ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมภาคฆราวาส แตกต่างจากพระอย่างไร?


    ชายได้กล่าวแล้วถึงความแตกต่างในการปฏิบัติธรรมภาคฆราวาสว่าท่านจะทำแบบพระ เลียนแบบพระไม่ได้ เพราะไม่เหมือนกัน ในบทความนี้ ชายจะขอยกตัวอย่างสิ่งที่ท่านสามารถทำได้ ดังนี้

    1 มีกามได้
    ท่านอย่าเว่อร์ ท่านไม่ใช่พระ ท่านคือฆราวาสธรรมดา แต่ไม่ได้ทำตัวเยี่ยงปุถุชนทั่วไป ดังนั้น การมีกามจึงเป็นเรื่องที่ไม่มากเกินไปอย่างปุถุชนและไม่น้อยเกินไป ไม่เคร่งเกินไปอย่างพระ ท่านสามารถมีกามได้ นี่คือ ธรรมะของฆราวาส ไม่ใช่พระ ซึ่งมันจะพอดีกับสภาวะของฆราวาสครับ ซึ่งหากธรรมสำเร็จธรรมบัวบานแล้ว ก็จะได้รับธรรมชาติจัดสรรให้สิ่งเหล่านี้มาเองอย่างน่าอัศจรรย์ อาจไม่ใช่กามที่ท่านต้องการ แต่ท่านต้องมี เพราะท่านไม่ใช่พระนั่นเอง

    2 ฆ่าสัตว์ได้
    นี่ก็อย่าเว่อร์อีกเช่นกัน เราเป็นมนุษย์โลก เราต้องไม่ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน แต่ถ้าท่านปล่อยให้งูเข้าบ้านกัดลูกตาย คุณก็อาจไม่ใช่มนุษย์ก็ได้ ดังนั้น อย่าเว่อร์ คำว่าถือศีลไม่ฆ่าสัตว์นี่ ไม่ใช่แบบพระ เราไม่ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน ไม่ฆ่าสัตว์โดยไม่มีเหตุผล ไม่มีความจำเป็น ไม่ฆ่าสัตว์โดยเหี้ยมโหดทรมาน ไม่ฆ่าสัตว์โดยล้างผลาญยกโคตร ฯลฯ แต่ไม่ใช่ไม่ฆ่าสัตว์เลย เช่น ท่านไปจับปลามากิน แล้วได้ปลาตัวเล็กกินไม่ได้มาด้วย ท่านเอาตัวเล็กไปปล่อย ตัวใหญ่ท่านก็ฆ่ากินได้ นี่คือ ธรรมฆราวาส ปฏิบัติได้จริง พอดีๆ ไม่เว่อร์อย่างพระ

    3 ทำผิดได้
    คนเราทำผิดกันได้เป็นเรื่องธรรมดา ถูก-ผิด, ดี-ชั่ว แท้แล้วไม่ใช่สาระแห่งธรรม แต่ไม่ใช่ข้ออ้างให้ท่านไปทำผิดทำชั่วนะ ท่านจะต้องเรียนรู้มัน ว่าอะไรคือ ถูก-ผิด, ดี-ชั่ว ทุกอย่างต้องมีเหตุ จึงมีผลตามมา ไม่มีใครไม่ทำผิดเลย หรือไม่ทำชั่วเลยหรอก หากเขาไม่หลงตัวเอง หลงดีในตัวเองเกินไป เขาจะมีสติ ตื่นขึ้น เห็นตัวตนของเขาทั้งสองด้าน ทั้งด้าน ถูก-ผิด, ดี-ชั่ว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามนุษย์

    4 ทำกรรมได้
    คนเราเกิดมาในโลก จะไม่ให้มีกรรมเลย เป็นไปไม่ได้ อนึ่ง กรรมก็มีหน้าที่ของมัน หากไม่มีกรรมแล้ว ก็ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดดับไปข้างหน้า เพราะท่านไม่ได้เกิดมาตัวเดียว แล้วเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียว แต่ข้างหน้า เบื้องหน้าของท่าน ยังมีสรรพสัตว์อีกมากมายรอท่านอยู่ ดังนั้น ท่านก็ยังต้องมี "สมมุติ" ปรุงแต่งเป็นเหตุปัจจัยในการดำเนินไปข้างหน้า หลายคนพอยอมสละนิพพานแล้วมาโปรดสัตว์ สิ่งแรกที่เขาทำคือ "ทำกรรม" อันนี้เป็นธรรมดาครับ

    5 ไม่จำเป็นต้องพูดธรรมะได้
    ท่านไม่ใช่พระ ไม่ใช่ครูสอนธรรมะ ไม่ได้มีหน้าที่สื่อสารธรรมะ ท่านก็อาจไม่จำเป็นต้องพูดธรรมะแข่งกับใครก็ได้ ท่านอาจไม่รู้เรืื่องธรรมะเลย แต่ท่านรู้หน้าที่ของท่านในฐานะฆราวาส ท่านอาจพูดธรรมะไม่ได้เลย แต่ท่านเองปฏิบัติธรรมอยู่ มิได้ขาด ท่านอาจไม่เหมือนพระ ไม่เหมือนผู้มีธรรมเลย เพราะท่านเป็นฆราวาสแต่ขอให้มี "ปกติ ธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาติ" ท่านก็เป็นฆราวาสผู้ทรงธรรมได้ ท่านไม่ได้สูงส่งเลิศเลอ ไม่มีใครยกย่อง แต่หากท่านมีใจสูง ไม่หลงโลกเช่นปุถุชนทั่วไป ท่านก็มีใจที่เป็นธรรมได้ ไม่ต่างจากพระ

    * ฆราวาสผู้ทรงธรรมนั้น มีลักษณะแตกต่างจากพระและปุถุชนครับ
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เป็นนัก ปชต. อย่าได้แคร์สื่อ!​



    สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้งานของนักขับเคลื่อน ปชต. สำเร็จผลได้นั้น มิใช่เพราะคุณครอบครองสื่อ จึงได้ครอบครองอำนาจหรือโลกแต่อย่างใด ไม่ใช่อย่างนั้น คุณอาจไม่มีอะไรเลย แต่คุณต้องมีพลังแห่งความเป็นมนุษย์ ความเป็นนัก ปชต. ที่แท้จริงจาก Inner ของคุณ พลังนี้เหมือนแสงสว่างของพระอาทิตย์, พระจันทร์ หรือดวงดาว คุณต้องกล้าหาญเหมือนดารา, นายแบบนางแบบ ฯลฯ แล้วสำแดงพลังในตัว ในหัวใจของคุณ ให้เจิดจรัสฉายแสงออกมา และนั่นจะทำให้เกิดพลังสั่นสะเทือนได้อย่างที่คุณไม่อาจคาดคิดถึง มันคือ Butterfly effect ที่คนตัวเล็กๆ อย่างคุณทุกคน สามารถทำได้ แต่คุณต้องไม่แคร์กับมายาการอะไรมากเกินไป อย่าเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้าง หรือทำให้คุณต้องมีอุปสรรคทางความคิดและการกระทำ เช่น คุณไม่มีเงิน, ไม่มีสืื่อ, ไม่มีชื่อเสียง, ไม่มีใครรู้จัก, ไม่มีแฟนคลับ, ไม่มียอดคนติดตามมากพอ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ล้วนไม่ใช่สาระ อย่าเอามายาการเหล่านี้มาเป็นสาระขัดขวางการสำแดงออกซึ่งพลังภายในของคุณ มิฉะนั้น คุณจะไม่อาจฉายแสงออกไปได้

    จงสำแดงพลังของคุณจากภายใน (Inner) เหมือนดวงดาวที่เจิดจรัสฉายแสงนำทางผู้คน จงใช้พลังแห่งความเป็นนัก ปชต. ของคุณเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการของเหล่าชนผู้ยังติดข้องในกรงขัง, จงใช้พลังแห่งความเป็นผู้นำของคุณ นำทางชนเหล่านั้นที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก สับสน และหลงทาง, จงใช้พลังแห่งความบริสุทธิ์ใสซื่อของคุณ อันเป็นพลังของเยาวชนคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างคลื่นความสั่นสะเทือนไปให้ถึงดาวดวงที่คุณปรารถนา ดวงดาวแห่งศรัทธาในวิถีแห่ง ปชต. อย่ากลัวเกินไป อย่าแคร์กับมายาการเกินไป เพราะสิ่งเหล่านั้น อาจกลายเป็นเครื่องขัดขวางการสำแดงพลังและศักยภาพที่แท้จริงของคุณ! คุณไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่คุณสำแดงออกไปนั้นมันจะมีผลกระทบมากเท่าใด? คุณไม่อาจประเมิณมันได้ จริงอยู่ว่าสื่อมีผลกระทบต่อผู้คน ผู้ครอบครองสื่อ ย่อมมีอำนาจ และสามารถชี้นำคนได้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ "คุณ" ใจของคุณ พลังที่ซ่อนอยู่ภายใน จงเชื่อมั่นในพลังเหล่านั้น แล้วสำแดงพลังนั้นออกไป หัวใจของคุณจะเร่าร้อน เต็มเปี่ยมด้วยพลัง มันจะระเบิดเหมือนดวงดาวดวงหนึี่ง จงปลดปล่อยมัน ให้อิสระภาพแก่มัน แล้วมันจะทำงานให้คุณอย่างน่าอัศจรรย์ ประหนึ่งเด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว!

    แม้คุณจะเป็นเพียงคนที่ไร้ชื่อเสียง แต่คุณก็สามารถเป็นดาวดวงหนึ่งได้
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    ประเด็นพระคึกฤทธิ์ เข้าข่ายสังฆเภทนะ
    ละเอียดอ่อนแน่นอน แต่ต้องระวัง


    ผมรู้สึกว่าคนที่หนุนพระรูปนี้ วางแผนใช้พระ
    สร้างความแตกแยกในประเทศ ทำให้เกิดสังฆเภทขึ้น


    ถ้าพลาดไปนิดหนึ่ง ก็อาจหลงกลคนที่บงการอยู่เบื้องหลังได้ครับ
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    บันได 5 ขั้น ก่อนบรรลุธรรม


    ชายขออธิบายขั้นตอนก่อนการบรรลุธรรม แบ่งเป็น 5 ขั้น ซึ่งท่านอาจจะได้พบเจอด้วยตัวเองได้ ชายเขียนบอกไว้ หากท่านปฏิบัติมาถึง ท่านก็จะได้มีป้ายบอกทาง ว่าท่านเดินมาถูกทางแล้ว ดังต่อไปนี้

    1 ขั้นกำเนิดใหม่
    ขั้นนี้ เราจะต้องตายจากความเป็นปุถุชนก่อน เราจะก้าวข้ามโคตรปุถุชนไปสู่ "โคตรภูญาณ" ได้ เราจะเริ่มมีวิสัยเหมือนนักบวชบ้างแล้ว จะไม่หลงโลกเหมือนปุถุชนทั่วไปดังเก่าก่อนอีก ในขั้นนี้บางคนอาจเหมือนคนบ้าได้ เนื่องจาก "หลุดโลก" หรือหลุดไปจากความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนเดิม ดังนั้น หลายท่านจึงมักถือบวชครับ

    2 ขั้นรับปริศนาธรรม
    ขั้นนี้ เราจะได้รับปริศนาธรรม ส่วนใหญ่จะมาในรูปสิ่งที่ยังไม่ถูกต้อง ยังไม่ดีงาม เพราะอะไร? เพราะมันรอให้เราทำให้มันกระจ่างก่อนไงครับ ถ้ามันถูกต้องแล้ว ดีงามแล้ว แสดงว่ามันมีผู้ค้นพบมันแล้ว ได้เฉลยปริศนาธรรมหมดแล้ว มันไม่มีอะไรเป็นสิ่งเคลือบแคลงอีก เราก็จะไม่อาจบรรลุธรรมจากสิ่งที่ได้รับการเปิดเผยหมดแล้วนั้นๆ ได้

    3 ขั้นถูกวิบากกรรมกระหน่ำ
    ขั้นนี้ เราจะต้องรับวิบากกรรม ใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรก่อน เขาจะมาเหมือนเจ้าหนี้ของเรา ทวงหนี้กรรมเรา ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่ให้เราได้บรรลุธรรม เราจึงต้องชำระวิบากกรรม หรือ "รับการชำระบาป" ของเราให้หมดสิ้นเสียก่อน หลายคนเลิกและท้อไปก่อนเมื่อถึงขั้นนี้ เราควรดูอย่างพระสมณโคดม ที่ทรงยอมรับทุกขกริยาก่อนบรรลุธรรม

    4 ขั้นได้รับการต่อสายธรรม
    ขั้นนี้ จะมี "ต้นสายธารธรรม" มาต่อสายธรรมให้เรา เพื่อไม่ให้เราเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เรามาสายไหน ก็จะมีท่านที่มีธรรมสายนั้นมาต่อให้เรา เช่น เรามาสายเต๋า ก็ได้, สายมหายาน, สายเถรวาท ฯลฯ ได้หมดทุกสาย เราปฏิบัติสายไหนก็จะได้รับการโปรดจากผู้ที่มีธรรมในสายนั้นที่รอเราอยู่ รอที่จะทำหน้าที่ต่อสายธรรมให้เราอยู่

    5 ขั้นเก็บตัวปฏิบัติยิ่งยวด
    ขั้นนี้ เราจะต้องเก็บตัว ปฏิบัติด้วยตนเอง เพราะหากไม่เก็บตัว เราอาจสูญเสีย "ปริศนาธรรม" ให้แก่ผู้อื่นได้ เสียให้ผุ้อื่นได้หรือ? ได้สิ ถ้าเขารู้ปริศนาธรรมของเรา แล้วคลี่คลายมันได้ เราก็จะไม่เหลือให้ขบคิดอีกแล้ว ต้องรอปริศนาธรรมตัวใหม่ ปริศนาธรรมใดที่ผู้อื่นเขาคลี่คลายให้เราแล้ว เราไม่อาจใช้เพื่อทำ "วิปัสสนาญาณ" ได้อีก

    ทั้งห้าขั้นตอนนี้ จะพบได้ทั้งในนักบวชและฆราวาสผู้ทรงธรรมครับ
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พลังทั้ง 5 แห่งนัก ปชต. รุ่นใหม่​



    ชายได้เคยกล่าวถึงการทำหน้าที่ของนัก ปชต. รุ่นใหม่ เยาวชนคนรุ่นใหม่ไปบ้างแล้ว พร้อมยุทธวิธีในการสู้รบแบบใหม่ในแนวสันติวิธี ไม่ใช้การปลุกระดม เช่น การใช้สื่อเพื่อสร้าง Butterfly effect มาแล้ว กระทู้นี้ ชายจะลงรายละเอียดในพลังจากภายใน (Inner) ที่นัก ปชต. รุ่นใหม่ ควรจะมี เพื่อให้การขับเคลื่อนมีพลัง ดังต่อไปนี้

    1 พลังเชิงบวก
    นัก ปชต. ควรมีพลังเชิงบวก เพื่อแปรเปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้าย ให้กลายกลับเป็นดีได้ หรือลดหย่อนบรรเทาให้สถานการณ์เลวร้ายนั้นเบาลง เนื่ืองจาก ในเชิงการเมืองมีการแบ่งฝักฝ่ายกันมาก ต่างก็โจมตีใส่ร้ายกันด้วยพลังเชิงลบ ดังนั้น นัก ปชต. ควรมีพลังเชิงบวกเพื่อต่อต้าน หรือคลี่คลายกับพลังเชิงลบจากขั้วข้างการเมืองต่างๆ

    2 พลังแห่งเสรีภาพ
    นัก ปชต. จะขาดพลังแห่งเสรีภาพไม่ได้ เพราะพลังนี้ทำให้เราเป็นอิสระจากทุกสิ่ง ในเวทีการเมืองนั้น เรามักตกหลุมพรางหรือบ่วงพันธนาการที่ฝ่ายการเมืองต่างๆ ทำไว้ ได้ง่ายมากๆ การมีพลังแห่งเสรีภาพนอกจากจะใช้ในการช่วยตัวเองแล้ว ยังช่วยให้ผู้อื่นเป็นอิสระจากบ่วงพันธนาการเหล่านั้นอีกด้วย ปชต. จึงจะเกิดขึ้นได้

    3 พลังแห่งความเชื่อมั่น
    นัก ปชต. จะต้องมีพลังแห่งความเชื่อมั่น จึงจะนำทางผู้คนได้ หากเรามีพลังแห่งความเชืื่อมั่นต่ำ เราอาจเสียความมั่นใจในจุดยืนของเรา เมื่อเราเป๋ หรือสูญเสียจุดยืนแล้ว เราจะถูกกระแสการเมืองต่างๆ พัดพาเราไปได้ เช่น ทำให้เราเป็นคนไร้หลักการ เอาตัวรอดไปวันๆ นั่นเพราะเราไม่มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็น หรือสิ่งที่เราคิดอยู่

    4 พลังแห่งความบริสุทธิ์
    นัก ปชต. รุ่นใหม่ควรมีพลังแห่งความใสซื่อบริสุทธิ์ เนืื่องจากเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ การมีพลังที่ใสซื้อบริสุทธิ์ เหมือนน้ำที่ชำระล้างความสกปรกของวงการการเมืองได้ นี่คือ พลังของคนรุ่นใหม่ ที่ควรเพิ่มเข้าไปในระบบการเมืองการปกครอง เพราะหากไร้ซึ่งพลังของคนรุ่นใหม่ที่ใสซื่อบริสุทธิ์แล้ว การเมืองจะอยู่อย่างไรในความมืดนั้น?

    5 พลังแห่งความรัก
    นัก ปชต. ควรมีพลังแห่งความรัก อันจะนำไปสู่สันติภาพและการใช้ "สันติวิธี" ในการขับเคลื่อน ปชต. ด้วย เพราะหากมีแต่ความแค้นต่อฝ่ายตรงข้ามแล้ว การเมืองอาจรุนแรงได้ พลังแห่งรักจะช่วยคานพลังแห่งความเกลียดแค้นของขั้วข้างฝ่ายต่างๆ ได้ นอกจากนี้ ยังเป็นพลังพื้นฐานในการสร้างชาติและโลกใบนี้ เพื่อมนุษย์ทุกคน

    ถึงเวลาที่เรานัก ปชต. รุ่นใหม่จะสำแดงพลังของเราออกมาแล้วครับ
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "การกำเนิดใหม่" จะยากหรือง่าย ขึ้นอยู่กับอะไร?


    ชายได้กล่าวแล้วว่าเราต้องเดินตามรอยพระสมณโคดม เหมือนกันทุกคนจึงจะบรรลุธรรมได้ จะแตกแถวไม่ได้ กล่าวคือ เราจะต้องมีการกำเนิดใหม่เหมือนท่าน ที่ตายจากความเป็นปุถุชน ตายจากความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะกำเนิดใหม่ได้ ทั้งนี้ ความยากง่ายในการกำเนิดใหม่นั้น ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสาเหตุต่างๆ ดังนี้

    1 ความพร้อมตาย
    คนที่มีความพร้อมตายมาก จะกำเนิดใหม่ได้ง่าย ส่วนคนที่ไม่มีความพร้อมในการตาย ก็จะกำเนิดใหม่ได้ยาก เมื่อกำเนิดใหม่ได้ยาก ก็จะต้องรับการทรมานมากมายหลายวิธี ดังนั้น คนที่ได้สติที่เรียกว่า "มรณานุสติ" คือ พร้อมตายอยู่ตลอดเวลา มีสติเท่าทันความตายอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นผู้ที่กำเนิดใหม่ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มี อนึ่ง มรณานุสตินี้ ไม่ใช่การนึกถึงความตาย แต่คือความพร้อมตาย

    2 สักกายทิฏฐิ
    คนที่มีสักกายทิฏฐิมาก จะกำเนิดใหม่ได้ยาก ส่วนคนที่มีสักกายทิฏฐิน้อยจะกำเนิดใหม่ได้ง่ายมากๆ เรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน บางครั้ง การที่เรายอมรับให้คนอื่นมาทำลายสักกายทิฏฐิให้เรา จะทำให้เราสามารถกำเนิดใหม่ได้โดยง่าย แต่หากเราไม่ยอมให้ใครมาทำลายสักกายทิฏฐิของเรา เราก็จะไม่อาจกำเนิดใหม่ได้ หลายคนกำเนิดใหม่ได้ด้วยวิธีนี้ โดยไม่ต้องรับการทรมานมากมายใดๆ เลย

    3 การชำระบาป
    การชำระบาปได้มาก ส่งผลให้การกำเนิดใหม่เป็นไปได้ง่าย แต่หากยังชำระบาปได้น้อย ได้ไม่หมด การกำเนิดใหม่ก็อาจยาก หรือยังไม่อาจกำเนิดใหม่ได้ ดังนั้น ทุกคนก่อนที่จะบรรลุธรรม หรือกำเนิดใหม่ จึงมักถูกชำระล้างบาปให้หมดสิ้นก่อนเสมอ มักถูกพิพากษาความผิดบาป และตามมาด้วยการรับการลงโทษ ลงทัณฑ์ก่อนเสมอ นี่จึงเป็นวิถีที่ทำให้เรากำเนิดใหม่ได้ เราจึงควรยอมรับการชำระบาปเสีย

    4 ภาระกับปวงสัตว์
    ภาระกับปวงสัตว์ที่มีค้างอยู่มาก ทำให้กิจคั่งค้างมาก ส่งผลให้การกำเนิดใหม่เป็นไปได้ยาก แต่หากท่านได้ทำเพื่อปวงสัตว์มากพอแล้ว ยิ่งยวดแล้ว กิจที่คั่งค้าง ค้างคาใดๆ ไม่มีอีก เช่นนั้น การกำเนิดใหม่ก็จะง่ายมากขึ้น หลายคนที่ทำเพื่อผู้อื่นจะกลายเป็นผู้ที่ถูกกระทำเสียเอง นี่ก็เพื่อให้เขาได้รับโอกาสในการกำเนิดใหม่ครับ ยิ่งทำเพื่อปวงสัตว์มากๆ ก็พร้อมที่จะถึงวาระในการกำเนิดใหม่มาก

    5 การบีฑาธรรม
    หากบุคคลทำทุกขกริยา คือ ทรมานร่างกาย การกำเนิดใหม่จะเกิดได้เหมือนกัน แต่ยากกว่าการ "บีฑาธรรม" การบีฑาธรรมนั้นเราจะถูกกดดัน บีบคั้น ไม่ใช่ทางร่างกาย แต่เป็นทางจิตใจแทน ทำให้เรารู้สึกทุกข์ เสียใจ และเหมือนจิตใจจะแตกสลายเลยทีเดียว ทำให้เราไม่ได้รับผลกระทบทางร่างกายมาก แต่จิตวิญญาณของเราจะได้รับผลกระทบโดยตรง จนถึงขั้น "จิตวิญญาณแตกดับ" กำเนิดใหม่เลย

    ธรรมบัวบานเน้นบีฑาธรรมที่จิตใจ ทำให้กำเนิดใหม่ได้ง่ายกว่าครับ
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สำนักบัณฑิตไทย ผู้สร้าง ปชต. ในแบบของตัวเอง?​



    ต้นกำเนิด ปชต. แบบฝรั่งเศสนั้น ทำให้เรายังไม่ได้ ปชต. ที่เต็มที่ กล่าวคือ ในการปฏิวัติฝรั่งเศสนั้น มิใช่การปฏิวัติโดยประชาชนที่สมบูรณ์ ในขณะที่สถานการณ์บีบคั้นไปจนถึงจุดหนึ่ง เกือบจะแตกหักแล้วนั้น ก็เกิดการเจรจาต่อรองเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น โดย "ชนชั้นกลาง" จากนั้น การปฏิวัติก็เปลี่ยนรูปแบบไป แม้จะมีการปฏิวัติให้เห็นอยู่ก็จริง แต่คนหลักๆ ที่เดินเกม ไม่ใช่ประชาชนรากหญ้าเหมือนเดิมอีก กลายเป็นชนชั้นกลางแทน พวกเขาเข้ามาปฏิวัติเพื่อขอส่วนแบ่งผลประโยชน์บางอย่างกับกลุ่มอำนาจเก่าที่ครองอำนาจอยู่ เช่น การค้าขายเสรี ก็เป็นประเด็นของผลประโยชน์โดยตรง ที่จะทำให้ชนชั้นกลาง จะผันตัวมาเป็น "นายทุน" ได้ลืมตาอ้าปาก ได้ผลประโยชน์กับเขาบ้าง การเจรจานี้เอง ทำให้เกิดระบบ "ทุนนิยม" ขึ้น กล่าวคือ การเจรจาต่อรองเพื่อเปิดทางให้ชนชั้นกลางได้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ร่วมกับคนกลุ่มเก่าได้ ทั้งหมดทำให้เกิดระบบทุนนิยมขึ้น ซึ่งระบบทุนนิยมก็คือ "แนวคิดศักดินา" ที่ปรับเอามาใช้เพื่อให้การเจรจาต่อรองนั้นจบลงได้ด้วยดี แม้จะได้ ปชต. มาเป็นระบอบการปกครองแล้วก็ตาม แต่ความเป็นศักดินาไม่ได้ลดลงไปเลย เพราะมันได้แปลงรูป แปลงร่างเป็น "ระบบทุนนิยม" แล้ว และมันได้เข้าไปสู่ชนชั้นกลางในรูประบบทุนนิยม ทำให้ชนชั้นกลางผันตัวมาเป็นนายทุน ในเวลาต่อมา สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จึงกลายเป็น "ทุนนิยมประชาธิปไตย ไม่ใช่ เสรีนิยมประชาธิปไตย" ดังที่ต้องการ

    ประเทศไทยเรา ต้องไม่เดินซ้ำรอยที่ผิดพลาดของฝรั่ง ต้องไม่เดินตามหลังฝรั่งเศส เราอาจไม่ต้องมีการปฏิวัติโดยประชาชน แต่ต้องมีความมีส่วนร่วมของประชาชน จนนำไปสู่ "เสรีนิยมประชาธิปไตย" ไม่ใช่ "ทุนนิยมประชาธิปไตย" ดังที่เป็นมา เราจึงต้องมี "นักคิด" รุ่นใหม่ๆ จำนวนมาก เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิด แล้วสร้างสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า ขึ้นมาแทนที่ ประชาธิปไตยนั้น ใช้หลักเสียงข้างมาก ซึ่งการใช้หลักนี้เองที่เป็นเหตุให้ "โสเครติส" ต้องถูกฆ่าตาย เพราะโสเครติสเป็นคนส่วนน้อยที่มีความเห็นแตกต่าง เมื่อคนส่วนใหญ่โหวตกันจึงเอาชนะได้ พร้อมลงความเห็นร่วมกันว่าให้โสเครติสดื่มยาพิษตาย เห็นไหม? ประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมาก กลายเป็นแบบนี้ คือ กลายเป็น "เผด็จการเสียงข้างมาก" ก็ได้ เหมือนอย่างที่เราเห็นในประเทศไทย ดังนั้น เราจะไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้เขาทำไป ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง คงไม่ได้ ประชาธิปไตยที่เราคิดว่ามันเป็นของจริง มันใช่หรือเปล่า? เราอาจต้องคิดใหม่ทำใหม่ สร้าง ปชต. ในแบบของเราเอง ที่แก้ไขจุดเสียของฝรั่งได้ เช่น มีระบบเศรษฐกิจที่ดีกว่าระบบทุนนิยม, มีการเลือกตั้งที่ดีกว่า สส. ไม่ต้องมาขายตัวกัน, มีการโหวตที่ดีกว่าเสียงข้างมากลากไป โดยไม่คำนึงถึงความจริง เอาแต่พรรคพวกและเสียงข้างมาก เป็นสำคัญ ฯลฯ ปชต. ที่เราคิดว่ามันใช่ มันถูกต้องแล้ว แท้จริงแล้ว มันยังไม่ใช่ มันคือของปลอม ที่มีเปลือกนอกเหมือน ปชต. จริงๆ ย้อมแมวมาหลอกเราเสียตั้งนาน

    ดังนั้น เราจึงต้องสร้างนักคิด สำนักปราชญ์แผ่นดินขึ้นมายังไงครับ
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ฟื้นฟู "ความเป็นมนุษย์" เสียก่อนที่จะเป็น "ผู้มีธรรม"


    หลายคนอยากเป็นผู้มีธรรม เป็นพระอรหันต์ เป็นฆราวาสผู้ทรงธรรม ทว่า พวกเขากลับไม่มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป แล้ววิ่งหา "หัวโขน" ใหม่ๆ มาสวมใส่ให้ได้เป็นผู้มีธรรมแทน เราควรทบทวนและตรวจสอบตัวเองว่าเรามีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ปกติดีอยู่หรือไม่? โดยข้อสังเกตุดังต่อไปนี้

    1 มนุษย์ไม่มีอาชีพ
    แต่มนุษย์สามารถทำงานทุกอย่างได้ แม้ไม่ได้ดีเหมือนมืออาชีพแต่ก็พอทำได้ มนุษย์มีหน้าที่ของตนโดยธรรมชาติ ไม่ใช่ต้องรองานที่ได้รับคำสั่งจากใครๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า "เจ้านาย" สิ่งเหล่านั้นเป็นสมมุติที่มนุษย์ที่แข็งแรงกว่าสร้างขึ้นมา เพื่อควบคุมมนุษย์ที่อ่อนแอกว่า พวกเขาจึงสร้าง ตำแหน่ง, เงินเดือน, รายได้, สิ่งล่อใจ, ลาภยศสรรเสริญ ฯลฯ ขึ้นมาเพื่อหลอกล่อให้มนุษย์ที่อ่อนแอกว่าจะต้องยอมจำนน กลายเป็น "ตัวตนอาชีพ" ต่างๆ และสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปทีละน้อย จนกระทั่งไม่สามารถอยู่ได้โดยขาดอาชีพ

    2 มนุษย์ไม่มีประเทศ
    มนุษย์เกิดก่อนการมีประเทศ แต่ภายหลัง มนุษย์ถูกครอบงำและขังกรอบให้อยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง มนุษย์แท้จริงแล้วเป็นเพื่อนร่วมโลกกันทั้งโลก แต่เมื่อถูกจับแบ่งแยกประเทศแล้ว ก็ถูกหลอกให้ฆ่ากันเองด้วย "สงคราม" สงครามเกิดขึ้นเพื่อสนองแผ่นดินที่ต่างกันด้วยกรอบกรงขัง ที่เรียกว่าประเทศ นั่นเอง ทั้งๆ ที่มนุษย์โลกนั้น เป็นเพื่อน, พี่น้อง ฯลฯ กันทั้งโลก แต่เพราะกรอบกรงขังที่เรียกว่าประเทศนี้เอง ทำให้มนุษย์ต้องขัดแย้ง และเข่นฆ่ากันมาหลายยุค

    3 มนุษย์ไม่มีศาสนา
    มนุษย์เกิดก่อนการมีศาสนาในโลก แต่ภายหลัง เมื่อศาสนาเกิดแล้ว ศาสนากลายเป็นกรงขังจับมนุษย์แยกขังไว้ในกรงที่ต่างกัน แท้จริงแล้วมนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธศาสนา เพราะมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ทุกศาสนา การเข้าไปอยู่ในศาสนาใดศาสนาหนึ่งของมนุษย์ จะต้องไม่ทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นกลาง, ความเป็นสากล ตรงนี้ เพราะหากมนุษย์เข้าไปสู่ศาสนาใดศาสนาหนึ่งแล้วสูญเสียความเป็นกลาง เขาก็จะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปด้วย จนในที่สุดจะลืมไปว่า "มนุษย์ไม่มีศาสนา"

    4 มนุษย์ไม่มีชนชั้น
    แต่มนุษย์มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณที่แตกต่างกันได้ ทว่า มียุคหนึ่งที่ระบบชนชั้นวรรณะได้เกิดขึ้นในโลก ทำให้มนุษย์ถูกจับแยกขังกรงภายใต้กรอบของชนชั้นวรรณะที่ต่างกัน และระบบชนชั้นวรรณะก็มาล่มสลายเอาภายหลัง ทว่า มนุษย์ก็ยังมีความแตกต่างหลากหลายอยู่ ไม่ใช่ด้วยชนชั้นวรรณะและชาติกำเนิด แต่ด้วยตัวของเขาเองได้พัฒนาตัวเองขึ้นไปมากเท่าใด? จุดนี้เอง ทำให้เกิดความแตกต่างหลากหลายในตัวมนุษย์ มนุษย์บางคนมีจิตวิญญาณในระดับมิติที่สูง เช่น มีจิตวิญญาณระดับเทพ (มนุสสเทโว) มนุษย์บางคนก็มีจิตวิญญาณเสื่อมต่ำ ต้องอยู่อย่างอนาถาเหมือนเปรต

    5 มนุษย์ไม่มีพลังพิเศษ
    แต่มนุษย์สามารถพัฒนาตัวเองไปสู่จุดที่มีพลังพิเศษได้ เพราะทุกคนมีพลังพิเศษซ่อนอยู่ในตัว เช่น เมื่อเกิดไฟใหม้ มนุษย์บางคนก็สามารถยกโอ่งขนาดใหญ่ๆ ได้ ทั้งที่ปกติทำไม่ได้ พลังและความสามารถพิเศษซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน มันจะต้องผ่านการปลุกให้ตื่นขึ้นมาก่อน มนุษย์จึงจะมีพลังและสติปัญญาที่เหนือกว่าปกติได้ มนุษย์ที่มีพลัง, สติปัญญาเหนือกว่าปกติ คือ มนุษย์ที่มีพัฒนาการแล้ว ผ่านการกำเนิดใหม่และเลื่อนระดับจากมิติที่สามไปสู่มิติที่สูงขึ้นแล้ว เรียกว่า "มนุสสเทโว" ซึ่งทำให้มีมาตรฐานสากลจักรวาล

    จงฟื้นฟูจิตญาณเดิมแท้ให้กลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์ก่อนรับธรรมครับ!
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปชต. ต้องมาจาก "การปฏิวัติโดย ปชช." เท่านั้นหรือ?​



    ประชาธิปไตยจะต้องสร้างจากการปฏิวัติโดยประชาชน เฉกเช่น การปฏิวัติฝรั่งเศสเช่นนั้นหรือ? ไม่จริงครับ ยิ่งกว่านั้นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่นำไปสู่ ปชต. ก็ไม่ได้ ปชต. ที่สมบูรณ์ ดังที่ชายเคยได้กล่าวแล้วในกระทู้ก่อนว่าการปฏิวัติฝรั่งเศส เกือบจะไปถึงระดับรากหญ้าแล้วแต่มันถูกหยุดก่อน เมื่อชนชั้นกลางเข้าไปเจรจาต่อรองกับศักดินาให้ตนเองได้ผลประโยชน์เท่าเทียมกัน จนลงเอย และลงตัวที่ระบบทุนนิยม จากนั้นชนชั้นกลางก็ผันตัวกลายเป็นนายทุนในระบอบ ปชต. มันยังไปไม่ถึงที่ ยังไม่เต็มใบเลยครับ เอาละ ชายขอเสนอแนวทางในการไปสู่ ปชต. ในแบบอื่นๆ บ้าง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

    1 การอพยพอย่างเสรี
    การอพยพอย่างเสรี เช่น ในช่วงเริ่มต้นก่อตั้งอเมริกานั้น ทำให้เกิด ปชต. ขึ้นเพราะอะไร? เพราะคนมากมายที่อพยพไปนั้น ต่างมีแนวคิด มีอุดมการณ์ร่วมกันในการสร้างชาติใหม่ของพวกเขา พวกเขาต้องการอิสระเสรี จึงออกจากประเทศเดิมมาแสวงหาผืนแผ่นดินใหม่ เมื่อคนจำนวนมาก อพยพไปด้วยจิตที่เสรี เพื่อสร้างชาติใหม่นั้น ทำให้ได้ปชต. ขึ้นมาได้ในระดับรากหญ้าจากปชช. ที่อพยพครับ

    2 การปลดทาสจากแอก
    เมื่อ ปชต. เริ่มอ่อนลง จางลงในอเมริกา เพราะชาวอเมริกาเริ่มตั้งหลักปักฐานได้แล้วนำแนวคิดจากยุโรปในเรื่อง "แรงงานทาส" มาใช้นั้น ทำให้ ปชต. อ่อนลง เกิดทาสผิวดำขึ้น ต่อมา เกิดการปฏิรูป ยกเลิกทาสโดยอับลาฮัม ลินคอร์น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระดับบนครับ ทำให้ ปชต. ไม่ได้รับความตระหนักในหัวใจของคนอย่างแท้จริงอย่างถ้วนทั่ว จนกระทั่งเขาถูก "ยิงตาย" ปชต. ก็ฟื้นขึ้นมาในหัวใจของชาวอเมริกันอีกครั้ง ปชช. เริ่มตระหนักถึงเสรีภาพ

    3 การประกาศเอกราช
    การประกาศเอกราชในอินเดีย มีส่วนทำให้คนสนใจ ปชต. และเป็น ปชต. ได้เช่นกัน โดย "มหาตมะ คานธีร์" เป็นการประกาศเอกราชที่สงบ โดยสันติวิธี เพราะการไม่มีอิสระของตัวเองนั้น ทำให้อินเดียต้องเสียผลประโยชน์มากมาย เมื่อ มหาตมะ คานธีร์ มานำทางผู้คน ทำให้ชาวอินเดียเห็นความสำคัญของอิสรภาพ และร่วมกันเรียกร้องอิสรภาพจากต่างชาติจนได้รับชัยชนะในที่สุด ทำให้ ปชต. เกิดขึ้นได้ในเวลาต่อมา และอินเดียก็ไม่ย้อนถอยกลับไปสู่ระบอบเดิมอีก

    เห็นไหมครับว่า ปชต. ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากแนวคิดปฏิวัติโดย ปชช. เพราะการทำเช่นนั้น ก็เหมือนกับการแลกกับซาตาน อยากได้ ปชต. จึงเอาชีวิตผู้คนไปแลก ไปสังเวย ไปบูชายัญ ทว่า สุดท้ายแล้ว มันอาจไม่ได้ ปชต. ที่แท้จริงมาก็ได้ครับ เหมือนฝรั่งเศส ที่ได้ "ระบบทุนนิยม" อันแปลงรูปแปลงร่างมาจาก "ระบอบศักดินา" แล้วซ่อนตัวแทรกเข้ามาในระบอบ ปชต. นายทุนเหล่านั้นก็เป็นเพียงร่างสืบทอดแนวคิดศักดินา ทำตัวเป็นเจ้านาย หาขี้ข้ามารับใช้ตนเอง!

    ไทยเราก็สามารถสร้าง ปชต. ได้โดยไม่ต้องปฏิวัติโดย ปชช. ครับ
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ถือศีล 5 อย่างไรให้เป็น "มนุษย์ปกติ" ?


    1 ไม่ฆ่าสัตว์
    มนุษย์ปกติ จะฆ่าสัตว์เพื่อดำรงอยู่ในโลกได้ เช่น ฆ่าปลากิน แต่จะไม่ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเด็ดขาด คนบางคนถือศีลเคร่งครัดมาก ไม่แม้แต่จะกินสัตว์ (กินเจ) แต่บางครั้งอาจแช่งคนให้ตายได้ แบบนี้ก็ไม่ใช่แบบมนุษย์ปกตินะครับ มนุษย์ปกติ เราทำกรรมได้ระดับหนึ่ง ฆ่าสัตว์กินได้ แต่ไม่ใช่ฆ่าแบบล้างผลาญ เช่น จับปลาตัวเล็กติดมาก็โยนกลับลงไปในน้ำรอให้มันโตก่อน เป็นต้น การถือศีลข้อนี้ เราไม่ต้องเว่อร์ กลางๆ พอดีๆ ในความเป็นฆราวาสปกติ มนุษย์ปกติ

    2 ไม่ลักทรัพย์
    มนุษย์ปกติ อาจลักทรัพย์ได้บ้าง เพราะความยากจน ไม่มีจะใช้ หรือเพื่อเอาตัวรอดไปในยามจำเป็น แต่จะไม่ทำจนติดเป็นนิสัยนะครับ เพราะมนุษย์ไม่ได้ยังชีพด้วยการลักทรัพย์ผู้อื่น ไม่ใช่โจร แต่จะไม่ลักของหลวง ไม่ยักยอกของหลวง ไม่โกงของหลวง เพราะของหลวงนั้นเป็นกรรมหนักครับ คนบางคนไม่ลักทรัพย์ใคร เพราะมีระดับ แต่โกงกิน, ยักยอกของหลวงก็มี แบบนั้นไม่ใช่ปกติมนุษย์ ลักทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ มนุษย์ปกติทำได้ แต่เขาจะไม่เอาของหลวงครับ

    3 ไม่ผิดในกาม
    มนุษย์ปกติ อาจผิดในกามได้บ้างพอประมาณ แต่จะไม่มากถึงขั้นไปแย่งคนรักของใคร คนบางคนปฏิบัติธรรมเคร่งครัดมากเลยแต่ยังแย่งผัวแย่งเมียกับชาวบ้านอยู่ก็มี ไม่ใช่แล้วนะครับ อย่าเคร่งเว่อร์ เราอาจเจ้าชู้ได้ ชอบคนหลายๆ คนได้ ถ้าเขาโสด ไม่มีเจ้าของแต่ถ้ามีเจ้าของอยู่ เราก็อย่าไปยุ่ง การเป็นคนเจ้าชู้ ไม่ผิดอะไร สัตว์ก็มีคู่หลายตัวได้ แต่เราเป็นมนุษย์ เราต้องไม่แย่งของๆ ใคร คนรักของใคร คนในโลกมีมากมาย ไม่ต้องไปแย่งกันครับ อีกประการหนึ่งก็คือ มนุษย์ปกติจะไม่ผิดประเวณี แต่มีกามเพื่อการเรียนรู้กันได้ครับ

    4 ไม่โกหก-ว่าร้าย
    มนุษย์ปกติ อาจกล่าววาจาที่ไม่ดีได้ เช่น เวลาโกรธก็ด่าทอกันได้ พูดคำหยาบได้ แต่จะไม่เกินขอบเขตของมนุษย์ เช่น ไม่แช่งใคร, ไม่ยุยงให้พระสงฆ์แตกกัน ฯลฯ เราทำกรรมทางวาจาได้ระดับหนึ่งครับ แต่ไม่มากเกินไป และเราต้องฝึกทำกรรม อยู่กับกรรมให้ได้ด้วย เพราะหากไม่ฝึก ถึงเวลานั้น เราอาจควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วทำกรรมหนักก็ได้ หลายคนเคร่งศีลมากเกินไป ถึงเวลาทำกรรม ทำกรรมหนักเลยก็มี เพราะไม่เป็นปกติมนุษย์ครับ การทำกรรมทางวาจานั้น มนุษย์อาจทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เช่น เพราะโกรธก็ได้

    5 ไม่เสพสิ่งเสพติด
    มนุษย์ปกติ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสารเสพติด เพื่อหล่อเลี้ยงความสุขให้ตัวเองเลย เพราะมนุษย์มี "ปกติสุข" อยู่แล้วใน "สุคติภูมิ" ของเขา มนุษย์ไม่ได้อยู่ในอบายภูมิสี่ ดังนั้น จึงไม่ได้ทุกข์มากจนต้องอาศัยสารเสพติดหล่อเลี้ยงจิตใจตัวเองให้มีสุขครับ แต่มนุษย์กินเหล้าได้ไหม? ได้ครับ พระจี้กงก็กินเหล้า แต่จะกินแบบพอประมาณ เช่น กินเพื่อเข้าสังคมมนุษย์ปกติ, กินตามงาน เพราะต้องทำงาน, กินเพื่อสานสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกัน ฯลฯ การกินเหล้าแต่พอดี ก็ทำได้ พระสงฆ์ก็กินได้ครับ ถ้าไม่มากเกินไป ดังนั้น ฆราวาสก็กินได้

    การถือศีล 5 แบบ "มนุษย์ปกติ" จะพอดี กลางๆ ไม่เคร่งเว่อร์ไปครับ
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การสร้าง ปชต. ไทยภายใต้การศึกษาของผู้ถูกกดขี่​



    เราได้ต่อสู้เพื่อ ปชต. กันมาระดับหนึ่งแล้ว แต่ความเข้าใจใน ปชต. ของใครหลายคนกลับไม่เพิ่มขึ้นมาเลย นั่นเพราะ "การศึกษาที่ผิดพลาด" เราไม่ได้เรียนรู้ที่จะเป็น ปชต. อย่างแท้จริง เราเพียงแค่จะเอาชนะคะคานกัน แย่งอำนาจกันเท่านั้นเอง ดังนั้น กระบวนการนี้จึงขาดการศึกษากันและกันไป การพัฒนาของแต่ละคนไปสู่ ปชต. จึงไม่ได้เกิดขึ้นจริง การต่อสู้เพื่อ ปชต. จึงต้องมีการให้การศึกษาด้วย ชายจึงขอนำเสนอ 4 ขั้นตอนที่จะพัฒนา ปชช. ให้เป็น ปชต. ผ่านกระบวนการศึกษาในฐานะของผู้ถูกกดขี่ ดังต่อไปนี้

    1 การยอมถูกกดขี่
    ขั้นตอนนี้ เราต้องยอมรับก่อนว่าธรรมชาติของสัตว์โลก ย่อมมีการกินกันเป็นทอดๆ สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก มนุษย์ก็มีการกดขี่กันเป็นทอดๆ ไม่อาจเลี่ยงได้ เราต้องยอมรับว่าเราอาจจะเป็นผู้กดขี่คนอื่น หรืออาจถูกคนอื่นกดขี่เราก็ได้ ทว่า การยอมรับการถูกกดขี่ จะทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ เกิดการเรียนรู้ การศึกษาจากผู้กดขี่เราได้ หากเราถูกคนแบบไหนกดขี่ เราก็มีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างเขา เช่น หากถูกคนรวยกดขี่ ก็มีแนวโน้มที่จะเรียนรู้จากเขา แล้วรวยอย่างเขาได้

    2 การพัฒนาตัวเอง
    ขั้นตอนนี้ เกิดหลังจากเรายอมรับความจริงของการถูกกดขี่แล้ว เราก็จะต้องพัฒนาตัวเองต่อไป ในฐานะที่เราอยู่ระดับล่าง ถูกคนที่อยู่ระดับบนกดขี่อยู่ เราต้องเรียนรู้จากเขาก่อน ก่อนที่เราจะไปต่อสู้กับเขาได้ ไม่ใช่ ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย อยู่ๆ ก็ออกไปต่อสู้จนตายกันแล้ว ไม่ใช่นะครับ เราต้องอาศัยการกดขี่นั้นเป็นแรงขับดันให้เราได้พัฒนาตัวเอง เรียนรู้จากเขาศึกษาเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้ได้อย่างเขา เมื่อเราเป็นฝ่ายกดขี่ผู้อื่นบ้าง ผู้อื่นก็จะศึกษาจากเราเช่นกัน

    3 ต่อสู้ด้วยสันติวิธี
    ขั้นตอนนี้ เกิดขึ้นหลังจากเราได้เรียนรู้ ศึกษาจากผู้ที่กดขี่เราแล้ว เราก็มีความรู้ มีพัฒนาการ มากพอที่จะต่อสู้กับเขาได้ โดยไม่เอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ไม่ไปตายฟรี ไม่ถูกใครหลอกใช้เป็นเครื่องบูชายัญครับ การต่อสู้ของเรา ควรเป็นไปโดยสันติวิธี เพราะหากมันไม่เป็นสันติวิธีแล้ว มันก็จะกลายเป็นการสังเวยชีวิต เพื่อแลกให้ได้บางสิ่งกลับมา และสิ่งนั้นมันจะไม่มีทางเป็นของจริงได้เลย ปชต. ที่เราได้มา มันก็จะเป็น ปชต. แบบจอมปลอม เพราะการสังเวยชีวิตนี้

    4 เกิดประชาธิปไตย
    ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมของมนุษย์ จะเห็นได้ว่ามนุษย์เริ่มต้นจากไม่มีปชต. ก่อน ถูกกดขี่มาก่อน แต่ท้ายที่สุดแล้ว การกดขี่และการไม่ใช่ ปชต. นี่แหละ จะต้องนำพาไปสู่ ปชต. ให้ได้ เหมือนการกดขี่ในฝรั่งเศส ก็นำไปสู่การปฏิวัติเพื่อ ปชต. เช่นกัน เห็นไหม? แท้จริงแล้วการกดขี่เป็นแรงขับดันให้เกิด ปชต. ได้ หากมี "การศึกษาของผู้ถูกกดขี่" มีการพัฒนาการตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ปชต. จะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้

    การสร้างปชต. จะขาดการศึกษาและพัฒนาตัวเองไป ไม่ได้เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ตุลาคม 2016
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การสนทนาธรรม ไม่ช่วยให้บรรลุธรรมได้อย่างไร?


    หลายคนคิดว่าการศึกษาที่แท้จริง ต้องไม่ใช่การที่คนหนึ่งมาสอนแล้วอีกคนหนึ่งมารับฟัง พวกเขาจึงเน้นไปที่การสนทนาธรรม ทว่า การสนทนาธรรมที่พวกเขาคิดว่าน่าจะได้ผล กลับกลายเป็นไม่ได้ผล ตรงข้าม กลับกลายเป็นเวทีสร้างความขัดแย้ง เกลียดชังแทน จึงไม่ช่วยให้เข้าถึงธรรมใดๆ ได้ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น มีดังต่อไปนี้

    1 ขาดศรัทธาต่อกัน
    เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีความเชื่อใจกันอย่างแท้จริง ไม่มีความเชื่อ ความศรัทธาต่อกัน เมื่อศรัทธาอินทรีย์อ่อน การสนทนาธรรมก็ล้มเหลว ไม่ได้ผล ขาดศรัทธาอินทรีย์แล้ว ก็ไปต่อไม่ได้ ไม่เกิดสติ ไม่มีปัญญาอะไรขึ้นมาได้ เพราะอินทรีย์ห้าตัวแรกก็ไม่มีเสียแล้ว ก็เลยไม่เหลือการเรียนรู้ระหว่างกัน กลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกันไปแทน ยิ่งสนทนากัน แทนที่จะยิ่งได้พัฒนาตัวเอง กลับกลายเป็นยิ่งสร้างศัตรู ยิ่งเกลียดกัน ยิ่งเข้าหน้ากันไม่ติด เกิดกรรมมากมาย

    2 คิดแต่เอาชนะกัน
    เพราะต่างฝ่ายต่างคิดแต่จะเอาชนะคะคานกัน ทำให้อีกฝ่ายยอมรับตนเองให้ได้ แต่ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะยอมอีกฝ่ายเลย เหมือนว่าถ้าแพ้แล้วจะต้องตาย เหมือนคนโดนยาสั่ง สั่งมาให้เอาชนะ ถ้าแพ้จะต้องชักดิ้นชักงอตาย หลายครั้ง การสนทนาธรรมเป็นเช่นนี้ ไม่ได้เป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น คือ เป็นการสนทนาแบบโดนยาสั่งตาย ต้องชนะเท่านั้น ถ้าแพ้ต้องตาย อาการดิ้นพล่าน, เหมือนจะชักดิ้นชักงอ ฯลฯ จึงเกิดขึ้นในการสนทนา เพื่อเอาชนะคะคานกันเท่านั้น

    3 ไม่มุ่งค้นหาความจริง
    แทนที่จะใช้การสนทนาธรรมเพื่อค้นหา "สัจธรรมความจริง" ก็กลายเป็นว่าไม่สนใจความจริง ความจริงจะเป็นอย่างไร ไม่สนใจแล้ว เอาแต่จะให้อีกฝ่าย "ยอมรับ" ตัวเองให้ได้ จุดประสงค์จึงเปลี่ยนไป ไม่ใช่การค้นหาสัจธรรม แต่เป็นการ "เถียงเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับ" อยากได้รับการยอมรับจากอีกฝ่าย หรืออยากให้สังคมยอมรับตัวเองว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นถูกต้อง การสนทนาธรรมจึงไม่ใช่การแสวงหาความจริง แต่เป็นการ "ถ่ายทอด" เพื่อหาใครมายอมรับเอาไปแทน

    4 กระตุ้นอีโก้มากกว่า
    การสนทนาธรรมกลายเป็นการกระตุ้นอีโก้ มากกว่าที่จะมุ่งสู่การเข้าถึงธรรม ยิ่งสนทนาธรรมกัน ก็ยิ่งมีอีโก้มากขึ้น อีโก้ยิ่งพองโตยิ่งขึ้น แถมพองแบบไม่ยอมลดละ พองไปเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ มีแต่อีโก้ทั้งนั้น เต็มไปด้วยมานะและทิฏฐิ ยึดมั่นตัวตนของตนทั้งนั้น เช่นนี้ ยิ่งสนทนาธรรมกันไป แทนที่อัตตาตัวตนจะเบาบางลง กลับกลายเป็นตรงกันข้าม คือ ยิ่งมีอีโก้มากขึ้น ยิ่งยึดมั่นในตัวกูของกูมากขึ้น การสนทนาธรรมจึงไม่ประสบผลอะไรเลย นอกจากกระตุ้นอีโก้

    5 ไม่จริงใจ ไม่เปิดใจ
    ไม่จริงใจที่จะฟังอีกฝ่ายว่าเขากล่าวว่าอะไรจริงๆ เหมือนคนปิดหูปิดตาเถียง จึงไม่ได้เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อสารอะไรจริงๆ ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น? เพราะบางคนคิดว่าถ้าจริงใจฟังอีกฝ่ายก็จะถูกอีกฝ่ายชี้นำ, ครอบงำ, ถูกทำให้เชื่อ ให้คล้อยตาม หรือกลัวถูกสอน เมื่อกลัวอย่างนี้ จึงพยายามต่อต้านด้วยการปิดใจ ไม่เปิดใจ ไม่จริงใจที่จะสนทนากันจริงๆ ต่างฝ่ายต่างจะพูดให้อีกฝ่ายรับ แต่ไม่มีฝ่ายใดเลยที่จริงใจ หรือเปิดใจรับฟังอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

    * นี่คือ 5 สาเหตุที่ท่านสนทนาธรรมกันแล้ว ไม่ช่วยอะไรเลยครับ!
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การสร้าง ปชต. ยุค "คนเสื้อแดง" ผิดพลาดอย่างไร?​



    คนเสื้อแดง พยายามเรียกร้อง ปชต. นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะทำให้ประชาชนตื่นตัว หันมาสนใจ ปชต. กันอย่างล้นหลาม ทว่า กระบวนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงทั้งหมด ยังไปไม่ถึงจุดหมายสุดท้าย คือ ยังไม่เกิด ปชต. ครับ ไม่ใช่เพราะยังแย่งอำนาจมาจากรัฐบาลไม่ได้ เพราะสิ่งนั้นไม่จำเป็นสำหรับ ปชต. แต่เพราะยังไม่เกิด ปชต. ขึ้นมาอย่างแท้จริงในใจของ ปชช. พวกเขาไม่มี ปชต. จากภายใน (Inner) จึงต้องเรียกร้องหาจากภายนอก ถามว่าเพราะอะไรจึงไม่สำเร็จ ชายขออธิบายให้เห็น 5 ประการดังต่อไปนี้

    1 การสื่อสารทางเดียว
    การสื่อสารทางเดียว คือ การที่การสื่อสารทั้งหมดจะมาจากแกนนำ ส่วน ปชช. ที่เข้าร่วมนั้นมาเพียงในฐานะ "ผู้รับฟัง" เท่านั้นเอง หากคิดอะไรแตกต่างออกไป ก็จะกลายเป็นความผิด กลายเป็นไม่ใช่คนเสื้อแดง แล้วจะถูกคนเสื้อแดงรุมเล่นงานได้ ดังนั้น การสื่อสารจึงมีทางเดียว ไม่ใช่สองทาง แกนนำเสื้อแดงคือผู้พูด และ ปชช. ที่เข้าร่วมคือ "ผู้ฟัง" อย่างเดียวเท่านั้น ห้ามคิดอย่างอื่น ห้ามเป็นอื่นไป

    2 การให้ข้อมูลด้านเดียว
    การให้ข้อมูลด้านเดียว คือ ต่างฝ่ายต่างให้ข้อมูลด้านเดียว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเสื้อแดง หรือฝ่ายเสื้อเหลือง ทั้งสองฝ่ายล้วนให้ข้อมูลแก่ ปชช. เพียงด้านเดียว คือ ด้านที่จะเกิดประโยชน์กับตนเท่านั้น ผลคือ คนเสื้อแดงก็เห็นโลกด้านเดียว คนเสื้อเหลืองก็เห็นโลกด้านเดียว เช่นนี้แล้ว คนสองกลุ่มจึงไม่มีวันเข้าใจกันได้อย่างแท้จริง อันนำไปสู่ความแตกแยกของสองฝ่าย และไม่เกิด ปชต. อย่างแท้จริง

    3 แอบแฝงผลประโยชน์
    กล่าวคือ การกระทำทั้งหมดเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของแต่ละฝ่ายเท่านั้นเอง ไม่มีใครคำนึงถึง "ส่วนรวม" อย่างแท้จริง ฝ่ายแดงก็หวังผลประโยชน์ของฝ่ายแดง ฝ่ายเหลืองก็หวังผลประโยชน์ของตน ไม่มีใครทำเพื่อส่วนรวม ไม่มีใครทำเพื่อ ปชต. ที่แท้จริง ต่างฝ่ายต่างอ้างความชอบธรรมเพื่อให้ตนได้รับการยอมรับเท่านั้นเอง ประเทศชาติจึงได้รับผลกระทบจากทั้งสองฝ่าย

    4 ทำเพื่อตัวเองเด่นดัง
    หลายคนไปร่วมประท้วงเพียงเพื่อให้ได้ "จำนวนไลค์" ในเฟสมากๆ ก็มีนะครับ หลายคนอยากเด่นอยากดัง อยากกลายเป็นคนมีชื่อเสียง มีคนรู้จัก ยิ่งกลุ่มคนเสื้อแดงมีมาก และมีคนสนใจเยอะ ก็อยากเข้าร่วมด้วย เพื่อจะได้รับความสนใจจากพวกเขา จุดประสงค์ที่แท้จริงจึงคลาดเคลื่อนไป ไม่ใช่เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อ ปชต. กลายเป็นเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก กลายเป็น "บุคคลสาธารณะ"

    5 แบ่งพรรคแบ่งพวก
    ปชต. จะเกิดได้ ไม่ใช่เกิดจากการแบ่งขั้วแบ่งข้างเช่นนี้ การแบ่งขั้วแบ่งข้าง ไม่ช่วยให้เกิดระบอบการปกครองใดได้เลย มันจะนำไปสู่การ "แตกแยก" และแบ่งแยกประเทศเท่านั้นเอง เมื่อประเทศถูกแบ่งแล้ว แต่ละส่วนก็จะไปสร้างระบอบการปกครองในแบบที่ตนต้องการเอง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ ไม่ได้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมเลย มันคือ การหลงกลแผน "แบ่งแยกเพื่อปกครอง" เหมือนที่เกาหลีโดน

    * ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาสร้าง ปชต. ใหม่อีกครั้งร่วมกันครับ!
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    หากไม่ใช้ "การสนทนา" แล้ว จะบรรลุธรรมได้อย่างไร?


    จากกระทู้ที่แล้ว เราได้ทราบว่าการสนทนาไม่อาจช่วยให้บรรลุธรรมได้เพราะสาเหตุอะไรบ้าง มิใช่เพราะการสนทนาใช้ไม่ได้ แต่เพราะคนที่สนทนาอาจไม่มีความพร้อมต่างหาก ในกระทู้นี้จะขอแนะนำกระบวนการศึกษาในแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากการสนทนา ดังนี้

    1 การถูกกดขี่-บีฑาธรรม
    เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้สมบูรณ์แบบแต่แรก และเพราะไม่สมบูรณ์แบบแต่แรกนี่เอง จึง "บริบูรณ์พร้อม" ด้วยการศึกษาและการพัฒนาตัวเอง เพราะหากสมบูรณ์แบบแต่แรกแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีการพัฒนาตัวเอง ไม่ต้องมีการศึกษา, ฝึกฝน, เรียนรู้ใดๆ คนเราก็เหมือนผีเสื้อ ที่ต้องผ่านการเป็นหนอนไปสู่ดักแด้ เพื่อออกจากดักแด้ จึงกลายเป็นผีเสื้อได้ กระบวนการทางธรรมชาติจึงต้องมีการ "กดขี่และบีฑาธรรม" เพื่อให้เราทลายตัวตนเก่าของเรา (หนอน) ไปสู่ตัวตนใหม่ที่โบยบินได้อย่างอิสระ (ผีเสื้อ) และเมื่อเราถูกกดขี่เราก็จะได้รับการศึกษาจากผู้กดขี่เราด้วย เราจะได้เรียนรู้จากเขาโดยตรง

    2 ประสบการณ์โดยตรง
    บุคคลจะบรรลุธรรมได้ อีกวิธีหนึ่งคือ การผ่านประสบการณ์โดยตรง คือ การที่บุคคลนั้นไม่ได้อ่าน ไม่ได้ฟัง ไม่ได้สนทนาธรรมกับผู้ใด แต่ได้มีประสบการณ์นั้นด้วยตัวเองโดยตรง ประสบพบเจอธรรมนั้นด้วยตัวเองโดยตรง โดยไม่ผ่านการอ่าน, การฟัง ฯลฯ มาจากผู้ใด ซึ่งบุคคลจะมีประสบการณ์ตรงได้ด้วยการที่เขาไม่แบ่งแยกตัวเองออกจากสรรพสิ่ง เขาและธรรมะ ธรรมชาติ เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่โดยตลอด เมื่อนั้น เขาย่อมอยู่ภายในสถานการณ์จริง พร้อมที่จะได้รับประสบการณ์ตรงได้ อุปมาเหมือนเกลือเค็มอย่างไร? ก็ต้องชิมเอาเอง ไม่อาจรู้ผ่านวิธีอื่นเช่น การอ่าน, ฟังและการสนทนากับผู้ใดได้

    3 การถูกกระตุ้นฉับพลัน
    บุคคลทุกคนมีศักยภาพในการบรรลุพุทธสภาวะ ทว่า พุทธสภาวะนั้นถูกปิดบังอำพราง ซ่อนอยู่ภายในของเราในระดับลึก เมื่อใดที่มีสิ่งเร้าที่เหมาะสม หรือสถาการณ์บางอย่าง บีบบังคับ กระตุ้น ฯลฯ ทำให้สำนึกรู้ของมนุษย์ ซึ่งเราทุกคนมีอยู่แล้วภายในของเรา ได้รับการกระตุ้นให้ "ตื่นขึ้น" เราเรียกว่าการตื่นแจ้งในฉับพลัน ซึ่งอาจมาจากการถูกกระตุ้นแรงๆ จากสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ เช่น การพลัดพรากจากคนรัก, ความตายของคนรอบข้าง ฯลฯ ซึ่งการถูกกระตุ้นให้บรรลุโดยฉับพลันนี้ ไม่อาจระบุได้ชัดเจนว่าจะต้องถูกกระตุ้นด้วยสิ่งใด? เพราะคนเรามีสภาพจิตใจที่แตกต่างกัน มีจริตวิสัยแตกต่างกัน

    * หากการสนทนาไม่ช่วยยกระดับจิตใจได้ก็มีวิธีดังกล่าวช่วยได้ครับ
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ระบบ "แจ๊ก หม่า" และสงครามเศรษฐกิจ​



    ชายเคยได้กล่าวแล้วว่าจีนกำลังทำสงครามเงียบโดยใช้ แจ๊ก หม่า เป็นตัวหมากสำคัญ เหมือนอเมริกาใช้ อองซาน ซูจี เป็นตัวหมากสำคัญในการขับเคลื่อน ปชต. ในเอเชีย ทีนี้ ชายได้กล่าวอีกว่าเขาจะใช้สงครามทางเศรษฐกิจ เพื่อทำให้ระบบทุนนิยมล่มสลายก่อน แล้วแทนที่ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบจีน เพื่อให้ชาวโลกยอมรับระบบนี้ และเลิกใช้ระบบทุนนิยมครับ ซึ่งชายก็เห็นด้วยส่วนหนึ่งว่าเราควรยกเลิกระบบทุนนิยมได้แล้ว เพราะมันคือ "กาฝากของศักดินา" อันแปลงรูปร่างมาแฝงตัวอยู่ในระบอบ ปชต. เท่านั้นเอง ทว่า ชายก็ไม่เห็นด้วยกับระบบเศรษฐกิจแบบจีนที่ไม่เป็นมิตร และทำลายระบบเดิมทุกอย่าง กระทู้นี้ ชายจะอธิบายแผนบันได 3 ขั้นที่จะทำให้ไทยก้าวไปสู่ระบบทุนนิยมจีน หรือระบบ "แจ๊ก หม่า" ดังต่อไปนี้ครับ

    1 สร้างระบบ "แจ๊ก หม่า"
    ซึ่งจีนได้เลียนแบบกลยุทธ์ของ "เฟสบุ๊ก" ถามว่ากลยุทธ์อะไร? ก็คือ การสร้างเฟสบุ๊กขึ้นมา เพื่อเป็นระบบ "ทะเบียนราษฏรโลก" ให้เรากรอกข้อมูลส่วนตัวไว้ เพื่อเป็นประชาชนของโลก จากนั้น NWO ก็จะใช้ข้อมูลนั้นในการทำอะไรต่อไปได้ ทีนี้ จีนก็ให้แจ๊ก หม่า สร้างระบบแบบนั้นบ้างขึ้นมา เรียกว่า Alibaba เพื่อดึงเอา SMEs ไทย เข้าสู่ระบบนี้ เมื่อเข้าสู่ระบบเป็นที่เรียบร้อย ก็จะบริหารจัดการได้ง่าย

    2 ดึง SMEs ไทยเข้าสู่ระบบ
    ขั้นตอนนี้ SMEs ไทย จะถูกต้อนเข้าสู่ระบบของ "แจ๊ก หม่า" จากนั้น SMEs ไทยก็จะอยู่ภายใต้การบริหารจัดการโดย แจ๊ก หม่า โดยทั้งหมด เรียกว่ากลืนเข้าสู่ระบบใหม่กันเลยทีเดียว ทีนี้ เพื่อให้การกลืนนั้นง่ายขึ้น เขาก็จะเสนอแบบแผนที่ดีงามที่สุด เพื่อหลอกล่อใจเรา ให้เข้าสู่ระบบนั้นๆ ทว่า เมื่อเราเข้าสู่ระบบไปแล้ว เราจะไม่อาจยืนหยัดด้วยขาตัวเองได้อีก เพราะต้องพึ่งพาระบบนั้นๆ ตลอดไป

    3 ทำลายระบบเศรษฐกิจเดิม
    ขั้นตอนนี้ จีนจะวางแผนทำลายระบบเศรษฐกิจไทยทั้งหมด รวมถึงระบบทุนนิยมโลกด้วย ซึ่งอาจจะเกิดในลักษณะของโดมิโน่ โดยมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะประเทศไทย เพราะจีนได้ทดลองตลาดแล้ว เขาพบว่าตลาดไทย "งี่เง่า" และสามารถเข้ามาเล่นงานได้ง่าย จะทำให้ราคาในตลาดอะไร ขึ้นหรือลงยังไงก็ได้หมด กระจอกมากๆ เพราะไทยเรายังไม่มีระบบป้องกันตรงนี้

    4 ควบคุมสั่งการโดย รบ. จีน
    ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนสุดท้าย หลังจากกลืนทั้งหมดและทำลายของเก่าแล้ว ก็จะควบคุมและสั่งการโดยรัฐบาลจีน ซึ่งจะสั่งงานผ่านทาง "แจ๊ก หม่า" อีกทีครับ วิธีการก็เหมือนกับการทุ่มตลาด แล้วผูกขาดทั้งตลาดนั่นเอง ถึงตอนนี้ SMEs ไทย จะไม่ได้รับผลประโยชน์เช่นเดิมอีก จะต้อง "จ่ายคืน" ให้จีนแบบหลายเท่าตัวเลยทีเดียว เพราะเขาได้ผูกขาดและควบคุมไว้ทั้งระบบแล้ว เราจะขัดขืนอะไรก็ไม่ได้

    ชายไม่ได้ต่อต้านการเข้ามาของ "แจ๊ก หม่า" ครับ ตรงข้าม ชายเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว จีนเริ่มรุก สงครามเงียบ โดยรุกเข้ามาทางเศรษฐกิจ ชายคิดว่าก็ดีแล้ว เราต่อสู้กับด้วยธุรกิจดีกว่าเอาปืนมาฆ่ากันให้ตาย จริงไหมครับ? ดังนั้น เราต้องยอมให้เขาทำ ให้เขาเดินเกมนี้ต่อไป แต่เราต้องไม่ยอมแพ้โดยง่าย เราต้องต่อสู้ในเกมนี้ครับ ซึ่งชายคิดว่าหากเราถูกกดขี่โดยระบบของจีน เราก็จะได้ ศึกษาในแบบที่เรียกว่า "การศึกษาของผู้ถูกกดขี่" ทำให้เราได้มีพัฒนาการ, เรียนรู้จากผู้กดขี่ ก่อนที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระในภายหลัง ทว่า เราต้องยอมรับการถูกกดขี่ก่อนครับ

    อีกไม่นาน เราจะเห็นนักธุรกิจไทยถูกจีนเล่นงานอย่างรุนแรงครับ!
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ชีวิตและความตาย


    ชีวิตที่แท้จริง คือ ความแปรเปลี่ยนไป ไม่แน่นอน ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ พลิกผันได้ และมีความตายเป็นส่วนหนึ่ง มีสุข มีทุกข์บ้างเป็นธรรมดา ไม่ใช่ "ภาวะตายตัว" อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด สภาวะหนึ่งใดก็หาไม่ ไม่ใช่การต้องมีความสงบสุขแบบตายตัวตลอดเวลา การไม่มีความทุกข์แบบตายตัว ตลอดเวลา ก็หาไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น ชีวิตย่อมมีรสชาติของมันเอง มีสุขมีทุกข์ คละเคล้าปะปนกันไป ไม่ตายตัว ไม่แน่นิ่ง เพราะนี่คือความมีชีวิต มิใช่ความตาย ชีวิตจึงเป็นนิรันดร์เช่นนี้ เพราะมันคือ "สัจนิรันดร์" ชีวิตจึงมีไม่สิ้นสุด มิใช่อายุขัยของร่างสังขาร เพราะก่อนหน้ามีสังขาร ชีวิตก็มีอยู่ก่อนแล้วในอีกลักษณะหนึ่ง และหลังละสังขารสิ้นไป ชีวิตก็ยังคงดำรงอยู่ในอีกลักษณะหนึ่ง ชีวิตที่แท้จริง จึงเป็นนิรันดร์ แม้สังขารจะไม่นิรันดร์ ชีวิตมิได้อยู่ภายใต้สังขารนั้น หากชีวิตอยู่ภายใต้สังขาร หรือผูกติดกับสังขาร มันก็จะกลายเป็นความตายตัว และนั่นย่อมไม่ใช่ความมีชีวิต!

    ความตายที่แท้จริง คือ ความแน่นอนตายตัว เหมือนกฏระเบียบที่แน่นอนตายตัว ซึ่งไม่มีอยู่จริง ความตายไม่มีอยู่จริง แต่มันจะมีได้ในคนที่หลงออกจากโลกแห่งความจริง เพื่อแสวงหาไขว่คว้ามัน เหล่าผู้ที่นิยมและรักความตายตัวนั้น ย่อมเตลิดหลงออกจากโลกแห่งความเป็นจริงก่อน เพื่อแสวงหาความตาย หรือความตายตัว เมื่อพวกเขาพบเจอความตายตัวแล้ว ก็คิดไปเอง อุปทานไปเองว่ามันคือ "สัจธรรม" มันคือ ความจริง ทว่า สิ่งที่เขาค้นพบ กลับเป็นได้แค่เพียงความตาย ความตายตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง พวกเขายึดถือในความตายตัวที่คนค้นพบ หลายคนถึงกับออกมาประกาศว่าความตายตัวที่ตนค้นพบนั้นคือ สัจธรรม หลายคนตั้งตัวเป็น "ศาสดา" จนนำไปสู่การประกาศศาสนธรรม อันเป็นวิถีแห่งความตาย หรือความตายตัว พวกเขารักและนิยมในความตาย ความตายตัวเหล่านี้ และห่างไกลออกไปจากโลกแห่งความเป็นจริง ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แปรเปลี่ยน และพลิกผัน เพราะอะไร? เพราะพวกเขากลัวความเปลี่ยนแปลง นั่นเอง พวกเขาจึงเป็นได้แค่นักอนุรักษนิยมที่ส่งต่อ "ความตายตัว" ฝากไปรุ่นต่อรุ่นสืบทอดดังทายาทอสูรด้วยสิ่งที่เรียกว่า "การศึกษา" ที่ไม่ต่างอะไรกับการฝากธนาคาร

    ชีวิตเป็นสัจนิรันดร์อยู่แล้ว การตายของสังขารมิใช่การตายของชีวิต
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ไม่ใช่แค่ ปชต. อ่อนแอ แต่ ปชช. ด้วยที่อ่อนแอ​



    ข่าวการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์ไทย ตามมาด้วยอาการร้องไห้แบบเด็กๆ ทำให้เห็นถึงความอ่อนแอและไม่เป็น ปชต. ของคนไทย จริงๆ ถามว่าถ้าเราไม่มีสื่อครอบงำ เราจะเป็นเช่นนั้นไหม? อาจจะไม่ เพราะเราก็แค่มนุษย์เดินดินคนหนึ่ง ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้นๆ จริงอยู่ว่าคนตาย ไม่ว่าจะใคร ราชาหรือยาจกถ้าอยู่ต่อหน้าเรา เราอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ชายว่าเราก็รู้สึกเสียใจไม่ต่างกันครับ จะราชาหรือยาจก ความตายก็ไม่ต่างกัน ทว่า ถ้าเราได้รับรู้ทางสื่อ มันไม่ใช่ชีวิตจริงของเรา ชีวิตจริงของเราก็อย่างหนึ่ง ชีวิตในโลกแห่งสื่อก็อย่างหนึ่ง เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกแห่งสื่อที่พอได้รับข่าวอะไรจากสื่อแล้ว เราจะต้องอ่อนไหวไปตามนั้น ก็หาไม่ ทว่า คนไทยปัจจุบัน อ่อนไหวกับสื่อมากเกินไป สืื่อไม่ได้ผิดอะไรนะครับ ก็สื่อสารตามปกติ แต่คนไทยกำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์ กลายเป็น "คนในโลกแห่งสื่อ" หลายคนต้องมีบทบาทและต้องแสดงอารมณ์ไปตามสื่อ เหมือนกับเป็นตัวละครในหนังอย่างนั้น ซึ่งมันไม่ใช่แล้ว แบบนี้ มันไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่ประชากรที่ปกติทั้งในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม จริงที่ว่าเราเสียใจได้ กับการเสียชีวิตของใครคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่อินกับมันมาก ดราม่ากับมันมาก เหมือนว่าจะต้องทำ ไม่ทำแล้วผิดยังงั้น?

    ประชาชนคนไทย ไม่ใช่แค่ไม่มีความเป็น ปชต. หรือความเป็นสังคมนิยม แม้แต่ความเป็นศักดินา ชายว่าก็มีปัญหาแล้วละครับ เพราะอะไร? ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาชอบแสดงออกกันเหลือเกินว่า "จงรักภักดี" แต่กลับไม่รู้จักทำหน้าที่ แบ่งเบาภาระความเหนื่อยยากของกษัตริย์ พวกเขาอยากแสดงบทบาทความเป็นคนดีด้วยการไว้อาลัย แต่กลับใช้รูปดวงตาหลั่งน้ำตา แต่มีลายธงชาติอื่น ไม่ใช่ธงชาติไทย เอาละ ชายไม่ได้ดูถูกประชาชน หรือไม่เห็นคุณค่าของประชาชนในประเทศของตน เพียงแต่ชายกำลังประเมิณปัญหาในส่วนของประชาชน เพื่อจะได้หาทางแก้ไขต่อไป ประชาชนของเรายังไม่มีความพร้อมที่่่จะเป็นประชาชนที่่่ดีในระบอบการปกครองใดๆ ทั้งนั้น เราจะต้องผ่านกระบวนการศึกษาและพัฒนาตัวเองเสียใหม่ ทั้งหมด เราอาจจะต้องผ่านกระบวนการ "ศึกษาของผู้ถูกกดขี่" นั่่นหมายถึง เราอาจจะต้องตกอยู่ในภาวะ "ถูกกดขี่" เสียก่อน เพื่อจะได้รับการศึกษาตามธรรมชาติที่แท้จริง จากผู้กดขี่ จากนั้นเราจึงจะได้รับการพัฒนา และนำไปสู่การปลดปล่อยในขั้นตอนสุดท้าย แม้ว่าอิสรภาพและความเท่าเทียม เป็นสิ่งที่เราปรารถนา และอยากจะให้แก่ประชาชนชาวไทย ทว่า ก่อนที่พวกเขาจะรับ อาจต้องเตรียมความพร้อมให้พวกเขาด้วย "การศึกษาของผู้ถูกกดขี่" เสียก่อน!

    ปชช. คนไทยเรายังไม่เข้มแข็งพอเหมือนอย่างหลายๆ ประเทศฮะ
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ความเมตตาที่แท้จริง


    ในโลกของเรามีทั้งของจริงและของปลอมปะปนกัน คนดีมีเมตตาก็มีทั้งจริงและปลอมปะปนกัน ผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมควรแยกแยะให้ออก ว่าความเมตตาที่แท้จริงเป็นเช่นไร ผู้มีจิตเมตตาที่แท้จริงเป็นเช่นไร? ไม่ควรลุ่มหลงกับคนดีจอมปลอม ความเมตตาจอมปลอม ซึ่งความเมตตาที่แท้จริงนั้น แตกต่างจากความเมตตาจอมปลอม สังเกตุได้ 5 ข้อ ดังนี้

    1 เห็นคุณค่าของผู้อื่น
    ความเมตตาที่แท้จริง ไม่ใช่ความสงสาร เพราะความสงสารเกิดจากการไม่เห็นคุณค่าของคน มองเห็นเขาต่ำกว่าเรา แต่ความเมตตาที่แท้จริงจะเห็นเขามีคุณค่าไม่ต่างจากเรา เห็นความเท่าเทียมกันของมนุษย์ เพราะมนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่จุดสูงสุดในตัวเองเหมือนกันทุกคน ไม่สมควรถูกหลอกให้เป็นแค่คนอนาถา

    2 เปิดรับอย่างไม่แบ่งแยก
    ความเมตตาที่แท้จริง ไม่ใช่การแบ่งแยกเขาเรา ไม่ใช่การแบ่งแยกว่าเราคือผู้มาโปรดสัตว์ และเขาคือผู้อ่อนแอที่เราให้เราไปโปรด เพราะเราและเขาก็ไม่ต่างกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน และแยกกันไม่ได้ เช่น หากหมอไม่มีคนไข้ หมอก็เป็นหมอขึ้นมาไม่ได้ การมีคนไข้ก็คือการทำให้หมอได้เป็นหมอนั่นเอง นี่คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน

    3 มีความสุขจึงไม่ต้องอดทน
    ความเมตตาที่แท้จริง ไม่ใช่การอดทนเพื่อทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้คนที่เรารักหรือเมตตา เพราะหากเราต้องอดทนเพื่อทำสิ่งนั้น แสดงว่าเราไม่ได้รักมันอย่างแท้จริง เมื่อใดที่เรามีความรักต่อสิ่งนั้นอย่างแท้จริง มีความเมตตาที่แท้จริง เราจะมีความสุขที่ได้ทำเพื่อเขา เราก็ไม่ต้องอดทนอีกต่อไป ผู้มีเมตตา จึงไม่ใช่ผู้ที่ต้องทำอย่างอดทน

    4 ทำให้ผู้อื่นเข้มแข็งขึ้น
    ความเมตตาที่แท้จริง ต้องไม่ทำให้เราอ่อนแอลง ต้องไม่ทำให้เราผิดไปจากธรรมชาติที่เราควรจะเป็น เช่น การใช้ความเป็นพ่อกดขี่เรา ให้เราต้องยอมจำนนในฐานะลูกตลอดไป ทั้งๆ ที่เราโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เราสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเองแล้ว ความเมตตาที่แท้จริงจะต้องทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่ทำให้เราอ่อนแอลง

    5 ปลดปล่อยให้อิสรภาพ
    ความเมตตาที่แท้จริง ไม่ใช่การครอบครองเป็นเจ้าของ แต่ต้องเป็นการปลดปล่อยให้เขาได้รับอิสรภาพ หลายคนชอบทำตัวเป็นคนมีเมตตา และทำดีต่อเรา แต่มิใช่เพื่อปลดปล่อยหรือทำให้เราได้รับอิสรภาพ ตรงข้าม เพื่อทำให้เรายอมจำนนอยู่ในระบบที่เขาสร้างขึ้นต่อไป ทำให้เรายอมเป็นขี้ข้าชั้นดี, บ่าวไพร่ที่จงรักภักดีตลอดไป

    * ผู้มีดวงตาเห็นธรรมแท้จริง ย่อมแยกแยะจริงเท็จได้ชัดเจนดังนี้
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ห้ากระบวนการสร้างประชาธิปไตยโดยสันติวิธีที่แท้จริง


    ดังที่ชายเคยกล่าวแล้วว่าประชาธิปไตยในฝรั่งเศสที่ได้จากการปฏิวัติ ยังไม่ใช่ ปชต. ที่แท้จริง แถมเรายังได้ "ระบบทุนนิยม" ซึ่งแปลงร่างมาจากระบอบศักดินา เป็นกาฝากแฝงกายเข้ามาใน ปชต. ด้วย ในบทความนี้ ชายจะขอกล่าวถึงขั้นตอนในการสร้าง ปชต. ในแบบที่ถูกต้อง และสันติวิธี ซึ่งแตกต่างจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ดังนี้

    1 สร้างความตระหนักถึงการถูกกดขี่
    เราจะต้องสร้าง "ความตระหนักรู้" ถึงภาวะ "การกดขี่" ให้เกิดขึ้นเสียก่อน เพราะประชาชนยังไม่รู้ตัวว่าพวกเขากำลังถูกกดขี่ หรือหลายคนก็นิยมการถูกกดขี่ นิยมการเป็นทาสชั้นดี การสร้างความตระหนักรู้จะทำให้พวกเขา "ตื่นขึ้น" และรับรู้สภาพความเป็นจริงที่แท้จริง ไม่ใช่ "มายาภาพ" ที่ถูกยัดเยียดให้รู้จากผู้กดขี่ เพื่อให้ยอมจำนน

    2 เริ่มต้นการศึกษาเรียนรู้จากผู้กดขี่
    ขั้นตอนนี้ เราจะต้องใช้ "การศึกษาของผู้ถูกกดขี่" เพื่อทำให้เกิดการศึกษาเรียนรู้แบบ "รู้เขา รู้เรา" กล่าวคือ เราในฐานะผู้ถูกกดขี่จะต้องศึกษาจากผู้ที่กดขี่เรา เพื่อที่จะได้เข้าใจเขา ก่อนที่จะต่อสู้กับเขาได้ อยู่ๆ เราจะต่อสู้กับเขา โดยที่เราไม่รู้จักเขาเลย ไม่มีการศึกษาเลย ไม่ได้ เช่นนั้น เราก็จะกลายเป็นแค่อันธพาล ไม่ใช่ผู้มีการศึกษา

    3 การกำเนิดใหม่เพื่อไปสู่อิสรภาพ
    ขั้นตอนนี้ เราจะต้อง "กำเนิดใหม่" หลังจากที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้จาก "ผู้กดขี่" มามากพอควรแล้ว เราก็เป็นเหมือนหนอนตัวหนึ่งที่อ้วนมากแต่บินไม่ได้ เราต้องกำเนิดใหม่โดยออกจากดักแด้ ทิ้งตัวตนเก่าของเรา ปลดปล่อยเพื่อกลายเป็นผีเสื้อที่โบยบินได้อย่างอิสระ เราจะอยู่เหมือนขี้ข้าชั้นดีตลอดไปไม่ได้

    4 ขบวนการปลดปล่อยสาธารณชน
    ขั้นตอนนี้ เราจะต้อง "ปลดปล่อยทุกคน" ไม่ใช่แค่เพียงฝ่ายผู้ถูกกดขี่เท่านั้น แม้แต่ผู้ที่กดขี่เรา เขาเองก็ถูกกักขังด้วยระบบระบอบที่เขาเองสร้างขึ้นมา เราจึงต้องไม่แบ่งแยกเขาเราอีก ไม่มีพวกฝ่าย หรือขั้วข้างใดๆ เราจะต้องปลดปล่อยทุกคนให้ได้รับอิสรภาพให้ได้ ดังนั้น มันจึงเป็นการกระทำเพื่อองค์รวม เพื่อสาธารณชนที่แท้จริง

    5 การก่อตั้ง ปชต. ที่ไม่ใช่ระบอบใดๆ
    ขั้นตอนนี้ เราจะต้อง "ก่อตั้ง ปชต." ซึ่งไม่ใช่ระบอบระบบใดๆ เพราะหากเราสร้างระบอบระบบใดๆ ขึ้นมาเพื่อกักขังชนทั้งหลายเอาไว้ เราเองก็ไม่ต่างจากผู้กดขี่ ที่สร้างโลกในแบบของเขา ขึ้นมาเพื่อจับขังชนทั้งหลาย เราจึงต้องสร้าง ประชาธิปไตยที่ไม่ใช่ระบอบระบบใดๆ เพื่อที่เราจะไม่กักขังชนเหล่านั้นไว้ภายใต้ระบอบที่เราสร้างขึ้น

    * ทว่า ปชต. ที่แท้จริงนั้น จะเบ่งบานอยู่ในใจของชนทั้งหลายสืบไป
     
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ความรักแท้ ความเมตตาที่แท้จริง ยังผลให้มีศีลอัตโนมัติ


    เมื่อใดที่บุคคลมีความรักแท้ มีความเมตตาที่แท้จริง ความรักแท้ ความเมตตาที่แท้จริง จะนำทางเขาไปสู่ศีลธรรมที่บริบูรณ์ เขาจะมีศีลเป็นปกติ คือ การไม่กระทำความผิดอันไม่ควรกระทำ มนุษย์ที่มีความรัก มีใจเมตตา จะไม่กระทำความผิดเกินเลย ยกตัวอย่างเช่น

    1 ไม่แบ่งแยกเขาเรา
    เมื่อมีความรักแท้ ความเมตตาแท้ เราจะไม่แบ่งแยกเขาเรา มิตรหรือศัตรู เราจะไม่นิยมสร้างพรรคพวกเพื่อไปทำลายล้างคนที่แตกต่างจากเรา เราจะไม่ไปว่าใครว่าพวกไม่รักชาติ พวกไม่ใช่คนไทย หรือไปว่าเขาว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า? อะไรทั้งนั้น เราจะเห็นคนเป็นคน เป็นมนุษย์เพื่อนร่วมโลกเหมือนๆ กันทั้งหมด เราจะเห็นคุณค่าของคนทุกคนเท่าเทียมกัน เราจะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งแยกกัน

    2 ไม่ใช้ความรุนแรง
    เมื่อมีความรักแท้ ความเมตตาแท้ เราจะไม่ใช้ความรุนแรงต่อใครๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือเพื่อนมนุษย์ เราจะอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งรัก แห่งความเมตตา เราจะมีจิตใจอ่อนโยน ไม่แข็งกร้าว ไม่ก้าวร้าว ไม่ทำตัวเป็นอันธพาล ไม่ระรานหรือทำร้ายใครโดยอ้างว่า "ทำเพื่อคนที่เรารัก" ก็หาไม่ การทำร้ายคนอื่นโดยอ้างความรัก ไม่ใช่รักแท้ แต่เป็นแค่การแสดงละคร ที่อยากให้คนอื่นยอมรับรักจอมปลอมนั้นๆ

    3 ไม่ตีตราบาปผู้อื่น
    เมื่อมีความรักแท้ ความเมตตาแท้ เราจะไม่ตีตราบาปใครว่าเป็นคนผิด คนเลว หรือคนไม่ดี แม้ว่าเขาจะคิดแตกต่างจากเรา เขาอาจจะไม่ได้รักคนๆ เดียวกับเรา ก็ไม่แปลกอะไร ไม่ผิดอะไร คนเรามีใจที่ต่างกัน คิดต่างกันได้ ชอบต่างกันได้ ถ้าทุกคนรักคนๆ เดียวกันหมด โลกอาจมีปัญหา ยื้อแย่งกันวุ่นวายก็ได้ ดังนั้น เมื่อเราม่ีความรักแท้ เราจะไม่ตีตราบาปใครว่าใครผิด แต่เราจะยอมรับสิ่งที่เขาเป็นอยู่

    4 ไม่กดขี่ผู้อื่นให้ต่ำ
    เมื่อมีความรักแท้ ความเมตตาแท้ เราจะไม่กดขี่ให้ใครต่ำลง ไม่ด่าว่าใครว่าต่ำกว่าเรา เพราะความรักแท้ ความเมตตานั้น ทำให้เราเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ในคนทุกคน อย่างเท่าเทียมกัน เราจึงไม่กดขี่ใครให้ต่ำลง ตรงกันข้าม เราจะพยายามฉุดดึงเขาให้สูงขึ้น เมื่อเขาทำสิ่งที่ผิด เราก็จะพยายามดึงเขาออกมาจากจุดนั้น เมื่อเขาหลงทาง เราก็พยายามจะชี้ทางออกแก่เขาด้วยความรัก

    5 ไม่หม่นหมองมืดมน
    เมื่อมีความรักแท้ ความเมตตาแท้ เราจะไม่หม่นหมองมืดมน แต่เราจะ "สว่างไสวด้วยพลังแห่งรัก" เพราะความรักแท้ ความเมตตาแท้ เป็นพลังที่สว่างไสว เราจะยอมรับสัจธรรมความเป็นจริงได้ แม้ว่าคนที่เรารักจะตายจากเราไป แต่พลังแห่งรักแท้จะทำให้เรายอมรับความจริงนั้นๆ ได้ และเราจะสัมผัสได้ถึงเขาที่อยู่ในใจของเรา เราจึงไม่ทุกข์ทนหม่นหมอง การมีความทุกข์แสดงว่าเรายังไม่มีรักแท้

    * หากท่านมีความรักแท้ มีใจเมตตา ท่านจะมีศีลเป็นปกติเช่นนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...