ผู้ที่ไม่พอใจใน "กาม" แต่ยังต้องคายอารมณ์ "กาม" ถือว่าตัดเเล้วหรือไม่

somkiatfem · 20 กันยายน 2016

nopphakan said: ↑

คุณ somkiatfem พึ่งเข้ามาใหม่
คุณอาจจะไม่ทัน คุณ นิวรณ์ ผู้เจ้าเล่ห์ จอมพลิวพลิ้วชิวหา
พาให้คนอื่นๆมาแย้ง แล้วก็ด่าตนเองคืน
หลังจากนั้นก็จะใช้วิชา แถสญานแบบหน้ามนุษย์หิน
ลอยหน้าลอยตาปกติ ว่างๆไม่มีคนคุยด้วยก็จะมา
อวตารอีกชื่อ ตั้งกระทู้ถาม คุณนิวรณ์ ถามอาจารย์นิวรณ์
เพื่อที่จะได้เขียนสิ่งที่แกได้ บรรลุทางจิตเดาสญานของแก
แต่ที่เขียนดีๆก็มีนะครับ แต่ว่าน้อยมาก.(^_^)

การขี้นโรงพัก จดบันทึกประจำวันนั้น เพราะว่า คุณ นิวรณ์
ในอดีต แกกล่าวความเท็จคือ พูดปดแบบเห็นๆ
รู้ทั่วบ้านทั่วเมือง และยังมีการใส่ร้าย ป้ายสี
พยายามดิสเครดิตผู้อื่นครับ..
ยังพยายามมาพูดให้ตัวเองดูดีอยู่ได้
เพราะแกเสียหน้ามาหลายเรื่อง
คนนี้แม้ว่าตัวเองผิด แต่ไม่เคยยอมรับผิดอะไรหรอกครับ
กลัวเสียหน้า เป็นนักปฏิบัติที่พูดได้ถึง นิพพานโน้น
ว่าคนอื่นๆอีกหลายกัป หลายกัล กว่าจะบรรลุ
แกพูดป่านว่าแก บรรลุอรหันต์แล้วลงมาโปรดเพื่อนสมาชิกโน้นครับ

แต่นิสัยส่วนตัว ณ ปัจจุบันยังแปลกๆ คล้ายคนพร่องทางด้านจิต
แกพูดกรรมฐานพิเศษ บอกว่าเป็น ระดับอาจารย์ แต่พอให้แสดง
ให้ดูหน่อย แกทำไม่ได้หรอกครับ แต่เก่งไปว่าไปทับถมคนแนะนำจัง
แล้วก็แถไปเรื่อย
และเป็นอะไรที่อยากได้รับการยอมรับแบบสุดๆ
ถ้ามี ญ มาคุยด้วยหน่อยนิ หรือ แกล้งมาชมหน่อย
คอยดูได้ แกตอบได้ยาว หลาย #Rep เลยหละครับ
มุขที่แกคิดว่า หล่อมากสำหรับสาวๆ ที่แกชอบใช้
ก็คือ '' น้องๆหนูๆ '' สงสัยแกจะชอบแนวๆนี้..

และเสียหน้าไม่เป็น และเก่งในเรื่อง
สร้างภาพและพูดให้ร้ายคนอื่นๆแบบเนียนๆ
โดยไม่เคยสำรอกดูพฤติกรรมตัวเอง..

เรื่องหลักๆคือ แกโม้ว่า
แกเป็นระดับอาจารย์ แล้วไปพยายามสอนแบบกล่าวหา
ดิสเครดิสผู้สอนคนนั้นๆ ไม่ใช่ลักษณะแนะนำ คือ ไปพูดเชิงยกตนข่มท่าน
พอเจอเค้าท้าวัดความสามารถ แล้วแกก็เลย หง่อยรับประทาน
เพราะแกทำไม่ได้ เค้าจึงรู้ว่า แกเก่งแต่ปาก การเล่นศัพท์แสงให้มันดูยากๆ
เพราะแกเข้าใจว่า แกเขียนอย่างนั้นแล้วมันหล่อ มันเท่ห์ คนมาอ่าน
จะเข้าใจว่า แกนั้นเก่งมากมาย และอ้างว่ากตัญญูรู้คุณพระพุทธฯ
อ่านแล้วขำๆและก็จะมีด่าคนอื่นๆที่ไม่เห็นด้วยกับแกเรื่องศัพท์แสง
เป็นตรรกะที่เกิดจากจิตที่พร่องอย่างแรงของแกอย่างหนึ่ง
ในหลายๆมุขที่แกชอบใช้ครับ แต่ทุกครั้งพอแกแนะ แกสอน
สิ่งที่สอน จะย้อนแย้งตัวแกเอง แล้วก็จะโดนสมาชิกคนอื่นๆย้อนแย้งแก
แต่ว่า คุณ นิวรณ์ แกจบหลักสูตร แถสญาานมา ตัวจิตแกมีความสามารถ
สูงส่งในเรื่องนี้ครับ. ทุกวันนี้ ก็อยากให้คนยกย่องตัวเอง

อยากให้คนเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ เนื่องจากแกติดการสรรเสริญอย่าง
ถอนตัวไม่ขึ้น แกถึงพยายามไปแย้งความเห็นบุคคลอื่นๆไปเรื่อย
ในลักษณะที่จะยกตนข่มท่าน ซึ่งจะต่างจากนักปฏบัติคนอื่นๆ
ที่จะพยายามเสนอในมุมที่ตนเองเห็นเพื่อเป็นทางเลือกเท่านั้น
มีแต่ คุณ นิวรณ์ หรือ ขาจร 18 อะไร
หรือ ชื่ออื่นๆ สังเกตุดูเกือบทุกชื่อ
ที่ มาตั้งกระทู้ในห้อง อภิญญาสมาธิ (ว่าจะเงียบๆแล้วนะ)
ก็เป็นตัว คุณนิวรณ์เองนั่นหละครับ ที่อวตารตัวเอง มาถามคุณนิวรณ์
ถามอาจารย์นิวรณ์แต่ก็กลัวไม่เนียน เลยต่อทายว่า และผู้รู้อื่นๆ
แล้วก็จะเว้นช่วงซักชั่วโมงเพื่อมาตอบ กะว่าให้ดูเนียนๆหน่อย
ประหนึ่งว่าตนเองทรงภูมิเป็นผู้รู้ ไม่เชื่อก็ลองตรวจสอบ IP ดูก็ได้ครับ
ส่วนตัวถึงบอกว่า ถ้าเวบนี้โชว์ IP ได้ท่านทั้งหลายจะมีฮา
ซึ่งยังมีหลายคน ชอบใช้อีกชื่อ มาชมความเห็นตัวเอง
ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จะทำไปเพื่ออะไร ทั้งๆที่ความเห็นนั้น
แทบขาดทั้งเหตุและผล ก็ยังชมกันอยู่ได้
ทำกับจะมาโฆษณาขายยาปลูกผม

มีบางชื่อ เช่น ขาจร
แกคงลืมเพราะใช้หลายชื่อ เลยตอบสไตล์ นิวรณ์ ความเลย
แตกไปหลายรอบ แต่คงเห็นว่า ห้องอภิญญา เงียบๆไม่มีไรทำ
เลยมีความสุขกับการ อวตาร ตัวเองมาถามตัวเอง..
ปล.ขำไปถึงดาวอังคารเลยครับ..(^_^)
Click to expand...

อ้อ..ครับผม คาดไม่ถึงเลยครับ

somkiatfem · 20 กันยายน 2016

ณฉัตร said: ↑

ผู้ที่ไม่พอใจใน "กาม" แต่ยังต้องคายอารมณ์ "กาม" ถือว่าตัดเเล้วหรือไม่

+ .. หมายถึงไม่พอใจในกาม แต่ยังเสพกาม ก็ย่อมแปลว่า ตัดกามไม่ได้

กามแปลว่า อยาก ดังนั้น เมื่อเราจะต้องกินอาหาร ถ้าเรามีเจตนาเพื่อการดำรงค์ชีวิต ไม่ถือว่า ติดในกามหรือไม่ คือตัดกามเเล้ว เเต่ถ้ายังเลือกในรสชาติอาหาร ชนิดอาหารอันนี้น่าจะหมายถึง ยังมีกาม ในอดีต หมอ ที่ดูแลพระพุธทเจ้า หลังพระท่านนิพพานเเล้ว ท่านหมอก็ได้ อดอาหารจนไม่ขอมีชีวิตเพราะชีวิตมีความทุกข์จึงเข้านิพพานไปได้เช่นกันด้วยการอดน้ำอาหาร

+ .. ลำพัง เจตนา อยู่ แปลว่า ยังตัดไม่ได้
+ .. ความจริง เราพิจารณาได้อยู่ว่า เราทานอาหาร มีความอยากหรือไม่ ถ้าเรายังต้องพิจารณาทานอาหารโดยแยบคาย แปลว่า ความอยากในอาหารยังมีอยู่ ไม่ใช่การฉันแบบพระอนาคามีหรือแบบพระอรหันต์เลย

เเล้วกามในเพศตรงข้ามล่ะ เมื่อเรายังไม่ชรา เราจึงมีอาการตามสภาพของร่างกายคือต้องการทางเพศ คือ คล้ายอาการฮิวอาหาร ถ้ากินเเล้ว ก็จะตรงตัวได้ระยะหนึ่งนานๆไปก็มีอาการหิวในกาม ถามว่าถ้าไม่สนองในกามมันก็อาจจะทำได้ เเต่ มันเกิดความทุกข์ คือ สิ่งที่ยากจะทน คือทนฮิว เเต่ ด้วยความที่ใช้เจตนาไม่พอในในกามเเละต่อสู้โดยใช้ทั้ง สมาธิ เเละ กรรมฐานเข้าต่อสู้ เเละได้ผล เเต่ไม่ 100% เราจะบอกว่าเราตัดกาม ก็คงไม่ได้สินะครับ เเต่ถ้าเราเปรียบเทียบกับการกินอาหาร พระท่านก็ฉันอาหาร ท่านก็เป็นพระอรหันต์ได้ เราจะต้องรอจนกว่ากายสังขารเรามันหมดสภาพไป เเละฝึกสมาธิ กรรมฐาน ควบคู่กันไปรอจน การเวลาที่เหมาะสม จนไม่เกิดอาการต้องการในกาม ใช้หรือไม่ครับ

+ .. ตรงนี้ เปรียบกันไม่ตรงนักนะครับ ระหว่าง ที่เรายังต้องสนองความต้องการในกามของเรา กับการที่พระฉันอาหาร ก็เป็นพระอรหันต์ได้
+ .. เรายังต้องสนองความต้องการในกาม เรายังไม่ขึ้นสู่บทเนกขัมมะเลย แต่พระท่านต้องจัดว่า เข้าสู่เนกขัมมะ แล้ว ซึ่งหมายถึงพระที่มาตรฐานที่ศาสนาพุทธวางไว้ ไม่ใช่พระที่สักแต่ว่าบวช ต้องได้หัวใจนักบวช คือ เนกขัมมะ ด้วย
+ .. ถ้าต้องรอจนกายสังขารมันหมดสภาพ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธนะครับ การจะดับกามตัณหา แบบชั่วคราวหรือถาวร ทางพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องรอกายสังขาร แต่ต้องเข้าใจกลไกความต้องการในกามของคนเรา คือ รู้ว่ามันมีอาการอย่างไร เกิดขึ้นเพราะอะไร ดับไปเพราะอะไร (พูดสั้นๆ ไปศึกษาเอาเองนะครับ ในเรื่อง อริยสัจสี่ หรือปฏิจจสมุปบาทก็ได้)
+ .. ดังนั้น เด็กน้อย หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ ที่ร่างกายมันพรั่งพร้อมสนองต่อกามคุณ ๕ ถ้าพิจารณาได้ถูกจุด ก็บรรลุพระอรหันต์กันได้ ไม่ต้องรอแก่เฒ่า ไม่ต้องรอให้มีร่างกายแบบพระพรหม เพราะพระพรมหแม้ไม่มีเพศ แต่ก็ไม่พ้นจากบ่วงกามได้

ได้ยินมาว่าบางท่านก็เข้านิพพานไปง่ายๆ คือมีเจตนามุ่งนิพพาน เห็นความทุกข์ในการเกิด ไม่ต้องการเกิด ผมเข้าใจถูกหรือไม่ ในแบบย่อ ถ้าแบบเต็มละเอียดก็ 10 ประการ บางกรณีพระท่านว่า พอใกล้จะตาย ถ้าจะเป็นพระอรหันต์เอง ถ้าพิจาราณาแบบย่อ ขณะนั้น ประกอบด้วย สภาพทางกายที่เเย่ เกิเความเบื่อทุกสิ่ง ไม่ต้องการอะไรอีกเเล้วเมื่อสังขารเต็มไปด้วยความทุกข์ มีอารมณ์นี้ประกอบ ก็ไปนิพพานได้ ผมเข้าใจถูกหรือไม่ ดังนั้น บางครั้ง ถ้าจิตใจไม่เข้มเเข็งพอที่จะสู้กายสังขารเราคงต้องรอให้มันคลายสภาพไปเอง เพราะ กิเลสกับร่างกายเป็นของคู่กัน ร่างกายเเข็งเเรงมันก็อยากสนองกิเลส ร่างกายเเย่กิเลสก็จะลดลงไปด้วยไม่อยากจะเอาอะไรเเล้วถ้ากายจะดับ

+ .. ตรงที่เน้นดำข้างบน ใช้คำว่า จิตไม่เข้มแข็ง แปลว่า ท่านฝึกแบบข่มด้วยกำลังสมาธิเป็นหลัก แต่ยังขาดความเข้าใจเรื่อง เนกขัมมะ ที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องจิตเข้มแข็ง แต่เป็นความเข้าใจ
+ .. เหมือนเวลามีคนมายั่วโทสะ หรือมาทำร้ายเราทั้งกายและใจ ถ้าเรามีปัญญาเห็นความจริงและธรรมชาติ เราจะไม่เกิดโกรธตอบ แต่ถ้าเราไม่เห็นธรรมชาติ แต่เรารู้ว่ามีคนสอนว่าโกรธไม่ดี เรากลับใช้ ขันติ ซึ่งเราจะพูดหรือท่องในใจว่า ทนไว้ ทนไว้ ซึ่งความโกรธมันเกิดแล้ว และต้องใช้ความตั้งใจแบบสมาธิมาข่มโทสะแค่นั้น ในขณะที่ถ้าเราเห็นเป็นธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติคนหรืออะไร เราก็จะไม่เกิดความโกรธหรือรำคาญเลย
+ .. ความต้องการในกาม ที่ร่างกายมันเกิดของมันเองเพราะจิตพื้นฐานของคนเราอยุ่ในกามภพ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น จะมีเหตุปัจจัยเกิด มีเหตุปัจจัยดับ และด้วยความที่จิตเราเสพคุ้นกับกาม จิตเราจึงไหลไปเอออวยกับมันแบบออโตเมติก หรือที่เรียกว่า ขาดสติไม่รู้ตัว (ถึงจะพูดว่า รุ้ตัว ก็คือไม่รู้อยู่ดี เพราะไม่รู้ทั่วถึงโทษแห่งการไหลไปตามกาม) เราจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติได้อยาก เพราะเราดันไปอยู่กลางกระแส(กาม) เสียแล้ว ดังนั้น เราต้องตั้งจิตออกจากมันก่อน จะมากจะน้อย ก็คือถอยจากกระแส ค่อยๆ ฝึกถอยจนหลุดมาดูกระแสอันนั้น ก็จะเห็นเป็นธรรมชาติ และเมื่อถอยมาบ่อยๆ เราสามารถไปอยู่ในกระแสอีกกระแสที่ตรงข้ามกับ กามคุณ ๕ เป็นกระแสเนกขัมมะแทน
Click to expand...

อดบอกไม่ได้ว่า การตอบของคุณทำให้ผมนึกถึงคนที่รู้จัก ด้วยความเคารพ

ขอบคุณที่เเสดงความรู้ครับ

ขาจอน · 20 กันยายน 2016

กามคือความ”ยินดีพอใจ”
แล้วความยินดี เกิดได้ต้องมีอะไร ก็จะต้องมี
รูป เสียง กลิ่น รส โผสฐัพพะ ธรรมารมณ์ มีการกระทบของอายตนะ
พวกทำสมาธิจึงเห็นว่า ต้องไปตัด รส เสียง กลิ่น อารมณ์ ผลักอารมณ์ร้ายออก
สร้างอารมณ์ที่ละเอียดกว่า ก็ไปติดความยินดีพอใจที่ละเอียดกว่า
ถ้ากำหนดรู้ไม่ถูกส่วน ก็จะยังละกามออกไม่ได้
ซึ่งเราก็ยังมีอายตนะ มีการกระทบผัสสะ ถ้าจะสังเกต ความพอใจ ให้ถูกส่วน
เมื่อเกิดการกระทบ ทางกาย ใจ เกิดความพอใจ ไม่พอใจก็ให้กำหนดรู้
ความพอใจเกิดขึ้น กำหนดรู้เข้า มันก็จะดับไป มันจะย่นเข้ามา กำหนดรู้ได้บ่อยเข้าๆ
ลมพัดมาถูกผิวหนังเกิดความพอใจก็รู้ได้
เกิดความคิดนึกหน้าคนที่ชอบ ก็รู้ทันใจตัวเอง ว่าความชอบมันเกิด
มันก็จะดับไป มันจะยิ่งรู้ได้ละเอียด ความเพลินในกามก็จะย่อเข้าๆ สั้นลงไปเรื่อยๆ
จิตรู้อารมณ์ได้ครั้งละหนึ่งอย่าง เราคอยสังเกต เมื่อความพอใจสิ่งนี้ดับลง
ธรรมชาติของจิตก็จะดับลงไปด้วย
ขยันสังเกตบ่อยๆ เราจะค่อยๆเข้าใจธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของภพ
เหมือนของร้อนผ่านมาผ่านไป ไม่ต้องไปจับ ไปผลัก มันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันก็ดับไปเป็นธรรมดา
ปล. เข้ามาอ่าน เห็นหลายคนเขาว่าผมเป็นอวตารคุณนิวรณ์ ก็โอกาสบอกว่าผมไม่ใช่คุณนิวรณ์ เป็นคนละคน กัน

บุรุษไร้เงา · 20 กันยายน 2016

Tboon said: ↑

ศีล ช่วยรักษาสมมุติให้เรียบร้อย สมาธิ ช่วยรักษาจิตให้มั่นคง ปัญญาเห็นชอบ นำออกจากทุกข์ทั้งปวง ครับ
Click to expand...

ตามนั้นครับ (^_^)

kengkenny2 · 20 กันยายน 2016

คุณนพคับขออนุญาตุขำนะคับ...แต่ว่าผมไม่แน่ใจว่าถ้าเราทำให้คนอื่นเสียหน้ามันเป็นกรรมไหมแต่ถ้าตั้งว่าหวังดีคงไม่ใช่ไหมคับทีนี้ถ้าคนที่คิดถึงแต่หน้าตาภูมิธรรมอะไรนั่นเขาคงหาวิธีที่จะทำให้งงหรือให้โง่นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ทำได้แต่นะคับแต่...ถ้าเราจะโง่เพราะคนอื่นทำไมเราไม่โง่เพราะตัวเราเองเสียละจะได้ไม่ซซ้ำซ้อน...อันนี้ทัศนคติผมเรื่องเขาจะมีหลายมุมซึ่งเท่าที่ผมสัมผัสได้มันก็จริง...ดังนั้นต้องเลือกมุมดีดีเอามาใช้ต่อคับมันได้จบจบกันไป

kengkenny2 · 20 กันยายน 2016

สำหรับผมกามก็คือกามจะจุกกรูหรือไม่มันก็คือกามมันหมายถึงการได้มาตามที่ใจปราถนาทุกสิ่งล้วนเกิดจากกามและกามกับฉันทะมักมาพร้อมกันเหมือนผีตายกับโลงผุแต่มีก็คือมีเพราะการมีอาจหมายถึงว่าเรายังมีตัวตนและบางทีอาจหมายถึงเรายังไม่พร้อมจะไร้ตัวตนนะคับ....เดี้ยวสักพักก็จะเจอสิ่งอื่นๆอีกซึ่งต้องเจออย่างแน่นอนคับผม

somkiatfem · 20 กันยายน 2016

kenny2 said: ↑

คุณนพคับขออนุญาตุขำนะคับ...แต่ว่าผมไม่แน่ใจว่าถ้าเราทำให้คนอื่นเสียหน้ามันเป็นกรรมไหมแต่ถ้าตั้งว่าหวังดีคงไม่ใช่ไหมคับทีนี้ถ้าคนที่คิดถึงแต่หน้าตาภูมิธรรมอะไรนั่นเขาคงหาวิธีที่จะทำให้งงหรือให้โง่นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ทำได้แต่นะคับแต่...ถ้าเราจะโง่เพราะคนอื่นทำไมเราไม่โง่เพราะตัวเราเองเสียละจะได้ไม่ซซ้ำซ้อน...อันนี้ทัศนคติผมเรื่องเขาจะมีหลายมุมซึ่งเท่าที่ผมสัมผัสได้มันก็จริง...ดังนั้นต้องเลือกมุมดีดีเอามาใช้ต่อคับมันได้จบจบกันไป
Click to expand...

" "

บุรุษไร้เงา · 20 กันยายน 2016

kenny2 said: ↑

คุณนพคับขออนุญาตุขำนะคับ...แต่ว่าผมไม่แน่ใจว่าถ้าเราทำให้คนอื่นเสียหน้ามันเป็นกรรมไหมแต่ถ้าตั้งว่าหวังดีคงไม่ใช่ไหมคับทีนี้ถ้าคนที่คิดถึงแต่หน้าตาภูมิธรรมอะไรนั่นเขาคงหาวิธีที่จะทำให้งงหรือให้โง่นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ทำได้แต่นะคับแต่...ถ้าเราจะโง่เพราะคนอื่นทำไมเราไม่โง่เพราะตัวเราเองเสียละจะได้ไม่ซซ้ำซ้อน...อันนี้ทัศนคติผมเรื่องเขาจะมีหลายมุมซึ่งเท่าที่ผมสัมผัสได้มันก็จริง...ดังนั้นต้องเลือกมุมดีดีเอามาใช้ต่อคับมันได้จบจบกันไป
Click to expand...

๕๕๕ ครับผม การพูดให้คนอื่นๆเสียหน้าเป็นเรื่องไม่ดีอยู่แล้วครับ
และก็ไม่ควรกระทำด้วยครับ..แต่ถ้าสังเกตุดีๆนะครับ
ส่วนตัวจะพูดดีๆด้วยก่อนทุกครั้งนั่นหละครับ..
ไม่มีหรอกครับ เค้าไม่ได้ถามเจาะจง เค้าไม่ได้ออกชื่อว่าถามใคร
แล้วจะไปอ้างอิงมาเพื่อตอบคำถามนั้นๆ ทั้งๆที่บางทีคำถาม
อยู่ #Rep 1 แท้ๆก็ยังอ้างอิง ไม่ทราบว่า กลัวเค้าไม่อ่านหรือไง
หรือต้องย้ำเน้นว่า ต้องอ่านของตนเองเท่านั้นก็ไม่ทราบ แถมยัง
พาดพิงย้อนอดีต เพื่อแก้ตัวและยกให้ตนเองดูดี
ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่อ?

และสังเกตุนิสัย ส่วนตัวได้นะครับ ตั้งแต่เข้าเวบมานี้
โดยปกติก็จะตอบไปเรื่อยๆ ตอบแบบเจตนาดีๆ
ไม่มีหรอกครับ ประเภทแอบส่งข้อความส่วนตัวไป
กล่าวหา ไปแอบแนะนำคนโน้นนี่นั้น โดยเฉพาะยิ่ง
ผู้ถามเป็นสาวๆด้วยนะ..หรือไม่มีหรอกครับ
ประเภทมีคนถามใน pm เล็กๆน้อย ก็เอามาพูด
มาเขียนในที่สาธารณะ ทั้งๆที่ก็บอกอยู่แล้วว่า
มันคือข้อความส่วนตัว ยังจะเอามาโชว์ว่ามีคน
ไปถามตัวเอง มาพูดให้ตัวเองดูหล่อดูดีไม่มีหรอกครับ

ก็แนะนำไปตามประสบการณ์ แต่ก็มักจะมีนักปฏิบัติ
ที่พูดสอนถึงระดับนิพพาน พูดยกตัวว่าเป็น อนาคามีบ้าง
สกิทาบ้าง โสดาบันบ้าง
บางคนความสามารถทางจิตก็พอพื้นๆ(ขออภัยที่ต้องพูดแรง)
แต่เวลาเล่า ทำให้คนมาอ่านประมาณว่า ตัวเองจะเหาะได้อยู่แระ
พอให้แสดงอะไรเป็นรูปธรรม ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหน่อยหละ
พากันเงียบกริ๊บ ทั้งๆเรื่องความสามารถอะไรเนี่ยมันไม่ใช่ประเด็น
หลักอะไรเลยทางพุทธศาสนา เค้าให้แนะ ให้สอนได้ เพื่อช่วย
เป็นแนวทางของผูที่ติดขัดจะได้ผ่านไปได้
แต่พวกนี้ จะเอามาพูดเพื่อให้ตัวเองดูเท่ห์ ดูวิเศษ
ให้คนว่าตรูเก่ง เหมือนเป็นผู้วิเศษซะงั้น
สงสัยตอนเด็กๆ คงน่าเกลียดมากไม่มีใครอุ้ม
เลยต้องมาสร้างจุดเด่นให้ตัวเองตอนโต ก็เป็นได้

พูดอยู่ได้ยังกับตัวเองเป็นเทพลงมาจุติ
ก็ไม่ปาน แต่พอพูดหักหน้าหน่อย ก็เกิดอาการเทพเมาเหล้าดองยา
ปรี้ดแตก พูดกลับไปกลับมา
ว่าแถไปเรื่อย ด่าได้ทุกอย่าง ยกเว้นด่าแบบมีเหตุผล
เทพเมาเหล้าดองยาในร่างมนุษย์ทั้งหลายนี้
ปัจจุบันยังนึกว่าตัวเองเก่ง
กว่าชาวบ้านชาวช่องอีกนะครับ
และพอมาเที่ยวสอนธรรมะคนอื่นๆ
พอมีใครเห็นต่าง กลับทนไม่ได้
แทนที่จะพูดด้วยเหตุด้วยผลดีๆกลับพูดไม่เป็น
พวกนี้มันจะเสียชีวิตหรือเปล่าข้าพเจ้าก็ไม่รู้นะครับ
ว่าทำไมถึงพูดดีๆไม่เป็น ทำไมต้องอ้างแต่ระดับสูงๆ
มาเสริมความคิดตน ใครไม่เห็นด้วย ก็ว่าเค้า
มิฉาทิฐิบ้าง ว่าแต่ในทางไม่ดี
แต่ตัวเอง ปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่ได้ คุยใหญ่คุยโต
อ้างแต่ระดับสูง ด่าแต่คนอื่นๆเค้าอยู่แม๊บๆกับมองไม่เห็น
ใครทำได้หรือทำไม่ได้ ผู้อ่านๆจากที่เขียนก็น่าจะพอคาดคะเนได้
ไม่รู้ว่าจะต้องพยายามพูดเหมือนว่าตัวเองเก่งโครต ดีโครตไปเพื่อ?

และพอพูดด้วยเหตุด้วยผล ในแง่การปฏิบัติ
พอแย้งไม่ได้ ก็เล่นวิชามาร ใส่ร้าย ป้ายสี กล่าวความเท็จ
ประมานนี้หละครับ
ปล.คนบางคนต้องพูดแรงๆตรงๆครับ
ส่วนตัวว่าน้อยไปนะ แต่คงพูดออกสื่อไม่ได้
ขนาดผิดเห็นๆยังไม่ยอมรับ
ไม่ต้องไปพูดดีมากหรอกครับกับบุคคล
นิสัยอย่างนี้. สังเกตุนะครับ
ส่วนตัวมักจะไม่ว่าใครก่อน และจะพูดดีก่อนทุกครั้ง
พวกนี้พอเราพูดดีๆด้วย มักจะทับถมเราคืน
เค้าไม่คิดหรอกครับว่าเรานะถ่อมตัว
สังเกตุจิ ที่ว่าแน่ๆเจอผมท้า
เห็นเงียบทุกรายหละครับ

kenny2 said: ↑

สำหรับผมกามก็คือกามจะจุกกรูหรือไม่มันก็คือกามมันหมายถึงการได้มาตามที่ใจปราถนาทุกสิ่งล้วนเกิดจากกามและกามกับฉันทะมักมาพร้อมกันเหมือนผีตายกับโลงผุแต่มีก็คือมีเพราะการมีอาจหมายถึงว่าเรายังมีตัวตนและบางทีอาจหมายถึงเรายังไม่พร้อมจะไร้ตัวตนนะคับ....เดี้ยวสักพักก็จะเจอสิ่งอื่นๆอีกซึ่งต้องเจออย่างแน่นอนคับผม
Click to expand...

ส่วนนี้ส่วนตัวคงได้แต่รับฟังครับ
เพราะถ้าทางการพิจารณา มีประสบการณ์น้อยครับ
แม้จะพอเห็นกิริยาของจิตได้บ้างเล็กน้อย
แต่การรู้มันยังอยู่ในระดับ
ที่ครูบาร์ท่านบอกว่าหยาบอยู่ครับ
คงได้แต่พอฮาๆ ขำๆ ร่วมแจมบ้าง
ตามสภาพครับ (^_^)
แต่ถ้ามีเคส ใชว์หล่อ มาทับถม ยกตนข่มกัน
ก็ตอบที่ข้าพเจ้าถาม
ในระดับพื้นให้ได้แล้วก็พอ
ปล.ประมานนี้ครับ (^_^)

Tboon · 21 กันยายน 2016

เอาธรรมเป็นใหญ่ครับ

บุรุษไร้เงา · 24 กันยายน 2016

ขาจอน said: ↑

กามคือความ”ยินดีพอใจ”
แล้วความยินดี เกิดได้ต้องมีอะไร ก็จะต้องมี
รูป เสียง กลิ่น รส โผสฐัพพะ ธรรมารมณ์ มีการกระทบของอายตนะ
พวกทำสมาธิจึงเห็นว่า ต้องไปตัด รส เสียง กลิ่น อารมณ์ ผลักอารมณ์ร้ายออก
สร้างอารมณ์ที่ละเอียดกว่า ก็ไปติดความยินดีพอใจที่ละเอียดกว่า
ถ้ากำหนดรู้ไม่ถูกส่วน ก็จะยังละกามออกไม่ได้
ซึ่งเราก็ยังมีอายตนะ มีการกระทบผัสสะ ถ้าจะสังเกต ความพอใจ ให้ถูกส่วน
เมื่อเกิดการกระทบ ทางกาย ใจ เกิดความพอใจ ไม่พอใจก็ให้กำหนดรู้
ความพอใจเกิดขึ้น กำหนดรู้เข้า มันก็จะดับไป มันจะย่นเข้ามา กำหนดรู้ได้บ่อยเข้าๆ
ลมพัดมาถูกผิวหนังเกิดความพอใจก็รู้ได้
เกิดความคิดนึกหน้าคนที่ชอบ ก็รู้ทันใจตัวเอง ว่าความชอบมันเกิด
มันก็จะดับไป มันจะยิ่งรู้ได้ละเอียด ความเพลินในกามก็จะย่อเข้าๆ สั้นลงไปเรื่อยๆ
จิตรู้อารมณ์ได้ครั้งละหนึ่งอย่าง เราคอยสังเกต เมื่อความพอใจสิ่งนี้ดับลง
ธรรมชาติของจิตก็จะดับลงไปด้วย
ขยันสังเกตบ่อยๆ เราจะค่อยๆเข้าใจธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของภพ
เหมือนของร้อนผ่านมาผ่านไป ไม่ต้องไปจับ ไปผลัก มันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันก็ดับไปเป็นธรรมดา
ปล. เข้ามาอ่าน เห็นหลายคนเขาว่าผมเป็นอวตารคุณนิวรณ์ ก็โอกาสบอกว่าผมไม่ใช่คุณนิวรณ์ เป็นคนละคน กัน
Click to expand...

อ่อออ เหรอออ
เห้ยๆๆๆ จริงเป่า ไหนๆๆๆ
ใครๆหลายคน มีใครบ้างที่เค้าว่า คุณ เป็นอวตาร คุณ นิวรณ์
คงไม่ใช่หลายคนหรอกครับ
ผมเห็นมีแต่ User Nopphakan นี่หละครับ
User Nopphakan มีคนเดียว มีชื่อเดียว
ไม่มีการอวตาร ไม่มีการใช้
Userอื่นๆมาตั้งกระทู้ถามตัวเองและก็ตอบเอง
ไม่มีการเล่นแร่แปรคำพูด ตรงๆไปตรงมาครับ (^_^)

ไม่มีตัวเสริมเวลาเพี้ยงพล้ำโดนย้ำ
ไม่มีตัวหนุนคำพูดตัวเอง ไม่มีตัวชง
ไม่มีตัวแกล้งแบบไม่ได้ตั้งใจมาถามแทน
และไม่มีตัวขอบคุณแทน และไม่มีตัวตอบแทนตัวอวตาร
ถ้าไม่ใช่บุคคลเดียวกันอย่างที่บอกครับ
ขออภัยนะครับ ^^__^^ User Nopphakan
จะขอโทษและยอมรับผิด ณ ขอรับกระผม (^_^)

แต่ๆๆๆๆๆๆมีข้อสังเกตุ
ให้สมาชิกพิจารณาอะไรเพิ่มเติม
พร้อมหลักฐานข้อความอะไรบางอย่างนะครับ (^_^)
เพื่อว่าจะช่วยเตือนความทรงจำอะไรได้บ้าง

๑.สมาชิกเก่าที่นี้ หลายๆท่าน
จะทราบว่า คุณ นิวรณ์ และ คุณเอกวีร์
และอีกหลายๆชื่อ
คือบุคคลเดียวกัน..มีแต่ คุณ ขาจอน ที่ถาม คุณ นิวรณ์ และเอกวีร์
โดยที่เนื้อหาที่ถาม แถบไม่ได้ตรงอะไรกับในกระทู้เลย
และมักจะมาถาม ตอนที่ คุณ นิวรณ์ พลาดท่า เตะบอลแล้ว
เด้งกลับมาโดนหน้าตัวเองอยู่บ่อยๆ
เรียกว่าแทบจะทุกกระทู้เลยก็ว่าได้
หรือ Nopphakan จะคิดมากไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
พูดง่ายๆว่า กระทู้นั้นเค้าด่า คุณ นิวรณ์ กันเกือบหมด
มีคุณ ขาจอน ผู้จิตใจดีมากมายประเสริฐสุดในดาวโลกนี้เพียงคนเดียว
ที่เข้าใจคุณนิวรณ์ อย่างลึกซึ้งตรึงใจ..
เข้ามาถาม คุณ นิวรณ์ แบบเจาะจงคนเดียว
อันนี้แค่ข้อสังเกตุประเด็นแรกนะครับ..(^_^)

๒. มีอยู่ไม่กี่คนหรอกครับ ที่จะตามตอบ สมาชิก ชื่อ นวลปรางค์ประเภท
เหมือนนัดกันมา. นี่ก็แค่ข้อสังเกตุนะครับ (^_^)

หรือว่า Nopphakan คิดมากไปเป่า..
มีอยู่ครั้งหนึ่งนะครับ ในกระทู้ชื่อว่า
"ว่าด้วย ฌานหนึ่ง>แปด กับ ขณิก - อุปจาร - อัปปนาสมาธิ ต่างกันอย่างไร?" ตั้งโดยสมาชิก ที่ว่า คุณ มารเดินดิน

หรือตามลิงค์ ข้างล้างนี้
http://palungjit.org/threads/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%94-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%82%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%81-%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4-%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3.567114/page-5. <<<---- กดตรงนี้ หน้าที่ ๕ นะครับ ตั้งแต่ # 89 เป็นต้นไป

และ. ข้อความที่ คุณ นิวรณ์ เขียน เอ้ย !! ไม่ใช่ เอ้ย !! คุณขาจอน
เอ้ย !! ไม่ใช่คุณนิวรณ์ เอ้ย !! คุณ นิวรณ์ เอ้ย !! ถูกแล้ว
คุณ ขาจอนและคุณ นิวรณ์ ๕๕๕

นิวรณ์ said: ↑

แล้วไม่ต้อง กังวล ว่า. ผมจะไปยุ่มย่าม มรรคผลของใคร

สังเกคดีๆ. ตรงนั้น. ไม่มีใครไปทำอะไรได้

ความ. เปนตน ของๆตน. ยังไม่มีเลย. แล้วคนอื่นจะไปยุ่งอะไรได้
Click to expand...

#89. วันที่ / เวลา 17-7-2016 / 07:13 PM

ขาจอน said: ↑

ถ้าอยากลองจริงๆ
คุณขอให้เขาแนะ
เอาตั้งแต่หนึ่งใหม่เลยก็ดี
แล้วการสดับธรรม เราอย่าไปตั้งว่า เขาเป็นยังไง เลวทราม ต่ำช้ายังไง
คุณลองทำไป ติดอะไรก็ถาม
เดี๋ยวก็จะเงียบกริบ
เพราะ ถ้ายัง แหย่ๆ มาๆ ไปๆ คุยเพื่อเล่น หาเพื่อน
ยังไงเสียเขาก็โพส แบบ แนะไปตามเหตุที่คุณแหย่เข้าไป
แต่สังเกตนะ ทุกคำตอบจะชี้ มรรค แนะไปตามลำดับ จนถึง ...
นะ ลองดูไม่เสียหายหรอก ธรรมของพุทธองค์ของจริง มีอยู่
อันนี้ แนะนำเฉยๆนะ ทำหรือไม่ก็ได้
ส่วนที่ว่าแทงอริสัจ นั้นถ้าแทงได้ทะลุทีหนึ่ง เขาเรียกโสดาบัน
ที่ที่สอง เรียกสกิทา .... จนถึงพระอรหันต์ นั่นหละ
Click to expand...

#90. วันที่ / เวลา 17-7-2106 / 07:21 PM

นิวรณ์ said: ↑

สัมมาทิฏฐิโดยปริยายสองอย่าง (โลกิยะ - โลกุตตระ)
ภิกษุทั้งหลาย ! สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไรเล่า?

ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวแม้ สัมมาทิฏฐิว่ามีอยู่โดยส่วนสอง คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ (สาสว)๑ เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิย) มีอุปธิเป็นวิบาก(อุปธิเวกฺก) ก็มีอยู่,

สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ (อริย) ไม่มีอาสวะ (อนาสว) เป็นโลกุตตระ (โลกุตฺตร) เป็นองค์แห่งมรรค (มคฺคงฺค) ก็มีอยู่.

ภิกษุทั้งหลาย ! สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญมีอุปธิเป็นวิบาก นั้นเป็นอย่างไรเล่า? คือ สัมมาทิฏฐิที่ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล). ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล) การบูชาที่บูชาแล้วมี(ผล). ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี. โลกนี้ มี. โลกอื่น มี. มารดา มี. บิดา มี. โอปปาติกะสัตว์ มี. สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง และประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มีอยู่” ดังนี้.

ภิกษุทั้งหลาย ! นี้คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก.

ภิกษุทั้งหลาย ! สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค นั้นเป็นอย่างไรเล่า? คือ สัมมาทิฏฐิที่ได้แก่ ปัญญา ปญัญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ และสัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์แห่งมรรคของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค.

ภิกษุทั้งหลาย ! นี้คือ สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค.
Click to expand...

#91. วันที่ / เวลา 17-7-2016 / 07:26 PM

ขาจอน said: ↑

"กำหนดปรารภไปเลย เราจักวางจิต. เราจัดกปล่อยจิต แล้ว สลับบริกรรมที่
ใข้แล้วใจสงบ"
อันนี้ของคุณนิวรณ์ นะ

ที่ทำ
พอมันไหล แล้ว เข้าฐานปุ๊บ
ครูจารย์ท่านให้สำทับไปเลย "จิตเป็นอนัตตา"
(อันนี้ส่วนตัวนะ)
สอนมันไปเลย คิดนั่นหละ สลับไป สำทับไป
เดี๋ยวถ้าเป็นสมาธิได้สักครั้ง แล้วก็ไม่ต้องไปถามใครหละ
Click to expand...

# 92. วันที่ / เวลา 17-7-2016 / 07:27 PM

นวลปราง said: ↑

คุณนิวรณ์จะสลับuserทำไม?
Click to expand...

#93. วันที่ / เวลา 17-7-2016 / 07:38 PM

นิวรณ์ said: ↑

นั่น สิ จะสลับทำไม

ในเมื่อ. ไม่มีคุณค่าอะไร. ที่จะต้องสลับ
Click to expand...

#94. วันที่ / เวลา 17-7-2016 / 07:49 PM

ปล.ให้สังเกตุนะครับ
บุคคลที่พูดว่า คุณ ขาจอน เป็นอวตาร คุณ นิวรณ์ มีแต่ผมนะครับ
ไม่มีคนอื่นๆนะครับ อย่าไปดึงคนอื่นๆมาร่วมเลยครับ..
และให้สมาชิกดูเวลาที่ตอบ..ให้สังเกตุ ลักษณะของการ
ใช้ศัพท์ทางธรรมนะครับ
ถามคุณ นิวรณ์ อยู่หยกๆ แต่พอแนะนำ คนอื่นๆ
มีทรัพย์แสงทางธรรมะระดับสูง
มีความเข้าใจทางธรรมะเกิดขึ้นอย่างพิศดารอย่างไม่น่าเชื่อ...
และการแนะแนวทาง วิธีคิดต่างๆ เชิญสมาชิกพิจารณาได้เองครับ (^_^)
อย่าเอาไปปนกับ ชื่ออื่นๆที่มักตั้งว่า ขอคำชี้แนะจากท่านนิวรณ์
อาจารย์นิวรณ์และผู้รู้อื่นๆนะครับ เด่วจะมากวาระเกินไปครับ (^_^)
หรือจะเอาชื่อที่เคยใช้ในอดีตอีกซัก ๓ ถึง ๔ ชื่อดีไหม
แต่อย่าเลย..เด่วเค้าจะหาว่าไม่แมน เอาประมาณนี้ก็พอนะครับ
คุณนิวรณ์ เอ้ย. !! คุณ ขาจอน เอ้ย !! ไม่ใช่ เอ้ย !!
คุณ ขาจอน คุณนิวรณ์ เห้ย !! คุณ ขาจอน ถูกแล้ว อิอิ..(^_^)
ปล.ประมาณนี้ครับ

paetrix · 24 กันยายน 2016

ขาจอน said: ↑

กามคือความ”ยินดีพอใจ”
แล้วความยินดี เกิดได้ต้องมีอะไร ก็จะต้องมี
รูป เสียง กลิ่น รส โผสฐัพพะ ธรรมารมณ์ มีการกระทบของอายตนะ
พวกทำสมาธิจึงเห็นว่า ต้องไปตัด รส เสียง กลิ่น อารมณ์ ผลักอารมณ์ร้ายออก
สร้างอารมณ์ที่ละเอียดกว่า ก็ไปติดความยินดีพอใจที่ละเอียดกว่า
ถ้ากำหนดรู้ไม่ถูกส่วน ก็จะยังละกามออกไม่ได้
ซึ่งเราก็ยังมีอายตนะ มีการกระทบผัสสะ ถ้าจะสังเกต ความพอใจ ให้ถูกส่วน
เมื่อเกิดการกระทบ ทางกาย ใจ เกิดความพอใจ ไม่พอใจก็ให้กำหนดรู้
ความพอใจเกิดขึ้น กำหนดรู้เข้า มันก็จะดับไป มันจะย่นเข้ามา กำหนดรู้ได้บ่อยเข้าๆ
ลมพัดมาถูกผิวหนังเกิดความพอใจก็รู้ได้
เกิดความคิดนึกหน้าคนที่ชอบ ก็รู้ทันใจตัวเอง ว่าความชอบมันเกิด
มันก็จะดับไป มันจะยิ่งรู้ได้ละเอียด ความเพลินในกามก็จะย่อเข้าๆ สั้นลงไปเรื่อยๆ
จิตรู้อารมณ์ได้ครั้งละหนึ่งอย่าง เราคอยสังเกต เมื่อความพอใจสิ่งนี้ดับลง
ธรรมชาติของจิตก็จะดับลงไปด้วย
ขยันสังเกตบ่อยๆ เราจะค่อยๆเข้าใจธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของภพ
เหมือนของร้อนผ่านมาผ่านไป ไม่ต้องไปจับ ไปผลัก มันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันก็ดับไปเป็นธรรมดา
ปล. เข้ามาอ่าน เห็นหลายคนเขาว่าผมเป็นอวตารคุณนิวรณ์ ก็โอกาสบอกว่าผมไม่ใช่คุณนิวรณ์ เป็นคนละคน กัน
Click to expand...

ไม่ทราบว่าเป็นใคร อวตารหรือไม่นะครับ แต่อธิบายได้ดีครับ ....ขอเสริม นิดนึงครับ ในมรรค แปด มี องค์มรรค ถึง แปดองค์ ทุกองค์ มีความสำคัญ แต่ ทุกองค์ ต้องแวดล้อมด้วย สามองค์ มรรค คือ สัมมาทิฐฐิ สัมมาสติ และ สัมมาวายามะ.........การทำ สมถะ เอง หรือ ที่ทั้วไปใช้แทนคำว่าสมาธิ นั้น(สมาธิ ในนัย ของพระพุทธศาสนา กินความหมายครบถ้วนกว่า )ก็ เป็นส่วนหนึ่งในทางเดินแห่งมรรค คือ สมถะ และ วิปัสนา....หมายถึง ประโยชน์ของสิ่งใดอยู่ที่เราทราบว่าเราทำเพื่ออะไรด้วยครับ.....

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ผู้ที่ไม่พอใจใน "กาม" แต่ยังต้องคายอารมณ์ "กาม" ถือว่าตัดเเล้วหรือไม่

somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ผู้ที่ไม่พอใจใน "กาม" แต่ยังต้องคายอารมณ์ "กาม" ถือว่าตัดเเล้วหรือไม่

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา