กายหยาบ vs กายทิพย์(ผี เทวดวา พรม อื่นๆ) VS กับจิตที่นิพพาน ต่างกันอย่างไรครับ

กายทิพย์(ผี เทวดวา พรม อื่นๆ) VS กับจิตที่นิพพาน ต่างกันอย่างไรครับ

กายทิพย์ มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับกายหยาบ เเละธาตุสี่หรือไม่ หรือมีเพียงการเกิดเเละดับเท่านั้น เเละ จิตที่นิพพานเป็นกายทิพย์หรือไม่

ขอความรู้จากท่านที่เคยฟังจากพระที่สำเร็จเเล้วนะครับ ที่อ้างอิงเเหล่งข้อมูลได้ หรือท่านใดที่รู้จริงก็ได้ ครับ

 

คุณนิวร คุณขยันมากครับ มีเวลามาตอบตลอดเวลา รู้สึกอิ่มในความตั่งใจของคุณจริงๆครับ เเต่ถ้าจะตอบผมนะครับ ต้องขอบอกเลยครับ ผ่านไปเลยครับ ผมไม่อยากรบกวนเวลาคุณครับ อ่านไม่เข้าใจครับ ไม่สามารถเข้าใจ บาลี ไม่สามารถเชื่อม คำสั้น รวมความหมายได้ครับ สรุปที่คุณตอบมาเนี่ย ผมผ่านเลยครับจริงๆ ก็เลยไม่อยากให้คุณเสียเวลาด้วยครับ ด้วยความหวังดีครับ เเต่ผมไม่ได้คิดว่าคุณพูดผิดนะครับ หรือไม่มีประโยชน์กับคนอื่นนะครับ

ที่ผมถามคือต้องการเเยกเเยะ ธรรมที่จะใช้พิจาราณา ของ คน กับ เทวดา เพื่อการไปนิพพานเพราะ คน มีกายหยาบ เเล้วเทวดา จะมีความต่างในการพิจาราณาธรรมเเตกต่างออกไปอย่างไร เผื่อว่า ใครอยากไปเป็นเทวดา เเล้วค่อยนิพพานต่อ จะได้มีความเบาใจ คือ ค่อยๆเข้าหานิพพานที่ละขั้นๆ

เเต่คุณไม่ต้องตอบผมนะครับ ผมขอขอบคุณน้ำใจล่วงหน้าครับ เเต่ถ้าจะตอบก็เป็นสิทธิ์ของคุณครับ

 

เรื่องอื่นๆผมไม่ได้ใส่ใจเลยครับตั่งนานเเล้ว สบายใจได้ครับ

ขอประกาศเพิ่มเติม จากคุณนิวร ซึ่งผมไม่อยากรบกวนเวลาเช่นกัน คุณวรนิ nee653 นวลปราง เท่าที่ติดตาบ่อยๆ ครับ คืออ่านเเล้วมึนครับ ขอผ่านอย่างเดียวครับ เช่นกันนะครับไม่ได้ว่าไม่ถูก หรือไม่มีประโยชน์ เเต่อ่านเเล้วปวดหัวครับ สมองผมมันขี้เกลียดคิดมากครับ มีคุณภาพต่ำก็ว่าได้ครับ

 

เอาตามความเข้าใจ ไม่เน้นไปที่เนื้อหาที่เป็นหลักวิชา

กายทิพย์ เป็นกายละเอียด ประกอบด้วยธาตุ ๔ เฉกเช่นกายหยาบ แต่เป็นธาตุที่มีความละเอียดและตอบสนองต่อนามธรรมได้ไวกว่าอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะประจุวิบากกรรมที่แตกต่างกันมีผลต่อรูปนั้น

ยกตัวอย่าง

กายหยาบ คนที่ไปฝึกฝนกรรมฐาน เปลี่ยนแปลงจิตให้เป็นกุศล กว่ากายหยาบจะเท่าทันการฝึกฝน แปรเปลี่ยนบุคลิกภาพและหน้าตา อาจใช้เวลา ๗ ปี จึงจะแปรสภาพได้สมบูรณ์ (โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า จิตที่ฝึกฝนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก และการเปลี่ยนแปลงเป็นไปในลักษณะสม่ำเสมอ) ตัวอย่าง สามารถสังเกตคนที่เปลี่ยนแปลงตัวเองและไปฝึกกรรมฐานอบรมจิต ถือศีล ๘ เป็นอย่างน้อย

กายทิพย์ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันที และเต็มรูปแบบ ตัวอย่าง สังเกตตอนนั่งสมาธิภาวนา กายทิพย์ที่สังเกตเห็นจะขึ้นอยู่กับระดับของจิต และมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะรัศมี มีหรือไม่มี มีขนาดและสีอย่างไร และสามารถมีรูปร่างที่แตกต่างกันดุจเนรมิต (คล้ายโอปปาติกะ เกิดขึ้นทันที)

จขกท. ถามถึง จิตที่นิพพาน ตอบได้อย่างเดียวว่า เมื่อพระอรหันต์นิพพานแล้ว เราจะใช้ญาณหยั่งรู้ยังไง ก็หา จิต วิญญาณของท่าน ไม่เจอ (เหมือนค้นหาในกูเกิ้ลแล้ว ไม่มีคำตอบ) ดังนั้น ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับกายหยาบ กายทิพย์ได้

แต่ถ้าถามถึง พระอรหันต์ที่ยังไม่นิพพาน กายทิพย์ท่านก็เหมือนเช่นกายหยาบ เพราะท่านไม่ปรุงแต่งอะไรอีกแล้ว จึงเป็นไปตามธรรมชาติแต่เดิม แต่ว่า กายหยาบก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจแห่งจิตที่มีกุศลในฐานะที่เป็นพระอรหันต์ ตามรอบเวลา อย่างไรก็ตาม กายทิพย์ของท่าน พระอรหันต์จะแสดงอิทธิฤทธิ์ตามที่ได้ฝึกฝนมาก่อนบรรลุพระอรหันต์และมีความจำเป็นตามแต่เหตุปัจจัยที่จะแสดง ท่านก็แสดงได้ จะแสดงกายทิพย์อย่างไร ก็ทำได้

นอกจากนี้ ท่านผู้ฝึกฝนกรรมฐาน ไปในทางทิพยจักขุ อาจมองเห็นไปในระดับที่เห็นนามกาย ย่อมเห็นนามกายแล้วแปรการเห็นนามธรรมด้วยจิตเป็นเห็นรูปธรรม คือ ที่เรียกกันว่า ธรรมกาย (การเห็นนามกาย(ปัจจัยต่างๆ เช่น ธรรมต่าง) แปรมาเป็นรูปธรรมให้เห็นเพื่อง่ายต่อการเข้าใจของจิตที่ยังหยาบอยู่) ย่อมจะเห็นกายทิพย์ของพระอรหันต์มีความแตกต่างจากกายทิพย์ของปุถุชน (อันนี้ ฟังมาจากสาย ธรรมกาย (ไม่ใช่แบบจานบินนะครับ) ) อันนี้ พระท่านว่าเป็นกุศโลบายในการฝึกฝนพัฒนาจิตอย่างหนึ่งเท่านั้น นัยยะจริง คือ ฝึกธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน ในลักษณะรูปแบบที่ยากให้เข้าใจง่ายๆ

 

เอาธรรมในมุตโตทัย หลวงปู่มั่น มาฝากครับ

สัตตาวาส 9
เทวาพิภพ มนุสสโลก อบายโลก จัดเป็นกามโลก
ที่อยู่อาศัยของสัตว์เสพกามรวมเป็น 1
รูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จรูปฌานมี 4
อรูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จอรูปฌานมี 4
รวมทั้งสิ้น 9 เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์

ผู้มารู้เท่าสัตตาวาส 9 กล่าวคือ พระขีณาสวเจ้าทั้งหลาย
ย่อมจากที่อยู่ของสัตว์ ไม่ต้องอยู่ในที่ 9 แห่งนี้

และปรากฏในสามเณรปัญหาข้อสุดท้ายว่า ทส นาม กึ
อะไรชื่อว่า 10 แก้ว่า ทสหงฺ เคหิ สมนฺนาคโต พระขีณาสวเจ้าผู้ประกอบด้วยองค์ 10

ย่อมพ้นจากสัตตาวาส 9 ความข้อนี้คงเปรียบได้กับ
การเขียนเลข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 0 นั่นเอง

1 ถึง 9 เป็นจำนวนที่นับได้ อ่านได้ บวกลบคูณหารกันได้

ส่วน 10 ก็คือ เลข 1 กับ 0 (ศูนย์) เราจะเอา 0 (ศูนย์)

ไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ
ก็ไม่ทำให้เลขจำนวนนั้นมีค่าสูงขึ้น และ 0 (ศูนย์)
นี้เมื่ออยู่โดยลำพังก็ไม่มีค่าอะไร
แต่จะว่าไม่มีก็ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งปรากฏอยู่

ความเปรียบนี้ฉันใด จิตใจก็ฉันนั้นเป็นธรรมชาติ
มีลักษณะเหมือน 0 (ศูนย์) เมื่อนำไปต่อเข้ากับเลขตัวใด
ย่อมทำให้เลขตัวนั้นเพิ่มค่าขึ้นอีกมาก

เช่น เลข 1 เมื่อเอาศูนย์ต่อเข้า ก็กลายเป็น 10 (สิบ)
จิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อต่อเข้ากับสิ่งทั้งหลาย
ก็เป็นของวิจิตรพิสดารมากมายขึ้นทันที
แต่เมื่อได้รับการฝึกฝนอบรมจนฉลาดรอบรู้สรรพเญยฺยธรรม
แล้วย่อมกลับคืนสู่สภาพ 0 (ศูนย์)

คือ ว่างโปร่งพ้นจากการนับการอ่านแล้ว
มิได้อยู่ในที่ 9 แห่งอันเป็นที่อยู่ของสัตว์
แต่อยู่ในที่หมดสมมติบัญญัติคือ สภาพ 0 (ศูนย์)


...............................................

เอามาจากหลวงปู่มั่น ข้อความเปียบเทียบชัดเจนมาก
เกี่ยวกับในภพภูมิต่าง ที่จิตไปอาศัย..

 

ความเห็นส่วนตัวนะครับ

ผมว่าควรเปิดใจกว้างๆ ทุกอย่างแสดงธรรมให้เห็น
อยู่ในตัวของมันเอง

ดูอย่างพระศาสดา บางครั้ง ท่านแสดงธรรม
ให้คนฟัง(อุบายธรรม)

ไม่ให้คนเขาเข้าใจ

ก็มีนะครับ

 

...

 

...

 

...

 

...

 

เพื่อไม่เป็นการให้คุณเข้าใจคลาดเคลื่อนผมขออธิบายอีกครั้งนะครับว่า ผมมีเจตนาไม่อยากให้เขาเสียเวลา เพราะผมไม่ได้อ่านจริงๆผมอ่านไม่เข้าใจครับ คล้ายกับผมอ่านภาษา English ผมแปลคลาดเคลื่อน ผมอ่านไทยๆ มีให้อ่านเยอะมากกว่าครับ เเละผมก็ได้บอกเเล้วว่า ถ้าจะเสนอความคิดต่อไปก็สุดเเล้วเเต่ท่านนั้นๆครับเป็นสิทธิของท่าน หวังว่าจะเข้าใจ ความต่างของเจตนานะครับ เเละท่านเหล่านั้นจะได้เอาเวลาไปเเนะนำผู้อื่นต่อไปครับที่มีความสามารถในการแปลความครับผม

ส่วนที่คุณบอกพอเข้าใจนะ เเต่เมื่อพิจาราณาให้ละเอียดถึงการให้ความสำคัญ ก็คือเราให้ความสำคัญส่วนมาก ครับ

 

...

 

...

 

...

 

...

 

กายหยายก็ร่างมนุษย์เราปกตินี่ไง ประกอบด้วยธาตุ 4 ขันธ์ 5
กายทิพย์ต้องดูจากนิมิตเอาจะคล้ายๆภาพการ์ตูน ความละเอียดต่ำกว่า อยู่ได้ไม่นาน
แต่มีฤทธิ์มากกว่ากายหยาบอีก ทำให้จิตตกได้ เป็นการฝึกจิตชนิดหนึ่ง
กายนิพพานเป็นลักษณะนอนหลับแล้วไม่ฝันแต่พอเข้าใจการทำงานของจิตได้ รู้ถึงความอบอุ่นของชีวิต
ถ้าเป็นอายตนะนิพพานก็เหมือนกายทิพย์แต่สามารถรับรู้ความเป็นไปของโลกได้เหมือนจิตที่ไหลไปตามกระแสน้ำ กระแสลม

 

คุณ nee ครับ ผมไม่อยากมาเเตะ เเต่ที่มีเเตะในครั้งนี้ก็เพราะ เกร็งว่าความดีความรู้ที่มีของคุณนั้นนะจะถูกเคลือบไว้ด้วย มิจฉาทิฏฐิ ผมคิดว่าคุณมีความรู้มากกว่าชาวบ้านทั่วๆไปที่เเค่รู้จักศีล 5 เเต่คุณลืมไปหรือไม่ว่า ศีล5 มีข้อนึงเรื่อง การพูดจาเพ้อเจ้อ พระท่านก็ห้าม เจตนาเป็นห่วงครับ ถ้าคิดว่าดีเเล้วก็ทำดีต่อไปครับ


ส่วนที่คุณบอกว่าคุณโพสเเล้วจะเกิดบุญผมไม่ได้ห้ามเลยนะ ถ้าคุณอ่านครบในส่วยที่ผมกล่าวถึงคุณนิวรในเบื้องต้นส่วนกระทู้ตอบบน คุณจะทราบได้ว่าผมบอกเเล้วว่า เป็นสิทธิของคุณนิวรที่จะนำเสนอครับ

เเล้วการที่คุณมาพูดเป็นคำๆ ตามจิตใจคุณเอง เเล้วใส่ .... คุณโพสให้คนที่มี เจโต อ่านสินะครับ อืมผมไม่มีนะเห็นใจผมหน่อยครับ
ภาษาไทยมีนะประโยคไม่ได้ยากเลยนะเด็กๆพูดเเล้วใครๆก็ฟังเข้าใจ ประโยคมี ประธาน กรรม กริยา เด็กมันยังไม่เรียน ประโยคเเเค่พูดตามพ่อเเม่คน มันก็ยังพูดได้ครับผมว่าคุณก็ไม่เเตกต่างหรอกนะครับ ผมเชื่อว่า ปกติคุณคงไม่พูดเหมือนที่โพสหรอกนะครับ เเต่เพราะอะไรไม่ทราบได้ มักมาสั้นๆ เเค่นี้ ก็คงอาจจะเป็นเหตุผลเดียวกับความคิดที่คุณเสนอออกมา ตามที่ผมอ้างอิงก็อาจจะได้ เพราะเป็นความคิดในจิตคุณเอง

 

...

 

...