลเสนอจริงๆ ความคลาดเคลื่อนตรงนี้ ชายขอนำเสนอผ่านมุมมองของตนเองไม่ใช่ของเปาโล ดังนี้

    1 ไม่ใช่เหยียดผู้อื่น แต่ยอมให้ผู้อื่นเหยียด
    คุณจะมี "การศึกษาของผู้ถูกกดขี่" ได้ คุณจะต้องอยู่ในฐานะของ "ผู้ถูกกดขี่" ก่อน หากคุณยังอยู่ในฐานะของผู้กดขี่ เปาโล กล่าวว่า มันจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะผู้ที่จะกลายเป็นผู้ปลดปล่อยได้นั้นจะมาจากผู้ถูกกดขี่เท่านั้น ดังนั้น หากเราต้องการมีการศึกษาของผู้ถูกกดขี่ เราก็ต้องยอมรับการถูกกดขี่ให้ได้ก่อน แต่ไม่ใช่ยอมแพ้ ยอมจำนน เรายอมรับเพื่อที่จะต่อสู้ด้วยความตระหนักรู้ถึงจิตอิสระเสรี

    2 ไม่ใช่เรียนรู้จากตำรา แต่จากผู้ที่กดขี่เรา
    คุณต้องละทิ้ง "การศึกษาแบบธนาคาร" ให้ได้ การอ่าน, การฟัง, การศึกษาใดๆ ที่คุณเคยได้รับแบบเดิมๆ คุณต้องกล้าหาญที่จะสลัดออกไปจากมัน แล้วเรียนรู้แบบผู้ถูกกดขี่ ยอมรับสภาพการถูกกดขี่ เพื่อที่คุณจะได้รับการศึกษาของผู้ถูกกดขี่ ซึ่งเป็นการศึกษาที่แท้จริง คุณอาจได้รับความเจ็บปวดและถูกบีบคั้นจากมันบ้าง แต่นั่นคือ วิถีที่จะทำให้คุณพัฒนาตัวเอง กลายเป็นคนใหม่ได้อย่างแท้จริง

    3 ไม่ใช่ต่อต้าน แต่เปิดรับเพื่อเลียนแบบ
    หลายคนต่อต้านหรือปฏิเสธการกดขี่ ทว่า เปาโล กลับเสนอว่าการกดขี่นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติของโลก เราอาจตกอยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่ง หากไม่ถูกกดขี่ก็จะเป็นผู้กดขี่เสียเอง ดังนั้น เราต้องยอมรับความจริงของโลกในข้อนี้ก่อน จากนั้นจึงเปิดรับเพื่อเรียนรู้จากผู้กดขี่เราได้ ซึ่งในการเรียนรู้นี้ เราจะมีสองตัวตน ตัวตนหนึ่งคือผู้ถูกกดขี่ที่เราไม่อยากเป็น อีกตัวตนคือผู้กดขี่ที่เราพยายามเลียนแบบ

    4 ไม่ใช่ทั้งสองฝ่าย แต่เป็นการกำเนิดใหม่
    ในการศึกษาของผู้ถูกกดขี่นั้น ท้ายที่สุดแล้ว เปาโล กล่าวว่าเราจะไม่ใช่ทั้งสองฝ่าย คือ ไม่ใช่ทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่ แต่เราจะเกิดใหม่ เป็นคนใหม่ หลุดพ้นจากวังวนของการกดขี่ เป็นอิสระ เป็น ปชต. ได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลให้เรากลายเป็น "ผู้ปลดปล่อย" ได้ และเราจะสามารถปลดปล่อยได้ทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่ โดยไม่แบ่งแยกฝั่งฝ่ายใดๆ เปาโล กล่าวชัดเจนว่าสิ่งนี้ต้องไม่ใช่ "การย้ายข้าง" ครับ

    5 ไม่ใช่การไปรู้ ไปมีอะไร แต่เป็นการเป็น
    เปาโล เน้นย้ำตรงนี้อย่างชัดเจนว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกับโลกอยู่แล้ว การศึกษานั้นจึงไม่ใช่การไปรู้อะไรแบบผู้รู้ (Subjective) และสิ่งที่ถูกรู้ (Objective) แต่เป็นการ "เป็น" ไม่ใช่การมีความรู้มากขึ้นโดยการเข้าไปครอบครองความรู้นั้นเพื่อให้มีความรู้นั้น แต่เป็นการเป็น เราต้องเป็นสิ่งนั้นๆ เราต้องเป็นผีเสื้อที่โบยบินอย่างอิสระให้ได้นั้น เราต้องเป็น ปชต. ให้ได้จากภายในของเรา ไม่ใช่ครอบครองเพื่อมี

    * ด้วยเหตุผลทั้ง 5 ประการนี้ เราจึงต้องปรับแก้การต่อสู้ในไทยครับ
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    จิตหลุดโลก ไปสู่มิติอื่น เช่น โลกไซเบอร์ได้อย่างไร?


    กระทู้ก่อนๆ ได้เคยกล่าวถึง "การสูญเสียตัวตนเดิมแท้" ไปเพราะกระทำกรรมมาก กระทู้นี้ จะกล่าวถึงการสูญเสียตัวตน ความเป็นมนุษย์ และหลุดไปจากโลกมนุษย์ ไปสู่มิติอื่นๆ เช่น โลกไซเบอร์ ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นกันมาก ถามว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร? คนเราจะหลุดออกจากโลกมนุษย์ไปสู่มิติอื่น เช่น โลกไซเบอร์ได้จริงหรือ? อย่างไร? กระทู้นี้ จะขออธิบายยกตัวอย่างให้เห็น 5 ประการ ดังนี้

    1 จิตพัวพันกับมิตินั้นๆ
    เช่น จะต้องเข้าเน็ต เข้าเฟสตลอด ขาดไม่ได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างยึดโยง พัวพันจิตใจ ทำให้ต้องเข้าอินเตอร์เน็ต, เข้าเฟส ฯลฯ เพราะจิตพัวพันกับมิตินั้นๆ เข้าแล้วออกไม่ได้ หลุดออกมาไม่ได้ ขาดไม่ได้ เหมือนคนที่หลงอยู่ในค่ายกล เหมือนคนที่เสพติดยาเสพติดจนขาดไม่ได้ ความพัวพันของจิตที่มีต่อมิติเหล่านี้ ก่อตัวเป็นภพใหม่ ทำให้จิตวิญญาณเคลื่อนจากภพเดิมไปสู่มิติใหม่ โลกไซเบอร์ได้

    2 โลกส่วนตัวมากไป
    เช่น ใครทำตัวไม่ดีกับเรา เราก็ไล่เขาออกไป ทำให้มิตินั้นๆ หรือในพื้นที่ส่วนตัวในเน็ตนั้นเกิดขึ้น กลายเป็นโลกส่วนตัวของเราที่จะเอาใครไว้หรือเอาใครออกไปก็ได้ โลกส่วนตัวที่ไม่จริง เป็นโลกเสมือนจริงก็เกิดขึ้นในมิตินั้นๆ คือ ในมิติของอินเตอร์เน็ต ในเฟสนั้น ทำให้เขาขาดสติหลงหลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริง โลกมนุษย์ที่อยู่แต่เดิม เหมือนผีเจ้าที่ที่แสวงหาที่ของตนได้แล้วไปจองฉะนั้น

    3 ภวตัณหาในมิตินั้นๆ
    เช่น ความอยากให้คนยอมรับ, มีเพื่อนมากๆ, มีคนมาชื่นชม, มากดไลค์มากๆ ฯลฯ ตัณหาความต้องการเหล่านี้ เมื่อได้รับการสนองในมิตินั้นๆ แล้วทำให้จิตเข้าไปเสพสุข เสพสภาวะ นานๆ เข้าก็ทำให้เกิด "ภพใหม่" ขึ้นมารองรับ จิตวิญญาณ ในที่สุดก็ถึงกับเคลื่อนหรือจุติจากภพปกติ คือ ภพมนุษย์ไปสู่มิตินั้นๆ กลายเป็นตัวตนใหม่ในมิตินั้นๆ ไม่ใช่มนุษย์ในโลกปกติ เพราะเสพสุขในมิตินั้นมากเกินไป

    4 มีตัวตนในมิตินั้นๆ
    เช่น การสร้างตัวตน, ชื่อเสียง, รูปภาพ ฯลฯ ลงไปในมิตินั้นๆ ในเฟสนั้นๆ แล้วพยายามหล่อเลี้ยงหรือรักษาตัวตนนั้นๆ เอาไว้ พยายามให้มียอดไลค์, จำนวนแฟนคลับ ฯลฯ จำนวนมากเอาไว้เรื่อยๆ เพื่อให้ตัวตนนั้นๆ คงอยู่ในมิตินั้นๆ ในเฟสนั้นๆ ตัวกูของกูก็เกิดขึ้นในมิตินั้น ในกรณีที่มี "นิรมาณกาย" หรือตัวเสมือนจริงทำงานก็จะไม่เสียตัวตนเดิมแท้ แต่บางคนขาดสติถลำลึก เอาตัวตนแท้เข้าไปแทน

    5 มีสังคมในมิตินั้นๆ
    เช่น ม่ีเพื่อน, มีแฟน, มีพ่อแม่, มีพี่น้อง ฯลฯ ในมิตินั้นๆ แล้วยึดมั่นเป็นจริง เป็นตัวกูของกู ทำให้เขาเหล่านี้ พัวพันยึดโยงด้วยพลังจิต ส่งผลให้จิตวิญญาณของคนๆ นั้น เคลื่อนออก (จุติ) จากภพเดิมที่เป็นภพมนุษย์ ไปสู่มิติใหม่ คือ โลกไซเบอร์ เป็นต้น จิตญาณของเขาก็เคลื่อนจากภพมนุษย์ไปสู่โลกไซเบอร์ได้ นานวันก็จะไม่มีตัวตนในโลกแห่งความจริง และไม่มีสังคมในโลกมนุษย์ที่แท้จริง

    * การใช้เน็ต, เครื่องมือสื่อสาร จึงต้องใช้อย่างมีสติอย่างมากครับ
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    วิกฤติ ปชต. ตกต่ำทั่วโลก ?​



    ชายเคยอธิบายแล้วในกระทู้ก่อนๆ ว่า ความเป็น ปชต. ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีระบอบการปกครองแบบ ปชต. หรือเปล่า? มันก็เหมือนคุณมีโรงเรียน แต่ถ้าการเรียนการสอนไม่มีคุณภาพ นักเรียนก็ไม่มีคุณภาพ โรงเรียนก็เหมือนระบอบ ปชต. คุณภาพของนักเรียนก็คือ ความเป็น ปชต. มันคนละอย่างกัน แต่เกี่ยวข้องกันเท่านั้นเอง ชายได้ยกตัวอย่างกรณี การค้าทาสของอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ ปชต. มาแล้ว ในยุคนั้น อับลาฮัม ลินคอร์น ต้องเลิกทาสและปลุกจิตสำนึกความเป็น ปชต. ให้ชาวอเมริกันให้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง ชายจึงกล่าวว่าความเป็น ปชต. เหมือนคุณภาพของเศรษฐกิจ เหมือนเส้นกราฟที่มีขึ้นมีลง แม้ว่าคุณจะมีระบอบ ปชต. อยู่ก็ตาม แต่คุณต้องดูคุณภาพของมันด้วย อย่างปัจจุบันนี้ กลุ่มทุนในอเมริกาที่เรียกกันว่า "ยิวไซออนนิส" สามารถใช้เงินที่มีจำนวนมหาศาลควบคุมสื่อได้ดังที่ต้องการ แรกเริ่มเดิมทีเขาสนับสนุนทรัมป์ กระแสสื่อก็เทไปทางทรัมป์ แต่ตอนหลังเขาไม่สนับสนุนทรัมป์ กระแสสื่อไปทางอื่น คนอเมริกาก็ไม่ชอบทรัมป์ คนอเมริกาไม่ได้มีอิสระจากสื่อจริงๆ พวกเขาอ่อนแอต่อสื่อ และไหวไปตามสื่อ นี่คือ อาการหนึ่งของความอ่อนแอของ ปชต. จนกระทั่งมี อดีต ปธ. อเมริกาท่านหนึ่งออกมากล่าวว่าอเมริกาไม่ใช่ ปชต. แต่เป็นระบอบกลุ่มทุนอธิปไตยทีเดียว

    ภาวะวิกฤติ ปชต. ตกต่ำทั่วโลก เป็นปัญหาสำคัญมาก ที่อเมริกาเองก็ควรตระหนักและแก้ไขโดยด่วน เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือ อเมริกาเอง เช่น การเปลี่ยนขั้วข้างและนโยบายอย่างฉับพลันของ "ฟิลิปปินส์" ปธ. คนใหม่ที่มีแนวคิดทางเผด็จการทหาร จนถึงขั้นตัดความสัมพันธ์กับอเมริกา แล้วหันไปจับมือกับจีนแทน นี่แหละ คือ ผลกระทบที่ชัดเจน ของวิกฤติความอ่อนแอของ ปชต. ทั่วโลก และเมื่อมันเกิดขึ้นในฟิลิปปินส์แล้ว มันอาจลุกลามไปทั่วโลกก็ได้ เพราะแม้แต่ในไทยเองก็ยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าจะกลับคืนไปสู่ ปชต. ได้เมื่อไร? ทั้งยังมีปัญหา "การกีดกันและรังเกียจผู้อพยพ" ในยุโรป นั่นก็จะกลายเป็นช่องโหว่ให้ลัทธิ "ชาตินิยม" เข้าแทรกแซงความคิดของผู้คน และกัดกร่อนทำลาย ปชต. ในภูมิภาคยุโรปได้ ปัญหาวิกฤติ ปชต. อ่อนแอทั่วโลก เป็นปัญหาสำคัญไม่แพ้ปัญหาในทางเศรษฐกิจ อเมริกาไม่ควรละเลย หรือเสียเวลามากเกินไปกับการทำสงครามที่ยืดเยื้อ จนลืมสิ่งสำคัญนี้ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ปชต. กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติอย่างยิ่ง ตัวหมากสำคัญๆ ที่อเมริกาได้วางไว้ ก็ใช้ไม่ได้ผล เพราะถูกจับจ้องและสะกัดกั้นไว้ เช่น อองซาน ซูจี ที่มีภาระมากมายในประเทศต้องดูแล, โจชัว หว่อง ที่ถูกจีนจับตาอยู่ตลอดจนเข้าประเทศไหนในเอเชียไม่ได้ ฯลฯ หมากเกมนี้ อเมริกากำลังแย่และถอยร่นอย่างเห็นได้ชัด และสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทำอะไรจริงจังเป็นรูปธรรมให้มากกว่านี้ก่อนจะสายเกินไป

    * สงครามนำชัยชนะมาให้ แต่มันไม่ได้ช่วยสร้างปชต. ขึ้นมาได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2016
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกเก่า โลกใหม่ และ "วันสิ้นโลก"


    เมื่อก่อนคนชอบพูดถึงเรื่อง "วันสิ้นโลก" จริงๆ แล้วโลกยังไม่ได้ดับสิ้นไปขนาดนั้น แต่หมายถึง "การสิ้นโลกเก่า" หรือหมดยุคพลังงานเก่าเท่านั้นเอง เพื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ หรือ "ยุคโลกใหม่" แล้วโลกเก่ากับโลกใหม่นั้น แตกต่างกันอย่างไร? จะขออธิบายดังนี้ครับ

    โลกเก่า
    ทุกอย่างดูดีมากๆ เหมือนโลกแห่งความฝันที่ใครๆ ต้องการ ทว่า ที่เป็นเช่นนั้นได้เพราะไม่ได้อยู่บนความเป็นจริงแต่อยู่บน "ความเชื่อ" บางอย่าง เช่น เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างเดียวไม่มีลง ดอกเบี้ยจึงเป็นบวกเท่านั้นไม่เป็นลบ ซึ่งไม่จริง ในอเมริกามีการพิมพ์ธนบัตรได้เองโดยไม่มีทองคำหนุนเลย นี่ก็มายาภาพอีก นักเศรษฐศาสตร์ได้คำนวณดูแล้วพบว่าแท้แล้วอเมริกาต้องมีหนี้มากมาย และแต่ละคนจะแบกรับหนี้เยอะมาก ทว่า พวกเขาไม่ต้องมีเช่นนั้น เพราะการสร้างโลกเก่าที่เป็นมายาภาพ แล้วซุกปัญหาไว้ใต้พรหมมากมายจนไม่อาจแก้ไขได้ หวังแต่จะทำสงคราม set zero กัน ความสุขที่มีในโลกเก่า จึงแลกมาด้วยอนาคต โดยการนำปัญหาต่างๆ ไว้อนาคต เช่น พ่อมีหนี้มากมายที่ต้องจ่ายในอนาคต เพื่อให้ปัจจุบันธุรกิจไปได้ดี ทุกอย่างในปัจจุบันจึงเป็นมายาภาพหมด แต่อนาคตมืดมน ซึ่งไม่ใช่โลกที่ดีงามแท้จริง แต่เป็นมายาภาพจอมปลอมทำให้ลุ่มหลง

    โลกใหม่
    ทุกอย่างต้องอยู่บนความเป็นจริง ไม่ใช่ความเชื่ออีกต่อไป ความเชื่อที่ไม่ใช่ความจริงทั้งหลาย จะเอามาใช้นำทางมนุษยชาติไม่ได้ เพราะมนุษย์ต้องอยู่ให้ได้ใน "โลกแห่งความเป็นจริง" ไม่ใช่โลกที่สวยงาม เป็นอุดมคติ หรือโลกของพระศรีอาร์ฯ อะไรเช่นนั่น หากเราผู้เป็นมนุษย์โลก อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้ แล้วเราจะเป็นอย่างไร? โลกใหม่จึงต้องอยู่กับความเป็นจริง ทำให้มนุษย์กลับสู่ความเป็นมนุษย์ ยกระดับความเป็นมนุษย์ของมวลมนุษยชาติให้สูงขึ้น ลบล้างมายาการทั้งหลายให้หมดสิ้นไป โลกใหม่อาจไม่ได้เน้นวัตถุหรือความทันสมัยทางวัตถุให้มากไปกว่านี้ เทคโนโลยีที่มีนับว่าเพียงพอแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องการคือ "ความเป็นมนุษย์" ซึ่งมีค่ามากกว่าสิ่งใด เนื่องจาก ความเป็นมนุษย์ของคนในยุคเก่าลดลง สังคมก็เปลี่ยนแปลงไป เกิดสังคมเสมือนจริง ที่ดูดีมาก แต่เป็นแค่มายาการ เป็นมิติเสมือนจริง เช่น โลกไซเบอร์, โลกกลางคืน ฯลฯ

    กล่าวสรุปได้ง่ายๆ คือ โลกของพระศรีอาร์ฯ หรือยุคของพระศรีอาร์ ได้ถูกทำลายลงไปแล้วก่อนที่พระศรีอาร์ฯ จะปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว เพราะพระโพธิสัตว์องค์ก่อนหน้า สร้างโลกปัจจุบันของตัวเองในยุคของตัวเองให้ดีงามสวยหรูมากเกิน แต่กลับใช้วิธีเอาปัญหาต่างๆ ไปไว้ในอนาคตทั้งหมด ทั้งสงคราม, ทั้งโลกร้อน, ทั้งมลภาวะเป็นพิษ, ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ฯลฯ พวกเขาเอาปัญหาเหล่านี้โยนให้อนาคต ให้ยุคหน้า เพื่อให้ยุคสมัยของตนเองได้รับการยอมรับ ทั้งที่ไม่จริง

    * ตอนนี้ เข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านจากโลกเก่าไปสู่โลกใหม่แล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ตุลาคม 2016
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เปลี่ยนผ่านโลกเก่าไปสู่ "โลกใหม่" ได้อย่างไร?​



    อย่างแรก ชายอยากให้เข้าใจคำว่า "โลกเก่า" กับ "โลกใหม่" ก่อน สรุปง่ายๆ คือ โลกเก่า ก็คือ โลกที่ปัจจุบันของเราที่ถูกสร้างขึ้นมาบน "ความเชื่อ" ไม่ใช่ความจริง ทำให้โลกสวยหรูดูดี แต่ไม่จริงนะครับ ผลคือ ภาวะโลกร้อน, ปัญหาเศรษฐกิจ, ปัญหาด้านสงคราม ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นขยะซุกไว้ใต้พรหม หรือกลายเป็นปัญหาให้คนรุ่นต่อไปมาแก้ไข เพราะคนรุ่นก่อน สร้างโลกยุคเก่า (โลกยุคพลังงานเก่า) ด้วย "ความเชื่อ" อาศัยความศรัทธา ความเชื่อ เป็นพลังสำคัญ ทว่า มันไม่ใช่ความจริง ทั้งหมดเป็นมายาการที่อยู่บนการ "แลก" คือ แลกกับอนาคตของโลกใหม่ ทำให้อนาคตแย่ลง โลกในอนาคตเต็มไปด้วยปัญหา มลภาวะ, โลกร้อน ฯลฯ ทั้งหมดก็เพื่อทำให้โลกเก่าดูดีเกินจริง แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น "มายาการ" เท่านั้นเองครับ

    โลกใหม่ จะไม่เหมือนเดิม และมันจะเริ่มต้นเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านตั้งแต่นี้เป็นต้นไป โลกใหม่จะไม่แบ่งแยกเพราะเป็นโลกแห่งความเป็นหนึ่งเดียว (One world) เป็นโลกที่อยู่บนความเป็นจริง และไม่ทำลายอนาคต ไม่แลกความเจริญกับการทำลายอนาคตของโลก โลกใหม่จะอาศัย "สมมุติพื้นฐาน" ที่มีอยู่จากโลกเก่า แต่เปลี่ยนที่ "พลังงานขับเคลื่อน" เท่านั้น ดังนั้น จึงไม่มีการทำลายโครงสร้างเก่า (Stabilize the structure) เหมือนการเปลี่ยนพลังงานในรถยนต์ แต่ใช้รถยนต์คันเดิม เรียกว่า "ยุคพลังงานใหม่" ก็ได้ ซึ่งโลกยุคใหม่นี้ ไม่ใช่โลกในอุดมคติของใครแต่ต้องเป็น "โลกแห่งความเป็นจริง" มันไม่ใช่โลกแห่งความฝัน ที่ใครบางคนไปอ่านตำนานพระศรีอาร์ฯ สร้างโลกมาแล้วเกิดความเคลิบเคลิ้มไป เลยพยายามสร้างโลกให้ได้อย่างนั้น ก็ไม่ใช่ แต่มันต้องเป็น "โลกที่เป็นจริง" อย่างที่ควรจะเป็น จะต้องไม่บิดเบือนโลกให้ได้ดั่งใจฝันของใคร และมนุษย์ทุกคนก็ต้องเป็นมนุษย์ที่แท้จริง มีความเป็นมนุษย์เหมาะสมกับโลก

    โลกยุคเก่าเจริญแต่เพียงภายนอกคือด้านวัตถุเท่านั้นเอง แต่ในด้านพลังงานหรือด้านจิตวิญญาณ, จิตใจ ยังใช้ไม่ได้ คนยุคเก่าชอบทำตัวเป็น "คนดี" แต่มันไม่จริง ไม่ใช่มนุษย์ที่แท้จริง ดีเว่อร์ ดีเกินจริง ดีเกินไป แต่กลับซ่อนความผิดบาปไว้ในด้านที่มองไม่เห็น คนดีบางคนอาจยอมให้ทารกถูกทำแท้งมากมาย โดยที่เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย เพื่อให้ได้ "เสต็มเซล" จากเด็กทารกที่ตายแล้วมาฉีดให้หน้าตัวเองดูยังหนุ่มอยู่ก็ได้ นี่คือ ยุคเก่า ที่หากเรามองเพียงผิวเผินแล้ว เราจะคิดว่าเขาดีมาก แต่ถ้าเราเห็นในด้านหรือมุมที่ไม่เคยถูกเปิดเผย เราอาจตกใจอย่างยิ่งก็ได้ เด็กยุคใหม่ ไม่เหมือนคนยุคเก่า บางคนเสพยาเสพติด, ติดพนัน, เสเพล, ไม่ทำงานทำการ ฯลฯ ทว่า ความผิดพวกนี้ ไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวงเลย เมื่อเทียบกับความผิดของคนยุคเก่าที่เบื้องหน้าทำเป็น "คนดี" แต่เบื้องหลังกลับตรงข้ามสิ้นเชิง ความแตกต่างอย่างชัดเจนของคนยุคใหม่กับยุคเก่าคือ คนยุคใหม่ มีสติรู้ว่าตัวเองไม่ดีอะไรบ้าง แต่ยอมรับมันได้และไม่ทำเกินไปกว่านั้น ทว่า คนยุคเก่าขาดสติ พวกเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองไม่ดี หรือผิดอะไรไปบ้าง พวกเขายังหลงว่าตัวเองเป็นคนดีอยู่เลย พวกเขาจึงเป็นคนดีที่ไม่ใช่ "คนจริง" ไม่ใช่มนุษย์ที่แท้จริง

    * กระทู้นี้ขอเกริ่นนำไว้เท่านี้ ไว้จะอธิบายเพิ่มใหม่ในกระทู้หน้าครับ
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกเสมือนจริงในลักษณะต่างๆ เป็นอย่างไร?


    คนเราเกิดเป็นมนุษย์ต้องอยู่ในโลกมนุษย์ โลกแห่งความจริง ทว่า ในโลกใบนี้ ยังมี "โลกเสมือนจริง" อยู่มากมาย เป็นภพภูมิและมิติเชิงซ้อน ที่เราอาจคิดว่ามันไกลตัว แท้จริงแล้วไม่ใช่ มันใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด อย่างที่เราเล่นเน็ตกันอยู่นี้ มันก็คือ "โลกเสมือนจริง" ที่เรามักเผลอลืมตัว นึกว่ามันเป็นโลกที่แท้จริง จนถลำตัวลืมตนไป แล้วกลายเป็นหลุดจากโลกแห่งความเป็นจริงกันบ่อยๆ นี่เรียกว่าไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ขาดสติ หลุดโลกในอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่หลุดโลกแบบหลุดพ้นจะบรรลุธรรมอะไรครับ เป็นความหลงเพราะขาดสติ ทำให้เกิดโลกเสมือนจริงขึ้นมากมาย ดังตัวอย่างนี้

    1 โลกไซเบอร์
    คือ โลกเสมือนจริงที่เกิดจากการใช้อินเตอร์เน็ตมากๆ แล้วขาดสติ เผลอคิดไปว่ามันคือโลกที่แท้จริง เผลอคิดไปว่าคนนั้นคนนี้เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก ฯลฯ ของเราจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้เจอกันเลย ไม่ได้รู้จักกันจริงๆ เลย เป็นต้น นี่เรียกว่าขาดสติหลงลืม

    2 โลกอุดมคติ
    คือ โลกเสมือนจริงที่เกิดจากการคิดไปเองตามอุดมคติของตนเช่น คิดว่าโลกต้องดีงาม มีแต่ความดี คนคิดดี พูดดี ทำดี ต่อกัน ฯลฯ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่เป็นเช่นนั้น ก็เลยพยายามจะทำให้คนรอบตัวเป็นไปตามอุดมคติที่ตนเองคิด จนไม่ยอมรับความจริง

    3 โลกในฝัน
    คือ โลกเสมือนจริงที่เกิดจากการคิดฝันไปของเราเองคนเดียว ยังไม่ตื่นจากความฝัน ยังไม่ได้มีสติอยู่กับโลกที่แท้จริง เราอาจฝันไปว่าโลกในความฝันของเรา จะมีคนมาทำดีกับเราเหมือนเราเป็นเจ้าหญิง มาดูแลเรา มาพูดดีกับเรา ฯลฯ ซึ่งมันไม่ใช่โลกแห่งความจริง

    4 โลกในอดีต
    คือ โลกเสมือนจริงที่เกิดจากการต้องข้องค้างคาในอดีตที่จบไปแล้ว คนที่ตายไปแล้ว สถานการณ์ที่ลุล่วงไปแล้ว แต่คนทั้งหลายก็ยังติดอยู่กับอดีต ไม่ยอมอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง ไม่อยู่กับโลกปัจจุบัน เช่น ชอบบ่นว่าทำไมเด็กเดี๋ยวนี้พูดจาไม่เพราะเหมือนก่อน

    5 โลกในอนาคต
    คือ โลกเสมือนจริงที่เกิดจากการคิด การคาดหวังในอนาคตมากเกินไปหรือขาดสติแล้วติดอยู่ในอนาคตมากเกินไปเช่น เชื่อคำทำนายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะจริงแล้วก็นั่งรอดูว่าเมื่อไรมันจะเกิด แทนที่จะทำสิ่งที่ควรทำ ณ ปัจจุบัน คนกลุ่มนี้มักเป็นพวก "นั่งรออนาคต"

    คุณละ ขาดสติจนหลุดโลกไปอยู่ในโลกเสมือนจริงแบบนี้บ้างไหม?
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปลุกชีพจร ปชต. โลกให้ฟื้นคืน ก่อนที่จะกลายเป็นซอมบี้?​



    ชายบอกแล้วว่าระบอบ ปชต. กับความเป็น ปชต. ไม่ใช่สิ่งเดียวกันในกระทู้ก่อนๆ กระทู้นี้ จะขยายความต่อไป ดังที่เคยได้ยกตัวอย่าง ความเป็น ปชต. ที่ลดลงในยุคก่อนอับลาฮัม ลินคอร์น จะขึ้นมาเป็น ปธ. อเมริกันชนมีระบอบ ปชต. แต่พวกเขากลับยินดีกับการค้าทาส และกดขี่คนผิวดำ จนกระทั่งอับลาฮัม เลิกทาส และทำให้ ปชต. ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่า ปชต. ไม่ใช่ตัวระบอบ ความเป็น ปชต. เป็น "จิตวิญญาณ" ข้างในของเรา เป็น "สำนึกรู้" ของความเป็นมนุษย์ของเรา ที่อาจหลับใหลไปบ้างในบางยุคบางสมัย และเราจะต้อง "ปลุกให้ตื่นขึ้น" มาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะในยุคนี้ เราพบความผิดปกติ และความเสื่อมถอยของความเป็น ปชต. แม้แต่ในประเทศที่มีระบอบ ปชต. อย่างมั่นคง เช่น อเมริกา, ยุโรป ฯลฯ (ในยุโรป มีการกีดกันผู้อพยพ ซึ่งเริ่มจะไม่เป็น ปชต. แล้วครับ) เพราะถ้าหาก ความเป็น ปชต. ลดลงจนหลับใหลไป แล้วเหลือแต่ระบอบ ปชต. สิ่งที่เราเรียกว่า ปชต. นั้นก็จะเป็นได้แค่ "ซอมบี้" คือ ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ มีแต่ร่างเดินไปมา (Zombie Democracy) เท่านั้นเองครับ

    จริงอยู่ที่ว่าตัวระบอบ ปชต. ไม่ได้มีปัญหาอะไร โครงสร้างยังดีอยู่ แต่จิตวิญญาณ หรือพลังขับเคลื่อนภายในกลับลดลง ตัวอย่างเช่น อองซาน ซูจี ก็มีความเป็น ปชต. ลดลง ดังที่เห็นในกรณีการจัดการกับชาว "โรฮิงญา" จนไม่อาจที่จะขับเคลื่อน ปชต. ในเอเชียได้อีก, โจชัว หว่อง ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ไฟแรง ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจีน จะเข้าประเทศไหนตามต้องการไม่ได้แล้ว เหมือนกรณีที่ถูกจับส่งตัวกลับที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น อเมริกาต้องมีมาตรการที่ดีกว่านี้ และเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนกว่านี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปครับ เพราะตอนนี้ แม้แต่ฟิลิปปินส์ก็ไปอยู่กับจีนแล้ว อเมริกาจะปล่อยปละละเลยไปกว่านี้ไม่ได้ ยิ่งปัจจุบัน "แจ๊ก หม่า" เข้ามาสู่ไทย เขาเผยแพร่แนวคิดเศรษฐกิจของเขา พร้อมกับรัฐบาลจีนวางแผนเล่นงานเศรษฐกิจไทย ดังที่เห็นปัจจุบัน ราคาข้าวตกอย่างผิดปกติ อย่างไม่เคยมี ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นคือ วิธีที่เขาจะกลืนไทยผ่านทางระบบเศรษฐกิจ ทั้งทัพเศรษฐกิจของจีนก็เคลื่อนแล้ว แต่ฝ่ายอเมริกากลับคิดที่จะใช้แค่ "กำลังทหาร" อย่างเดียว ไม่ได้หรอกฮะ ต่อให้คุณรบชนะ แต่ถ้าคุณซื้อใจคนไม่ได้ คนไม่ยอมรับ คุณจะไปปกครองเขาได้อย่างไร? ดังนั้น คุณต้องแก้เกมโดยด่วน ก่อนที่มันจะพังไปมากกว่านี้ เพราะถ้าทั้งเอเชียย้ายไปอยู่ฝ่ายจีนได้ เขาก็จะหันปากกระบอกปืนมารุมอเมริกาฝ่ายเดียว ซึ่งไม่เป็นผลดีเลยครับ

    * อย่ารอให้ ปธ. คนใหม่ขึ้นมา เพราะว่ามันอาจจะสายเกินไปครับ
     
  12. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    โทษทีครับ อาการชุนนิโบะกำเริบ ความจริงแล้วมีบางคนอยู่ใต้ระบอบของมะนาวอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ตุลาคม 2016
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พระนารายณ์ก็เป็นมนุษย์ต่างดาวนะ
    เพราะท่านไม่ได้อยู่ในสามภพ (โลกนี้)
    ท่านอยู่ที่ "พรหมโลกธาตุ" ไม่ใช่ดาวดวงนี้

    ใครมีอคติกับมนุษย์ต่างดาว ก็จะมีอคติกับพระนารายณ์ด้วยครับ
    ดังนั้น พราหมณ์, หมอดู พิเภก ทั้งหลาย ที่ชอบมายุยงให้คนนั้นคนนี้จับผิดมนุษย์ต่างดาว


    ก็ลองไปนึกดูว่าพวกมันจะเป็นตัวอะไรนะครับ ...
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    คนที่ไม่ใช่มนุษย์ เป็นอย่างไร?


    คนเราทุกคนแรกเริ่มเกิดมาจะมี "ความเป็นมนุษย์" สมบูรณ์เกือบทั้งหมด จากนั้น เมื่อดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ จะเสื่อมลงหรือเจริญขึ้น จนเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม อันอาจเกิดจากการก่อกรรมต่างๆ และทำให้ความเป็นมนุษย์ลดลง หรือสูญเสียไป หลายคนสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ แต่ดำรงอยู่ได้เพราะจิตวิญญาณอย่างอื่น ทำให้เหมือนสัตว์เดรัจฉานในร่างคนก็มี ถามว่าจะดูออกได้อย่างไรว่าใครไม่ใช่มนุษย์ หรือสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้วบ้าง ก็มีวิธีสังเกตุครับ ในที่นี้จะขอเสนอข้อสังเกตุไว้ให้ 5 ประการดังนี้

    1 การเห็นคุณค่าของคนต่ำลง
    เช่น เห็นหมามีค่ามากกว่าคน, รักสัตว์มากกว่ารักคน, ไม่เห็นคุณค่าของคน มองคนต่ำ หรือไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาในมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ หรือมวลมนุษยชาติ กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันราวกับสัตว์ตัวหนึ่ง คนที่คิดหรือทำเช่นนี้ได้ เพราะสูญเสียความเป็นมนุษย์ครับ

    2 การไม่อยู่ในโลกแห่งความจริง
    เช่น ไม่มีสังคมมนุษย์, ไม่ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนไหน, ไม่ใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง วันๆ มีชีวิตอยู่ในโลกไซเบอร์ ก็มี หรือไม่ก็มีเพื่อน, มีคนรู้จัก, มีสังคม ในอีกมิติ ผ่านเครื่องมือสื่อสารต่างๆ เป็นต้น นี่คือ ไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง หลุดไปจากโลกมนุษย์

    3 การมีความสุขที่ไม่เหมือนมนุษย์
    เช่น มีความสุขเพราะได้แว๊นซ์รถดังๆ, มีความสุขเพราะได้มี sex ที่รุนแรง, มีความสุขเพราะได้ก่อความรุนแรง ยกพวกตีกัน, มีความสุขเพราะได้เสพยาเสพติด ฯลฯ ทว่า กลับมีชีวิตที่เป็นปกติสุขแบบมนุษย์ไม่ได้ อยู่เฉยๆ กับโลกแล้วมีความสุขตามปกติมนุษย์ ไม่ได้

    4 การมีความรักที่ไม่เหมือนมนุษย์
    เช่น มีความรักแบบเพศเดียวกัน, มีความรักแบบผิดจารีตประเพณีปกติมนุษย์ ฯลฯ ซึ่งมีทั้งแบบที่จิตใจสูงกว่ามนุษย์และต่ำกว่ามนุษย์ครับ พวกมีความรักสูงกว่ามนุษย์จะเป็นความรักขั้นเทพ แต่พวกที่มีความรักต่ำกว่ามนุษย์จะเป็นความรักแบบปีศาจ รักแบบผิดๆ งมงาย

    5 การดำรงชีพที่ไม่เหมือนมนุษย์
    เช่น การกิน, การขับถ่าย, การสืบพันธุ์, การนอนหลับ, การทำกิจกรรม ผิดปกติไปจากมนุษย์ เหมือนปอบที่กินไม่เหมือนมนุษย์แต่บางคนไม่ใช่ปอบ ก็มีความผิดปกติไปจากมนุษย์ได้แตกต่างกันไปแล้วแต่ว่าจะเป็นอะไร เช่น กลางวันง่วงนอนหลับ กลางคืนทำงาน

    "ปอบ" คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนของคนที่สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป จึงกลายเป็น "ร่างของปอบ" ทว่า ยุคปัจจุบัน คนเราอาจไม่ได้เป็นปอบ แต่เป็นอย่างอื่นได้มากมาย เช่น ผีดิบ, แวมไพรม์, ปีศาจงูขาว, ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง, ร่างทรง, ม้าทรง ฯลฯ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ล้วนไม่ใช่มนุษย์นะครับ เพียงแต่ยังมีสังขารเป็นคน แต่จิตวิญญาณไม่ใช่มนุษย์แล้ว ทว่า สามารถฟื้นคืนจิตญาณให้กลับเป็นมนุษย์ได้

    * ก่อนจะรับธรรมสายพุทธ จะต้องมีจิตญาณเป็นมนุษย์ขึ้นไปครับ
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ประเทศไทยปัจจุบันมีระบอบการปกครอง 4 แบบให้เลือก​



    คนไทยโชคดีที่สุดในโลกและเอาใจยากที่สุดในโลกเช่นกัน คนชาติอื่นไม่มีสิทธิ์เลือกระบอบการปกครองใดๆ เลย พวกเขาเกิดมาภายใต้การปกครองแบบใด ก็ต้องยอมรับและอยู่ให้ได้แบบนั้น ทว่า คนไทยมีบุญมาก โชคดีกว่าใคร จึงเลือกมาก และเอาใจยาก ทำให้มีระบอบการปกครองเปลี่ยนไปมาถึง 4 แบบ อยู่ร่วมกันในประเทศเดียว ปชช. คนไทยจึงควรตระหนักถึงข้อนี้ แล้วทำตัวให้ดีเหมือนคนชาติอื่นบ้าง เพราะตนเองได้อะไรมากกว่าชาติอื่นครับ เอาละ มาดูกันว่าระบอบการปกครองที่เรามี มีอะไรบ้าง และเราควรเลือกอะไร แต่ละคนอยากเลือกระบอบใด ควรจะทำตัวอย่างไร ดังต่อไปนี้

    1 ระบอบกษัตริย์
    สำหรับคนที่ชอบระบอบกษัตริย์ ท่านควรเข้าใจว่าระบอบนี้จะต้องมี "ชนชั้นวรรณะ" และท่านควรเข้าใจตัวเองว่าท่านอยู่ชนชั้นวรรณะใด เช่น เป็นพวกไพร่หรือพวกทาส? ท่านต้องยอมรับการถูกกดขี่กันเป็นชั้นๆ ได้ ท่านจะไปเถียงเจ้า เถียงนาย หรือแสดงความคิดเห็นแบบอิสระไม่ได้ เพราะระบอบนี้ สำคัญที่ชนชั้นวรรณะ ถ้าคุณเป็นไพร่คุณก็มีสิทธิ์แค่ไพร่ ถ้าคุณเป็นทาสก็มีสิทธิ์แค่ทาส และเรื่องธรรมะ คุณจะไปทำแบบพราหมณ์ไม่ได้เพราะมีแต่วรรณะพราหมณ์ที่ทำได้

    2 ระบอบสังคมนิยม
    สำหรับคนที่ชอบระบอบสังคมนิยม จะเอาความเป็นพรรคพวก หรือสังคมของตัวเองเป็นใหญ่ เป็นสำคัญ เช่น "สังคมของคนเสื้อแดง" พวกเขาจะไม่ยึดตัวบุคคลเป็นสำคัญ แต่จะยึดสังคมของพวกเขาเป็นสำคัญ จะทำเพื่อสังคมของพวกเขา จะแคร์สังคมมาก และจะมีการยอมรับกันในสังคมเดียวกัน มีบรรทัดฐานในการเป็นคนในสังคมนั้นๆ จะได้รับผลประโยชน์มากมายจากการเข้าสังคม ร่วมกิจกรรมทางสังคม แต่ห้ามคิดอะไรนอกกรอกของสังคมอย่างอิสระ ไม่ได้

    3 ระบอบเผด็จการทหาร
    สำหรับคนที่ชอบระบอบเผด็จการทหาร คือ คนที่คิดเองไม่เป็น ไม่อยากคิด คิดแล้วก็ผิด เลยไม่คิดอะไรเลยดีกว่า รอฟังแต่คำสั่งอย่างเดียว อาศัยผู้นำเก่งคิดแทนให้หมด แล้วสั่งให้ขวาหัน ซ้ายหันอะไรก็ทำไป ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสั่งจากคนๆ เดียวจึงมีความเด็ดขาด ฉับไว ไม่ต้องรอนาน ทุกปัญหาจะได้รับการแก้ไขในแบบที่ไม่ต้องมาถกเถียงอะไรกันให้มากความ สั่งคำเดียวทุกอย่างจบเลย ไม่ต้องวุ่นวายเอาง่ายๆ แต่ห้ามคิดอะไรเองอย่างอิสระ

    4 ระบอบประชาธิปไตย
    สำหรับคนที่ชอบความเป็นอิสระเสรี และรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ประชาธิปไตยคือคำตอบของคุณ คุณมีความสุขไหมถ้าคุณเป็นตัวของตัวเอง ไม่เหมือนใครเขาในสังคมเลย ถ้าคุณมีความสุขที่เป็นเช่นนั้น คุณก็อยู่ในระบอบ ปชต. ได้ คุณยอมรับได้ไหมกับการแข่งขันเสรี ที่ต้องแข่งขันกันในระบบทุนนิยม จะไม่มีใครมาช่วยใคร ทุกคนต้องโตเป็นผู้ใหญ่ จะเป็นลูกแหง่ร้องให้พ่อมาช่วยไม่ได้ ถ้าคุณพร้อมจะพึ่งตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ ก็เป็น ปชต. ได้

    คนไทยยังมีโอกาสเลือก เลือกไป ก่อนที่จะไม่มีโอกาสให้เลือกครับ
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปฏิบัติธรรมผิด มีแต่ตัวกูกับของกู?


    หลายคนไม่ได้ปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาใดๆ แต่ปฏิบัติตามหลักคุณธรรม จริยธรรมพื้นฐานเท่านั้นเอง ซึ่งหลักคุณธรรม จริยธรรม พื้นฐานนี้ ไม่จำเป็นต้องมีศาสดาในศาสนาใดๆ มาตรัสรู้สั่งสอนเลย เพราะเป็นเรื่องที่นักปราชญ์ธรรมดาก็สอนได้ และไม่ได้สอนผู้ใหญ่ แต่ใช้สอนเด็กเท่านั้นเอง เช่น การทำความดี, ความอ่อนน้อมถ่อมตน, ความกตัญญูรู้คุณ, ความซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าคุณธรรม จริยธรรมพื้นฐาน แต่ไม่ใช่ "สัจธรรมในศาสนาใดๆ" ทว่า หลายคนไม่ได้เข้าถึงสัจธรรมที่สูงส่งจริง กลับเอาสิ่งที่ควรสอนแก่เด็กหรือลูกตัวเอง ไปสอนผู้ใหญ่ สอนคนอื่น ที่ไม่ใช่เด็กแล้ว แล้วคิดว่าตัวเองเป็นคนดีที่ไปสอนคุณธรรม จริยธรรมคนอื่น แท้แล้วไม่ใช่นะครับ เอาละ ตั้งสติ ตั้งต้นใหม่ ไปให้ถึงสัจธรรมในศาสนาที่แท้จริง ไม่ใช่หลงคิดว่าคุณธรรม จริยธรรม คือ สัจธรรม ไม่ใช่นะ

    ถามว่า การสอนเรื่องคุณธรรมจริยธรรม มันไม่ดีอย่างไร? มันก็ดีแต่มันไม่ตรงความจริง ไม่ตรงสัจธรรม แค่นั้นเอง อย่างไรหรือ? อย่างนี้ คุณกำลังแบ่งแยก คุณธรรมความดี อะไรต่างๆ นานา ออกจากตัวคน แล้วให้คนๆ นั้น ปฏิบัติเพื่อให้มีขึ้น เกิดขึ้น หรือแสวงหาเข้ามาไว้ในตัวเอง ซึ่งมันไม่มีทางเป็นหนึ่งเดียวกันได้ คือ คนก็ส่วนหนึ่ง คุณธรรมความดีก็ส่วนหนึ่ง มันถูกแบ่งแยกไปตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้น ต่อให้สอนเท่าไร คนๆ นั้น ก็ไม่มีทางเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมได้ ด้วยเขาถูกแบ่งแยกตัวเองเป็นตัวตนหนึ่ง (อัตตาหนึ่ง) และคุณธรรมความดีเป็นอีกสิ่งหนึ่ง (อัตตาหนึ่ง) ยิ่งปฏิบัติไปก็จะยิ่งกลายเป็นคนดีที่ยึด "ตัวกูของกู" คือ ยึดว่ากูเป็นคนดี และความดีเป็นของกูคนเดียว คนอื่นไม่ดีอย่างกู คนอื่นเลว คนอื่นผิด กูเป็นพระราม คนอื่นเป็นยักษ์ เป็นมาร แล้วก็ไล่ตีกันเหมือนในหนังจีนกำลังภายในนั้น

    การปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ได้เริ่มต้นจากการแบ่งแยกเราและธรรมออกจากกันเลย เราและธรรมล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้ธรรมอะไรที่ไหน? ไม่ต้องไปทำความดีอะไรให้ตัวเองเป็นคน ความดีนอกตัวอะไรก็ช่าง ใครเขาจะทำความดี จะทำอะไรยิ่งใหญ่อวดใคร มีผลงานเป็นท่ี่รักที่โด่งดังอะไรก็ช่างเขา ก็เป็นแค่ "ของนอกตัว" ทั้งนั้น คนจะดี ดีที่ในตัวเขาเอง ไม่ได้ดีที่ตรงสิ่งภายนอกที่เขาทำ คนเลวทำความดีก็ได้ โจรเอาของมาแจกคนก็มี ดังนั้น สิ่งภายนอกเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องไปยึด ไปหลง ไปพยายามทำ ปฏิบัติธรรมคือทำข้างใน ธรรมภายใน คือ ในจิตในใจเรานี้ ถ้าจิตใจเราดี ตัวเราดี มันก็ดีจากข้างใน ไม่ใช่ไปทำอะไรข้างนอก สร้างผลงานอะไรข้างนอกอวดใครเขา ทำความดีให้ใครมารู้ มาชื่นชมอะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่างเขา เรามีดีต้องรู้จักเก็บ ถ้าไม่รู้จักเก็บ เอาไปอวดคนอื่นมากๆ ก็ไม่เหลือดี ความดีก็หายหมด นี่เรียกว่า "รู้จักรักษาคุณงามความดี" ก็ไม่ต้องไปอวดใคร

    * ทำความดีอะไร ไม่ต้องลงสื่อก็ได้ อยากทำก็ทำไป ไม่ต้องโชว์
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    นัก ปชต. กับ "พลังอำนาจที่แท้จริง"​



    นักขับเคลื่อน ปชต. ในฐานะที่เป็นผู้ขับเคลื่อน (Driver) ควรรู้จักกับ "พลังอำนาจที่แท้จริง" ก่อนนะครับ เพราะการที่คุณจะขับเคลื่อนอะไรให้เคลื่อนไปได้นั้น คุณต้องมีพลังจริงไหม? นัก ปชต. หลายคนไม่ได้มีพลังอำนาจที่แท้จริง บางคนแค่มีแวว แล้วได้รับการปั้นจากผู้บงการเบื้องหลังมาให้ทำงาน และหลายคนก็เหมือนดาราที่ถูกปั้น ผู้บงการเบื้องหลังต้องเสียเงินผลักดันไปมากมาย เพื่อให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนในสังคมครับ เอาละ อย่างแรก เราต้องเข้าใจก่อนว่า "พลังอำนาจ" (Power) คือ สิ่งที่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ ไม่ต่างจากสัตว์ที่อยู่กันเป็นฝูง จ่าฝูงทำอะไรก็จะมีพลังอำนาจทำให้ตัวอื่นๆ ต้องทำตามๆ กันไป เหมือนดาราที่มีอิทธิพล (Influence) ต่อแฟชั่น คือ เราต้องมีอิทธิพลต่อคนอื่นให้ได้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างบุคคลต่อบุคคล และเมื่ออิทธิพลของเราขยายออกไปเป็นระดับสังคมแล้ว มันก็จะกลายเป็นพลังอำนาจ (Power) ซึ่งเราต้องฝึก และต้องทำให้มีให้ได้ครับ ไม่เช่นนั้น เราจะไม่มีพลังในการที่จะขับเคลื่อนอะไรได้ อย่างแรก เราต้องเป็นตัวของตัวเองให้ได้ก่อน จะต้องไม่ใช่หุ่นเชิดที่อยู่ใต้อำนาจของใคร หรือถูกใครบงการอยู่ อย่างที่สอง เราต้องมีพลังแห่งความอิสระเสรีมากพอ ที่จะทำให้ผู้อื่นไม่อาจรุกล้ำอธิปไตยของเราได้ตามธรรมชาติ อย่างที่สามเราจะต้องโดดเด่นในระดับธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นพลังที่มองไม่เห็น ที่มองภายนอกแล้วเราก็เหมือนคนอื่นๆ หรือดูไม่โดดเด่นอะไร ทว่า การกระทำของเรากลับมีพลังอย่างประหลาด ส่งผลต่อผู้คนได้

    นี่คือ "พลังอำนาจ" (Power) ที่แท้จริง และเราจะต้องมี แล้วปล่อยให้คนอื่นๆ เขาได้ตำแหน่งกลายเป็นหุ่นเชิดที่ไม่ได้มีพลังอำนาจที่แท้จริงไป แต่เราผู้ขับเคลื่อน ปชต. จะต้องมีพลังอำนาจที่แท้จริง ดีไหมครับ นี่ละ การต่อสู้ของเราจึงจะไม่เป็น "นักเลงข้างถนน" หรืออันธพาลที่ไร้การศึกษาอีกต่อไป แต่เราจะเป็นนักเคลื่อนไหวที่มีการศึกษา มีระดับ ซึ่งคุณควรรู้ไว้ด้วยว่าพลังอำนาจเหมือนน้ำ ที่ไหลไปมาได้ คุณไม่อาจที่จะเก็บกักมันไว้ได้ตลอดเวลา ถ้าคุณเก็บมันไว้ให้นิ่งเฉย มันก็จะไม่อาจแสดงพลังออกมาได้ น้ำต้องเคลื่อนไหลจึงจะมีพลังขับดันสิ่งใดๆ ได้ฉันใด พลังอำนาจก็เป็นเช่นนั้น คุณจะต้องใช้พลังอำนาจออกไป ผ่านผู้อื่น และนั่นหมายถึง คุณได้มอบพลังอำนาจให้ผู้อื่นไปด้วย ดังนั้น ถ้าคุณใช้มากไป คุณก็จะเสียมันไปมาก จนอาจหมดไป โดยที่คุณไม่รู้ตัว ดังนั้น คุณต้องรู้จักเก็บและดึงดูดพลังอำนาจเข้ามาสู่ตัวคุณเอง เราสามารถดึงดูดพลังอำนาจจากคนอื่นมาสู่ตัวเรา และสามารถใช้มันไปได้ครับ และด้วยวิธีนี้ ทำให้คุณสามารถเพิ่มเติมพลังอำนาจในตัวคุณได้เรื่อยๆ เพื่อที่จะใช้มันได้เรื่อยๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด มนุษย์ก็เหมือนกับสัตว์ เราต้องกินเพื่อที่จะมีพลัง เราเหมือนเสือที่ต้องล่าเหยื่อจึงจะม่ีพลัง เราต้องล่าเหยื่อที่ม่ีพลังอำนาจ เพื่อเอาพลังอำนาจนั้นมาเป็นของเรา และเราทำไปก็เพื่อใช้มันขับเคลื่อน ปชต. นี่แหละ วิถีการต่อสู้ของเรา และคุณจะทึ่งว่ามันได้ผลอย่างยิ่ง เมื่อฝ่ายตรงข้ามอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ จนเหมือนไม่เหลือพลังอำนาจใดๆ ในขณะที่คุณมีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ คุณจะมั่นใจได้ว่าการต่อสู้นี้ ได้ผลมากกว่าการกระทำอย่างอันธพาลและไม่ต้องตายอย่างไร้ค่า

    * ภายใต้แนวทางการต่อสู้นี้ คุณจะชนะได้ และไม่ต้องพลีชีพครับ
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อวิชชาเป็นมรรคาได้อย่างไร?


    ธรรมพิสุทธิ์ อยู่นอกเหนือการปรุงแต่งด้วยกรรม ด้วยเจตนาใดๆ เมื่อใดที่เรามีเจตนา มโนกรรมก็เกิด การปรุงแต่งจึงมี ธรรมพิสุทธิ์ย่อมถูกบดบังด้วยเจตนา ด้วยมโนกรรมของเรานั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เจตนาที่จะปฏิบัติธรรม" และ "เจตนาที่จะบรรลุธรรม" ด้วยกรรมอันเกิดจากเจตนาเหล่านี้ ปรุงแต่งและบิดเบือนธรรมพิสุทธิ์ไป และเมื่อนั้น บุคคลจึงไม่อาจบรรลุธรรมได้ด้วยการเจตนาที่จะบรรลุธรรม ยิ่งบุคคลดำเนินไปบนทางที่ถูกต้อง ตรงทาง ด้วยเจตนาอันแน่วแน่นั้น พวกเขากลับยิ่งห่างไกลจากธรรมพิสุทธิ์ เพราะกรรมอันเกิดจากเจตนา จากความแน่วแน่ จากการปฏิบัตินั้นๆ ปรุงแต่งทำให้พวกเขาห่างไกลจากธรรมพิสุทธิ์ไปเรื่อยๆ เมื่อใดที่คุณเจตนาทำดี มันก็ไม่ใช่ความดีที่แท้จริงแล้ว เมื่อใดที่คุณเจตนาทำบุญ มันก็ไม่ใช่บุญที่แท้จริง เมื่อใดที่คุณเจตนารักและเมตตาใคร มันก็ไม่ใช่ความรักความเมตตาที่แท้จริง สิ่งต่างๆ ที่เกิดจากเจตนา ล้วนไม่จริง ล้วนเป็นมายาการที่เกิดจาก "มโนกรรม" ของคุณเองทั้งสิ้น ตราบใดที่เจตนาของคุณยังไม่สิ้นสุด การปรุงแต่งก็จะมีต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด และธรรมพิสุทธิ์ก็จะถูกบดบังอำพราง ทำให้ห่างไกลไปยิ่งขึ้น และเพราะเหตุนี้ ผู้ดำเนินในมรรคาที่ถูกต้องจึงไม่อาจบรรลุธรรมได้เลย

    ผู้ที่จะบรรลุธรรมได้นั้น จึงล้วนเป็นแต่เพียงผู้ดำเนินใน "ทางที่ผิด" หรือ "อวิชชา" นั่นเอง ผู้ที่กล้าหาญลองผิด ลองถูก กล้าลุยโคลน กล้าแปดเปื้อน กล้ามีกรรมที่ผิดๆ เท่านั้น ที่จะมีโอกาสบรรลุธรรม ไม่ใช่ผู้ที่ไม่กล้าแปดเปื้อน ไม่ใช่ผู้ที่ทำแต่ความดี คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสบรรลุธรรม เพราะมีเจตนาในมรรคาที่ถูกต้อง เป็นตัวทำให้เขาห่างไกลจากธรรมพิสุทธิ์ดังกล่าว ผู้ที่ดำเนินไปในทางที่ผิดหรืออวิชชา หากสำเร็จสมประสงค์ จะไม่มีทางบรรลุธรรมได้เช่นกัน ด้วยมันคือ "อวิชชา" ดังนั้น ผู้ที่จะบรรลุธรรมได้นอกจากจะดำเนินไปในมรรคาแห่งอวิชชาแล้วจึงต้อง "ไม่ประสบความสำเร็จ" ด้วย เหมือนตั้งเจตนา ตั้งใจจะทำความผิด แต่ทำไม่สำเร็จนั่นแหละ เพราะหากทำได้สำเร็จ มันก็คือ อวิชชา ไม่ใช่การบรรลุธรรม และหากตั้งใจทำความดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง ความตั้งใจและเจตนาทั้งหลายกลับเป็นกรรม ปรุงแต่งเราให้ห่างไกลจากธรรมพิสุทธิ์มากขึ้นนั่นเอง ดังนั้น เราจึงต้องกล้าลองผิด ลองถูก กล้าที่จะทำสิ่งที่ผิด ทว่า ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จก็ได้ เหมือนนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่มักค้นพบสิ่งใหม่ๆ จากการลองผิดลองถูก และความไม่ตั้งใจ ความบังเอิญทั้งหลาย นั่นแหละ ธรรมที่พวกเขาค้นพบและเข้าถึงนั้นจึงจะเป็น "ธรรมพิสุทธิ์" อันแท้จริง มิใช่ธรรมที่เกิดจากการปรุงแต่งด้วยมโนธรรม ด้วยเจตนาดีทั้งหลายแหล่ที่เกิดจากตัวของเขาเองนั้น

    หากไม่กล้าผิดไม่กล้าลุยโคลนจะเป็นดอกบัวที่เบิกบานได้อย่างไร?
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    คนไทยพร้อมกับระบอบการปกครองใดที่สุด?​



    ชายต้องการ ปชต. แต่ทว่า หากชายเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ดูว่า ปชช. เขาเป็นอย่างไร? เอา ปชต. มายัดเยียด ปชช. คงไม่ถูกใช่ไหมครับ? เอาละ กลับมาที่คำถามว่าคนไทยเราตอนนี้ เหมาะกับการปกครองแบบไหน? ชายคิดว่าไม่ใช่ ปชต. และไม่ใช่กษัตริย์ครับ ถามว่าทำไม? อย่างนี้ คุณจะเป็น ปชต. ได้ คุณต้องรักอิสระเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ไหลตามสังคมจนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเองเลยแบบที่คนไทยส่วนใหญ่เป็น ทำได้ไหม? ไม่แคร์สังคม เป็นอย่างที่เราเป็น ใช้ชีวิตอย่างอิสระ? ชายว่าคนไทยทำไม่ได้แน่นอน พวกเขาขาดสังคมไม่ได้ คนไทยเสพติดสังคม และการต้องมีพวกพ้อง ทีนี้ มาดูอีกระบอบ ระบอบกษัตริย์ ทำไมคนไทยไม่เหมาะ? เพราะว่าตอนนี้ คนไทยไม่เจียมตัวไปแล้วครับ พอเราเป็น ปชต. เราก็ได้ระบบทุนนิยมเข้ามาด้วย คนไทยก็นิสัยเสีย (สำหรับการปกครองแบบระบอบกษัตริย์นะ) ไม่รู้จักพอ ไม่เจียมตัว ไม่เจียมตน ไม่อาจที่จะกลับไปเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ที่อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่าตัวเองเป็นไพร่ได้อีก และยิ่งเป็นทาสใครไม่ได้ เพราะชอบเถียงเจ้านาย ไม่รู้จริงแล้วเสือกเถียง คิดว่าตัวเองเก่ง แต่มันไม่จริง คนแบบนี้มีเยอะมากในสังคมไทย ดังนั้น ระบอบกษัตริย์ไปไม่รอดแน่นอนกับไพร่ฟ้าที่เอาแต่ใจ ดีแต่เรียกร้อง ไม่รู้จักพอ และไม่รู้จักเจียมตนนี้

    ความเป็นไปได้สูงสุดจึงเป็น "ระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม" ครับ คนไทยยุคนี้ กระหายอยากสังคมอย่างขาดไม่ได้ เสพติดการมีสังคม พรรคพวก เพื่อนฝูงอย่างหนัก ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่ทักษิณสามารถสร้าง "รัฐสวัสดิการ" ขึ้นมาได้ในยุค Generation X เพราะพวกเขาเสพติดสังคมพอๆ กับการติดยาเสพติดทีเดียว และมันไม่ใช่ ปชต. อะไรเลยครับ ทว่า ชายมีความรู้สึกที่ชัดเจนว่ามันจะเป็นเช่นนี้เฉพาะยุค Generation X แต่ในยุคถัดไป เยาวชนของเรามีความแตกต่างจากพ่อแม่ของเขามาก มากจนถึงขั้นที่ไม่เหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเลย บางบ้านแทบจะอยู่ด้วยกันอย่างยากลำบาก พ่อต้องไประเบิดร้านเกมจนเป็นข่าวก็มีแล้ว เห็นไหม? เราพบความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนของคนใน Generation Y ที่แตกต่างไปจากคนยุคก่อนๆ อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เด็กยุคใหม่ ไม่ชอบการถูกชี้นำ พวกเขารักอิสระ ชอบลองผิดลองถูก ไม่แคร์สังคมเหมือนคนยุคก่อนๆ ตรงข้าม พวกเขาอาจมีสังคมเสมือนจริงในโลกไซเบอร์ด้วยซ้ำไป พวกเขาไม่แยแสอะไรกับสังคมที่แท้จริง ถึงขนาดถูกเรียกว่า "สังคมก้มหน้า" กันเลยทีเดียว ปรากฏการณ์นี้แหละที่จะบ่งบอกได้ว่าประเทศไทย พร้อมรับกับ ปชต. ในยุคต่อไป ไม่ใช่ยุคคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเรา และชายเชื่อว่า ปชต. จะเบ่งบานได้ในยุคของเยาวชนคนรุ่นใหม่ Generation Y ของเราแน่นอนครับ

    * การต่อสู้เพื่อ ปชต. จึงต้องมุ่งเน้นไปที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ นั่นเอง
     
  20. VisionPower

    VisionPower เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,168
    ค่าพลัง:
    +485
    พม่า ปิดประเทศไปนานนับสิบๆปี พอเปลี่ยนผู้ปกครองไปสักรุ่นที่ 2
    พอมองประชาชนคนในประเทศที่ตัวเองปิดเทียบกับประเทศอื่น มันด้อยกว่าอย่างมาก
    เพราะระบอบทหารเน้นคนอยู่ในกรอบว่านอนสอนง่าย พอเดิมๆไปมากๆ ก็คือไม่พัฒนา
    เงินจะมาสร้างเมืองจะมาจากไหนมันก็ไม่มีอีก เพราะไม่เอาใคร
    และการพัฒนายิ่งเป็นเสียนหนามของระบอบทหารเสียเองด้วย
    มันจะยิ่งจะไปกันใหญ่ และเรื่องคอรัปชั่นยิ่งหนักเข้าไปอีก

    สุดท้าย ก็ต้องยอมค่อยๆเปิดประเทศ แต่ก็ถือว่าช้ากว่าเพื่อนไปมาก
    (แต่ถ้าเปิดพรวดเดียวก็ตายเหมือนกันนะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...